ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 92: | บรรทัด 92: | ||
พจน์ พหลโยธิน เกิดที่จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือ[[กรุงเทพมหานคร]]) เป็นบุตร[[พระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม พหลโยธิน)]] ชาว[[ไทยเชื้อสายจีน]]แต้จิ๋ว <ref>{{Cite web |url=http://www.minister.moi.go.th/mt08.htm |title=ประวัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย |access-date=2008-01-29 |archive-date=2008-06-14 |archive-url=https://web.archive.org/web/20080614231136/http://www.minister.moi.go.th/mt08.htm |url-status=dead }}</ref> มหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มารดาเป็น[[ชาวไทยเชื้อสายมอญ]] ชื่อว่านางจับ ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ห้าของนายกิ่ม ภายหลังบิดาถึงแก่อนิจกรรม ท่านก็อยู่ภายใต้การอุปการะของพี่ชายต่างมารดาที่ชื่อนพ (ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาพหลโยธินรามนิทราภักดี) |
พจน์ พหลโยธิน เกิดที่จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือ[[กรุงเทพมหานคร]]) เป็นบุตร[[พระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม พหลโยธิน)]] ชาว[[ไทยเชื้อสายจีน]]แต้จิ๋ว <ref>{{Cite web |url=http://www.minister.moi.go.th/mt08.htm |title=ประวัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย |access-date=2008-01-29 |archive-date=2008-06-14 |archive-url=https://web.archive.org/web/20080614231136/http://www.minister.moi.go.th/mt08.htm |url-status=dead }}</ref> มหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มารดาเป็น[[ชาวไทยเชื้อสายมอญ]] ชื่อว่านางจับ ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ห้าของนายกิ่ม ภายหลังบิดาถึงแก่อนิจกรรม ท่านก็อยู่ภายใต้การอุปการะของพี่ชายต่างมารดาที่ชื่อนพ (ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาพหลโยธินรามนิทราภักดี) |
||
เมื่ออายุราวแปดขวบ บิดาพาไปฝากเรียนกับขุนอนุกิจวัตร ครูใหญ่โรงเรียน[[วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร]] และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลลัย (ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดพิชัยญาติ) ต่อมาในพ.ศ. 2444 พี่ชายที่เป็นทหารได้ฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก<ref name ="Nret">นเรศ นโรปกรณ์, ''100 ปี พระยาพหลฯกรุงเทพฯ'': โอเดียนสโตร์, 2531), 17.</ref><ref name="silpa">[https://www.silpa-mag.com/history/article_43421 “เชษฐบุรุษ” พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) พ.ศ. 2430-90] ''ศิลปวัฒนธรรม''. 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563</ref> พจน์สอบได้อับดับหนึ่งในชั้นห้า จึงได้รับเลือกศึกษาวิชาทหารที่[[จักรวรรดิเยอรมัน]]ในปีพ.ศ. 2447 พจน์เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมนายร้อยในเมือง[[พ็อทซ์ดัม]]เป็นเวลาหนึ่งปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยปรัสเซียในกรุงเบอร์ลินอีกสองปี<ref>[https://www.silpa-mag.com/history/article_17716 ย้อนราก “3 ทหารเสือ” คณะราษฎร ผลผลิตจากโรงเรียนนายร้อยเยอรมนี] ''ศิลปะวัฒนธรรม''. 25 มีนาคม พ.ศ. 2563</ref> ซึ่งที่นี่ พจน์และนักเรียนไทยหลายคนได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับ[[แฮร์มัน เกอริง]] กับ[[ฮิเดกิ โทโจ]]<ref name="Stowe">Judith A. Stowe: ''Siam Becomes Thailand. A Story of Intrigue.'' C. Hurst & Co., London 1991, ISBN 0-82481-393-6, S. 370.</ref> |
เมื่ออายุราวแปดขวบ บิดาพาไปฝากเรียนกับขุนอนุกิจวัตร ครูใหญ่โรงเรียน[[วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร]] และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลลัย (ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดพิชัยญาติ) ต่อมาในพ.ศ. 2444 พี่ชายที่เป็นทหารได้ฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก<ref name ="Nret">นเรศ นโรปกรณ์, ''100 ปี พระยาพหลฯกรุงเทพฯ'': โอเดียนสโตร์, 2531), 17.</ref><ref name="silpa">[https://www.silpa-mag.com/history/article_43421 “เชษฐบุรุษ” พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) พ.ศ. 2430-90] ''ศิลปวัฒนธรรม''. 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563</ref> พจน์สอบได้อับดับหนึ่งในชั้นห้า จึงได้รับเลือกศึกษาวิชาทหารที่[[จักรวรรดิเยอรมัน]]ในปี พ.ศ. 2447 พจน์เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมนายร้อยในเมือง[[พ็อทซ์ดัม]]เป็นเวลาหนึ่งปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยปรัสเซียในกรุงเบอร์ลินอีกสองปี<ref>[https://www.silpa-mag.com/history/article_17716 ย้อนราก “3 ทหารเสือ” คณะราษฎร ผลผลิตจากโรงเรียนนายร้อยเยอรมนี] ''ศิลปะวัฒนธรรม''. 25 มีนาคม พ.ศ. 2563</ref> ซึ่งที่นี่ พจน์และนักเรียนไทยหลายคนได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับ[[แฮร์มัน เกอริง]] กับ[[ฮิเดกิ โทโจ]]<ref name="Stowe">Judith A. Stowe: ''Siam Becomes Thailand. A Story of Intrigue.'' C. Hurst & Co., London 1991, ISBN 0-82481-393-6, S. 370.</ref> |
||
==ราชการทหาร== |
==ราชการทหาร== |
||
เมื่อจบการศึกษาในพ.ศ. 2453 พจน์เข้ารับราชการทหารนายสิบในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ของ[[กองทัพปรัสเซีย|กองทัพ]]เยอรมัน |
เมื่อจบการศึกษาใน พ.ศ. 2453 พจน์เข้ารับราชการทหารนายสิบในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ของ[[กองทัพปรัสเซีย|กองทัพ]]เยอรมัน |
||
ระหว่างนี้ได้รับยศร้อยตรีของสยามในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2454 และต่อมาในปีพ.ศ. 2455 พจน์เดินทางจากเยอรมนีไปศึกษาวิชาช่างแสงทหาร ณ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แต่กลับถูกเรียกตัวกลับก่อนเรียนจบ เนื่องจากนักเรียนทหารในเดนมาร์กเรียกร้องขึ้นเบี้ยหวัดจากกระทรวงกลาโหมสยาม [[สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ|กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ]]ทรงกริ้วและเรียกตัวนักเรียนทั้งหมดกลับ<ref name="Nret" /> |
ระหว่างนี้ได้รับยศร้อยตรีของสยามในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2454 และต่อมาในปีพ.ศ. 2455 พจน์เดินทางจากเยอรมนีไปศึกษาวิชาช่างแสงทหาร ณ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แต่กลับถูกเรียกตัวกลับก่อนเรียนจบ เนื่องจากนักเรียนทหารในเดนมาร์กเรียกร้องขึ้นเบี้ยหวัดจากกระทรวงกลาโหมสยาม [[สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ|กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ]]ทรงกริ้วและเรียกตัวนักเรียนทั้งหมดกลับ<ref name="Nret" /> |
||
บรรทัด 142: | บรรทัด 142: | ||
== อนุสรณ์ == |
== อนุสรณ์ == |
||
ภายหลังการอสัญกรรม ได้มีการเปลี่ยนชื่อถนนตามนามสกุลของท่าน คือ [[ถนนพหลโยธิน]] และมีการสร้าง[[โรงพยาบาล]]และใช้ชื่อเป็นการระลึกถึงท่าน คือ [[โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา]] ที่[[จังหวัดกาญจนบุรี]]ซึ่ง |
ภายหลังการอสัญกรรม ได้มีการเปลี่ยนชื่อถนนตามนามสกุลของท่าน คือ [[ถนนพหลโยธิน]] และมีการสร้าง[[โรงพยาบาล]]และใช้ชื่อเป็นการระลึกถึงท่าน คือ [[โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา]] ที่[[จังหวัดกาญจนบุรี]]ซึ่งท่านถือจากว่าจังหวัดกาญจนบุรีเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมี[[สะพานพหลพลพยุหเสนา]] ใน[[เทศบาลเมืองกาญจนบุรี]]และปัจจุบัน มีการสร้างพิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา อยู่ภายใน[[ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธิน]] หมู่ที่ 7 ตำบลเขาพระงาม [[อำเภอเมืองลพบุรี|อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี]] ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของท่านมาก่อนในขณะเป็นผู้บังคับบัญชา ภายในรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ [[ประติมากรรม|รูปปั้น]] ชุดเครื่องแบบ ตลอดจนรูปถ่าย จดหมายลายมือของท่าน และบัตรประจำตัว เพื่อเป็นแหล่งศึกษาชีวประวัติและเชิดชูเกียรติของท่าน ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัด<ref>[http://library.tru.ac.th/il/lptupp04.html พิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา]</ref> |
||
== ครอบครัว == |
== ครอบครัว == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:22, 28 ธันวาคม 2564
บทความนี้ต้องการข้อความอธิบายความสำคัญที่กระชับ และสรุปเนื้อหาไว้ย่อหน้าแรกของบทความ |
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) | |
---|---|
พระยาพหลพลพยุหเสนา ใน พ.ศ. 2483 | |
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 2 | |
ดำรงตำแหน่ง 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระอัฐมรามาธิบดินทร |
ก่อนหน้า | พระยามโนปกรณ์นิติธาดา |
ถัดไป | หลวงพิบูลสงคราม |
ผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 11 | |
ดำรงตำแหน่ง 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 – 4 มกราคม พ.ศ. 2481 | |
ก่อนหน้า | พลเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร |
ถัดไป | พลเอก หลวงพิบูลสงคราม |
ดำรงตำแหน่ง 25 สิงหาคม พ.ศ. 2487 – 29 มีนาคม พ.ศ. 2489 | |
ก่อนหน้า | หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต |
ถัดไป | อดุล อดุลเดชจรัส |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | |
ดำรงตำแหน่ง 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 – 29 มีนาคม พ.ศ. 2477 | |
นายกรัฐมนตรี | ตนเอง |
ก่อนหน้า | พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ |
ถัดไป | หลวงประดิษฐ์มนูธรรม |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | |
ดำรงตำแหน่ง 1 เมษายน พ.ศ. 2477 – 22 กันยายน พ.ศ. 2477 | |
นายกรัฐมนตรี | ตนเอง |
ก่อนหน้า | พระยาประเสริฐสงคราม |
ถัดไป | หลวงพิบูลสงคราม |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | |
ดำรงตำแหน่ง 22 กันยายน พ.ศ. 2477 – 1 สิงหาคม พ.ศ. 2478 | |
นายกรัฐมนตรี | ตนเอง |
ก่อนหน้า | พระยาอภิบาลราชไมตรี |
ถัดไป | พระยาศรีเสนา |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | |
ดำรงตำแหน่ง 1 สิงหาคม พ.ศ. 2478 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2479 | |
นายกรัฐมนตรี | ตนเอง |
ก่อนหน้า | พระยามานวราชเสวี |
ถัดไป | พระยาไชยยศสมบัติ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ | |
ดำรงตำแหน่ง 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480 – 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 | |
นายกรัฐมนตรี | ตนเอง |
ก่อนหน้า | พระยาฤทธิอัคเนย์ |
ถัดไป | พระยาฤทธิอัคเนย์ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ | |
ดำรงตำแหน่ง 29 มีนาคม พ.ศ. 2476 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 | |
นายกรัฐมนตรี | ตนเอง |
ก่อนหน้า | เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี |
ถัดไป | พระสารสาสน์ประพันธ์ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 29 มีนาคม พ.ศ. 2430 เมืองพระนคร ประเทศสยาม |
เสียชีวิต | 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 (59 ปี) วังปารุสกวัน จังหวัดพระนคร ประเทศไทย[1] |
คู่สมรส | คุณหญิงพิจ พหลพลพยุหเสนา (หย่า) ท่านผู้หญิงบุญหลง พหลพลพยุหเสนา |
บุตร | 7 คน |
ลายมือชื่อ | ไฟล์:ลายเซ็นพระยาพหลพลพยุหเสนา.png |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ปรัสเซีย ไทย ไทย |
สังกัด | กองทัพปรัสเซีย กองทัพบกไทย กองทัพไทย |
ประจำการ | พ.ศ. 2453–2455 (ปรัสเซีย)[ต้องการอ้างอิง] พ.ศ. 2454-2490 (ไทย) |
ยศ | พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก |
บังคับบัญชา | กองทัพบกไทย |
ผ่านศึก | สงครามโลกครั้งที่ 2[2] |
พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นามเดิม พจน์ พหลโยธิน เป็นนายทหารปืนใหญ่ รัฐบุรุษ และนายกรัฐมนตรีไทยคนที่สอง เป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือผู้ก่อการปฏิวัติสยามใน พ.ศ. 2475 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเป็นผู้นำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)
พระยาพหลพลพยุหเสนาขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีชีวิตเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง เขาเป็นนายกรัฐมนตรีสามสมัย และลาออกจากตำแหน่งเมื่อรัฐบาลแพ้เสียงในสภา เป็นผู้นำคณะราษฎรที่เป็นที่ยอมรับของทุกสายช่วยประสานงานระหว่างฝ่ายพลเรือนและทหาร และมือสะอาด แม้มีโอกาสมากมายที่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวแต่ก็ไม่เคยฉกฉวยโอกาสเหล่านั้น ยามที่เขาถึงแก่อสัญกรรมพบว่าครอบครัวเขาไม่มีเงินพอจัดพิธีศพ และได้รับสมญานามว่า เชษฐบุรุษประชาธิปไตย[3]
ปฐมวัย
พจน์ พหลโยธิน เกิดที่จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร) เป็นบุตรพระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม พหลโยธิน) ชาวไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว [4] มหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มารดาเป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ ชื่อว่านางจับ ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ห้าของนายกิ่ม ภายหลังบิดาถึงแก่อนิจกรรม ท่านก็อยู่ภายใต้การอุปการะของพี่ชายต่างมารดาที่ชื่อนพ (ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาพหลโยธินรามนิทราภักดี)
เมื่ออายุราวแปดขวบ บิดาพาไปฝากเรียนกับขุนอนุกิจวัตร ครูใหญ่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลลัย (ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดพิชัยญาติ) ต่อมาในพ.ศ. 2444 พี่ชายที่เป็นทหารได้ฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก[5][3] พจน์สอบได้อับดับหนึ่งในชั้นห้า จึงได้รับเลือกศึกษาวิชาทหารที่จักรวรรดิเยอรมันในปี พ.ศ. 2447 พจน์เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมนายร้อยในเมืองพ็อทซ์ดัมเป็นเวลาหนึ่งปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยปรัสเซียในกรุงเบอร์ลินอีกสองปี[6] ซึ่งที่นี่ พจน์และนักเรียนไทยหลายคนได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับแฮร์มัน เกอริง กับฮิเดกิ โทโจ[7]
ราชการทหาร
เมื่อจบการศึกษาใน พ.ศ. 2453 พจน์เข้ารับราชการทหารนายสิบในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ของกองทัพเยอรมัน
ระหว่างนี้ได้รับยศร้อยตรีของสยามในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2454 และต่อมาในปีพ.ศ. 2455 พจน์เดินทางจากเยอรมนีไปศึกษาวิชาช่างแสงทหาร ณ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แต่กลับถูกเรียกตัวกลับก่อนเรียนจบ เนื่องจากนักเรียนทหารในเดนมาร์กเรียกร้องขึ้นเบี้ยหวัดจากกระทรวงกลาโหมสยาม กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทรงกริ้วและเรียกตัวนักเรียนทั้งหมดกลับ[5]
เมื่อกลับมาถึงสยามในกลางปี พ.ศ. 2457 พจน์ได้เลื่อนเป็นร้อยโทและเข้าประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 จังหวัดราชบุรี ราวปี พ.ศ. 2459 ได้เป็นผู้บังคับการกองร้อยที่ 2 กรมทหารปืนใหญ่บางซื่อ ในปีถัดมาได้เป็นผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 9 จังหวัดฉะเชิงเทรา[8] (ยศร้อยเอก) ปีถัดมาได้บรรดาศักดิ์เป็น หลวงสรายุทธ์สรสิทธิ์ ตำแหน่งผู้บังคับการทหารบกปืนใหญ่ที่ 2 จังหวัดพระนคร[9] และในปีพ.ศ. 2462 ได้สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ทหารบก กระทรวงกลาโหม และได้รับมอบหมายให้เดินทางไปตรวจรับปืนใหญ่และดูกิจการทหารในจักรวรรดิญี่ปุ่น ปรากฏว่าพจน์ปฏิบัติงานได้ดีเยี่ยมจนได้รับพระราชทานตราตั้งจากจักรพรรดิไทโชเป็นเกียรติยศสำหรับตนเองและประเทศชาติ เมื่อกลับมาสยามได้เลื่อนเป็นพันตรี และเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งขึ้นตามลำดับ
พ.ศ. 2473 เขาเป็นตำแหน่งจเรทหารปืนใหญ่ในยศพันเอก มีหน้าที่ตรวจการและให้ความรู้แก่เหล่าทหารปืนใหญ่ในกรมกอง ในช่วงนี้เขาเห็นว่าบรรดาเสนาบดีและทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้านั้นต่างยึดความคิดตนเองเป็นใหญ่ ไม่คิดจะฟังความคิดเห็นของทหารสามัญชน[10] เขาได้คัดค้านการปืนสโตร๊กบันของฝรั่งเศสเพราะเห็นว่าเป็นปืนเก่าล้าสมัย แต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้ากลับดีเห็นงามกับการซื้อปืนชนิดนี้[10]
การปฏิวัติสยาม
พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือร่วมกับพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนของการวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น พระยาพหลฯ รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้ฉลาดที่สุดในกลุ่ม จึงให้พระยาทรงสุรเดชเป็นผู้อำนวยการฝ่ายทหาร รับผิดชอบวางแผนก่อการทั้งหมด ส่วนตัวเขาจะขอเป็นเพียงผู้นำไปปฏิบัติ
ก่อนก่อการ พระยาพหลพลพยุหเสนาได้กล่าวกับภรรยาไว้ว่า "...การที่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ ก็มิได้แน่ใจว่าจะทำสำเร็จดอก มองเห็นข้างศีรษะจะหลุดจากบ่านั้นมากกว่า แต่ที่เห็นแน่ตระหนักในใจก็คือ ถ้าไม่เร่งรัดจัดเปลี่ยนระบอบการปกครองเสียในเวลานี้แล้ว ต่อไปภายหน้าบ้านเมืองก็คงจะประสบแต่ความหายนะถึงล่มจมลงไปเป็นแน่..."[10] แล้วจึงออกจากบ้านไปพร้อมกับพระประศาสน์พิทยายุทธที่ขับรถมารับ มุ่งหน้าไปยังตำบลนัดพบ คือ บริเวณทางรถไฟสายเหนือตัดกับถนนประดิพัทธ์ ในเวลา 05.00 น. เพื่อสมทบกับกลุ่มของพระยาทรงสุรเดช พร้อมกับเหน็บปืนพกโคลต์รีวอลเวอร์ที่เอวเป็นอาวุธข้างกาย ก่อนที่จะเดินทางไปที่กรมทหารม้าที่ 1 เกียกกาย เพื่อลวงเอากำลังทหารและยุทโธปกรณ์มาใช้ในการปฏิวัติตามแผนของพระยาทรงสุรเดช ซึ่งที่คลังแสงภายในกรมทหารแห่งนี้ พระยาพหลฯ เป็นผู้ใช้คีมตัดเหล็กทำการตัดโซ่ที่คล้องประตูคลังแสง เพื่อขนกระสุนและปืนออกมา[11] ระหว่างนี้ พระประศาสน์ฯ ตรงไปเอารถเกราะออกจากโรงรถทหารอย่างเร่งรีบ[12]
เมื่อทหารทุกหน่วยมาพร้อมที่ลานพระบรมรูปแล้ว เวลาเจ็ดนาฬิกาเศษ พระยาพหลฯ เชิญนายทหารสัญญาบัตรมารายล้อม ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีข้อความภาษาเยอรมัน แต่อ่านออกมาเป็นภาษาไทยด้วยน้ำเสียงแตกพร่าว่า[13] "บัดนี้คณะราษฎรอันประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ได้พร้อมใจกันเข้ายึดอำนาจการปกครองไว้แล้วโดยเด็ดขาด เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเยี่ยงนานาอารยประเทศทั้งหลาย..."[12] จากนั้นจึงนำกำลังเข้ายึดพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นกองบัญชาการ การปฏิวัติสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยในเวลาราวเที่ยงวัน
บทบาททางการเมือง
เมื่อท่านต้องรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ 2 ของประเทศ แทนที่พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ที่ถูกรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 การทำหน้าที่ของท่านไม่ราบรื่น เนื่องด้วยประสบกับปัญหาหลายด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง รวมทั้งการสงคราม ที่กำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ขึ้น ทำให้ท่านต้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันถึง 3 สมัย จากนั้นก็ลงจากตำแหน่ง แล้วเข้ามาเป็นรัฐมนตรีอีก 3 กระทรวง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในปี พ.ศ. 2477 รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี พ.ศ. 2478 จากนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ผันผวนทางการเมือง ท่านก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมัยที่ 4 โดยนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ หลังจากนั้น ก่อนจะเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 5 วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 และลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 และยุติบทบาททางการเมืองไป ซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อมาก็คือหลวงพิบูลสงคราม นายทหารรุ่นน้องที่ท่านไว้ใจนั่นเอง
พระยาพหลพลพยุหเสนาได้รับพระราชทานวังปารุสกวัน จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นที่พำนัก แม้ถึงตอนที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ซึ่งท่านได้ใช้ที่นี่เป็นที่พำนักพักอาศัยตราบจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต[1]
พระยาพหลพลพยุหเสนา มีคติประจำใจว่า "ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชาย ต้องไว้ชื่อ" ชีวิตของท่านไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมายเลยแม้จะผ่านตำแหน่งสำคัญ ๆ มามากก็ตาม[1] ใน พ.ศ. 2487 ระหว่างปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ในรัฐบาลพันตรีควง อภัยวงศ์ ที่ขึ้นมาแทนที่รัฐบาลของจอมพลแปลก ที่ได้ลาออกไปก่อนหน้านั้น เมื่อรัฐบาลมีมติปลด จอมพลแปลก ออกจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ (ปัจจุบันคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด) ก็ได้ขอให้ท่านรับตำแหน่งนี้เอาไว้ ทั้งที่ท่านประกาศไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแล้ว ประกอบกับร่างกายที่เป็นอัมพาตจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก แต่ท่านก็รับไว้ในที่สุด แม้จะปรารภว่าจะให้เป็นท่านเป็นแม่ทัพกล้วยปิ้งหรืออย่างไร อีกทั้งระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพันตรีควง ในช่วงนี้ เป็นที่หวาดวิตกว่า อาจมีรัฐประหาร ด้วยกำลังทหารจากจังหวัดลพบุรี ที่ยังให้การสนับสนุนจอมพลแปลกอยู่ เพื่อยุติภาวะอันนี้ พันตรีควง จึงตัดสินใจเดินทางไปพบจอมพลแปลกด้วยตัวเองถึงที่บ้านพักส่วนตัว ภายในศูนย์การทหารปืนใหญ่ จังหวัดลพบุรี หลังจากเจรจากันแล้ว จอมพลแปลกได้ยืนยันว่า ไม่มีความคิดเช่นนั้นเลย อีกทั้งยังมีความรักใคร่ พันตรีควง เสมือนเป็นน้องชายตนเอง ในการครั้งนี้ ด้วยความเป็นห่วงพันตรีควง พระยาพหลพลพยุหเสนาได้โทรศัพท์ไปสอบถามถึงบ้านพักของพันตรีควงถึง 2 ครั้ง เมื่อไม่ได้ความ ก็เดินทางออกจากวังปารุสกวันไปที่หลักสี่เพื่อรอคอยการกลับมาของพันตรีควงด้วยตนเอง ทั้งที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย [2]
พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคอัมพาตเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2488 เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก แต่ด้วยความสามารถของนายแพทย์และด้วยกำลังใจอันเข้มแข็ง ท่านได้ต่อสู้โรคร้ายมาตลอดราว 2 ปีเศษ จนเมื่อเวลา 21.40 น. ของคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2490 ได้เกิดอาการหายใจลึกและสะท้อน ชีพจรอ่อน พูดไม่ได้ มีเสมหะในลำคอมาก ม่านตาไม่ขยาย อาการทรุดลงตามลำดับ จนถึงเวลา 3.05 น. ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ก็ได้ถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 59 ปี 322 วัน นายแพทย์พร้อมกันลงความเห็นว่าเส้นโลหิตในสมองได้แตกอีกเป็นครั้งที่ 2 จึงเป็นเหตุให้ถึงแก่อสัญกรรม[14] ซึ่งงานศพของท่านทางครอบครัวไม่มีเงินเพียงพอที่จะจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ จนทางรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ต้องเข้ามารับอุปถัมภ์ จัดการงานพระราชทานเพลิงให้ท่านแทน[1] ศพของพระยาพหลฯ ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วังปารุสกวันและพระราชทานเพลิงศพที่วัดเบญจมบพิตร เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2490 ซึ่งเป็นวัดที่ท่านอยู่จำศีลภาวนาเมื่อคราวอุปสมบท
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อนุสรณ์
ภายหลังการอสัญกรรม ได้มีการเปลี่ยนชื่อถนนตามนามสกุลของท่าน คือ ถนนพหลโยธิน และมีการสร้างโรงพยาบาลและใช้ชื่อเป็นการระลึกถึงท่าน คือ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ที่จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งท่านถือจากว่าจังหวัดกาญจนบุรีเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีสะพานพหลพลพยุหเสนา ในเทศบาลเมืองกาญจนบุรีและปัจจุบัน มีการสร้างพิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา อยู่ภายในศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธิน หมู่ที่ 7 ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของท่านมาก่อนในขณะเป็นผู้บังคับบัญชา ภายในรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ รูปปั้น ชุดเครื่องแบบ ตลอดจนรูปถ่าย จดหมายลายมือของท่าน และบัตรประจำตัว เพื่อเป็นแหล่งศึกษาชีวประวัติและเชิดชูเกียรติของท่าน ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัด[15]
ครอบครัว
พระยาพหลพลพยุหเสนา สมรสครั้งแรกกับ คุณหญิงพิศ แต่ไม่มีบุตร-ธิดาด้วยกัน ต่อมาได้สมรสครั้งที่สองกับบุญหลง ธนะโสภณ มีบุตร-ธิดา รวม 7 คน คือ
- นางสาวภาพร พลพยุหเสนา
- นางพรจันทร์ ศรีพจนารถ
- พลตรี ชัยจุมพล พลพยุหเสนา
- พันตรี พุทธินาถ พลพยุหเสนา
- นางพจี พหลโยธิน สุทธินาค
- นางพวงแก้ว สาตรปรุง
- พันตำรวจโท พรหมธรมหัชชัย พลพยุหเสนา
เกียรติยศ
ยศทหาร
- 23 มกราคม พ.ศ. 2454: นายร้อยตรี[16]
- 11 สิงหาคม พ.ศ. 2457: นายร้อยโท[17]
- 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2459: นายร้อยเอก[18]
- 21 เมษายน พ.ศ. 2462: นายพันตรี[19]
- 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2466: นายพันโท[20]
- 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2471: นายพันเอก[21]
- 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2480: นาวาเอก นาวาอากาศเอก[22]
- 1 เมษายน พ.ศ. 2482: พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี
- 19 มิถุนายน พ.ศ. 2484: พลโท[23]
- 21 ธันวาคม พ.ศ. 2485: พลเอก[24]
- 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486: พลเรือเอก พลอากาศเอก[25]
บรรดาศักดิ์
- 20 เมษายน พ.ศ. 2461: หลวงสรายุทธ์สรสิทธิ์[26]
- 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2467: พระสรายุทธ์สรสิทธิ์[27]
- 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474: พระยาพหลพลพยุหเสนา[28]
- 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2485: ประกาศยกเลิกบรรดาศักดิ์[29]
- 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488: คืนบรรดาศักดิ์ พระยาพหลพลพยุหเสนา
ตำแหน่ง
- 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 - ผู้บังคับการกรมทหารบกปืนใหญ่ที่ 9[30]
- เมษายน พ.ศ. 2462 - ผู้บังคับการกรมทหารบกปืนใหญ่ที่ 2[31]
- 10 มกราคม พ.ศ. 2463 - ประจำกรมจเรการปืนใหญ่ทหารบก[32]
เครื่องอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
- พ.ศ. 2486 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายหน้า)[33]
- พ.ศ. 2480 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[34]
- พ.ศ. 2472 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)[35]
- พ.ศ. 2484 – เหรียญชัยสมรภูมิ สงครามอินโดจีน (ช.ส.)[36]
- พ.ศ. 2477 – เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (พ.ร.ธ.)[37]
- พ.ศ. 2477 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน (ร.ด.ม.(ผ))[38]
- พ.ศ. 2486 – เหรียญช่วยราชการเขตภายใน การรบสงครามมหาเอเชียบูรพา (ช.ร.)[39]
- พ.ศ. 2470 – เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)[40]
- พ.ศ. 2472 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 4 (ป.ป.ร.4)[41]
- พ.ศ. 2481 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 1 (อ.ป.ร.1)[42]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
- ญี่ปุ่น : พ.ศ. 2485 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นสูงสุด มงกุฎพอโลเนีย[43]
- ไรช์เยอรมัน : พ.ศ. 2482 - เครื่องอิสริยาภรณ์อินทรีเยอรมันพร้อมดารา[44]
- เนเธอร์แลนด์ : พ.ศ. 2473 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซา ชั้นที่ 3 เจ้าพนักงาน[45]
ตำแหน่งทางวิชาการ
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 ส.พลายน้อย. พระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีผู้ซื่อสัตย์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2555. 137 หน้า. ISBN 9740208754
- ↑ 2.0 2.1 จรี เปรมศรีรัตน์. กำเนิดพรรคประชาธิปัตย์ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 : 61 ปีประชาธิปัตย์ยังอยู่ยั้งยืนยง. นนทบุรี : ใจกาย, 2552. 323 หน้า. ISBN 9789747046724
- ↑ 3.0 3.1 “เชษฐบุรุษ” พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) พ.ศ. 2430-90 ศิลปวัฒนธรรม. 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
- ↑ "ประวัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-14. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
- ↑ 5.0 5.1 นเรศ นโรปกรณ์, 100 ปี พระยาพหลฯกรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2531), 17.
- ↑ ย้อนราก “3 ทหารเสือ” คณะราษฎร ผลผลิตจากโรงเรียนนายร้อยเยอรมนี ศิลปะวัฒนธรรม. 25 มีนาคม พ.ศ. 2563
- ↑ Judith A. Stowe: Siam Becomes Thailand. A Story of Intrigue. C. Hurst & Co., London 1991, ISBN 0-82481-393-6, S. 370.
- ↑ แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่อง เลื่อนย้ายนายทหารรับราชการกับออกจากประจำการ (หน้า ๑๓๐๐) ราชกิจจานุเบกษา
- ↑ แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่อง ย้ายนายทหารรับราชการ (หน้า ๓๖๓๘) ราชกิจจานุเบกษา
- ↑ 10.0 10.1 10.2 กุหลาบ สายประดิษฐ์, เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์บูรพาแดง, 2518)
- ↑ 24 มิถุนายน (6) จากเดลินิวส์ โดย นรนิติ เศรษฐบุตร รศ.
- ↑ 12.0 12.1 หลอกทหารมาปฏิวัติ 2475 แผนการลวงของพระยาทรงสุรเดช ศิลปวัฒนธรรม. 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563
- ↑ นายหนหวย. ทหารเรือปฏิวัติ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, พฤศจิกายน 2555 (พิมพ์ครั้งที่ 3). 124 หน้า. ISBN 9789740210252
- ↑ หนังสือ 111ปี ฯพณฯ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เชษฐบุรุษ พิมพ์ครั้งที่1 กันยายน 2552 หน้าที่ 90-91
- ↑ พิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
- ↑ พระราชทานยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา
- ↑ ตั้งตำแหน่งยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา
- ↑ พระราชทานยศนายทหารบก ราชกิจจานุเบกษา. 4 มิถุนายน 2459
- ↑ พระราชทานยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา. 27 เมษายน 2462
- ↑ พระราชทานยศทหารและข้าราชการในกระทรวงกลาโหม ราชกิจจานุเบกษา. 20 พฤษภาคม 2466
- ↑ พระราชทานยศ
- ↑ ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ พระราชทานยศทหาร ราชกิจจานุเบกษา. 1 มกราคม 2486
- ↑ พระราชทานยศทหาร ราชกิจจานุเบกษา. 23 พฤศจิกายน 2486
- ↑ "พระราชทานตั้งเลื่อนบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 35: 208. 28 เมษายน 2461. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2563.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระราชทานบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 41 (ง): 1244. 20 กรกฎาคม 2467. สืบค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2559.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 48 (ง): 3011. 15 พฤศจิกายน 2474. สืบค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2559.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศเรื่อง การยกเลิกบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 48 (33ก): 1089. 15 พฤษภาคม 2485. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2563.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่องเลื่อนย้ายนายทหารรับราชการกับออกจากประจำการ (หน้า ๑๓๐๐)
- ↑ แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่องย้ายนายทหารรับราชการ (หน้า ๓๖๓๘)
- ↑ แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่องเลื่อนย้ายนายทหารรับราชการ
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๔๙ ง หน้า ๓๐๓๐, ๑๘ กันยายน ๒๔๘๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๑๒, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๘๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญ, เล่ม ๔๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๒๒, ๑ ธันวาคม ๒๔๗๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิและเครื่องหมายเปลวระเบิดสำหรับผู้กระทำความชอบได้รับบาดเจ็บ, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๘๑๐, ๑๕ เมษายน ๒๔๘๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ พระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ, เล่ม ๕๑ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๐๗๙, ๓๐ กันยายน ๒๔๗๗
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน, เล่ม ๕๑ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๑๕๖, ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๗๗
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๔๓ ง หน้า ๒๕๙๐, ๑๗ สิงหาคม ๒๔๘๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ส่งเหรียญจักรมาลาไปพระราชทาน, เล่ม ๔๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๑๐๕, ๒๕ ธันวาคม ๒๔๗๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๓๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๒๗๗, ๖ มีนาคม ๒๔๗๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๕๙, ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๙ ตอนที่ ๔๑ ง หน้า ๑๖๒๖, ๒๓ มิถุนายน ๒๔๘๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๖๓๐, ๑๘ มีนาคม ๒๔๘๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาต ประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๓๓๙, ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๗๓
- ↑ ตำแหน่งทางวิชาการ ศาสตราจารย์ธรรมศาสตร์
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2430
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2490
- พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
- นายกรัฐมนตรีไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทย
- รัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบแต่งตั้ง
- บรรดาศักดิ์ชั้นพระยา
- นายพลชาวไทย
- ผู้บัญชาการทหารบกของกองทัพไทย
- สมาชิกคณะราษฎร
- ผู้นำที่ได้อำนาจจากรัฐประหาร
- ชาวไทยเชื้อสายแต้จิ๋ว
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.จ. (ฝ่ายหน้า)
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.ม.
- ผู้ได้รับเหรียญ ร.ด.ม.(ผ)
- ผู้ได้รับเหรียญจักรมาลา
- ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ อ.ป.ร.1
- บุคคลจากกรุงเทพมหานคร
- ศาสตราจารย์พิเศษ
- สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1