ใหญ่ ศวิตชาติ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ใหญ่ ศวิตชาติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ดำรงตำแหน่ง
14 มีนาคม พ.ศ. 2518 – 8 มกราคม พ.ศ. 2519
นายกรัฐมนตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
ก่อนหน้าเทียม ไชยนันทน์
ถัดไปบุญเท่ง ทองสวัสดิ์
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
ดำรงตำแหน่ง
30 กันยายน พ.ศ. 2498 – 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2511 – 26 กันยายน พ.ศ. 2513
ก่อนหน้าชวลิต อภัยวงศ์
ถัดไปธรรมนูญ เทียนเงิน
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด7 ตุลาคม พ.ศ. 2450
อำเภออุไทยเก่า จังหวัดอุทัยธานี
เสียชีวิต12 มกราคม พ.ศ. 2525 (74 ปี)
คู่สมรสเจริญใจ ศวิตชาติ

ใหญ่ ศวิตชาติ (7 ตุลาคม พ.ศ. 245012 มกราคม พ.ศ. 2525) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ 8 สมัย

ประวัติ[แก้]

นายใหญ่ ศวิตชาติ เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2450 ที่หมู่ 2 ตำบลหนองนางนวล อำเภออุไทยเก่า (ปัจจุบันคือ อำเภอหนองฉาง) จังหวัดอุทัยธานี เป็นบุตรชายของนายขาว และนางเปี่ยม ขามเทศ ต่อมาจึงได้เปลี่ยนนามสกุลมาเป็น "ศวิตชาติ" สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดหนองกระทุ่ม อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี และสำเร็จการศึกษาวิชาครูมูล จากโรงเรียนฝึกหัดครูจังหวัดนครสวรรค์ และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง จนสำเร็จการศึกษาธรรมศาสตร์บัณฑิตเมื่อปี พ.ศ. 2481 ชีวิตครอบครัว สมรสกับนางเจริญใจ ศวิตชาติ

การทำงาน[แก้]

นายใหญ่เริ่มเข้ารับราชการเป็นครูที่โรงเรียนประจำอำเภอหนองฉาง และต่อมาได้สอบได้เป็นปลัดอำเภอ ประจำอยู่ที่อำเภอลาดยาว และอำเภอเมืองนครสวรรค์ จากนั้นได้เข้ารับราชการเป็นตำรวจ ในยศร้อยตำรวจตรี (ร.ต.ต.) ต่อมาได้ย้ายกลับมาเป็นนายอำเภอลาดยาวอีกครั้ง แล้วจึงย้ายไปเป็นนายอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนที่จะย้ายไปเป็นนายอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม

งานการเมือง[แก้]

นายใหญ่ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ครั้งแรก ในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2487 ซึ่งตรงกับสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยการแทนที่ขุนอนุกูลประชากร ผู้แทนราษฎรคนเก่าที่เสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยเหตุระเบิดที่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง และได้รับเลือกเรื่อยมา จนถึง พ.ศ. 2519 รวม 8 สมัย

นายใหญ่ ถือเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรฝีปากกล้า เพียงรับตำแหน่งเพียงสมัยเดียวก็อภิปรายรัฐบาลในรัฐสภาจนเป็นที่ประจักษ์ ในที่สุดเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่ง และเป็นนายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อมา นายใหญ่จึงได้รับตำแหน่งทางการเมืองเพิ่มเติมด้วยการเป็นเลขานุการรัฐมนตรี และได้เข้าร่วมรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ในสมัยต่อมาด้วยการเป็นรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงคมนาคม เมื่อรัฐบาลนายควงสิ้นสุดลง นายใหญ่จึงรวมกับนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง เช่น นายเลียง ไชยกาล, นายฟอง สิทธิธรรม, นายสมบุญ ศิริธร ร่วมกันก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมา ในปี พ.ศ. 2489 โดยมีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค และม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรองหัวหน้าพรรค โดยนายใหญ่เป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย ในปี พ.ศ. 2489 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ในรัฐบาลองนายควง อภัยวงศ์[1]

ต่อมาหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 นายใหญ่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์อยู่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เมื่อได้มีกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาอย่างเป็นทางการ นายใหญ่จึงได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ โดยบทบาทของผู้เป็นเลขาธิการพรรคในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องต่อสู้กับพรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่างเข้มข้น ในฐานะเลขาธิการพรรค นายใหญ่ได้เดินทางไปช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียงตามจังหวัดต่าง ๆ ตลอดจนคัดเลือกผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ทำให้เป็นที่รู้จักของผู้คนมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางการทุจริตการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง อันเป็นเหตุที่ทำให้มีการรัฐประหารในปีเดียวกัน ซึ่งทำให้ไม่มีพรรคการเมืองและสภาผู้แทนราษฎรไปนานถึง 11 ปี

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2512 เมื่อนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรกถึงแก่กรรม ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรคให้เป็นหัวหน้าพรรคต่อ นายใหญ่ก็ได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคต่อมาอีกด้วย[2]

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นายใหญ่ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในปีเดียวกัน[3] และต่อมาในปี พ.ศ. 2517 ก็ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมกับม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนแรก ก่อตั้งพรรคกิจสังคมขึ้นมา และได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อปี พ.ศ. 2518[4]

นายใหญ่ ศวิตชาติ ยุติบทบาททางการเมืองลงอย่างสิ้นเชิงหลังแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2522[2]

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[แก้]

นายใหญ่ ศวิตชาติ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 8 สมัย คือ

  1. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2481 (เลือกตั้งซ่อม) จังหวัดนครสวรรค์
  2. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มกราคม พ.ศ. 2489 จังหวัดนครสวรรค์
  3. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2491 จังหวัดนครสวรรค์
  4. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 จังหวัดนครสวรรค์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์[5]
  5. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป ธันวาคม พ.ศ. 2500 จังหวัดนครสวรรค์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์[6]
  6. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2512 จังหวัดนครสวรรค์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
  7. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2518 จังหวัดนครสวรรค์ สังกัดพรรคกิจสังคม
  8. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2519 จังหวัดนครสวรรค์ สังกัดพรรคกิจสังคม

ถึงแก่อนิจกรรม[แก้]

ใหญ่ ศวิตชาติ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2525[2]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งและแต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน ๒๑ ราย)
  2. 2.0 2.1 2.2 หน้า 10 บทความ–การ์ตูน, ใหญ่ ศวิตชาติ : อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์. "ส่วนร่วมสังคมไทย" โดย นรนิติ เศรษฐบุตร. เดลินิวส์ฉบับที่ 24,368: วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 แรม 12 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก
  3. "พระบรมราชโองการ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-09-27. สืบค้นเมื่อ 2014-07-08.
  4. พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน ๒๖ ราย)
  5. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป
  6. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป พ.ศ. ๒๕๐๐ ครั้งที่ ๒
  7. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๙๒ ตอนที่ ๒๗๓ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๔๘, ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘
  8. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๗ ตอนที่ ๑๒๒ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๗๖๕, ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๓
  9. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๖๑ ตอนที่ ๓๓ ง หน้า ๙๕๑, ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๗