พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ)
พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) จ.ช., จ.ม. | |
---|---|
![]() | |
เกิด | 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 จังหวัดเพชรบุรี ราชอาณาจักรสยาม |
เสียชีวิต | 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476 (42 ปี) จังหวัดสระบุรี ประเทศสยาม |
บุตร | 4 คน |
พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม นามเดิม ดิ่น ท่าราบ เป็นนายทหารบกชาวไทย มีบทบาทสำคัญในฐานะแม่ทัพหน่วยล่วงหน้าและหน่วยระวังหลังของฝ่ายกบฏในเหตุการณ์กบฏบวรเดช
ประวัติ[แก้]
ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง[แก้]
พระยาศรีสิทธิสงคราม มีนามเดิมว่า ดิ่น ท่าราบ เกิดที่ตำบลท่าราบ จังหวัดเพชรบุรี ในครอบครัวชนชั้นกลางซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรม ดิ่นเป็นคนเรียนเก่ง สอบเข้านายร้อยทหารบก และจบการศึกษาได้ที่ 1 จึงได้ทุนการศึกษาไปศึกษาต่อที่จักรวรรดิเยอรมันรุ่นเดียวกับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ทั้งสามคนเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมนายร้อยในเมืองพ็อทซ์ดัมเป็นเวลาหนึ่งปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยปรัสเซียในกรุงเบอร์ลิน[1] ในช่วงนี้ทั้งสามคนสนิทสนมกันมากจนได้รับฉายาจากพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์ ว่าเป็น "สามทหารเสือ" เช่นเดียวกับสามทหารเสือในนวนิยายของอาแล็กซ็องดร์ ดูว์มา
ระหว่างที่อยู่ทวีปยุโรปนี้ ประยูร ภมรมนตรี เริ่มเป็นตัวกลางชักชวนบุคคลต่างๆให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ประยูรใช้เวลาตามจีบพระยาศรีสิทธิสงครามกว่าปีเศษจึงยอมร่วมมือ แต่มีเงื่อนไขว่าขอดูตัวผู้ที่จะเป็นหัวหน้าคณะก่อการเสียก่อน แต่เมื่อทราบผู้นำการก่อการคือสองเพื่อนสนิทของตน ดิ่นจึงขอถอนตัวโดยรับปากว่าจะไม่เอาความลับไปแพร่งพราย และจะติดตามดูอยู่จากวงนอกเท่านั้น[2]
ดิ่นอยู่ที่ยุโรปประมาณสิบปีแล้วจึงเดินทางกลับสยามและได้รับยศร้อยตรีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2457 และมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ตามลำดับ จนได้รับยศเป็นพันเอก เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2471 ขณะอายุได้ 37 ปี[3] แรกเป็นนายทหารประจำกรมเสนาธิการทหารบก ต่อมาได้เป็นหัวหน้าแผนกที่ 2 กรมเสนาธิการทหารบกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2473[4] และดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพที่ 1 ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน[5] พระศรีสิทธิสงครามได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2474[6] ขณะอายุได้ 40 ปี พระยาศรีสิทธิสงครามเคยออกความเห็นว่าระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นไม่เหมาะสมแก่ยุคสมัย สมควรเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรง
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง[แก้]
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาพหลพลพยุหเสนาชักชวนพระยาศรีสิทธิสงครามเข้าร่วมคณะราษฎร แต่พระยาศรีสิทธิฯก็ปฏิเสธไปเนื่องจากไม่ชอบวิธีการรุนแรงที่คณะราษฎรใช้เปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาทรงสุรเดชไม่พอใจจึงสั่งย้ายพระยาศรีสิทธิฯไปประจำกระทรวงธรรมการ นัยว่าเป็นการลงโทษ
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2476 พระยาพหลฯกับพระยาทรงฯทะเลาะกันเรื่องงานจนวังปารุสก์แทบแตก พระยาทรงสุรเดช, พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ), พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) ปรึกษากันแล้วเห็นว่าถ้ารับราชการแล้วต้องมาทะเลาะกันแบบนี้ก็ลาออกดีกว่า ทั้งสามพระยาจึงลาออก ส่งผลให้พระยาพหลฯต้องลาออกตามเพื่อรักษามารยาท นั่นทำให้ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลและกองทัพที่เคยเป็นของสี่เสือคณะราษฎรว่างลงทั้งหมด
นายกรัฐมนตรีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาปรึกษากับพันโทหลวงพิบูลสงคราม ได้ข้อสรุปว่าจะให้พันโทประยูรไปเชิญพลตรีพระยาพิไชยสงครามมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก, เชิญพันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามมาเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก ส่วนตัวหลวงพิบูลจะขอเป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พระยาพหลฯไม่คัดค้านจึงเป็นอันตกลงกันได้ ในที่สุดก็มีพระบรมราชานุญาติให้สี่ทหารเสือลาออกในวันที่ 18 มิถุนายน[7] และจะมีผลในวันที่ 24 มิถุนายน ระหว่างนี้ให้บุคลลที่จะได้รับแต่งตั้งรักษาราชการในตำแหน่งที่ว่างลงไปพลางก่อน
เมื่อกลับสู่กองทัพ พระยาศรีสิทธิสงครามเตรียมโยกย้ายนายทหารสายคณะราษฎรทั้งหมดออกจากตำแหน่งคุมกำลังพล การข่าวเรื่องนี้หลุดไปถึงหลวงพิบูลสงคราม ทำให้ในวันที่ 20 มิถุนายน พระยาพหลฯ หลวงพิบูลฯ และหลวงศุภชลาศัย ชิงก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณนิติธาดา หลวงพิบูลบอกพันโทประยูรว่า "ประยูร จำเป็นต้องทำ ไม่มีทางเลี่ยง เพราะเจ้าคุณศรีสิทธิสงครามเล่นไม่ซื่อหักหลัง เตรียมสั่งย้ายนายทหารผู้กุมกำลังทั้งกองทัพ พวกก่อการจะถูกตัดตีนมือและถูกฆ่าตายในที่สุด"[2] ประยูรได้เขียนบันทึกไว้ว่า "ต่อมาอีก 2-3 วัน ท่านเจ้าคุณศรีสิทธิสงครามมาหาข้าพเจ้าที่บ้านบางซื่อ หน้าเหี้ยมเกรียม ตาแดงก่ำเป็นสายเลือด นั่งกัดกรามพูดว่าหลวงพิบูลสงครามเล่นสกปรก ท่านจะต้องกำจัด จะต้องฆ่าหลวงพิบูลสงคราม แต่จะต้องดูเหตุการณ์ไปก่อน ถ้าหลวงพิบูลล่วงเกินพระเจ้าแผ่นดินเมื่อใด ท่านเป็นลงมือเด็ดขาด..."[2] พระยาศรีสิทธิสงครามถูกโอนย้ายไปสังกัดกระทรวงธรรมการตามเดิม[8]
กบฏบวรเดช[แก้]
ในเหตุการณ์กบฏบวรเดชในเดือนตุลาคม 2476 พระยาศรีสิทธิสงครามเข้าร่วมด้วย มีฐานะเป็นแม่ทัพ รับหน้าที่เป็นกองระวังหลัง จนเมื่อทางฝ่ายกบฏเพลี่ยงพล้ำต่อรัฐบาล ในเวลาพลบค่ำของวันที่ 23 ตุลาคม ปีเดียวกัน พระยาศรีสิทธิสงครามถูกยิงเสียชีวิตใกล้กับที่สถานีรถไฟหินลับ จังหวัดสระบุรี โดยหน่วยของว่าที่ร้อยตรีตุ๊ จารุเสถียร จากนั้นร่างของพระยาศรีสิทธิสงครามได้ถูกส่งกลับกรุงเทพมหานคร โดยทำการฌาปนกิจอย่างเร่งด่วนที่วัดอภัยทายาราม หรือวัดมะกอก โดยที่ทางครอบครัวไม่ได้รับรู้มาก่อนเลย และกว่าจะได้อัฐิกลับคืนก็เป็นเวลาล่วงไป 3-4 ปีแล้ว อีกทั้งยังถูกคุกคามต่าง ๆ นานา ตลอดสมัยรัฐบาลหลวงพิบูลสงครามจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
ชีวิตส่วนตัว[แก้]
ชีวิตครอบครัวของพระยาศรีสิทธิสงคราม สมรสกับคุณหญิงศรีสิทธิสงคราม (ตลับ ท่าราบ - นามสกุลเดิม อ่ำสำราญ) มีบุตรธิดาทั้งหมด 4 คน ได้แก่ นางอัมโภช จุลานนท์ (มารดาของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์), แพทย์หญิงโชติศรี ท่าราบ, นางอารีพันธ์ ประยูรโภคราช และนายชัยสิทธิ์ ท่าราบ[9][10]
บรรดาศักดิ์[แก้]
- 20 เมษายน พ.ศ. 2461: หลวงศรีสิทธิสงคราม[11]
- 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2467: พระศรีสิทธิสงคราม[12]
- 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2474: พระยาศรีสิทธิสงคราม
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
- พ.ศ. 2472 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)[13]
- พ.ศ. 2465 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย (จ.ม.)[14]
- พ.ศ. 2470 –
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา (ร.ด.ม.(ศ))[15]
- พ.ศ. 2472 –
เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)[16]
- พ.ศ. 2466 –
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 4 (ว.ป.ร.4)[17]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ ย้อนราก “3 ทหารเสือ” คณะราษฎร ผลผลิตจากโรงเรียนนายร้อยเยอรมนี ศิลปะวัฒนธรรม. 25 มีนาคม พ.ศ. 2563
- ↑ 2.0 2.1 2.2 หนังสือที่ระลึกในงานพิธีพระราชทานเพลิงร้อยโทจงกล ไกรฤกษ์. หน้า 35-40
- ↑ พระราชทานยศ
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. เรื่องย้ายนายทหารรับราชการ
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่องเลื่อนและย้ายนายทหารรับราชการ
- ↑ พระราชทานบรรดาศักดิ์ (หน้า ๔๗๓)
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. ประกาศ เรื่อง ตั้งนายทหารรักษาราชการแทน เล่ม 50 หน้า 383
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. ประกาศ เรื่อง ตั้งนายทหารเข้าประจำการ เลื่อน ย้ายและปลดเป็นกองหนุน เล่ม 50 หน้า 925
- ↑ ‘เขา’ ชื่อ ‘พระยาศรี’
- ↑ 90ปี "โชติศรี ท่าราบ" จาก "หมอจิ๋ว" ลูกกบฏ สู่ "หมอเพลง บรรเลงภาษา" ผู้เลอค่าในแวดวงวรรณกรรม จากมติชน[ลิงก์เสีย]
- ↑ "พระราชทานตั้งเลื่อนบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 35: 208. 28 เมษายน 2461. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2563.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ "พระราชทานบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 41 (ง): 1244. 20 กรกฎาคม 2467. สืบค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2559.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๔๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๕๐๖, ๕ มกราคม ๒๔๗๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๓๙ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๒๐๘, ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญ, เล่ม ๔๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๕๖๘, ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๗๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญ, เล่ม ๔๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๖๘๙, ๑๙ มกราคม ๒๔๗๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญ, เล่ม ๔๐ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๔๓๐, ๗ มกราคม ๒๔๖๖
- บทความที่มีลิงก์เสียตั้งแต่สิงหาคม 2021
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2434
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2476
- รัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง
- ทหารบกชาวไทย
- บรรดาศักดิ์ชั้นพระยา
- บุคคลจากอำเภอเมืองเพชรบุรี
- บุคคลจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
- ชาวไทยที่ถูกลอบสังหาร
- เสียชีวิตจากอาวุธปืน
- กบฏบวรเดช
- บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์