กฤษณ์ สีวะรา
พลเอก กฤษณ์ สีวะรา | |
---|---|
![]() | |
ผู้บัญชาการทหารบก | |
ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2516 – 30 กันยายน พ.ศ. 2518 | |
ก่อนหน้า | จอมพลประภาส จารุเสถียร |
ถัดไป | พลเอก บุญชัย บำรุงพงศ์ |
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด | |
ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2517 – 30 กันยายน พ.ศ. 2518 | |
ก่อนหน้า | พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ |
ถัดไป | พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | |
ดำรงตำแหน่ง 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515 – 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 | |
ก่อนหน้า | พลโท พงษ์ ปุณณกันต์ |
ถัดไป | นายโอสถ โกศิน |
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ | |
ดำรงตำแหน่ง 9 มีนาคม พ.ศ. 2512 – 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 | |
ก่อนหน้า | นายทิม ภูริพัฒน์ |
ถัดไป | นายอภัย จันทวิมล |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | |
ดำรงตำแหน่ง 21 เมษายน พ.ศ. 2519 – 23 เมษายน พ.ศ. 2519 ( 0 ปี 2 วัน) | |
ก่อนหน้า | พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร |
ถัดไป | พลเอก ทวิช เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 27 มีนาคม พ.ศ. 2457 |
เสียชีวิต | 23 เมษายน พ.ศ. 2519 (62 ปี) โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า |
พรรคการเมือง | พรรคสหประชาไทย (2511 – 2514) |
คู่สมรส | คุณหญิงสุหร่าย สีวะรา |
การเข้าเป็นทหาร | |
ยศ | ![]() ![]() ![]() |
พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก กฤษณ์ สีวะรา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 19 ของไทย อดีตแม่ทัพภาคที่ 1 อดีตเลขาธิการคณะปฏิวัติผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ 14 ตุลา ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความสงบ[2] ภายหลังการลาออกจากทุกตำแหน่งและเดินทางออกนอกประเทศ ของจอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร พันเอกณรงค์ กิตติขจร
เนื้อหา
ประวัติช่วงต้น[แก้]
พล.อ.กฤษณ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2457 เป็นบุตรชายของร้อยตรีชิต และนางละมุล สีวะรา จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัย) และโรงเรียนเทพศิรินทร์ จากนั้นในปี พ.ศ. 2474 ได้เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบกด้วยการสอบได้เป็นที่หนึ่ง จบการศึกษาในปี พ.ศ. 2479 และได้รับพระราชทานยศร้อยตรีเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 โดยตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า บุญชุบ สีวะรา [3]
การทำงาน[แก้]
จากนั้นชีวิตราชการของ พล.อ.กฤษณ์เติบโตขึ้นมาเป็นลำดับในกองทัพภาคที่ 1 (และเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ด้วยในช่วงหนึ่ง) จนกระทั่งได้เป็นแม่ทัพภาคในปี พ.ศ. 2506 [4] และขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการทหารบกในปี พ.ศ. 2509 [5] จากนั้นในรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจรได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม[6] และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมตามลำดับและเป็นสมาชิกวุฒิสภาอีกตำแหน่งด้วย
ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อจากจอมพลประภาส จารุเสถียร ที่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพียงตำแหน่งเดียว [7]
พล.อ.กฤษณ์ เป็นบุคคลแรกในกองทัพที่ปฏิเสธไม่รับตำแหน่งจอมพลจนถือเป็นประเพณีปฏิบัติตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาเป็นต้นมาไม่มีการแต่งตั้งนายทหารยศจอมพลในประเทศไทยอีกโดยพลเอกกฤษณ์ขอรับพระราชทานแค่ยศ พลเรือเอก และ พลอากาศเอก พร้อมกับ พลเอก สุรกิจ มัยลาภ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2516 [8]
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา พล.อ.กฤษณ์ได้เป็นรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด จนกระทั่งเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2518 และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ในปี พ.ศ. 2519[9] แต่หลังจากรับตำแหน่งได้ไม่นาน ก็ถึงแก่อสัญกรรมอย่างกะทันหันที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2519 โดยสาเหตุการอสัญกรรมยังคงเป็นที่สงสัย เพราะก่อนหน้านั้น พล.อ.กฤษณ์ได้เล่นกอล์ฟและรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงเพียงเท่านั้น
พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา มีผลงานสำคัญในขณะดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2, ผู้บัญชาการทหารบกและรักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้พยายามมอบนโยบายแก่ผู้บังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 2 เพื่อหาทางวางกำลังทหารที่จังหวัดสกลนคร ทำให้มีหน่วยทหารเข้ามาตั้งในพื้นที่เพื่อทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายจนเป็นที่ยำเกรงของอริราชศัตรู ทำให้ประชาชนได้รับความอบอุ่นโดยทั่วกัน กองทัพบกจึงได้อนุมัติให้ตั้งชื่อค่ายกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 3 จังหวัดสกลนคร ว่า "ค่ายกฤษณ์สีวะรา" เพื่อเป็นอนุสรณ์
เหตุการณ์ 14 ตุลา[แก้]
พันเอกณรงค์ กิตติขจร กล่าวในปี พ.ศ. 2546 ว่า พล.อ.กฤษณ์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่นิสิต นักศึกษา และประชาชนในการชุมนุม แต่ก็เป็นการชี้แจงหลังเกิดเหตุมาเกือบ 30 ปี และเป็นการชี้แจงเพียงฝ่ายเดียวโดยที่ฝ่ายครอบครัวของทาง พล.อ.กฤษณ์มิได้มีโอกาสชี้แจงกลับ คำกล่าวของพ.อ.ณรงค์ ขัดแย้งกับ นายโอสถ โกศิน อดีตรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดกับ พล.อ.กฤษณ์ ซึ่งระบุว่า พล.อ.กฤษณ์ เป็นบุคคลสำคัญที่ไม่ยอมให้มีการปฏิบัติการขั้นรุนแรงแก่นักศึกษา อย่างไรก็ตามเขาเป็น ผู้อำนวยการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ในช่วงที่ 3 ทรราช ลี้ภัยไปต่างประเทศ โดยข้อเท็จจริงภายหลังเขาควบคุมสถานการณ์เหตุการณ์ก็เริ่มคลี่คลายลง
เหตุการณ์ 6 ตุลา[แก้]
แม้ว่า พล.อ.กฤษณ์ จะเสียชีวิตไปก่อนเหตุการณ์ดังกล่าว แต่มีการวิเคราะห์ว่าการเสียชีวิตอย่ามีเงื่อนงำของ พล.อ.กฤษณ์ เป็นหนึ่งในชนวนเหตุที่ทำให้เกิดการปราบปรามนักศึกษาและประชาชนจนเป็นเหตุการณ์นองเลือดในเหตุการณ์ 6 ตุลา เพราะเปิดโอกาสให้ทหารฝ่ายขวาได้ครองอำนาจในกองทัพ
การเสียชีวิต[แก้]
พล.อ.กฤษณ์เสียชีวิต เพราะ“ข้าวเหนียวมะม่วง” ขณะนั้นเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลผสม ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี “…การเจ็บป่วยด้วยโรคท้องเฟ้อ อันสืบเนื่องมาแต่การรับประทานข้าวเหนียว มะม่วง จนถึงขั้นเกิดโรคแทรกซ้อนเป็นโรคหัวใจขาดเลือด การเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฏฯอย่างกระทันหัน เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2519 การตรวจวินิจฉัยโรคโดยนายแพทย์แห่งโรงพยาบาลดังกล่าว และแถลงว่าอาการ ป่วยดีขึ้นเป็นลำดับ แต่แล้วก็ทรุดหนักลงในเวลาเพียง 6-7 วัน และถึงแก่อนิจกรรม เช้ามืดวันที่ 23 เมษายน 2519 เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าเหตุไฉน……” [10]
ค่ายกฤษณ์สีวะรา[แก้]
เนื่องจากพล.อ. กฤษณ์ สีวะรา ซึ่งก่อนถึงแก่อสัญกรรม เคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้มองการณ์ไกลในการป้องกันประเทศ และได้พิจารณาเห็นว่า จังหวัดสกลนคร เป็นจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ จึงได้มอบหมายให้แก่ผู้บังคับบัญชา ในกองทัพภาคที่ 2 หาแนวทางในการวางกำลังทหาร ในพื้นที่เพื่อทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ จนทำให้ประชาชนได้รับความอบอุ่นนับได้ว่า พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา เป็นนักการทหารที่มีสายตากว้างไกล สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ ในขณะที่ พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ได้กรุณาให้การสนับสนุนการก่อสร้าง และจัดตั้งหน่วย จังหวัดทหารบกอุดร (ส่วนแยกที่ 1 สกลนคร) และกองพันทหารราบที่ 1 กรมผสมที่ 3 ในขณะนั้นอย่างดียิ่ง จนค่ายทหารแห่งนี้ สามารถจัดตั้งเป็นปึกแผ่น เป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ และเป็นที่ยำเกรงของอริราชศัตรู
ในทางการเมือง พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา เคยดำรงตำแหน่งในระดับสูงของรัฐบาลมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ในด้านความสามารถ และความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับแก่ ประชาชนทั่วไป ตลอดทั้งพี่น้องชาวจังหวัดสกลนครเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา ซึ่งได้ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว และเพื่อเป็นมิ่งขวัญ เป็นความภาคภูมิใจแก่เหล่าทหาร ที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ ณ จังหวัดสกลนคร กองทัพภาคที่ 2 จึงได้ขอพระราชทานนามค่ายนี้ว่า "ค่ายกฤษณ์สีวะรา" และเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานนามว่า "ค่ายกฤษณ์สีวะรา" เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
- พ.ศ. 2509 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[11]
- พ.ศ. 2553 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
- พ.ศ. 2504 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้น 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[12]
- พ.ศ. 2511 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.)[13]
- พ.ศ. 2485 -
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 4 (อ.ป.ร.4)
- พ.ศ. 2510 -
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 3 (ภ.ป.ร.3)
- พ.ศ. 2504 -
เหรียญราชการชายแดน
- พ.ศ. 2497 -
เหรียญจักรมาลา
เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
มาเลเซีย : Honorary Grand Commander of the Order of Loyalty to the Crown of Malaysia (ค.ศ. 1973)[14]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ แต่งตั้งผู้อำนวยการรักษาความสงบ
- ↑ ประกาศ เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี (พลเอก กฤษณ์ สีวะรา พลตำรวจโท พิชัย กุลละวณิชย์ นายมนูญ บริสุทธิ์ นายอภัย จันทวิมล นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์)
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 90 ตอน 115 ง พิเศษ หน้า 2 13 กันยายน พ.ศ. 2516
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 90 ตอน 173 ง พิเศษ หน้า 15 25 ธันวาคม พ.ศ. 2516
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน 35 ราย)
- ↑ รายงาน “ใครฆ่ากฤษณ์ สีวะรา? ปกปักษ์ทางการเมือง-การทหาร” โดยนาย กังหัน หน้า 4 หนังสือพิมพ์สหมิตร ฉบับตะวันใหม่ ปีที่ 1 ฉบับที่ 8 วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2521
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เล่ม 83 ตอนที่ 114 วันที่ 19 ธันวาคม 2509
- ↑ แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักคณะรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๕, ตอน ๔๔ , ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๑
- ↑ "Semakan Penerima Darjah Kebesaran, Bintang dan Pingat Persekutuan".
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
|
|
|
|
|
|
|
|
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2457
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2519
- ทหารบกชาวไทย
- ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทย
- ผู้บัญชาการทหารบกของกองทัพไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย
- สมาชิกวุฒิสภาไทยแบบแต่งตั้ง
- บุคคลจากโรงเรียนเทพศิรินทร์
- บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 14 ตุลา
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ.ว.
- ผู้ได้รับเหรียญจักรมาลา
- ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ อ.ป.ร.4
- ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ภ.ป.ร.3
- บุคคลจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
- แม่ทัพภาคที่ 1
- แม่ทัพภาคที่ 2
- พรรคสหประชาไทย