หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก หลวงศุภชลาศัย)
หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย)
หลวงศุภชลาศัย ไม่ทราบปีที่ถ่าย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ดำรงตำแหน่ง
2 กุมภาพันธ์ – 24 มีนาคม พ.ศ. 2489
นายกรัฐมนตรีแปลก พิบูลสงคราม
ก่อนหน้าหม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์
ถัดไปสงวน จูฑะเตมีย์
ดำรงตำแหน่ง
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 – 8 เมษายน พ.ศ. 2491
นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์
ก่อนหน้าทองอินทร์ ภูริพัฒน์
ถัดไปพันเอก หม่อมสนิทวงศ์เสนี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดำรงตำแหน่ง
2 สิงหาคม พ.ศ. 2487 – 17 กันยายน พ.ศ. 2488
นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์
ทวี บุณยเกตุ
ก่อนหน้ามังกร พรหมโยธี
ถัดไปทวี บุณยเกตุ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ดำรงตำแหน่ง
10 มีนาคม – 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2485
นายกรัฐมนตรีแปลก พิบูลสงคราม
ก่อนหน้าพันเอก ประยูร ภมรมนตรี
ถัดไปเดือน บุนนาค
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ดำรงตำแหน่ง
5 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 – 2 สิงหาคม พ.ศ. 2487
ก่อนหน้าพันตรี วิลาศ โอสถานนท์
ถัดไปสพรั่ง เทพหัสดิน ณ อยุธยา
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
ดำรงตำแหน่ง
21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481
นายกรัฐมนตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปหลวงเดชสหกรณ์
รัฐมนตรี
ดำรงตำแหน่ง
1 เมษายน พ.ศ. 2476 – 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480
นายกรัฐมนตรีพระยามโนปกรณนิติธาดา
พระยาพหลพลพยุหเสนา
รองผู้บัญชาการทหารเรือ
ดำรงตำแหน่ง
5 สิงหาคม พ.ศ. 2476 – 31 มีนาคม พ.ศ. 2477
อธิบดีกรมพลศึกษา
ดำรงตำแหน่ง
1 เมษายน พ.ศ. 2477 – 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2485
ก่อนหน้าพระยาประมวญวิชาพูล
(รักษาราชการ)
ถัดไปพระยาจินดารักษ์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ดำรงตำแหน่ง
15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 – 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
บุง ศุภชลาศัย

22 มกราคม พ.ศ. 2438
จังหวัดพระนคร ประเทศสยาม
เสียชีวิต26 ตุลาคม พ.ศ. 2508 (70 ปี)
พรรคการเมืองประชาธิปัตย์
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
คณะราษฎร
คู่สมรสสวาสดิ์ หุวะนันท์
หม่อมเจ้าจารุพัตรา อาภากร
บุตร5 คน
บุพการี
  • เปี้ยว (บิดา)
  • พ่วง (มารดา)
การศึกษาโรงเรียนนายเรือ
อาชีพทหารเรือ, นักการเมือง
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
สังกัดกองทัพเรือ
ประจำการ2461–2508
ยศนาวาเอก

นาวาเอก หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) (22 มกราคม พ.ศ. 2438 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2508) เป็นนายทหารและนักการเมืองชาวไทย เคยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารเรือ อธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้าง กรีฑาสถานแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2481

ประวัติ[แก้]

หลวงศุภชลาศัย เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2438 ณ ตำบลถนนพระอาทิตย์ อำเภอชนะสงคราม จังหวัดพระนคร เป็นบุตรนายเบี้ยวและนางพ่วง เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดชนะสงคราม, โรงเรียนวัดบวรนิเวศ และโรงเรียนวัดราชบูรณะ (โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย) จนจบชั้นมัธยมเมื่อ พ.ศ. 2454 และสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนนายเรือ เรียนเก่งถึงขั้นได้รับเกียรตินิยมของสถาบัน

การทำงาน[แก้]

บุง ศุภชลาศัย เริ่มต้นชีวิตราชการทหารเรือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2461 ประจำการบนเรือรบหลวง "สุครีพครองเมือง" ตำแหน่งสุดท้ายก่อนออกจากกองทัพเรือ คือรองผู้บัญชาการทหารเรือ[1] ต่อมาในรัฐบาล พระยาพหลพลพยุหเสนา กระทรวงศึกษาธิการ ได้สถาปนากรมใหม่ขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 เพื่อจัดการงานด้านพลศึกษาของชาติ มี อำมาตย์เอกพระยาประมวลวิชาพูล (วงษ์ บุญ-หลง) รักษาราชการในตำแหน่งอธิบดี จนกระทั่ง วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 นาวาโท หลวงศุภชลาศัย ร.น. (บุง ศุภชลาศัย) จึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา คนแรกอย่างเป็นทางการ [2]

หลวงศุภชลาศัย เป็นผู้วางรากฐานการพลศึกษาและกีฬานักเรียนเมืองไทยหลายประการ อาทิ การบรรจุหลักสูตรวิชาพลศึกษา โรงเรียนฝึกหัดครูพลศึกษาทั่วประเทศ และสิ่งสำคัญ สำหรับชาวพลศึกษา คือการกำหนดสัญญลักษณ์ วงกลมห่วง 3 สี ประดิษฐานอยู่ใต้รูปพระพลบดี ซึ่งห่วงสีเหลืองแทนพุทธิศึกษา, ห่วงสีขาวแทนจริยศึกษา และห่วงสีเขียวแทนพลศึกษา โดยความหมายแห่งนัย คือบุคคลจะมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และก่อประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองได้อย่างแท้จริงจะต้องมีความสมดุลระหว่าง ความรู้ ความประพฤติและพลานามัย ดังเช่นห่วงทั้ง 3 วง ที่วางทับกันอย่างมีเอกภาพ

หลวงศุภชลาศัย ได้ส่งเสริมการแข่งขันกีฬานักเรียนของกรมพลศึกษา จัดให้มีการมอบเสื้อสามารถแก่นักกีฬาที่มีความยอดเยี่ยมทุกประเภท ก่อนจัดแข่งขันกีฬาประชาชนทั่วประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก และใน พ.ศ. 2479 จึงย้ายสนามแข่งขันกีฬานักเรียนประจำปี จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ไปทำการแข่งขัน ณ สนามหลวง

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2478 กรมพลศึกษา ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน เนื้อที่ 114 ไร่ 1 งาน 25.12 ตารางวา ตรงบริเวณที่เดิมเป็นวังวินเซอร์ เพื่อจัดสร้างสนามกีฬาแห่งชาติ และได้ดำเนินการของบประมาณแผ่นดิน เพื่อใช้การจัดสร้างสนามกีฬา ใช้ชื่อว่า สนามกรีฑาสถาน (National Stadium) และโรงเรียนพลศึกษากลาง เริ่มงานตั้งแต่ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2480 จวบจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2484

ในขณะที่สนามกรีฑาสถานยังสร้างไม่เสร็จ กระทรวงศึกษาธิการได้จัดการแข่งขันกีฬาประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2481 โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขัน ณ สนามกรีฑาสถาน เป็นครั้งแรก

เมื่อ วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 กรมพลศึกษา ได้เปลี่ยนชื่อสนามกรีฑาสถาน เป็นสนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2485 - 2487 นาวาเอก หลวงศุภชลาศัย ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย[3] หลวงศุภชลาศัย ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2508 ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 กรมพลศึกษา ได้ยกย่องและเชิดชูเกียรติให้ท่านเป็นบุคคลพลศึกษาของชาติ สาขาการบริหารการพลศึกษา

บทบาททางการเมือง[แก้]

หลวงศุภชลาศัย เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎร ผู้กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยถือเป็นนายทหารเรือที่มีอาวุโสสูงสุดของคณะราษฎร ด้วยอายุ 37 ปี ซึ่งในขณะนั้น หลวงศุภชลาศัย มียศเป็น นาวาตรี (น.ต.) ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว พร้อมกับ เรือเอก สงวน รุจิราภา ได้เข้าพบกับ หลวงวิจักรกลยุทธ ซึ่งเป็นนายทหารบกคณะราษฎรเช่นเดียวกัน ถึงที่บ้านพัก เพื่อขอให้ปลอมแปลงลายเซ็นของ หลวงมนูญศาสตร์สาทร นายทหารเรือผู้ลงชื่อรับรองคำสั่งของผู้รั้งแม่ทัพเรือ เพื่อขออนุมัติคำสั่งให้นำเรือลงลาดตระเวณในลำน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งสิ้น 11 ฉบับ อันเป็นส่วนการปฏิบัติการของฝ่ายทหารเรือ จากนั้นในเช้ามืดของวันที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลวงศุภชลาศัยได้เป็นผู้ช่วยในการตัดสัญญาณโทรศัพท์และโทรเลขที่กองพันพาหนะทหารเรือ บริเวณท่าราชวรดิฐ ร่วมกับคณะราษฎรสายทหารเรือคนอื่น ๆ เพื่อมิให้มีการติดต่อสื่อสารกับหน่วยอื่นได้ และรวบรวมอาวุธปืนและกระสุนจำนวน 45,000 นัด ที่งัดจากกองพันฯ ข้ามฟากมา ก่อนจะลำเลียงสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า ก่อนเวลา 06.00 น. อันเป็นจุดนัดหมายเพื่อรวบรวมกำลังทหารเรือ ก่อนที่กำลังทหารบกและพลเรือนจะมาสมทบ [4]จากนั้นเป็นผู้คุมกำลังเรือรบเข้าลาดตระเวนตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา และทำการคุมที่ท่าน้ำวังบางขุนพรหม อันเป็นสถานที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้รักษาพระนคร มิให้หลบหนี และต่อมาได้รับหน้าที่เป็นผู้ถือหนังสืออัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล นิวัติยังพระนคร [5]

หลวงศุภชลาศัย ได้เดินทางโดยเรือหลวงสุโขทัย ไปถึงพระราชวังไกลกังวลในเวลา 10.00 น. ในวันที่ 25 มิถุนายน โดยจอดเรือห่างจากชายฝั่งประมาณ 2,500 เมตร และลงเรือเล็กไป โดยสั่งแก่ทหารบนเรือว่า หากตนยังไม่กลับมาในเวลาที่เหมาะสม ให้ระดมยิงได้เลยโดยไม่ต้องห่วงตน เมื่อถึงฝั่ง หลวงศุภชลาศัยได้เข้าเฝ้าฯ แต่ทางพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธ ด้วยทรงให้เหตผุลว่า เรือหลวงสุโขทัยนั้นคับแคบเกินไป ไม่สมกับพระเกียรติยศ ซึ่งทางหลวงศุภชลาศัยก็ได้ส่งโทรเลขกลับไปยังพระนคร ท้ายที่สุดการเสด็จนิวัติกลับพระนครของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเป็นทางรถไฟขบวนพิเศษ ที่ทางพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้รักษาพระนครและหัวหน้าคณะราษฎรจัดถวาย[6]

รวมทั้งเคยได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดพระนคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500[7]

ชีวิตครอบครัว[แก้]

หลวงศุภชลาศัย สมรสกับ สวาสดิ์ หุวนันท์ และ หม่อมเจ้าจารุพัตรา อาภากร [8] พระธิดาพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติในหม่อมกิม อาภากร ณ อยุธยา (ธิดานายตั๊น ชุ่นเพียว)

หลวงศุภชลาศัย มีบุตรธิดากับหม่อมเจ้าจารุพัตรา อาภากร 5 คน ได้แก่ [9]

  • อาภา ศุภชลาศัย สมรสกับ หม่อมราชวงศ์สุทธิสวาสดิ์ กฤดากร
  • นาวาเอกภากร ศุภชลาศัย สมรสกับ อัจฉรา เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
  • จารุพันธ์ ศุภชลาศัย สมรสกับ ดุษณี วสุธาร
  • พรศุภศรี ศุภชลาศัย สมรสกับ ศรีศักดิ์ จามรมาน
  • พัตราพร ศุภชลาศัย สมรสกับ ธนชัย จารุศร

เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  • จิรัฏฐ์ จันทะเสน, ประวัติหลวงศุภชลาศัย
  1. ประกาศ ย้ายนายทหารเรือ
  2. ประกาศ ตั้งอธิบดีกรมพลศึกษา
  3. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งและแต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน ๒๒ ราย)
  4. นายหนหวย. ทหารเรือปฏิวัติ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, พฤศจิกายน 2555 (พิมพ์ครั้งที่ 3). 124 หน้า. ISBN 9789740210252
  5. 2475 : ชะตาชาติ, สารคดี ทางทีพีบีเอส: 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
  6. 2475 ยุทธการยึดเมือง, สารคดีฉบับที่ 172: มิถุนายน 2542
  7. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป พ.ศ. ๒๕๐๐ ครั้งที่ ๒
  8. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และ หม่อมเจ้าหญิง จงจิตรถนอม ดิศกุล. จดหมายถึงหญิงใหญ่ (ฉบับชำระใหม่). กรุงเทพ : สถาพรบุ๊คส์, 2551. ISBN 978-974-16-6535-8
  9. กิติวัฒนา (ไชยันต์) ปกมนตรี, หม่อมราชวงศ์. สายพระโลหิตในพระพุทธเจ้าหลวง. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มดี, พ.ศ. 2551. 290 หน้า. ISBN 978-974-312-022-0
  10. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2022-11-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๔๙ ง หน้า ๒๙๒๐, ๑๘ กันยายน ๒๔๘๖
  11. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2022-06-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๑๔, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๘๐
  12. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความพระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เก็บถาวร 2022-07-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๓๙, ๒๑ เมษายน ๒๔๗๘
  13. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความส่งเหรียญจักรมาลาไปพระราชทาน เก็บถาวร 2022-11-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๕๑ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๔๓๑, ๒ ธันวาคม ๒๔๗๗
  14. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2022-04-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๒๘๙, ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓
  15. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ เก็บถาวร 2022-12-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๖๐๘, ๒๓ มกราคม ๒๔๘๑
  16. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญราชรุจิ, เล่ม ๔๐ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๑๗๒, ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๖๖