ปรีดี พนมยงค์
ปรีดี พนมยงค์ | |
---|---|
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | |
ดำรงตำแหน่ง 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 (3 ปี 355 วัน) | |
กษัตริย์ | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล |
นายกรัฐมนตรี | แปลก พิบูลสงคราม ควง อภัยวงศ์ ทวี บุณยเกตุ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช |
ก่อนหน้า | พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) |
ถัดไป | สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร |
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 | |
ดำรงตำแหน่ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (0 ปี 152 วัน) | |
กษัตริย์ | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช |
ก่อนหน้า | ควง อภัยวงศ์ |
ถัดไป | ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | |
ดำรงตำแหน่ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (0 ปี 152 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | ปรีดี พนมยงค์ |
ก่อนหน้า | พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) |
ถัดไป | วิจิตร ลุลิตานนท์ |
ดำรงตำแหน่ง 20 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (2 ปี 362 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | แปลก พิบูลสงคราม |
ก่อนหน้า | พระยาไชยยศสมบัติ (เสริม กฤษณามระ) |
ถัดไป | เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | |
ดำรงตำแหน่ง 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 – 21 ธันวาคม พ.ศ. 2481 (2 ปี 162 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | แปลก พิบูลสงคราม |
ก่อนหน้า | พระยาศรีเสนา (ศรีเสนา สมบัติศิริ) |
ถัดไป | เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร์ ณ สงขลา) |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | |
ดำรงตำแหน่ง 29 มีนาคม พ.ศ. 2477 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (0 ปี 320 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) |
ก่อนหน้า | พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) |
ถัดไป | ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ |
ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | |
ดำรงตำแหน่ง 11 เมษายน พ.ศ. 2477 – 18 มีนาคม พ.ศ. 2495 (17 ปี 341 วัน) | |
ถัดไป | ศ. ดร.เดือน บุนนาค (รักษาการ) |
เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 | |
ดำรงตำแหน่ง 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 – 11 เมษายน พ.ศ. 2476 (0 ปี 288 วัน) | |
ถัดไป | หลวงคหกรรมบดี (ชม จารุรัตน์) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย |
เสียชีวิต | 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี) ปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 |
ศาสนา | พุทธ |
พรรคการเมือง | คณะราษฎร, พรรคสหชีพ |
คู่สมรส | ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ |
บุตร | |
ที่อยู่อาศัย |
|
ลายมือชื่อ | ไฟล์:Thai-PM Pridi signature.png |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
สังกัด | ขบวนการเสรีไทย |
ประจำการ | พ.ศ. 2484–พ.ศ. 2488 |
ผ่านศึก | สงครามแปซิฟิก |
ศาสตราจารย์[1] ดร.ปรีดี พนมยงค์ หรือ อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม[2][3] (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 – 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) เป็นรัฐบุรุษอาวุโส[4] ผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย[5] เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 3 สมัย[6] และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ อีกหลายสมัย เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การเพียงคนเดียวของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง[7] และเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบัน คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย)[8]
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม[9][10][11] นอกจากนี้เขายังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8[12] และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส"[13]
ปรีดีต้องยุติบทบาททางการเมืองหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล โดยถูกกล่าวหาจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว[14] ต่อมาเกิดการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 เป็นเหตุให้เขาต้องลี้ภัยการเมืองไปยังประเทศจีนและฝรั่งเศสรวมระยะเวลากว่า 30 ปี และไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยอีกเลยจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรม[15] เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526[16][17][18]
ระหว่างที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ปรีดีได้ฟ้องร้องผู้ใส่ความหมิ่นประมาทต่อศาลยุติธรรม ผลปรากฏว่าศาลตัดสินให้ชนะทุกคดี และยังได้รับความรับรองจากทางราชการตลอดจนเงินบำนาญและหนังสือเดินทางของไทย[19][20]
ใน พ.ศ. 2542 ที่ประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 30 ขององค์การยูเนสโก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้มีมติประกาศให้ปรีดี พนมยงค์ เป็น "บุคคลสำคัญของโลก" และได้ร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของเขา ระหว่าง พ.ศ. 2543–พ.ศ. 2544[21] นอกจากนี้นิตยสารเอเชียวีกยังได้เสนอชื่อของเขาเข้าชิงตำแหน่ง "Asian Of The Century" อีกด้วย[22]
ประวัติ
ปรีดี พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ณ เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในครอบครัวชาวนาไทย เป็นบุตรคนที่ 2 จากจำนวนพี่น้อง 6 คน ของนายเสียง และนางลูกจันทน์ พนมยงค์[23]
บรรพบุรุษของปรีดีตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาเป็นเวลาช้านาน โดยที่บรรพบุรุษข้างบิดานั้นสืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยอาณาจักรอยุธยา ชื่อ "ประยงค์"[24] พระนมประยงค์เป็นผู้สร้างวัดในที่สวนของตัวเอง โดยตั้งชื่อวัดตามผู้สร้างว่า วัดพระนมยงค์ หรือ วัดพนมยงค์ กาลเวลาล่วงเลยมาจนเมื่อมีการประกาศพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ทายาทจึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์"[25] และได้อุปถัมภ์วัดนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน[26]
บรรพบุรุษรุ่นปู่-ย่าของปรีดีประกอบกิจการค้าขายมีฐานะเป็นคหบดีใหญ่[27][28] แต่นายเสียงบิดาของปรีดีเป็นคนชอบชีวิตอิสระไม่ชอบประกอบอาชีพค้าขายเจริญรอยตามบรรพบุรุษ จึงหันไปยึดอาชีพกสิกรรม เริ่มต้นด้วยการทำป่าไม้ และต่อมาได้ไปบุกเบิกถางพงร้างเพื่อจับจองที่ทำนาบริเวณทุ่งหลวง อำเภอวังน้อย[29] แต่ก็ต้องประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติ โขลงช้างป่า และแมลงที่มารบกวนทำลายต้นข้าวทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ไม่สามารถขายข้าวได้ ซ้ำร้ายรัฐบาลได้ให้สัมปทานบริษัทขุดคลองแห่งหนึ่งขุดคลองผ่านที่ดินของนายเสียงและยังเรียกเก็บค่าขุดคลอง (ดูประวัติคลองรังสิต)[30] ซึ่งบิดาของปรีดีต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่ากรอกนาในอัตราไร่ละ 4 บาท แลกกับการได้ครอบครองที่ดินที่จับจองไว้จำนวน 200 ไร่ ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวย่ำแย่ลงไปอีก ต้องอดทนเป็นหนี้สินอยู่หลายปี[31] เหตุการณ์ครั้งนั้นยังทำให้ราษฎรผู้บุกเบิกจับจองที่ดินมาก่อนต้องสูญเสียที่ดินไปเป็นจำนวนมากและกลายเป็นชาวนาผู้เช่าที่ในที่สุด[32][33]
จากการเติบโตในครอบครัวชาวนานี้เอง ปรีดีจึงได้สัมผัสรับรู้เป็นอย่างดีถึงสภาพความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนาทั้งหลายที่ฝากชีวิตไว้กับความไม่แน่นอนของดินฟ้าอากาศ ราคาพืชผลในตลาด และดอกเบี้ยของนายทุน นอกจากนี้ยังต้องพบกับการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินศักดินาที่กระทำผ่านการเก็บภาษีและการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประสบการณ์เหล่านี้เป็นแรงกระตุ้นให้ปรีดีคิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศในเวลาต่อมา[34]
ปรีดีเมื่อครั้งเยาว์วัยเป็นเด็กหัวดี ช่างคิด ช่างสังเกตวิเคราะห์ และเริ่มมีความสนใจทางการเมืองมาตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี จากเหตุการณ์ปฏิวัติในประเทศจีนที่นำโดย ซุน ยัตเซ็น และเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 ในสยาม ซึ่งปรีดีได้แสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อผู้ที่ถูกลงโทษในครั้งนั้น[35]
ถึงแม้ว่าปรีดีจะเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาก็เป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา จึงสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด[36] เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายภรรยาปรีดี ได้เคยกล่าวถึงนายเสียง พนมยงค์ ว่า
เป็นผู้สนใจในกสิกรรม และที่สนใจที่สุดคือการทำนา ดูเหมือนว่าพบกันกับข้าพเจ้าครั้งไรที่จะไม่พูดกันถึงเรื่องทำนาเป็นไม่มี แต่ถึงว่าจะฝักใฝ่ในการทำนาอยู่มากก็จริง นายเสียง พนมยงค์ มิได้ละเลยที่จะสงเคราะห์ และให้การศึกษาแก่บุตรเลย พยายามส่งบุตรเข้าศึกษาเล่าเรียน...[37]
การศึกษา
ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง[38] ตำบลท่าวาสุกรี และสำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูน[39] อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร[40] แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย)[41] จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยม 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดสำหรับหัวเมือง แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย[42]
ใน พ.ศ. 2460 เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา กับอาจารย์เลเดแกร์ (E.Ladeker) ที่ปรึกษาศาลต่างประเทศกระทรวงยุติธรรม[43] ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี แต่ตามข้อบังคับสมัยนั้นยังเป็นเนติบัณฑิตไม่ได้เพราะอายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ต้องรอจนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้เป็นสมาชิกสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา[42]
ต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2463[44] โดยเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยกอง (Université de Caen) จนสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลิเอร์" กฎหมาย (bachelier en droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลิซองซิเอ" กฎหมาย (Licencié en Droit) ตามลำดับ[45][46]
ปรีดีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส พ.ศ. 2469 ด้วยคะแนนเกียรตินิยมดีมาก (trés bien) นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาเอกแห่งรัฐ (doctorat d'état) เป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย" (docteur en droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (sciences juridiques)[47] นอกจากนี้เขายังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (diplôme d'études supérieures d'économie politique) อีกด้วย[48]
การสมรสและครอบครัว
ปรีดีสมรสกับ พูนศุข ณ ป้อมเพชร์ ธิดา มหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร) กับ คุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (สุวรรณศร) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471[49] มีบุตร-ธิดาด้วยกันทั้งหมด 6 คน คือ
- นางสาวลลิตา พนมยงค์ (ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558)
- นายปาล พนมยงค์ สมรสกับ นางเลิศศรี พนมยงค์ (จตุรพฤกษ์)
- นางสาวสุดา พนมยงค์
- นายศุขปรีดา พนมยงค์ สมรสกับ นางจีรวรรณ พนมยงค์ (วรดิลก)
- นางดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล สมรสกับ นายชาญ บุญทัศนกุล
- นางวาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์ (ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561) สมรสกับ นายสุรพันธ์ สายประดิษฐ์
หน้าที่การงานก่อนเข้าสู่การเมือง
เมื่อกลับถึงกรุงเทพมหานครใน พ.ศ. 2470 ปรีดีเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงประดิษฐ์มนูธรรม"[50] เมื่อ พ.ศ. 2471 ขณะมีอายุ 28 ปี ต่อมาใน พ.ศ. 2475 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกรมร่างกฎหมาย[51] (ต่อมาได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์พร้อมกับคณะรัฐมนตรีชุดที่ 9 ใน พ.ศ. 2485 และกลับไปใช้ชื่อเดิมคือ นายปรีดี พนมยงค์[52])
ในช่วงที่รับราชการในกระทรวงยุติธรรมนี้ ปรีดีได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบันซึ่งอยู่ในสภาพกระจัดกระจายให้มารวมเป็นเล่มเดียว ใช้ชื่อว่า “ประชุมกฎหมายไทย” และได้รับการตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2473 ที่โรงพิมพ์นิติสาสน์ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของเขาเอง หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมและสร้างรายได้ให้แก่ปรีดีเป็นอย่างมาก[53]
นอกจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว ปรีดียังเป็นอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในชั้นแรกได้สอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วน บริษัทและสมาคม ต่อมาได้สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ลูกศิษย์ของเขาในช่วงดังกล่าวนี้ได้แก่ สัญญา ธรรมศักดิ์ จิตติ ติงศภัทิย์ ดิเรก ชัยนาม เสริม วินิจฉัยกุล เสวต เปี่ยมพงศ์สานต์ ไพโรจน์ ชัยนาม จินดา ชัยรัตน์ โชติ สุวรรณโพธิ์ศรี และศิริ สันตะบุตร
ใน พ.ศ. 2474 ปรีดีเป็นคนแรกที่เริ่มสอนวิชากฎหมายปกครอง (Droit Administratif)[53] กล่าวกันว่าวิชากฎหมายปกครองนี้ เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงแก่ปรีดีเป็นอย่างมาก เพราะสาระของวิชานี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชากฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยอันเป็นหัวใจของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่ประเทศไทยยังคงปกครองอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[54] ในขณะเดียวกัน ก็ได้อาศัยการสอนที่โรงเรียนดังกล่าว ปลุกจิตสำนึกนักศึกษาให้สนใจเป็นขั้น ๆ ถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนระบบการปกครองจากระบบเดิมให้เป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังได้เปิดอบรมทบทวนวิชากฎหมายที่บ้านถนนสีลมเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์กับนักศึกษาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จึงมีลูกศิษย์ลูกหาเข้าร่วมเป็นสมาชิกและผู้สนับสนุนคณะราษฎรในเวลาต่อมาหลายคน[55][56]
บทบาททางการเมืองก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ในขณะที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส ปรีดี พนมยงค์ ได้ร่วมกับเพื่อนอีก 6 คน ประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อก่อตั้ง "คณะราษฎร" เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ณ หอพักแห่งหนึ่งย่าน "Rue Du Sommerard" กรุงปารีส ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วย ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี, ร.ท.แปลก ขิตตะสังคะ, ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี, ภก.ตั้ว ลพานุกรม, หลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี), นายแนบ พหลโยธิน โดยมีวัตถุประสงค์คือ เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[57] และการดำเนินเพื่อให้สยามบรรลุหลัก 6 ประการ คือ
- จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
- จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
- จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
- จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่
- จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
- จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ปรีดีร่วมกับสมาชิกคณะราษฎรที่ประกอบด้วยกลุ่มทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ หลังจากนั้นคณะราษฎรโดยปรีดี พนมยงค์ ได้จัดให้มีการประชุมระหว่างคณะราษฎร และเสนาบดี ปลัดทูลฉลอง ขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อชี้แจงจุดประสงค์ หลักการระบอบใหม่ กฎหมายพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินโดยย่อ และขอความร่วมมือในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป[56][58][59][60]
การวางรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปรีดี พนมยงค์ ถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ โดยเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475[61] ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พร้อมกันนั้นยังมีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม[62] ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองในระบอบใหม่
ในขณะเดียวกัน ปรีดีก็ได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นเลขาธิการคนแรกของสภาผู้แทนราษฎรสยาม ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้แก่ราษฎร โดยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก และเป็นผู้ริเริ่มให้สตรีมีสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรได้เช่นเดียวกับเพศชาย[63] และจากการที่ได้ไปศึกษาในประเทศฝรั่งเศส ปรีดีจึงสนับสนุนแนวคิดเรื่องศาลปกครอง และก็เป็นผู้นำเอาวิชา "กฎหมายปกครอง" (droit administratif) มาสอนเป็นคนแรก ณ โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม แนวคิดดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความต้องการให้ราษฎรสามารถตรวจสอบฝ่ายปกครองได้ และมีสิทธิในทางการเมืองเท่าเทียมกับข้าราชการอย่างแท้จริง
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วเขาจึงผลักดันให้รัฐบาลยกฐานะกรมร่างกฎหมายและสถาปนาขึ้นเป็น "คณะกรรมการกฤษฎีกา"[64] ทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน ทั้งยังพยายามผลักดันให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่ศาลปกครองอีกด้วย แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากวัฒนธรรมในทางอำนาจนิยมของรัฐไทยยังมีอยู่หนาแน่น ความพยายามในการตั้งศาลปกครองของปรีดีจึงประสบอุปสรรคมาโดยตลอด[65]
ใน พ.ศ. 2476 ได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันว่า "สมุดปกเหลือง" ต่อรัฐบาลเพื่อใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ[66][67] ตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎร โดยดำเนินเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ แต่ไม่ทำลายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน ซึ่งเขาได้ชี้แจงไว้ว่า
การคิดที่จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนี้ ข้าพเจ้าได้เพ่งเล็งถึงสภาพอันแท้จริง ตลอดจนนิสสัยใจคอของราษฎรส่วนมากว่า การที่จะส่งเสริมให้ราษฎรได้มีความสุขสมบูรณ์นั้น ก็มีอยู่ทางเดียว ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง โดยแบ่งการเศรษฐกิจนั้นออกเป็นสหกรณ์ต่าง ๆ ความคิดที่ข้าพเจ้าได้มีอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นด้วยข้าพเจ้าได้มีอุปาทานผูกมั่นอยู่ในลัทธิใด ๆ ข้าพเจ้าได้หยิบเอาส่วนที่ดีของลัทธิต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ประเทศสยามแล้ว จึงได้ปรับปรุงยกขึ้นเป็นเค้าโครงการ"[68]
ปรีดียังได้วางหลักการประกันสังคม คือ ให้การประกันแก่ราษฎรทั้งหลายตั้งแต่เกิดจนตาย ที่จะได้รับความอุปการะจากรัฐบาล หากไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ 3 แห่งเค้าโครงการเศรษฐกิจ ในชื่อร่าง "พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร"[69] แต่แนวความคิดดังกล่าวถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษนิยม[56][67][70]
การกระจายอำนาจการปกครอง
ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 เพื่อให้รูปแบบและระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น
เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พ.ศ. 2476–พ.ศ. 2478) ก็ได้ริเริ่มให้มีการจัดตั้ง "เทศบาล" ทั่วราชอาณาจักรสยาม ตาม พระราชบัญญัติเทศบาล โดยมุ่งหวังให้การปกครองทัองถิ่นเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย และได้กวดขันให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันตาม พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ และจัดตั้งกรมโยธาเทศบาลเพื่อสอดคล้องกับการปกครองเทศบาลและสร้างทางท้องที่หลายจังหวัด นอกจากนี้เขายังได้สร้างโรงพยาบาลหลายแห่ง รวมทั้งจัดให้มีเรือพยาบาลตามลำน้ำโขงโดยใช้สลากกินแบ่งของท้องที่ สร้างฝายและพนังหลายแห่งเพื่อช่วยชาวนาและเกษตรกร สร้างทัณฑนิคมเพื่อให้ผู้พ้นโทษแล้วมีที่ดินของตน ฯลฯ [71][72]
ด้านพระพุทธศาสนา
ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จากฉบับ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) มาเป็น พระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2484 ทำให้การปกครองสงฆ์เป็นประชาธิปไตย อนุวัตรคล้อยตามการปกครองของบ้านเมืองไปด้วย แต่ พระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2484 ใช้ได้เพียง 20 ปี ก็มีเหตุการณ์ไม่ราบรื่นเกิดขึ้นในสังฆมณฑลอย่างจงใจ จนนำคณะสงฆ์กลับไปสู่การปกครองระบอบเผด็จการโดยคณะเดียว ภายใต้ พระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2505[73]
ด้านการศึกษา
ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปรีดี พนมยงค์ ได้สถาปนา "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง" (มธก.) ขึ้นเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477] และได้รับแต่งตั้งเป็น "ผู้ประศาสน์การ"[74] (พ.ศ. 2477–พ.ศ. 2490) คนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัย เพื่อสนองเจตนารมณ์ของคณะราษฎรที่ว่า "จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร" ด้วยเห็นว่าในขณะนั้น สถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มีอยู่มิได้เปิดกว้างเพื่อชนส่วนใหญ่ ดังนั้นมหาวิทยาลัยใหม่ตามแนวความคิดของเขา จึงเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างเพื่อราษฎร เป็นตลาดวิชา ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการศึกษาเล่าเรียนเท่าเทียมกัน[75] ปรีดีกล่าวไว้ในวันสถาปนามหาวิทยาลัยว่า
มหาวิทยาลัยย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำ บำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้อันเป็นสิทธิและโอกาสที่เขาควรมีควรได้ ตามหลักแห่งเสรีภาพในการศึกษา รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเห็นความจำเป็นในข้อนี้ จึงได้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น[76]
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองในระยะแรกมิได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน หากอาศัยเงินที่มาจากค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาทั่วราชอาณาจักรและดอกผลที่ได้มาจากธนาคารแห่งเอเชียเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยให้มหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80%[77] นอกจากนี้ปรีดียังได้ยกกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นของเขาให้แก่มหาวิทยาลัยเพื่อพิมพ์เอกสารตำราคำสอนแก่นักศึกษา[53] มหาวิทยาลัยดังกล่าวได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านสงครามและต่อสู้เพื่อสันติภาพ โดยมหาวิทยาลัยเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการใหญ่ของขบวนการเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[78]
ภายหลังจากที่ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมือง รัฐบาลได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย โดยตัดคำว่า "วิชา" และ "การเมือง" ออก เหลือเพียงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไม่ให้นักศึกษายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งยังขายหุ้นทั้งหมดของมหาวิทยาลัย จนไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงตัวเองได้ กลายเป็นมหาวิทยาลัยปิดที่ต้องอาศัยงบประมาณจากรัฐบาล[79][80]
ด้านการต่างประเทศ
เมื่อภารกิจด้านการปกครองในกระทรวงมหาดไทยเข้ารูปเข้ารอยแล้ว ปรีดี พนมยงค์ ได้ก้าวเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พ.ศ. 2478–พ.ศ. 2481)[81][82] ในเวลานั้นสยามยังอยู่ภายใต้บังคับของสนธิสัญญาระหว่างประเทศอันไม่เป็นธรรม ที่รัฐบาลสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ถูกบังคับให้ทำไว้กับประเทศต่าง ๆ 13 ประเทศ ในนามของ "สนธิสัญญาทางไมตรีพาณิชย์และการเดินเรือ"
ใน พ.ศ. 2478 หลังจากได้ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแล้ว รัฐบาลเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ควรจะหาทางยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาค และทวงอำนาจอธิปไตยของประเทศกลับคืนมา โดยยึดหลักเอกราชทั้งในทางการเมือง การศาล และเศรษฐกิจ ตลอดจนหาทางลดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินที่รัฐบาลเก่าได้ทำสัญญาไว้ ปรีดี พนมยงค์ และคณะจึงออกเดินทางไปพบปะเจรจากับผู้นำประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ในยุโรป อเมริกา และเอเชีย อาทิ เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำฟาสซิสต์แห่งอิตาลี ปีแอร์ ลาวาล นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฮจาล์ มาร์ ซาคท์ตัวแทนของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมัน เซอร์ แซมมวล ฮอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ คอร์เดล ฮัลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิฮิโรฮิโตแห่งญี่ปุ่น และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในหลายประเทศ[83]
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ดำรงตำแหน่ง ปรีดีได้ใช้ความพยายามทางการทูตเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคที่สยามได้ทำไว้กับประเทศมหาอำนาจ 13 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ สเปน โปรตุเกส เดนมาร์ก สวีเดน อิตาลี เบลเยียม และนอร์เวย์ ตามลำดับ ซึ่งประเด็นหลักในการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคมีอยู่ 2 ประเด็น คือ
- สิทธิสภาพนอกอาณาเขต คือคนในบังคับของต่างประเทศไม่ต้องขึ้นต่อศาลสยาม ทำให้สยามสูญเสียเอกราชในทางศาล
- ภาษีร้อยชักสาม คือรัฐบาลสยามสามารถเรียกเก็บภาษีศุลกากรขาเข้าได้เพียงไม่เกินร้อยละ 3 ทำให้สยามขาดรายได้เข้าประเทศเท่าที่ควรจะได้ นับเป็นการสูญเสียเอกราชในทางเศรษฐกิจ[84]
โดยใช้ยุทธวิธีบอกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับประเทศคู่สัญญาเหล่านั้น และได้ยื่นร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่โดยอาศัยหลัก "ดุลยภาพแห่งอำนาจ" จนสามารถยกเลิกสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นผลสำเร็จ ทำให้สยามได้เอกราชทางศาลและเอกราชทางเศรษฐกิจกลับคืนมา และมีสิทธิเสมอภาคกับนานาประเทศทุกประการ[85][86][87]
หนังสือพิมพ์สเตรตไทม์ของสิงคโปร์ กล่าวยกย่องปรีดีไว้ในบทบรรณาธิการว่า "ดอกเตอร์ปรีดี พนมยงค์ เสมือนหนึ่งเป็น แอนโทนี อีเดน" ผู้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนสำคัญของรัฐบาลอังกฤษ[58]
ด้านการคลัง
เมื่อปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (พ.ศ. 2481–พ.ศ. 2484) ได้ตั้งปณิธานที่จะใช้เครื่องมือทางการคลังสร้างความมั่นคงให้แก่ชาติ สร้างความเป็นธรรมและความสุขสมบูรณ์แก่ราษฎร[66] โดยแถลงต่อรัฐสภาว่าจะปรับปรุงระบบการเก็บภาษีให้เป็นธรรมแก่สังคม และได้บรรลุภารกิจในด้านการจัดเก็บภาษีอากรที่สำคัญ ดังนี้
- ช่วยเหลือราษฎรที่ต้องแบกรับภาษีที่ไม่เป็นธรรม ด้วยการยกเลิกเงินภาษีรัชชูปการ และอากรค่านา (เงินส่วย) ซึ่งชาวนาต้องเสียแก่เจ้าศักดินา เป็นต้น
- จัดระบบเก็บภาษีอากรที่เป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตยโดนสถาปนา "ประมวลรัษฎากร" เป็นแบบฉบับครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งรวมบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีอากรทางตรง
- ออก พรบ.ภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นภาษีก้าวหน้า กล่าวคือผู้ใดมีรายได้มากก็เสียภาษีมากหากมีรายได้น้อยก็เสียภาษีน้อย และผู้ใดบริโภคเครื่องบริโภคที่ไม่จำเป็นแก่การดำรงชีพก็ต้องเสียภาษีอากรมากตามลำดับ[88][89]
ในด้านการสร้างเสถียรภาพทางการเงินและการคลังของประเทศ ปรีดีคาดการณ์ว่าอาจเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นในไม่ช้า เงินปอนด์สเตอร์ลิงซึ่งสยามประเทศใช้เป็นทุนสำรองเงินตราอาจจะลดค่าลงได้ เขาพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่าภายใต้สถานการณ์ของโลกที่มีความไม่แน่นอนนั้น การเก็บรักษาทุนสำรองของชาติเอาไว้เป็นทองคำแท่งน่าจะเป็นนโยบายที่เหมาะสม และเห็นว่าอังกฤษซึ่งอยู่ในสถานะสงครามกับเยอรมนีในยุโรปแล้วตั้งแต่ปี 2482 มีแนวโน้มว่าจะต้องเผชิญหน้ากับญี่ปุ่นในเอเชียแปซิฟิกด้วยในอนาคตอันใกล้ อันจะมีผลกระทบต่อสถานภาพของเงินปอนด์สเตอร์ลิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น จึงได้จัดการเอาเงินปอนด์ที่เป็นเงินทุนสำรองเงินตราจำนวนหนึ่งซื้อทองคำแท่งหนัก 1 ล้าน ออนซ์ ในราคาออนซ์ละ 35 ดอลลาร์สหรัฐ นำมาเก็บไว้ในห้องนิรภัยกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ยังได้โอนเงินปอนด์เพื่อแลกซื้อเงินดอลลาร์และทองคำแท่งเก็บไว้ที่สหรัฐอเมริกาอีกส่วนหนึ่ง ทำให้เสถียรภาพของค่าเงินบาทในเวลานั้นมั่นคงที่สุดแม้ว่าเป็นระยะใกล้จะเกิดสงครามเต็มทีแล้ว ทองคำแท่งจำนวนดังกล่าวยังคงเก็บรักษาไว้เป็นทุนสำรองเงินบาทอยู่จนทุกวันนี้[90][91]
เมื่อได้ปรับปรุงระบบภาษีอากรให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งระบบการเงินของประเทศก็มีความมั่นคงด้วยทุนสำรองเงินตราอันประกอบด้วยทองคำและเงินตราต่างประเทศในสกุลที่ทั่วโลกยอมรับ ปรีดีในฐานะผู้รับผิดชอบบริหารนโยบายการเงินการคลังของประเทศ ก็ได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งชาติ ซึ่งได้เคยปรารภไว้แล้วในเค้าโครงการเศรษฐกิจมาพิจารณาอย่างจริงจัง โดยจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยขึ้นก่อน และเร่งฝึกพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ให้พร้อมในการบริหารธนาคารชาติ ต่อมาจึงได้จัดตั้ง "ธนาคารชาติไทย" ขึ้น ใน พ.ศ. 2483 ปัจจุบันคือ "ธนาคารแห่งประเทศไทย"[92][93] เพื่อทำหน้าที่เป็นธนาคารชาติของรัฐโดยสมบูรณ์
บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะอุบัติขึ้น ปรีดี พนมยงค์ เล็งเห็นว่าลัทธิเผด็จการทหารกำลังจะจุดชนวนให้เกิดสงครามโลก จึงอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง "พระเจ้าช้างเผือก"[94] เพื่อสื่อทัศนะสันติภาพและคัดค้านการทำสงครามผ่านไปยังนานาประเทศ โดยแสดงจุดยืนอย่างแจ่มชัดด้วยพุทธภาษิตที่ปรากฏในภาพยนตร์ที่ว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" (ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ) ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสื่อให้เห็นว่าชาวสยามพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อต่อด้านสงครามรุกรานอย่างมีศักดิ์ศรี[95][96]
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 สภาผู้แทนราษฎรมีมติแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลขึ้นใหม่ แทนเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ประกอบด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และปรีดี พนมยงค์[97] ต่อมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ทรงลาออกจากตำแหน่ง สภาผู้แทนราษฎรจึงมีมติแต่งตั้งปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว (1 สิงหาคม พ.ศ. 2487–20 กันยายน พ.ศ. 2488)[12] และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปอีก เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่สามารถเสด็จนิวัติประเทศไทยได้[98]
หัวหน้าขบวนการเสรีไทย
ปลาย พ.ศ. 2484 สงครามมหาเอเชียบูรพาปะทุขึ้นเมื่อกองทัพญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐอเมริกา และรวมไปถึงดินแดนในครอบครองของอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมา เช้ามืดวันที่ 8 ธันวาคม ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตามแนวชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย และส่งกองกำลังภาคพื้นดินบุกเข้าประเทศไทยทางอินโดจีนฝรั่งเศส รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ตกลงทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเพื่อให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านแผ่นดินไทย ในที่สุดก็ร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่น และประกาศสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 อันเป็นการละเมิดต่อประกาศพระบรมราชโองการให้ปฏิบัติตามความเป็นกลาง พ.ศ. 2482[99][100][101]
ปรีดี พนมยงค์ ไม่เห็นด้วยกับการให้ญี่ปุ่นละเมิดอธิปไตยและแสดงจุดยืนให้ปรากฏโดยเป็นผู้นำในการจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่น หรือต่อมาเรียกว่า "ขบวนการเสรีไทย" ประกอบด้วยคนไทยทุกชั้นวรรณะ ทั้งที่อยู่ในประเทศและอยู่ต่างประเทศ เขาไม่ยอมลงนามในประกาศสงครามนั้นด้วยเหตุผลสำคัญที่ว่า หากลงนามไปแล้วก็ยากที่จะให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเชื่อถือการปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทย[100][102][103]
กระแสความไม่พอใจต่อการตัดสินใจของรัฐบาลจอมพล ป. ได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่ชนทุกเหล่า แต่รัฐบาลถือว่าตนเองมีความชอบธรรมในการปราบปรามผู้ที่ไม่เห็นด้วย อีกทั้งกองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามาประจำการในประเทศ ก็ใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวต่อผู้ที่ต้องสงสัยว่าดำเนินกิจกรรมต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ดังนั้นปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลและญี่ปุ่นผู้รุกรานจึงต้องเป็นงาน "ใต้ดิน" ที่ปิดลับ[104]
ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และหัวหน้าขบวนการเสรีไทยในรหัสนามว่า "รู้ธ" (Ruth) ทำงานในสองบทบาทตลอดสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยถือความลับสุดยอดเป็นหัวใจของการปฏิบัติงาน[105][106] คณะผู้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยได้กำหนดภารกิจที่จะต้องปฏิบัติไว้ในชั้นแรกสองประการ คือ
- ต่อสู้กับญี่ปุ่นผู้รุกราน
- ปฏิบัติการให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองเจตนารมณ์ที่แท้จริงของราษฎรไทย ต่อมาเมื่อรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ภารกิจขององค์การเสรีไทยถูกได้เพิ่มขึ้นมาอีกประการหนึ่ง คือ[17]
- ให้สัมพันธมิตรรับรองว่าประเทศไทยไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามร่วมกับญี่ปุ่น
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 ปรีดีแจ้งให้สัมพันธมิตรทราบว่า เสรีไทยจำนวน 8 หมื่นคนทั่วประเทศพร้อมที่จะลุกฮือขึ้นเพื่อทำสงครามกับทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร้องขอให้ชะลอแผนนี้ไว้ก่อน ด้วยเหตุผลทางแผนยุทธศาสตร์ของฝ่ายสัมพันธมิตร[107] ในที่สุดฝ่ายญี่ปุ่นก็ยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไขเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488
เมื่อญี่ปุ่นได้ยอมจำนน ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงได้แจ้งให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยว่า สัมพันธมิตรไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นผู้แพ้สงคราม ประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครอง รัฐบาลไทยไม่ต้องยอมจำนน กองทัพไทยไม่ต้องวางอาวุธ และให้รีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธการประกาศสงครามระหว่างไทยกับสัมพันธมิตร เพื่อลบล้างข้อผูกพันทั้งหลายที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำไว้กับญี่ปุ่น[100][108][109]
ประกาศสันติภาพ
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ออกประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล[110] ว่าการประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 เป็น "โมฆะ" ไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย และประเทศไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติในการสถาปนาสันติภาพในโลกนี้ ต่อมารัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 16 สิงหาคม ของทุกปีเป็น "วันสันติภาพไทย"[111][112]
ภายหลังจากการประกาศสันติภาพ ตัวแทนพลพรรคเสรีไทยจากทั่วประเทศกว่า 8, 000 นาย ได้เดินสวนสนามผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน โดยมีปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และหัวหน้าขบวนการเสรีไทยเป็นประธาน เมื่อสิ้นสุดภารกิจลงแล้ว เขาได้ประกาศยกเลิกขบวนการเสรีไทย[9] โดยมีสุนทรพจน์บางตอนว่า
...ในโอกาสนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะแสดงเปิดเผยในนามของสหายทั้งหลายถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ซึ่งเราทั้งหลายได้ถือเป็นหลักในการรับใช้ชาติครั้งนี้ว่า เรามุ่งจะทำหน้าที่ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคนไทย ซึ่งจะต้องสนองคุณชาติ เราทั้งหลายไม่ได้มุ่งหวังทวงเอาตำแหน่งในราชการมาเป็นรางวัลตอบแทน การกระทำทั้งหลายไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลหรือหมู่คณะใด แต่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้งมวล... ...วัตถุประสงค์ของเราที่ทำงานคราวนี้มีจำกัดดังกล่าวแล้ว และมีเงื่อนเวลาสุดสิ้น กล่าวคือเมื่อสภาพการเรียบร้อยลงแล้ว องค์การเหล่านี้ก็จะเลิก และสิ่งซึ่งจะเหลืออยู่ในความทรงจำของเราทั้งหลาย ก็คือมิตรภาพอันดีในทางส่วนตัวที่เราได้ร่วมรับใช้ชาติด้วยกันมา โดยปราศจากความคิดที่จะเปลี่ยนสภาพองค์การเหล่านี้ให้เป็นคณะหรือพรรคการเมือง...ผู้ที่ได้ร่วมงานกับข้าพเจ้าคราวนี้ ถือว่าทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ชาติ มิได้ถือว่าเป็นผู้กู้ชาติ การกู้ชาติเป็นการกระทำของคนไทยทั้งปวง ซึ่งแม้ผู้ไม่ได้ร่วมในองค์การนี้โดยตรง ก็ยังมีอีกประมาณ 17 ล้านคนที่ได้กระทำโดยอิสระในการต่อต้านด้วยวิถีทางที่เขาเหล่านั้นสามารถจะทำได้ หรือเอากำลังใจช่วยขับไล่ให้ญี่ปุ่นพ้นไปจากประเทศไทยโดยเร็วก็มี[113]
เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้วปรีดี พนมยงค์ จึงขออัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติประเทศไทยเพื่อทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองต่อไป โดยได้เสด็จกลับถึงพระนครวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบปรีดีที่ไปเฝ้ารับเสด็จดังนี้
ท่านปรีดี พนมยงค์ ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้กลับมาสู่พระนคร เพื่อบำเพ็ญพระกรณียกิจตามหน้าที่ของข้าพเจ้าต่อประชาชนและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้[114]
บทบาททางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
รัฐบุรุษอาวุโส
ด้วยคุณูปการที่เป็นผู้นำในการกอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ซึ่งถือได้ว่าเป็นตำแหน่งทางการเมืองอันทรงเกียรติสูงสุด ดังที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ความว่า
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า นายปรีดี พนมยงค์ ได้เคยรับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งสำคัญ ๆ มาแล้วหลายตำแหน่ง จนในที่สุดได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และปรากฏว่า ตลอดเวลาที่ นายปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและด้วยความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ทั้งได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในความปรีชาสามารถ บำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นเอนกประการ
จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกย่อง นายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส และให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดิน เพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป
ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป[13]
ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับพระราชทาน[115][116] แก่รัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488[117]
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ปรีดี พนมยงค์ ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[6] เขาได้ใช้ความรู้ความสามารถเจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตรในปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงกับอังกฤษ เรื่องสัญญาสมบูรณ์แบบ และการเจรจาให้รัฐบาลสหรัฐยกเลิกคำสั่งเพิกถอนเงินซึ่งได้ถูกกักกันไว้ในสหรัฐ ให้ประเทศไทยสามารถแก้ไขสถานะผู้แพ้สงครามได้สำเร็จอย่างละมุนละม่อม สามารถเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติลำดับที่ 55[118]
วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต รัฐบาลปรีดีที่เพิ่งชนะเลือกตั้งหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 จึงขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อัญเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อไป[119][120] เมื่อสภามีมติเห็นชอบแล้ว ปรีดีก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ทั้งที่เพิ่งได้รับโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2489[121] แต่สภาผู้แทนราษฎรก็สนับสนุนให้ปรีดีดำรงตำแหน่งตามเดิม[122][123]
กรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้ทำให้ศัตรูทางการเมืองของปรีดี ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทหารสาย จอมพล ป. พิบูลสงครามที่สูญเสียอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคการเมืองฝ่ายค้านนำโดย พรรคประชาธิปัตย์[124] และกลุ่มอำนาจเก่า[125] ฉวยโอกาสนำมาใช้ทำลายปรีดีทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ ร้านกาแฟ และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในศาลาเฉลิมกรุงว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง"[14][126] และนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 โดยหลังจากนั้น หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปรีดี ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน[127]
ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2489 ภายหลังจากที่ปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ได้รับเชิญจากรัฐบาลหลายประเทศให้ไปเยือนประเทศเหล่านั้น รัฐบาลไทยจึงมอบหมายให้เขาเป็นหัวหน้าคณะทูตสันถวไมตรีเดินทางรอบโลกเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและพบปะกับผู้นำนานาประเทศ โดยได้ไปเยือนประเทศจีนเป็นแห่งแรก จากนั้นก็ไปฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ รวมทั้งสิ้นเก้าประเทศ และกลับมาถึงกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 รวมเวลาที่ออกไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ 3 เดือนเต็ม[128][129]
ลี้ภัยรัฐประหาร
ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหาร ประกอบด้วย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ พ.อ.กาจ กาจสงคราม พ.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.อ.ถนอม กิตติขจร พ.ท.ประภาส จารุเสถียร และ ร.อ.สมบูรณ์ (ชาติชาย) ชุณหะวัณ ได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศ จากรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ด้วยสาเหตุที่รัฐบาลไม่สามารถคลี่คลายคดีสวรรคตลงได้ ประกอบกับการลดบทบาทของกองทัพ และปัญหาทางเศรษฐกิจ[18] หลังจากยึดอำนาจสำเร็จ คณะรัฐประหารได้นำกำลังทหารพร้อมรถถังบุกยิงทำเนียบท่าช้างวังหน้าซึ่งปรีดีและครอบครัวอาศัยอยู่ แล้วพยายามจะจับกุมตัวปรีดี แต่เขาก็หลบหนีไปได้ภายใต้การอารักขาของทหารเรือและได้อาศัยฐานทัพเรือสัตหีบเป็นที่หลบภัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อพิจารณาเห็นว่ายังไม่พร้อมที่จะต่อต้านคณะรัฐประหาร จึงได้ลี้ภัยการเมืองไปยังประเทศสิงคโปร์ จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2491 จึงออกเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน[130]
ต่อมา ใน พ.ศ. 2492 ปรีดี พนมยงค์ กลับมาประเทศไทยเพื่อยึดอำนาจคืนจากรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในเหตุการณ์ "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 แต่กระทำไม่สำเร็จ (เรียกกันว่า "กบฏวังหลวง")[131] ทำให้ปรีดี พนมยงค์ ต้องเดินทางออกจากประเทศไทยไปพำนักยังประเทศสิงคโปร์เพื่อจะไปสู่สหรัฐอเมริกา แต่ด้วยเหตุที่มีปัญหาเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง ทำให้ปรีดีต้องเดินทางไปยังประเทศจีนซึ่งขณะนั้นยังอยู่ภายใต้รัฐบาลก๊กมินตั๋งแทน ต่อมา พ.ศ. 2513 จึงได้เดินทางต่อไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และได้พำนักอยู่ที่นั่นตลอดมาจนเสียชีวิต[132]
ปัจฉิมวัย
หลายปีที่ปรีดีลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ ยังมีการกล่าวหาว่าปรีดีสมคบการปลงพระชนม์ในหลวงอยู่เป็นระยะ ๆ เขาจึงต้องฟ้องร้องผู้ใส่ความหมิ่นประมาทต่อศาลยุติธรรม[133][134][135][136] ผลปรากฏว่าศาลตัดสินให้ชนะทุกคดี นอกจากนี้ โดยคำพิพากษาของศาลในกรณีฟ้องร้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสกับพวก ในข้อหาร่วมกันละเมิดสิทธิของโจทก์[19] ปรีดีจึงได้รับความรับรองจากทางราชการในฐานะคนไทยโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ และได้รับเงินบำนาญตลอดจนได้รับหนังสือเดินทางของไทย[16][20][137][138][139]
ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ปรีดีได้มีโอกาสพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำพรรคและรัฐบาลจีนไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตง นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล จอมพลเฉินยี่ เติ้ง เสี่ยวผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ยังได้พบปะสนทนากับผู้นำกอบกู้เอกราชของชาติในอินโดจีน อาทิ ประธานาธิบดีโฮจิมินห์และนายกรัฐมนตรีฝ่ามวันดง แห่งเวียดนาม เจ้าสุภานุวงศ์ ประธานประเทศลาว เจ้าสุวรรณภูมา และพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ กษัตริย์แห่งกัมพูชา โดยเฉพาะมิตรภาพระหว่างปรีดีกับประธานโฮจิมินห์นั้น ยืนยาวมาตั้งแต่สมัยที่เขาผู้นี้ต่อสู้กับฝรั่งเศส[139]
ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 โจวเอินไหลได้อำนวยความสะดวกให้ปรีดีเดินทางจากประเทศจีนไปยังกรุงปารีส ด้วยความช่วยเหลือจากนายกีโยม จอร์จ-ปีโก (Guillaume Georges- Picot) มิตรเก่าที่มีตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตถาวรของประเทศฝรั่งเศส และโดยได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดี ชาร์ลส์ เดอ โกลล์[140] ปรีดีจึงได้พำนักอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปลายชีวิตอย่างสันติสุข ท่านเป็นผู้สนใจสนใจในพุทธศาสนา[141] โดยเฉพาะหนังสือเรื่อง "กฎบัตรของพุทธบริษัท" ที่พุทธทาสภิกขุส่งไปให้นั้น ปรีดีจะพกในกระเป๋าเสื้อนอกติดตัวอยู่ตลอดเวลาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต[142]
เวลา 11 นาฬิกาเศษ ของวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส ปรีดี พนมยงค์ สิ้นใจด้วยอาการหัวใจวายขณะกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน[17]
งานเขียน
ปรีดีเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทางด้านวิทยาการต่าง ๆ ทั้งสังคมศาสตร์ ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ รวมทั้งผลงานของเมธีทางด้านปรัชญาและสังคมศาสตร์ เช่น มาร์กซ์ เองเงิลส์ เลนิน สตาลิน และเหมา เจ๋อตุง ในเชิงเปรียบเทียบสภาพสังคมไทยทุกแง่ทุกมุม อาทิ ระบอบเศรษฐกิจ การเมือง ทัศนะสังคม ประวัติศาสตร์ ชนชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี แล้วได้เรียบเรียงเป็นบทความ ซึ่งได้ตีพิมพ์ในโอกาสต่อมา[17]
งานเขียนชิ้นสำคัญของเขาที่นำพุทธปรัชญามาวิเคราะห์วิวัฒนาการของมนุษยสังคมคือ "ความเป็นอนิจจังของสังคม" ซึ่งได้รับการตีพิมพ์หลายครั้งและเป็นที่สนใจของผู้ที่ต้องการศึกษาอยู่ตลอดมา เพราะข้อความที่เขียนอันเป็นสัจจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย[17]
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดนิ่งคงอยู่กับที่ ทุกสิ่งที่มีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง…พืชพันธุ์ รุกขชาติ และสัตวชาติทั้งปวง รวมทั้งมนุษยชาติที่มีชีวิตนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้วก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ จนถึงขีดที่ไม่อาจเติบโตได้อีกต่อไป แล้วก็ดำเนินสู่ความเสื่อมและสลายในที่สุด
ผลงานงานเขียนบางส่วนของปรีดี ได้แก่[143]
- บันทึกข้อเสนอเรื่อง ขุดคอคอดกระ, กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501
- ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน (Ma vie mouvementee et mes 21 ans d' exil en Chine Populaire)
- ความเป็นมาของชื่อ “ประเทศสยาม” กับ “ประเทศไทย”
- จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม
- ประชาธิปไตย เบื้องต้นสำหรับสามัญชน
- ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ
- ปรัชญาคืออะไร
- “ความเป็นไปบางประการในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ใน บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์…
- บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย
- ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเอกภาพของชาติและประชาธิปไตย
- ความเป็นเอกภาพกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาชาวปักษ์ใต้แห่งประเทศไทย, 2517
- อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน, ประจักษ์การพิมพ์, 2518
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
- พ.ศ. 2488 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝ่ายหน้า) รับพระราชทาน 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488[117]
- พ.ศ. 2488 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายหน้า) รับพระราชทาน 9 ธันวาคม พ.ศ. 2488[144]
- พ.ศ. 2484 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) รับพระราชทาน 19 มิถุนายน พ.ศ. 2484[145]
- พ.ศ. 2480 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) รับพระราชทาน 13 ธันวาคม พ.ศ. 2480[146]
- พ.ศ. 2478 – เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (พ.ร.ธ.) รับพระราชทาน 21 เมษายน พ.ศ. 2478[147]
- พ.ศ. 2481 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน (ร.ด.ม.(ผ)) รับพระราชทาน 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481[148]
- พ.ศ. 2481 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 1 (อ.ป.ร.1) รับพระราชทาน 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481[149]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
ประเทศ | ปีที่ได้รับ | เครื่องอิสริยาภรณ์ | แพรแถบ | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|
ญี่ปุ่น | พ.ศ. 2478 | เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นที่ 1 | [150][151] | |
ไรช์เยอรมัน | พ.ศ. 2481 | เครื่องอิสริยาภรณ์อินทรีเยอรมัน ชั้นสูงสุด | [152][153] | |
ฝรั่งเศส | พ.ศ. 2482 | เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นสูงสุด | [154][155] | |
เบลเยียม | พ.ศ. 2482 | เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลโอปอลด์ ชั้นสูงสุด รับพระราชทานจากสมเด็จพระราชาธิบดีเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยี่ยม | [156] | |
อิตาลี | พ.ศ. 2482 | เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญมอริซและลาซารัส ชั้นสูงสุด รับพระราชทานจากพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 แห่งอิตาลี | [157] | |
บริเตนใหญ่ | พ.ศ. 2482 | เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญไมเคิลและจอร์จ ชั้นสูงสุด รับพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร | [158] | |
สหรัฐ | 10 ธันวาคม พ.ศ. 2489 | เหรียญแห่งเสรีภาพ ปาล์มทองคำ รับพิธีประดับเหรียญจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ณ กระทรวงกลาโหม กรุงวอชิงตัน | ||
สวีเดน | พ.ศ. 2490 | เครื่องราชอิสริยาภรณ์วาซา ชั้นสูงสุด รับพระราชทานจากสมเด็จพระราชาธิบดีกุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟแห่งสวีเดน | [159] |
การเชิดชูเกียรติ
วันสำคัญ
ทุกวันที่ 11 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของปรีดี พนมยงค์ ในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาล เมื่อ ค.ศ. 2000 ปรีดีได้รับการประกาศยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก และได้มีการบรรจุชื่อไว้ในปฏิทินเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของยูเนสโก[160]
พันธุ์สัตว์
เมื่อ พ.ศ. 2546 ได้ค้นพบปลาปล้องทองปรีดี (Schistura pridii) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยตั้งชื่อตามนามของปรีดี พนมยงค์[161] และ นายเอช.จี.ไดแนน (H.G.Deignan) ได้ค้นพบ นกปรีดี (Chloropsis aurifrons pridii) ที่ดอยอ่าง ดอยอินทนนท์ซึ่งนกปรีดีนั้นเป็นนกชนิดย่อยของนกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง ที่สถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย และพบกระจายพันธุ์อยู่บริเวณภาคเหนือเรื่อยลงไปทางด้านตะวันตกจนถึงจังหวัดตาก เป็นนกประจำถิ่นที่มีสีสันสวยงาม กินผลไม้และแมลงเป็นอาหาร นอกจากนี้นายไดแนน ยังตั้งชื่อนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าอีกชนิดย่อยหนึ่ง ที่พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคใต้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ขบวนการเสรีไทยว่า Chloropsis cochinchinensis seri-thai[162]
สถานที่
อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 2 ที่คือ บริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของปรีดี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกปรีดี พนมยงค์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมือง ตรงข้ามวัดพนมยงค์ อนุสาวรีย์ปรีดีพนมยงค์เป็นรูปสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งของปรีดี 3 ประการคือ สันติภาพ เสรีไทยและประชาธิปไตย[163] และห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอนุสรณ์แห่งแรกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปรีดี พนมยงค์[164]
สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้จัดสร้างอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ขึ้น ณ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและราษฎรไทย เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2538[165]
คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ คณะนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงความผูกพันระหว่างศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ กับศาสตราจารย์ ไสว สุทธิพิทักษ์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยและเป็นอธิการบดีคนแรก[166]
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ เป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเนื้อที่รวมประมาณ 10, 000 ตารางเมตร แต่เดิมชื่อ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเปลี่ยนเป็น ห้องสมุดธรรมศาสตร์ ในเวลาต่อมา ก่อตั้งขึ้นพร้อม กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใน พ.ศ. 2477 เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2540[167]
วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นส่วนราชการไทยระดับคณะวิชา สังกัดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์เพื่อรองรับการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติ โดยจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในวาระครบ 100 ปี ชาตกาล[168][169]
เพลง
ปรีดีคีตานุสรณ์ คือ บทเพลงซิมโฟนีหมายเลข 4 ประพันธ์โดยคีตกวี สมเถา สุจริตกุล ในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์[170] ซึ่งใน พ.ศ. 2543 ดุษฎี พนมยงค์ได้ขับร้องในการแสดงรอบปฐมทัศน์ "ปรีดีคีตานุสรณ์" ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย[170] และใน พ.ศ. 2545 ดุษฎี พนมยงค์ ก็ได้แสดงขับร้องใน "ปรีดีคีตานุสรณ์" ร่วมกับวงดุริยางค์และคณะนักร้องประสานเสียงแห่งชาติเวียดนาม ณ ฮานอย
อื่น ๆ
- ถนนปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 3 สาย คือที่ถนนสุขุมวิท 71, ถนนใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยา และภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
- สะพานปรีดี-ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสักอันเป็นทางเข้าออกหลักของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ตั้งตามชื่อปรีดี พนมยงค์ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์[171]
- ถนนประดิษฐ์มนูธรรม เป็นถนนเลียบทางพิเศษฉลองรัช (ทางด่วนสายรามอินทรา-อาจณรงค์) มีความยาว 12 กิโลเมตร
- แสตมป์ ชุดที่ระลึก 111 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด วางจำหน่ายครั้งแรก 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554[172]
อ้างอิง
- ↑ อนุสาวรีย์ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, เรียกข้อมูลวันที่ 25 เม.ย. 2555
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2471/D/2718.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2475/A/313.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2488/A/070/699.PDF
- ↑ สันติสุข โสภณศิริ, ผู้กำเนิดรัฐธรรมนูญไทย ปรีดี พนมยงค์, เรือนแก้วการพิมพ์, 2543, ISBN 974-7833-54-9
- ↑ 6.0 6.1 ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศตั้งนายกรัฐมนตรี, ตอนที่ 16, เล่ม 63, วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2489, หน้า 118
- ↑ รายนามผู้ดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การ อธิการบดี และ ผู้รักษาการแทนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, เว็บไซต์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, เรียกข้อมูลวันที่ 18 พ.ย. 2552
- ↑ ประวัติธนาคารแห่งประเทศไทย, เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย, เรียกข้อมูลวันที่ 6 ก.ค. 2553
- ↑ 9.0 9.1 วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ กับขบวนการเสรีไทย, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ นิยม รักษาขันธ์ (นายสีดอกกาว), บันทึกลับเสรีไทยภูพาน, สถาบันราชภัฏสกลนคร, 2543, หน้า 97, 134-139
- ↑ ประมาณ อดิเรกสาร, ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย, สำนักพิมพ์เส้นทาง, 2545, หน้า 59-62, 81
- ↑ 12.0 12.1 ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ตอนที่ 45, เล่ม 61, วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487, หน้า 730
- ↑ 13.0 13.1 ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่อง ปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐบุรุษอาวุโส, ตอนที่ 70, เล่ม 62, วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488, หน้า 699
- ↑ 14.0 14.1 ส. ศิวรักษ์, เรื่องปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540, หน้า 54–55
- ↑ ส. ศิวรักษ์, เรื่องปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540, หน้า 8
- ↑ 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 วาณี สายประดิษฐ์, ปรีดีในต่างแดน, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ 18.0 18.1 ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, ISBN 974-92685-3-9
- ↑ 19.0 19.1 ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน, บทที่ 1 การเดินทางออกจากสาธารณรัฐราษฎรจีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 6-9
- ↑ 20.0 20.1 สัจจา วาที, ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เปิดเผยต่อศาล ปรีดี พนมยงค์ คือผู้บริสุทธิ์, สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม
- ↑ UNESCO: MS Data Thailand, UNESCO
- ↑ Asia Week, Asian of the century
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ นักคิด นักเขียน
- ↑ ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์ สกุล พนมยงค์ และ สกุล ณ ป้อมเพชร์, โครงการปรีดีพนมยงค์กับสังคมไทย, 2526, หน้า 163
- ↑ วิชัย ภู่โยธิน, ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์, ไทยวัฒนาพาขิช, หน้า 11, 2538, ISBN 974-08-2445-5
- ↑ วัดพนมยงค์ คำสัมภาษณ์พระอธิการเอิ้อ เจ้าอาวาส, มติชน 15 พฤษภาคม 2526, หนังสือที่ระลึกงานชุมนุมศิษย์เก่า ตมธก.รุ่น 2, 2527, หน้า 13-14
- ↑ วิชัย ภู่โยธิน, ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์, ไทยวัฒนาพานิช, หน้า 9, 2538, ISBN 974-08-2445-5
- ↑ นาวี รังสิวรารักษ์, รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, 2544, หน้า 2, ISBN 974-604-957-7
- ↑ นาวี รังสิวรารักษ์, รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, 2544, หน้า 4-6, ISBN 974-604-957-7
- ↑ นาวี รังสิวรารักษ์, รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, 2544, หน้า 10, ISBN 974-604-957-7
- ↑ นาวี รังสิวรารักษ์, รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, 2544, หน้า 11-14, ISBN 974-604-957-7
- ↑ นาวี รังสิวรารักษ์, รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, 2544, ISBN 974-604-957-7
- ↑ สุนทรี อาสะไวย์, ประวัติคลองรังสิต : การพัฒนาที่ดินและผลกระทบต่อสังคม พ.ศ. 2431-2457, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530
- ↑ นาวี รังสิวรารักษ์, รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, 2544, หน้า 48-55, ISBN 974-604-957-7
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, เรื่องการมีจิตสำนึกอภิวัฒน์ของข้าพเจ้า ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 14
- ↑ ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์, บพิธการพิมพ์, 2493, หน้า 6
- ↑ ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์, บพิธการพิมพ์, 2493, หน้า 5
- ↑ วิชัย ภู่โยธิน, ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์, ไทยวัฒนาพานิช, หน้า 13-14, 2538, ISBN 974-08-2445-5
- ↑ วิชัย ภู่โยธิน, ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์, ไทยวัฒนาพานิช, หน้า 20, 2538, ISBN 974-08-2445-5
- ↑ วิชัย ภู่โยธิน, ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์, ไทยวัฒนาพานิช, หน้า 23, 2538, ISBN 974-08-2445-5
- ↑ วิชัย ภู่โยธิน, ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์, ไทยวัฒนาพานิช, หน้า 25, 2538, ISBN 974-08-2445-5
- ↑ 42.0 42.1 ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์, วิสิษฏสรอรรถ, หน้า 3
- ↑ เดือน บุนนาค ข้าพเจ้ารู้จักกับท่านปรีดี พนมยงค์, ปรีดีปริทัศน์, 2542, หน้า 14
- ↑ เดือน บุนนาค ข้าพเจ้ารู้จักกับท่านปรีดี พนมยงค์, ปรีดีปริทัศน์, 2542, หน้า 12
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์, วิสิษฏสรอรรถ, หน้า 4
- ↑ เดือน บุนนาค ข้าพเจ้ารู้จักกับท่านปรีดี พนมยงค์, ปรีดีปริทัศน์, 2542, หน้า 15-17
- ↑ เดือน บุนนาค ข้าพเจ้ารู้จักกับท่านปรีดี พนมยงค์, ปรีดีปริทัศน์, 2542, หน้า 19
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544, หน้า 13-17, ISBN 974-7834-15-4
- ↑ นรุตม์, หลากบทชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์, แพรวสำนักพิมพ์, อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, หน้า, 2535, ISBN 974-8359-86-7
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานบรรดาศักดิ์, เล่ม 45, วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2471, หน้า 2718
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศ ตั้งกรรมการกรมร่างกฎหมาย, เล่ม 49, วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2475, หน้า 313
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการ กราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์
- ↑ 53.0 53.1 53.2 เดือน บุนนาค ข้าพเจ้ารู้จักกับเขาปรีดี พนมยงค์, ปรีดีปริทัศน์, 2542, หน้า 22
- ↑ ทิพวรรณ (บุญทวี) เจียมธีรสกุล, วิทยานิพนธ์เรื่องความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ : ระยะเริ่มแรก, 2528, หน้า 409-421, 423-424
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544, หน้า 38, ISBN 974-7834-15-4
- ↑ 56.0 56.1 56.2 สุพจน์ ด่านตระกูล, ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ยุค 2475 ที่ถูกบิดเบือน, สถาบันวิทยาศาตร์สังคม, 2536
- ↑ กำพล จำปาพันธ์. ประวัติศาสตร์การเมืองในระบอบประชาธิปไตย สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 (ตอนที่ 1). มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน. เรียกข้อมูล 28-01-2553.
- ↑ 58.0 58.1 วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, 100 ปีของสามัญชน นาม ปรีดี พนมยงค์, นิตยสารสารคดี, ฉบับที่ 182, เมษายน 2543
- ↑ ชัยพงษ์ สำเนียง เล่าเรื่องอภิวัฒน์ 2475, ประชาไท, 20 มิ.ย. 2552, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ สุนทรพจน์ (บางเรื่องของปรีดี พนมยงค์) และ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 (ทัศนะของนายทศ พันธุมเสน), คลังเอกสารสาธารณะ Openbase.in.th, เรียกข้อมูลวันที่ 13 พ.ย. 2552
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475, เล่ม 49, วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475, หน้า 166
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475, ตอนที่ 0ง, เล่ม 49, วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2475, หน้า 3131
- ↑ ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 186, ISBN 974-92685-3-9
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476, ตอนที่ 0ก, เล่ม 50, วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476, หน้า 779
- ↑ เดือน บุนนาค ข้าพเจ้ารู้จักกับเขาปรีดี พนมยงค์, ปรีดีปริทัศน์, 2542, หน้า 23
- ↑ 66.0 66.1 วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ กับเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ 67.0 67.1 สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ศิษย์อาจารย์ฉบับที่ 3, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2541
- ↑ สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ศิษย์อาจารย์ฉบับที่ 3, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2541, หน้า 11
- ↑ สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ศิษย์อาจารย์ฉบับที่ 3, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2541, หน้า 16-17
- ↑ เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2529, หน้า 146-147
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, สุนทรพจน์ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทางวิทยุกระจายเสียง, ตอนที่ 0ง, เล่ม 52, วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2478, หน้า 1140
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544, หน้า 49, ISBN 974-7834-15-4
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ กับพระพุทธศาสนา
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ ตั้งกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการโดยคุณวุฒิ ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พ.ศ. 2476, ตอนที่ 0ง, เล่ม 51, วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2477, หน้า 205
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ : ชีวิต งาน และธรรมศาสตร์ , สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2529, หน้า 31, 59-60
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ : ชีวิต งาน และธรรมศาสตร์ , สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2529, หน้า 26
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531, หน้า 126
- ↑ รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ กับขบวนการเสรีไทย
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์กับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประวัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, www.tu.ac.th
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศตั้งผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี กับตำแหน่งที่นายกรัฐมนตรีดำรงอยู่ในฐานที่เป็นนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, เล่ม 52, วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2478, หน้า 79
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศตั้งรัฐมนตรี, เล่ม 54, วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2480, หน้า 918
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน, บทที่ 3 การเข้าพบมุสโสลินีฯ, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 30-31
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531, หน้า 133
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การแก้ไขสนธิสัญญากับนานาประเทศเป็นผลสำเร็จนับเป็นความชอบในราชการของชาติควรตราไว้เป็นสำคัญ, ตอนที่ 0ง, เล่ม 55, วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481, หน้า 3789
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, หมายกำหนดการพระราชพิธีฉลองสนธิสัญญาใหม่, เล่ม 56, วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2482, หน้า 800
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531, หน้า 135
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531, หน้า 142-143
- ↑ ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 185, ISBN 974-92685-3-9
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531, หน้า 144-145
- ↑ ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์, บพิธการพิมพ์, 2493, หน้า 506-520
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติ ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485, ตอนที่ 30, เล่ม 59, วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2485, หน้า 971
- ↑ ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์, บพิธการพิมพ์, 2493, หน้า 521-528
- ↑ พระเจ้าช้างเผือก ถ่ายช้างได้ดีที่สุดในโลก, มูลนิธิหนังไทย, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
- ↑ สุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน, กระบวนทัศน์สันติวิธีของปรีดี พนมยงค์ กรณีศึกษาเรื่องพระเจ้าช้างเผือก, เรือนแก้วการพิมพ์, 2544, ISBN 974-7834-10-3
- ↑ Pridi Banomyong, The King of The White Elephant, Ruankaew Printing House, 3rd English Edition 1999, ISBN 974-7449-22-6
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศตั้งซ่อมคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ตอนที่ 0ก, เล่ม 58, วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484, หน้า 1821
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ตอนที่ 52 ก, เล่ม 62, วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2488, หน้า 559
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศให้ปฏิบัติตามความเป็นกลาง พุทธศักราช 2482, ตอนที่ 0ก, เล่ม 56, วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2482, หน้า 847
- ↑ 100.0 100.1 100.2 ปรีดี พนมยงค์, หลักฐานสำคัญบางประการเกี่ยวกับสถานะสงครามของประเทศไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2, อรุณการพิมพ์, 2521
- ↑ ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2, สารานุกรมสำหรับเยาวชนฯ เล่ม 4, เว็บไซต์เครือข่ายกาญจนาภิเษก, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
- ↑ เอกสารประวัติศาสตร์, คำให้การต่อศาลอาชญากรสงคราม, โครงการสรรพสาส์น สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2545, หน้า 14, หน้า 114-115, ISBN 974-7834-35-9
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531, หน้า 195-200
- ↑ วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์แสงดาว, 2549, หน้า 251, ISBN 974-9818-83-0
- ↑ ทศ พันธุมเสน, จินตนา ยศสุนทร จากมหาสงครามสู่สันติภาพ, คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส, หน้า 106-107
- ↑ เอกสารประวัติศาสตร์, คำให้การต่อศาลอาชญากรสงคราม, โครงการสรรพสาส์น สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2545, หน้า 18-19, ISBN 974-7834-35-9
- ↑ วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ปรีดี พนมยงค์ กับปฏิบัติการเสรีไทย, คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน, 2543, หน้า 47-56, ISBN 974-7833-69-7
- ↑ จดหมายของปรีดี พนมยงค์ ถึง พระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และ สหรัฐอเมริกา, อมรินทร์การพิมพ์, 2522
- ↑ United States Department of State, Foreign relations of the United States : diplomatic papers, 1945, Volume VI, 1945, pp.1278-1279
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สันติภาพ, ตอนที่ 44ก, เล่ม 62, วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488, หน้า 503
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531, หน้า 202-209
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 16 สิงหาคม 2488 ประวัติศาสตร์ที่ "ให้จำ" กับ "ให้ลืม", ประชาไท, เรียกข้อมูลวันที่ 17 พ.ย. 2552
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, เอกสารและเหตุการณ์ในประวิติศาสตร์การเมือง ปรีดี พนมยงค์ เล่าเรื่องขบวนการเสรีไทย, สำนักพิมพ์จิรวรรณนุสรณ์, หน้า 140
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ปรีดี พนมยงค์ กับ ในหลวงอานันท์ และกรณีสวรรคต, สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), 2541, หน้า 33
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์, เล่ม 10, ตอน 42, 14 มกราคม พ.ศ. 2436, หน้า 459
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย, เล่ม 110, ตอน 29ง ฉบับพิเศษ, 12 มีนาคม พ.ศ. 2536, หน้า 1
- ↑ 117.0 117.1 ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นพรัตนราชวราภรณ์, ตอนที่ 70 ง, เล่ม 62, 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488, หน้า 1900
- ↑ ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์, บพิธการพิมพ์, 2493, หน้า 606
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชทรงสืบราชสันตติวงศ์ , ตอนที่ 39ก ฉบับพิเศษ, เล่ม 63, วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489, หน้า 4
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ รับสั่งว่า ในหลวงและสมเด็จพระราชชนนีไม่ทรงเชื่อว่า...ปรีดีฯ สมคบปลงพระชนม์ ร.8, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2529, หน้า 43-44, 46
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศตั้งนายกรัฐมนตรี ฉบับพิเศษ, ตอนที่ 38, เล่ม 63, วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2489, หน้า 43
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศตั้งนายกรัฐมนตรี ฉบับพิเศษ, ตอนที่ 42, เล่ม 63, วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2489, หน้า 1
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ท่านปรีดี พนมยงค์ กับกับสถาบันกษัตริย์และกรณีสวรรคต, นิตยสารสารคดี, ฉบับที่ 182, เมษายน พ.ศ. 2543, หน้า 122-129
- ↑ ส. ศิวรักษ์, เรื่องปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540, หน้า 55
- ↑ ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 260, ISBN 974-92685-3-9
- ↑ ประสิทธิ์ ลุลิตานนท์, ลายพระหัตถ์ ม.จ.ศุภสวัสดิ์ฯ , แผนกงานจ้าง อัลลายด์พริ้นเตอรส์, โรงพิมพ์โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด, วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2517, หน้า 3-4
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ท่านปรีดี พนมยงค์ กับกับสถาบันกษัตริย์และกรณีสวรรคต, นิตยสารสารคดี, ฉบับที่ 182, เมษายน พ.ศ. 2543, หน้า 129-134
- ↑ วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, แสงดาว, 2549, หน้า 409-416, ISBN 974-9818-83-0
- ↑ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, 100 ปี ของ สามัญชนนาม ปรีดี พนมยงค์, นิตยสารสารคดี, เรียกข้อมูลวันที่ 28 ม.ค. 53
- ↑ ประทีป สายเสน, กบฏวังหลวงกับสถานะของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์อักษรสาส์น, 2532, หน้า 50-60, ISBN 974-7248-22-7
- ↑ ประทีป สายเสน, กบฏวังหลวงกับสถานะของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์อักษรสาส์น, 2532, ISBN 974-7248-22-7
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตและผลงาน พ.ศ. 2443-2526–ชีวิตทางการเมือง
- ↑ สำเนาคำฟ้อง, เรื่องละเมิดปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและหมิ่นประมาทโดยใส่ความทำให้โจทก์เสียหาย ความแพ่งระหว่างปรีดี พนมยงค์ โดย นายวิชา กันตามระ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์กับบริษัทสยามรัฐ จำเลยที่ 1, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จำเลยที่ 2 และคนอื่น ๆ, จัดพิมพ์โดย นายทิม ภูริพัฒน์ ธนบุรี : มีชีพกิจการพิมพ์, 2513
- ↑ สำนาคำฟ้อง, เรื่องละเมิด หมิ่นประมาท ไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์, ความแพ่ง ระหว่างปรีดี พนมยงค์ โดยนายปาล พนมยงค์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ กับนายรอง ศยามานนท์ จำเลยที่ 1, บริษัทสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำเลยที่ 2 และบริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำเลยที่ 3, 2521 (คดีหมายเลขดำ ที่ 4226/2521)
- ↑ สำเนาคำฟ้อง, เรื่องละเมิด หมิ่นประมาทความแพ่งระหว่างปรีดี พนมยงค์ โดยนายปาล พนมยงค์ ผู้รับมอบอำนาจ กับนายชาลี เอี่ยมกระสินธ์กับพวก จำเลย, คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต ร.8 โดยคำพิพากษาศาลแพ่ง, 2522
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ ผู้บริสุทธิ์ (คำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ 4226/2521). --กรุงเทพฯ : กฤตญาดา, 2550. ISBN 978-974-85063-2-6
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเขาปรีดีฯ และกรณีสวรรคต, สารคดี, 2543, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ รับสั่งว่า ในหลวงและสมเด็จพระราชชนนีไม่ทรงเชื่อว่า...ปรีดีฯ สมคบปลงพระชนม์ ร.8, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2529, หน้า 46, 69
- ↑ 139.0 139.1 ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน, บทที่ 1 การเดินทางออกจากสาธารณรัฐราษฎรจีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 4-5
- ↑ สัมพันธ์ ก้องสมุทร, ดอกโมกข์ ดอกไม้แห่งพุทธะและธรรมมาตา, ปีที่ 2 ไตรมาสที่ 1 ฉบับที่ 5, หน้า 93
- ↑ ข่าวสด, เปิดหนังสือกฎบัตรพุทธบริษัท, วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7227 ข่าวสดรายวัน
- ↑ บรรณานุกรมงานของปรีดี พนมยงค์, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ปฐมจุลจอมเกล้า, ตอนที่ 70 ง, เล่ม 62, 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488, หน้า 1900
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก, ตอนที่ 0 ง, เล่ม 58, 19 มิถุนายน พ.ศ. 2484, หน้า 1945
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มหาวชิรมงกุฎ, ตอนที่ 0 ง, เล่ม 54, 13 ธันวาคม พ.ศ. 2480, หน้า 2212
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ, ตอนที่ 0 ง, เล่ม 52, 21 เมษายน พ.ศ. 2478, หน้า 138
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน, ตอนที่ 0 ง, เล่ม 55, 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481, หน้า 4032
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, ตอนที่ 0 ง, เล่ม 55, 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481, หน้า 2958
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 หน้า 3374 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478
- ↑ ปรีดี พนมยงค์. Ma Vie Movementee et mes 21 Ans D' Exil en Chine Populaire, แปลและเรียบเรียงโดย วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร จากหนังสือ บางหน้าของประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในอดีต -- กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิทยาคาร, พ.ศ. 2522
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 55 หน้า 162 วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2481
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน, บทที่ 3 การเข้าพบมุสโสลินีฯ, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 43
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 55 หน้า 927 วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2482
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน , สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 9
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, ตอนที่ 0 ง, เล่ม 56, 25 กันยายน พ.ศ. 2482, หน้า 1798
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, ตอนที่ 0 ง, เล่ม 56, 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482, หน้า 2556
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, ตอนที่ 0 ง, เล่ม 56, 4 ธันวาคม พ.ศ. 2482, หน้า 2650
- ↑ ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์, บพิธการพิมพ์, 2493, หน้า 741
- ↑ http://www.unesco.org/eri/cp/cp-print.asp?country=TH&language=E
- ↑ ไทยรัฐ, 4 สิงหาคม 2546, หน้า 15
- ↑ นกสวยงามกับเสรีไทย
- ↑ อนุสรณ์สถานปรีดีพนมยงค์
- ↑ ลานปรีดี พนมยงค์ จาก es.foursquare.com
- ↑ ประวัติสถาบันปรีดี พนมยงค์, เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
- ↑ เกี่ยวกับคณะ–คณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์
- ↑ ประวัติหอสมุดปรีดี พนมยงค์
- ↑ Pridi Banomyong International College
- ↑ DMNEWS บล็อกข่าวส่งเสริมคนดี. (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552). วิทยาลัยนานาชาติ"ปรีดี พนมยงค์" มิติใหม่ธรรมศาสตร์ สร้างนักศึกษาสู่ตลาดโลก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [1]. (เข้าถึงเมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553).
- ↑ 170.0 170.1 กฤษณา อโศกสิน, หน้าต่างบานใหม่, สกุลไทย, ฉบับที่ 2387 ปีที่ 46 ประจำวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2543
- ↑ เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. (2527). ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 2438-2500. พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา. ถ่ายเอกสาร.
- ↑ ปณท ออกแสตมป์100ปี หลวงพ่อปัญญา-ปรีดี พนมยงค์
แหล่งข้อมูลอื่น
- สถาบันปรีดี พนมยงค์ เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
- ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข รวบรวมประวัติ ภาพ และผลงานของ ปรีดี พนมยงค์ และภรรยา พูนศุข พนมยงค์
- 100 ปีของสามัญชน นาม ปรีดี พนมยงค์ นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 182 เดือน เมษายน 2543
- เรื่องปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส. ศิวรักษ์
- สัมภาษณ์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส เมื่อ พ.ศ. 2525 ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
- สัมภาษณ์พิเศษ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ในโอกาสครบรอบ 48 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (24 มิ.ย. 2523)
- ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข รวบรวมประวัติ ภาพ และผลงานของ ปรีดี พนมยงค์ และภรรยา พูนศุข พนมยงค์
- บทความคัดสรร
- ชาวไทยที่ได้รับการฉลองวาระครบรอบโดยยูเนสโก
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2443
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2526
- ปรีดี พนมยงค์
- นายกรัฐมนตรีไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย
- รัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง
- สมาชิกคณะราษฎร
- สมาชิกขบวนการเสรีไทย
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบแต่งตั้ง
- สามัญสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา
- นักปฏิวัติ
- นักปรัชญา
- นักการเมืองไทย
- นักกฎหมายชาวไทย
- นักกฎหมายมหาชน
- นักการทูตชาวไทย
- นักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย
- นักประวัติศาสตร์ชาวไทย
- นักวิชาการชาวไทย
- นักเขียนชาวไทย
- ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวไทย
- ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของไทย
- ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
- บรรดาศักดิ์ชั้นหลวง
- บุคคลจากโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
- บุคคลจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
- บุคคลจากโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
- บุคคลจากมหาวิทยาลัยกอง
- บุคคลจากมหาวิทยาลัยปารีส
- อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ศาสตราจารย์
- บุคคลจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- ชาวไทยเชื้อสายจีน
- ข้าราชการฝ่ายตุลาการชาวไทย
- บุคคลในสงครามโลกครั้งที่สอง
- ชาวไทยที่เสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศส
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวไทย