ข้ามไปเนื้อหา

โจว เอินไหล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก โจวเอินไหล)
โจว เอินไหล
周恩来
โจวใน ค.ศ. 1972
นายกรัฐมนตรีจีน คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976
รองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งต่ง ปี้อู่
เฉิน ยฺหวิน
หลิน เปียว
เติ้ง เสี่ยวผิง
ก่อนหน้าเหมา เจ๋อตง
(ในตำแหน่งประธานรัฐบาลประชาชนกลางสาธารณรัฐประชาชนจีน)
ตนเอง
(ในตำแหน่งประธานสภาบริหารรัฐบาลประชาชนกลาง)
ถัดไปฮฺว่า กั๋วเฟิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958
หัวหน้ารัฐบาลตนเอง
ก่อนหน้าหู ชื่อ
(ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐจีน)
ถัดไปเฉิน อี้
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน
คนที่หนึ่ง
ดำรงตำแหน่ง
30 สิงหาคม ค.ศ. 1973  8 มกราคม ค.ศ. 1976
ประธานเหมา เจ๋อตง
ก่อนหน้าหลิน เปียว (1971)
ถัดไปฮฺว่า กั๋วเฟิง
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ดำรงตำแหน่ง
28 กันยายน ค.ศ. 1956  1 สิงหาคม ค.ศ. 1966
ประธานเหมา เจ๋อตง
ประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน คนที่ 2
ดำรงตำแหน่ง
ธันวาคม ค.ศ. 1954 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976
ประธานกิตติมศักดิ์เหมา เจ๋อตง
ก่อนหน้าเหมา เจ๋อตง
ถัดไปตำแหน่งว่าง (1976–1978)
เติ้ง เสี่ยวผิง
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด(1898-03-05)5 มีนาคม 1898
หวฺายอาน มณฑลเจียงซู ราชวงศ์ชิง
เสียชีวิต8 มกราคม ค.ศ. 1976(1976-01-08) (77 ปี)
ปักกิ่ง ประเทศจีน
พรรคการเมือง
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
ก๊กมินตั๋ง (1923–1927)
คู่สมรสเติ้ง หยิ่งเชา (สมรส 1925)
บุตร
การศึกษาโรงเรียนมัธยมหนานไค
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยหนานไค
ลายมือชื่อ
เว็บไซต์zhouenlai.people.cn
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
กองทัพ
ยศพลโทแห่งกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ
สงคราม
ชื่อภาษาจีน
อักษรจีนตัวย่อ周恩来
อักษรจีนตัวเต็ม周恩來
ชื่อรอง
ภาษาจีน翔宇

โจว เอินไหล (จีน: 周恩来; พินอิน: Zhōu Ēnlái; เวด-ไจลส์: Chou1 Ên1-lai2; 5 มีนาคม ค.ศ. 1898 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976) เป็นรัฐบุรุษ นักการทูต และนักปฏิวัติชาวจีน ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนคนแรก ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1949 กระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 โจวทำงานภายใต้ประธานเหมา เจ๋อตงและช่วยพรรคคอมมิวนิสต์ให้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ต่อมายังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการควบคุมประเทศ กำหนดนโยบายต่างประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจจีน

ในฐานะนักการทูต โจวดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1949 ถึง 1958 เขาสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชาติตะวันตกหลังสงครามเกาหลี เข้าร่วมการประชุมเจนีวา ค.ศ. 1954 และการประชุมบันดุง ค.ศ. 1955 และมีส่วนช่วยในการจัดการให้เกิดการเยือนจีนของริชาร์ด นิกสัน ค.ศ. 1972 เขายังช่วยกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการโต้แย้งกับสหรัฐ ไต้หวัน สหภาพโซเวียต (หลัง ค.ศ. 1960) อินเดีย เกาหลี และเวียดนาม

โจวรอดพ้นจากการกวาดล้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ขณะที่เหมา เจ๋อตงใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบั้นปลายชีวิตไปกับการต่อสู้ทางการเมืองและงานอุดมการณ์ โจวเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักเบื้องหลังกิจการของรัฐในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นส่วนใหญ่ ความพยายามของเขาในการลดความเสียหายของยุวชนแดงและความพยายามที่จะปกป้องผู้อื่นจากความโกรธแค้นของกลุ่มเหล่านี้ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงท้ายของการปฏิวัติวัฒนธรรม

สุขภาพของเหมาเริ่มเสื่อมลงใน ค.ศ. 1971 และหลิน เปียวก็ตกอับและเสียชีวิตในเหตุเครื่องบินตก ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้ โจวได้รับเลือกให้เป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์คนที่หนึ่งในตำแหน่งที่ว่าง โดยคณะกรรมการกลางชุดที่ 10 ใน ค.ศ. 1973 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเหมา (เป็นบุคคลที่สามที่ได้รับแต่งตั้งดังกล่าวต่อจากหลิว เช่าฉีและหลิน เปียว) แต่ยังคงต้องต่อสู้ภายในกับแก๊งสี่คน (Gang of Four) เพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำประเทศจีน การปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายของเขาคือในการประชุมครั้งแรกของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 4 เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1975 ซึ่งเขาได้นำเสนอรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล จากนั้นเขาก็หายไปจากสายตาของสาธารณชนเพื่อรับการรักษาพยาบาลและถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งปีต่อมา การแสดงความอาลัยอย่างล้นหลามของประชาชนในปักกิ่งต่อการจากไปของเขาได้เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นต่อแก๊งสี่คน นำไปสู่อุบัติการณ์เทียนอันเหมิน ค.ศ. 1976 แม้ว่าฮฺว่า กั๋วเฟิงจะได้รับตำแหน่งต่อจากโจวในฐานะรองประธานคนที่หนึ่งและผู้สืบทอดที่ได้รับแต่งตั้ง แต่พันธมิตรของโจวเติ้ง เสี่ยวผิง ก็สามารถเอาชนะแก๊งสี่คนทางการเมืองได้และเข้ารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดแทนฮฺว่าใน ค.ศ. 1978

ชีวิตตอนต้น

[แก้]

วัยเยาว์

[แก้]
โจว เอินไหล (ค.ศ. 1912)

โจว เอินไหล เกิดที่หฺวายอาน มณฑลเจียงซู เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1898 เป็นบุตรชายคนแรกของสายตระกูลโจว ตระกูลโจวมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่เช่าซิง มณฑลเจ้อเจียง ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง เช่าซิงมีชื่อเสียงในฐานะบ้านเกิดของตระกูลต่างๆ เช่น ตระกูลโจว ซึ่งมีสมาชิกทำงานเป็น "อาลักษณ์" (師爺, shiye) ในหน่วยงานราชการรุ่นต่อรุ่น[3] เพื่แจะไต่เต้าในราชการ ผู้ชายในตระกูลเหล่านี้มักจะต้องถูกย้ายไปประจำที่อื่น และในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ตระกูลโจวสายของโจว เอินไหลจึงย้ายไปหฺวายอาน แม้จะย้ายไปแล้ว แต่ครอบครัวก็ยังคงถือว่าเช่าซิงเป็นบ้านบรรพบุรุษ[4]

ปู่ของโจว โจว จฺวิ้นหลง และลุงทวดของเขา โจว จฺวิ้นอ่าง เป็นสมาชิกคนแรกของตระกูลที่ย้ายไปหฺวายอาน เห็นได้ชัดว่าจฺวิ้นหลงสอบผ่านการสอบระดับมณฑล และโจว เอินไหลกล่าวในภายหลังว่าพานหลงเคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอหฺวายอาน[5] โจว อี๋เหนิง บิดาของโจว เป็นบุตรชายคนที่สองในบรรดาบุตรชายสี่คนของโจว จฺวิ้นหลง ส่วนมารดาที่ให้กำเนิดโจว มีนามสกุลว่าน เป็นบุตรสาวของขุนนางคนสำคัญของมณฑลเจียงซู[หมายเหตุ 1]

เช่นเดียวกับตระกูลอื่น ฐานะทางการเงินของตระกูลนักวิชาการ-ขุนนางตระกูลใหญ่ของโจวเสื่อมถอยลงอย่างมากจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่จีนประสบในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โจว อี๋เหนิงมีชื่อเสียงในด้านความซื่อสัตย์ อ่อนโยน ฉลาดและใส่ใจผู้อื่น แต่ก็ถูกมองว่า "อ่อนแอ" และ "ขาดวินัยและความมุ่งมั่น" เขาไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว และได้ร่อนเร่ไปทั่วประเทศเพื่อทำงานอาชีพต่าง ๆ ทั้งในปักกิ่ง ชานตง อานฮุย เฉิ่นหยาง มองโกเลียใน และเสฉวน โจว เอินไหลจำได้ในภายหลังว่าบิดาของเขาอยู่ไกลบ้านเสมอและโดยทั่วไปไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้[7]

หลังเกิดได้ไม่นาน โจว เอินไหลก็ถูกรับไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยโจว อี๋ก้าน น้องชายคนเล็กของพ่อ ซึ่งป่วยเป็นวัณโรค เห็นได้ชัดว่าการรับบุตรบุญธรรมนี้ถูกจัดขึ้นเพราะครอบครัวกลัวว่าอี๋ก้านจะเสียชีวิตโดยไม่มีทายาท[หมายเหตุ 2] โจว อี๋ก้านเสียชีวิตในไม่ช้าหลังการรับบุตรบุญธรรม และโจว เอินไหลก็ได้รับการเลี้ยงดูโดยม่ายของอี๋ก้าน ซึ่งมีนามสกุลเฉิน คุณนายเฉินก็มาจากตระกูลนักวิชาการและได้รับการศึกษาด้านวรรณคดีแบบดั้งเดิม ตามคำบอกเล่าของโจวเอง เขาสนิทสนมกับมารดาบุญธรรมของเขามากและได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องในวรรณคดีและงิ้วจีนจากเธอ คุณนายเฉินสอนโจวให้อ่านและเขียนตั้งแต่อายุยังน้อย และโจวอ้างในภายหลังว่าเขาได้อ่านนวนิยายภาษาปากที่มีชื่อเสียง ไซอิ๋ว ตั้งแต่อายุหกปี[8] เมื่ออายุแปดปี เขาก็อ่านนวนิยายจีนโบราณเรื่องอื่น ๆ รวมถึง ซ้องกั๋ง, สามก๊ก และความฝันในหอแดง[6]

ว่าน มารดาผู้ให้กำเนิดโจวเสียชีวิตใน ค.ศ. 1907 เมื่อโจวอายุ 9 ปี และเฉิน มารดาบุญธรรมของเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1908 เมื่อโจวอายุ 10 ปี เนื่องจากบิดาของโจวทำงานอยู่ที่หูเป่ย์ ซึ่งห่างไกลจากเจียงซู โจวและน้องชายสองคนจึงกลับไปหฺวายอานและอาศัยอยู่กับอี๋ขุ่ย น้องชายคนเล็กอีกคนของบิดาเป็นเวลาสองปี[9] ใน ค.ศ. 1910 อี๋เกิง ลุงของโจว พี่ชายคนโตของบิดา เสนอจะดูแลโจว ครอบครัวในหฺวายอานตกลง และโจวถูกส่งไปอยู่กับลุงของเขาที่แมนจูเรีย ในเฟิ่งเทียน (ปัจจุบันคือเฉิ่นหยาง) ซึ่งโจว อี๋เกิงทำงานอยู่ในสำนักงานของรัฐบาล[หมายเหตุ 3]

การศึกษา

[แก้]
โจว เอินไหลขณะเป็นนักเรียนในโรงเรียนมัธยมหนานไค

ที่เฟิงเทียน โจวเข้าเรียนที่โรงเรียนต้นแบบตงกวน ซึ่งเป็นโรงเรียนรูปแบบสมัยใหม่ ก่อนหน้านั้นการศึกษาของเขามาจากการเรียนที่บ้านทั้งหมด นอกเหนือจากวิชาใหม่เช่นภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์แล้ว โจวยังได้อ่านงานเขียนของนักปฏิรูปและนักหัวรุนแรง เช่น เหลียง ฉี่เฉา, คัง โหย่วเหวย์, เฉิน เทียนหฺวา, โจว หรง และจาง ปิ่งหลิน[10][11] เมื่ออายุสิบสี่ปี โจวประกาศว่าแรงจูงใจในการใฝ่หาการศึกษาของเขาคือการ "เป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะรับผิดชอบภาระอันหนักอึ้งของประเทศในอนาคต"[12] ใน ค.ศ. 1913 ลุงของโจวถูกย้ายไปที่เทียนจิน ที่ซึ่งโจวได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมนานไคที่มีชื่อเสียง

โรงเรียนมัธยมนานไคก่อตั้งโดยเหยียน ซิว นักวิชาการและผู้ใจบุญที่มีชื่อเสียง และมีจาง ปั๋วหลิง หนึ่งในนักการศึกษาชาวจีนคนสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20 เป็นผู้อำนวยการ[13] วิธีการสอนของนานไคถือว่าผิดแผกจากมาตรฐานจีนในสมัยนั้น เมื่อโจวเริ่มเข้าเรียน โรงเรียนได้นำรูปแบบการศึกษาที่ใช้ที่วิทยาลัยฟิลลิปส์ในสหรัฐมาปรับใช้[14] ชื่อเสียงของโรงเรียนซึ่งมีกิจวัตรประจำวันที่ "มีระเบียบวินัยสูง" และ "หลักจริยธรรมเคร่งครัด"[15] ดึงดูดนักเรียนจำนวนมากที่ต่อมามีชื่อเสียงในชีวิตสาธารณะ เพื่อนและเพื่อนร่วมชั้นของโจวที่นั่นมีตั้งแต่หม่า จฺวิ้น (ผู้นำคอมมิวนิสต์ยุคแรกที่ถูกประหารชีวิตใน ค.ศ. 1927) ไปจนถึงเค. ซี. อู๋ (ต่อมาเป็นนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้และผู้ว่าการไต้หวันภายใต้พรรคชาตินิยม)[16] ความสามารถของโจวยังดึงดูดความสนใจของเหยียน ซิวและจาง ปั๋วหลิง โดยเฉพาะเหยียนให้ความสำคัญกับโจวอย่างมาก และให้ความช่วยเหลือในการจ่ายค่าเล่าเรียนสำหรับไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นและต่อมาที่ฝรั่งเศส[17]

เหยียนประทับใจโจวมากถึงขนาดสนับสนุนให้โจวแต่งงานกับบุตรสาวของตน แต่โจวปฏิเสธ ต่อมาโจวได้แสดงเหตุผลการตัดสินใจไม่แต่งงานกับบุตรสาวของเหยียนต่อจาง หงห่าว เพื่อนร่วมชั้น โดยโจวกล่าวว่าเขาปฏิเสธการแต่งงานเนื่องจากเขากลัวว่าโอกาสทางการเงินของตนจะไม่สดใส และเกรงว่าเหยียนในฐานะพ่อตาจะมาครอบงำชีวิตของเขาในภายหลัง[18]

โจวทำผลงานได้ดีในการเรียนที่หนานไค เขาเก่งภาษาจีน ได้รับหลายรางวัลในชมรมโต้วาทีของโรงเรียน และเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนในปีสุดท้าย โจวยังมีบทบาทอย่างมากในการแสดงและผลิตละครเวทีที่หนานไค นักเรียนหลายคนที่ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวก็รู้จักเขาผ่านการแสดงของเขา[19] หนานไคยังคงเก็บรักษาเรียงความและบทความจำนวนหนึ่งที่เขียนโดยโจวในช่วงเวลานี้ไว้ ซึ่งสะท้อนถึงวินัย การฝึกฝน และความห่วงใยประเทศชาติที่ผู้ก่อตั้งหนานไคพยายามปลูกฝังให้แก่นักเรียน ในพิธีสำเร็จการศึกษาครั้งที่สิบของโรงเรียนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1917 โจวเป็นหนึ่งในนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาห้าคนที่ได้รับเกียรติในพิธี และเป็นหนึ่งในสองนักเรียนกล่าวอำลา[20]

เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาจากหนานไค คำสอนของจาง ปั๋วหลิงเรื่องกง (จิตวิญญาณสาธารณะ) และเหนิง (ความสามารถ) ได้สร้างความประทับใจอย่างมากแก่เขา การเข้าร่วมการโต้วาทีและการแสดงบนเวทีมีส่วนช่วยให้เขามีทักษะด้านวาทศิลป์และความสามารถในการโน้มน้าว โจวออกจากหนานไคพร้อมกับความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะรับใช้สาธารณะ และเพื่อที่จะได้รับทักษะที่จำเป็นในการทำเช่นนั้น[21]

เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชั้นหลายคน โจวเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1917 เพื่อศึกษาต่อ ในช่วงสองปีที่ญี่ปุ่น โจวใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเอเชียตะวันออก โรงเรียนสอนภาษาสำหรับนักเรียนจีน การศึกษาของโจวได้รับการสนับสนุนจากลุง และดูเหมือนว่าเหยียน ซิว ผู้ก่อตั้งหนานไคก็ช่วยด้วยเช่นกัน แต่เงินทุนของพวกเขามีจำกัด ในช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่นประสบภาวะเงินเฟ้อรุนแรง[22] เดิมโจววางแผนจะได้รับทุนการศึกษาที่เสนอโดยรัฐบาลจีน แต่ทุนการศึกษาเหล่านี้กำหนดให้นักเรียนจีนต้องผ่านการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของญี่ปุ่น โจวสอบเข้าอย่างน้อยสองโรงเรียนแต่ไม่ผ่านการตอบรับเข้าเรียน[23] ความวิตกของโจวเพิ่มขึ้นจากการเสียชีวิตของลุง โจว อี๋ขุ่ย ความไม่สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้อย่างเชี่ยวชาญ และแนวคิดชาตินิยมทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เด่นชัดซึ่งมีการเลือกปฏิบัติต่อชาวจีน เมื่อโจวเดินทางกลับประเทศจีนในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1919 เขาได้รู้สึกหมดศรัทธาอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่น ปฏิเสธความคิดที่ว่ารูปแบบการเมืองของญี่ปุ่นเกี่ยวข้องกับจีนและดูหมิ่นค่านิยมของชนชั้นสูงและการทหารที่เขาได้สังเกต[24]

บันทึกประจำวันและจดหมายของโจวในช่วงที่อยู่ที่โตเกียวแสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างลึกซึ้งในการเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 และนโยบายใหม่ของบอลเชวิค เขาเริ่มอ่านนิตยสารก้าวหน้าและเอนซ้ายของเฉิน ตู๋ซิ่วอย่างกระตือรือร้น New Youth[25] เขาอ่านงานภาษาญี่ปุ่นยุคแรกเกี่ยวกับมากซ์ และมีผู้กล่าวอ้างว่าเขาเคยเข้าร่วมการบรรยายของคาวาคามิ ฮาจิเมะที่มหาวิทยาลัยเกียวโตด้วย คาวาคามิเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคแรกของลัทธิมากซ์ในญี่ปุ่น และงานแปลและบทความของเขามีอิทธิพลต่อนักคอมมิวนิสต์จีนรุ่นที่แรก[26] อย่างไรก็ดี ปัจจุบันดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ที่โจวจะได้พบเขาหรือฟังการบรรยายของเขา[27] บันทึกประจำวันของโจวยังแสดงความสนใจในการประท้วงของนักศึกษาจีนเพื่อต่อต้านข้อตกลงการป้องกันร่วมจีน–ญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 แต่เขาไม่ได้เข้าร่วมอย่างจริงจังหรือเดินทางกลับประเทศจีนในฐานะส่วนหนึ่งของ "ขบวนการกลับบ้าน"[28] บทบาทที่กระตือรือร้นของเขาในขบวนการทางการเมืองเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่เขากลับสู่ประเทศจีน

กิจกรรมการเมืองตอนต้น

[แก้]
โจว เอินไหล (ค.ศ. 1919)

โจวกลับมาถึงเทียนจินในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1919 นักประวัติศาสตร์ยังมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับการเข้าร่วมขบวนการสี่พฤษภาคม (พฤษภาคมถึงมิถุนายน ค.ศ. 1919) ของเขา อัตชีวประวัติ "อย่างเป็นทางการ" ของจีนระบุว่าเขาเป็นผู้นำการประท้วงของนักเรียนในเทียนจินในขบวนการสี่พฤษภาคม[29] แต่ผู้รู้สมัยใหม่หลายคนเชื่อว่าไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่โจวได้เข้าร่วม โดยพิจารณาจากการขาดหลักฐานโดยตรงในบันทึกที่รอดจากช่วงเวลานั้น[29][30] อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 โจวได้เป็นบรรณาธิการของจดหมายข่าวสหภาพนักศึกษาเทียนจิน ตามคำร้องขอของหม่า จฺวิ้น เพื่อนร่วมชั้นที่หนานไค ผู้ก่อตั้งสหภาพ[31]ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ออกเผยแพร่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 ถึงต้น ค.ศ. 1920 จดหมายข่าวนี้ถูกอ่านอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศและถูกรัฐบาลแห่งชาติสั่งระงับอย่างน้อยหนึ่งครั้งในข้อหา "เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยสาธารณะและระเบียบสังคม"[32]

เมื่อหนานไคได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1919 โจวอยู่ในชั้นเรียนแรก แต่เขาใช้เวลานอกเวลาเรียนเป็นนักกิจกรรมเต็มเวลา กิจกรรมการเมืองของเขาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และในเดือนกันยายน เขาและนักศึกษาอีกหลายคนตกลงก่อตั้ง "สมาคมตื่นรู้" กลุ่มเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกไม่เคยเกิน 25 คน[33] ในการอธิบายเป้าหมายและจุดประสงค์ของสมาคมตื่นรู้ โจวประกาศว่า "สิ่งใดก็ตามที่ไม่สอดคล้องกับความก้าวหน้าในสมัยปัจจุบัน เช่น แสนยนิยม ชนชั้นกระฎุมพี พวกหัวหน้าพรรค ข้าราชการ ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง ความคิดดื้อรั้น ศีลธรรมล้าสมัย จริยธรรมเก่า... ควรถูกยกเลิกหรือปฏิรูป" และยืนยันว่าจุดประสงค์ของสมาคมคือการเผยแพร่ความตระหนักรู้นี้ในหมู่ชาวจีน เป็นในสมาคมนี้เองที่โจวได้พบกับเติ้ง หยิ่งเชา ภรรยาในอนาคตของเขาเป็นครั้งแรก[34] ในบางแง่มุม สมาคมตื่นรู้มีความคล้ายกับกลุ่มศึกษาลัทธิมากซ์ลับ ๆ ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งนำโดยหลี่ ต้าเจา โดยสมาชิกในกลุ่มใช้ตัวเลขแทนชื่อเพื่อ "ความลับ" (โจวคือ "หมายเลขห้า" ซึ่งเป็นนามแฝงที่เขายังคงใช้ในภายหลัง)[35] และทันทีหลังก่อตั้งกลุ่ม สมาคมได้เชิญหลี่ ต้าเจามาบรรยายเกี่ยวกับลัทธิมากซ์

ในช่วงสองสามเดือนถัดมา โจวมีบทบาทเชิงรุกที่โดดเด่นยิ่งขึ้นในกิจกรรมการเมือง[36] กิจกรรมที่ใหญ่ที่สุดคือการชุมนุมเพื่อสนับสนุนการคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นทั่วประเทศ เนื่องจากการคว่ำบาตรมีผลมากขึ้น รัฐบาลแห่งชาติภายใต้แรงกดดันจากญี่ปุ่นจึงพยายามปราบปราม วันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1920 การเผชิญหน้าเกี่ยวกับกิจกรรมคว่ำบาตรในเทียนจินนำไปสู่การจับกุมผู้คนจำนวนหนึ่ง รวมถึงสมาชิกสมาคมตื่นรู้หลายคน และในวันที่ 29 มกราคม โจวเป็นผู้นำการเดินขบวนไปยังสำนักงานผู้ว่าการในเทียนจินเพื่อยื่นคำร้องเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุม โจวและผู้นำอีกสามคนก็ถูกจับกุมด้วยตนเอง ผู้ถูกจับกุมถูกควบคุมตัวนานกว่าหกเดือน ในระหว่างการคุมขัง โจวถูกกล่าวว่าจัดการอภิปรายเกี่ยวกับลัทธิมากซ์[37] ในการพิจารณาคดีในเดือนกรกฎาคม โจวและคนอื่น ๆ อีกหกคนถูกตัดสินจำคุกสองเดือน ที่เหลือถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด ทุกคนได้รับการปล่อยตัวทันทีเนื่องจากพวกเขาถูกคุมขังมานานกว่าหกเดือนแล้ว

หลังการปล่อยตัว โจวและสมาคมตื่นรู้ได้พบปะกับองค์กรหลายแห่งในปักกิ่งและตกลงจัดตั้ง "สหพันธ์ปฏิรูป" ในระหว่างกิจกรรมเหล่านี้ โจวทำความคุ้นเคยกับหลี่ ต้าเจามากขึ้นและได้พบกับจาง เชินฝู่ ผู้ติดต่อระหว่างหลี่ในปักกิ่งและเฉิน ตู๋ซิ่วในเซี่ยงไฮ้ ทั้งสองกำลังจัดตั้งกลุ่มคอมมิวนิสต์ใต้ดินโดยร่วมมือกับกรีโกรี วอยตินสกี[38] ตัวแทนของโคมินเทิร์น แต่โจวดูเหมือนจะยังไม่ได้พบกับวอยตินสกีในขณะนั้น

ไม่นานหลังการปล่อยตัว โจวตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ยุโรป (เขาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยหนานไคในระหว่างถูกควบคุมตัว) แม้ปัญหาเรื่องเงินจะเป็นปัญหา แต่เขาได้รับทุนการศึกษาจากเหยียน ซิว[39] เพื่อให้ได้เงินทุนเพิ่มขึ้น เขาติดต่อหนังสือพิมพ์เทียนจินฉบับหนึ่ง Yishi bao (แปลตรงตัว หนังสือพิมพ์เหตุการณ์ปัจจุบัน) ได้สำเร็จ เพื่อทำงานเป็น "ผู้สื่อข่าวพิเศษ" ในยุโรป โจวเดินทางออกจากเซี่ยงไฮ้ไปยังยุโรปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 พร้อมกลุ่มนักเรียนทำงาน-เรียน 196 คน รวมถึงเพื่อนจากหนานไคและเทียนจิน[40]

ประสบการณ์ของโจวหลังสี่พฤษภาคมดูเหมือนจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาชีพคอมมิวนิสต์ของเขา[โปรดขยายความ] เพื่อน ๆ ของโจวในสมาคมตื่นรู้ก็ได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน สมาชิก 15 คนของกลุ่มนี้ได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง และกลุ่มยังคงสนิทสนมกันในเวลาต่อมา โจวและสมาชิกกลุ่มอีกหกคนเดินทางไปยุโรปในช่วงสองปีถัดมา และในที่สุดโจวก็ได้แต่งงานกับเติ้ง หยิ่งเชา สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของกลุ่ม

ยุโรป

[แก้]
โจวในช่วงที่อยู่ที่ฝรั่งเศส (ทศวรรษ 1920)

กลุ่มของโจวเดินทางถึงมาร์แซย์ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1920 โจวไม่เหมือนนักเรียนจีนคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่มายุโรปในโครงการทำงาน-เรียน เนื่องจากเขาได้รับทุนการศึกษาและมีตำแหน่งกับ Yishi bao ทำให้เขาได้รับการดูแลอย่างดีและไม่จำเป็นต้องทำงานใด ๆ ตลอดเวลาที่พำนักอยู่ ด้วยสถานะทางการเงินนี้ เขาจึงสามารถอุทิศเวลาทั้งหมดให้กิจกรรมการปฏิวัติได้[40] ในจดหมายที่เขียนถึงลูกพี่ลูกน้องเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1921 โจวกล่าวว่าเป้าหมายของเขาในยุโรปคือการสำรวจสภาพสังคมในต่างประเทศและวิธีการแก้ปัญหาสังคมของพวกเขา เพื่อนำบทเรียนดังกล่าวมาปรับใช้ในประเทศจีนหลังจากเขากลับมา ในจดหมายฉบับเดียวกัน โจวบอกกับลูกพี่ลูกน้องว่าเกี่ยวกับการเลือกอุดมการณ์ที่เจาะจงนั้น "ฉันยังต้องตัดสินใจ"[41]

ขณะอยู่ในยุโรป โจวซึ่งมีอีกชื่อว่าจอห์น ไนต์ (John Knight) ได้ศึกษาแนวทางที่แตกต่างกันในการแก้ไขความแตกแยกระหว่างชนชั้นที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปนำมาใช้ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1921 ที่ลอนดอน โจวเห็นการหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ของคนงานเหมืองและเขียนบทความหลายชุดลงใน Yishi bao (โดยทั่วไปแล้วมีความเห็นใจต่อคนงานเหมือง) เพื่อตรวจสอบความขัดแย้งระหว่างคนงานกับนายจ้าง และแนวทางการแก้ไขความขัดแย้งนั้น หลังอยู่ในลอนดอนเป็นเวลาห้าสัปดาห์ เขาก็ย้ายไปปารีส ซึ่งมีความสนใจอย่างมากต่อการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 ของรัสเซีย ในจดหมายถึงลูกพี่ลูกน้อง โจวระบุถึงแนวทางการปฏิรูปสำหรับประเทศจีนไว้สองแนวทางหลัก: "การปฏิรูปอย่างค่อยเป็นค่อยไป" (เช่นในอังกฤษ) หรือ "วิธีการรุนแรง" (เช่นในรัสเซีย) โจวเขียนว่า "ฉันไม่นิยมชมชอบแนวทางของรัสเซียหรืออังกฤษเป็นพิเศษ... ฉันอยากได้อะไรที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองขั้วสุดโต่งนี้มากกว่า"[41]

โจวยังคงสนใจในหลักสูตรวิชาการ โดยเดินทางไปอังกฤษในเดือนมกราคม ค.ศ. 1921 เพื่อเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยเอดินบะระ แต่ด้วยปัญหาทางการเงินและข้อกำหนดด้านภาษา เขาจึงไม่ได้ลงทะเบียนเรียน และกลับไปฝรั่งเศสในปลายเดือนมกราคม ไม่มีบันทึกว่าโจวได้เข้าเรียนในหลักสูตรวิชาการใด ๆ ในฝรั่งเศส ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1921 เขาได้เข้าร่วมกลุ่มคอมมิวนิสต์จีน[หมายเหตุ 4] โจวได้รับการชักชวนจากจาง เชินฝู่ ซึ่งเขาเคยพบเมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อนหน้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลี่ ต้าเจาและเขายังรู้จักจางผ่านทางหลิว ชิงหยาง ภรรยาของจาง สมาชิกของสมาคมตื่นรู้ บางครั้งโจวในช่วงเวลานี้ถูกพรรณนาว่ายังไม่แน่ใจในแนวคิดทางการเมืองของตน[42] แต่การเข้าร่วมเป็นคอมมิวนิสต์อย่างรวดเร็วของเขาบ่งบอกเป็นอย่างอื่น[หมายเหตุ 5]

กลุ่มที่โจวเข้าร่วมมีฐานอยู่ในปารีส[43] นอกเหนือจากโจว, จาง และหลิวแล้ว ยังมีนักเรียนอีกสองคน จ้าว ชื่อเหยียนและเฉิน กงเผย์ ในอีกหลายเดือนต่อมา กลุ่มนี้ได้รวมตัวเป็นองค์กรเดียวกันกับกลุ่มหัวรุนแรงชาวจีนจากหูหนานที่อาศัยอยู่ในมงตาร์กิสทางตอนใต้ของปารีส กลุ่มนี้รวมถึงบุคคลสำคัญที่จะมีชื่อเสียงในภายหลัง เช่น ไช่ เหอเซิน, หลี่ ลี่ซาน, เฉิน อี้, เนี่ย หรงเจิน, เติ้ง เสี่ยวผิง และกัว หลงเจิ้น สมาชิกสมาคมตื่นรู้ นักเรียนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้เป็นผู้เข้าร่วมโครงการทำงาน-เรียน ซึ่งต่างจากโจว ความขัดแย้งหลายครั้งกับผู้บริหารชาวจีนของโครงการเกี่ยวกับการจ่ายค่าแรงต่ำและสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ ทำให้นักเรียนกว่าร้อยคนเข้ายึดสำนักงานของโครงการที่สถาบันจีน-ฝรั่งเศสในลียงในเดือนกันยายน ค.ศ. 1921 นักเรียนเหล่านี้ รวมถึงหลายคนจากกลุ่มมงตาร์กิส ถูกจับกุมและเนรเทศ เห็นได้ชัดว่าโจวไม่ได้เป็นหนึ่งในนักเรียนที่เข้ายึดสำนักงานและยังคงอยู่ในฝรั่งเศสจนถึงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ค.ศ. 1922 เมื่อเขาย้ายพร้อมกับจางและหลิวจากปารีสไปเบอร์ลิน การย้ายไปเบอร์ลินของโจวอาจเป็นเพราะบรรยากาศทางการเมืองที่ "ผ่อนปรน" มากกว่าในเบอร์ลินทำให้ที่นั่นเหมาะสมกว่าในการเป็นฐานสำหรับการตั้งองค์กรทั่วยุโรป[44] นอกจากนี้ สำนักเลขาธิการยุโรปตะวันตกของโคมินเทิร์นก็ตั้งอยู่ในเบอร์ลินและชัดเจนว่าโจวมีความเชื่อมโยงที่สำคัญกับโคมินเทิร์น แม้ลักษณะของความเชื่อมโยงเหล่านี้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[45] หลังจากย้ายฐานปฏิบัติการไปเยอรมนี โจวเดินทางไปมาระหว่างปารีสกับเบอร์ลินเป็นประจำ

โจวเข้าร่วมในขบวนการขยันทำงานประหยัดเรียน (Diligent Work-Frugal Study Movement)[46]:37

โจวเดินทางกลับปารีสภายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1922 ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วม 22 คนที่ร่วมกันจัดตั้งพรรคเยาวชนคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งก่อตั้งขึ้นเป็นสาขายุโรปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[หมายเหตุ 6] โจวช่วยร่างกฎบัตรของพรรคและได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการบริหารสามคนในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ[47] เขายังเขียนบทความและช่วยแก้ไขนิตยสารของพรรค เช่าเหนียน (เยาวชน) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อกวง (แสงแดง) ในการดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารของนิตยสารนี้ โจวได้พบกับเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นครั้งแรก ซึ่งขณะนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดปี และโจวได้จ้างเติ้งมาดูแลเครื่องอัดสำเนา[48] พรรคมีการจัดระเบียบใหม่และเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง แต่โจวยังคงเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ในยุโรป กิจกรรมสำคัญอื่น ๆ ที่โจวทำได้แก่การสรรหาและขนส่งนักเรียนสำหรับมหาวิทยาลัยผู้ใช้แรงงานตะวันออกในมอสโกและการตั้งสาขายุโรปของพรรคชาตินิยมจีน (ก๊กมินตั๋ง)

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1923 ที่ประชุมสภาครั้งที่สามของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยอมรับคำสั่งของคอมมิวนิสต์สากลให้เป็นพันธมิตรกับก๊กมินตั๋ง นำโดยซุน ยัตเซ็น ในขณะนั้น คำสั่งเหล่านี้เรียกร้องให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เข้าร่วมพรรคชาตินิยมในฐานะ "ปัจเจกบุคคล" ขณะที่ยังคงรักษาสมาชิกภาพพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ หลังจากเข้าร่วมก๊กมินตั๋งแล้ว พวกเขาจะทำงานเพื่อเป็นผู้นำและชี้นำพรรค โดยเปลี่ยนให้เป็นเครื่องมือของการปฏิวัติ ภายในไม่กี่ปี กลยุทธ์นี้จะกลายเป็นแหล่งที่มาของความขัดแย้งร้ายแรงระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์[49]

นอกเหนือจากการเข้าร่วมก๊กมินตั๋งแล้ว โจวยังช่วยจัดตั้งการตั้งสาขายุโรปของพรรคชาตินิยมในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1923 ภายใต้อิทธิพลของโจว เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของสาขายุโรปเป็นคอมมิวนิสต์ ความสัมพันธ์ที่กว้างขวางและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่โจวสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาชีพของเขา ผู้นำพรรคคนสำคัญ เช่น จู เต๋อและเนี่ย หรงเจิน ได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกพรรคโดยโจวเป็นคนแรก

ภายใน ค.ศ. 1924 พันธมิตรโซเวียต–ชาตินิยมกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและโจวได้รับคำสั่งให้กลับประเทศจีนเพื่อทำงานต่อไป เขาเดินทางออกจากยุโรปน่าจะเป็นช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1924[หมายเหตุ 7] โดยกลับสู่จีนในฐานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาวุโสที่สุดคนหนึ่งในยุโรป

งานการเมืองและการทหารในหวงผู่

[แก้]

การก่อตั้งในกว่างโจว

[แก้]
โจว เอินไหล ขณะเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองที่โรงเรียนการทหารหวงผู่ (ค.ศ. 1924)

โจวเดินทางกลับถึงประเทศจีนในช่วงปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 1924 เพื่อเข้าร่วมฝ่ายการเมืองของโรงเรียนการทหารหวงผู่ อาจเป็นผลมาจากอิทธิพลของจาง เชินฝู่ ซึ่งเคยทำงานที่นั่นมาก่อน[50] โจวเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของหวงผู่[51]:55 ขณะที่เขาประจำการอยู่ที่หวงผู่ โจวยังได้รับตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กวางตุ้ง-กวางซี และทำหน้าที่เป็นตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยมียศเป็นพลตรี[52]

เกาะหวงผู่ ซึ่งอยู่ห่างจากกว่างโจวลงไปตามแม่น้ำสิบไมล์ เป็นหัวใจสำคัญของพันธมิตรระหว่างโซเวียต–พรรคชาตินิยม โรงเรียนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมของกองทัพพรรคชาตินิยม เพื่อใช้เป็นฐานทัพในการเปิดฉากการรณรงค์เพื่อรวมประเทศจีน ซึ่งในขณะนั้นถูกแบ่งออกเป็นขุนศึกศักดินาหลายสิบแห่ง โรงเรียนแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน อาวุธ และบุคลากรบางส่วนจากโซเวียตมาตั้งแต่ต้น[53]

ฝ่ายการเมืองที่โจวทำงานนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการปลูกฝังอุดมการณ์และการควบคุมทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ โจวเป็นบุคคลสำคัญในการประชุมส่วนใหญ่ของโรงเรียน โดยมักจะกล่าวปราศรัยทันทีหลังผู้บัญชาการเจียง ไคเชก เขาเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างยิ่งในการตั้งระบบฝ่ายการเมือง/ตัวแทนพรรค (คอมมิสซาร์) ซึ่งถูกนำไปใช้ในกองทัพของพรรคชาตินิยมใน ค.ศ. 1925[54]

นอกเหนือจากการได้รับแต่งตั้งที่หวงผู่แล้ว โจวยังเป็นเลขาธิการคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์ และเป็นสมาชิกภาคกิจการทหารของคณะกรรมการมณฑล[หมายเหตุ 8] โจวขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ในโรงเรียนอย่างแข็งขัน เขารีบจัดการให้สมาชิกคอมมิวนิสต์คนสำคัญอีกหลายคนเข้าร่วมฝ่ายการเมือง รวมถึง เฉิน อี้, เนี่ย หรงเจิน, ยฺหวิน ไต้อิง และสฺยง สฺยง[55] โจวมีบทบาทสำคัญในการตั้งสมาคมทหารหนุ่ม กลุ่มเยาวชนที่คอมมิวนิสต์ครองอำนาจ และ "ประกายไฟ" กลุ่มแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่มีอายุสั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถสรรหาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์รายใหม่จำนวนมากจากหมู่นักเรียนนายร้อย และในที่สุดได้ตั้งสาขาพรรคคอมมิวนิสต์อย่างลับ ๆ ในโรงเรียนเพื่อสั่งการสมาชิกใหม่[56] เมื่อชาตินิยมกังวลเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกและองค์กรคอมมิวนิสต์ที่เพิ่มขึ้นในหวงผู่ จึงได้ตั้ง "สมาคมลัทธิซุน ยัตเซ็น" ขึ้น โจวพยายามยุติกลุ่มดังกล่าว ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มนักเรียนเหล่านี้กลายเป็นฉากหลังสำหรับการถอดถอนโจวออกจากโรงเรียนในที่สุด[57]

กิจกรรมทางทหาร

[แก้]
เจียง ไคเชก (กลาง) และโจว เอินไหล (ซ้าย) พร้อมนักเรียนนายร้อยที่โรงเรียนการทหารหวงผู่ (ค.ศ. 1924)

โจวเข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารสองครั้งที่ดำเนินการโดยระบอบชาตินิยมใน ค.ศ. 1925 ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อการกรีธาทัพตะวันออกครั้งที่หนึ่งและสอง ครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1925 เมื่อเฉิน จย่งหมิง ผู้นำทหารคนสำคัญของกวางตุ้งซึ่งเคยถูกซุน ยัตเซ็นขับไล่ออกจากกว่างโจว พยายามยึดกว่างโจวคืน การรณรงค์ของระบอบชาตินิยมต่อต้านเฉินประกอบด้วยกองกำลังจากกองทัพกวางตุ้งภายใต้สฺวี ฉงจื้อ และสองกรมทหารฝึกหัดของกองทัพพรรคชาตินิยม นำโดยเจียง ไคเชกและมีเจ้าหน้าที่และนักเรียนนายร้อยจากโรงเรียนการทหารหวงผู่ประจำอยู่[58][หมายเหตุ 9] การสู้รบดำเนินไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1925 โดยกองกำลังของเฉินพ่ายแพ้แต่ไม่ถูกทำลาย[59] โจวติดตามนักเรียนนายร้อยหวงผู่ไปในภารกิจนี้ในฐานะเจ้าหน้าที่การเมือง

เมื่อเฉินรวมกำลังและโจมตีกว่างโจวอีกครั้งในเดือนกันยายน ค.ศ. 1925 ชาตินิยมจึงเปิดฉากการกรีธาทัพครั้งที่สอง ในเวลานี้ กองกำลังชาตินิยมได้รับการจัดระเบียบใหม่เป็นห้ากองทัพน้อย (หรือกองทัพ) และนำระบบกรรมาธิการการเมือง (commissar) มาใช้ โดยมีฝ่ายการเมืองและตัวแทนพรรคชาตินิยมในกองพลส่วนใหญ่ กองทัพน้อยที่หนึ่ง ประกอบด้วยกองทัพพรรคชาตินิยม นำโดยผู้สำเร็จการศึกษาจากหวงผู่ และบัญชาการโดยเจียง ไคเชก ซึ่งแต่งตั้งโจวเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของกองทัพน้อยที่หนึ่งด้วยตนเอง[60] หลังจากนั้นไม่นาน คณะกรรมการบริหารกลางของพรรคชาตินิยมได้แต่งตั้งโจวเป็นตัวแทนพรรคชาตินิยม ทำให้โจวเป็นหัวหน้ากรรมาธิการของกองทัพน้อยที่หนึ่ง[61] การสู้รบครั้งสำคัญครั้งแรกของการกรีธาทัพนี้คือการยึดฐานที่มั่นของเฉินที่ฮุ่ยโจวเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซัวเถาถูกยึดได้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน และภายในสิ้น ค.ศ. 1925 ชาตินิยมก็ได้ควบคุมมณฑลกวางตุ้งทั้งหมด

การที่โจวได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้ากรรมาธิการของกองทัพน้อยที่หนึ่งทำให้เขาสามารถแต่งตั้งสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ให้เป็นกรรมาธิการในสี่จากห้ากองพลของกองทัพน้อย[62] หลังการกรีธาทัพสิ้นสุดลง โจวได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงพิเศษประจำเขตแม่น้ำตะวันออก ซึ่งทำให้เขามีอำนาจบริหารเป็นการชั่วคราวเหนือหลายอำเภอ เห็นได้ชัดว่าเขาใช้โอกาสนี้ในการตั้งสาขาพรรคคอมมิวนิสต์ในซัวเถาและเสริมสร้างการควบคุมของคอมมิวนิสต์จีนต่อสหภาพท้องถิ่น[63] นี่เป็นจุดสูงสุดในช่วงเวลาที่โจวทำงานที่โรงเรียนการทหารหวงผู่

กิจกรรมการเมือง

[แก้]

ในแง่ส่วนตัว ค.ศ. 1925 ก็เป็นปีที่สำคัญสำหรับโจวเช่นกัน โจวได้ติดต่อกับเติ้ง หยิ่งเชา ผู้ที่เขาเคยพบในสมาคมตื่นรู้ขณะอยู่ที่เทียนจิน และในเดือนมกราคม ค.ศ. 1925 โจวได้ขอและได้รับอนุญาตจากทางการพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้แต่งงานกับเติ้ง ทั้งสองแต่งงานกันที่กว่างโจวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1925[64]

งานของโจวที่หวงผู่ก็สิ้นสุดลงด้วยอุบัติการณ์เรือรบจงชานในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1926 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เรือปืนที่มีลูกเรือส่วนใหญ่เป็นคอมมิวนิสต์แล่นจากหวงผู่ไปยังกวางโจวโดยที่เจียงไม่รู้หรือไม่อนุญาต เหตุการณ์นี้ทำให้เจียงสั่งขับไล่คอมมิวนิสต์ออกจากโรงเรียนภายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1926 และปลดคอมมิวนิสต์จำนวนมากออกจากตำแหน่งสูงในก๊กมินตั๋ง ในบันทึกความทรงจำของเนี่ย หรงเจินระบุว่าเรือปืนได้เคลื่อนที่เพื่อประท้วงการจับกุมโจว เอินไหล (ในช่วงสั้น ๆ)[56]

ช่วงเวลาที่โจวอยู่ที่หวงผู่ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของเขา งานบุกเบิกในฐานะเจ้าหน้าที่การเมืองในกองทัพทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ในพื้นที่หลักนี้ อาชีพของเขาส่วนใหญ่ในภายหลังเน้นไปที่กิจการทหาร งานของโจวในภาคการทหารของคณะกรรมการภูมิภาคกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นตัวอย่างของกิจกรรมลับของเขาในช่วงเวลานั้น ภาคนี้เป็นกลุ่มลับที่ประกอบด้วยสมาชิกสามคนของคณะกรรมการกลางมณฑล โดยมีหน้าที่แรกคือการตั้งและกำกับดูแลกลุ่มแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกองทัพ กลุ่มแกนนำเหล่านี้ ซึ่งตั้งขึ้นในระดับกรมทหารขึ้นไป ถือเป็น "สิ่งผิดกฎหมาย" หมายความว่าถูกก่อตั้งขึ้นโดยที่ชาตินิยมไม่รับรู้หรือไม่อนุญาต ภาคนี้ยังมีหน้าที่รับผิดชอบการตั้งกลุ่มแกนนำที่คล้ายกันในกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ รวมถึงสมาคมลับและหน่วยงานสำคัญ เช่น ทางรถไฟและทางน้ำ โจวทำงานอย่างกว้างขวางในพื้นที่เหล่านี้จนกระทั่งเกิดการแยกตัวขั้นเด็ดขาดระหว่างชาตินิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ และการสิ้นสุดของความเป็นพันธมิตรระหว่างโซเวียต–ชาตินิยมใน ค.ศ. 1927[65]

ความแตกแยกระหว่างชาตินิยม–คอมมิวนิสต์

[แก้]

ขอบเขตความร่วมมือ

[แก้]

กิจกรรมของโจวหลังถูกปลดจากตำแหน่งที่หวงผู่ทันทีนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด นักเขียนชีวประวัติก่อนหน้านี้อ้างว่าเจียง ไคเชกมอบหมายให้โจวรับผิดชอบ "ศูนย์ฝึกอบรมขั้นสูงสำหรับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกรรมาธิการที่ถอนตัวออกจากกองทัพ"[66] แหล่งข้อมูลคอมมิวนิสต์จีนในยุคหลังอ้างว่าในช่วงเวลานี้โจวมีบทบาทสำคัญในการรักษาอำนาจควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์เหนือกรมทหารอิสระของเย่ ถิง กรมทหารและเย่ ถิงต่อมาได้มีบทบาทนำในปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ครั้งแรกของคอมมิวนิสต์ การก่อการกำเริบหนานชาง[56]

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1926 ชาตินิยมได้เริ่มการกรีธาทัพขึ้นเหนือ ความพยายามทางทหารครั้งใหญ่เพื่อรวมชาติจีน การกรีธาทัพนี้นำโดยเจียง ไคเชกและกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ (NRA) ซึ่งเป็นการรวมกันของกองกำลังทางทหารก่อนหน้านี้โดยได้รับคำแนะนำสำคัญจากที่ปรึกษาทางทหารชาวรัสเซียและมีคอมมิวนิสต์จำนวนมากทำหน้าที่เป็นทั้งผู้บัญชาการและเจ้าหน้าที่การเมือง ด้วยความสำเร็จในช่วงแรกของการกรีธาทัพ จึงเกิดการแข่งขันขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างเจียง ไคเชก ผู้นำ "ปีกขวา" ของพรรคชาตินิยม และพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งดำเนินงานอยู่ภายใน "ปีกซ้าย" ของชาตินิยม เพื่อควบคุมเมืองสำคัญทางใต้ เช่น หนานจิงและเซี่ยงไฮ้ ณ จุดนี้ พื้นที่ส่วนที่เป็นของจีนในเซี่ยงไฮ้อยู่ภายใต้การควบคุมของซุน ฉวนฟาง หนึ่งในขุนศึกที่ถูกหมายหัวโดยการกรีธาทัพ ซุนถูกเบี่ยงความสนใจจากการสู้รบกับกองทัพปฏิวัติแห่งชาติและการแปรพักตร์จากกองทัพของเขา ทำให้เขาลดกำลังทหารในเซี่ยงไฮ้ลง และคอมมิวนิสต์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่พรรคตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ จึงได้พยายามเข้ายึดเมืองถึงสามครั้ง ต่อมาเรียกว่า "การก่อการกำเริบเซี่ยงไฮ้สามครั้ง" ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1926, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1927 และมีนาคม ค.ศ. 1927

กิจกรรมในเซี่ยงไฮ้

[แก้]
โจว เอินไหล (ค.ศ. 1927)

โจวถูกย้ายไปเซี่ยงไฮ้เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมเหล่านี้ น่าจะอยู่ในช่วงปลาย ค.ศ. 1926 ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เข้าร่วมในการก่อการกำเริบครั้งแรกเมื่อวันที่ 23–24 ตุลาคม[67] แต่แน่นอนว่าเขาอยู่ในเซี่ยงไฮ้แล้วภายในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1926 บันทึกในช่วงแรกระบุว่าโจวมีส่วนร่วมในกิจกรรมการจัดตั้งแรงงานในเซี่ยงไฮ้หลังจากมาถึง หรือที่น่าเชื่อถือกว่าคือการทำงานเพื่อ "เสริมสร้างการให้ความรู้แก่คนงานด้านการเมืองในสหภาพแรงงานและลักลอบขนอาวุธให้แก่ผู้ประท้วง"[68] รายงานที่ว่าโจว "จัดตั้ง" หรือ "สั่งการ" การก่อการกำเริบครั้งที่สองและสามเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์และ 21 มีนาคมนั้นอาจกล่าวเกินจริงถึงบทบาทของเขา การตัดสินใจครั้งสำคัญในช่วงนี้ทำโดยเฉิน ตู๋ซิ่ว หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้และเลขาธิการพรรค พร้อมด้วยคณะกรรมการพิเศษของเจ้าหน้าที่พรรคแปดคนในการประสานงานการกระทำของคอมมิวนิสต์ คณะกรรมการยังปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับการตัดสินใจของตัวแทนโคมินเมิร์นในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งนำโดยกรีโกรี วอยตินสกี[69] เอกสารบางส่วนที่มีอยู่สำหรับช่วงเวลานี้แสดงให้เห็นว่าโจวเป็นผู้นำคณะกรรมาธิการทหารของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้[70] เขาเข้าร่วมในปฏิบัติการทั้งในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม แต่ไม่ใช่ผู้ชี้นำในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่ทำงานร่วมกับเอ. พี. แอปเปน ที่ปรึกษาทางทหารของโซเวียตประจำคณะกรรมการกลาง เพื่อฝึกอบรมหน่วยยามของสหภาพแรงงานใหญ่ องค์กรแรงงานที่คอมมิวนิสต์ควบคุมในเซี่ยงไฮ้ เขายังทำงานเพื่อทำให้กองกำลังของสหภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศ "ความน่าสะพรึงสีแดง" (Red Terror) หลังการก่อการกำเริบเดือนกุมภาพันธ์ที่ล้มเหลว การกระทำนี้ส่งผลให้มีการฆาตกรรมผู้ "ต่อต้านสหภาพ" ยี่สิบคน และการลักพาตัว ทำร้าย และข่มเหงบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่อต้านสหภาพ[71]

การก่อการกำเริบของคอมมิวนิสต์ครั้งที่สามในเซี่ยงไฮ้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 21 มีนาคม คนงานที่ก่อจลาจลประมาณ 600,000 คนตัดสายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์และยึดที่ทำการไปรษณีย์ สำนักงานตำรวจ และสถานีรถไฟของเมือง ซึ่งมักจะหลังจากการต่อสู้อย่างหนัก ในระหว่างการก่อการกำเริบครั้งนี้ ผู้ก่อการได้รับคำสั่งอย่างเคร่งครัดไม่ให้ทำร้ายชาวต่างชาติ ซึ่งพวกเขาก็ปฏิบัติตาม กองกำลังของซุน ฉวนฟางได้ถอนตัวออกไป และการก่อการกำเริบก็ประสบความสำเร็จ แม้จะมีกองกำลังติดอาวุธจำนวนน้อย กองทหารชาตินิยมชุดแรกเข้าสู่เมืองในวันรุ่งขึ้น[72]

ขณะที่คอมมิวนิสต์พยายามตั้งรัฐบาลเทศบาลในแบบโซเวียต ความขัดแย้งก็เริ่มขึ้นระหว่างชาตินิยมและคอมมิวนิสต์ และในวันที่ 12 เมษายน กองกำลังชาตินิยม รวมถึงสมาชิกแก๊งเขียว (Green Gang) และทหารภายใต้บังคับบัญชาของนายพลไป๋ ฉงซี ได้โจมตีคอมมิวนิสต์และเอาชนะพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว ในคืนก่อนการโจมตีของชาตินิยม หวัง โฉ่วหฺวา หัวหน้าคณะกรรมการแรงงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมการแรงงานใหญ่ ได้ตอบรับคำเชิญไปรับประทานอาหารค่ำจาก "ตู้หูใหญ่" (อันธพาลเซี่ยงไฮ้) และถูกรัดคอหลังจากที่เขามาถึง โจวเองก็เกือบถูกฆ่าในกับดักที่คล้ายกัน เมื่อเขาถูกจับกุมหลังไปถึงงานเลี้ยงอาหารค่ำที่สำนักงานใหญ่ของซี เลี่ย ผู้บัญชาการชาตินิยมของกองทัพที่ 26 ของเจียง แม้จะมีข่าวลือว่าเจียงตั้งค่าหัวโจวไว้สูง แต่เขาได้รับการปล่อยตัวอย่างรวดเร็วโดยกองกำลังของไป๋ ฉงซี เหตุผลสำหรับการปล่อยตัวโจวอย่างกะทันหันอาจเป็นเพราะโจวเป็นผู้อาวุโสที่สุดของคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้ในขณะนั้น ความพยายามของเจียงในการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้เป็นความลับยิ่งในเวลานั้น และการประหารชีวิตเขาอาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงความร่วมมือระหว่างคอมมิวนิสต์และชาตินิยม (ซึ่งในทางเทคนิคยังคงมีผลอยู่) ในที่สุดโจวก็ได้รับการปล่อยตัวหลังมีการแทรกแซงจากตัวแทนกองทัพที่ 26 จ้าว ชู ผู้ซึ่งสามารถโน้มน้าวผู้บังคับบัญชาของเขาได้ว่าการจับกุมโจวเป็นความผิดพลาด[73]

หนีจากเซี่ยงไฮ้

[แก้]

เมื่อหนีออกจากเซี่ยงไฮ้ โจวได้เดินทางไปยังเมืองฮั่นโข่ว (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอู่ฮั่น) และเข้าร่วมในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 5 ที่นั่น ระหว่างวันที่ 27 เมษายนถึง 9 พฤษภาคม ในช่วงสิ้นสุดของการประชุม โจวได้รับเลือกเข้าสู่คณะกรรมการกลางพรรค และเป็นหัวหน้าฝ่ายทหารอีกครั้ง[74] หลังการปราบปรามคอมมิวนิสต์ของเจียง ไคเชก พรรคชาตินิยมได้แตกออกเป็นสองฝ่าย โดยมี "ปีกซ้าย" (นำโดยวาง จิงเว่ย์) ควบคุมรัฐบาลในฮั่นโข่ว และ "ปีกขวา" ของพรรค (นำโดยเจียง ไคเชก) ตั้งรัฐบาลคู่แข่งที่หนานจิง ตามคำสั่งของโคมินเทิร์น คอมมิวนิสต์ยังคงอยู่เป็น "กลุ่มภายใน" พรรคชาตินิยม โดยหวังว่าจะขยายอิทธิพลต่อไปผ่านชาตินิยม[75] ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1927 รัฐบาลปีกซ้ายของวางก็สลายตัวลง หลังถูกโจมตีโดยขุนศึกที่เป็นมิตรกับเจียง และกองทัพของเจียงก็เริ่มกวาดล้างคอมมิวนิสต์อย่างเป็นระบบในดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของหวัง[76] ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม โจวถูกบีบให้ซ่อนตัว[75]

ภายใต้แรงกดดันจากที่ปรึกษาโคมินเทิร์น และความเชื่อมั่นของพวกเขาเองว่า "กระแสการปฏิวัติครั้งใหญ่" มาถึงแล้ว คอมมิวนิสต์จึงตัดสินใจเริ่มชุดการก่อการกำเริบทางทหาร[77] ครั้งแรกคือการก่อการกำเริบหนานชาง โจวถูกส่งไปดูแลเหตุการณ์นี้ แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่มีบทบาทหลักคือถาน ผิงชานและหลี่ ลี่ซาน ขณะที่ผู้นำทางทหารหลักคือเย่ ถิงและเฮ่อ หลง ในแง่การทหาร การก่อการครั้งนี้เป็นความหายนะ โดยกำลังของคอมมิวนิสต์ถูกทำลายและกระจัดกระจาย[78]

โจวเองก็ติดเชื้อมาลาเรียระหว่างการรณรงค์และถูกเนี่ย หรงเจินกับเย่ ถิงแอบส่งไปรักษาตัวที่ฮ่องกง หลังถึงฮ่องกง โจวปลอมตัวเป็นพ่อค้าชื่อ "หลี่" และอยู่ในความดูแลของคอมมิวนิสต์ท้องถิ่น ในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งต่อมา โจวถูกตำหนิสำหรับความล้มเหลวของการรณรงค์หนานชางและถูกลดตำแหน่งชั่วคราวให้เป็นเพียงสมาชิกสำรองของกรมการเมือง[79]

กิจกรรมในสงครามกลางเมืองจีน

[แก้]

การประชุมสภาพรรคครั้งที่หก

[แก้]

หลังความล้มเหลวของการก่อการกำเริบหนานชาง โจวเดินทางออกจากจีนไปยังสหภาพโซเวียตเพื่อเข้าร่วมการประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่หกที่มอสโก ในช่วงเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม ค.ศ. 1928[80] การประชุมครั้งที่หกจำเป็นต้องจัดขึ้นที่มอสโกเพราะสถานการณ์ในจีนถูกมองว่าอันตราย การควบคุมของก๊กมินตั๋งเข้มงวดมากจนผู้แทนชาวจีนหลายคนที่เข้าร่วมประชุมครั้งที่หกต้องเดินทางโดยปลอมตัว โดยตัวโจวเองปลอมตัวเป็นนักสะสมของเก่า[81]

ในการประชุมครั้งที่หก โจวกล่าวสุนทรพจน์ยาวที่ยืนยันว่าสถานการณ์ในจีนไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิวัติในทันที และภารกิจหลักของพรรคคอมมิวนิสต์ควรเป็นการสร้างแรงผลักดันการปฏิวัติโดยการเอาชนะการสนับสนุนจากมวลชนในชนบทและการตั้งระบอบโซเวียตทางตอนใต้ของจีน คล้ายกับที่เหมา เจ๋อตงและจู เต๋อกำลังตั้งอยู่รอบเจียงซี ที่ประชุมโดยทั่วไปยอมรับว่าการประเมินของโจวมีความถูกต้อง เซี่ยง จงฟาได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรค แต่ไม่นานก็พบว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ดังนั้นโจวจึงกลายเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งที่ขณะนั้นโจวมีอายุเพียง 30 ปี[81]

ระหว่างการประชุมครั้งที่หก โจวได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการกรมองค์การของคณะกรรมการกลาง พันธมิตรของเขา หลี่ ลี่ซาน เข้ารับผิดชอบงานโฆษณาชวนเชื่อ โจวกลับมาถึงจีนในที่สุดใน ค.ศ. 1929 หลังอยู่ต่างประเทศนานกว่าหนึ่งปี ในการประชุมครั้งที่หกที่มอสโก โจวได้เผยตัวเลขที่ระบุว่าใน ค.ศ. 1928 มีสมาชิกสหภาพแรงงานที่ภักดีต่อคอมมิวนิสต์เหลือน้อยกว่า 32,000 คน และมีสมาชิกพรรคที่เป็นชนกรรมาชีพเพียงร้อยละสิบเท่านั้น และภายใน ค.ศ. 1929 สมาชิกพรรคที่เป็นชนกรรมาชีพลดลงเหลือเพียงร้อยละสาม[82]

ในช่วงต้น ค.ศ. 1930 โจวเริ่มไม่เห็นด้วยกับจังหวะเวลาของกลยุทธ์ของหลี่ ลี่ซานที่สนับสนุนชาวนาผู้มั่งคั่งและเน้นการรวมกำลังทหารเพื่อโจมตีศูนย์กลางเมือง โจวไม่ได้แตกหักกับแนวคิดเหล่านี้อย่างเปิดเผย และยังพยายามนำไปปฏิบัติในเวลาต่อมาใน ค.ศ. 1931 ที่เจียงซี[83] เมื่อปาเวล มิฟ ตัวแทนโซเวียต เดินทางมาถึงเซี่ยงไฮ้เพื่อนำโคมินเทิร์นในจีนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1930 มิฟได้วิจารณ์กลยุทธ์ของหลี่ว่าเป็น "การผจญภัยฝ่ายซ้าย" และวิจารณ์โจวที่ประนีประนอมกับหลี่ โจว "ยอมรับ" ความผิดพลาดในการประนีประนอมกับหลี่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1931 และเสนอลาออกจากกรมการเมือง แต่ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งขณะที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์อาวุโสคนอื่น ๆ รวมถึงหลี่ ลี่ซานและฉฺวี ชิวไป๋ถูกปลดออก ดังที่เหมาได้ตระหนักในภายหลัง มิฟเข้าใจว่าการรับใช้ของโจวในฐานะผู้นำพรรคนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และโจวจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจกับใครก็ตามที่กุมอำนาจอยู่[84]

งานใต้ดิน: การจัดตั้ง

[แก้]

หลังกลับมาถึงเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1929 โจวก็เริ่มทำงานใต้ดิน โดยจัดตั้งและดูแลเครือข่ายของกลุ่มคอมมิวนิสต์อิสระ อันตรายที่สุดในการทำงานใต้ดินของโจวคือการถูกจับได้โดยตำรวจลับก๊กมินตั๋ง ซึ่งก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1928 โดยมีภารกิจเฉพาะคือการระบุตัวและกำจัดคอมมิวนิสต์ เพื่อเลี่ยงการถูกตรวจพบ โจวและภรรยาได้ย้ายที่พักอย่างน้อยเดือนละครั้งและใช้นามแฝงหลากหลาย โจวมักปลอมตัวเป็นนักธุรกิจ บางครั้งไว้เครา โจวระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะให้มีเพียงสองหรือสามคนเท่านั้นที่รู้ที่อยู่ของเขา เขายังปลอมแปลงสำนักงานพรรคในเมืองทั้งหมด และทำให้แน่ใจว่าสำนักงานพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะไม่ใช้ตึกเดียวกันในเมืองเดียวกัน และกำหนดให้สมาชิกพรรคทุกคนต้องใช้รหัสผ่านเพื่อระบุตัวตนระหว่างกัน โจวจำกัดการประชุมทั้งหมดให้อยู่ก่อน 7 โมงเช้าหรือหลัง 1 ทุ่ม เขาไม่เคยใช้บริการขนส่งสาธารณะและเลี่ยงการปรากฏตัวในที่สาธารณะ[85]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1928 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ตั้งหน่วยงานข่าวกรองของตนเองขึ้น (แผนก "บริการพิเศษคณะกรรมการกลาง" หรือ "จงยางเท่อเคอ" (จีน: 中央特科) มักเรียกโดยย่อว่า "เท่อเคอ") ซึ่งต่อมาโจวเป็นผู้ควบคุม ลูกน้องคนสำคัญของโจว ได้แก่ กู้ ชุ่นจาง ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมลับของจีนและต่อมาได้เป็นสมาชิกสำรองของกรมการเมือง และเซี่ยง จงฟา เท่อเคอมีส่วนปฏิบัติการสี่ส่วน: ส่วนหนึ่งสำหรับปกป้องและรักษาความปลอดภัยของสมาชิกพรรค อีกส่วนสำหรับรวบรวมข่าวกรอง ส่วนหนึ่งสำหรับการอำนวยความสะดวกการสื่อสารภายใน และส่วนหนึ่งเพื่อดำเนินการลอบสังหาร ทีมนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "หน่วยแดง" (红队)[86]

ความกังวลหลักของโจวในการบริหารงานเท่อเคอคือการสร้างเครือข่ายต่อต้านการจารกรรมที่มีประสิทธิภาพภายในตำรวจลับก๊กมินตั๋ง ในเวลาอันสั้น เฉิน เกิง หัวหน้าส่วนข่าวกรองของเท่อเคอ ประสบความสำเร็จในการวางเครือข่ายสายลับจำนวนมากไว้ภายในแผนกสืบสวนสอบสวนของกรมปฏิบัติการกลางในหนานจิง ซึ่งเป็นศูนย์กลางข่าวกรองของก๊กมินตั๋ง สายลับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสามคนที่โจวใช้แทรกซึมตำรวจลับก๊กมินตั๋งคือเฉียน จ้วงเฟย์, หลี่ เค่อหนง และหู ตี่ ซึ่งโจวกล่าวถึงว่าเป็น "สามเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่โดดเด่นที่สุดของพรรค" ในช่วงทศวรรษ 1930 สายลับที่ปลูกฝังไว้ในสำนักงานต่าง ๆ ของก๊กมินตั๋งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเวลาต่อมา โดยช่วยให้พรรคหนีรอดจากการทัพโอบล้อมของเจียงได้[87]

การตอบสนองของก๊กมินตั๋งต่อการทำงานข่าวกรองของโจว

[แก้]
โจว เอิยไหล (ทศวรรษ 1930)

ในปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1931 กู้ ชุ่นจาง หัวหน้าผู้ช่วยกิจการความมั่นคงของโจว ถูกจับโดยกองทัพก๊กมินตั๋งในอู่ฮั่น กู้เคยเป็นผู้นำการจัดตั้งแรงงานที่มีสายสัมพันธ์กับมาเฟียที่แข็งแกร่งและมีความภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนน้อย ภายใต้การขู่ว่าจะถูกทรมานอย่างหนัก กู้ได้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดแก่ตำรวจลับก๊กมินตั๋งเกี่ยวกับองค์กรใต้ดินของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอู่ฮั่น นำไปสู่การจับกุมและการประหารชีวิตผู้นำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกว่าสิบคนในเมืองนั้น กู้เสนอจะให้รายละเอียดกิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเซี่ยงไฮ้แก่ก๊กมินตั๋ง แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะให้ข้อมูลนี้โดยตรงกับเจียง ไคเช็กเท่านั้น[88]

เฉียน จ้วงเฟย์ สายลับของโจวคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในหนานจิง ได้ดักจับโทรเลขที่ร้องขอคำสั่งเพิ่มเติมจากหนานจิงว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และได้ทิ้งหน้าฉากของตนเพื่อเตือนโจวด้วยตนเองถึงการปราบปรามที่กำลังจะเกิดขึ้น สองวันก่อนที่กู้จะเดินทางมาถึงหนานจิงเพื่อพบกับเจียง ไคเช็ก ทำให้โจวมีเวลาอพยพสมาชิกพรรคและเปลี่ยนรหัสการสื่อสารทั้งหมดของเท่อเคอ ซึ่งเป็นที่รู้กันของกู้ หลังพบกับเจียง ไคเช็กอย่างสั้น ๆ ที่หนานจิง กู้ก็เดินทางถึงเซี่ยงไฮ้และช่วยตำรวจลับก๊กมินตั๋งบุกค้นสำนักงานและที่พักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จับกุมสมาชิกที่หนีไม่ทัน การประหารชีวิตอย่างรวบรัดของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดนับตั้งแต่การสังหารหมู่ที่เซี่ยงไฮ้ ค.ศ. 1927[89]

ปฏิกิริยาของโจวต่อการทรยศของกู้นั้นรุนแรง สมาชิกในครอบครัวของกู้กว่าสิบห้าคน บางคนทำงานให้กับเท่อเคอ ถูกสังหารโดยหน่วยแดงและฝังไว้ในพื้นที่ที่พักอาศัยที่เงียบสงบในเซี่ยงไฮ้ จากนั้นหน่วยแดงได้ลอบสังหารหวัง ปิง สมาชิกคนสำคัญของตำรวจลับก๊กมินตั๋งซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเดินทางไปทั่วเซี่ยงไฮ้ด้วยรถลากโดยไม่มีผู้คุ้มกัน สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนส่วนใหญ่ที่รอดชีวิตถูกย้ายไปยังฐานคอมมิวนิสต์ที่มณฑลเจียงซี เนื่องจากเจ้าหน้าที่อาวุโสส่วนใหญ่ถูกเปิดเผยโดยกู้ สายลับมือดีที่สุดส่วนใหญ่จึงถูกย้ายไปด้วย พาน ฮั่นเหนียน ผู้ช่วยอาวุโสที่สุดของโจวที่ยังไม่เป็นที่ต้องสงสัย ได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการเท่อเคอ[90]

คืนก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากเซี่ยงไฮ้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1931 เซี่ยง จงฟา หนึ่งในสายลับอาวุโสที่สุดของโจว ตัดสินใจใช้เวลาค้างคืนในโรงแรมกับภรรยาน้อย โดยไม่สนใจคำเตือนของโจวเกี่ยวกับอันตราย ในตอนเช้า สายข่าวก๊กมินตั๋งที่สะกดรอยตามเซี่ยงอยู่ได้สังเกตเห็นเขาขณะออกจากโรงแรม เซี่ยงถูกจับกุมทันทีและถูกคุมขังในเขตสัมปทานฝรั่งเศส โจวพยายามป้องกันการส่งตัวเซี่ยงไปยังจีนที่ควบคุมโดยก๊กมินตั๋ง โดยให้สายลับของเขาติดสินบนหัวหน้าตำรวจในเขตสัมปทานฝรั่งเศส แต่ทางการก๊กมินตั๋งยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อทางการของเขตสัมปทานฝรั่งเศส ทำให้หัวหน้าตำรวจไม่สามารถแทรกแซงได้ ความหวังของโจวที่ว่าเซี่ยงจะถูกย้ายไปหนานจิง ซึ่งจะทำให้เขามีโอกาสลักพาตัวเซี่ยง ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน ฝรั่งเศสยอมย้ายเซียงไปยังกองบัญชาการกองทหารรักษาการณ์เซี่ยงไฮ้ ภายใต้บังคับบัญชาของนายพลสฺยง ชื่อฮุย ซึ่งทรมานและสอบปากคำเซี่ยงอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อเจียง ไคเช็กมั่นใจว่าเซี่ยงได้ให้ข้อมูลทั้งหมดที่ผู้ทรมานขอแล้ว เขาก็สั่งให้ประหารชีวิตเซี่ยง[91]

ต่อมาโจว เอินไหลประสบความสำเร็จในการซื้อสำเนาบันทึกการสอบสวนของเซี่ยงอย่างลับ ๆ บันทึกแสดงให้เห็นว่าเซี่ยงเปิดเผยทุกสิ่งต่อทางการก๊กมินตั๋งก่อนถูกประหารชีวิต รวมถึงที่ตั้งของที่พักของโจวด้วย การจับกุมและประหารชีวิตระลอกใหม่เกิดขึ้นหลังการจับกุมเซี่ยง แต่โจวและภรรยาของเขาสามารถรอดพ้นจากการถูกจับได้เพราะพวกเขาละทิ้งห้องพักของตนในเช้าวันที่มีการจับกุมเซี่ยง หลังจากตั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองชุดใหม่ในเซี่ยงไฮ้แล้ว โจวและภรรยาของเขาก็ย้ายไปที่ฐานคอมมิวนิสต์ในเจียงซีในช่วงปลาย ค.ศ. 1931[91] เมื่อโจวออกจากเซี่ยงไฮ้ เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกตามล่าตัวมากที่สุดในประเทศจีน[92]

โซเวียตเจียงซี

[แก้]

หลังความล้มเหลวของการก่อการกำเริบหนานชางและการก่อการกำเริบหน้าเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงใน ค.ศ. 1927 คอมมิวนิสต์เริ่มมุ่งเน้นไปที่การตั้งฐานปฏิบัติการในชนบททางตอนใต้ของจีนหลายแห่ง แม้กระทั่งก่อนจะย้ายไปเจียงซี โจวก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในฐานเหล่านี้แล้ว เหมาอ้างว่าจำเป็นต้องกำจัดพวกต่อต้านการปฏิวัติและพวกต่อต้านบอลเชวิคที่ปฏิบัติการอยู่ภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงริเริ่มการกวาดล้างทางอุดมการณ์ของประชากรภายในโซเวียตเจียงซี โจวอาจเป็นเพราะความสำเร็จในการแทรกซึมสายลับเข้าไปในระดับต่าง ๆ ของก๊กมินตั๋ง จึงเห็นด้วยว่าการรณรงค์เพื่อเปิดโปงการบ่อนทำลายเป็นสิ่งสมเหตุสมผล และได้ให้การสนับสนุนการรณรงค์ดังกล่าวในฐานะผู้นำโดยพฤตินัยของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[93]

ความพยายามของเหมาพัฒนาไปสู่การรณรงค์ที่ไร้ความปรานีซึ่งขับเคลื่อนด้วยความระแวงและไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เพียงสายลับก๊กมินตั๋งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงใครก็ตามที่มีแนวคิดทางอุดมการณ์ต่างจากเหมา ผู้ต้องสงสัยมักถูกทรมานจนกว่าจะสารภาพความผิดและกล่าวหาผู้อื่น ภรรยาและญาติที่สอบถามถึงผู้ที่ถูกทรมานก็จะถูกจับกุมและทรมานอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ความพยายามของเหมาในการกวาดล้างกองทัพแดงเพื่อกำจัดผู้ที่อาจต่อต้านเขานำไปสู่การที่เหมากล่าวหาเฉิน อี้ ผู้บัญชาการและกรรมาธิการการเมืองของภูมิภาคทหารเจียงซีว่าเป็นพวกต่อต้านการปฏิวัติ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อการประหัตประหารของเหมาที่รู้จักในชื่อ "อุบัติการณ์ฝูเถียน" ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1931 ในที่สุดเหมาก็ประสบความสำเร็จในการปราบกองทัพแดง ทำให้จำนวนลดลงจากสี่หมื่นเหลือไม่ถึงหนึ่งหมื่นนาย การรณรงค์นี้ดำเนินต่อไปตลอด ค.ศ. 1930 และ 1931 นักประวัติศาสตร์ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตรวมจากการข่มเหงของเหมาในพื้นที่ฐานทั้งหมดประมาณหนึ่งแสนคน[94]

การรณรงค์ทั้งหมดเกิดขึ้นขณะที่โจวยังคงอยู่ในเซี่ยงไฮ้ แม้เขาจะเคยสนับสนุนการกำจัดพวกต่อต้านการปฏิวัติ แต่โจวได้ระงับการรณรงค์อย่างแข็งขันเมื่อเขาเดินทางมาถึงเจียงซีในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931 โดยวิพากษ์วิจารณ์ "ความเกินเลย ความตื่นตระหนก และความมักง่าย" ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นปฏิบัติ หลังสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกต่อต้านบอลเชวิค และผู้ที่ข่มเหงพวกเขา โจวยื่นรายงานที่วิพากษ์วิจารณ์การรณรงค์ว่ามุ่งเน้นการข่มเหงพวกต่อต้านเหมาในฐานะพวกต่อต้านบอลเชวิคอย่างแคบเกินไป ทำให้ภัยคุกคามต่อพรรคดูเกินจริง และประณามการใช้การทรมานเป็นเทคนิคในการสอบสวน มติของโจวได้รับการอนุมัติและนำมาใช้ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1932 และการรณรงค์ก็ค่อย ๆ ลดลง[95]

โจวย้ายไปยังพื้นที่ฐานเจียงซีและปฏิวัติแนวทางที่เน้นการโฆษณาชวนเชื่อในการปฏิวัติโดยเรียกร้องให้มีการใช้กองกำลังติดอาวุธภายใต้การควบคุมของคอมมิวนิสต์เพื่อขยายฐานจริง แทนการใช้เพียงเพื่อควบคุมและป้องกัน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931 โจวแต่งตั้งเซี่ยง อิง เข้ามาแทนที่เหมา เจ๋อตง ในตำแหน่งเลขาธิการกองทัพหน้าที่หนึ่ง และให้ตนเองเป็นกรรมาธิการการเมืองของกองทัพแดงแทนเหมา หลิว ปั๋วเฉิง, หลิน เปียว และเผิง เต๋อหวยต่างวิพากษ์วิจารณ์ยุทธวิธีของเหมาในการประชุมหนิงตูในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1932[96][97]

หลังจากย้ายมาเจียงซี โจวพบกับเหมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1927 และเริ่มต้นความสัมพันธ์อันยาวนานกับเหมาในฐานะผู้บังคับบัญชาของเขา ในการประชุมหนิงตู เหมาถูกลดตำแหน่งให้เป็นเพียงบุคคลสำคัญในรัฐบาลโซเวียต โจวซึ่งเริ่มเห็นคุณค่าของยุทธศาสตร์ของเหมาภายหลังความล้มเหลวทางทหารหลายครั้งที่ดำเนินการโดยผู้นำพรรคคนอื่น ๆ ตั้งแต่ ค.ศ. 1927 ได้ปกป้องเหมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังขึ้นสู่อำนาจ เหมาได้ทำการกวาดล้างหรือลดตำแหน่งผู้ที่เคยต่อต้านเขาใน ค.ศ. 1932 แต่จดจำการปกป้องนโยบายของเขาของโจวได้[98]

การทัพโอบล้อมของเจียง

[แก้]

ในช่วงต้น ค.ศ. 1933 ปั๋ว กู่เดินทางมาถึงพร้อมกับอ็อทโท เบราน์ ที่ปรึกษาโคมินเทิร์นชาวเยอรมัน และเข้าควบคุมกิจการของพรรค ในเวลานี้ โจวซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากเพื่อนร่วมงานในพรรคและกองทัพ ได้ทำการจัดระเบียบและวางมาตรฐานให้แก่กองทัพแดง ภายใต้การนำของโจว, ปั๋ว และเบราน์ กองทัพแดงได้เอาชนะการโจมตีสี่ครั้งจากกองทัพชาตินิยมของเจียง ไคเชก[99] โครงสร้างทางทหารที่นำไปสู่ชัยชนะของคอมมิวนิสต์ ได้แก่:

ผู้นำ การกำหนดหน่วย
หลิน เปียว, เนี่ย หรงเจิน กองทัพน้อยที่ 1
เผิง เต๋อหวย, หยาง ช่างคุน กองทัพน้อยที่ 3
เซียว จิ้งกวง กองทัพน้อยที่ 7
เซียว เค่อ กองทัพน้อยที่ 8
หลัว ปิ่งฮุย กองทัพน้อยที่ 9
ฟาง จื้อหมิ่น กองทัพน้อยที่ 10

การทัพครั้งที่ห้าของเจียง ซึ่งเปิดฉากในเดือนกันยายน ค.ศ. 1933 เป็นเรื่องยากที่จะรับมือมากกว่าเดิมมาก การใช้ "ยุทธวิธีป้อมเล็ก" รูปแบบใหม่ของเจียงและจำนวนทหารที่มากกว่าทำให้กองทัพของเขาสามารถรุกคืบเข้าสู่ดินแดนคอมมิวนิสต์ได้อย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จในการยึดที่มั่นสำคัญหลายแห่ง ปั๋ว กู่และอ็อทโท เบราน์ใช้ยุทธวิธีแบบดั้งเดิมในการตอบโต้เจียง และโจว แม้จะมีความเห็นคัดค้านเป็นการส่วนตัว ก็ยังคงต้องเป็นผู้สั่งการตามยุทธวิธีเหล่านั้น ภายหลังความพ่ายแพ้ที่ตามมา เขาและผู้นำทางทหารคนอื่น ๆ ก็ถูกตำหนิ[100]

แม้แนวทางการทหารที่ระมัดระวังตัวของโจวในเวลาต่อมาจะไม่เป็นที่ไว้วางใจจากกลุ่มหัวรุนแรง แต่เขาก็ยังคงได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร โจวได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำส่วนใหญ่เป็นเพราะพรสวรรค์ด้านการจัดการ ความทุ่มเทในการทำงาน และเนื่องจากเขาไม่เคยแสดงความทะเยอทะยานที่ชัดเจนในการแสวงหาอำนาจสูงสุดภายในพรรค ภายในไม่กี่เดือน ยุทธวิธีแบบดั้งเดิมที่ดำเนินต่อไปของปั๋วและเบราน์นำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างร้ายแรงของกองทัพแดง และบีบให้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องพิจารณาทิ้งฐานของพวกเขาในมณฑลเจียงซี[101]

การเดินทัพทางไกล

[แก้]
โจว (ซ้ายสุด) กับเหมา เจ๋อตง (กลางซ้าย) และปั๋ว กู่ (ขวาสุด) ที่เหยียนอาน (ค.ศ. 1935)

หลังจากมีการประกาศการตัดสินใจละทิ้งฐานเจียงซี โจวได้รับมอบหมายให้ดูแลการจัดการและการกำกับดูแลด้านการขนส่งสำหรับการถอนทัพของคอมมิวนิสต์ โจววางแผนอย่างเป็นความลับที่สุดและรอจนถึงนาทีสุดท้ายเพื่อแจ้งแม้กระทั่งผู้นำระดับสูงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองกำลัง เป้าหมายของโจวคือการทะลวงวงล้อมของศัตรูให้มีผู้บาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก่อนที่กองกำลังของเจียง ไคเชกจะเข้ายึดครองฐานของคอมมิวนิสต์ทั้งหมด ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าใช้เกณฑ์ใดในการตัดสินใจว่าใครจะอยู่ใครจะไป แต่มีทหาร 16,000 นายและผู้บัญชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดของคอมมิวนิสต์บางคนในเวลานั้น (รวมถึงเซี่ยง อิง, เฉิน อี้, ถาน เจิ้นหลิน และฉฺวี ชิวไป๋) ถูกทิ้งไว้เพื่อตั้งกองหลังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของกองกำลังหลักของชาตินิยมไม่ให้สังเกตเห็นการถอนทัพโดยรวมของคอมมิวนิสต์[102]

การถอนทัพของทหารและพลเรือน 84,000 นายเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 1934 สายลับของโจวประสบความสำเร็จในการระบุจุดใหญ่ของแนวป้อมเล็กของเจียงที่ควบคุมโดยทหารภายใต้การนำของนายพลเฉิน จี้ถัง ขุนศึกกวางตุ้ง ซึ่งโจวระบุว่าน่าจะต้องการรักษาความแข็งแกร่งของกองทัพไว้มากกว่าการต่อสู้ โจวส่งพาน ฮั่นเนี่ยนไปเจรจาขอทางผ่านที่ปลอดภัยกับนายพลเฉิน ซึ่งต่อมาอนุญาตให้กองทัพแดงผ่านดินแดนที่เขาควบคุมได้โดยไม่มีการสู้รบ[103]

หลังผ่านป้อมเล็กสามในสี่แห่งที่จำเป็นในการหลบหนีวงล้อมของเจียง กองทัพแดงก็ถูกสกัดโดยกองทัพก๊กมินตั๋งประจำการ และได้รับความสูญเสียอย่างหนัก จากจำนวนคอมมิวนิสต์ 86,000 นายที่พยายามฝ่าวงล้อมออกจากเจียงซี มีเพียง 36,000 นายเท่านั้นที่หนีรอดมาได้สำเร็จ การสูญเสียครั้งนี้ทำให้ผู้นำคอมมิวนิสต์บางคน (โดยเฉพาะปั๋ว กู่ และอ็อทโท เบราน์) ขวัญเสีย แต่โจวยังคงสุขุมและรักษาตำแหน่งบัญชาการของตนไว้ได้[103]

ระหว่างการเดินทัพทางไกลครั้งต่อมาของคอมมิวนิสต์ มีความขัดแย้งระดับสูงมากมายเกี่ยวกับทิศทางที่คอมมิวนิสต์ควรไป และสาเหตุของความพ่ายแพ้ของกองทัพแดง ในช่วงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่ตามมา โจวให้การสนับสนุนเหมาอย่างสม่ำเสมอเพื่อต่อต้านผลประโยชน์ของปั๋ว กู่และอ็อทโท เบราน์ ต่อมาปั๋วและเบราน์ถูกตำหนิว่าเป็นสาเหตุของความพ่ายแพ้ของกองทัพแดง และในที่สุดก็ถูกถอดออกจากตำแหน่งผู้นำ[104] ในที่สุดคอมมิวนิสต์ก็ประสบความสำเร็จในการตั้งฐานขึ้นใหม่ทางตอนเหนือของมณฑลฉ่านซีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1935 โดยมีสมาชิกที่เหลืออยู่เพียง 8,000–9,000 คน[105]

ตำแหน่งของโจวในพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปลี่ยนแปลงหลายครั้งตลอดการเดินทัพทางไกล ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 โจวได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของพรรค และมีอิทธิพลเหนือกว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ของพรรค แม้จะแบ่งอำนาจกับปั๋วและเบราน์[106] ในช่วงหลายเดือนหลังการประชุมจุนอี้ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1935 ซึ่งมีการถอดปั๋วและเบราน์ออกจากตำแหน่งอาวุโส โจวส่วนใหญ่ยังคงรักษาตำแหน่งไว้ได้เนื่องจากเขาแสดงความเต็มใจรับผิดชอบ เนื่องจากยุทธวิธีของเขาในการเอาชนะการทัพโอบล้อมครั้งที่สี่ของเจียงได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จ และเนื่องจากเขาให้การสนับสนุนเหมา ซึ่งกำลังมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในพรรค หลังการประชุมจุนอี้ เหมากลายเป็นผู้ช่วยของโจว[107] หลังคอมมิวนิสต์ไปถึงฉ่านซีและเสร็จสิ้นการเดินทัพทางไกล เหมาก็เข้ารับตำแหน่งผู้นำหลักของพรรคแทนโจวอย่างเป็นทางการ ในขณะที่โจวรับตำแหน่งรองในฐานะรองประธาน เหมาและโจวจะดำรงตำแหน่งในพรรคจนกระทั่งเสียชีวิตใน ค.ศ. 1976[108]

โจวไม่ประสบความสำเร็จในการยับยั้งการแปรพักตร์อย่างเปิดเผยของจาง กั๋วเทา หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปยังก๊กมินตั๋ง จางเตรียมที่จะแปรพักตร์เนื่องจากมีความขัดแย้งกับเหมาเกี่ยวกับการดำเนินการตามนโยบายแนวร่วม และเนื่องจากเขาไม่พอใจกับรูปแบบการเป็นผู้นำแบบเผด็จการของเหมา โจวพร้อมด้วยความช่วยเหลือจากหวัง หมิง, ปั๋ว กู่และหลี่ เค่อหนง ได้สกัดกั้นจางหลังเขาเดินทางถึงอู่ฮั่น และเข้าสู่การเจรจาอย่างกว้างขวางตลอดเดือนเมษายน ค.ศ. 1938 เพื่อโน้มน้าวให้จางไม่แปรพักตร์ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดจางก็ปฏิเสธจะประนีประนอมและมอบตัวเองอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำรวจลับก๊กมินตั๋ง วันที่ 18 เมษายน คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ขับจางออกจากพรรค และจางเองก็ออกแถลงการณ์กล่าวหาพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าบ่อนทำลายความพยายามต่อต้านญี่ปุ่น เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่สำหรับความพยายามของโจวในการปรับปรุงเกียรติภูมิของพรรค[109]

อุบัติการณ์ซีอาน

[แก้]
โจวกับนายพลคอมมิวนิสต์ เย่ เจี้ยนอิง (ซ้าย) และเจ้าหน้าที่ก๊กมินตั๋ง จาง จ้ง (กลาง) ที่ซีอานใน ค.ศ. 1937 แสดงให้เห็นถึงการเป็นพันธมิตรระหว่างสองพรรคที่เป็นผลจากอุบัติการณ์ซีอาน

ในช่วงการประชุมสภาครั้งที่เจ็ดโคมินเทิร์น ซึ่งจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1936 หวัง หมิงออกแถลงการณ์ต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ โดยระบุว่านโยบายเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ "ต่อต้านเจียง ไคเชกและต่อต้านญี่ปุ่น" จะถูกแทนด้วยนโยบาย "รวมกับเจียง ไคเชกเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น" โจวมีส่วนสำคัญในการดำเนินนโยบายนี้ โจวได้ติดต่อกับนายทหารระดับสูงคนหนึ่งของก๊กมินตั๋งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จาง เสฺวเหลียง ภายใน ค.ศ. 1935 จางเป็นที่รู้จักดีว่ามีความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่น และสงสัยในความตั้งใจของเจียงที่จะต่อต้านญี่ปุ่น ท่าทีของจางทำให้เขาได้รับอิทธิพลได้ง่ายจากท่าทีของโจวที่ระบุว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะร่วมมือกันต่อสู้กับญี่ปุ่น[110]

โจวตั้ง "คณะทำงานตะวันออกเฉียงเหนือ" เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับจาง คณะนี้ทำงานเพื่อโน้มน้าวให้กองทัพตะวันออกเฉียงเหนือของจางรวมกับกองทัพแดงเพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่นและยึดแมนจูเรียคืน คณะยังสร้างคำขวัญชาตินิยมใหม่ ๆ รวมถึง "คนจีนต้องไม่สู้กับคนจีน" เพื่อส่งเสริมเป้าหมายของโจว ด้วยการใช้เครือข่ายผู้ติดต่อลับ โจวจัดการให้มีการประชุมกับจางในเหยียนอาน ซึ่งในขณะนั้นถูกควบคุมโดย "กองทัพตะวันออกเฉียงเหนือ" ของจาง[111]

การประชุมครั้งแรกระหว่างโจวกับจางเกิดขึ้นภายในโบสถ์เมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1936 จางแสดงความสนใจอย่างยิ่งที่จะยุติสงครามกลางเมือง รวมประเทศ และต่อสู้กับญี่ปุ่น แต่เตือนว่าเจียงยังคงควบคุมรัฐบาลแห่งชาติไว้อย่างมั่นคง และเป้าหมายเหล่านี้จะทำได้ยากหากไม่ได้รับความร่วมมือจากเจียง ทั้งสองฝ่ายยุติการประชุมด้วยข้อตกลงหาทางทำงานร่วมกันอย่างลับ ๆ ในขณะที่โจวกำลังสร้างการติดต่อลับกับจาง เจียงก็เริ่มสงสัยในตัวจาง และไม่พอใจมากขึ้นกับความเฉื่อยชาของจางในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพื่อหลอกเจียง โจวและจางได้จัดกำลังทหารหลอกเพื่อสร้างภาพว่ากองทัพตะวันออกเฉียงเหนือและกองทัพแดงกำลังสู้รบกัน[111]

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1936 เจียง ไคเชกบินไปยังกองบัญชาการชาตินิยมในซีอานเพื่อทดสอบความภักดีของกำลังทหารก๊กมินตั๋งในท้องถิ่นภายใต้จอมพลจาง เสฺวเหลียง และเพื่อนำกองกำลังเหล่านี้เข้าโจมตีครั้งสุดท้ายต่อฐานคอมมิวนิสต์ในมณฑลฉ่านซี ซึ่งจางได้รับคำสั่งให้ทำลาย จางซึ่งตั้งใจจะบีบให้เจียงหันไปนำกองกำลังจีนต่อต้านญี่ปุ่น (ซึ่งยึดครองดินแดนแมนจูเรียของจางและกำลังเตรียมการรุกรานที่กว้างขวางขึ้น) จึงได้บุกโจมตีกองบัญชาการของเจียงในวันที่ 12 ธันวาคมพร้อมผู้ติดตาม สังหารองครักษ์ส่วนใหญ่ และยึดตัวจอมทัพไว้ได้ในเหตุการณ์ที่ต่อมาเรียกว่าอุบัติการณ์ซีอาน[112]

ปฏิกิริยาต่อการลักพาตัวเจียงในเหยียนอานมีความแตกต่างกันไป บางคน เช่น เหมา เจ๋อตงและจู เต๋อ มองว่าเป็นโอกาสที่จะสังหารเจียง ส่วนคนอื่น ๆ เช่น โจว เอินไหลและจาง เหวินเทียน มองว่าเป็นโอกาสที่จะบรรลุนโยบายแนวร่วมเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างจุดยืนโดยรวมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[113] การถกเถียงภายในเหยียนอานสิ้นสุดลงเมื่อมีโทรเลขยาวจากโจเซฟ สตาลินมาถึง เรียกร้องให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำงานเพื่อให้มีการปล่อยตัวเจียง อธิบายว่าแนวร่วมเป็นจุดยืนที่ดีที่สุดในการต่อต้านญี่ปุ่น และมีเพียงเจียงเท่านั้นที่มีบารมีและอำนาจในการดำเนินแผนดังกล่าว[114]

หลังการติดต่อเบื้องต้นกับจางเกี่ยวกับชะตากรรมของเจียง โจวได้เดินทางถึงซีอานเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม โดยเครื่องบินที่จาง เสฺวเหลียงส่งมาให้เป็นพิเศษ ในฐานะหัวหน้าผู้เจรจาของคอมมิวนิสต์ ในตอนแรก เจียงคัดค้านการเจรจากับตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ก็ยอมถอนการคัดค้านเมื่อเห็นได้ชัดว่าชีวิตและอิสรภาพของเขาขึ้นอยู่กับความปรารถนาดีของคอมมิวนิสต์เป็นส่วนใหญ่ วันที่ 24 ธันวาคม เจียงได้พบกับโจว เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพบกันนับตั้งแต่โจวออกจากหวงผู่เมื่อสิบกว่าปีก่อน โจวเริ่มการสนทนาด้วยการกล่าวว่า "ในช่วงสิบปีที่เราไม่ได้พบกัน ท่านดูเหมือนจะอายุไม่มากนัก" เจียงพยักหน้าและกล่าวว่า: "เอินไหล เธอเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน เธอควรทำตามที่ฉันบอก" โจวตอบว่า หากเจียงยุติสงครามกลางเมืองและหันไปต่อต้านญี่ปุ่นแทน กองทัพแดงก็จะยอมรับคำสั่งของเจียงอย่างเต็มใจ ในตอนท้ายของการประชุม เจียงสัญญาสามข้อ คือ หยุดสงครามกลางเมือง ร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น และเชิญโจวไปหนานจิงเพื่อเจรจาเพิ่มเติม[113]

วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1936 จางปล่อยตัวเจียงและเดินทางไปกับเขาที่หนานจิง ต่อมา จางถูกศาลทหารตัดสินจำคุกและถูกกักบริเวณในบ้าน และนายทหารส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมในอุบัติการณ์ซีอานถูกประหารชีวิต แม้ก๊กมินตั๋งจะปฏิเสธการร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ แต่เจียงก็ยุติกิจกรรมทางทหารต่อฐานคอมมิวนิสต์ในเหยียนอานโดยปริยาย หมายความว่าเขาได้ให้คำมั่นที่จะเปลี่ยนทิศทางนโยบายของเขา หลังการโจมตีของก๊กมินตั๋งสิ้นสุดลง พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็สามารถรวมดินแดนของตนและเตรียมพร้อมต่อต้านญี่ปุ่นได้[115]

หลังมีข่าวว่าจางถูกทรยศและถูกเจียงจับกุม เหล่านายทหารเก่าของจางก็รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างมาก และบางส่วนได้สังหารนายพบชาตินิยมคนหนึ่ง หวัง อี้เจ๋อ ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้รับผิดชอบส่วนใหญ่ต่อการขาดการตอบสนองของกองทัพ ขณะที่โจวยังอยู่ในซีอาน เขาก็ถูกนายทหารของจางหลายคนล้อมในสำนักงานโดยกล่าวหาคอมมิวนิสต์ว่ายุยงให้เกิดอุบัติการณ์ซีอานและทรยศจางโดยการเกลี้ยกล่อมให้นายพลเดินทางไปหนานจิง พวกเขาขู่จะสังหารโจวด้วยปืน โจวซึ่งเป็นนักการทูตเสมอมา รักษาความสงบและกล่าวปกป้องจุดยืนของตนอย่างมีวาทศิลป์ ในที่สุด โจวก็สามารถทำให้เหล่านายทหารสงบลงได้ และพวกเขาก็จากไปโดยที่เขาไม่ได้รับอันตราย

ในการเจรจาหลายครั้งกับก๊กมินตั๋งที่ดำเนินไปจนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1937 (เมื่อเกิดเหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโล) โจวพยายามเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวจางแต่ไม่ประสบความสำเร็จ[116]

กิจกรรมในสงครามโลกครั้งที่สอง

[แก้]

การโฆษณาชวนเชื่อและข่าวกรองในอู่ฮั่น

[แก้]

เมื่อเมืองหลวงของรัฐบาลชาตินิยม หนานจิง พ่ายแพ้แก่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1937 โจวได้ติดตามรัฐบาลชาตินิยมไปยังเมืองหลวงชั่วคราว อู่ฮั่น ในฐานะตัวแทนหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในข้อตกลงความร่วมมือระหว่างก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ที่เรียกกันว่าความร่วมมือนี้ โจวได้ตั้งและเป็นผู้นำสำนักงานประสานงานอย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองฝ่าย ขณะที่ดำเนินงานสำนักงานประสานงานนี้ โจวได้ตั้งสำนักแยงซีของคณะกรรมการกลางพรรค ภายใต้การอำพรางที่เกี่ยวข้องกับกองทัพลู่ที่แปด โจวใช้สำนักแยงซีเพื่อดำเนินการปฏิบัติการลับภายในภาคใต้ของจีน ลอบสรรหาเจ้าหน้าที่คอมมิวนิสต์และตั้งโครงสร้างพรรคไปทั่วพื้นที่ที่ก๊กมินตั๋งควบคุม[117]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1937 พรรคคอมมิวนิสต์จีนออกคำสั่งลับแก่โจวว่างานแนวร่วมของเขาควรเน้นไปที่การแทรกซึมและการตั้งองค์กรคอมมิวนิสต์ในทุกระดับของรัฐบาลและสังคม โจวเห็นด้วยกับคำสั่งเหล่านี้ และใช้พรสวรรค์ด้านการจัดองค์กรที่โดดเด่นของเขาในการดำเนินการให้สำเร็จ หลังโจวมาถึงอู่ฮั่นไม่นาน เขาก็โน้มน้าวให้รัฐบาลชาตินิยมอนุมัติและให้ทุนสนับสนุนหนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ "นิวไชนาเดลี" โดยอ้างว่าเพื่อใช้เป็นเครื่องมือเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านญี่ปุ่น หนังสือพิมพ์ฉบับนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์ และต่อมาฝ่ายชาตินิยมมองว่าการอนุมัติและให้ทุนสนับสนุนนี้เป็นหนึ่งใน "ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุด" ของพวกเขา[118]

โจวประสบความสำเร็จในการจัดระเบียบปัญญาชนและศิลปินชาวจีนจำนวนมากเพื่อส่งเสริมการต่อต้านญี่ปุ่น งานโฆษณาชวนเชื่อที่ใหญ่ที่สุดที่โจวจัดขึ้นคืองานฉลองยาวนานหนึ่งสัปดาห์ใน ค.ศ. 1938 ภายหลังการป้องกันไถเอ๋อร์จวงได้สำเร็จ ในงานนี้ มีผู้เข้าร่วมเดินขบวนระหว่าง 400,000 ถึง 500,000 คน และมีคณะประสานเสียงกว่า 10,000 คนร้องเพลงต่อต้าน ความพยายามระดมทุนในสัปดาห์นั้นได้เงินกว่าหนึ่งล้านหยวน ตัวโจวเองบริจาค 240 หยวน ซึ่งเป็นเงินเดือนรายเดือนของเขาในฐานะรองผู้อำนวยการฝ่ายการเมือง[118]

ขณะทำงานในอู่ฮั่น โจวเป็นผู้ประสานงานหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับโลกภายนอก และทำงานอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของสาธารณชนที่มองคอมมิวนิสต์ว่าเป็น "องค์กรโจร" โจวสร้างและรักษาการติดต่อกับนักข่าวและนักเขียนต่างชาติมากกว่าสี่สิบคน รวมถึงเอ็ดการ์ สโนว์, แอกเนส สเมดลีย์, แอนนา หลุยส์ สตรอง และเรวี แอลลีย์ หลายคนเริ่มเห็นอกเห็นใจต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์และเขียนถึงความรู้สึกนี้ในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างประเทศเพื่อเป็นการสนับสนุนความพยายามของเขาในการส่งเสริมพรรคคอมมิวนิสต์จีนแก่โลกภายนอก โจวจัดการให้คณะแพทย์ชาวแคนาดา นำโดยนอร์แมน เบทูน เดินทางไปยังเหยียนอาน และช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ชาวดัตช์ โยริส อีเฟนส์ ในการผลิตสารคดี 400 Million People[119]

ยุทธศาสตร์ทางทหารในอู่ฮั่น

[แก้]

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 รัฐบาลชาตินิยมแต่งตั้งโจวเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของคณะกรรมการทหาร โดยทำงานภายใต้นายพลเฉิน เฉิงโดยตรง ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ที่มียศเป็นพลโท โจวเป็นคอมมิวนิสต์เพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงภายในรัฐบาลชาตินิยม โจวใช้บารมีของตนในคณะกรรมการทหารเพื่อส่งเสริมนายพลชาตินิยมที่เขาเชื่อว่ามีความสามารถ และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับกองทัพแดง[117]

ในการทัพไถเอ๋อร์จวง โจวใช้บารมีของตนเพื่อให้แน่ใจว่าหลี่ จงเหริน นายพลชาตินิยมที่มีความสามารถที่สุด จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการโดยรวม แม้เจียงจะมีความไม่แน่ใจในความภักดีของหลี่ก็ตาม เมื่อเจียงลังเลจะส่งกองทัพไปป้องกันไถเอ๋อร์จวง โจวได้โน้มน้าวเจียงให้ดำเนินการเช่นนั้นโดยให้คำมั่นว่ากองทัพลู่ที่แปดของคอมมิวนิสต์จะโจมตีญี่ปุ่นจากทางเหนือไปพร้อมกัน และกองทัพที่สี่ใหม่จะก่อวินาศกรรมทางรถไฟเทียนจิน–ผูโข่ว เพื่อตัดเสบียงของญี่ปุ่น ในที่สุดการป้องกันไถเอ๋อร์จวงก็กลายเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของกองทัพชาตินิยม โดยสังหารทหารญี่ปุ่นไป 20,000 นายและยึดเสบียงและยุทธภัณฑ์จำนวนมาก[117]

การรับเลี้ยงเด็กกำพร้า

[แก้]
โจว (ซ้าย) กับภรรยา เติ้ง หยิ่งเชา (กลาง) และซุน เหวย์ชื่อ

ขณะดำรงตำแหน่งทูตพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำก๊กมินตั๋ง โจวซึ่งไม่มีบุตรได้พบปะและผูกมิตรกับเด็กกำพร้าหลายคน ขณะอยู่ที่อู่ฮั่นใน ค.ศ. 1937 โจวได้รับเด็กหญิงคนหนึ่ง ซุน เหวย์ชื่อ มาเป็นบุตรบุญธรรม มารดาของซุนพาเธอมายังอู่ฮั่นหลังบิดาของซุนถูกก๊กมินตั๋งประหารชีวิตใน ค.ศ. 1927 ระหว่างความน่าสะพรึงสีขาว (White Terror) โจวพบซุนวัยสิบหกปีร้องไห้อยู่หน้าสำนักงานประสานงานกองทัพลู่ที่แปดเพราะเธอถูกปฏิเสธไม่ให้เดินทางไปเหยียนอาน ด้วยเหตุผลเรื่องอายุที่ยังน้อยและการขาดเส้นสายทางการเมือง หลังโจวผูกมิตรและรับเธอเป็นบุตรสาว ซุนก็สามารถเดินทางไปเหยียนอานได้ เธอได้ประกอบอาชีพด้านการแสดงและการกำกับ และต่อมาได้กลายเป็นผู้กำกับหญิงคนแรกของละครพูด (ฮฺว่าจู้) ในสาธารณรัฐประชาชนจีน[120]

โจวยังรับซุน หยาง น้องชายของซุน เหวย์ชื่อ มาเป็นบุตรบุญธรรมด้วย[121] หลังติดตามโจวไปเหยียนอาน ซุน หยางได้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของโจว ภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซุน หยางได้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเหรินหมิน[120]

ใน ค.ศ. 1938 โจวพบและผูกมิตรกับเด็กกำพร้าอีกคนหนึ่ง หลี่ เผิง หลี่อายุเพียงสามปีเมื่อบิดาของเขาถูกก๊กมินตั๋งสังหารใน ค.ศ. 1931 หลังจากนั้นโจวก็ดูแลเขาในเหยียนอาน หลังสงคราม โจวเตรียมความพร้อมให้หลี่อย่างเป็นระบบเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำและส่งเขาไปศึกษาด้านวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในมอสโก การที่โจวจัดให้หลี่อยู่ในหน่วยงานรัฐการด้านพลังงานที่มีอำนาจได้ช่วยปกป้องหลี่จากยุวชนแดงในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม และการที่หลี่ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในท้ายที่สุดจึงไม่ได้ทำให้ใครประหลาดใจ[122]

หนีไปฉงชิ่ง

[แก้]

เมื่อกองทัพญี่ปุ่นรุกเข้าใกล้อู่ฮั่นในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1938 กองทัพชาตินิยมได้สู้รบกับญี่ปุ่นในบริเวณโดยรอบนานกว่าสี่เดือน เปิดโอกาสให้ก๊กมินตั๋งถอนทัพลึกเข้าไปในแผ่นดินจนถึงฉงชิ่ง พร้อมขนย้ายเสบียง ทรัพย์สินสำคัญ และผู้ลี้ภัยจำนวนมากไปด้วย ระหว่างทางไปฉงชิ่ง โจวเกือบเสียชีวิตในเหตุการณ์ "ไฟไหม้ฉางชา" ซึ่งกินเวลานานถึงสามวัน ทำลายเมืองไปสองในสาม คร่าชีวิตพลเรือนสองหมื่นคน และทำให้ประชาชนหลายแสนคนไร้ที่อยู่ ไฟไหม้ครั้งนี้ถูกจุดขึ้นโดยตั้งใจโดยกองทัพชาตินิยมที่กำลังล่าถอยเพื่อป้องกันไม่ให้เมืองตกไปอยู่ในมือของญี่ปุ่น ด้วยความผิดพลาดในการจัดการ (ตามที่อ้าง) จึงมีการจุดไฟโดยไม่ได้เตือนผู้อยู่อาศัยในเมือง[123]

หลังหนีรอดจากฉางชา โจวได้ลี้ภัยในวัดพุทธแห่งหนึ่งในหมู่บ้านใกล้เคียงและจัดระเบียบการอพยพออกจากเมือง โจวเรียกร้องให้ทางการสอบสวนสาเหตุของไฟไหม้อย่างละเอียด ลงโทษผู้รับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหายแก่เหยื่อ ทำความสะอาดเมืองอย่างทั่วถึง และจัดหาที่พักแก่ผู้ไร้ที่อยู่ ในท้ายที่สุด ชาตินิยมกล่าวโทษผู้บัญชาการท้องถิ่นสามคนว่าเป็นต้นเหตุของไฟไหม้และสั่งประหารชีวิตพวกเขา หนังสือพิมพ์ทั่วประเทศจีนกล่าวโทษพวกที่ตั้งใจวางเพลิง (ซึ่งไม่ใช่คนของก๊กมินตั๋ง) แต่เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็ส่งผลให้ก๊กมินตั๋งสูญเสียการสนับสนุนทั่วประเทศ[124]

กิจกรรมในฉงชิ่งตอนต้น

[แก้]

โจวเดินทางถึงฉงชิ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1938 และดำเนินงานทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการที่เขาเคยทำในอู่ฮั่นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 ต่อไป กิจกรรมของโจวประกอบด้วยงานที่ต้องทำตามตำแหน่งอย่างเป็นทางการภายในรัฐบาลชาตินิยม การบริหารหนังสือพิมพ์ที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์สองฉบับ และความพยายามลับ ๆ ของเขาในการสร้างเครือข่ายข่าวกรองที่เชื่อถือได้และเพิ่มความนิยมและการตั้งองค์กรพรรคคอมมิวนิสต์จีนในจีนใต้ ในช่วงสูงสุด คณะทำงานที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาทั้งในบทบาททางการและลับมีจำนวนรวมหลายร้อยคน[125] หลังพบว่าโจว อี๋เหนิง ผู้เป็นบิดาไม่สามารถดูแลตนเองได้ โจวก็ได้ดูแลบิดาของเขาในฉงชิ่งจนกระทั่งบิดาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1942[126]

หลังมาถึงฉงชิ่งไม่นาน โจวก็ประสบความสำเร็จในการวิ่งเต้นรัฐบาลชาตินิยมให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่เป็นคอมมิวนิสต์ หลังได้รับการปล่อยตัว โจวมักจะมอบหมายให้บรรดาอดีตนักโทษเหล่านี้เป็นสายลับเพื่อตั้งและนำองค์กรพรรคไปทั่วจีนใต้ ความพยายามในกิจกรรมลับของโจวประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้จำนวนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วจีนใต้เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่าภายในเวลาไม่กี่เดือน เจียงตระหนักถึงกิจกรรมเหล่านี้อยู่บ้างและพยายามจะปราบปรามแต่โดยทั่วไปก็ไม่สำเร็จ[127]

โจว เอินไหลและซุน เหวย์ชื่อในมอสโก, ค.ศ. 1939

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 ขณะอยู่ในเหยียนอานเพื่อเข้าร่วมการประชุมกรมการเมืองชุดหนึ่ง โจวประสบอุบัติเหตุตกม้าที่ทำให้กระดูกข้อศอกข้างขวาแตก เนื่องจากมีบริการทางการแพทย์น้อยมากในเหยียนอาน โจวจึงเดินทางไปมอสโกเพื่อรับการรักษา และใช้โอกาสนี้เพื่อรายงานต่อโคมินเทิร์นเกี่ยวกับสถานะของแนวร่วม โจวเดินทางถึงมอสโกช้าเกินไปกว่าจะรักษาอาการกระดูกแตกได้ ทำให้แขนขวาของเขายังคงงออยู่เช่นนั้นตลอดชีวิต โจเซฟ สตาลินไม่พอใจอย่างมากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนปฏิเสธจะทำงานร่วมกับชาตินิยมอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เขาจึงปฏิเสธจะพบโจวระหว่างที่เขาพำนักอยู่ที่นั่น[128] ซุน เหวย์ชื่อ บุตรบุญธรรมของโจว ได้เดินทางไปมอสโกกับโจวด้วย เธอพักอยู่ที่มอสโกหลังจากโจวเดินทางกลับเพื่อศึกษาต่อด้านการละคร[120]

งานข่าวกรองในฉงชิ่ง

[แก้]

วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 กรมการเมืองยอมรับการประเมินของโจวที่ว่าเขาควรให้ความสำคัญกับความพยายามสร้างเครือข่ายสายลับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ทำงานอย่างลับ ๆ และเป็นเวลานาน คอมมิวนิสต์ได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง หากการทำเช่นนั้นจะเพิ่มความสามารถของสายลับในการแทรกซึมเข้าสู่หน่วยงานบริหาร การศึกษา เศรษฐกิจ และการทหารของก๊กมินตั๋ง ภายใต้การอำพรางเป็นสำนักงานกองทัพลู่ที่แปด (ซึ่งย้ายไปอาคารที่โอ่อ่าในเขตชานเมืองฉงชิ่ง) โจวได้นำมาตรการหลายอย่างมาใช้เพื่อขยายเครือข่ายข่าวกรองของพรรคคอมิวนิสต์จีน[129]

เมื่อโจวเดินทางกลับไปฉงชิ่งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 ความแตกแยกอย่างรุนแรงได้เกิดขึ้นระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วงปีถัดมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเสื่อมลงจนนำไปสู่การจับกุมและประหารชีวิตสมาชิกพรรค ความพยายามลับ ๆ ของสายลับทั้งสองฝ่ายที่จะกำจัดซึ่งกันและกัน ความพยายามในการโฆษณาชวนเชื่อโจมตีกัน และการปะทะทางทหารครั้งใหญ่ แนวร่วมถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการหลังอุบัติการณ์อานฮุยในเดือนมกราคม ค.ศ. 1941 ซึ่งทหารคอมมิวนิสต์ 9,000 นายของกองทัพที่สี่ใหม่ถูกซุ่มโจมตี และผู้บังคับบัญชาของพวกเขาถูกสังหารหรือถูกขังโดยกองทัพรัฐบาล[130]

โจวตอบสนองต่อความแตกแยกระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยสั่งให้ผู้นำพรรคดำเนินการปฏิบัติการอย่างลับ ๆ มากขึ้น เขายังคงดำเนินความพยายามด้านการโฆษณาชวนเชื่อผ่านหนังสือพิมพ์ที่เขาควบคุมและติดต่ออย่างใกล้ชิดกับนักข่าวและทูตต่างประเทศ โจวเพิ่มและปรับปรุงความพยายามด้านข่าวกรองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายในก๊กมินตั๋ง รัฐบาลหนานจิงของวาง จิงเว่ย์ และจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยการสรรหา ฝึกอบรม และตั้งเครือข่ายสายลับคอมมิวนิสต์ขนาดใหญ่ เหยียน เป่าหาง สมาชิกพรรคลับและมีบทบาทในวงการทูตของฉงชิ่ง ได้แจ้งให้โจวทราบว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เผด็จการชาวเยอรมันกำลังวางแผนจะโจมตีสหภาพโซเวียตในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 ข้อมูลนี้ถูกส่งถึงสตาลินภายใต้ลายเซ็นของโจวในวันที่ 20 มิถุนายน หรือสองวันก่อนที่ฮิตเลอร์จะโจมตี แม้สตาลินจะยังไม่เชื่อว่าฮิตเลอร์จะดำเนินการโจมตีจริงก็ตาม[131]

กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการทูต

[แก้]

แม้ความสัมพันธ์กับเจียง ไคเชกจะแย่ลงเรื่อย ๆ แต่โจวยังคงปฏิบัติงานอย่างเปิดเผยในฉงชิ่ง สร้างมิตรภาพกับผู้มาเยือนชาวจีนและชาวต่างชาติ รวมถึงจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมสาธารณะ โดยเฉพาะการแสดงละครจีน โจวสร้างมิตรภาพส่วนตัวที่แน่นแฟ้นกับนายพลเฝิง ยฺวี่เสียง ซึ่งทำให้โจวสามารถเข้าถึงในกลุ่มนายทหารของกองทัพชาตินิยมได้อย่างอิสระ โจวเป็นเพื่อนกับนายพลเหอ จี้เฟิง และโน้มน้าวให้เหอแอบเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนระหว่างการเยือนเหยียนอานอย่างเป็นทางการ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของโจวสามารถเจาะเข้าสู่กองทัพเสฉวนของนายพลเติ้ง ซีโฮ่ว ส่งผลให้เติ้งตกลงอย่างลับ ๆ ที่จะจัดหานำกระสุนให้แก่กองทัพที่สี่ใหม่ของคอมมิวนิสต์ โจวโน้มน้าวนายพลหลี่ เหวินฮุ่ย อีกคนจากเสฉวน ให้ติดตั้งเครื่องส่งวิทยุอย่างลับ ๆ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการสื่อสารลับระหว่างเหยียนอานและฉงชิ่ง โจวเป็นเพื่อนกับจาง จื้อจงและหนง ยฺหวิน ผู้บังคับบัญชาในกองกำลังติดอาวุธยูนนาน ซึ่งกลายเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างลับ ๆ ตกลงจะร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการต่อต้านเจียง ไคเชก และตั้งสถานีวิทยุลับที่กระจายเสียงโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์จากอาคารของรัฐบาลมณฑลในคุนหมิง[132]

โจวยังคงเป็นตัวแทนหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อโลกภายนอกตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ในฉงชิ่ง โจวและผู้ช่วยของเขา เฉียว กวนหฺวา, กง เผิง และหวัง ปิ่งหนาน ยินดีต้อนรับผู้มาเยือนชาวต่างชาติ และสร้างความประทับใจที่ดีในหมู่นักการทูตชาวอเมริกัน อังกฤษ แคนาดา รัสเซีย และชาติอื่น ๆ ผู้มาเยือนรู้สึกว่าโจวมีเสน่ห์ มีมารยาทดี ทำงานหนัก และใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมาก ใน ค.ศ. 1941 โจวได้รับเยี่ยมจากเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์และมาร์ทา เกลล์ฮอร์น ภรรยา เกลล์ฮอร์นเขียนในภายหลังว่าเธอและเออร์เนสต์ประทับใจในตัวโจวอย่างมาก (และไม่ประทับใจในตัวเจียงเลย) และพวกเขามั่นใจว่าพรรคคอมมิวนิสต์ยึดครองประเทศจีนหลังได้พบกับเขา[133]

เนื่องจากเหยียนอานไม่สามารถจัดหาเงินทุนสำหรับกิจกรรมของโจวได้ โจวจึงหาเงินทุนบางส่วนจากเงินบริจาคของชาวต่างชาติที่เห็นอกเห็นใจ ชาวจีนโพ้นทะเล และสันนิบาตป้องกันประเทศจีน (ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซ่ง ชิ่งหลิง ม่ายของซุน ยัตเซ็น) โจวยังดำเนินการเริ่มต้นและบริหารธุรกิจจำนวนหนึ่งทั่วพื้นที่ภายใต้การควบคุมของก๊กมินตั๋งและญี่ปุ่น ธุรกิจของโจวเติบโตขึ้นจนรวมถึงบริษัทการค้าหลายแห่งที่ดำเนินงานในหลายเมืองของจีน (ส่วนใหญ่คือฉงชิ่งและฮ่องกง) ร้านขายผ้าไหมและผ้าซาตินในฉงชิ่ง โรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานผลิตวัสดุอุตสาหกรรม ผ้า ยาตะวันตก และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ[134]

ภายใต้โจว นักธุรกิจคอมมิวนิสต์ทำกำไรมหาศาลจากการซื้อขายเงินตราและการเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและทองคำ ธุรกิจที่สร้างกำไรมากที่สุดของโจวมาจากไร่ฝิ่นหลายแห่งที่โจวตั้งขึ้นในพื้นที่ห่างไกล แม้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้มีส่วนร่วมในการปราบปรามการสูบฝิ่นนับตั้งแต่ก่อตั้ง แต่โจวให้เหตุผลในการผลิตและจำหน่ายฝิ่นในพื้นที่ภายใต้การควบคุมของก๊กมินตั๋งโดยอ้างถึงกำไรมหาศาลที่สร้างขึ้นให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และผลกระทบที่ทำให้ทุพพลภาพที่การติดฝิ่นอาจมีต่อทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบาลของก๊กมินตั๋ง[134]

ความสัมพันธ์กับเหมา เจ๋อตง

[แก้]

ใน ค.ศ. 1943 ความสัมพันธ์ของโจวกับเจียง ไคเชกเสื่อมลง และเขาก็กลับไปอยู่ที่เหยียนอานอย่างถาวร ในช่วงเวลานั้น เหมา เจ๋อตงได้ขึ้นเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกำลังพยายามผลักดันทฤษฎีการเมืองของตน (เรียกว่า "ความคิดของเหมา เจ๋อตง" ตามตัวอักษร) ให้ได้รับการยอมรับเป็นลัทธิของพรรค หลังขึ้นสู่อำนาจ เหมาจัดให้มีการรณรงค์เพื่อปลูกฝังความคิดนี้ในหมู่สมาชิกพรรค การรณรงค์นี้กลายเป็นรากฐานของการบูชาลัทธิเหมาที่ต่อมาได้ครอบงำการเมืองจีนจนกระทั่งสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรม[135]

หลังกลับมาถึงเหยียนอัน โจวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและเกินความจำเป็นในการรณรงค์นี้ โจวถูกตีตราว่าเป็น "ประจักษนิยม" ร่วมกับนายพลเผิง เต๋อหวย, หลิว ปั๋วเฉิง, เย่ เจี้ยนอิง และเนี่ย หรงเจิน เพราะเขามีประวัติเคยร่วมมือกับโคมินเทิร์นและศัตรูของเหมา หวัง หมิง เหมาโจมตีโจวต่อสาธารณะว่าเป็น "ผู้ให้ความร่วมมือและผู้ช่วยของสิทธันตนิยม... ที่ดูหมิ่นการศึกษาลัทธิมากซ์–เลนิน" จากนั้นเหมาและพันธมิตรของเขายังอ้างว่าองค์กรพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่โจวเคยตั้งขึ้นในจีนตอนใต้นั้นถูกนำโดยสายลับก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่โจวปฏิเสธอย่างหนักแน่น และข้อกล่าวหานี้ถูกยกเลิกไปในภายหลังเมื่อเหมาเชื่อมั่นในความภักดีของโจวในช่วงท้ายของการรณรงค์นี้[135]

โจวป้องกันตัวเองด้วยการไตร่ตรองและวิจารณ์ตัวเองต่อสาธารณะหลายครั้งติดต่อกัน และกล่าวสุนทรพจน์มากมายเพื่อยกย่องเหมาและความคิดของเหมา เจ๋อตง พร้อมทั้งแสดงการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อความเป็นผู้นำของเหมา นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมกับพันธมิตรของเหมาในการโจมตีเผิง ชู่จือ, เฉิน ตู๋ซิ่ว และหวัง หมิง ผู้ซึ่งเหมามองว่าเป็นศัตรู การข่มเหงโจว เอินไหลทำให้มอสโกไม่สบายใจ และแกออร์กี ดีมีตรอฟได้เขียนจดหมายส่วนตัวถึงเหมาเพื่อระบุว่า "โจว เอินไหล... จะต้องไม่ถูกตัดออกจากพรรค" ในที่สุด การยอมรับความผิดพลาดอย่างกระตือรือร้นของโจว การสรรเสริญความเป็นผู้นำของเหมา และการโจมตีศัตรูของเหมาทำให้เหมาเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ลัทธิเหมาของโจวนั้นเป็นของจริง ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำหรับการอยู่รอดทางการเมืองของโจว ในการประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่เจ็ดใน ค.ศ. 1945 เหมาได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำโดยรวมของพรรคและสิทธันต์ของความคิดของเหมา เจ๋อตงก็ได้รับการฝังรากลึกในหมู่ผู้นำพรรคอย่างมั่นคง[135]

ความพยายามทางการทูตกับสหรัฐ

[แก้]

ภารกิจดิกซี

[แก้]

ขณะที่สหรัฐเริ่มวางแผนสำหรับการรุกรานญี่ปุ่น ซึ่งในขณะนั้นสันนิษฐานว่าจะต้องใช้ฐานในจีน ผู้นำทางการเมืองและการทหารของอเมริกาก็เริ่มกระตือรือร้นที่จะติดต่อกับพรรคคอมมิวนิสต์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 เจียง ไคเชกยอมอย่างไม่เต็มใจที่จะอนุญาตให้คณะสังเกตการณ์ทางทหารของอเมริกา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ภารกิจดิกซี" (Dixie Mission) เดินทางไปยังเหยียนอาน เหมาและโจวให้การต้อนรับคณะภารกิจนี้และจัดการเจรจาหลายครั้งด้วยความสนใจที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกา พวกเขาสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอเมริกาในอนาคตเพื่อโจมตีญี่ปุ่นในจีน และพยายามโน้มน้าวชาวอเมริกันว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนมุ่งมั่นที่จะตั้งรัฐบาลผสมระหว่างก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเพื่อแสดงความปรารถนาดี หน่วยกองโจรคอมมิวนิสต์ได้รับคำสั่งให้ช่วยเหลือทหารอากาศอเมริกันที่เครื่องบินตก เมื่อถึงเวลาที่ชาวอเมริกันออกจากเหยียนอาน หลายคนเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็น "พรรคที่แสวงหาการเติบโตทางประชาธิปไตยที่เป็นระเบียบไปสู่สังคมนิยม" และคณะได้เสนออย่างเป็นทางการให้มีการร่วมมือกันมากขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับกองทัพอเมริกัน[136]

ค.ศ. 1944–1945

[แก้]

ใน ค.ศ. 1944 โจวเขียนจดหมายถึงนายพลโจเซฟ สติลเวล ผู้บัญชาการชาวอเมริกันในภาคพื้นจีน–พม่า–อินเดียในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยพยายามโน้มน้าวสติลเวลถึงความจำเป็นที่อเมริกาจะต้องส่งเสบียงให้แก่คอมมิวนิสต์ และความปรารถนาของคอมมิวนิสต์ที่จะเห็นรัฐบาลจีนที่เป็นหนึ่งเดียวหลังสงคราม การแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยของสติลเวลต่อรัฐบาลชาตินิยมโดยทั่วไป และต่อเจียง ไคเชกโดยเฉพาะ ทำให้ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์สั่งปลดเขาในปีเดียวกันนั้น ก่อนที่การทูตของโจวจะเกิดผล ผู้ที่มาแทนสติลเวลคือแพทริก เจ. เฮอร์ลีย์ ซึ่งเปิดรับคำร้องของโจว แต่ในที่สุดก็ปฏิเสธการให้กองทัพอเมริกันเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน เว้นแต่ว่าพรรคจะยอมผ่อนปรนให้ก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาและโจวเห็นว่ายอมรับไม่ได้ ไม่นานหลังญี่ปุ่นยอมจำนนใน ค.ศ. 1945 เจียงได้เชิญเหมาและโจวไปยังฉงชิ่งเพื่อร่วมประชุมสันติภาพที่ได้รับการรับรองจากอเมริกา[137]

การเจรจาที่ฉงชิ่ง

[แก้]

ที่เหยียนอาน มีความกังวลอย่างแพร่หลายว่าคำเชิญจากเจียงนั้นเป็นกับดัก และว่าฝ่ายชาตินิยมกำลังวางแผนลอบสังหารหรือจำคุกผู้นำทั้งสอง โจวเข้ารับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของเหมา และการตรวจสอบเครื่องบินและที่พักของพวกเขาในเวลาต่อมาไม่พบสิ่งใด ตลอดการเดินทางไปฉงชิ่ง เหมาปฏิเสธจะเข้าไปในที่พักจนกว่าโจวจะตรวจสอบเป็นการส่วนตัว ในการต้อนรับ งานเลี้ยง และการชุมนุมสาธารณะอื่น ๆ เหมาและโจวเดินทางไปด้วยกัน และโจวแนะนำเขาให้รู้จักกับคนดังและรัฐบุรุษท้องถิ่นมากมายที่เขาเคยผูกมิตรไว้ในช่วงที่มาพักที่ฉงชิ่งก่อนหน้านี้[138]

ตลอดการเจรจาสี่สิบสามวัน เหมาและเจียงพบกันสิบเอ็ดครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขของจีนหลังสงคราม ขณะที่โจวทำงานเพื่อยืนยันรายละเอียดของการเจรจา แต่ท้ายที่สุด การเจรจาก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ข้อเสนอของโจวที่จะถอนกองทัพแดงออกจากจีนตอนใต้ถูกเพิกเฉย และคำขาดของพี.เจ. เฮอร์ลีย์ที่จะรวมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ากับก๊กมินตั๋งเป็นการดูหมิ่นเหมา หลังเหมาเดินทางกลับเหยียนอานในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1945 โจวก็ยังคงอยู่ต่อเพื่อจัดการรายละเอียดของมติจากการประชุม โจวกลับเหยียนอานในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 เมื่อการปะทะครั้งใหญ่ระหว่างคอมมิวนิสต์และชาตินิยมทำให้การเจรจาในอนาคตไม่มีความหมายอีกต่อไป เฮอร์ลีย์ประกาศลาออกในเวลาต่อมา โดยกล่าวหาว่าสมาชิกสถานทูตสหรัฐบ่อนทำลายเขาและเข้าข้างคอมมิวนิสต์[139]

การเจรจาของมาร์แชลล์

[แก้]
ภารกิจมาร์แชลล์ (ค.ศ. 1946) จากซ้ายไปขวา: จาง ฉฺวิน, จอร์จ ซี. มาร์แชลล์, โจว เอินไหล

หลังการขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐของแฮร์รี เอส. ทรูแมน เขาได้แต่งตั้งนายพลจอร์จ ซี. มาร์แชลล์เป็นทูตพิเศษประจำประเทศจีนในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1945 มาร์แชลล์ได้รับมอบหมายให้เป็นคนกลางในการเจรจาหยุดยิงระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและก๊กมินตั๋ง และมีอิทธิพลต่อทั้งเหมาและเจียงให้ปฏิบัติตามข้อตกลงฉงชิ่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ลงนามไว้แล้ว โจวและผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่าการแต่งตั้งมาร์แชลล์เป็นพัฒนาการเชิงบวก และหวังว่ามาร์แชลล์จะเป็นนักเจรจาที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าเฮอร์ลีย์ โจวเดินทางถึงฉงชิ่งเพื่อเจรจากับมาร์แชลล์ในวันที่ 22 ธันวาคม[140]

การเจรจาในระยะแรกเป็นไปอย่างราบรื่น โจวเป็นตัวแทนของคอมมิวนิสต์ มาร์แชลล์เป็นตัวแทนของอเมริกา และจาง ฉฺวิน (ต่อมาถูกแทนที่โดยจาง จื้อจง) เป็นตัวแทนของก๊กมินตั๋ง ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946 ทั้งสองฝ่ายตกลงยุติความเป็นปฏิปักษ์ และจัดระเบียบกองทัพใหม่โดยยึดหลักการแยกกองทัพออกจากพรรคการเมือง โจวลงนามในข้อตกลงเหล่านี้ทั้งที่ทราบดีว่าไม่มีฝ่ายใดสามารถดำเนินการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ เจียงกล่าวสุนทรพจน์ที่ให้คำมั่นเรื่องเสรีภาพทางการเมือง การปกครองตนเองของท้องถิ่น การเลือกตั้งอย่างเสรี และการปล่อยตัวนักโทษการเมือง โจวแสดงความยินดีกับคำกล่าวของเจียงและแสดงการต่อต้านสงครามกลางเมือง[141]

ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนมองข้อตกลงเหล่านี้ในแง่ดี วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1946 สำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนแต่งตั้งโจวให้เป็นหนึ่งในผู้นำแปดคนเพื่อเข้าร่วมในรัฐบาลผสมในอนาคต (ผู้นำคนอื่น ๆ ได้แก่ เหมา, หลิว เช่าฉี และจู เต๋อ) มีการเสนอให้โจวได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานาธิบดีของจีน เหมาแสดงความปรารถนาที่จะเยือนสหรัฐ และโจวได้รับคำสั่งให้ใช้กลวิธีกับมาร์แชลล์เพื่อผลักดันกระบวนการสันติภาพ[142]

การเจรจาของมาร์แชลล์เริ่มแย่ลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทั้งก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เต็มใจจะสละความได้เปรียบใด ๆ ที่ตนได้รับ ไม่ยอมยกเลิกความเป็นพรรคการเมืองในกองทัพของตน หรือสละอำนาจการปกครองตนเองในพื้นที่ที่ฝ่ายตนควบคุม การปะทะทางทหารในแมนจูเรียเกิดขึ้นบ่อยขึ้นในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ค.ศ. 1946 และท้ายที่สุดก็บีบให้กองกำลังคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยหลังจากการรบครั้งใหญ่หลายครั้ง กองทัพของรัฐบาลก็เพิ่มการโจมตีในส่วนอื่น ๆ ของจีน[143]

วันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1946 โจวและภรรยาเดินทางออกจากฉงชิ่งไปยังหนานจิง ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของฝ่ายชาตินิยม การเจรจายิ่งเลวร้ายลง และในวันที่ 9 ตุลาคม โจวแจ้งมาร์แชลล์ว่าเขาไม่ได้รับความไว้วางใจจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกต่อไป วันที่ 11 ตุลาคม กองทัพชาตินิยมยึดจางเจียโข่วทางตอนเหนือของจีนซึ่งเป็นของคอมมิวนิสต์ เจียงซึ่งมั่นใจในความสามารถที่จะเอาชนะคอมมิวนิสต์ได้ ได้เรียกประชุมสมัชชาแห่งชาติโดยไม่มีการเข้าร่วมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและสั่งให้ร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 15 พฤศจิกายน วันที่ 16 พฤศจิกายน โจวจัดแถลงข่าว ซึ่งเขาประณามก๊กมินตั๋งว่า "ฉีกข้อตกลงจากการประชุมที่ปรึกษาการเมือง" วันที่ 19 พฤศจิกายน โจวและคณะผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งหมดได้เดินทางออกจากหนานจิงไปยังเหยียนอาน[144]

กลับสู่สงครามกลางเมือง

[แก้]

นักยุทธศาสตร์การทหารและหัวหน้าข่าวกรอง

[แก้]

หลังการเจรจาล้มเหลว สงครามกลางเมืองจีนก็กลับมาดำเนินต่ออย่างจริงจัง โจวเปลี่ยนความสนใจจากงานด้านการทูตไปสู่กิจการทหาร ขณะเดียวกันก็ยังคงสนใจงานด้านข่าวกรองในระดับสูง โจวทำงานโดยตรงภายใต้เหมาในฐานะหัวหน้าผู้ช่วยของเขา ในตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการทหารของคณะกรรมการกลาง และในฐานะหัวหน้าคณะเสนาธิการใหญ่ ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการงานเมืองของคณะกรรมการกลาง หน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อประสานงานภายในพื้นที่ที่ควบคุมโดยก๊กมินตั๋ง โจวยังคงกำกับกิจกรรมใต้ดินต่อไป[145]

กองกำลังชาตินิยมที่เหนือกว่าสามารถยึดเหยียนอานได้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1947 แต่สายลับของโจว (โดยหลักคือสฺยง เซี่ยงฮุย) สามารถให้รายละเอียดแก่ผู้บัญชาการกองทัพเหยียนอาน เผิง เต๋อหวย เกี่ยวกับกำลังพล การกระจายกำลัง ตำแหน่ง การสนับสนุนทางอากาศ และวันเวลาการวางกำลังของกองทัพก๊กมินตั๋ง ข่าวกรองนี้ทำให้กองกำลังคอมมิวนิสต์สามารถเลี่ยงการสู้รบใหญ่และหันไปใช้การทัพสงครามกองโจรที่ยืดเยื้อซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่ชัยชนะครั้งสำคัญหลายครั้งของเผิง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1948 กองทหารก๊กมินตั๋งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือกว่าครึ่งก็พ่ายแพ้หรือหมดกำลัง ภายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1949 กองกำลังคอมมิวนิสต์ก็ยึดปักกิ่งกับเทียนจินได้และควบคุมภาคเหนือของจีนไว้อย่างมั่นคง[146]

การทูต

[แก้]

วันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1949 เจียงก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีของรัฐบาลชาตินิยมและให้นายพลหลี่ จงเหรินรับช่วงต่อ วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1949 หลี่เริ่มการเจรจาสันติภาพกับคณะผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำนวนหกคน โดยคณะผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์นำโดยโจว เอินไหล และคณะผู้แทนก๊กมินตั๋งนำโดยจาง จื้อจง[147]

โจวเริ่มการเจรจาโดยถามว่า: "ทำไมคุณถึงไปซีโข่ว (ที่เจียงเกษียณตัวเอง) เพื่อพบเจียง ไคเชกก่อนออกจาหนานจิง?" จางตอบว่าเจียงยังมีอำนาจแม้จะเกษียณตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว และการยินยอมของเจียงเป็นสิ่งจำเป็นในการสรุปข้อตกลงใด ๆ โจวตอบว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะไม่ยอมรับสันติภาพจอมปลอมที่ถูกบงการโดยเจียงและถามว่าจางมีอำนาจที่จำเป็นในการดำเนินการตามเงื่อนไขที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการหรือไม่ การเจรจาดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 15 เมษายน เมื่อโจวนำเสนอ "ฉบับสุดท้าย" ของ "ร่างข้อตกลงเพื่อสันติภาพในประเทศ" ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นคำขาดให้ยอมรับข้อเรียกร้องของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาลก๊กมินตั๋งไม่ได้ตอบสนองหลังผ่านไปห้าวัน เป็นสัญญาณว่าพวกเขาไม่พร้อมจะยอมรับข้อเรียกร้องของโจว[148]

วันที่ 21 เมษายน เหมาและโจวออก "คำสั่งถึงกองทัพให้รุกคืบทั่วประเทศ" กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ยึดหนานจิงได้ในวันที่ 23 เมษายนและยึดกวางตุ้งซึ่งเป็นที่มั่นของหลี่ได้ในเดือนตุลาคม ทำให้หลี่ต้องลี้ภัยไปอเมริกา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1949 กองทัพปลดปล่อยประชาชนยึดเฉิงตูได้ ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายที่ก๊กมินตั๋งควบคุมบนแผ่นดินใหญ่ของจีน ทำให้เจียงต้องอพยพไปไต้หวัน[148]

นักการทูตและรัฐบุรุษสาธารณรัฐประชาชนจีน

[แก้]

สถานการณ์ทางการทูตของสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949

[แก้]

หลังก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 โจวได้รับแต่งตั้งให้เป็นทั้งนายกรัฐมนตรีของสภาบริหารรัฐบาล (ต่อมาถูกแทนที่ด้วยคณะมนตรีรัฐกิจ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยการประสานงานของทั้งสองตำแหน่งนี้และสถานะของเขาในฐานะสมาชิกของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองจำนวนห้าคน ทำให้โจวกลายเป็นสถาปนิกของนโยบายต่างประเทศยุคแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนำเสนอภาพลักษณ์ของจีนในฐานะสมาชิกใหม่แต่มีความรับผิดชอบในประชาคมระหว่างประเทศ โจวเป็นนักเจรจาที่มีประสบการณ์และได้รับความเคารพในฐานะนักปฏิวัติอาวุโสภายในประเทศจีน[149] การที่โจวรวมเอาบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกคอมมิวนิสต์เข้าไว้ในคณะรัฐมนตรีของเขานั้นเป็นที่น่าสังเกต โดย 47% ของรัฐมนตรีของเขาและครึ่งหนึ่งของผู้บัญชาการของเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์[150]:214

โจวที่เจนีวา, 26 เมษายน ค.ศ. 1954

ภายในช่วงต้นทศวรรษ 1950 อิทธิพลระหว่างประเทศของจีนอยู่ในระดับต่ำยิ่ง เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ชิงใน ค.ศ. 1911 ความทะเยอทะยานของจีนในการเป็นสากลนิยมถูกทำลายลงด้วยความพ่ายแพ้ทางทหารและการรุกรานจากชาวยุโรปและญี่ปุ่นหลายต่อหลายครั้ง เมื่อสิ้นสุดสมัยของยฺเหวียน ชื่อไข่และสมัยขุนศึกที่ตามมา ชื่อเสียงระหว่างประเทศของจีนก็เสื่อมลงจน "แทบไม่มีอะไรเลย" ในสงครามโลกครั้งที่สอง บทบาทที่มีประสิทธิผลของจีนบางครั้งถูกตั้งคำถามจากผู้นำพันธมิตรคนอื่น ๆ สงครามเกาหลีในช่วง ค.ศ. 1950–1953 ยิ่งทำให้สถานะระหว่างประเทศของจีนเลวร้ายลงอย่างมาก โดยทำให้สหรัฐออยู่ในจุดยืนเป็นปรปักษ์และทำให้มั่นใจได้ว่าไต้หวันจะยังคงอยู่นอกเหนือการควบคุมของสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะยังคงอยู่นอกสหประชาชาติไปอีกนาน[149]

ความพยายามในช่วงแรกของโจวในการปรับปรุงเกียรติภูมิของสาธารณรัฐประชาชนจีนคือการสรรหานักการเมือง นักทุนนิยม ปัญญาชน และผู้นำทางทหารที่มีชื่อเสียงของจีนที่ไม่ได้สังกัดพรรคคอมมิวนิสต์ โจวสามารถโน้มน้าวให้จาง จื้อจงยอมรับตำแหน่งภายในสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 หลังเครือข่ายใต้ดินของโจวนำครอบครัวของจางมายังปักกิ่งอย่างปลอดภัย สมาชิกคนอื่น ๆ ทั้งหมดของคณะผู้แทนก๊กมินตั๋งที่โจวเคยเจรจาด้วยใน ค.ศ. 1949 ก็ยอมรับเงื่อนไขที่คล้ายกัน[151]

ซ่ง ชิ่งหลิง ม่ายของซุน ยัตเซ็น ซึ่งเหินห่างจากครอบครัวและต่อต้านก๊กมินตั๋งมาหลายปี ก็เข้าร่วมกับสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 อย่างเต็มใจ หวง เหยียนเผย์ นักอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงซึ่งปฏิเสธข้อเสนอตำแหน่งรัฐบาลมานานหลายปี ก็ถูกโน้มน้าวให้ยอมรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ ส่วนฟู่ จั๋วอี้ ผู้บัญชาการก๊กมินตั๋งที่ยอมจำนนต่อกองทหารรักษาการณ์ปักกิ่งใน ค.ศ. 1948 ก็ถูกโน้มน้าวให้เข้าร่วมกองทัพปลดปล่อยประชาชนและรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอนุรักษ์น้ำ[152]

การทูตกับอินเดีย

[แก้]

ความสำเร็จทางการทูตครั้งแรกของโจวเกิดขึ้นจากความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกันกับชวาหะร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียหลังได้รับเอกราช ด้วยการทูตของเขา โจวสามารถโน้มน้าวให้อินเดียยอมรับการยึดครองทิเบตของจีนใน ค.ศ. 1950 และ 1951 ต่อมาอินเดียถูกโน้มน้าวให้ทำหน้าที่เป็นคนกลางที่เป็นกลางระหว่างจีนกับสหรัฐในช่วงการเจรจาอันยากลำบากหลายขั้นตอนเพื่อยุติสงครามเกาหลี[153] โจวช่วยเจรจาความตกลงจีน–อินเดีย ค.ศ. 1954 และต่อมาได้จัดทำส่วนประกอบบางส่วนของข้อตกลงนั้นให้เป็นทางการในฐานะห้าหลักการแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แนวคิดหลักในนโยบายต่างประเทศของจีน[150]:239

ในช่วงความขัดแย้งชายแดนจีน–อินเดีย ค.ศ. 1962 โจวมีคำสั่งให้กองกำลังจีนที่ได้รับชัยชนะถอนกำลังกลับไป 10 กิโลเมตรหลังเส้นแมกมาฮอน รวมถึงการคืนอาวุธและยุทธภัณฑ์ที่ยึดได้ทั้งหมด และการฝังศพทหารอินเดียที่เสียชีวิตด้วยเกียรติทางทหารเต็มรูปแบบ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นที่ถกเถียงกันภายในกองทัพปลดปล่อยประชาชนแต่ทำให้เหมาพอใจ "ความมีน้ำใจอันล้นเหลือ" ของโจวทำให้เกิดความแตกแยกในกองทัพและรัฐบาลอินเดีย ซึ่งทำให้พวกเขาอ่อนแอลงและยับยั้งความขัดแย้งเพิ่มเติมกับจีน[150]:293

สงครามเกาหลี

[แก้]

เมื่อสงครามเกาหลีอุบัติขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 โจวกำลังดำเนินการลดขนาดกองทัพปลดปล่อยประชาชนจำนวน 5.6 ล้านนายลงครึ่งหนึ่ง ตามคำสั่งคณะกรรมการกลาง โจวและเหมาหารือถึงความเป็นไปได้ที่อเมริกาจะเข้าแทรกแซงกับคิม อิล-ซ็องในเดือนพฤษภาคมและเรียกร้องให้คิมระมัดระวังหากเขาวางแผนจะรุกรานและยึดเกาหลีใต้ แต่คิมปฏิเสธจะใส่ใจคำเตือนเหล่านี้ วันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1950 หลังสหรัฐดันมติของสหประชาชาติที่ประณามการรุกรานของเกาหลีเหนือและส่งทัพเรือที่เจ็ดเข้า "วางตัวเป็นกลาง" ในช่องแคบไต้หวัน โจววิพากษ์วิจารณ์ทั้งมติของสหประชาชาติและการริเริ่มของสหรัฐว่าเป็น "การรุกรานด้วยอาวุธในดินแดนจีน"[154]

แม้ความสำเร็จในช่วงแรกของคิมจะทำให้เขาทายว่าจะชนะสงครามภายในสิ้นเดือนสิงหาคม แต่โจวและผู้นำจีนคนอื่น ๆ มีความเห็นในแง่ลบมากกว่า โจวไม่เชื่อมั่นเหมือนคิมว่าสงครามจะจบลงอย่างรวดเร็วและรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสหรัฐจะเข้าแทรกแซง เพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ที่อเมริกาจะรุกรานเข้าสู่เกาหลีเหนือหรือจีน โจวได้เจรจาให้สหภาพโซเวียตให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนกองกำลังจีนด้วยกำลังทางอากาศและได้ส่งทหารจีน 260,000 นายไปประจำตามชายแดนเกาหลีเหนือภายใต้บัญชาการของเกา กั่ง แต่พวกเขาได้รับคำสั่งอย่างเคร่งครัดไม่ให้เคลื่อนเข้าสู่เกาหลีเหนือหรือปะทะกับกองกำลังของสหประชาชาติหรือสหรัฐเว้นแต่จะถูกโจมตีก่อน โจวสั่งให้ไช่ เฉิงเหวินทำการสำรวจภูมิประเทศของเกาหลี และสั่งให้เหลย์ อิงฝู ที่ปรึกษาทางทหารของโจวในเกาหลีเหนือ วิเคราะห์สถานการณ์ทางทหารที่นั่น เหลย์สรุปว่าแมกอาเทอร์น่าจะพยายามยกพลขึ้นบกที่อินช็อนมากที่สุด[155]

วันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1950 แมกอาเธอร์ยกพลขึ้นบกที่อินช็อน แทบไม่พบการต่อต้าน และยึดกรุงโซลได้ในวันที่ 25 กันยายน การทิ้งระเบิดทำลายรถถังเกาหลีเหนือและปืนใหญ่ส่วนใหญ่ กองทหารเกาหลีเหนือแทนที่จะถอนทัพขึ้นไปทางเหนือกลับสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว วันที่ 30 กันยายน โจวเตือนสหรัฐว่า "ประชาชนจีนจะไม่ยอมทนต่อการรุกรานจากต่างชาติ และจะไม่ยอมทนเห็นเพื่อนบ้านตนถูกรุกรานอย่างป่าเถื่อนโดยจักรวรรดินิยม"[156]

วันที่ 1 ตุลาคม ครบรอบปีแรกของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน กองทัพเกาหลีใต้ได้ข้ามเส้นขนานที่ 38 เข้าสู่เกาหลีเหนือ สตาลินปฏิเสธจะเข้าเกี่ยวข้องในสงครามโดยตรง และคิมส่งคำร้องขออย่างบ้าคลั่งให้เหมาส่งกำลังเสริม โจวและคณะผู้นำจีนจัดการประชุมฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องที่จงหนานไห่ตั้งแต่วันที่ 2 ถึง 6 ตุลาคมเพื่อหารือว่าจีนควรส่งความช่วยเหลือทางทหารหรือไม่ ในการประชุมนั้น โจวเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สนับสนุนจุดยืนของเหมาอย่างหนักแน่นที่ว่าจีนควรส่งความช่วยเหลือทางทหาร โดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งของกองทัพอเมริกา ด้วยการสนับสนุนของเผิง เต๋อหวย ที่ประชุมจึงได้ข้อสรุปให้ส่งกำลังทหารไปยังเกาหลี[157]

เพื่อขอการสนับสนุนจากสตาลิน โจวเดินทางไปยังรีสอร์ตฤดูร้อนของสตาลินที่ทะเลดำในวันที่ 10 ตุลาคม สตาลินตกลงจะส่งยุทโธปกรณ์และกระสุนในตอนแรก แต่เตือนโจวว่ากองทัพอากาศของสหภาพโซเวียตจะต้องใช้เวลาสองหรือสามเดือนในการเตรียมปฏิบัติการและจะไม่มีการส่งกองทหารราบใด ๆ ในการประชุมครั้งต่อมา สตาลินบอกโจวว่าจะให้ยุทธภัณฑ์แก่จีนในรูปแบบสินเชื่อเท่านั้น และกองทัพอากาศโซเวียตจะปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าจีนหลังผ่านไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง สตาลินไม่ได้ตกลงจะส่งทั้งยุทธภัณฑ์หรือการสนับสนุนทางอากาศจนกระทั่งเดือนมีนาคม ค.ศ. 1951[158]

ทันทีที่กลับถึงปักกิ่งในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1950 โจวพบกับเหมา เจ๋อตง, เผิง เต๋อหวย และเกา กั่ง และกลุ่มนี้ได้ออกคำสั่งให้ทหารจีน 200,000 นายที่ประจำอยู่ตามชายแดนเข้าสู่เกาหลีเหนือ ซึ่งพวกเขาได้ดำเนินการในวันที่ 25 ตุลาคม หลังหารือกับสตาลิน ในวันที่ 13 พฤศจิกายน เหมาแต่งตั้งโจวเป็นผู้บัญชาการโดยรวมของกองทัพอาสาประชาชน หน่วยพิเศษของกองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนที่จะเข้าแทรกแซงในสงครามเกาหลีและเป็นผู้ประสานงานความพยายามในสงคราม โดยมีเผิงเป็นผู้บัญชาการภาคสนาม คำสั่งที่โจวออกให้แก่กองทัพฯ ถูกส่งในนามของคณะกรรมาธิการการทหารกลาง[159]

ภายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1951 สงครามได้เข้าสู่ภาวะชะงักงันบริเวณเส้นขนานที่ 38 และทั้งสองฝ่ายตกลงเจรจาการสงบศึก โจวเป็นผู้กำกับการเจรจาพักรบ ซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม โจวเลือกหลี่ เค่อหนงและเฉียว กวานหฺวาเป็นหัวหน้าคณะเจรจาของจีน การเจรจาดำเนินไปเป็นเวลาสองปีก่อนจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1953 ซึ่งมีการลงนามอย่างเป็นทางการที่พันมุนจ็อม[160]

สงครามเกาหลีเป็นภารกิจทางทหารสุดท้ายของโจว ใน ค.ศ. 1952 เผิง เต๋อหวยได้รับตำแหน่งต่อจากโจวในการบริหารคณะกรรมาธิการการทหารกลาง (ซึ่งโจวเป็นหัวหน้ามาตั้งแต่ ค.ศ. 1947) ใน ค.ศ. 1956 หลังการประชุมสภาพรรคครั้งที่แปด โจวได้สละตำแหน่งในคณะกรรมาธิการทหารอย่างเป็นทางการและมุ่งเน้นไปที่งานในคณะกรรมาธิการสามัญ คณะมนตรีรัฐกิจ และกิจการต่างประเทศ[161]

การทูตกับเพื่อนบ้านคอมมิวนิสต์ของจีน

[แก้]
โจวกับคิม อิล-ซ็องในการลงนามสนธิสัญญามิตรภาพความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างจีนและเกาหลีเหนือใน ค.ศ. 1961

หลังสตาลินเสียชีวิตในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 โจวได้เดินทางไปมอสโกและเข้าร่วมพิธีศพของสตาลินในอีกสี่วันต่อมา เป็นที่น่าสังเกตว่าเหมาตัดสินใจไม่เดินทางไปมอสโก อาจเป็นเพราะยังไม่มีนักการเมืองระดับสูงของโซเวียตคนใดเดินทางไปปักกิ่งมาก่อน หรือเพราะสตาลินเคยปฏิเสธข้อเสนอที่จะพบกับเหมาใน ค.ศ. 1948 (อย่างไรก็ตาม ได้มีการจัดพิธีรำลึกขนาดใหญ่เพื่อเป็นเกียรติแก่สตาลินที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปักกิ่ง โดยมีเหมาและผู้คนอีกหลายแสนคนเข้าร่วม) ขณะที่อยู่ในมอสโก โจวได้รับการต้อนรับด้วยความเคารพอย่างสูงจากเจ้าหน้าที่โซเวียต โดยได้รับอนุญาตให้ยืนข้างผู้นำคนใหม่ของสหภาพโซเวียต ได้แก่ วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ, นีกีตา ครุชชอฟ, เกออร์กี มาเลนคอฟ และลัฟเรนตีย์ เบรียา แทนที่จะยืนรวมกับคณะผู้แทน "ต่างชาติ" อื่น ๆ ที่เข้าร่วมพิธีศพ โจวได้เดินตามหลังรถปืนใหญ่ที่บรรทุกหีบศพของสตาลินโดยตรง ความพยายามทางการทูตของโจวในมอสโกได้รับผลตอบแทนในเวลาต่อมา เมื่อใน ค.ศ. 1954 ครุชชอฟได้เดินทางเยือนปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมงานฉลองครบรอบห้าปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชน[147][162] เนื่องจากมาเลนคอฟ ผู้สืบทอดตำแหน่งของสตาลินในขณะนั้น มีตำแหน่งไม่มั่นคง โจวจึงสามารถเจรจาความตกลงจีน–โซเวียตบางส่วนใหม่ให้เป็นประโยชน์ต่อจีนมากขึ้นและเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับความตกลงแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีฉบับใหม่ ที่โดดเด่นที่สุดคือโจวได้ผลักดันให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของโซเวียตมายังจีน[150]:230

ตลอดทศวรรษ 1950 โจวทำงานเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างจีนกับรัฐคอมมิวนิสต์อื่น ๆ โดยประสานนโยบายต่างประเทศของจีนให้สอดคล้องกับนโยบายของโซเวียตที่ส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นในหมู่พันธมิตรทางการเมือง ใน ค.ศ. 1952 โจวลงนามในความตกลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย ซึ่งเป็นการให้การรับรองเอกราชโดยพฤตินัยแก่มองโกเลียนอก ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักในสมัยราชวงศ์ชิง โจวยังทำความตกลงกับคิม อิล-ซ็องเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจเกาหลีเหนือหลังสงคราม เพื่อบรรลุเป้าหมายการทูตสันติกับประเทศเพื่อนบ้าน โจวได้เจรจาอย่างฉันมิตรกับอู้นุ นายกรัฐมนตรีเมียนมา และส่งเสริมความพยายามของจีนในการส่งเสบียงให้กบฏเวียดนามของโฮจิมินห์ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามเหวียตมิญ[149]

การประชุมเจนีวา

[แก้]

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1954 โจวเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อเข้าร่วมการประชุมเจนีวา ซึ่งจัดขึ้นเพื่อยุติสงครามฝรั่งเศส–เวียดนามที่กำลังดำเนินอยู่ ความอดทนและความเฉลียวฉลาดของเขาได้รับการยกย่องว่าช่วยให้มหาอำนาจที่เกี่ยวข้อง (โซเวียต ฝรั่งเศส อเมริกัน และเวียดนามเหนือ) สามารถทำความตกลงเพื่อยุติสงครามได้ ตามความตกลงสันติภาพที่เจรจากัน อินโดจีนของฝรั่งเศสถูกแบ่งออกเป็นลาว กัมพูชา เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ มีการตกลงจะจัดการเลือกตั้งภายในสองปีเพื่อตั้งรัฐบาลผสมในเวียดนามที่เป็นเอกภาพ และเหวียตมิญตกลงจะยุติกิจกรรมกองโจรในเวียดนามใต้ ลาว และกัมพูชา[163]

ระหว่างการประชุมช่วงต้นในเจนีวา โจวได้พบกับจอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐผู้ซึ่งเป็นผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง หลังโจวเสนอจับมืออย่างสุภาพ ดัลเลสได้หันหลังและเดินออกจากห้องอย่างหยาบคาย พร้อมกล่าวว่า "ผมจับไม่ได้" ผู้สังเกตการณ์ตีความว่าโจวเปลี่ยนช่วงเวลาที่น่าอับอายนี้ให้เป็นชัยชนะเล็ก ๆ โดยการยักไหล่แบบ "ฝรั่งเศส" เล็กน้อยต่อพฤติกรรมนี้ โจวมีประสิทธิภาพในการตอบโต้การยืนกรานของดัลเลสที่ว่าจีนไม่ควรได้รับที่นั่งในการประชุม ในการสร้างความประทับใจถึงความสุภาพและความมีอารยธรรมของจีนให้มากยิ่งขึ้น โจวได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับนักแสดงชาวบริติช ชาร์ลี แชปลิน ผู้ที่มาอาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์หลังถูกขึ้นบัญชีดำในสหรัฐเพราะถูกกล่าวหาว่ามีแนวคิดสังคมนิยม[163]

การประชุมเอเชีย–แอฟริกา

[แก้]
โจว เอินไหลและซานูซี ฮาร์ดจาดินาตา ประธานการประชุมบันดุง

ใน ค.ศ. 1955 โจวเป็นผู้มีบทบาทโดดเด่นในการเข้าร่วมการประชุมเอเชีย–แอฟริกาที่จัดขึ้นในอินโดนีเซีย การประชุมที่บันดุงนี้เป็นการรวมตัวกันของ 29 รัฐในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งจัดโดยอินโดนีเซีย พม่า ปากีสถาน ศรีลังกา และอินเดีย และมีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศเอเชีย–แอฟริกาและเพื่อต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมหรือลัทธิอาณานิคมใหม่จากทั้งสหรัฐหรือสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น ที่การประชุม โจวใช้ความสามารถพิเศษทำให้การประชุมมีจุดยืนเป็นกลางซึ่งทำให้สหรัฐถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค โจวกล่าวตำหนิว่า ในขณะที่จีนกำลังทำงานเพื่อ "สันติภาพโลกและความก้าวหน้าของมนุษยชาติ" แต่ "กลุ่มก้าวร้าว" ภายในสหรัฐกำลังให้ความช่วยเหลือกชาตินิยมในไต้หวันอย่างแข็งขันและวางแผนจะติดอาวุธให้ญี่ปุ่นอีกครั้ง คำพูดของเขาที่ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางคือ "ประชากรในเอเชียจะไม่มีวันลืมว่าระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกจุดระเบิดบนแผ่นดินเอเชีย" ด้วยการสนับสนุนจากผู้เข้าร่วมที่มีชื่อเสียงที่สุด การประชุมจึงได้ออกปฏิญญาที่เข้มแข็งเพื่อสนับสนุนสันติภาพ การยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ การลดอาวุธโดยทั่วไป และหลักการของการเป็นตัวแทนสากลในสหประชาชาติ[164]

ระหว่างทางไปร่วมการประชุมบันดุง ได้เกิดความพยายามลอบสังหารโจว เมื่อมีการวางระเบิดบนเครื่องบินแอร์อินเดีย Kashmir Princess ซึ่งถูกเช่าเหมาลำสำหรับการเดินทางของโจวจากฮ่องกงไปจาการ์ตา โจวรอดพ้นความพยายามนี้เมื่อเขาเปลี่ยนเครื่องบินในนาทีสุดท้าย แต่ผู้โดยสารคนอื่นบนเที่ยวบินนั้นเสียชีวิตทั้งหมด 11 คน มีเพียงลูกเรือสามคนที่รอดชีวิตจากการตก รายงานการศึกษาล่าสุดกล่าวโทษความพยายามดังกล่าวว่าเป็นฝีมือของ "หน่วยงานข่าวกรองหนึ่งของก๊กมินตั๋ง"[165] โจเซฟ เทรนโต นักข่าว ยังอ้างว่ามีความพยายามครั้งที่สองในการปลิดชีวิตโจวในการประชุมบันดุงซึ่งเกี่ยวข้องกับ "ชามข้าวที่มีสารพิษออกฤทธิ์ช้า"[166]

ตามรายงานหนึ่งที่อิงจากการวิจัยล่าสุด โจวรู้เรื่องระเบิดบน Kashmir Princess หลังได้รับคำเตือนเกี่ยวกับแผนการจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเขาเองและไม่ได้พยายามจะหยุดยั้งเพราะเขาเห็นว่าผู้ที่เสียชีวิตเป็นผู้ที่สามารถแทนที่ได้: นักข่าวต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับล่าง หลังเครื่องบินตก โจวใช้เหตุการณ์นี้เตือนรัฐบาลอังกฤษเกี่ยวกับสายลับก๊กมินตั๋งที่เคลื่อนไหวอยู่ในฮ่องกงและกดดันให้สหราชอาณาจักรยุติเครือข่ายข่าวกรองของชาตินิยมที่ดำเนินการอยู่ที่นั่น (โดยตัวเขาเองรับบทเป็นผู้สนับสนุน) เขาหวังว่าเหตุการณ์นี้จะช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ของอังกฤษกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและทำลายความสัมพันธ์ของอังกฤษกับสาธารณรัฐจีน (ROC)[167] อย่างไรก็ตาม คำอธิบายอย่างเป็นทางการสำหรับการไม่ขึ้นเครื่องบินของโจวยังคงเป็นเพราะโจวถูกบังคับให้เปลี่ยนกำหนดการเนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ[168]

หลังการประชุมบันดุง สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศของจีนเริ่มดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความช่วยเหลือจากหลายประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งเข้าร่วมการประชุม จุดยืนที่สหรัฐหนุนหลังในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนก็เริ่มเสื่อมคลายลง แม้จะมีแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากสหรัฐให้ปฏิบัติตามแนวทางของตนก็ตาม ใน ค.ศ. 1971 สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ได้รับที่นั่งของจีนในสหประชาชาติ[169]

การเยือนแอฟริกา

[แก้]
Nasser and Chou-En-Lai n Egypt
โจว เอินไหล (ซ้าย) ระหว่างการเยือนอียิปต์ กับประธานาธิบดีญะมาล อับดุนนาศิรแห่งอียิปต์, ธันวาคม ค.ศ. 1963

ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1963 ถึงมกราคม ค.ศ. 1964 โจวได้เดินทางไปเยือนประเทศในแอฟริกาเหนือทั้งหมดเพื่อภารกิจทางการทูต วันที่ 15 ธันวาคม โจวเข้าพบประธานาธิบดีนาศิรแห่งอียิปต์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ[170] จากนั้น วันที่ 21 ธันวาคม โจวเยือนแอลจีเรีย ในการประชุมครั้งนั้น ประธานาธิบดีอาเหม็ด เบน เบลลา ได้เรียกร้องให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างสองชาติ[171] วันที่ 27 ธันวาคม รัฐบาลตูนิเซียได้ประกาศความตั้งใจที่จะให้การรับรองรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนหลังการวางแผนร่วมกับทูตตูนิเซียให้โจวเดินทางเยือนประเทศเป็นเวลา 2 วันในเดือนมกราคม[172] วันที่ 28 ธันวาคม โจวเยือนโมร็อกโกและเข้าเฝ้ากษัตริย์ฮะซันที่ 2 แม้จะไม่มีการยืนยัน แต่เชื่อกันว่าการประชุมครั้งนี้มีลักษณะเน้นด้านเศรษฐกิจมากกว่าการพยายามแสวงหาการสนับสนุนจากจีนคอมมิวนิสต์[173]

นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวว่าเขามีกำหนดการเข้าพบผู้นำในมาลี กินี และกานา[171]

จุดเยือนเรื่องไต้หวัน

[แก้]
โจวและภรรยา เติ้ง หยิ่งเชา ที่กำแพงเมืองจีนส่วนปาต๋าหลิ่ง (ค.ศ. 1955)

เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 โจวแจ้งแก่รัฐบาลทั่วโลกว่า ประเทศใดก็ตามที่ต้องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องยุติความสัมพันธ์กับผู้นำของอดีตระบอบในไต้หวัน และสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนเหนือที่นั่งของจีนในสหประชาชาติ นี่เป็นเอกสารนโยบายต่างประเทศฉบับแรกที่ออกโดยรัฐบาลใหม่ ภายใน ค.ศ. 1950 สาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ และกับประเทศที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ 13 ประเทศได้สำเร็จ แต่การเจรจากับรัฐบาลตะวันตกส่วนใหญ่ไม่ประสบผล[174]

โจวปรากฏตัวจากการประชุมบันดุงพร้อมกับชื่อเสียงในฐานะนักเจรจาที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง เมื่อตระหนักว่าสหรัฐจะหนุนหลังความเป็นเอกราชโดยพฤตินัยของไต้หวันซึ่งควบคุมโดยสาธารณรัฐจีนด้วยกำลังทหาร โจวโน้มน้าวรัฐบาลของตนให้ยุติการระดมยิงหมู่เกาะจินเหมินและหมาจู่ และหันไปหาทางเลือกทางการทูตเพื่อยุติการเผชิญหน้าแทน ในการประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1955 โจวประกาศว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะ "มุ่งมั่นที่จะปลดปล่อยไต้หวันด้วยวิธีการสันติเท่าที่จะเป็นไปได้"[175] เมื่อใดก็ตามที่มีการหยิบประเด็นไต้หวันขึ้นมาหารือกับรัฐบุรุษต่างประเทศ โจวจะแย้งว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และการแก้ไขความขัดแย้งกับทางการไต้หวันเป็นเรื่องภายใน[176]

ใน ค.ศ. 1958 ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถูกส่งมอบแก่เฉิน อี้ นายพลผู้มีประสบการณ์ทางการทูตน้อยมาก หลังโจวลาออกจากตำแหน่งในกระทรวงการต่างประเทศ คณะทูตของสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ถูกลดจำนวนลงอย่างมาก เจ้าหน้าที่บางส่วนถูกย้ายไปแผนกวัฒนธรรมและการศึกษาต่าง ๆ เพื่อทดแทนแกนนำที่ถูกตีตราว่าเป็น "ฝ่ายขวา" และถูกส่งไปทำงานในค่ายแรงงาน[177]

แถลงการณ์เซี่ยงไฮ้

[แก้]
โจวกับเฮนรี คิสซินเจอร์และเหมา เจ๋อตง
โจวจับมือกับประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันขณะที่นิกสันเดินทางมาถึงประเทศจีนในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972

ช่วงต้นทศวรรษ 1970 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐเริ่มดีขึ้น คนงานของเหมาในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม หนึ่งในไม่กี่ภาคเศรษฐกิจของจีนที่กำลังเติบโตในขณะนั้น ให้คำแนะนำต่อประธานเหมาว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตตามที่ผู้นำพรรคต้องการ การนำเข้าเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญทางเทคนิคของอเมริกาในปริมาณมากเป็นสิ่งจำเป็น ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1970 จีนได้เชิญทีมปิงปองของอเมริกามาเยือนจีน ถือเป็นการเริ่มต้นสมัย "การทูตปิงปอง"[178]

ใน ค.ศ. 1971 โจวได้พบอย่างลับ ๆ กับเฮนรี คิสซินเจอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประธานาธิบดีนิกสัน ซึ่งเดินทางมายังจีนเพื่อเตรียมการประชุมระหว่างริชาร์ด นิกสันกับเหมา ระหว่างการประชุมเหล่านี้ สหรัฐตกลงอนุญาตการโอนเงินของอเมริกาไปยังจีน (คาดว่าจากญาติในสหรัฐ) อนุญาตให้เรือสัญชาติอเมริกันทำการค้ากับจีน (ภายใต้ธงชาติอื่น) และอนุญาตให้สินค้าจีนส่งออกไปยังสหรัฐได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามเกาหลี ในขณะนั้น การเจรจาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งจนถูกปกปิดจากสาธารณชนอเมริกัน กระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา และรัฐบาลต่างประเทศทั้งหมด[178]

เช้าวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 ริชาร์ด นิกสันเดินทางถึงปักกิ่ง โดยมีโจวเป็นผู้ให้การต้อนรับ และต่อมาได้เข้าพบเหมา เจ๋อตง สาระสำคัญทางการทูตของการเยือนของนิกสันได้ข้อสรุปในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ในแถลงการณ์เซี่ยงไฮ้ ซึ่งสรุปจุดยืนของทั้งสองฝ่ายโดยไม่มีความพยายามแก้ไขความขัดแย้ง "ฝ่ายสหรัฐ" ยืนยันจุดยืนของอเมริกาว่าการเข้ามีส่วนร่วมในสงครามเวียดนามที่กำลังดำเนินอยู่ไม่ถือเป็นการ "แทรกแซงจากภายนอก" ในกิจการของเวียดนาม และย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อ "เสรีภาพส่วนบุคคล" รวมถึงให้คำมั่นที่จะสนับสนุนเกาหลีใต้ต่อไป "ฝ่ายจีน" ระบุว่า "ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน" ว่า "กองกำลังต่างชาติทั้งหมดควรถูกถอนกลับประเทศของตน" และเกาหลีควรได้รับการรวมเป็นหนึ่งตามข้อเรียกร้องของเกาหลีเหนือ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะมีความเห็นต่างเกี่ยวกับสถานะของไต้หวัน ส่วนท้ายของแถลงการณ์เซี่ยงไฮ้สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนทางการทูต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สื่อสารมวลชน และวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม และรับรองความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายที่จะร่วมกันทำงานเพื่อ "ผ่อนคลายความตึงเครียดในเอเชียและทั่วโลก" มติของแถลงการณ์เซี่ยงไฮ้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่สำหรับทั้งสหรัฐและจีน[179]

การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า

[แก้]

ในช่วงขบวนการซูฝาน โจวพยายามปกป้องสมาชิกของสถาบันที่เขาควบคุมอยู่ เช่น สถาบันวิทยาศาสตร์ โดยการจำกัดความรุนแรงของข้อกล่าวหาที่มีต่อพวกเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถปกป้องพันธมิตรของตนได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ผาน ฮั่นเหนียน ผู้ร่วมงานของโจวตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมือง ต้องสงสัยเพราะติดต่อกับกองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงเวลานั้นและถูกจับ[150]:231ใน ค.ศ. 1959 โจวได้รับอนุญาตจากเหมาให้กู้ชื่อเสียงปัญญาชน "ฝ่ายขวา" จำนวน 40,000 คน[150]:280

ใน ค.ศ. 1958 เหมาริเริ่มการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มระดับการผลิตของจีนทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมด้วยเป้าหมายที่ไม่เป็นจริง ในฐานะผู้บริหารที่เป็นที่นิยมและเน้นปฏิบัติจริง โจวสามารถรักษาตำแหน่งของตนไว้ได้ตลอดช่วงการก้าวกระโดดนี้ ใน ค.ศ. 1959 เขาสั่งให้รื้อสุสานบรรพบุรุษของครอบครัวตนเองในหฺวายอานเพื่อให้สามารถนำที่ดินไปใช้ในการทำนารวมได้ เพื่อนร่วมงานและญาติของโจวกล่าวว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ในยามลำบาก[150]:281

ต้นทศวรรษ 1960 ชื่อเสียงของเหมาไม่ได้สูงส่งเหมือนที่เคยเป็นมา นโยบายเศรษฐกิจของเหมาในทศวรรษ 1950 ประสบความล้มเหลว และเขามีวิถีชีวิตที่ห่างเหินจากเพื่อนร่วมงานเก่าแก่หลายคนมากขึ้นเรื่อย ๆ การผสมผสานระหว่างความแปลกประหลาดส่วนตัวของเขากับความล้มเหลวของนโยบายอุตสาหกรรมก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์จากนักปฏิวัติอาวุโสหลายคน เช่น หลิว เช่าฉี, เติ้ง เสี่ยวผิง, เฉิน ยฺหวิน และโจว ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความกระตือรือร้นต่อวิสัยทัศน์ของการต่อสู้ปฏิวัติอย่างต่อเนื่องของเหมาลดน้อยลง[180]

อาการป่วย

[แก้]

ความพยายามเริ่มแรกของเหมาและหลิน

[แก้]
โจวใน ค.ศ. 1966 ปีแรกของการปฏิวัติวัฒนธรรม (กับหลี่ น่า บุตรสาวของเหมา)

เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์และอำนาจของตนเอง เหมา โดยได้รับความช่วยเหลือจากหลิน เปียว ได้ดำเนินการโฆษณาชวนเชื่อต่อสาธารณะหลายประการ ความพยายามของเหมาและหลินในการปรับปรุงภาพลักษณ์ของเหมาในช่วงต้นทศวรรษ 1960 รวมถึงการที่หลินได้ตีพิมพ์บันทึกประจำวันของเหลย์เฟิงและการรวบรวมคติพจน์จากประธานเหมา[181] ความพยายามครั้งสุดท้ายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือการปฏิวัติวัฒนธรรม ในการประชุมวางแผนเบื้องต้นของคณะกรรมการกลางพรรค โจวถกเถียงเรื่องโครงการ 16 จุดสำหรับการปฏิวัติวัฒนธรรม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยสิบจุด[150]:324 แม้จะยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ โจวก็พยายามเน้นไปที่การปกป้องนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ บุคลากรทางวัฒนธรรม นักเขียน และศิลปิน ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าหน้าที่ในสถาบันส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาได้ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการปกป้องเพื่อนและพันธมิตรของเขา เช่น เนี่ย หรงเจินและกัว มั่วรั่ว ได้บ้าง[150]:324–328

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอื่นใด การปฏิวัติวัฒนธรรมที่ประกาศใน ค.ศ. 1966 เป็นการสนับสนุนเหมา เจ๋อตงอย่างเปิดเผย และทำให้เหมามีอำนาจและอิทธิพลในการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองออกจากพรรคในระดับสูงสุดของรัฐบาล นอกเหนือจากการสั่งปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของจีนแล้ว ยังมีการเร่งเร้าให้เยาวชนจีนทำลายอาคารเก่า วัด และศิลปะ และโจมตีครู "ลัทธิแก้" ผู้บริหารโรงเรียน ผู้นำพรรค และบุพการีของตนเอง[182] หลังประกาศการปฏิวัติวัฒนธรรม สมาชิกอาวุโสหลายคนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ลังเลในการปฏิบัติตามทิศทางของเหมา รวมถึงประธานหลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิง ถูกปลดจากตำแหน่งเกือบจะทันที พวกเขาและครอบครัวถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกทำให้เสียเกียรติอย่างรุนแรง[182]

การอยู่รอดทางการเมือง

[แก้]

หลังถูกปลดจากตำแหน่งไม่นาน โจวเสนอว่าควร "อนุญาตให้ประธานหลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิงกลับมาทำงาน" แต่ถูกคัดค้านโดยเหมา, หลิน เปียว, คัง เชิงและเฉิน ปั๋วต๋า เฉิน ปั๋วต๋าถึงกับเสนอว่าโจวเองอาจถูก "พิจารณาว่าเป็นพวกต่อต้านปฏิวัติ" หากเขาไม่ทำตามแนวทางของเหมา[183] ภายหลังการข่มขู่ว่าจะต้องเจอชะตากรรมเดียวกับสหายหากเขาไม่สนับสนุนเหมา โจวก็หยุดวิพากษ์วิจารณ์และเริ่มทำงานอย่างใกล้ชิดกับประธานเหมาและกลุ่มพวกพ้องของเขา

โจวให้การสนับสนุนการตั้งองค์กรยุวชนแดงหัวรุนแรงในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1966 และเข้าร่วมกับเฉิน ปั๋วต๋าและเจียง ชิงในการต่อต้านสิ่งที่พวกเขาถือว่าเป็นยุวชนแดง "ฝ่ายซ้าย" และ "ฝ่ายขวา" สิ่งนี้เปิดทางให้มีการโจมตีหลิว เช่าฉี, เติ้ง เสี่ยวผิง และเถา จู้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1966 และมกราคม ค.ศ. 1967[184] ภายในเดือนกันยายน ค.ศ. 1968 โจวอธิบายอย่างตรงไปตรงมาถึงกลยุทธ์การรอดชีวิตทางการเมืองของเขาต่อนักรัฐสภา LDP ชาวญี่ปุ่นที่มาเยือนปักกิ่งว่า: "ความเห็นส่วนตัวของคนเราควรจะก้าวหน้าหรือถอยกลับไปตามทิศทางของคนส่วนใหญ่"[185] เมื่อเขาถูกกล่าวหาว่าขาดความกระตือรือร้นในการติดตามความเป็นผู้นำของเหมา เขาได้กล่าวโทษตนเองว่า "ขาดความเข้าใจ" ในทฤษฎีของเหมา โดยแสดงท่าทีประนีประนอมกับกองกำลังที่เขาลับ ๆ ชิงชังและเรียกเป็นการส่วนตัวว่า "นรก" ของเขา[186] ตามตรรกะของการรอดชีวิตทางการเมือง โจวทำงานเพื่อช่วยเหลือเหมาและจำกัดการวิพากษ์วิจารณ์ของเขาไว้เพียงการสนทนาส่วนตัวเท่านั้น

ตลอดทศวรรษถัดมา เหมาเป็นผู้พัฒนานโยบายเป็นส่วนใหญ่ในขณะที่โจวเป็นผู้ดำเนินการ โดยพยายามบรรเทาความสุดโต่งบางอย่างของการปฏิวัติวัฒนธรรม เช่น การป้องกันไม่ให้ปักกิ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "นครบูรพาแดง" (จีน: 东方红市; พินอิน: Dōngfānghóngshì) และการป้องกันไม่ให้สิงโตผู้พิทักษ์จีนหน้าจัตุรัสเทียนอันเหมินถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นเหมา[187] โดยอาศัยอำนาจของเหมา โจวได้จัดทำรายชื่อบุคคลที่จะได้รับการคุ้มครองจากการถูกข่มเหง รวมถึงผู่อี๋และครอบครัว คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ หัวหน้าพรรคที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ผู้พิพากษาศาลสูงสุด และอดีตนายพลชาตินิยม เช่น ไช่ ถิงไข่และฟู่ จั้วอี้ เขายังสามารถปกป้องผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายจากการข่มเห่งร้ายแรงกว่าได้ด้วยการให้พวกเขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 301 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่มีใจสามารถดูแลพวกเขาให้พ้นจากการเข้าถึงของยุวชนแดงได้[150]:332–333 โจวยังสั่งให้กองพันของกองทัพปลดปล่อยประชาชนคุ้มกันพระราชวังต้องห้ามและปกป้องวัตถุทางประเพณีจากความเสียหายและการทำลายโดยยุวชนแดง[188] โจวไม่ชอบงิ้วปฏวัติ (ย่างป่านซี่)[189]:167 แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ แต่การที่เขาไม่สามารถป้องกันเหตุการณ์มากมายในการปฏิวัติวัฒนธรรมได้ถือเป็นความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวงสำหรับโจว ตลอดทศวรรษสุดท้ายของชีวิต ความสามารถของโจวในการดำเนินนโยบายของเหมาและรักษาประเทศให้ดำเนินต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมีความสำคัญในทางปฏิบัติมากพอจะช่วยชีวิตเขาได้ (ด้วยความช่วยเหลือของเหมา) เมื่อใดก็ตามที่โจวตกอยู่ในอันตรายทางการเมือง[190] ในช่วงสุดท้ายของการปฏิวัติวัฒนธรรม ใน ค.ศ. 1975 โจวผลักดัน "สี่ทันสมัย" เพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากนโยบายของเหมา

แม้โจวจะรอดพ้นจากการประหัตประหารโดยตรงในช่วงแรก แต่เขาไม่สามารถช่วยชีวิตคนใกล้ชิดที่สุดหลายคนไม่ให้ชีวิตถูกทำลายโดยการปฏิวัติวัฒนธรรมได้ ซุน เหวย์ชื่อ บุตรสาวบุญธรรมของโจว เสียชีวิตใน ค.ศ. 1968 หลังถูกทรมาน ถูกจำคุก และถูกข่มขืนโดยยุวชนแดงผู้ภักดีต่อเหมาเป็นเวลาเจ็ดเดือน ใน ค.ศ. 1968 เจียง ชิงยังมีส่วนในการทรมานและสังหารบุตรชายบุญธรรม (ซุน หยาง) ของโจวโดยยุวชนแดง หลังการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลง บทละครของซุนก็ถูกนำกลับมาแสดงเพื่อเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แก๊งสี่คน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของเธอ[191]

ในช่วงหลังของการปฏิวัติวัฒนธรรม โจวกลายเป็นเป้าหมายของการรณรงค์ทางการเมืองที่จัดโดยประธานเหมาและแก๊งสี่คน การรณรงค์ "วิพากษ์หลิน วิพากษ์ขงจื๊อ" ใน ค.ศ. 1973 และ 1974 มุ่งเป้าไปที่นายกรัฐมนตรีโจวเพราะเขาถูกมองว่าเป็นคู่แข่งทางการเมืองหลักของแก๊งสี่คน ใน ค.ศ. 1975 ศัตรูของโจวริเริ่มการรณรงค์ชื่อ "วิพากษ์ซ่งเจียง ประเมินซ้องกั๋ง" ซึ่งส่งเสริมให้ใช้โจวเป็นตัวอย่างของผู้แพ้ทางการเมือง[192]

อสัญกรรม

[แก้]

ความเจ็บป่วยและความตาย

[แก้]

ตามชีวประวัติของโจวที่เขียนโดยเกา เหวินเชียน อดีตนักวิจัยจากสำนักงานการวิจัยเอกสารพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่าโจวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1972[193] คณะแพทย์ของโจวรายงานว่าเขามีโอกาสสูงที่จะหายจากการรักษา อย่างไรก็ตาม การรักษาทางการแพทย์สำหรับสมาชิกพรรคที่มีตำแหน่งสูงสุดต้องได้รับอนุมัติจากเหมา ซึ่งเหมาออกคำสั่งไม่ให้แจ้งผลการวินิจฉัยแก่โจวและภรรยา ไม่ให้ทำการผ่าตัด และไม่ให้ตรวจเพิ่มเติม[194]

ตามคำกล่าวของจี้ เฉาจู้ ล่ามส่วนตัวของโจว ระบุว่าเฮนรี คิสซินเจอร์ได้เสนอส่งผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งจากสหรัฐมาทำการรักษาโจว แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกปฏิเสธในที่สุด[195] ภายใน ค.ศ. 1974 โจวมีอาการเลือดออกในปัสสาวะอย่างมาก หลังผู้นำจีนคนอื่น ๆ ที่ทราบอาการของโจวได้กดดัน เหมาจึงสั่งให้ทำการผ่าตัดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1974 แต่เลือดออกกลับมาอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนต่อมา บ่งชี้ว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ การผ่าตัดหลายครั้งในช่วงหนึ่งปีครึ่งต่อมาไม่สามารถยับยั้งการลุกลามของมะเร็งได้[196] โจวยังคงทำงานในระหว่างที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยมีเติ้ง เสี่ยวผิง รองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง เข้ามารับผิดชอบกิจการสำคัญส่วนใหญ่ของคณะมนตรีรัฐกิจ การปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายของเขาคือในการประชุมครั้งแรกของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 4 เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1975 ซึ่งเขานำเสนอรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล หลังจากนั้นเขาก็หายไปจากสายตาของสาธารณชนเพื่อรับการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติม[197] โจวถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคมะเร็งเมื่อเวลา 09:57 น. ของวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1976 สิริอายุ 77 ปี

การตอบสนองของเหมา

[แก้]

หลังอสัญกรรมของโจว เหมาไม่ได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ เพื่อรับรองความสำเร็จหรือคุณูปการของโจว และไม่ได้ส่งคำแสดงความเสียใจถึงม่ายของโจว ซึ่งเป็นผู้นำพรรคอาวุโสด้วยตนเอง[198] เหมาสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ของเขาไม่ให้สวมปลอกแขนสีดำไว้อาลัย[199] การที่เหมาจะเข้าร่วมพิธีศพของโจว ซึ่งจัดขึ้นที่มหาศาลาประชาชนหรือไม่นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียง ด้วยตัวเหมาเองมีสุขภาพทรุดโทรมมากจนไม่สามารถเข้าร่วมได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด[199] อย่างไรก็ตาม เหมาสั่งให้ส่งพวงหรีดไปยังพิธีศพ[199]

เหมาโจมตีข้อเสนอที่จะให้มีการประกาศยกย่องโจวต่อสาธารณะว่าเป็นมาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ และปฏิเสธคำร้องขอให้เขาปรากฏตัวสั้น ๆ ในพิธีศพของโจว โดยสั่งให้หลานชาย เหมา ยฺเหวี่ยนซิน อธิบายว่าเขาไม่สามารถเข้าร่วมได้เพราะการทำเช่นนั้นจะถูกมองว่าเป็นการยอมรับต่อสาธารณะว่าเขากำลังถูกบังคับให้ "ทบทวนการปฏิวัติวัฒนธรรมใหม่" เนื่องจากช่วงบั้นปลายชีวิตของโจวมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการยับยั้งและปรับเปลี่ยนความรุนแรงของการปฏิวัติวัฒนธรรม เหมาวิตกว่าการแสดงความอาลัยต่อสาธารณะในภายหลังอาจถูกนำมาใช้โจมตีตัวเขาและนโยบายของเขา และสนับสนุนการรณรงค์ "ห้าข้อห้าม" (ดูด้านล่าง) เพื่อปราบปรามการแสดงความอาลัยต่อโจวในที่สาธารณะหลังอสัญกรรมของอดีตนายกรัฐมนตรี[200]

อนุสรณ์

[แก้]

ไม่ว่าเหมาจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับโจว แต่สาธารณชนก็อยู่ในความโศกเศร้าโดยทั่วไป ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายงานว่าปักกิ่ง ในเวลาไม่นานหลังจากอสัญกรรมของโจว ดูเหมือนกับเป็นเมืองร้าง ไม่มีพิธีฝังศพ เนื่องจากโจวได้สั่งเสียไว้ว่าต้องการให้เถ้ากระดูกของเขาถูกโปรยไปตามเนินเขาและแม่น้ำในบ้านเกิด มากกว่าจะเก็บไว้ในอนุสรณ์พิธีการ เมื่อโจวจากไป เป็นที่ชัดเจนว่าประชาชนชาวจีนเคารพรักเขามากเพียงใด และมองว่าเขาเป็นสัญลักษณ์ของเสถียรภาพในยุคสมัยที่วุ่นวายทางประวัติศาสตร์อย่างมาก[201] อสัญกรรมของโจวยังนำมาซึ่งการแสดงความเสียใจจากนานาชาติทั่วโลก

รองนายกรัฐมนตรีเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นผู้กล่าวบทยกย่องในพิธีศพของโจวเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1976 แม้คำกล่าวส่วนใหญ่จะสะท้อนถ้อยคำของแถลงการณ์อย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการกลางทันทีหลังอสัญกรรมของโจวหรือประกอบด้วยคำบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพทางการเมืองอันน่าทึ่งของโจว แต่ช่วงท้ายของบท เขาก็ได้กล่าวสรรเสริญลักษณะส่วนตัวของโจวอย่างจริงใจโดยแสดงความรู้สึกออกมาจากใจจริงขณะที่ยังคงรักษาสำนวนโวหารที่จำเป็นสำหรับโอกาสรัฐพิธีในการกล่าวถึงโจว[202] เติ้งกล่าวว่า:

เขาเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา ใส่ใจผลประโยชน์ส่วนรวม เคารพวินัยของพรรค เข้มงวดในการ "วิจารณ์" ตัวเอง และเก่งในการรวมมวลชนของเจ้าหน้าที่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมถึงธำรงไว้ซึ่งความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นของพรรค เขารักษาความสัมพันธ์อย่างกว้างขวางและใกล้ชิดกับมวลชน และแสดงความเมตตาอันไม่มีขอบเขตต่อสหายและประชาชนทุกคน... เราควรเรียนรู้จากแบบอย่างอันดีงามของเขา—คือความถ่อมตัวและรอบคอบ สุภาพและเข้าถึงได้ง่าย เป็นแบบอย่างในการประพฤติ และดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและขยันขันแข็ง เราควรทำตามแบบอย่างของเขาในการยึดมั่นในวิถีชีวิตแบบชนกรรมาชีพและต่อต้านวิถีชีวิตแบบชนชั้นกระฎุมพี[202]

สเปนซ์เชื่อว่าในเวลานั้นข้อความนี้ถูกตีความว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เหมาและผู้นำคนอื่น ๆ ของการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างละมุนละไม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกมองหรือสรรเสริญว่าเป็นคน "เปิดเผยและตรงไปตรงมา", "เก่งในการรวมมวลชนของเจ้าหน้าที่", หรือแสดงออกซึ่ง "ความเมตตา" หรือความถ่อมตัว, ความรอบคอบ, หรือการเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าเจตนาของเติ้งจะเป็นอย่างไร แก๊งสี่คน และต่อมาคือฮฺว่า กั๋วเฟิง ได้เพิ่มการข่มเหงเติ้งทันทีหลังจากที่เขากล่าวบทยกย่องนี้[202]

การระงับการไว้อาลัยสาธารณะ

[แก้]

หลังพิธีไว้อาลัยอย่างเป็นทางการครั้งเดียวของโจวในวันที่ 15 มกราคม ศัตรูทางการเมืองของโจวภายในพรรคสั่งห้ามการแสดงความอาลัยต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ ข้อบังคับที่ฉาวโฉ่ที่สุดในการห้ามให้เกียรติโจวคือ "ห้าข้อห้าม" ที่มีการละเลยและบังคับใช้ไม่ดี ได้แก่ ห้ามสวมปลอกแขนดำ ห้ามพวงหรีดไว้อาลัย ห้ามจัดห้องไว้อาลัย ห้ามกิจกรรมรำลึก และห้ามแจกจ่ายรูปถ่ายของโจว ความคับข้องใจที่สะสมมานานหลายปีต่อการปฏิวัติวัฒนธรรม การข่มเหงเติ้ง เสี่ยวผิง (ซึ่งสาธารณชนมองว่ามีความใกล้ชิดกับโจวอย่างมาก) และการห้ามไว้อาลัยโจวอย่างเปิดเผย ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันหลังจากที่โจวเสียชีวิตไม่นาน สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวางต่อเหมาและผู้สืบทอดอำนาจที่เห็นได้ชัด (โดยเฉพาะฮฺว่า กั๋วเฟิงและแก๊งสี่คน)[203]

ความพยายามอย่างเป็นทางการในการบังคับใช้ "ห้าข้อห้าม" รวมถึงการรื้อถอนอนุสรณ์สาธารณะและการฉีกโปสเตอร์รำลึกถึงผลงานของเขา วันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1976 หนังสือพิมพ์ชั้นนำของเซี่ยงไฮ้ เหวินฮุ่ยเป้า ตีพิมพ์บทความที่ระบุว่าโจวเป็น "ผู้เดินตามทุนนิยมภายในพรรค [ที่] ต้องการช่วยเหลือผู้เดินตามทุนนิยมที่ไม่สำนึก [เติ้ง] ให้กลับมามีอำนาจ" การโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้และความพยายามอื่น ๆ ในการโจมตีภาพลักษณ์ของโจวมีแต่จะยิ่งเสริมความผูกพันของสาธารณชนต่อความทรงจำของโจว[204] ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ค.ศ. 1976 มีเอกสารปลอมฉบับหนึ่งเผยแพร่ในหนานจิงโดยอ้างว่าเป็นพินัยกรรมฉบับสุดท้ายของโจว เอินไหล เอกสารดังกล่าวโจมตีเจียง ชิงและยกย่องเติ้ง เสี่ยวผิง ทำให้รัฐบาลต้องเพิ่มความพยายามโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้าน[205]

อุบัติการณ์เทียนอันเหมิน

[แก้]

ภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังอสัญกรรมของโจว ได้เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างไม่ธรรมดาที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1976 ก่อนเทศกาลเช็งเม้งประจำปีของจีน ที่ผู้คนจะไปคารวะบรรพบุรุษที่ล่วงลับตามธรรมเนียม ผู้คนหลายพันได้รวมตัวกันรอบอนุสาวรีย์วีรชนจัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อรำลึกถึงชีวิตและอสัญกรรมของโจว เอินไหล ในโอกาสนี้ ชาวปักกิ่งได้ให้เกียรติโจวโดยการวางพวงหรีด ป้ายผ้า กลอน แผ่นป้าย และดอกไม้ที่ฐานอนุสาวรีย์[206] จุดประสงค์ที่ชัดเจนที่สุดของการรำลึกครั้งนี้คือการยกย่องสรรเสริญโจว แต่ในขณะเดียวกันก็มีการโจมตีเจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว และเหยา เหวินยฺเหวียนสำหรับการกระทำอันชั่วช้าที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำต่ออดีตนายกรัฐมนตรี คำขวัญจำนวนหนึ่งที่ทิ้งไว้ที่เทียนอันเหมินยังโจมตีเหมาเอง และการปฏิวัติวัฒนธรรมของเขาด้วย[207]

มีผู้เข้าเยี่ยมชมจัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 4 เมษายนอาจสูงถึงสองล้านคน[207] บันทึกการสังเกตเหตุการณ์ในจัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 4 เมษายนรายงานว่าผู้คนจากทุกระดับชั้นในสังคม ตั้งแต่ชาวนาที่ยากจนที่สุดไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพปลดปล่อยประชาชนและลูกหลานของแกนนำสูง ต่างเข้าร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมมีแรงจูงใจที่ผสมกันของความโกรธต่อการปฏิบัติที่โจวได้รับ การกบฏต่อเหมาและนโยบายของเขา ความกังวลต่ออนาคตของจีน และการท้าทายผู้ที่ต้องการลงโทษสาธารณชนสำหรับการรำลึกถึงโจว ไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการประสานงานจากตำแหน่งผู้นำใด ๆ เป็นการประท้วงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่สะท้อนความรู้สึกของสาธารณชนในวงกว้าง เติ้ง เสี่ยวผิงไม่ได้เข้าร่วมอย่างเห็นได้ชัด และเขาสั่งให้ลูก ๆ เลี่ยงการไปปรากฏตัวที่จัตุรัส[208]

เช้าวันที่ 5 เมษายน ฝูงชนที่มารวมตัวกันรอบอนุสาวรีย์พบว่าตำรวจได้เคลื่อนย้ายสิ่งที่จัดแสดงไว้ออกไปทั้งหมดในช่วงกลางคืน ทำให้ผู้คนโกรธแค้น ความพยายามปราบปรามผู้ไว้อาลัยนำไปสู่การจลาจลรุนแรง โดยมีการจุดไฟเผารถตำรวจและฝูงชนกว่า 100,000 คนบุกเข้าไปในอาคารของรัฐบาลหลายแห่งรอบจัตุรัส[206]

ภายในเวลา 18:00 น. ฝูงชนส่วนใหญ่ได้สลายตัวไป แต่มีกลุ่มเล็ก ๆ ยังคงอยู่จนถึงเวลา 22:00 น. เมื่อกองกำลังรักษาความมั่นคงเข้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมินและจับกุมพวกเขา (ตัวเลขที่รายงานของผู้ถูกจับกุมคือ 388 คน แต่มีข่าวลือว่าสูงกว่ามาก) ผู้ถูกจับกุมหลายคนถูกตัดสินให้เข้ารับ "การพิจารณาของประชาชน" ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือถูกตัดสินให้ไปใช้แรงงานในค่ายกักกัน อุบัติการณ์ที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นในปักกิ่งเมื่อวันที่ 4 และ 5 เมษายนเกิดขึ้นในเจิ้งโจว, คุนหมิง, ไท่หยวน, ฉางชุน, เซี่ยงไฮ้, อู่ฮั่น และกว่างโจว อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับโจว เติ้ง เสี่ยวผิงจึงถูกปลดจากตำแหน่ง "ทั้งในและนอกพรรค" อย่างเป็นทางการในวันที่ 7 เมษายน หลังเกิด "อุบัติการณ์เทียนอันเหมิน" นี้[206]

หลังโค่นล้มฮฺว่า กั๋วเฟิงและเข้าควบคุมประเทศจีนใน ค.ศ. 1980 เติ้ง เสี่ยวผิงได้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมในอุบัติการณ์เทียนอันเหมินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่กว้างขึ้นในการย้อนผลกระทบของการปฏิวัติวัฒนธรรม

มรดก

[แก้]
รูปปั้นโจวและเติ้งในอนุสรณ์สถานโจว เอินไหลและเติ้ง หยิ่งเชาในเทียนจิน

ในช่วงท้ายของชีวิต โจวได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นตัวแทนของความเป็นกลางและความยุติธรรมในวัฒนธรรมประชานิยมของจีน[203] นับตั้งแต่อสัญกรรมของเขา โจวถูกมองว่าเป็นนักเจรจาที่มีทักษะ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินนโยบาย เป็นนักปฏิวัติที่อุทิศตน และเป็นรัฐบุรุษปฏิบัตินิยมปฏิบัติซึ่งใส่ใจในรายละเอียดและแง่มุมปลีกย่อยอย่างผิดธรรมดา เขายังเป็นที่รู้จักในด้านจรรยาบรรณในการทำงานที่ทุ่มเทและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รวมถึงเสน่ห์และความสง่างามในการเข้าสังคมที่โดดเด่น พฤติกรรมทางการเมืองของโจวควรถูกมองในแง่ของปรัชญาการเมืองและบุคลิกภาพของเขาด้วย ในระดับใหญ่ โจวเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความขัดแย้งที่แฝงอยู่ในนักการเมืองคอมมิวนิสต์ที่เติบโตมาในขนบธรรมเนียมจีนดั้งเดิม เป็นทั้งอนุรักษนิยมและหัวรุนแรง เป็นปฏิบัตินิยมและยึดมั่นในอุดมการณ์ มีความเชื่อในระเบียบและความสามัคคี ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อ (ซึ่งพัฒนาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป) ในพลังแห่งการก้าวหน้าของการกบฏและการปฏิวัติ

แม้จะเป็นผู้เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในอุดมคติคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นรากฐานของสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่โจวก็ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าได้บรรเทาความสุดโต่งของนโยบายหัวรุนแรงของเหมาภายในอำนาจของตน[209] เป็นที่เชื่อกันว่าเขาประสบความสำเร็จในการปกป้องสถานที่ทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญทางศาสนาและจักรวรรดิหลายแห่ง (เช่น พระราชวังโปตาลาในลาซ่าและพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง) จากยุวชนแดง และยังปกป้องผู้นำระดับสูงหลายคน รวมถึงเติ้ง เสี่ยวผิง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และศิลปินหลายคนจากการกวาดล้าง[209] เติ้ง เสี่ยวผิงเคยกล่าวไว้ว่าโจว "บางครั้งถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ขัดต่อมโนธรรมของตนเองเพื่อลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด" อันเป็นผลจากนโยบายของเหมา[209]

ขณะที่ผู้นำจีนยุคก่อนหลายคนในปัจจุบันถูกวิพากษ์วิจารณ์ในจีน แต่ภาพลักษณ์ของโจวยังคงเป็นไปในเชิงบวกและได้รับความเคารพในหมู่ชาวจีนร่วมสมัย ชาวจีนจำนวนมากยังคงยกย่องโจวว่าเป็นผู้นำที่มีมนุษยธรรมมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 และพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบันก็ส่งเสริมภาพลักษณ์ของโจวในฐานะผู้นำที่อุทิศตนและเสียสละซึ่งยังคงเป็นสัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์[210] แม้แต่นักประวัติศาสตร์ที่ระบุความผิดพลาดของเหมาก็มักให้คุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกับโจว: โจวเป็นผู้มีวัฒนธรรมและมีการศึกษา ในขณะที่เหมาหยาบคายและเรียบง่าย โจวมีความสม่ำเสมอในขณะที่เหมาไม่มีเสถียรภาพ โจวอดทนอดกลั้นในขณะที่เหมาหวาดระแวง[211] หลังอสัญกรรมของเหมา สื่อจีนเน้นย้ำเป็นพิเศษถึงรูปแบบความเป็นผู้นำของเขาที่ปรึกษาหารือ มีเหตุผล เป็นจริง และสุขุมรอบคอบ[212]

โจวกับหลานสาว โจว ปิ่งเต๋อ

อย่างไรก็ตาม การวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการล่าสุดเกี่ยวกับโจวมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของเขากับเหมาในช่วงบั้นปลายชีวิต และกิจกรรมทางการเมืองของเขาในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยแย้งว่าความสัมพันธ์ระหว่างโจวกับเหมาอาจซับซ้อนกว่าที่มักถูกนำเสนอ โจวถูกอธิบายว่าเป็นผู้ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขและภักดีต่อเหมาและพันธมิตรของเขาอย่างยิ่ง ถึงขั้นยอมสนับสนุนหรืออนุญาตให้มีการข่มเหงเพื่อนและญาติพี่น้องเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับการประณามทางการเมืองด้วยตนเอง โจวไม่สามารถหรือไม่เต็มใจจะปกป้องอดีตสายลับที่เขาเคยจ้างในช่วงสงครามกลางเมืองจีนและสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งถูกข่มเหงเนื่องจากการติดต่อในช่วงสงครามกับศัตรูของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วงต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม เขาบอกกับเจียง ชิงว่า "นับจากนี้ไปเธิจะเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด และฉันจะทำให้แน่ใจว่ามันได้รับการดำเนินการ" และประกาศต่อสาธารณะว่าสหายเก่าของเขาอย่างหลิว เช่าฉี "สมควรตาย" สำหรับการต่อต้านเหมา ในความพยายามเลี่ยงการถูกข่มเหงจากการต่อต้านเหมา โจวยอมรับการข่มเหงทางการเมืองของคนอื่น ๆ อย่างเฉยเมย รวมถึงโจว เอินโช่ว น้องชายของเขาเอง[211][213][214]

คำกล่าวที่เป็นที่นิยมในจีนครั้งหนึ่งเปรียบเทียบโจวกับตุ๊กตาล้มลุก ซึ่งอาจหมายความว่าเขาเป็นนักฉวยโอกาสทางการเมือง หลี่ จื้อสุย แพทย์ส่วนตัวคนหนึ่งของเหมาในขณะนั้น ได้ให้ลักษณะโจวเช่นนั้นและวิพากษ์วิจารณ์โจวอย่างรุนแรงในหนังสือ The Private Life of Chairman Mao โดยบรรยายว่าเขาเป็น "ทาสของเหมา ผู้เชื่อฟังอย่างนอบน้อมที่สุด... ทุกสิ่งที่เขาทำ เขาทำเพื่อแสดงความภักดีต่อเหมา ทั้งเขาและ [เติ้ง หยิ่งเชา] ไม่มีแม้แต่ความคิดที่เป็นอิสระแม้แต่น้อย"[215] หลี่ยังบรรยายความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันของเหมากับโจวว่าเหมาเรียกร้องความภักดีอย่างเต็มที่ "แต่เพราะโจวอ่อนน้อมและภักดีมาก เหมาจึงดูถูก [โจว]"[216] ผู้สังเกตการณ์บางคนวิพากษ์วิจารณ์เขาว่าเป็นนักการทูตมากเกินไป: เลี่ยงการแสดงจุดยืนชัดเจนในสถานการณ์ทางการเมืองที่ซับซ้อนและกลับกลายเป็นผู้ที่เข้าใจยาก คลุมเครือ และลึกลับทางอุดมการณ์[209][210] มีคำอธิบายหลายอย่างที่ถูกนำเสนอเพื่ออธิบายความเข้าใจยากของเขา ดิก วิลสัน อดีตหัวหน้าบรรณาธิการของ Far Eastern Economic Review เขียนว่าทางเลือกเดียวของโจว "คือการเสแสร้งว่ายังคงสนับสนุนการเคลื่อนไหว [การปฏิวัติวัฒนธรรม] ต่อไป ขณะเดียวกันก็พยายามเบี่ยงเบนความสำเร็จของมัน บรรเทาความเสียหาย และเยียวยาบาดแผลที่มันกำลังสร้าง"[217] คำอธิบายสำหรับความเข้าใจยากของโจวนี้ยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางโดยชาวจีนจำนวนมากหลังอสัญกรรมของเขา[209] วิลสันยังเขียนอีกว่า โจว "คงถูกขับออกจากตำแหน่งที่มีอิทธิพล ถูกปลดจากการควบคุมรัฐบาล" หากเขา "แสดงจุดยืนและเรียกร้องให้เหมายุติการรณรงค์หรือควบคุมยุวชนแดง"[217]

ดังนั้น การมีส่วนร่วมของโจวในการปฏิวัติวัฒนธรรมจึงได้รับการปกป้องจากหลายคนบนพื้นฐานที่ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเสียสละทางการเมือง เนื่องมาจากอิทธิพลและความสามารถทางการเมืองของเขา รัฐบาลทั้งหมดอาจล่มสลายหากปราศจากความร่วมมือจากเขา เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงทศวรรษสุดท้ายของชีวิตโจว เป็นไปได้ยากที่เขาจะรอดจากการกวาดล้างได้หากปราศจากการสนับสนุนจากเหมาผ่านการช่วยเหลืออย่างแข็งขัน[190]

โจวได้รับคำชมอย่างมากจากรัฐบุรุษอเมริกันที่ได้พบกับเขาใน ค.ศ. 1971 เฮนรี คิสซินเจอร์ เขียนว่าเขาประทับใจอย่างยิ่งกับสติปัญญาและอุปนิสัยของโจว โดยบรรยายว่าเขา "สามารถสนทนาในเรื่องปรัชญา การรำลึกความหลัง การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ การหยั่งเชิงทางยุทธวิธี การตอบโต้ด้วยอารมณ์ขัน... [และ] แสดงความสง่างามส่วนตัวได้อย่างน่าทึ่ง" คิสซินเจอร์เรียกโจวว่าเป็น "หนึ่งในสองหรือสามคนที่น่าประทับใจที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา"[218] โดยระบุว่า "ความรอบรู้ในข้อเท็จจริง โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอเมริกา และความเป็นมาของผมนั้น ช่างน่าทึ่ง"[219] ในบันทึกความทรงจำของเขาริชาร์ด นิกสันระบุว่าเขาประทับใจใน "ความฉลาดปราดเปรื่องและพลังขับเคลื่อน" ที่โดดเด่นของโจว[211]

"เหมาครอบงำทุกการรวมตัว โจวซึมซับมันเข้าไป ความมุ่งมั่นของเหมาพยายามที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม สติปัญญาของโจวจะพยายามโน้มน้าวหรือเอาชนะอย่างมีชั้นเชิง เหมาเย้ยหยัน โจวเจาะลึก เหมาคิดว่าตัวเองเป็นนักปรัชญา โจวเห็นบทบาทของตนในฐานะผู้บริหารหรือนักเจรจา เหมาต้องการเร่งรัดประวัติศาสตร์ โจวยินดีจะใช้ประโยชน์จากกระแสของมัน"

—อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เฮนรี คิสซินเจอร์, On China (2011)[220]

หลังขึ้นสู่อำนาจ เติ้ง เสี่ยวผิงอาจเน้นย้ำความสำเร็จของโจวมากเกินไปเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าและการปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมา ซึ่งทั้งสองอย่างทำลายเกียรติภูมิของพรรคอย่างร้ายแรง เติ้งสังเกตว่านโยบายที่หายนะของเหมาไม่สามารถเป็นตัวแทนช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพรรคได้อีกต่อไป แต่มรดกและอุปนิสัยของโจวสามารถเป็นได้ นอกจากนี้ เติ้งยังได้รับชื่อเสียงจากการออกนโยบายเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จซึ่งโจวได้เสนอไว้แต่แรก[221] ด้วยการเชื่อมโยงตัวเองอย่างแข็งขันกับโจวซึ่งเป็นที่นิยมอยู่แล้ว มรดกของโจวอาจถูกนำมาใช้ (และอาจบิดเบือน) เป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคหลังอสัญกรรมของเขา[190]

รูปปั้นสัมฤทธิ์ของโจวในหนานจิง

ปัจจุบันโจวยังคงเป็นบุคคลที่ได้รับการรำลึกถึงอย่างกว้างขวางในจีน หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน โจวสั่งไม่ให้บ้านเกิดของเขาที่หฺวายอานเปลี่ยนบ้านของเขาให้เป็นอนุสรณ์สถานและไม่ให้ดูแลสุสานบรรพบุรุษตระกูลโจว คำสั่งเหล่านี้ได้รับการเคารพตลอดช่วงชีวิตของโจว แต่ปัจจุบันบ้านของครอบครัวและโรงเรียนดั้งเดิมของตระกูลได้รับการบูรณะ และมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาเยี่ยมชมทุกปี ใน ค.ศ. 1998 หฺวายอานได้เปิดสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีพิพิธภัณฑ์อุทิศให้แก่ชีวิตของเขา เพื่อรำลึกถึงวันเกิดครบรอบ 100 ปีของโจว สวนสาธารณะแห่งนี้รวมถึงการจำลอง Xihuating เป็นที่พักและที่ทำงานของโจวในปักกิ่ง[126]

เทียนจินได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์สำหรับโจวและเติ้ง อิ่งเชา ภรรยา และหนานจิงได้สร้างอนุสรณ์สถานรำลึกถึงการเจรจาของคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1946 กับรัฐบาลชาตินิยม ซึ่งมีรูปปั้นสัมฤทธิ์ของโจวตั้งอยู่[222] มีการออกแสตมป์เพื่อรำลึกถึงวันครบรอบอสัญกรรมปีแรกของโจวใน ค.ศ. 1977 และใน ค.ศ. 1998 เพื่อรำลึกถึงวันเกิดครบรอบ 100 ปีของเขา

ภาพยนตร์แนวดราม่าอิงประวัติศาสตร์ปี 2013 เรื่อง The Story of Zhou Enlai นำเสนอการเดินทางของโจว เอินไหลในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1961 ระหว่างช่วงก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า เมื่อเขาสำรวจสถานการณ์ในชนบทในหฺวาซีของกุ้ยหยางและตำบลปั๋วเยี่ยนในเหอเป่ย์ ซึ่งเป็นฐานปฏิวัติเก่า

ในวัฒนธรรมประชานิยม

[แก้]

ซุน เหวย์หมิน นักแสดงชาวจีน ได้รับบทเป็นโจว เอินไหลบนจอภาพยนตร์อยู่บ่อยครั้ง รวมถึงมังกรสร้างชาติ (2009) และ Mao Zedong 1949 (2019) และซีรีส์โทรทัศน์ Diplomatic Situation (2019) และอื่น ๆ[223]

มีเพลงร็อกสองเพลงที่อ้างถึงโจว ในเพลง "How-Hi-the-Li" ปี 1969 ประพันธ์โดยมือเบส ริก เกรช วง Family ได้เสียดสีบุคคลทางการเมือง โดยตั้งคำถามว่า "ถ้าคุณโจว เอินไหล จะรู้สึก 'ไฮ' ได้หรือไม่ / ด้วยชาทั้งหมดในประเทศจีน" โจวเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลกหลายคนที่ถูกกล่าวถึงในเพลง "We Didn't Start the Fire" ของบิลลี โจเอลใน ค.ศ. 1989

รางวัลและเกียรติยศ

[แก้]

ผลงาน

[แก้]
  • Zhou Enlai (1981). Selected Works of Zhou Enlai. Vol. I (1st ed.). Beijing: Foreign Languages Press. ISBN 0-8351-2251-4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2020. สืบค้นเมื่อ 7 May 2020.
  • (1989). Selected Works of Zhou Enlai. Vol. II (1st ed.). Beijing: Foreign Languages Press. ISBN 0-8351-2251-4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2020. สืบค้นเมื่อ 7 May 2020.

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เมื่อภูมิหลังครอบครัวที่เป็น "สีแดง" (ยากจน) กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกเรื่องตั้งแต่การเข้าเรียนในวิทยาลัยไปจนถึงการรับราชการ โจว เอินไหลต้องย้อนกลับไปหาแม่ของมารดาซึ่งเขาอ้างว่าเป็นลูกสาวเกษตรกร เพื่อหาคนในครอบครัวที่มีคุณสมบัติเป็น "สีแดง"[6]
  2. นี่คือสาเหตุของการรับบุตรบุญธรรมที่ระบุไว้ในงานของเกา (23) ขณะที่ลี (11) เสนอว่าสาเหตุนั้นมาจากความเชื่อที่ว่าการมีบุตรชายสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของบิดาได้
  3. บิดาของโจวอาจอยู่ที่แมนจูเรียในช่วงเวลานี้ด้วย และโจวอาจเคยอาศัยอยู่กับเขาชั่วระยะหนึ่ง หลังจากนั้นการติดต่อระหว่างโจวกับบิดาของเขาก็น้อยลง บิดาของเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1941 สำหรับการอภิปรายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโจวกับบิดาของเขา โปรดดูในหนังสือของลี หน้า 19–21
  4. วันก่อตั้งกลุ่มนี้เป็นที่ถกเถียงกัน นักเขียนส่วนใหญ่ เช่น เกา (41) ในปัจจุบันยอมรับว่าเป็นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 กลุ่มเหล่านี้หลายแห่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปลาย ค.ศ. 1920 และต้น ค.ศ. 1921 กลุ่มเหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้นก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะก่อตั้งอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1921 ดังนั้น จึงยังคงมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกในกลุ่มเหล่านั้น
  5. นอกจากจะกล่าวถึงสถานะที่ไม่แน่นอนของสมาชิกกลุ่มเทียบกับสมาชิกพรรคแล้ว เลอวีน (151 n47) ยังตั้งคำถามว่า ณ จุดนั้น โจวมีความเชื่อแบบคอมมิวนิสต์ที่ "แน่วแน่" หรือไม่
  6. อ้างอิงจากลี 161. แหล่งข้อมูลอื่นให้ข้อมูลวันที่ สถานที่ และจำนวนคนแตกต่างกันไป
  7. ลีอ้างถึงกิจกรรมสาธารณะครั้งสุดท้ายของโจวในยุโรปว่าเป็นงานเลี้ยงอำลาของพรรคชาตินิยมในวันที่ 24 กรกฎาคม
  8. "เลขาธิการคณะกรรมการมณฑล" นั้น อ้างอิงตามหนังสือของบาร์นูอินและยฺหวี หน้า 32 อย่างไรก็ตาม ผลงานอื่น ๆ ให้ข้อมูลวันที่และตำแหน่งที่แตกต่างกัน ส่วนงานของเขาในภาคกิจการทหารของมณฑลน่าจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นเล็กน้อย ตามที่ระบุในหนังสือของบาร์นูอินและยฺหวี หน้า 35
  9. ตามที่วิลเบอร์กล่าวไว้ ที่ปรึกษาชาวรัสเซียมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ในช่วงแรก ๆ เหล่านี้

อ้างอิง

[แก้]
  1. 周恩來的一個鮮為人知的義子王戍 [Wang Shu, a little-known adopted son of Zhou Enlai]. People's Daily (ภาษาChinese (China)). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 March 2016. สืบค้นเมื่อ 11 August 2014.
  2. 李鵬新書:有人傳我是周總理養子這不正確 [Li Peng's new book: Some people say that I am Premier Zhou's adopted son, which is not true]. Xinhua News Zhejiang (ภาษาChinese (China)). 30 June 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2014.
  3. Lee 7
  4. Lee 6
  5. Lee (180 n7) cites a recent study that claims Zhou Panlong did not actually serve as county magistrate.
  6. 1 2 Barnouin and Yu 11
  7. Barnouin and Yu 9
  8. Lee 17, 21
  9. Lee 16–17
  10. Lee 25–26
  11. Barnouin and Yu 13–14
  12. Barnouin and Yu 14
  13. Boorman "Chang Po-ling" (101) calls him "one of the founders of modern education in China".
  14. Lee 39, 46
  15. Lee 43
  16. Lee 55 and 44
  17. Lee 77 and 152
  18. Barnouin and Yu 16
  19. Lee 64–66
  20. Lee 74
  21. Barnouin and Yu 18
  22. Lee 86 103
  23. Lee 89
  24. Barnouin and Yu 29–30
  25. Barnouin and Yu 21
  26. Boorman (332) makes the claim that Zhou attended Kawakami's lectures
  27. Lee 104
  28. Itoh 113–114
  29. 1 2 Barnouin and Yu 22
  30. Lee 118–119
  31. Lee 125
  32. Lee 127–8
  33. Lee 133.
  34. Barnouin and Yu 23
  35. Lee 137
  36. Lee 138
  37. Lee 139
  38. "July 1, 1921, "Foundation of the Communist Party of China" – CINAFORUM". CINAFORUM (ภาษาอิตาลี). 1 July 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 May 2018. สืบค้นเมื่อ 20 May 2018.
  39. Lee 152
  40. 1 2 Barnouin and Yu 25
  41. 1 2 Barnouin and Yu 26
  42. Gao 40, Levine 150
  43. Goebel, Anti-Imperial Metropolis เก็บถาวร 4 กันยายน 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, pp. 1–2.
  44. Lee 159
  45. Levine 169–172
  46. Marquis, Christopher; Qiao, Kunyuan (2022). Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise. New Haven: Yale University Press. doi:10.2307/j.ctv3006z6k. ISBN 978-0-300-26883-6. JSTOR j.ctv3006z6k. OCLC 1348572572. S2CID 253067190.
  47. Barnouin and Yu 27
  48. Barnouin and Yu 28
  49. Barnouin and Yu 31
  50. Lee 165
  51. Crean, Jeffrey (2024). The Fear of Chinese Power: an International History. New Approaches to International History series. London, UK: Bloomsbury Academic. ISBN 978-1-350-23394-2.
  52. Barnouin and Yu 32
  53. Wilbur, Nationalist 13–14
  54. Wilbur, Missionaries 238
  55. For Chen Yi, see Boorman, "Chen Yi", 255. For the rest, see Weidenbaum 212–213
  56. 1 2 3 Barnouin and Yu 35
  57. Hsu 47–48
  58. Wilbur Nationalist 20
  59. Boorman "Ch'en Chiung-ming" 179
  60. Wilbur Missionaries 203 n92
  61. Wilbur Missionaries 175
  62. Wilbur Missionaries 222
  63. Weidenbaum 233–235
  64. Barnouin and Yu, 33–34
  65. Wilbur Missionaries 244 has a detailed discussion of the section.
  66. Hsu 53
  67. Hsu 55–56
  68. Hsu 56
  69. Smith 228
  70. Smith 226
  71. Smith 227
  72. Spence 335
  73. Barnouin and Yu 37
  74. Hsu 58
  75. 1 2 Hsu 61–64
  76. Barnoun and Yu 38
  77. Hsu 64
  78. Wilbur
  79. Barnouin and Yu 40–41
  80. Whitson and Huang 39–40
  81. 1 2 Barnouin and Yu 42
  82. Spence 386
  83. Whitson and Huang 40
  84. Barnouin and Yu 44
  85. Barnouin and Yu 44–45
  86. Barnouin and Yu 45
  87. Barnouin and Yu 45–46
  88. Barnouin and Yu 46
  89. Barnouin and Yu 47
  90. Barnouin and Yu 47–48
  91. 1 2 Barnouin and Yu 48
  92. Barnouin and Yu 52
  93. Barnouin and Yu 49
  94. Barnouin and Yu 49–51
  95. Barnouin and Yu 51–52
  96. Whitson and Huang 57–58
  97. Wortzel, Larry M; Higham, Robin D. S (1999). Dictionary of Contemporary Chinese Military History. Bloomsbury Academic. ISBN 9780313293375.
  98. Barnouin and Yu 52–55
  99. Wilson 51
  100. Barnouin and Yu 56
  101. Barnouin and Yu 57
  102. Barnouin and Yu 57–58
  103. 1 2 Barnouin and Yu 58
  104. Barnouin and Yu 59
  105. Spence 402
  106. Barnouin and Yu 49–52
  107. Barnouin and Yu 59–60
  108. Barnouin and Yu 62
  109. Barnouin and Yu 73–74
  110. Barnouin and Yu (64–65)
  111. 1 2 Barnouin and Yu 65
  112. Spence 407
  113. 1 2 Barnouin and Yu 67
  114. Spence 408
  115. Spence 409
  116. Barnouin and Yu 68
  117. 1 2 3 Barnouin and Yu 71
  118. 1 2 Barnouin and Yu 72
  119. Barnouin and Yu 72–73
  120. 1 2 3 Lee and Stephanowska 497
  121. Zhang 3
  122. Spence 688
  123. Barnouin and Yu 74
  124. Barnouin and Yu 74–75
  125. Barnouin and Yu 75–76
  126. 1 2 Barnouin and Yu 124–124
  127. Barnouin and Yu 76–77
  128. Barnouin and Yu 77
  129. Barnouin and Yu 78
  130. Barnouin and Yu 77, 82–83
  131. Barnouin and Yu 82–87
  132. Barnouin and Yu 88
  133. Barnouin and Yu 89
  134. 1 2 Barnouin and Yu 79–80
  135. 1 2 3 Barnouin and Yu 91–95
  136. Barnouin and Yu 95–97
  137. Barnouin and Yu 97–100
  138. Barnouin and Yu 97–101
  139. Barnouin and Yu 101–104
  140. Barnouin and Yu 104–105
  141. Barnouin and Yu 105
  142. Barnouin and Yu 106
  143. Barnouin and Yu 106–107
  144. Barnouin and Yu 107–108
  145. Barnouin and Yu 108
  146. Barnouin and Yu 110–116
  147. 1 2 Barnouin and Yu 117
  148. 1 2 Barnouin and Yu 118
  149. 1 2 3 Spence 524
  150. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Han, Suyin (1994). Eldest son. Internet Archive. Hill and Wang. ISBN 978-0-8090-4151-0.
  151. Barnouin and Yu 128–129
  152. Barnouin and Yu 129
  153. Spence, 1999, p. 552
  154. Barnouin and Yu 140
  155. Barnouin and Yu 141
  156. Barnouin and Yu 143
  157. Barnouin and Yu 144–146
  158. Barnouin and Yu 146, 149
  159. Barnouin and Yu 147–148
  160. Barnouin and Yu 149–150
  161. Barnouin and Yu 150–151
  162. Spence 525
  163. 1 2 Spence 525–526
  164. Spence 527
  165. Tsang 766
  166. Trento 10–11
  167. Barnouin and Yu 156
  168. "China marks journalists killed in premier murder plot 50 years ago", Xinhua News Agency, 11 April 2005
  169. Spence 596
  170. Walz, Jay (16 December 1963). "CHOU AND NASSER OPEN DISCUSSIONS; Chinese and U.A.R. Chiefs Have Private Meeting Premier Visits Relics Chou Hails Ancient Culture". The New York Times. ProQuest 116578926.
  171. 1 2 Braestrup, Peter (22 December 1963). "Chou Is in Algeria; Gets Quiet Greeting; CHOU IN ALGERIA; WELCOME IS QUITE". The New York Times. ProQuest 116355547. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2023. สืบค้นเมื่อ 10 May 2023.
  172. Braestrup, Peter (28 December 1963). "TUNIS IS PLANNING TIES WITH PEKING; Will Announce Recognition During Visit by Chou TUNIS IS PLANNING TIES WITH PEKING". The New York Times. ProQuest 116354040.
  173. "Chou Sees Hassan; Morocco Is Believed To Seek Sales Rise; Seek Bigger Sales". The New York Times. 29 December 1963. ProQuest 116327846.
  174. Barnouin and Yu 134
  175. Spence 528
  176. Barnouin and Yu 158
  177. Barnouin and Yu 127,
  178. 1 2 Spence 597
  179. Spence 599–600
  180. Spence 565
  181. Spence 566
  182. 1 2 Spence 575
  183. Dittmer 130–131
  184. Dittmer 142–143
  185. Dittmer 144–145
  186. Barnouin and Yu 4–5
  187. Macfarquhar, Roderick; Schoenhals, Michael (2008). Mao's Last Revolution. Harvard University Press. pp. 118–119.
  188. "Amazing journey: how China hid palace artefacts from Japanese invaders". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 February 2022. สืบค้นเมื่อ 15 June 2018.
  189. Minami, Kazushi (2024). People's Diplomacy: How Americans and Chinese Transformed US-China Relations during the Cold War. Ithaca, NY: Cornell University Press. ISBN 9781501774157.
  190. 1 2 3 Barnouin and Yu 5
  191. Li and Ho 500
  192. Bonavia 24
  193. Gao 235
  194. Gao, 235–236
  195. Ji, Chaozhu (2008). The man on Mao's right : from Harvard yard to Tiananmen Square, my life inside China's Foreign Ministry (1st ed.). Random House. p. Chapter 25. ISBN 978-1400065844.
  196. Gao 260–262, 275–276, 296–297
  197. "Government Work Report to the Fourth National People's Congress (in Chinese)". People's Daily. 21 January 1975. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2009. สืบค้นเมื่อ 17 January 2014.
  198. Spence 610
  199. 1 2 3 Philip Short, Mao – A Life, Hodder & Stoughton, 1999; p. 620
  200. Teiwes and Sun 217–218
  201. Spence 610–611
  202. 1 2 3 Spence 611
  203. 1 2 Teiwes and Sun 213
  204. Teiwes and Sun 214
  205. Teiwes and Sun 222
  206. 1 2 3 Spence 612
  207. 1 2 Teiwes and Sun 218
  208. Teiwes and Sun 119–220
  209. 1 2 3 4 5 Burns, John F. (10 January 1986). "IN DEATH, ZHOU ENLAI IS STILL BELOVED (BUT A PUZZLE)". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2023. สืบค้นเมื่อ 28 February 2017.
  210. 1 2 Barnouin and Yu 4
  211. 1 2 3 Ritter
  212. Burns, John P. (June 1983). "Reforming China's Bureaucracy, 1979–82". Asian Survey. 23 (6): 702. doi:10.2307/2644386. JSTOR 2644386.
  213. Sun 143–144
  214. Barnoun and Yu 87
  215. Zhisui, Li (1995). The Private Life of Chairman Mao. New York: Chatto & Windus. p. 460.
  216. Zhisui, Li (1995). The Private Life of Chairman Mao. New York: Chatto & Windus. p. 897.
  217. 1 2 Wilson, Dick (1984). Zhou Enlai: A Biography. New York: Viking.
  218. Kissinger
  219. "Kissinger Describes Nixon Years". Daily Collegian
  220. Kissinger, Henry (2011-05-17). On China. Penguin. ISBN 978-1-101-44535-8.
  221. Naughton, Barry (September 1993). "Deng Xiaoping: The Economist". The China Quarterly. 135: 491–514. doi:10.1017/S0305741000013886. S2CID 154747048.
  222. Nanjing Meiyuan New Village Memorial Hall
  223. 孙维民:七十二次扮演周恩来,这次仍是第一次 [Sun Weimin: I have played Zhou Enlai 72 times, but this is my first time]. China News Service. 8 September 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2025. สืบค้นเมื่อ 19 June 2025.
  224. 中柬友好关系发展的新阶段 [New Phase in the Development of China-Cambodia Friendly Relations]. zhouenlai.info. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 April 2023. สืบค้นเมื่อ 29 January 2023.
  225. 1961年6月15日人民日报 第1版 [People's Daily, 15 June 1961, Page 1]. People's Daily (govopendata). 15 June 1961. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 January 2023. สืบค้นเมื่อ 29 January 2023.
  226. Stela, Wojciech (2008). Polish orders and decorations. Warsaw. p. 48. ISBN 9788390662824.

ข้อมูล

[แก้]
  • Anderson, Perry (12 September 2024). "Made by the Revolution". London Review of Books. Vol. 46 no. 17. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 May 2025. สืบค้นเมื่อ 19 May 2025.
  • Barnouin, Barbara; Yu, Changgen (2006). Zhou Enlai: A Political Life. Hong Kong: Chinese University Press. ISBN 962-996-280-2.
  • Bonavia, David (1995). China's Warlords. New York: Oxford University Press. ISBN 0-19-586179-5.
  • Boorman, Howard L. ed. Biographical Dictionary of Republican China. New York, NY: Columbia University Press, 1967–71.
  • Chen, Jian (2024). Zhou Enlai: A Life. Cambridge, Massachusetts: Belknap Press. ISBN 978-0674659582.
  • Dillon, Michael. "Zhou Enlai: Mao's Enigmatic Shadow," History Today (May 2020) 79#5 pp 50–63 online.
  • Dillon, Michael. Zhou Enlai: The Enigma Behind Chairman Mao (Bloomsbury, 2020).
  • Dittmer, Lowell. Liu Shao-ch'i and the Chinese Cultural Revolution: The Politics of Mass Criticism, (U of California Press, 1974).
  • Dikötter, Frank (2010). Mao's great famine : the history of China's most devastating catastrophe, 1958–62. London: Bloomsbury Publishing PLC. ISBN 978-0-7475-9508-3.
  • Garver, John W. China's Quest: The History of the Foreign Relations of the People's Republic (2nd ed. 2018) comprehensive scholarly history.
  • Gao Wenqian. Zhou Enlai: The Last Perfect Revolutionary. New York, NY: Public Affairs, 2007.
  • Goebel, Michael (2015). Anti-Imperial Metropolis: Interwar Paris and the Seeds of Third World Nationalism. New York, NY: Cambridge University Press. ISBN 9781107073050. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2015. สืบค้นเมื่อ 1 September 2015.
  • Han Suyin. Eldest Son: Zhou Enlai and the Making of Modern China. New York: Hill & Wang, 1994.
  • Hsu, Kai-yu. Chou En-Lai: China's Gray Eminence. Garden City, NY: Doubleday, 1968.
  • Itoh, Mayumi. The Origins of Contemporary Sino-Japanese Relations: Zhou Enlai and Japan (Springer, 2016).
  • Kingston, Jeff (3 October 2010). ""Mao's Famine was no Dinner Party" (Book Review)". Japan Times Online. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 September 2021. สืบค้นเมื่อ 10 September 2021.
  • "Kissinger Describes Nixon Years". Daily Collegian. 25 September 1979.
  • Kissinger, Henry. "Special Section: Chou En-lai". TIME Magazine. Monday, 1 October 1979. Retrieved on 12 March 2011.
  • Kraus, Charles. "Zhou Enlai and China's Response to the Korean War." (2012) online เก็บถาวร 15 กุมภาพันธ์ 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
  • Lee, Chae-jin. Zhou Enlai: The Early Years. (Stanford UP, 1994).
  • Lee, Lily Xiao Hong; Stefanowska, A. D. (2003). Biographical Dictionary of Chinese Women: The Twentieth Century 1912–2000 (ภาษาอังกฤษ). Armonk, New York: East Gate Books. ISBN 0-7656-0798-0. สืบค้นเมื่อ 12 June 2011.
  • Li, Tien-min. Chou En-Lai. Taipei: Institute of International Relations, 1970.
  • Li, Yanhua, Hongyu Zhao, and Jianmei Jia. "Chou En-lai's Exploration of China's Democratic Political Construction." 2013 International Conference on Education, Management and Social Science (2013) online.
  • Levine, Marilyn. The Found Generation: Chinese Communists in Europe during the Twenties. Seattle, WA: University of Washington Press, 1993.
  • Ritter, Peter. "Saint and Sinner". TIME Magazine. Thursday, 1 November 2007. Retrieved on 11 March 2011.
  • Smith, Steve. "Moscow and the Second and Third Armed Uprisings in Shanghai, 1927." The Chinese Revolution in the 1920s: Between Triumph and Disaster. ed. Mechthild Leutner et al. London, England: Routledge, 2002. 222–243.
  • Spence, Jonathan D. (1999). The Search for Modern China (2nd ed.). New York: W.W. Norton and Company. ISBN 0-393-97351-4.
  • Sun, Warren (July 2004). "Review: Zhou Enlai Wannian (Zhou Enlai's Later Years) by Gao Wenqian". The China Journal (52): 142–144. doi:10.2307/4127902. JSTOR 4127902.
  • Trento, Joseph J. Prelude to Terror: Edwin P. Wilson and the Legacy of America's Private Intelligence Network Carroll and Graf, 2005. 10–11.
  • Tsang, Steve (1994). "Target Zhou Enlai: The 'Kashmir Princess' Incident of 1955". China Quarterly. 139 (139): 766–782. doi:10.1017/S0305741000043150. JSTOR 655141. S2CID 154183849.
  • Teiwes, Frederick C.; Sun, Warren (Summer 2004). "The First Tiananmen Incident Revisited: Elite Politics and Crisis Management at the End of the Maoist Era". Pacific Affairs. 77 (2): 211–235. JSTOR 40022499.
  • Whitson, William W. and Huang, Chen-hsia. The Chinese High Command: A History of Communist Military Politics, 1927–71. New York: Praeger, 1973.
  • Wilbur, C. Martin. The Nationalist Revolution in China: 1923–1928. Cambridge, England: Cambridge University Press, 1983.
  • Wilbur, C. Martin and Julie Lien-ying How. Missionaries of Revolution: Soviet Advisers and Nationalist China, 1920–1927. Cambridge, MA: Harvard University Press, 1989.
  • Wilson, Dick. Zhou Enlai: A Biography. New York, NY: Viking, 1984.
  • Zhang, Shu Guang (2019). "In the Shadow of Mao: Zhou Enlai and New China's Diplomacy". The Diplomats, 1939–1979. Princeton University Press. pp. 337–370. doi:10.2307/j.ctv8pz9nc.18. ISBN 978-0-691-03613-7. JSTOR j.ctv8pz9nc.18. S2CID 159187923.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ก่อนหน้า โจว เอินไหล ถัดไป
ไม่มี
นายกรัฐมนตรีจีน
(ค.ศ. 1949 – 1976)
ฮั่ว กั๋วเฟิง