โจว เอินไหล
โจว เอินไหล | |||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
周恩来 | |||||||||||||||||||||||||
โจวใน ค.ศ. 1972 | |||||||||||||||||||||||||
| นายกรัฐมนตรีจีน คนที่ 1 | |||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976 | |||||||||||||||||||||||||
| รองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง | ต่ง ปี้อู่ เฉิน ยฺหวิน หลิน เปียว เติ้ง เสี่ยวผิง | ||||||||||||||||||||||||
| ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง (ในตำแหน่งประธานรัฐบาลประชาชนกลางสาธารณรัฐประชาชนจีน) ตนเอง (ในตำแหน่งประธานสภาบริหารรัฐบาลประชาชนกลาง) | ||||||||||||||||||||||||
| ถัดไป | ฮฺว่า กั๋วเฟิง | ||||||||||||||||||||||||
| รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน คนที่ 1 | |||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958 | |||||||||||||||||||||||||
| หัวหน้ารัฐบาล | ตนเอง | ||||||||||||||||||||||||
| ก่อนหน้า | หู ชื่อ (ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐจีน) | ||||||||||||||||||||||||
| ถัดไป | เฉิน อี้ | ||||||||||||||||||||||||
| รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน คนที่หนึ่ง | |||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง 30 สิงหาคม ค.ศ. 1973 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976 | |||||||||||||||||||||||||
| ประธาน | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
| ก่อนหน้า | หลิน เปียว (1971) | ||||||||||||||||||||||||
| ถัดไป | ฮฺว่า กั๋วเฟิง | ||||||||||||||||||||||||
| รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง 28 กันยายน ค.ศ. 1956 – 1 สิงหาคม ค.ศ. 1966 | |||||||||||||||||||||||||
| ประธาน | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
| ประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน คนที่ 2 | |||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง ธันวาคม ค.ศ. 1954 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976 | |||||||||||||||||||||||||
| ประธานกิตติมศักดิ์ | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
| ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
| ถัดไป | ตำแหน่งว่าง (1976–1978) เติ้ง เสี่ยวผิง | ||||||||||||||||||||||||
| ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||||||
| เกิด | 5 มีนาคม 1898 หวฺายอาน มณฑลเจียงซู ราชวงศ์ชิง | ||||||||||||||||||||||||
| เสียชีวิต | 8 มกราคม ค.ศ. 1976 (77 ปี) ปักกิ่ง ประเทศจีน | ||||||||||||||||||||||||
| พรรคการเมือง |
| ||||||||||||||||||||||||
| การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | ก๊กมินตั๋ง (1923–1927) | ||||||||||||||||||||||||
| คู่สมรส | เติ้ง หยิ่งเชา (สมรส 1925) | ||||||||||||||||||||||||
| บุตร |
| ||||||||||||||||||||||||
| การศึกษา | โรงเรียนมัธยมหนานไค | ||||||||||||||||||||||||
| ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยหนานไค | ||||||||||||||||||||||||
| ลายมือชื่อ | |||||||||||||||||||||||||
| เว็บไซต์ | zhouenlai | ||||||||||||||||||||||||
| ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |||||||||||||||||||||||||
| กองทัพ | |||||||||||||||||||||||||
| ยศ | พลโทแห่งกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ | ||||||||||||||||||||||||
| สงคราม | |||||||||||||||||||||||||
| ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||||||||||||
| อักษรจีนตัวย่อ | 周恩来 | ||||||||||||||||||||||||
| อักษรจีนตัวเต็ม | 周恩來 | ||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||
| ชื่อรอง | |||||||||||||||||||||||||
| ภาษาจีน | 翔宇 | ||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||
โจว เอินไหล (จีน: 周恩来; พินอิน: Zhōu Ēnlái; เวด-ไจลส์: Chou1 Ên1-lai2; 5 มีนาคม ค.ศ. 1898 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976) เป็นรัฐบุรุษ นักการทูต และนักปฏิวัติชาวจีน ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนคนแรก ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1949 กระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 โจวทำงานภายใต้ประธานเหมา เจ๋อตงและช่วยพรรคคอมมิวนิสต์ให้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ต่อมายังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการควบคุมประเทศ กำหนดนโยบายต่างประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจจีน
ในฐานะนักการทูต โจวดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1949 ถึง 1958 เขาสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชาติตะวันตกหลังสงครามเกาหลี เข้าร่วมการประชุมเจนีวา ค.ศ. 1954 และการประชุมบันดุง ค.ศ. 1955 และมีส่วนช่วยในการจัดการให้เกิดการเยือนจีนของริชาร์ด นิกสัน ค.ศ. 1972 เขายังช่วยกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการโต้แย้งกับสหรัฐ ไต้หวัน สหภาพโซเวียต (หลัง ค.ศ. 1960) อินเดีย เกาหลี และเวียดนาม
โจวรอดพ้นจากการกวาดล้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ขณะที่เหมา เจ๋อตงใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบั้นปลายชีวิตไปกับการต่อสู้ทางการเมืองและงานอุดมการณ์ โจวเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักเบื้องหลังกิจการของรัฐในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นส่วนใหญ่ ความพยายามของเขาในการลดความเสียหายของยุวชนแดงและความพยายามที่จะปกป้องผู้อื่นจากความโกรธแค้นของกลุ่มเหล่านี้ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงท้ายของการปฏิวัติวัฒนธรรม
สุขภาพของเหมาเริ่มเสื่อมลงใน ค.ศ. 1971 และหลิน เปียวก็ตกอับและเสียชีวิตในเหตุเครื่องบินตก ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้ โจวได้รับเลือกให้เป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์คนที่หนึ่งในตำแหน่งที่ว่าง โดยคณะกรรมการกลางชุดที่ 10 ใน ค.ศ. 1973 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเหมา (เป็นบุคคลที่สามที่ได้รับแต่งตั้งดังกล่าวต่อจากหลิว เช่าฉีและหลิน เปียว) แต่ยังคงต้องต่อสู้ภายในกับแก๊งสี่คน (Gang of Four) เพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำประเทศจีน การปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายของเขาคือในการประชุมครั้งแรกของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 4 เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1975 ซึ่งเขาได้นำเสนอรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล จากนั้นเขาก็หายไปจากสายตาของสาธารณชนเพื่อรับการรักษาพยาบาลและถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งปีต่อมา การแสดงความอาลัยอย่างล้นหลามของประชาชนในปักกิ่งต่อการจากไปของเขาได้เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นต่อแก๊งสี่คน นำไปสู่อุบัติการณ์เทียนอันเหมิน ค.ศ. 1976 แม้ว่าฮฺว่า กั๋วเฟิงจะได้รับตำแหน่งต่อจากโจวในฐานะรองประธานคนที่หนึ่งและผู้สืบทอดที่ได้รับแต่งตั้ง แต่พันธมิตรของโจวเติ้ง เสี่ยวผิง ก็สามารถเอาชนะแก๊งสี่คนทางการเมืองได้และเข้ารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดแทนฮฺว่าใน ค.ศ. 1978
ชีวิตตอนต้น
[แก้]วัยเยาว์
[แก้]
โจว เอินไหล เกิดที่หฺวายอาน มณฑลเจียงซู เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1898 เป็นบุตรชายคนแรกของสายตระกูลโจว ตระกูลโจวมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่เช่าซิง มณฑลเจ้อเจียง ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง เช่าซิงมีชื่อเสียงในฐานะบ้านเกิดของตระกูลต่างๆ เช่น ตระกูลโจว ซึ่งมีสมาชิกทำงานเป็น "อาลักษณ์" (師爺, shiye) ในหน่วยงานราชการรุ่นต่อรุ่น[3] เพื่แจะไต่เต้าในราชการ ผู้ชายในตระกูลเหล่านี้มักจะต้องถูกย้ายไปประจำที่อื่น และในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ตระกูลโจวสายของโจว เอินไหลจึงย้ายไปหฺวายอาน แม้จะย้ายไปแล้ว แต่ครอบครัวก็ยังคงถือว่าเช่าซิงเป็นบ้านบรรพบุรุษ[4]
ปู่ของโจว โจว จฺวิ้นหลง และลุงทวดของเขา โจว จฺวิ้นอ่าง เป็นสมาชิกคนแรกของตระกูลที่ย้ายไปหฺวายอาน เห็นได้ชัดว่าจฺวิ้นหลงสอบผ่านการสอบระดับมณฑล และโจว เอินไหลกล่าวในภายหลังว่าพานหลงเคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอหฺวายอาน[5] โจว อี๋เหนิง บิดาของโจว เป็นบุตรชายคนที่สองในบรรดาบุตรชายสี่คนของโจว จฺวิ้นหลง ส่วนมารดาที่ให้กำเนิดโจว มีนามสกุลว่าน เป็นบุตรสาวของขุนนางคนสำคัญของมณฑลเจียงซู[หมายเหตุ 1]
เช่นเดียวกับตระกูลอื่น ฐานะทางการเงินของตระกูลนักวิชาการ-ขุนนางตระกูลใหญ่ของโจวเสื่อมถอยลงอย่างมากจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่จีนประสบในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โจว อี๋เหนิงมีชื่อเสียงในด้านความซื่อสัตย์ อ่อนโยน ฉลาดและใส่ใจผู้อื่น แต่ก็ถูกมองว่า "อ่อนแอ" และ "ขาดวินัยและความมุ่งมั่น" เขาไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว และได้ร่อนเร่ไปทั่วประเทศเพื่อทำงานอาชีพต่าง ๆ ทั้งในปักกิ่ง ชานตง อานฮุย เฉิ่นหยาง มองโกเลียใน และเสฉวน โจว เอินไหลจำได้ในภายหลังว่าบิดาของเขาอยู่ไกลบ้านเสมอและโดยทั่วไปไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้[7]
หลังเกิดได้ไม่นาน โจว เอินไหลก็ถูกรับไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยโจว อี๋ก้าน น้องชายคนเล็กของพ่อ ซึ่งป่วยเป็นวัณโรค เห็นได้ชัดว่าการรับบุตรบุญธรรมนี้ถูกจัดขึ้นเพราะครอบครัวกลัวว่าอี๋ก้านจะเสียชีวิตโดยไม่มีทายาท[หมายเหตุ 2] โจว อี๋ก้านเสียชีวิตในไม่ช้าหลังการรับบุตรบุญธรรม และโจว เอินไหลก็ได้รับการเลี้ยงดูโดยม่ายของอี๋ก้าน ซึ่งมีนามสกุลเฉิน คุณนายเฉินก็มาจากตระกูลนักวิชาการและได้รับการศึกษาด้านวรรณคดีแบบดั้งเดิม ตามคำบอกเล่าของโจวเอง เขาสนิทสนมกับมารดาบุญธรรมของเขามากและได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องในวรรณคดีและงิ้วจีนจากเธอ คุณนายเฉินสอนโจวให้อ่านและเขียนตั้งแต่อายุยังน้อย และโจวอ้างในภายหลังว่าเขาได้อ่านนวนิยายภาษาปากที่มีชื่อเสียง ไซอิ๋ว ตั้งแต่อายุหกปี[8] เมื่ออายุแปดปี เขาก็อ่านนวนิยายจีนโบราณเรื่องอื่น ๆ รวมถึง ซ้องกั๋ง, สามก๊ก และความฝันในหอแดง[6]
ว่าน มารดาผู้ให้กำเนิดโจวเสียชีวิตใน ค.ศ. 1907 เมื่อโจวอายุ 9 ปี และเฉิน มารดาบุญธรรมของเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1908 เมื่อโจวอายุ 10 ปี เนื่องจากบิดาของโจวทำงานอยู่ที่หูเป่ย์ ซึ่งห่างไกลจากเจียงซู โจวและน้องชายสองคนจึงกลับไปหฺวายอานและอาศัยอยู่กับอี๋ขุ่ย น้องชายคนเล็กอีกคนของบิดาเป็นเวลาสองปี[9] ใน ค.ศ. 1910 อี๋เกิง ลุงของโจว พี่ชายคนโตของบิดา เสนอจะดูแลโจว ครอบครัวในหฺวายอานตกลง และโจวถูกส่งไปอยู่กับลุงของเขาที่แมนจูเรีย ในเฟิ่งเทียน (ปัจจุบันคือเฉิ่นหยาง) ซึ่งโจว อี๋เกิงทำงานอยู่ในสำนักงานของรัฐบาล[หมายเหตุ 3]
การศึกษา
[แก้]
ที่เฟิงเทียน โจวเข้าเรียนที่โรงเรียนต้นแบบตงกวน ซึ่งเป็นโรงเรียนรูปแบบสมัยใหม่ ก่อนหน้านั้นการศึกษาของเขามาจากการเรียนที่บ้านทั้งหมด นอกเหนือจากวิชาใหม่เช่นภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์แล้ว โจวยังได้อ่านงานเขียนของนักปฏิรูปและนักหัวรุนแรง เช่น เหลียง ฉี่เฉา, คัง โหย่วเหวย์, เฉิน เทียนหฺวา, โจว หรง และจาง ปิ่งหลิน[10][11] เมื่ออายุสิบสี่ปี โจวประกาศว่าแรงจูงใจในการใฝ่หาการศึกษาของเขาคือการ "เป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะรับผิดชอบภาระอันหนักอึ้งของประเทศในอนาคต"[12] ใน ค.ศ. 1913 ลุงของโจวถูกย้ายไปที่เทียนจิน ที่ซึ่งโจวได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมนานไคที่มีชื่อเสียง
โรงเรียนมัธยมนานไคก่อตั้งโดยเหยียน ซิว นักวิชาการและผู้ใจบุญที่มีชื่อเสียง และมีจาง ปั๋วหลิง หนึ่งในนักการศึกษาชาวจีนคนสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20 เป็นผู้อำนวยการ[13] วิธีการสอนของนานไคถือว่าผิดแผกจากมาตรฐานจีนในสมัยนั้น เมื่อโจวเริ่มเข้าเรียน โรงเรียนได้นำรูปแบบการศึกษาที่ใช้ที่วิทยาลัยฟิลลิปส์ในสหรัฐมาปรับใช้[14] ชื่อเสียงของโรงเรียนซึ่งมีกิจวัตรประจำวันที่ "มีระเบียบวินัยสูง" และ "หลักจริยธรรมเคร่งครัด"[15] ดึงดูดนักเรียนจำนวนมากที่ต่อมามีชื่อเสียงในชีวิตสาธารณะ เพื่อนและเพื่อนร่วมชั้นของโจวที่นั่นมีตั้งแต่หม่า จฺวิ้น (ผู้นำคอมมิวนิสต์ยุคแรกที่ถูกประหารชีวิตใน ค.ศ. 1927) ไปจนถึงเค. ซี. อู๋ (ต่อมาเป็นนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้และผู้ว่าการไต้หวันภายใต้พรรคชาตินิยม)[16] ความสามารถของโจวยังดึงดูดความสนใจของเหยียน ซิวและจาง ปั๋วหลิง โดยเฉพาะเหยียนให้ความสำคัญกับโจวอย่างมาก และให้ความช่วยเหลือในการจ่ายค่าเล่าเรียนสำหรับไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นและต่อมาที่ฝรั่งเศส[17]
เหยียนประทับใจโจวมากถึงขนาดสนับสนุนให้โจวแต่งงานกับบุตรสาวของตน แต่โจวปฏิเสธ ต่อมาโจวได้แสดงเหตุผลการตัดสินใจไม่แต่งงานกับบุตรสาวของเหยียนต่อจาง หงห่าว เพื่อนร่วมชั้น โดยโจวกล่าวว่าเขาปฏิเสธการแต่งงานเนื่องจากเขากลัวว่าโอกาสทางการเงินของตนจะไม่สดใส และเกรงว่าเหยียนในฐานะพ่อตาจะมาครอบงำชีวิตของเขาในภายหลัง[18]
โจวทำผลงานได้ดีในการเรียนที่หนานไค เขาเก่งภาษาจีน ได้รับหลายรางวัลในชมรมโต้วาทีของโรงเรียน และเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนในปีสุดท้าย โจวยังมีบทบาทอย่างมากในการแสดงและผลิตละครเวทีที่หนานไค นักเรียนหลายคนที่ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวก็รู้จักเขาผ่านการแสดงของเขา[19] หนานไคยังคงเก็บรักษาเรียงความและบทความจำนวนหนึ่งที่เขียนโดยโจวในช่วงเวลานี้ไว้ ซึ่งสะท้อนถึงวินัย การฝึกฝน และความห่วงใยประเทศชาติที่ผู้ก่อตั้งหนานไคพยายามปลูกฝังให้แก่นักเรียน ในพิธีสำเร็จการศึกษาครั้งที่สิบของโรงเรียนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1917 โจวเป็นหนึ่งในนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาห้าคนที่ได้รับเกียรติในพิธี และเป็นหนึ่งในสองนักเรียนกล่าวอำลา[20]
เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาจากหนานไค คำสอนของจาง ปั๋วหลิงเรื่องกง (จิตวิญญาณสาธารณะ) และเหนิง (ความสามารถ) ได้สร้างความประทับใจอย่างมากแก่เขา การเข้าร่วมการโต้วาทีและการแสดงบนเวทีมีส่วนช่วยให้เขามีทักษะด้านวาทศิลป์และความสามารถในการโน้มน้าว โจวออกจากหนานไคพร้อมกับความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะรับใช้สาธารณะ และเพื่อที่จะได้รับทักษะที่จำเป็นในการทำเช่นนั้น[21]
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชั้นหลายคน โจวเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1917 เพื่อศึกษาต่อ ในช่วงสองปีที่ญี่ปุ่น โจวใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเอเชียตะวันออก โรงเรียนสอนภาษาสำหรับนักเรียนจีน การศึกษาของโจวได้รับการสนับสนุนจากลุง และดูเหมือนว่าเหยียน ซิว ผู้ก่อตั้งหนานไคก็ช่วยด้วยเช่นกัน แต่เงินทุนของพวกเขามีจำกัด ในช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่นประสบภาวะเงินเฟ้อรุนแรง[22] เดิมโจววางแผนจะได้รับทุนการศึกษาที่เสนอโดยรัฐบาลจีน แต่ทุนการศึกษาเหล่านี้กำหนดให้นักเรียนจีนต้องผ่านการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของญี่ปุ่น โจวสอบเข้าอย่างน้อยสองโรงเรียนแต่ไม่ผ่านการตอบรับเข้าเรียน[23] ความวิตกของโจวเพิ่มขึ้นจากการเสียชีวิตของลุง โจว อี๋ขุ่ย ความไม่สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้อย่างเชี่ยวชาญ และแนวคิดชาตินิยมทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เด่นชัดซึ่งมีการเลือกปฏิบัติต่อชาวจีน เมื่อโจวเดินทางกลับประเทศจีนในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1919 เขาได้รู้สึกหมดศรัทธาอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่น ปฏิเสธความคิดที่ว่ารูปแบบการเมืองของญี่ปุ่นเกี่ยวข้องกับจีนและดูหมิ่นค่านิยมของชนชั้นสูงและการทหารที่เขาได้สังเกต[24]
บันทึกประจำวันและจดหมายของโจวในช่วงที่อยู่ที่โตเกียวแสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างลึกซึ้งในการเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 และนโยบายใหม่ของบอลเชวิค เขาเริ่มอ่านนิตยสารก้าวหน้าและเอนซ้ายของเฉิน ตู๋ซิ่วอย่างกระตือรือร้น New Youth[25] เขาอ่านงานภาษาญี่ปุ่นยุคแรกเกี่ยวกับมากซ์ และมีผู้กล่าวอ้างว่าเขาเคยเข้าร่วมการบรรยายของคาวาคามิ ฮาจิเมะที่มหาวิทยาลัยเกียวโตด้วย คาวาคามิเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคแรกของลัทธิมากซ์ในญี่ปุ่น และงานแปลและบทความของเขามีอิทธิพลต่อนักคอมมิวนิสต์จีนรุ่นที่แรก[26] อย่างไรก็ดี ปัจจุบันดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ที่โจวจะได้พบเขาหรือฟังการบรรยายของเขา[27] บันทึกประจำวันของโจวยังแสดงความสนใจในการประท้วงของนักศึกษาจีนเพื่อต่อต้านข้อตกลงการป้องกันร่วมจีน–ญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 แต่เขาไม่ได้เข้าร่วมอย่างจริงจังหรือเดินทางกลับประเทศจีนในฐานะส่วนหนึ่งของ "ขบวนการกลับบ้าน"[28] บทบาทที่กระตือรือร้นของเขาในขบวนการทางการเมืองเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่เขากลับสู่ประเทศจีน
กิจกรรมการเมืองตอนต้น
[แก้]
โจวกลับมาถึงเทียนจินในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1919 นักประวัติศาสตร์ยังมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับการเข้าร่วมขบวนการสี่พฤษภาคม (พฤษภาคมถึงมิถุนายน ค.ศ. 1919) ของเขา อัตชีวประวัติ "อย่างเป็นทางการ" ของจีนระบุว่าเขาเป็นผู้นำการประท้วงของนักเรียนในเทียนจินในขบวนการสี่พฤษภาคม[29] แต่ผู้รู้สมัยใหม่หลายคนเชื่อว่าไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่โจวได้เข้าร่วม โดยพิจารณาจากการขาดหลักฐานโดยตรงในบันทึกที่รอดจากช่วงเวลานั้น[29][30] อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 โจวได้เป็นบรรณาธิการของจดหมายข่าวสหภาพนักศึกษาเทียนจิน ตามคำร้องขอของหม่า จฺวิ้น เพื่อนร่วมชั้นที่หนานไค ผู้ก่อตั้งสหภาพ[31]ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ออกเผยแพร่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 ถึงต้น ค.ศ. 1920 จดหมายข่าวนี้ถูกอ่านอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศและถูกรัฐบาลแห่งชาติสั่งระงับอย่างน้อยหนึ่งครั้งในข้อหา "เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยสาธารณะและระเบียบสังคม"[32]
เมื่อหนานไคได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1919 โจวอยู่ในชั้นเรียนแรก แต่เขาใช้เวลานอกเวลาเรียนเป็นนักกิจกรรมเต็มเวลา กิจกรรมการเมืองของเขาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และในเดือนกันยายน เขาและนักศึกษาอีกหลายคนตกลงก่อตั้ง "สมาคมตื่นรู้" กลุ่มเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกไม่เคยเกิน 25 คน[33] ในการอธิบายเป้าหมายและจุดประสงค์ของสมาคมตื่นรู้ โจวประกาศว่า "สิ่งใดก็ตามที่ไม่สอดคล้องกับความก้าวหน้าในสมัยปัจจุบัน เช่น แสนยนิยม ชนชั้นกระฎุมพี พวกหัวหน้าพรรค ข้าราชการ ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง ความคิดดื้อรั้น ศีลธรรมล้าสมัย จริยธรรมเก่า... ควรถูกยกเลิกหรือปฏิรูป" และยืนยันว่าจุดประสงค์ของสมาคมคือการเผยแพร่ความตระหนักรู้นี้ในหมู่ชาวจีน เป็นในสมาคมนี้เองที่โจวได้พบกับเติ้ง หยิ่งเชา ภรรยาในอนาคตของเขาเป็นครั้งแรก[34] ในบางแง่มุม สมาคมตื่นรู้มีความคล้ายกับกลุ่มศึกษาลัทธิมากซ์ลับ ๆ ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งนำโดยหลี่ ต้าเจา โดยสมาชิกในกลุ่มใช้ตัวเลขแทนชื่อเพื่อ "ความลับ" (โจวคือ "หมายเลขห้า" ซึ่งเป็นนามแฝงที่เขายังคงใช้ในภายหลัง)[35] และทันทีหลังก่อตั้งกลุ่ม สมาคมได้เชิญหลี่ ต้าเจามาบรรยายเกี่ยวกับลัทธิมากซ์
ในช่วงสองสามเดือนถัดมา โจวมีบทบาทเชิงรุกที่โดดเด่นยิ่งขึ้นในกิจกรรมการเมือง[36] กิจกรรมที่ใหญ่ที่สุดคือการชุมนุมเพื่อสนับสนุนการคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นทั่วประเทศ เนื่องจากการคว่ำบาตรมีผลมากขึ้น รัฐบาลแห่งชาติภายใต้แรงกดดันจากญี่ปุ่นจึงพยายามปราบปราม วันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1920 การเผชิญหน้าเกี่ยวกับกิจกรรมคว่ำบาตรในเทียนจินนำไปสู่การจับกุมผู้คนจำนวนหนึ่ง รวมถึงสมาชิกสมาคมตื่นรู้หลายคน และในวันที่ 29 มกราคม โจวเป็นผู้นำการเดินขบวนไปยังสำนักงานผู้ว่าการในเทียนจินเพื่อยื่นคำร้องเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุม โจวและผู้นำอีกสามคนก็ถูกจับกุมด้วยตนเอง ผู้ถูกจับกุมถูกควบคุมตัวนานกว่าหกเดือน ในระหว่างการคุมขัง โจวถูกกล่าวว่าจัดการอภิปรายเกี่ยวกับลัทธิมากซ์[37] ในการพิจารณาคดีในเดือนกรกฎาคม โจวและคนอื่น ๆ อีกหกคนถูกตัดสินจำคุกสองเดือน ที่เหลือถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด ทุกคนได้รับการปล่อยตัวทันทีเนื่องจากพวกเขาถูกคุมขังมานานกว่าหกเดือนแล้ว
หลังการปล่อยตัว โจวและสมาคมตื่นรู้ได้พบปะกับองค์กรหลายแห่งในปักกิ่งและตกลงจัดตั้ง "สหพันธ์ปฏิรูป" ในระหว่างกิจกรรมเหล่านี้ โจวทำความคุ้นเคยกับหลี่ ต้าเจามากขึ้นและได้พบกับจาง เชินฝู่ ผู้ติดต่อระหว่างหลี่ในปักกิ่งและเฉิน ตู๋ซิ่วในเซี่ยงไฮ้ ทั้งสองกำลังจัดตั้งกลุ่มคอมมิวนิสต์ใต้ดินโดยร่วมมือกับกรีโกรี วอยตินสกี[38] ตัวแทนของโคมินเทิร์น แต่โจวดูเหมือนจะยังไม่ได้พบกับวอยตินสกีในขณะนั้น
ไม่นานหลังการปล่อยตัว โจวตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ยุโรป (เขาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยหนานไคในระหว่างถูกควบคุมตัว) แม้ปัญหาเรื่องเงินจะเป็นปัญหา แต่เขาได้รับทุนการศึกษาจากเหยียน ซิว[39] เพื่อให้ได้เงินทุนเพิ่มขึ้น เขาติดต่อหนังสือพิมพ์เทียนจินฉบับหนึ่ง Yishi bao (แปลตรงตัว หนังสือพิมพ์เหตุการณ์ปัจจุบัน) ได้สำเร็จ เพื่อทำงานเป็น "ผู้สื่อข่าวพิเศษ" ในยุโรป โจวเดินทางออกจากเซี่ยงไฮ้ไปยังยุโรปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 พร้อมกลุ่มนักเรียนทำงาน-เรียน 196 คน รวมถึงเพื่อนจากหนานไคและเทียนจิน[40]
ประสบการณ์ของโจวหลังสี่พฤษภาคมดูเหมือนจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาชีพคอมมิวนิสต์ของเขา[โปรดขยายความ] เพื่อน ๆ ของโจวในสมาคมตื่นรู้ก็ได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน สมาชิก 15 คนของกลุ่มนี้ได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง และกลุ่มยังคงสนิทสนมกันในเวลาต่อมา โจวและสมาชิกกลุ่มอีกหกคนเดินทางไปยุโรปในช่วงสองปีถัดมา และในที่สุดโจวก็ได้แต่งงานกับเติ้ง หยิ่งเชา สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของกลุ่ม
ยุโรป
[แก้]
กลุ่มของโจวเดินทางถึงมาร์แซย์ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1920 โจวไม่เหมือนนักเรียนจีนคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่มายุโรปในโครงการทำงาน-เรียน เนื่องจากเขาได้รับทุนการศึกษาและมีตำแหน่งกับ Yishi bao ทำให้เขาได้รับการดูแลอย่างดีและไม่จำเป็นต้องทำงานใด ๆ ตลอดเวลาที่พำนักอยู่ ด้วยสถานะทางการเงินนี้ เขาจึงสามารถอุทิศเวลาทั้งหมดให้กิจกรรมการปฏิวัติได้[40] ในจดหมายที่เขียนถึงลูกพี่ลูกน้องเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1921 โจวกล่าวว่าเป้าหมายของเขาในยุโรปคือการสำรวจสภาพสังคมในต่างประเทศและวิธีการแก้ปัญหาสังคมของพวกเขา เพื่อนำบทเรียนดังกล่าวมาปรับใช้ในประเทศจีนหลังจากเขากลับมา ในจดหมายฉบับเดียวกัน โจวบอกกับลูกพี่ลูกน้องว่าเกี่ยวกับการเลือกอุดมการณ์ที่เจาะจงนั้น "ฉันยังต้องตัดสินใจ"[41]
ขณะอยู่ในยุโรป โจวซึ่งมีอีกชื่อว่าจอห์น ไนต์ (John Knight) ได้ศึกษาแนวทางที่แตกต่างกันในการแก้ไขความแตกแยกระหว่างชนชั้นที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปนำมาใช้ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1921 ที่ลอนดอน โจวเห็นการหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ของคนงานเหมืองและเขียนบทความหลายชุดลงใน Yishi bao (โดยทั่วไปแล้วมีความเห็นใจต่อคนงานเหมือง) เพื่อตรวจสอบความขัดแย้งระหว่างคนงานกับนายจ้าง และแนวทางการแก้ไขความขัดแย้งนั้น หลังอยู่ในลอนดอนเป็นเวลาห้าสัปดาห์ เขาก็ย้ายไปปารีส ซึ่งมีความสนใจอย่างมากต่อการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 ของรัสเซีย ในจดหมายถึงลูกพี่ลูกน้อง โจวระบุถึงแนวทางการปฏิรูปสำหรับประเทศจีนไว้สองแนวทางหลัก: "การปฏิรูปอย่างค่อยเป็นค่อยไป" (เช่นในอังกฤษ) หรือ "วิธีการรุนแรง" (เช่นในรัสเซีย) โจวเขียนว่า "ฉันไม่นิยมชมชอบแนวทางของรัสเซียหรืออังกฤษเป็นพิเศษ... ฉันอยากได้อะไรที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองขั้วสุดโต่งนี้มากกว่า"[41]
โจวยังคงสนใจในหลักสูตรวิชาการ โดยเดินทางไปอังกฤษในเดือนมกราคม ค.ศ. 1921 เพื่อเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยเอดินบะระ แต่ด้วยปัญหาทางการเงินและข้อกำหนดด้านภาษา เขาจึงไม่ได้ลงทะเบียนเรียน และกลับไปฝรั่งเศสในปลายเดือนมกราคม ไม่มีบันทึกว่าโจวได้เข้าเรียนในหลักสูตรวิชาการใด ๆ ในฝรั่งเศส ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1921 เขาได้เข้าร่วมกลุ่มคอมมิวนิสต์จีน[หมายเหตุ 4] โจวได้รับการชักชวนจากจาง เชินฝู่ ซึ่งเขาเคยพบเมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อนหน้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลี่ ต้าเจาและเขายังรู้จักจางผ่านทางหลิว ชิงหยาง ภรรยาของจาง สมาชิกของสมาคมตื่นรู้ บางครั้งโจวในช่วงเวลานี้ถูกพรรณนาว่ายังไม่แน่ใจในแนวคิดทางการเมืองของตน[42] แต่การเข้าร่วมเป็นคอมมิวนิสต์อย่างรวดเร็วของเขาบ่งบอกเป็นอย่างอื่น[หมายเหตุ 5]
กลุ่มที่โจวเข้าร่วมมีฐานอยู่ในปารีส[43] นอกเหนือจากโจว, จาง และหลิวแล้ว ยังมีนักเรียนอีกสองคน จ้าว ชื่อเหยียนและเฉิน กงเผย์ ในอีกหลายเดือนต่อมา กลุ่มนี้ได้รวมตัวเป็นองค์กรเดียวกันกับกลุ่มหัวรุนแรงชาวจีนจากหูหนานที่อาศัยอยู่ในมงตาร์กิสทางตอนใต้ของปารีส กลุ่มนี้รวมถึงบุคคลสำคัญที่จะมีชื่อเสียงในภายหลัง เช่น ไช่ เหอเซิน, หลี่ ลี่ซาน, เฉิน อี้, เนี่ย หรงเจิน, เติ้ง เสี่ยวผิง และกัว หลงเจิ้น สมาชิกสมาคมตื่นรู้ นักเรียนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้เป็นผู้เข้าร่วมโครงการทำงาน-เรียน ซึ่งต่างจากโจว ความขัดแย้งหลายครั้งกับผู้บริหารชาวจีนของโครงการเกี่ยวกับการจ่ายค่าแรงต่ำและสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ ทำให้นักเรียนกว่าร้อยคนเข้ายึดสำนักงานของโครงการที่สถาบันจีน-ฝรั่งเศสในลียงในเดือนกันยายน ค.ศ. 1921 นักเรียนเหล่านี้ รวมถึงหลายคนจากกลุ่มมงตาร์กิส ถูกจับกุมและเนรเทศ เห็นได้ชัดว่าโจวไม่ได้เป็นหนึ่งในนักเรียนที่เข้ายึดสำนักงานและยังคงอยู่ในฝรั่งเศสจนถึงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ค.ศ. 1922 เมื่อเขาย้ายพร้อมกับจางและหลิวจากปารีสไปเบอร์ลิน การย้ายไปเบอร์ลินของโจวอาจเป็นเพราะบรรยากาศทางการเมืองที่ "ผ่อนปรน" มากกว่าในเบอร์ลินทำให้ที่นั่นเหมาะสมกว่าในการเป็นฐานสำหรับการตั้งองค์กรทั่วยุโรป[44] นอกจากนี้ สำนักเลขาธิการยุโรปตะวันตกของโคมินเทิร์นก็ตั้งอยู่ในเบอร์ลินและชัดเจนว่าโจวมีความเชื่อมโยงที่สำคัญกับโคมินเทิร์น แม้ลักษณะของความเชื่อมโยงเหล่านี้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[45] หลังจากย้ายฐานปฏิบัติการไปเยอรมนี โจวเดินทางไปมาระหว่างปารีสกับเบอร์ลินเป็นประจำ
โจวเข้าร่วมในขบวนการขยันทำงานประหยัดเรียน (Diligent Work-Frugal Study Movement)[46]: 37
โจวเดินทางกลับปารีสภายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1922 ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วม 22 คนที่ร่วมกันจัดตั้งพรรคเยาวชนคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งก่อตั้งขึ้นเป็นสาขายุโรปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[หมายเหตุ 6] โจวช่วยร่างกฎบัตรของพรรคและได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการบริหารสามคนในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ[47] เขายังเขียนบทความและช่วยแก้ไขนิตยสารของพรรค เช่าเหนียน (เยาวชน) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อกวง (แสงแดง) ในการดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารของนิตยสารนี้ โจวได้พบกับเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นครั้งแรก ซึ่งขณะนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดปี และโจวได้จ้างเติ้งมาดูแลเครื่องอัดสำเนา[48] พรรคมีการจัดระเบียบใหม่และเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง แต่โจวยังคงเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ในยุโรป กิจกรรมสำคัญอื่น ๆ ที่โจวทำได้แก่การสรรหาและขนส่งนักเรียนสำหรับมหาวิทยาลัยผู้ใช้แรงงานตะวันออกในมอสโกและการตั้งสาขายุโรปของพรรคชาตินิยมจีน (ก๊กมินตั๋ง)
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1923 ที่ประชุมสภาครั้งที่สามของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยอมรับคำสั่งของคอมมิวนิสต์สากลให้เป็นพันธมิตรกับก๊กมินตั๋ง นำโดยซุน ยัตเซ็น ในขณะนั้น คำสั่งเหล่านี้เรียกร้องให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เข้าร่วมพรรคชาตินิยมในฐานะ "ปัจเจกบุคคล" ขณะที่ยังคงรักษาสมาชิกภาพพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ หลังจากเข้าร่วมก๊กมินตั๋งแล้ว พวกเขาจะทำงานเพื่อเป็นผู้นำและชี้นำพรรค โดยเปลี่ยนให้เป็นเครื่องมือของการปฏิวัติ ภายในไม่กี่ปี กลยุทธ์นี้จะกลายเป็นแหล่งที่มาของความขัดแย้งร้ายแรงระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์[49]
นอกเหนือจากการเข้าร่วมก๊กมินตั๋งแล้ว โจวยังช่วยจัดตั้งการตั้งสาขายุโรปของพรรคชาตินิยมในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1923 ภายใต้อิทธิพลของโจว เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของสาขายุโรปเป็นคอมมิวนิสต์ ความสัมพันธ์ที่กว้างขวางและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่โจวสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาชีพของเขา ผู้นำพรรคคนสำคัญ เช่น จู เต๋อและเนี่ย หรงเจิน ได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกพรรคโดยโจวเป็นคนแรก
ภายใน ค.ศ. 1924 พันธมิตรโซเวียต–ชาตินิยมกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและโจวได้รับคำสั่งให้กลับประเทศจีนเพื่อทำงานต่อไป เขาเดินทางออกจากยุโรปน่าจะเป็นช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1924[หมายเหตุ 7] โดยกลับสู่จีนในฐานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาวุโสที่สุดคนหนึ่งในยุโรป
งานการเมืองและการทหารในหวงผู่
[แก้]การก่อตั้งในกว่างโจว
[แก้]
โจวเดินทางกลับถึงประเทศจีนในช่วงปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 1924 เพื่อเข้าร่วมฝ่ายการเมืองของโรงเรียนการทหารหวงผู่ อาจเป็นผลมาจากอิทธิพลของจาง เชินฝู่ ซึ่งเคยทำงานที่นั่นมาก่อน[50] โจวเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของหวงผู่[51]: 55 ขณะที่เขาประจำการอยู่ที่หวงผู่ โจวยังได้รับตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กวางตุ้ง-กวางซี และทำหน้าที่เป็นตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยมียศเป็นพลตรี[52]
เกาะหวงผู่ ซึ่งอยู่ห่างจากกว่างโจวลงไปตามแม่น้ำสิบไมล์ เป็นหัวใจสำคัญของพันธมิตรระหว่างโซเวียต–พรรคชาตินิยม โรงเรียนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมของกองทัพพรรคชาตินิยม เพื่อใช้เป็นฐานทัพในการเปิดฉากการรณรงค์เพื่อรวมประเทศจีน ซึ่งในขณะนั้นถูกแบ่งออกเป็นขุนศึกศักดินาหลายสิบแห่ง โรงเรียนแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน อาวุธ และบุคลากรบางส่วนจากโซเวียตมาตั้งแต่ต้น[53]
ฝ่ายการเมืองที่โจวทำงานนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการปลูกฝังอุดมการณ์และการควบคุมทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ โจวเป็นบุคคลสำคัญในการประชุมส่วนใหญ่ของโรงเรียน โดยมักจะกล่าวปราศรัยทันทีหลังผู้บัญชาการเจียง ไคเชก เขาเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างยิ่งในการตั้งระบบฝ่ายการเมือง/ตัวแทนพรรค (คอมมิสซาร์) ซึ่งถูกนำไปใช้ในกองทัพของพรรคชาตินิยมใน ค.ศ. 1925[54]
นอกเหนือจากการได้รับแต่งตั้งที่หวงผู่แล้ว โจวยังเป็นเลขาธิการคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์ และเป็นสมาชิกภาคกิจการทหารของคณะกรรมการมณฑล[หมายเหตุ 8] โจวขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ในโรงเรียนอย่างแข็งขัน เขารีบจัดการให้สมาชิกคอมมิวนิสต์คนสำคัญอีกหลายคนเข้าร่วมฝ่ายการเมือง รวมถึง เฉิน อี้, เนี่ย หรงเจิน, ยฺหวิน ไต้อิง และสฺยง สฺยง[55] โจวมีบทบาทสำคัญในการตั้งสมาคมทหารหนุ่ม กลุ่มเยาวชนที่คอมมิวนิสต์ครองอำนาจ และ "ประกายไฟ" กลุ่มแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่มีอายุสั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถสรรหาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์รายใหม่จำนวนมากจากหมู่นักเรียนนายร้อย และในที่สุดได้ตั้งสาขาพรรคคอมมิวนิสต์อย่างลับ ๆ ในโรงเรียนเพื่อสั่งการสมาชิกใหม่[56] เมื่อชาตินิยมกังวลเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกและองค์กรคอมมิวนิสต์ที่เพิ่มขึ้นในหวงผู่ จึงได้ตั้ง "สมาคมลัทธิซุน ยัตเซ็น" ขึ้น โจวพยายามยุติกลุ่มดังกล่าว ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มนักเรียนเหล่านี้กลายเป็นฉากหลังสำหรับการถอดถอนโจวออกจากโรงเรียนในที่สุด[57]
กิจกรรมทางทหาร
[แก้]
โจวเข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารสองครั้งที่ดำเนินการโดยระบอบชาตินิยมใน ค.ศ. 1925 ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อการกรีธาทัพตะวันออกครั้งที่หนึ่งและสอง ครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1925 เมื่อเฉิน จย่งหมิง ผู้นำทหารคนสำคัญของกวางตุ้งซึ่งเคยถูกซุน ยัตเซ็นขับไล่ออกจากกว่างโจว พยายามยึดกว่างโจวคืน การรณรงค์ของระบอบชาตินิยมต่อต้านเฉินประกอบด้วยกองกำลังจากกองทัพกวางตุ้งภายใต้สฺวี ฉงจื้อ และสองกรมทหารฝึกหัดของกองทัพพรรคชาตินิยม นำโดยเจียง ไคเชกและมีเจ้าหน้าที่และนักเรียนนายร้อยจากโรงเรียนการทหารหวงผู่ประจำอยู่[58][หมายเหตุ 9] การสู้รบดำเนินไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1925 โดยกองกำลังของเฉินพ่ายแพ้แต่ไม่ถูกทำลาย[59] โจวติดตามนักเรียนนายร้อยหวงผู่ไปในภารกิจนี้ในฐานะเจ้าหน้าที่การเมือง
เมื่อเฉินรวมกำลังและโจมตีกว่างโจวอีกครั้งในเดือนกันยายน ค.ศ. 1925 ชาตินิยมจึงเปิดฉากการกรีธาทัพครั้งที่สอง ในเวลานี้ กองกำลังชาตินิยมได้รับการจัดระเบียบใหม่เป็นห้ากองทัพน้อย (หรือกองทัพ) และนำระบบกรรมาธิการการเมือง (commissar) มาใช้ โดยมีฝ่ายการเมืองและตัวแทนพรรคชาตินิยมในกองพลส่วนใหญ่ กองทัพน้อยที่หนึ่ง ประกอบด้วยกองทัพพรรคชาตินิยม นำโดยผู้สำเร็จการศึกษาจากหวงผู่ และบัญชาการโดยเจียง ไคเชก ซึ่งแต่งตั้งโจวเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของกองทัพน้อยที่หนึ่งด้วยตนเอง[60] หลังจากนั้นไม่นาน คณะกรรมการบริหารกลางของพรรคชาตินิยมได้แต่งตั้งโจวเป็นตัวแทนพรรคชาตินิยม ทำให้โจวเป็นหัวหน้ากรรมาธิการของกองทัพน้อยที่หนึ่ง[61] การสู้รบครั้งสำคัญครั้งแรกของการกรีธาทัพนี้คือการยึดฐานที่มั่นของเฉินที่ฮุ่ยโจวเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซัวเถาถูกยึดได้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน และภายในสิ้น ค.ศ. 1925 ชาตินิยมก็ได้ควบคุมมณฑลกวางตุ้งทั้งหมด
การที่โจวได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้ากรรมาธิการของกองทัพน้อยที่หนึ่งทำให้เขาสามารถแต่งตั้งสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ให้เป็นกรรมาธิการในสี่จากห้ากองพลของกองทัพน้อย[62] หลังการกรีธาทัพสิ้นสุดลง โจวได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงพิเศษประจำเขตแม่น้ำตะวันออก ซึ่งทำให้เขามีอำนาจบริหารเป็นการชั่วคราวเหนือหลายอำเภอ เห็นได้ชัดว่าเขาใช้โอกาสนี้ในการตั้งสาขาพรรคคอมมิวนิสต์ในซัวเถาและเสริมสร้างการควบคุมของคอมมิวนิสต์จีนต่อสหภาพท้องถิ่น[63] นี่เป็นจุดสูงสุดในช่วงเวลาที่โจวทำงานที่โรงเรียนการทหารหวงผู่
กิจกรรมการเมือง
[แก้]ในแง่ส่วนตัว ค.ศ. 1925 ก็เป็นปีที่สำคัญสำหรับโจวเช่นกัน โจวได้ติดต่อกับเติ้ง หยิ่งเชา ผู้ที่เขาเคยพบในสมาคมตื่นรู้ขณะอยู่ที่เทียนจิน และในเดือนมกราคม ค.ศ. 1925 โจวได้ขอและได้รับอนุญาตจากทางการพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้แต่งงานกับเติ้ง ทั้งสองแต่งงานกันที่กว่างโจวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1925[64]
งานของโจวที่หวงผู่ก็สิ้นสุดลงด้วยอุบัติการณ์เรือรบจงชานในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1926 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เรือปืนที่มีลูกเรือส่วนใหญ่เป็นคอมมิวนิสต์แล่นจากหวงผู่ไปยังกวางโจวโดยที่เจียงไม่รู้หรือไม่อนุญาต เหตุการณ์นี้ทำให้เจียงสั่งขับไล่คอมมิวนิสต์ออกจากโรงเรียนภายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1926 และปลดคอมมิวนิสต์จำนวนมากออกจากตำแหน่งสูงในก๊กมินตั๋ง ในบันทึกความทรงจำของเนี่ย หรงเจินระบุว่าเรือปืนได้เคลื่อนที่เพื่อประท้วงการจับกุมโจว เอินไหล (ในช่วงสั้น ๆ)[56]
ช่วงเวลาที่โจวอยู่ที่หวงผู่ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของเขา งานบุกเบิกในฐานะเจ้าหน้าที่การเมืองในกองทัพทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ในพื้นที่หลักนี้ อาชีพของเขาส่วนใหญ่ในภายหลังเน้นไปที่กิจการทหาร งานของโจวในภาคการทหารของคณะกรรมการภูมิภาคกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นตัวอย่างของกิจกรรมลับของเขาในช่วงเวลานั้น ภาคนี้เป็นกลุ่มลับที่ประกอบด้วยสมาชิกสามคนของคณะกรรมการกลางมณฑล โดยมีหน้าที่แรกคือการตั้งและกำกับดูแลกลุ่มแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกองทัพ กลุ่มแกนนำเหล่านี้ ซึ่งตั้งขึ้นในระดับกรมทหารขึ้นไป ถือเป็น "สิ่งผิดกฎหมาย" หมายความว่าถูกก่อตั้งขึ้นโดยที่ชาตินิยมไม่รับรู้หรือไม่อนุญาต ภาคนี้ยังมีหน้าที่รับผิดชอบการตั้งกลุ่มแกนนำที่คล้ายกันในกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ รวมถึงสมาคมลับและหน่วยงานสำคัญ เช่น ทางรถไฟและทางน้ำ โจวทำงานอย่างกว้างขวางในพื้นที่เหล่านี้จนกระทั่งเกิดการแยกตัวขั้นเด็ดขาดระหว่างชาตินิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ และการสิ้นสุดของความเป็นพันธมิตรระหว่างโซเวียต–ชาตินิยมใน ค.ศ. 1927[65]
ความแตกแยกระหว่างชาตินิยม–คอมมิวนิสต์
[แก้]ขอบเขตความร่วมมือ
[แก้]กิจกรรมของโจวหลังถูกปลดจากตำแหน่งที่หวงผู่ทันทีนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด นักเขียนชีวประวัติก่อนหน้านี้อ้างว่าเจียง ไคเชกมอบหมายให้โจวรับผิดชอบ "ศูนย์ฝึกอบรมขั้นสูงสำหรับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกรรมาธิการที่ถอนตัวออกจากกองทัพ"[66] แหล่งข้อมูลคอมมิวนิสต์จีนในยุคหลังอ้างว่าในช่วงเวลานี้โจวมีบทบาทสำคัญในการรักษาอำนาจควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์เหนือกรมทหารอิสระของเย่ ถิง กรมทหารและเย่ ถิงต่อมาได้มีบทบาทนำในปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ครั้งแรกของคอมมิวนิสต์ การก่อการกำเริบหนานชาง[56]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1926 ชาตินิยมได้เริ่มการกรีธาทัพขึ้นเหนือ ความพยายามทางทหารครั้งใหญ่เพื่อรวมชาติจีน การกรีธาทัพนี้นำโดยเจียง ไคเชกและกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ (NRA) ซึ่งเป็นการรวมกันของกองกำลังทางทหารก่อนหน้านี้โดยได้รับคำแนะนำสำคัญจากที่ปรึกษาทางทหารชาวรัสเซียและมีคอมมิวนิสต์จำนวนมากทำหน้าที่เป็นทั้งผู้บัญชาการและเจ้าหน้าที่การเมือง ด้วยความสำเร็จในช่วงแรกของการกรีธาทัพ จึงเกิดการแข่งขันขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างเจียง ไคเชก ผู้นำ "ปีกขวา" ของพรรคชาตินิยม และพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งดำเนินงานอยู่ภายใน "ปีกซ้าย" ของชาตินิยม เพื่อควบคุมเมืองสำคัญทางใต้ เช่น หนานจิงและเซี่ยงไฮ้ ณ จุดนี้ พื้นที่ส่วนที่เป็นของจีนในเซี่ยงไฮ้อยู่ภายใต้การควบคุมของซุน ฉวนฟาง หนึ่งในขุนศึกที่ถูกหมายหัวโดยการกรีธาทัพ ซุนถูกเบี่ยงความสนใจจากการสู้รบกับกองทัพปฏิวัติแห่งชาติและการแปรพักตร์จากกองทัพของเขา ทำให้เขาลดกำลังทหารในเซี่ยงไฮ้ลง และคอมมิวนิสต์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่พรรคตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ จึงได้พยายามเข้ายึดเมืองถึงสามครั้ง ต่อมาเรียกว่า "การก่อการกำเริบเซี่ยงไฮ้สามครั้ง" ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1926, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1927 และมีนาคม ค.ศ. 1927
กิจกรรมในเซี่ยงไฮ้
[แก้]
โจวถูกย้ายไปเซี่ยงไฮ้เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมเหล่านี้ น่าจะอยู่ในช่วงปลาย ค.ศ. 1926 ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เข้าร่วมในการก่อการกำเริบครั้งแรกเมื่อวันที่ 23–24 ตุลาคม[67] แต่แน่นอนว่าเขาอยู่ในเซี่ยงไฮ้แล้วภายในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1926 บันทึกในช่วงแรกระบุว่าโจวมีส่วนร่วมในกิจกรรมการจัดตั้งแรงงานในเซี่ยงไฮ้หลังจากมาถึง หรือที่น่าเชื่อถือกว่าคือการทำงานเพื่อ "เสริมสร้างการให้ความรู้แก่คนงานด้านการเมืองในสหภาพแรงงานและลักลอบขนอาวุธให้แก่ผู้ประท้วง"[68] รายงานที่ว่าโจว "จัดตั้ง" หรือ "สั่งการ" การก่อการกำเริบครั้งที่สองและสามเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์และ 21 มีนาคมนั้นอาจกล่าวเกินจริงถึงบทบาทของเขา การตัดสินใจครั้งสำคัญในช่วงนี้ทำโดยเฉิน ตู๋ซิ่ว หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้และเลขาธิการพรรค พร้อมด้วยคณะกรรมการพิเศษของเจ้าหน้าที่พรรคแปดคนในการประสานงานการกระทำของคอมมิวนิสต์ คณะกรรมการยังปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับการตัดสินใจของตัวแทนโคมินเมิร์นในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งนำโดยกรีโกรี วอยตินสกี[69] เอกสารบางส่วนที่มีอยู่สำหรับช่วงเวลานี้แสดงให้เห็นว่าโจวเป็นผู้นำคณะกรรมาธิการทหารของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้[70] เขาเข้าร่วมในปฏิบัติการทั้งในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม แต่ไม่ใช่ผู้ชี้นำในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่ทำงานร่วมกับเอ. พี. แอปเปน ที่ปรึกษาทางทหารของโซเวียตประจำคณะกรรมการกลาง เพื่อฝึกอบรมหน่วยยามของสหภาพแรงงานใหญ่ องค์กรแรงงานที่คอมมิวนิสต์ควบคุมในเซี่ยงไฮ้ เขายังทำงานเพื่อทำให้กองกำลังของสหภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศ "ความน่าสะพรึงสีแดง" (Red Terror) หลังการก่อการกำเริบเดือนกุมภาพันธ์ที่ล้มเหลว การกระทำนี้ส่งผลให้มีการฆาตกรรมผู้ "ต่อต้านสหภาพ" ยี่สิบคน และการลักพาตัว ทำร้าย และข่มเหงบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่อต้านสหภาพ[71]
การก่อการกำเริบของคอมมิวนิสต์ครั้งที่สามในเซี่ยงไฮ้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 21 มีนาคม คนงานที่ก่อจลาจลประมาณ 600,000 คนตัดสายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์และยึดที่ทำการไปรษณีย์ สำนักงานตำรวจ และสถานีรถไฟของเมือง ซึ่งมักจะหลังจากการต่อสู้อย่างหนัก ในระหว่างการก่อการกำเริบครั้งนี้ ผู้ก่อการได้รับคำสั่งอย่างเคร่งครัดไม่ให้ทำร้ายชาวต่างชาติ ซึ่งพวกเขาก็ปฏิบัติตาม กองกำลังของซุน ฉวนฟางได้ถอนตัวออกไป และการก่อการกำเริบก็ประสบความสำเร็จ แม้จะมีกองกำลังติดอาวุธจำนวนน้อย กองทหารชาตินิยมชุดแรกเข้าสู่เมืองในวันรุ่งขึ้น[72]
ขณะที่คอมมิวนิสต์พยายามตั้งรัฐบาลเทศบาลในแบบโซเวียต ความขัดแย้งก็เริ่มขึ้นระหว่างชาตินิยมและคอมมิวนิสต์ และในวันที่ 12 เมษายน กองกำลังชาตินิยม รวมถึงสมาชิกแก๊งเขียว (Green Gang) และทหารภายใต้บังคับบัญชาของนายพลไป๋ ฉงซี ได้โจมตีคอมมิวนิสต์และเอาชนะพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว ในคืนก่อนการโจมตีของชาตินิยม หวัง โฉ่วหฺวา หัวหน้าคณะกรรมการแรงงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมการแรงงานใหญ่ ได้ตอบรับคำเชิญไปรับประทานอาหารค่ำจาก "ตู้หูใหญ่" (อันธพาลเซี่ยงไฮ้) และถูกรัดคอหลังจากที่เขามาถึง โจวเองก็เกือบถูกฆ่าในกับดักที่คล้ายกัน เมื่อเขาถูกจับกุมหลังไปถึงงานเลี้ยงอาหารค่ำที่สำนักงานใหญ่ของซี เลี่ย ผู้บัญชาการชาตินิยมของกองทัพที่ 26 ของเจียง แม้จะมีข่าวลือว่าเจียงตั้งค่าหัวโจวไว้สูง แต่เขาได้รับการปล่อยตัวอย่างรวดเร็วโดยกองกำลังของไป๋ ฉงซี เหตุผลสำหรับการปล่อยตัวโจวอย่างกะทันหันอาจเป็นเพราะโจวเป็นผู้อาวุโสที่สุดของคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้ในขณะนั้น ความพยายามของเจียงในการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้เป็นความลับยิ่งในเวลานั้น และการประหารชีวิตเขาอาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงความร่วมมือระหว่างคอมมิวนิสต์และชาตินิยม (ซึ่งในทางเทคนิคยังคงมีผลอยู่) ในที่สุดโจวก็ได้รับการปล่อยตัวหลังมีการแทรกแซงจากตัวแทนกองทัพที่ 26 จ้าว ชู ผู้ซึ่งสามารถโน้มน้าวผู้บังคับบัญชาของเขาได้ว่าการจับกุมโจวเป็นความผิดพลาด[73]
หนีจากเซี่ยงไฮ้
[แก้]เมื่อหนีออกจากเซี่ยงไฮ้ โจวได้เดินทางไปยังเมืองฮั่นโข่ว (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอู่ฮั่น) และเข้าร่วมในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 5 ที่นั่น ระหว่างวันที่ 27 เมษายนถึง 9 พฤษภาคม ในช่วงสิ้นสุดของการประชุม โจวได้รับเลือกเข้าสู่คณะกรรมการกลางพรรค และเป็นหัวหน้าฝ่ายทหารอีกครั้ง[74] หลังการปราบปรามคอมมิวนิสต์ของเจียง ไคเชก พรรคชาตินิยมได้แตกออกเป็นสองฝ่าย โดยมี "ปีกซ้าย" (นำโดยวาง จิงเว่ย์) ควบคุมรัฐบาลในฮั่นโข่ว และ "ปีกขวา" ของพรรค (นำโดยเจียง ไคเชก) ตั้งรัฐบาลคู่แข่งที่หนานจิง ตามคำสั่งของโคมินเทิร์น คอมมิวนิสต์ยังคงอยู่เป็น "กลุ่มภายใน" พรรคชาตินิยม โดยหวังว่าจะขยายอิทธิพลต่อไปผ่านชาตินิยม[75] ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1927 รัฐบาลปีกซ้ายของวางก็สลายตัวลง หลังถูกโจมตีโดยขุนศึกที่เป็นมิตรกับเจียง และกองทัพของเจียงก็เริ่มกวาดล้างคอมมิวนิสต์อย่างเป็นระบบในดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของหวัง[76] ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม โจวถูกบีบให้ซ่อนตัว[75]
ภายใต้แรงกดดันจากที่ปรึกษาโคมินเทิร์น และความเชื่อมั่นของพวกเขาเองว่า "กระแสการปฏิวัติครั้งใหญ่" มาถึงแล้ว คอมมิวนิสต์จึงตัดสินใจเริ่มชุดการก่อการกำเริบทางทหาร[77] ครั้งแรกคือการก่อการกำเริบหนานชาง โจวถูกส่งไปดูแลเหตุการณ์นี้ แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่มีบทบาทหลักคือถาน ผิงชานและหลี่ ลี่ซาน ขณะที่ผู้นำทางทหารหลักคือเย่ ถิงและเฮ่อ หลง ในแง่การทหาร การก่อการครั้งนี้เป็นความหายนะ โดยกำลังของคอมมิวนิสต์ถูกทำลายและกระจัดกระจาย[78]
โจวเองก็ติดเชื้อมาลาเรียระหว่างการรณรงค์และถูกเนี่ย หรงเจินกับเย่ ถิงแอบส่งไปรักษาตัวที่ฮ่องกง หลังถึงฮ่องกง โจวปลอมตัวเป็นพ่อค้าชื่อ "หลี่" และอยู่ในความดูแลของคอมมิวนิสต์ท้องถิ่น ในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งต่อมา โจวถูกตำหนิสำหรับความล้มเหลวของการรณรงค์หนานชางและถูกลดตำแหน่งชั่วคราวให้เป็นเพียงสมาชิกสำรองของกรมการเมือง[79]
กิจกรรมในสงครามกลางเมืองจีน
[แก้]การประชุมสภาพรรคครั้งที่หก
[แก้]หลังความล้มเหลวของการก่อการกำเริบหนานชาง โจวเดินทางออกจากจีนไปยังสหภาพโซเวียตเพื่อเข้าร่วมการประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่หกที่มอสโก ในช่วงเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม ค.ศ. 1928[80] การประชุมครั้งที่หกจำเป็นต้องจัดขึ้นที่มอสโกเพราะสถานการณ์ในจีนถูกมองว่าอันตราย การควบคุมของก๊กมินตั๋งเข้มงวดมากจนผู้แทนชาวจีนหลายคนที่เข้าร่วมประชุมครั้งที่หกต้องเดินทางโดยปลอมตัว โดยตัวโจวเองปลอมตัวเป็นนักสะสมของเก่า[81]
ในการประชุมครั้งที่หก โจวกล่าวสุนทรพจน์ยาวที่ยืนยันว่าสถานการณ์ในจีนไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิวัติในทันที และภารกิจหลักของพรรคคอมมิวนิสต์ควรเป็นการสร้างแรงผลักดันการปฏิวัติโดยการเอาชนะการสนับสนุนจากมวลชนในชนบทและการตั้งระบอบโซเวียตทางตอนใต้ของจีน คล้ายกับที่เหมา เจ๋อตงและจู เต๋อกำลังตั้งอยู่รอบเจียงซี ที่ประชุมโดยทั่วไปยอมรับว่าการประเมินของโจวมีความถูกต้อง เซี่ยง จงฟาได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรค แต่ไม่นานก็พบว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ดังนั้นโจวจึงกลายเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งที่ขณะนั้นโจวมีอายุเพียง 30 ปี[81]
ระหว่างการประชุมครั้งที่หก โจวได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการกรมองค์การของคณะกรรมการกลาง พันธมิตรของเขา หลี่ ลี่ซาน เข้ารับผิดชอบงานโฆษณาชวนเชื่อ โจวกลับมาถึงจีนในที่สุดใน ค.ศ. 1929 หลังอยู่ต่างประเทศนานกว่าหนึ่งปี ในการประชุมครั้งที่หกที่มอสโก โจวได้เผยตัวเลขที่ระบุว่าใน ค.ศ. 1928 มีสมาชิกสหภาพแรงงานที่ภักดีต่อคอมมิวนิสต์เหลือน้อยกว่า 32,000 คน และมีสมาชิกพรรคที่เป็นชนกรรมาชีพเพียงร้อยละสิบเท่านั้น และภายใน ค.ศ. 1929 สมาชิกพรรคที่เป็นชนกรรมาชีพลดลงเหลือเพียงร้อยละสาม[82]
ในช่วงต้น ค.ศ. 1930 โจวเริ่มไม่เห็นด้วยกับจังหวะเวลาของกลยุทธ์ของหลี่ ลี่ซานที่สนับสนุนชาวนาผู้มั่งคั่งและเน้นการรวมกำลังทหารเพื่อโจมตีศูนย์กลางเมือง โจวไม่ได้แตกหักกับแนวคิดเหล่านี้อย่างเปิดเผย และยังพยายามนำไปปฏิบัติในเวลาต่อมาใน ค.ศ. 1931 ที่เจียงซี[83] เมื่อปาเวล มิฟ ตัวแทนโซเวียต เดินทางมาถึงเซี่ยงไฮ้เพื่อนำโคมินเทิร์นในจีนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1930 มิฟได้วิจารณ์กลยุทธ์ของหลี่ว่าเป็น "การผจญภัยฝ่ายซ้าย" และวิจารณ์โจวที่ประนีประนอมกับหลี่ โจว "ยอมรับ" ความผิดพลาดในการประนีประนอมกับหลี่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1931 และเสนอลาออกจากกรมการเมือง แต่ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งขณะที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์อาวุโสคนอื่น ๆ รวมถึงหลี่ ลี่ซานและฉฺวี ชิวไป๋ถูกปลดออก ดังที่เหมาได้ตระหนักในภายหลัง มิฟเข้าใจว่าการรับใช้ของโจวในฐานะผู้นำพรรคนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และโจวจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจกับใครก็ตามที่กุมอำนาจอยู่[84]
งานใต้ดิน: การจัดตั้ง
[แก้]หลังกลับมาถึงเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1929 โจวก็เริ่มทำงานใต้ดิน โดยจัดตั้งและดูแลเครือข่ายของกลุ่มคอมมิวนิสต์อิสระ อันตรายที่สุดในการทำงานใต้ดินของโจวคือการถูกจับได้โดยตำรวจลับก๊กมินตั๋ง ซึ่งก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1928 โดยมีภารกิจเฉพาะคือการระบุตัวและกำจัดคอมมิวนิสต์ เพื่อเลี่ยงการถูกตรวจพบ โจวและภรรยาได้ย้ายที่พักอย่างน้อยเดือนละครั้งและใช้นามแฝงหลากหลาย โจวมักปลอมตัวเป็นนักธุรกิจ บางครั้งไว้เครา โจวระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะให้มีเพียงสองหรือสามคนเท่านั้นที่รู้ที่อยู่ของเขา เขายังปลอมแปลงสำนักงานพรรคในเมืองทั้งหมด และทำให้แน่ใจว่าสำนักงานพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะไม่ใช้ตึกเดียวกันในเมืองเดียวกัน และกำหนดให้สมาชิกพรรคทุกคนต้องใช้รหัสผ่านเพื่อระบุตัวตนระหว่างกัน โจวจำกัดการประชุมทั้งหมดให้อยู่ก่อน 7 โมงเช้าหรือหลัง 1 ทุ่ม เขาไม่เคยใช้บริการขนส่งสาธารณะและเลี่ยงการปรากฏตัวในที่สาธารณะ[85]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1928 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ตั้งหน่วยงานข่าวกรองของตนเองขึ้น (แผนก "บริการพิเศษคณะกรรมการกลาง" หรือ "จงยางเท่อเคอ" (จีน: 中央特科) มักเรียกโดยย่อว่า "เท่อเคอ") ซึ่งต่อมาโจวเป็นผู้ควบคุม ลูกน้องคนสำคัญของโจว ได้แก่ กู้ ชุ่นจาง ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมลับของจีนและต่อมาได้เป็นสมาชิกสำรองของกรมการเมือง และเซี่ยง จงฟา เท่อเคอมีส่วนปฏิบัติการสี่ส่วน: ส่วนหนึ่งสำหรับปกป้องและรักษาความปลอดภัยของสมาชิกพรรค อีกส่วนสำหรับรวบรวมข่าวกรอง ส่วนหนึ่งสำหรับการอำนวยความสะดวกการสื่อสารภายใน และส่วนหนึ่งเพื่อดำเนินการลอบสังหาร ทีมนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "หน่วยแดง" (红队)[86]
ความกังวลหลักของโจวในการบริหารงานเท่อเคอคือการสร้างเครือข่ายต่อต้านการจารกรรมที่มีประสิทธิภาพภายในตำรวจลับก๊กมินตั๋ง ในเวลาอันสั้น เฉิน เกิง หัวหน้าส่วนข่าวกรองของเท่อเคอ ประสบความสำเร็จในการวางเครือข่ายสายลับจำนวนมากไว้ภายในแผนกสืบสวนสอบสวนของกรมปฏิบัติการกลางในหนานจิง ซึ่งเป็นศูนย์กลางข่าวกรองของก๊กมินตั๋ง สายลับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสามคนที่โจวใช้แทรกซึมตำรวจลับก๊กมินตั๋งคือเฉียน จ้วงเฟย์, หลี่ เค่อหนง และหู ตี่ ซึ่งโจวกล่าวถึงว่าเป็น "สามเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่โดดเด่นที่สุดของพรรค" ในช่วงทศวรรษ 1930 สายลับที่ปลูกฝังไว้ในสำนักงานต่าง ๆ ของก๊กมินตั๋งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเวลาต่อมา โดยช่วยให้พรรคหนีรอดจากการทัพโอบล้อมของเจียงได้[87]
การตอบสนองของก๊กมินตั๋งต่อการทำงานข่าวกรองของโจว
[แก้]
ในปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1931 กู้ ชุ่นจาง หัวหน้าผู้ช่วยกิจการความมั่นคงของโจว ถูกจับโดยกองทัพก๊กมินตั๋งในอู่ฮั่น กู้เคยเป็นผู้นำการจัดตั้งแรงงานที่มีสายสัมพันธ์กับมาเฟียที่แข็งแกร่งและมีความภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนน้อย ภายใต้การขู่ว่าจะถูกทรมานอย่างหนัก กู้ได้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดแก่ตำรวจลับก๊กมินตั๋งเกี่ยวกับองค์กรใต้ดินของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอู่ฮั่น นำไปสู่การจับกุมและการประหารชีวิตผู้นำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกว่าสิบคนในเมืองนั้น กู้เสนอจะให้รายละเอียดกิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเซี่ยงไฮ้แก่ก๊กมินตั๋ง แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะให้ข้อมูลนี้โดยตรงกับเจียง ไคเช็กเท่านั้น[88]
เฉียน จ้วงเฟย์ สายลับของโจวคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในหนานจิง ได้ดักจับโทรเลขที่ร้องขอคำสั่งเพิ่มเติมจากหนานจิงว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และได้ทิ้งหน้าฉากของตนเพื่อเตือนโจวด้วยตนเองถึงการปราบปรามที่กำลังจะเกิดขึ้น สองวันก่อนที่กู้จะเดินทางมาถึงหนานจิงเพื่อพบกับเจียง ไคเช็ก ทำให้โจวมีเวลาอพยพสมาชิกพรรคและเปลี่ยนรหัสการสื่อสารทั้งหมดของเท่อเคอ ซึ่งเป็นที่รู้กันของกู้ หลังพบกับเจียง ไคเช็กอย่างสั้น ๆ ที่หนานจิง กู้ก็เดินทางถึงเซี่ยงไฮ้และช่วยตำรวจลับก๊กมินตั๋งบุกค้นสำนักงานและที่พักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จับกุมสมาชิกที่หนีไม่ทัน การประหารชีวิตอย่างรวบรัดของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดนับตั้งแต่การสังหารหมู่ที่เซี่ยงไฮ้ ค.ศ. 1927[89]
ปฏิกิริยาของโจวต่อการทรยศของกู้นั้นรุนแรง สมาชิกในครอบครัวของกู้กว่าสิบห้าคน บางคนทำงานให้กับเท่อเคอ ถูกสังหารโดยหน่วยแดงและฝังไว้ในพื้นที่ที่พักอาศัยที่เงียบสงบในเซี่ยงไฮ้ จากนั้นหน่วยแดงได้ลอบสังหารหวัง ปิง สมาชิกคนสำคัญของตำรวจลับก๊กมินตั๋งซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเดินทางไปทั่วเซี่ยงไฮ้ด้วยรถลากโดยไม่มีผู้คุ้มกัน สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนส่วนใหญ่ที่รอดชีวิตถูกย้ายไปยังฐานคอมมิวนิสต์ที่มณฑลเจียงซี เนื่องจากเจ้าหน้าที่อาวุโสส่วนใหญ่ถูกเปิดเผยโดยกู้ สายลับมือดีที่สุดส่วนใหญ่จึงถูกย้ายไปด้วย พาน ฮั่นเหนียน ผู้ช่วยอาวุโสที่สุดของโจวที่ยังไม่เป็นที่ต้องสงสัย ได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการเท่อเคอ[90]
คืนก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากเซี่ยงไฮ้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1931 เซี่ยง จงฟา หนึ่งในสายลับอาวุโสที่สุดของโจว ตัดสินใจใช้เวลาค้างคืนในโรงแรมกับภรรยาน้อย โดยไม่สนใจคำเตือนของโจวเกี่ยวกับอันตราย ในตอนเช้า สายข่าวก๊กมินตั๋งที่สะกดรอยตามเซี่ยงอยู่ได้สังเกตเห็นเขาขณะออกจากโรงแรม เซี่ยงถูกจับกุมทันทีและถูกคุมขังในเขตสัมปทานฝรั่งเศส โจวพยายามป้องกันการส่งตัวเซี่ยงไปยังจีนที่ควบคุมโดยก๊กมินตั๋ง โดยให้สายลับของเขาติดสินบนหัวหน้าตำรวจในเขตสัมปทานฝรั่งเศส แต่ทางการก๊กมินตั๋งยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อทางการของเขตสัมปทานฝรั่งเศส ทำให้หัวหน้าตำรวจไม่สามารถแทรกแซงได้ ความหวังของโจวที่ว่าเซี่ยงจะถูกย้ายไปหนานจิง ซึ่งจะทำให้เขามีโอกาสลักพาตัวเซี่ยง ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน ฝรั่งเศสยอมย้ายเซียงไปยังกองบัญชาการกองทหารรักษาการณ์เซี่ยงไฮ้ ภายใต้บังคับบัญชาของนายพลสฺยง ชื่อฮุย ซึ่งทรมานและสอบปากคำเซี่ยงอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อเจียง ไคเช็กมั่นใจว่าเซี่ยงได้ให้ข้อมูลทั้งหมดที่ผู้ทรมานขอแล้ว เขาก็สั่งให้ประหารชีวิตเซี่ยง[91]
ต่อมาโจว เอินไหลประสบความสำเร็จในการซื้อสำเนาบันทึกการสอบสวนของเซี่ยงอย่างลับ ๆ บันทึกแสดงให้เห็นว่าเซี่ยงเปิดเผยทุกสิ่งต่อทางการก๊กมินตั๋งก่อนถูกประหารชีวิต รวมถึงที่ตั้งของที่พักของโจวด้วย การจับกุมและประหารชีวิตระลอกใหม่เกิดขึ้นหลังการจับกุมเซี่ยง แต่โจวและภรรยาของเขาสามารถรอดพ้นจากการถูกจับได้เพราะพวกเขาละทิ้งห้องพักของตนในเช้าวันที่มีการจับกุมเซี่ยง หลังจากตั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองชุดใหม่ในเซี่ยงไฮ้แล้ว โจวและภรรยาของเขาก็ย้ายไปที่ฐานคอมมิวนิสต์ในเจียงซีในช่วงปลาย ค.ศ. 1931[91] เมื่อโจวออกจากเซี่ยงไฮ้ เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกตามล่าตัวมากที่สุดในประเทศจีน[92]
โซเวียตเจียงซี
[แก้]หลังความล้มเหลวของการก่อการกำเริบหนานชางและการก่อการกำเริบหน้าเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงใน ค.ศ. 1927 คอมมิวนิสต์เริ่มมุ่งเน้นไปที่การตั้งฐานปฏิบัติการในชนบททางตอนใต้ของจีนหลายแห่ง แม้กระทั่งก่อนจะย้ายไปเจียงซี โจวก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในฐานเหล่านี้แล้ว เหมาอ้างว่าจำเป็นต้องกำจัดพวกต่อต้านการปฏิวัติและพวกต่อต้านบอลเชวิคที่ปฏิบัติการอยู่ภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงริเริ่มการกวาดล้างทางอุดมการณ์ของประชากรภายในโซเวียตเจียงซี โจวอาจเป็นเพราะความสำเร็จในการแทรกซึมสายลับเข้าไปในระดับต่าง ๆ ของก๊กมินตั๋ง จึงเห็นด้วยว่าการรณรงค์เพื่อเปิดโปงการบ่อนทำลายเป็นสิ่งสมเหตุสมผล และได้ให้การสนับสนุนการรณรงค์ดังกล่าวในฐานะผู้นำโดยพฤตินัยของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[93]
ความพยายามของเหมาพัฒนาไปสู่การรณรงค์ที่ไร้ความปรานีซึ่งขับเคลื่อนด้วยความระแวงและไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เพียงสายลับก๊กมินตั๋งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงใครก็ตามที่มีแนวคิดทางอุดมการณ์ต่างจากเหมา ผู้ต้องสงสัยมักถูกทรมานจนกว่าจะสารภาพความผิดและกล่าวหาผู้อื่น ภรรยาและญาติที่สอบถามถึงผู้ที่ถูกทรมานก็จะถูกจับกุมและทรมานอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ความพยายามของเหมาในการกวาดล้างกองทัพแดงเพื่อกำจัดผู้ที่อาจต่อต้านเขานำไปสู่การที่เหมากล่าวหาเฉิน อี้ ผู้บัญชาการและกรรมาธิการการเมืองของภูมิภาคทหารเจียงซีว่าเป็นพวกต่อต้านการปฏิวัติ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อการประหัตประหารของเหมาที่รู้จักในชื่อ "อุบัติการณ์ฝูเถียน" ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1931 ในที่สุดเหมาก็ประสบความสำเร็จในการปราบกองทัพแดง ทำให้จำนวนลดลงจากสี่หมื่นเหลือไม่ถึงหนึ่งหมื่นนาย การรณรงค์นี้ดำเนินต่อไปตลอด ค.ศ. 1930 และ 1931 นักประวัติศาสตร์ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตรวมจากการข่มเหงของเหมาในพื้นที่ฐานทั้งหมดประมาณหนึ่งแสนคน[94]
การรณรงค์ทั้งหมดเกิดขึ้นขณะที่โจวยังคงอยู่ในเซี่ยงไฮ้ แม้เขาจะเคยสนับสนุนการกำจัดพวกต่อต้านการปฏิวัติ แต่โจวได้ระงับการรณรงค์อย่างแข็งขันเมื่อเขาเดินทางมาถึงเจียงซีในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931 โดยวิพากษ์วิจารณ์ "ความเกินเลย ความตื่นตระหนก และความมักง่าย" ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นปฏิบัติ หลังสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกต่อต้านบอลเชวิค และผู้ที่ข่มเหงพวกเขา โจวยื่นรายงานที่วิพากษ์วิจารณ์การรณรงค์ว่ามุ่งเน้นการข่มเหงพวกต่อต้านเหมาในฐานะพวกต่อต้านบอลเชวิคอย่างแคบเกินไป ทำให้ภัยคุกคามต่อพรรคดูเกินจริง และประณามการใช้การทรมานเป็นเทคนิคในการสอบสวน มติของโจวได้รับการอนุมัติและนำมาใช้ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1932 และการรณรงค์ก็ค่อย ๆ ลดลง[95]
โจวย้ายไปยังพื้นที่ฐานเจียงซีและปฏิวัติแนวทางที่เน้นการโฆษณาชวนเชื่อในการปฏิวัติโดยเรียกร้องให้มีการใช้กองกำลังติดอาวุธภายใต้การควบคุมของคอมมิวนิสต์เพื่อขยายฐานจริง แทนการใช้เพียงเพื่อควบคุมและป้องกัน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931 โจวแต่งตั้งเซี่ยง อิง เข้ามาแทนที่เหมา เจ๋อตง ในตำแหน่งเลขาธิการกองทัพหน้าที่หนึ่ง และให้ตนเองเป็นกรรมาธิการการเมืองของกองทัพแดงแทนเหมา หลิว ปั๋วเฉิง, หลิน เปียว และเผิง เต๋อหวยต่างวิพากษ์วิจารณ์ยุทธวิธีของเหมาในการประชุมหนิงตูในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1932[96][97]
หลังจากย้ายมาเจียงซี โจวพบกับเหมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1927 และเริ่มต้นความสัมพันธ์อันยาวนานกับเหมาในฐานะผู้บังคับบัญชาของเขา ในการประชุมหนิงตู เหมาถูกลดตำแหน่งให้เป็นเพียงบุคคลสำคัญในรัฐบาลโซเวียต โจวซึ่งเริ่มเห็นคุณค่าของยุทธศาสตร์ของเหมาภายหลังความล้มเหลวทางทหารหลายครั้งที่ดำเนินการโดยผู้นำพรรคคนอื่น ๆ ตั้งแต่ ค.ศ. 1927 ได้ปกป้องเหมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังขึ้นสู่อำนาจ เหมาได้ทำการกวาดล้างหรือลดตำแหน่งผู้ที่เคยต่อต้านเขาใน ค.ศ. 1932 แต่จดจำการปกป้องนโยบายของเขาของโจวได้[98]
การทัพโอบล้อมของเจียง
[แก้]ในช่วงต้น ค.ศ. 1933 ปั๋ว กู่เดินทางมาถึงพร้อมกับอ็อทโท เบราน์ ที่ปรึกษาโคมินเทิร์นชาวเยอรมัน และเข้าควบคุมกิจการของพรรค ในเวลานี้ โจวซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากเพื่อนร่วมงานในพรรคและกองทัพ ได้ทำการจัดระเบียบและวางมาตรฐานให้แก่กองทัพแดง ภายใต้การนำของโจว, ปั๋ว และเบราน์ กองทัพแดงได้เอาชนะการโจมตีสี่ครั้งจากกองทัพชาตินิยมของเจียง ไคเชก[99] โครงสร้างทางทหารที่นำไปสู่ชัยชนะของคอมมิวนิสต์ ได้แก่:
ผู้นำ การกำหนดหน่วย หลิน เปียว, เนี่ย หรงเจิน กองทัพน้อยที่ 1 เผิง เต๋อหวย, หยาง ช่างคุน กองทัพน้อยที่ 3 เซียว จิ้งกวง กองทัพน้อยที่ 7 เซียว เค่อ กองทัพน้อยที่ 8 หลัว ปิ่งฮุย กองทัพน้อยที่ 9 ฟาง จื้อหมิ่น กองทัพน้อยที่ 10
การทัพครั้งที่ห้าของเจียง ซึ่งเปิดฉากในเดือนกันยายน ค.ศ. 1933 เป็นเรื่องยากที่จะรับมือมากกว่าเดิมมาก การใช้ "ยุทธวิธีป้อมเล็ก" รูปแบบใหม่ของเจียงและจำนวนทหารที่มากกว่าทำให้กองทัพของเขาสามารถรุกคืบเข้าสู่ดินแดนคอมมิวนิสต์ได้อย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จในการยึดที่มั่นสำคัญหลายแห่ง ปั๋ว กู่และอ็อทโท เบราน์ใช้ยุทธวิธีแบบดั้งเดิมในการตอบโต้เจียง และโจว แม้จะมีความเห็นคัดค้านเป็นการส่วนตัว ก็ยังคงต้องเป็นผู้สั่งการตามยุทธวิธีเหล่านั้น ภายหลังความพ่ายแพ้ที่ตามมา เขาและผู้นำทางทหารคนอื่น ๆ ก็ถูกตำหนิ[100]
แม้แนวทางการทหารที่ระมัดระวังตัวของโจวในเวลาต่อมาจะไม่เป็นที่ไว้วางใจจากกลุ่มหัวรุนแรง แต่เขาก็ยังคงได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร โจวได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำส่วนใหญ่เป็นเพราะพรสวรรค์ด้านการจัดการ ความทุ่มเทในการทำงาน และเนื่องจากเขาไม่เคยแสดงความทะเยอทะยานที่ชัดเจนในการแสวงหาอำนาจสูงสุดภายในพรรค ภายในไม่กี่เดือน ยุทธวิธีแบบดั้งเดิมที่ดำเนินต่อไปของปั๋วและเบราน์นำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างร้ายแรงของกองทัพแดง และบีบให้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องพิจารณาทิ้งฐานของพวกเขาในมณฑลเจียงซี[101]
การเดินทัพทางไกล
[แก้]
หลังจากมีการประกาศการตัดสินใจละทิ้งฐานเจียงซี โจวได้รับมอบหมายให้ดูแลการจัดการและการกำกับดูแลด้านการขนส่งสำหรับการถอนทัพของคอมมิวนิสต์ โจววางแผนอย่างเป็นความลับที่สุดและรอจนถึงนาทีสุดท้ายเพื่อแจ้งแม้กระทั่งผู้นำระดับสูงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองกำลัง เป้าหมายของโจวคือการทะลวงวงล้อมของศัตรูให้มีผู้บาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก่อนที่กองกำลังของเจียง ไคเชกจะเข้ายึดครองฐานของคอมมิวนิสต์ทั้งหมด ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าใช้เกณฑ์ใดในการตัดสินใจว่าใครจะอยู่ใครจะไป แต่มีทหาร 16,000 นายและผู้บัญชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดของคอมมิวนิสต์บางคนในเวลานั้น (รวมถึงเซี่ยง อิง, เฉิน อี้, ถาน เจิ้นหลิน และฉฺวี ชิวไป๋) ถูกทิ้งไว้เพื่อตั้งกองหลังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของกองกำลังหลักของชาตินิยมไม่ให้สังเกตเห็นการถอนทัพโดยรวมของคอมมิวนิสต์[102]
การถอนทัพของทหารและพลเรือน 84,000 นายเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 1934 สายลับของโจวประสบความสำเร็จในการระบุจุดใหญ่ของแนวป้อมเล็กของเจียงที่ควบคุมโดยทหารภายใต้การนำของนายพลเฉิน จี้ถัง ขุนศึกกวางตุ้ง ซึ่งโจวระบุว่าน่าจะต้องการรักษาความแข็งแกร่งของกองทัพไว้มากกว่าการต่อสู้ โจวส่งพาน ฮั่นเนี่ยนไปเจรจาขอทางผ่านที่ปลอดภัยกับนายพลเฉิน ซึ่งต่อมาอนุญาตให้กองทัพแดงผ่านดินแดนที่เขาควบคุมได้โดยไม่มีการสู้รบ[103]
หลังผ่านป้อมเล็กสามในสี่แห่งที่จำเป็นในการหลบหนีวงล้อมของเจียง กองทัพแดงก็ถูกสกัดโดยกองทัพก๊กมินตั๋งประจำการ และได้รับความสูญเสียอย่างหนัก จากจำนวนคอมมิวนิสต์ 86,000 นายที่พยายามฝ่าวงล้อมออกจากเจียงซี มีเพียง 36,000 นายเท่านั้นที่หนีรอดมาได้สำเร็จ การสูญเสียครั้งนี้ทำให้ผู้นำคอมมิวนิสต์บางคน (โดยเฉพาะปั๋ว กู่ และอ็อทโท เบราน์) ขวัญเสีย แต่โจวยังคงสุขุมและรักษาตำแหน่งบัญชาการของตนไว้ได้[103]
ระหว่างการเดินทัพทางไกลครั้งต่อมาของคอมมิวนิสต์ มีความขัดแย้งระดับสูงมากมายเกี่ยวกับทิศทางที่คอมมิวนิสต์ควรไป และสาเหตุของความพ่ายแพ้ของกองทัพแดง ในช่วงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่ตามมา โจวให้การสนับสนุนเหมาอย่างสม่ำเสมอเพื่อต่อต้านผลประโยชน์ของปั๋ว กู่และอ็อทโท เบราน์ ต่อมาปั๋วและเบราน์ถูกตำหนิว่าเป็นสาเหตุของความพ่ายแพ้ของกองทัพแดง และในที่สุดก็ถูกถอดออกจากตำแหน่งผู้นำ[104] ในที่สุดคอมมิวนิสต์ก็ประสบความสำเร็จในการตั้งฐานขึ้นใหม่ทางตอนเหนือของมณฑลฉ่านซีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1935 โดยมีสมาชิกที่เหลืออยู่เพียง 8,000–9,000 คน[105]
ตำแหน่งของโจวในพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปลี่ยนแปลงหลายครั้งตลอดการเดินทัพทางไกล ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 โจวได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของพรรค และมีอิทธิพลเหนือกว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ของพรรค แม้จะแบ่งอำนาจกับปั๋วและเบราน์[106] ในช่วงหลายเดือนหลังการประชุมจุนอี้ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1935 ซึ่งมีการถอดปั๋วและเบราน์ออกจากตำแหน่งอาวุโส โจวส่วนใหญ่ยังคงรักษาตำแหน่งไว้ได้เนื่องจากเขาแสดงความเต็มใจรับผิดชอบ เนื่องจากยุทธวิธีของเขาในการเอาชนะการทัพโอบล้อมครั้งที่สี่ของเจียงได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จ และเนื่องจากเขาให้การสนับสนุนเหมา ซึ่งกำลังมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในพรรค หลังการประชุมจุนอี้ เหมากลายเป็นผู้ช่วยของโจว[107] หลังคอมมิวนิสต์ไปถึงฉ่านซีและเสร็จสิ้นการเดินทัพทางไกล เหมาก็เข้ารับตำแหน่งผู้นำหลักของพรรคแทนโจวอย่างเป็นทางการ ในขณะที่โจวรับตำแหน่งรองในฐานะรองประธาน เหมาและโจวจะดำรงตำแหน่งในพรรคจนกระทั่งเสียชีวิตใน ค.ศ. 1976[108]
โจวไม่ประสบความสำเร็จในการยับยั้งการแปรพักตร์อย่างเปิดเผยของจาง กั๋วเทา หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปยังก๊กมินตั๋ง จางเตรียมที่จะแปรพักตร์เนื่องจากมีความขัดแย้งกับเหมาเกี่ยวกับการดำเนินการตามนโยบายแนวร่วม และเนื่องจากเขาไม่พอใจกับรูปแบบการเป็นผู้นำแบบเผด็จการของเหมา โจวพร้อมด้วยความช่วยเหลือจากหวัง หมิง, ปั๋ว กู่และหลี่ เค่อหนง ได้สกัดกั้นจางหลังเขาเดินทางถึงอู่ฮั่น และเข้าสู่การเจรจาอย่างกว้างขวางตลอดเดือนเมษายน ค.ศ. 1938 เพื่อโน้มน้าวให้จางไม่แปรพักตร์ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดจางก็ปฏิเสธจะประนีประนอมและมอบตัวเองอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำรวจลับก๊กมินตั๋ง วันที่ 18 เมษายน คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ขับจางออกจากพรรค และจางเองก็ออกแถลงการณ์กล่าวหาพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าบ่อนทำลายความพยายามต่อต้านญี่ปุ่น เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่สำหรับความพยายามของโจวในการปรับปรุงเกียรติภูมิของพรรค[109]
อุบัติการณ์ซีอาน
[แก้]
ในช่วงการประชุมสภาครั้งที่เจ็ดโคมินเทิร์น ซึ่งจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1936 หวัง หมิงออกแถลงการณ์ต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ โดยระบุว่านโยบายเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ "ต่อต้านเจียง ไคเชกและต่อต้านญี่ปุ่น" จะถูกแทนด้วยนโยบาย "รวมกับเจียง ไคเชกเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น" โจวมีส่วนสำคัญในการดำเนินนโยบายนี้ โจวได้ติดต่อกับนายทหารระดับสูงคนหนึ่งของก๊กมินตั๋งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จาง เสฺวเหลียง ภายใน ค.ศ. 1935 จางเป็นที่รู้จักดีว่ามีความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่น และสงสัยในความตั้งใจของเจียงที่จะต่อต้านญี่ปุ่น ท่าทีของจางทำให้เขาได้รับอิทธิพลได้ง่ายจากท่าทีของโจวที่ระบุว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะร่วมมือกันต่อสู้กับญี่ปุ่น[110]
โจวตั้ง "คณะทำงานตะวันออกเฉียงเหนือ" เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับจาง คณะนี้ทำงานเพื่อโน้มน้าวให้กองทัพตะวันออกเฉียงเหนือของจางรวมกับกองทัพแดงเพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่นและยึดแมนจูเรียคืน คณะยังสร้างคำขวัญชาตินิยมใหม่ ๆ รวมถึง "คนจีนต้องไม่สู้กับคนจีน" เพื่อส่งเสริมเป้าหมายของโจว ด้วยการใช้เครือข่ายผู้ติดต่อลับ โจวจัดการให้มีการประชุมกับจางในเหยียนอาน ซึ่งในขณะนั้นถูกควบคุมโดย "กองทัพตะวันออกเฉียงเหนือ" ของจาง[111]
การประชุมครั้งแรกระหว่างโจวกับจางเกิดขึ้นภายในโบสถ์เมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1936 จางแสดงความสนใจอย่างยิ่งที่จะยุติสงครามกลางเมือง รวมประเทศ และต่อสู้กับญี่ปุ่น แต่เตือนว่าเจียงยังคงควบคุมรัฐบาลแห่งชาติไว้อย่างมั่นคง และเป้าหมายเหล่านี้จะทำได้ยากหากไม่ได้รับความร่วมมือจากเจียง ทั้งสองฝ่ายยุติการประชุมด้วยข้อตกลงหาทางทำงานร่วมกันอย่างลับ ๆ ในขณะที่โจวกำลังสร้างการติดต่อลับกับจาง เจียงก็เริ่มสงสัยในตัวจาง และไม่พอใจมากขึ้นกับความเฉื่อยชาของจางในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพื่อหลอกเจียง โจวและจางได้จัดกำลังทหารหลอกเพื่อสร้างภาพว่ากองทัพตะวันออกเฉียงเหนือและกองทัพแดงกำลังสู้รบกัน[111]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1936 เจียง ไคเชกบินไปยังกองบัญชาการชาตินิยมในซีอานเพื่อทดสอบความภักดีของกำลังทหารก๊กมินตั๋งในท้องถิ่นภายใต้จอมพลจาง เสฺวเหลียง และเพื่อนำกองกำลังเหล่านี้เข้าโจมตีครั้งสุดท้ายต่อฐานคอมมิวนิสต์ในมณฑลฉ่านซี ซึ่งจางได้รับคำสั่งให้ทำลาย จางซึ่งตั้งใจจะบีบให้เจียงหันไปนำกองกำลังจีนต่อต้านญี่ปุ่น (ซึ่งยึดครองดินแดนแมนจูเรียของจางและกำลังเตรียมการรุกรานที่กว้างขวางขึ้น) จึงได้บุกโจมตีกองบัญชาการของเจียงในวันที่ 12 ธันวาคมพร้อมผู้ติดตาม สังหารองครักษ์ส่วนใหญ่ และยึดตัวจอมทัพไว้ได้ในเหตุการณ์ที่ต่อมาเรียกว่าอุบัติการณ์ซีอาน[112]
ปฏิกิริยาต่อการลักพาตัวเจียงในเหยียนอานมีความแตกต่างกันไป บางคน เช่น เหมา เจ๋อตงและจู เต๋อ มองว่าเป็นโอกาสที่จะสังหารเจียง ส่วนคนอื่น ๆ เช่น โจว เอินไหลและจาง เหวินเทียน มองว่าเป็นโอกาสที่จะบรรลุนโยบายแนวร่วมเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างจุดยืนโดยรวมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[113] การถกเถียงภายในเหยียนอานสิ้นสุดลงเมื่อมีโทรเลขยาวจากโจเซฟ สตาลินมาถึง เรียกร้องให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำงานเพื่อให้มีการปล่อยตัวเจียง อธิบายว่าแนวร่วมเป็นจุดยืนที่ดีที่สุดในการต่อต้านญี่ปุ่น และมีเพียงเจียงเท่านั้นที่มีบารมีและอำนาจในการดำเนินแผนดังกล่าว[114]
หลังการติดต่อเบื้องต้นกับจางเกี่ยวกับชะตากรรมของเจียง โจวได้เดินทางถึงซีอานเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม โดยเครื่องบินที่จาง เสฺวเหลียงส่งมาให้เป็นพิเศษ ในฐานะหัวหน้าผู้เจรจาของคอมมิวนิสต์ ในตอนแรก เจียงคัดค้านการเจรจากับตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ก็ยอมถอนการคัดค้านเมื่อเห็นได้ชัดว่าชีวิตและอิสรภาพของเขาขึ้นอยู่กับความปรารถนาดีของคอมมิวนิสต์เป็นส่วนใหญ่ วันที่ 24 ธันวาคม เจียงได้พบกับโจว เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพบกันนับตั้งแต่โจวออกจากหวงผู่เมื่อสิบกว่าปีก่อน โจวเริ่มการสนทนาด้วยการกล่าวว่า "ในช่วงสิบปีที่เราไม่ได้พบกัน ท่านดูเหมือนจะอายุไม่มากนัก" เจียงพยักหน้าและกล่าวว่า: "เอินไหล เธอเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน เธอควรทำตามที่ฉันบอก" โจวตอบว่า หากเจียงยุติสงครามกลางเมืองและหันไปต่อต้านญี่ปุ่นแทน กองทัพแดงก็จะยอมรับคำสั่งของเจียงอย่างเต็มใจ ในตอนท้ายของการประชุม เจียงสัญญาสามข้อ คือ หยุดสงครามกลางเมือง ร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น และเชิญโจวไปหนานจิงเพื่อเจรจาเพิ่มเติม[113]
วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1936 จางปล่อยตัวเจียงและเดินทางไปกับเขาที่หนานจิง ต่อมา จางถูกศาลทหารตัดสินจำคุกและถูกกักบริเวณในบ้าน และนายทหารส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมในอุบัติการณ์ซีอานถูกประหารชีวิต แม้ก๊กมินตั๋งจะปฏิเสธการร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ แต่เจียงก็ยุติกิจกรรมทางทหารต่อฐานคอมมิวนิสต์ในเหยียนอานโดยปริยาย หมายความว่าเขาได้ให้คำมั่นที่จะเปลี่ยนทิศทางนโยบายของเขา หลังการโจมตีของก๊กมินตั๋งสิ้นสุดลง พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็สามารถรวมดินแดนของตนและเตรียมพร้อมต่อต้านญี่ปุ่นได้[115]
หลังมีข่าวว่าจางถูกทรยศและถูกเจียงจับกุม เหล่านายทหารเก่าของจางก็รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างมาก และบางส่วนได้สังหารนายพบชาตินิยมคนหนึ่ง หวัง อี้เจ๋อ ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้รับผิดชอบส่วนใหญ่ต่อการขาดการตอบสนองของกองทัพ ขณะที่โจวยังอยู่ในซีอาน เขาก็ถูกนายทหารของจางหลายคนล้อมในสำนักงานโดยกล่าวหาคอมมิวนิสต์ว่ายุยงให้เกิดอุบัติการณ์ซีอานและทรยศจางโดยการเกลี้ยกล่อมให้นายพลเดินทางไปหนานจิง พวกเขาขู่จะสังหารโจวด้วยปืน โจวซึ่งเป็นนักการทูตเสมอมา รักษาความสงบและกล่าวปกป้องจุดยืนของตนอย่างมีวาทศิลป์ ในที่สุด โจวก็สามารถทำให้เหล่านายทหารสงบลงได้ และพวกเขาก็จากไปโดยที่เขาไม่ได้รับอันตราย
ในการเจรจาหลายครั้งกับก๊กมินตั๋งที่ดำเนินไปจนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1937 (เมื่อเกิดเหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโล) โจวพยายามเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวจางแต่ไม่ประสบความสำเร็จ[116]
กิจกรรมในสงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]การโฆษณาชวนเชื่อและข่าวกรองในอู่ฮั่น
[แก้]เมื่อเมืองหลวงของรัฐบาลชาตินิยม หนานจิง พ่ายแพ้แก่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1937 โจวได้ติดตามรัฐบาลชาตินิยมไปยังเมืองหลวงชั่วคราว อู่ฮั่น ในฐานะตัวแทนหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในข้อตกลงความร่วมมือระหว่างก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ที่เรียกกันว่าความร่วมมือนี้ โจวได้ตั้งและเป็นผู้นำสำนักงานประสานงานอย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองฝ่าย ขณะที่ดำเนินงานสำนักงานประสานงานนี้ โจวได้ตั้งสำนักแยงซีของคณะกรรมการกลางพรรค ภายใต้การอำพรางที่เกี่ยวข้องกับกองทัพลู่ที่แปด โจวใช้สำนักแยงซีเพื่อดำเนินการปฏิบัติการลับภายในภาคใต้ของจีน ลอบสรรหาเจ้าหน้าที่คอมมิวนิสต์และตั้งโครงสร้างพรรคไปทั่วพื้นที่ที่ก๊กมินตั๋งควบคุม[117]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1937 พรรคคอมมิวนิสต์จีนออกคำสั่งลับแก่โจวว่างานแนวร่วมของเขาควรเน้นไปที่การแทรกซึมและการตั้งองค์กรคอมมิวนิสต์ในทุกระดับของรัฐบาลและสังคม โจวเห็นด้วยกับคำสั่งเหล่านี้ และใช้พรสวรรค์ด้านการจัดองค์กรที่โดดเด่นของเขาในการดำเนินการให้สำเร็จ หลังโจวมาถึงอู่ฮั่นไม่นาน เขาก็โน้มน้าวให้รัฐบาลชาตินิยมอนุมัติและให้ทุนสนับสนุนหนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ "นิวไชนาเดลี" โดยอ้างว่าเพื่อใช้เป็นเครื่องมือเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านญี่ปุ่น หนังสือพิมพ์ฉบับนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์ และต่อมาฝ่ายชาตินิยมมองว่าการอนุมัติและให้ทุนสนับสนุนนี้เป็นหนึ่งใน "ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุด" ของพวกเขา[118]
โจวประสบความสำเร็จในการจัดระเบียบปัญญาชนและศิลปินชาวจีนจำนวนมากเพื่อส่งเสริมการต่อต้านญี่ปุ่น งานโฆษณาชวนเชื่อที่ใหญ่ที่สุดที่โจวจัดขึ้นคืองานฉลองยาวนานหนึ่งสัปดาห์ใน ค.ศ. 1938 ภายหลังการป้องกันไถเอ๋อร์จวงได้สำเร็จ ในงานนี้ มีผู้เข้าร่วมเดินขบวนระหว่าง 400,000 ถึง 500,000 คน และมีคณะประสานเสียงกว่า 10,000 คนร้องเพลงต่อต้าน ความพยายามระดมทุนในสัปดาห์นั้นได้เงินกว่าหนึ่งล้านหยวน ตัวโจวเองบริจาค 240 หยวน ซึ่งเป็นเงินเดือนรายเดือนของเขาในฐานะรองผู้อำนวยการฝ่ายการเมือง[118]
ขณะทำงานในอู่ฮั่น โจวเป็นผู้ประสานงานหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับโลกภายนอก และทำงานอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของสาธารณชนที่มองคอมมิวนิสต์ว่าเป็น "องค์กรโจร" โจวสร้างและรักษาการติดต่อกับนักข่าวและนักเขียนต่างชาติมากกว่าสี่สิบคน รวมถึงเอ็ดการ์ สโนว์, แอกเนส สเมดลีย์, แอนนา หลุยส์ สตรอง และเรวี แอลลีย์ หลายคนเริ่มเห็นอกเห็นใจต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์และเขียนถึงความรู้สึกนี้ในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างประเทศเพื่อเป็นการสนับสนุนความพยายามของเขาในการส่งเสริมพรรคคอมมิวนิสต์จีนแก่โลกภายนอก โจวจัดการให้คณะแพทย์ชาวแคนาดา นำโดยนอร์แมน เบทูน เดินทางไปยังเหยียนอาน และช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ชาวดัตช์ โยริส อีเฟนส์ ในการผลิตสารคดี 400 Million People[119]
ยุทธศาสตร์ทางทหารในอู่ฮั่น
[แก้]ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 รัฐบาลชาตินิยมแต่งตั้งโจวเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของคณะกรรมการทหาร โดยทำงานภายใต้นายพลเฉิน เฉิงโดยตรง ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ที่มียศเป็นพลโท โจวเป็นคอมมิวนิสต์เพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงภายในรัฐบาลชาตินิยม โจวใช้บารมีของตนในคณะกรรมการทหารเพื่อส่งเสริมนายพลชาตินิยมที่เขาเชื่อว่ามีความสามารถ และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับกองทัพแดง[117]
ในการทัพไถเอ๋อร์จวง โจวใช้บารมีของตนเพื่อให้แน่ใจว่าหลี่ จงเหริน นายพลชาตินิยมที่มีความสามารถที่สุด จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการโดยรวม แม้เจียงจะมีความไม่แน่ใจในความภักดีของหลี่ก็ตาม เมื่อเจียงลังเลจะส่งกองทัพไปป้องกันไถเอ๋อร์จวง โจวได้โน้มน้าวเจียงให้ดำเนินการเช่นนั้นโดยให้คำมั่นว่ากองทัพลู่ที่แปดของคอมมิวนิสต์จะโจมตีญี่ปุ่นจากทางเหนือไปพร้อมกัน และกองทัพที่สี่ใหม่จะก่อวินาศกรรมทางรถไฟเทียนจิน–ผูโข่ว เพื่อตัดเสบียงของญี่ปุ่น ในที่สุดการป้องกันไถเอ๋อร์จวงก็กลายเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของกองทัพชาตินิยม โดยสังหารทหารญี่ปุ่นไป 20,000 นายและยึดเสบียงและยุทธภัณฑ์จำนวนมาก[117]
การรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
[แก้]
ขณะดำรงตำแหน่งทูตพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำก๊กมินตั๋ง โจวซึ่งไม่มีบุตรได้พบปะและผูกมิตรกับเด็กกำพร้าหลายคน ขณะอยู่ที่อู่ฮั่นใน ค.ศ. 1937 โจวได้รับเด็กหญิงคนหนึ่ง ซุน เหวย์ชื่อ มาเป็นบุตรบุญธรรม มารดาของซุนพาเธอมายังอู่ฮั่นหลังบิดาของซุนถูกก๊กมินตั๋งประหารชีวิตใน ค.ศ. 1927 ระหว่างความน่าสะพรึงสีขาว (White Terror) โจวพบซุนวัยสิบหกปีร้องไห้อยู่หน้าสำนักงานประสานงานกองทัพลู่ที่แปดเพราะเธอถูกปฏิเสธไม่ให้เดินทางไปเหยียนอาน ด้วยเหตุผลเรื่องอายุที่ยังน้อยและการขาดเส้นสายทางการเมือง หลังโจวผูกมิตรและรับเธอเป็นบุตรสาว ซุนก็สามารถเดินทางไปเหยียนอานได้ เธอได้ประกอบอาชีพด้านการแสดงและการกำกับ และต่อมาได้กลายเป็นผู้กำกับหญิงคนแรกของละครพูด (ฮฺว่าจู้) ในสาธารณรัฐประชาชนจีน[120]
โจวยังรับซุน หยาง น้องชายของซุน เหวย์ชื่อ มาเป็นบุตรบุญธรรมด้วย[121] หลังติดตามโจวไปเหยียนอาน ซุน หยางได้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของโจว ภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซุน หยางได้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเหรินหมิน[120]
ใน ค.ศ. 1938 โจวพบและผูกมิตรกับเด็กกำพร้าอีกคนหนึ่ง หลี่ เผิง หลี่อายุเพียงสามปีเมื่อบิดาของเขาถูกก๊กมินตั๋งสังหารใน ค.ศ. 1931 หลังจากนั้นโจวก็ดูแลเขาในเหยียนอาน หลังสงคราม โจวเตรียมความพร้อมให้หลี่อย่างเป็นระบบเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำและส่งเขาไปศึกษาด้านวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในมอสโก การที่โจวจัดให้หลี่อยู่ในหน่วยงานรัฐการด้านพลังงานที่มีอำนาจได้ช่วยปกป้องหลี่จากยุวชนแดงในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม และการที่หลี่ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในท้ายที่สุดจึงไม่ได้ทำให้ใครประหลาดใจ[122]
หนีไปฉงชิ่ง
[แก้]เมื่อกองทัพญี่ปุ่นรุกเข้าใกล้อู่ฮั่นในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1938 กองทัพชาตินิยมได้สู้รบกับญี่ปุ่นในบริเวณโดยรอบนานกว่าสี่เดือน เปิดโอกาสให้ก๊กมินตั๋งถอนทัพลึกเข้าไปในแผ่นดินจนถึงฉงชิ่ง พร้อมขนย้ายเสบียง ทรัพย์สินสำคัญ และผู้ลี้ภัยจำนวนมากไปด้วย ระหว่างทางไปฉงชิ่ง โจวเกือบเสียชีวิตในเหตุการณ์ "ไฟไหม้ฉางชา" ซึ่งกินเวลานานถึงสามวัน ทำลายเมืองไปสองในสาม คร่าชีวิตพลเรือนสองหมื่นคน และทำให้ประชาชนหลายแสนคนไร้ที่อยู่ ไฟไหม้ครั้งนี้ถูกจุดขึ้นโดยตั้งใจโดยกองทัพชาตินิยมที่กำลังล่าถอยเพื่อป้องกันไม่ให้เมืองตกไปอยู่ในมือของญี่ปุ่น ด้วยความผิดพลาดในการจัดการ (ตามที่อ้าง) จึงมีการจุดไฟโดยไม่ได้เตือนผู้อยู่อาศัยในเมือง[123]
หลังหนีรอดจากฉางชา โจวได้ลี้ภัยในวัดพุทธแห่งหนึ่งในหมู่บ้านใกล้เคียงและจัดระเบียบการอพยพออกจากเมือง โจวเรียกร้องให้ทางการสอบสวนสาเหตุของไฟไหม้อย่างละเอียด ลงโทษผู้รับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหายแก่เหยื่อ ทำความสะอาดเมืองอย่างทั่วถึง และจัดหาที่พักแก่ผู้ไร้ที่อยู่ ในท้ายที่สุด ชาตินิยมกล่าวโทษผู้บัญชาการท้องถิ่นสามคนว่าเป็นต้นเหตุของไฟไหม้และสั่งประหารชีวิตพวกเขา หนังสือพิมพ์ทั่วประเทศจีนกล่าวโทษพวกที่ตั้งใจวางเพลิง (ซึ่งไม่ใช่คนของก๊กมินตั๋ง) แต่เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็ส่งผลให้ก๊กมินตั๋งสูญเสียการสนับสนุนทั่วประเทศ[124]
กิจกรรมในฉงชิ่งตอนต้น
[แก้]โจวเดินทางถึงฉงชิ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1938 และดำเนินงานทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการที่เขาเคยทำในอู่ฮั่นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 ต่อไป กิจกรรมของโจวประกอบด้วยงานที่ต้องทำตามตำแหน่งอย่างเป็นทางการภายในรัฐบาลชาตินิยม การบริหารหนังสือพิมพ์ที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์สองฉบับ และความพยายามลับ ๆ ของเขาในการสร้างเครือข่ายข่าวกรองที่เชื่อถือได้และเพิ่มความนิยมและการตั้งองค์กรพรรคคอมมิวนิสต์จีนในจีนใต้ ในช่วงสูงสุด คณะทำงานที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาทั้งในบทบาททางการและลับมีจำนวนรวมหลายร้อยคน[125] หลังพบว่าโจว อี๋เหนิง ผู้เป็นบิดาไม่สามารถดูแลตนเองได้ โจวก็ได้ดูแลบิดาของเขาในฉงชิ่งจนกระทั่งบิดาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1942[126]
หลังมาถึงฉงชิ่งไม่นาน โจวก็ประสบความสำเร็จในการวิ่งเต้นรัฐบาลชาตินิยมให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่เป็นคอมมิวนิสต์ หลังได้รับการปล่อยตัว โจวมักจะมอบหมายให้บรรดาอดีตนักโทษเหล่านี้เป็นสายลับเพื่อตั้งและนำองค์กรพรรคไปทั่วจีนใต้ ความพยายามในกิจกรรมลับของโจวประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้จำนวนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วจีนใต้เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่าภายในเวลาไม่กี่เดือน เจียงตระหนักถึงกิจกรรมเหล่านี้อยู่บ้างและพยายามจะปราบปรามแต่โดยทั่วไปก็ไม่สำเร็จ[127]

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 ขณะอยู่ในเหยียนอานเพื่อเข้าร่วมการประชุมกรมการเมืองชุดหนึ่ง โจวประสบอุบัติเหตุตกม้าที่ทำให้กระดูกข้อศอกข้างขวาแตก เนื่องจากมีบริการทางการแพทย์น้อยมากในเหยียนอาน โจวจึงเดินทางไปมอสโกเพื่อรับการรักษา และใช้โอกาสนี้เพื่อรายงานต่อโคมินเทิร์นเกี่ยวกับสถานะของแนวร่วม โจวเดินทางถึงมอสโกช้าเกินไปกว่าจะรักษาอาการกระดูกแตกได้ ทำให้แขนขวาของเขายังคงงออยู่เช่นนั้นตลอดชีวิต โจเซฟ สตาลินไม่พอใจอย่างมากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนปฏิเสธจะทำงานร่วมกับชาตินิยมอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เขาจึงปฏิเสธจะพบโจวระหว่างที่เขาพำนักอยู่ที่นั่น[128] ซุน เหวย์ชื่อ บุตรบุญธรรมของโจว ได้เดินทางไปมอสโกกับโจวด้วย เธอพักอยู่ที่มอสโกหลังจากโจวเดินทางกลับเพื่อศึกษาต่อด้านการละคร[120]
งานข่าวกรองในฉงชิ่ง
[แก้]วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 กรมการเมืองยอมรับการประเมินของโจวที่ว่าเขาควรให้ความสำคัญกับความพยายามสร้างเครือข่ายสายลับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ทำงานอย่างลับ ๆ และเป็นเวลานาน คอมมิวนิสต์ได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง หากการทำเช่นนั้นจะเพิ่มความสามารถของสายลับในการแทรกซึมเข้าสู่หน่วยงานบริหาร การศึกษา เศรษฐกิจ และการทหารของก๊กมินตั๋ง ภายใต้การอำพรางเป็นสำนักงานกองทัพลู่ที่แปด (ซึ่งย้ายไปอาคารที่โอ่อ่าในเขตชานเมืองฉงชิ่ง) โจวได้นำมาตรการหลายอย่างมาใช้เพื่อขยายเครือข่ายข่าวกรองของพรรคคอมิวนิสต์จีน[129]
เมื่อโจวเดินทางกลับไปฉงชิ่งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 ความแตกแยกอย่างรุนแรงได้เกิดขึ้นระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วงปีถัดมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเสื่อมลงจนนำไปสู่การจับกุมและประหารชีวิตสมาชิกพรรค ความพยายามลับ ๆ ของสายลับทั้งสองฝ่ายที่จะกำจัดซึ่งกันและกัน ความพยายามในการโฆษณาชวนเชื่อโจมตีกัน และการปะทะทางทหารครั้งใหญ่ แนวร่วมถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการหลังอุบัติการณ์อานฮุยในเดือนมกราคม ค.ศ. 1941 ซึ่งทหารคอมมิวนิสต์ 9,000 นายของกองทัพที่สี่ใหม่ถูกซุ่มโจมตี และผู้บังคับบัญชาของพวกเขาถูกสังหารหรือถูกขังโดยกองทัพรัฐบาล[130]
โจวตอบสนองต่อความแตกแยกระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยสั่งให้ผู้นำพรรคดำเนินการปฏิบัติการอย่างลับ ๆ มากขึ้น เขายังคงดำเนินความพยายามด้านการโฆษณาชวนเชื่อผ่านหนังสือพิมพ์ที่เขาควบคุมและติดต่ออย่างใกล้ชิดกับนักข่าวและทูตต่างประเทศ โจวเพิ่มและปรับปรุงความพยายามด้านข่าวกรองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายในก๊กมินตั๋ง รัฐบาลหนานจิงของวาง จิงเว่ย์ และจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยการสรรหา ฝึกอบรม และตั้งเครือข่ายสายลับคอมมิวนิสต์ขนาดใหญ่ เหยียน เป่าหาง สมาชิกพรรคลับและมีบทบาทในวงการทูตของฉงชิ่ง ได้แจ้งให้โจวทราบว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เผด็จการชาวเยอรมันกำลังวางแผนจะโจมตีสหภาพโซเวียตในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 ข้อมูลนี้ถูกส่งถึงสตาลินภายใต้ลายเซ็นของโจวในวันที่ 20 มิถุนายน หรือสองวันก่อนที่ฮิตเลอร์จะโจมตี แม้สตาลินจะยังไม่เชื่อว่าฮิตเลอร์จะดำเนินการโจมตีจริงก็ตาม[131]
กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการทูต
[แก้]แม้ความสัมพันธ์กับเจียง ไคเชกจะแย่ลงเรื่อย ๆ แต่โจวยังคงปฏิบัติงานอย่างเปิดเผยในฉงชิ่ง สร้างมิตรภาพกับผู้มาเยือนชาวจีนและชาวต่างชาติ รวมถึงจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมสาธารณะ โดยเฉพาะการแสดงละครจีน โจวสร้างมิตรภาพส่วนตัวที่แน่นแฟ้นกับนายพลเฝิง ยฺวี่เสียง ซึ่งทำให้โจวสามารถเข้าถึงในกลุ่มนายทหารของกองทัพชาตินิยมได้อย่างอิสระ โจวเป็นเพื่อนกับนายพลเหอ จี้เฟิง และโน้มน้าวให้เหอแอบเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนระหว่างการเยือนเหยียนอานอย่างเป็นทางการ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของโจวสามารถเจาะเข้าสู่กองทัพเสฉวนของนายพลเติ้ง ซีโฮ่ว ส่งผลให้เติ้งตกลงอย่างลับ ๆ ที่จะจัดหานำกระสุนให้แก่กองทัพที่สี่ใหม่ของคอมมิวนิสต์ โจวโน้มน้าวนายพลหลี่ เหวินฮุ่ย อีกคนจากเสฉวน ให้ติดตั้งเครื่องส่งวิทยุอย่างลับ ๆ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการสื่อสารลับระหว่างเหยียนอานและฉงชิ่ง โจวเป็นเพื่อนกับจาง จื้อจงและหนง ยฺหวิน ผู้บังคับบัญชาในกองกำลังติดอาวุธยูนนาน ซึ่งกลายเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างลับ ๆ ตกลงจะร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการต่อต้านเจียง ไคเชก และตั้งสถานีวิทยุลับที่กระจายเสียงโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์จากอาคารของรัฐบาลมณฑลในคุนหมิง[132]
โจวยังคงเป็นตัวแทนหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อโลกภายนอกตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ในฉงชิ่ง โจวและผู้ช่วยของเขา เฉียว กวนหฺวา, กง เผิง และหวัง ปิ่งหนาน ยินดีต้อนรับผู้มาเยือนชาวต่างชาติ และสร้างความประทับใจที่ดีในหมู่นักการทูตชาวอเมริกัน อังกฤษ แคนาดา รัสเซีย และชาติอื่น ๆ ผู้มาเยือนรู้สึกว่าโจวมีเสน่ห์ มีมารยาทดี ทำงานหนัก และใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมาก ใน ค.ศ. 1941 โจวได้รับเยี่ยมจากเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์และมาร์ทา เกลล์ฮอร์น ภรรยา เกลล์ฮอร์นเขียนในภายหลังว่าเธอและเออร์เนสต์ประทับใจในตัวโจวอย่างมาก (และไม่ประทับใจในตัวเจียงเลย) และพวกเขามั่นใจว่าพรรคคอมมิวนิสต์ยึดครองประเทศจีนหลังได้พบกับเขา[133]
เนื่องจากเหยียนอานไม่สามารถจัดหาเงินทุนสำหรับกิจกรรมของโจวได้ โจวจึงหาเงินทุนบางส่วนจากเงินบริจาคของชาวต่างชาติที่เห็นอกเห็นใจ ชาวจีนโพ้นทะเล และสันนิบาตป้องกันประเทศจีน (ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซ่ง ชิ่งหลิง ม่ายของซุน ยัตเซ็น) โจวยังดำเนินการเริ่มต้นและบริหารธุรกิจจำนวนหนึ่งทั่วพื้นที่ภายใต้การควบคุมของก๊กมินตั๋งและญี่ปุ่น ธุรกิจของโจวเติบโตขึ้นจนรวมถึงบริษัทการค้าหลายแห่งที่ดำเนินงานในหลายเมืองของจีน (ส่วนใหญ่คือฉงชิ่งและฮ่องกง) ร้านขายผ้าไหมและผ้าซาตินในฉงชิ่ง โรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานผลิตวัสดุอุตสาหกรรม ผ้า ยาตะวันตก และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ[134]
ภายใต้โจว นักธุรกิจคอมมิวนิสต์ทำกำไรมหาศาลจากการซื้อขายเงินตราและการเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและทองคำ ธุรกิจที่สร้างกำไรมากที่สุดของโจวมาจากไร่ฝิ่นหลายแห่งที่โจวตั้งขึ้นในพื้นที่ห่างไกล แม้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้มีส่วนร่วมในการปราบปรามการสูบฝิ่นนับตั้งแต่ก่อตั้ง แต่โจวให้เหตุผลในการผลิตและจำหน่ายฝิ่นในพื้นที่ภายใต้การควบคุมของก๊กมินตั๋งโดยอ้างถึงกำไรมหาศาลที่สร้างขึ้นให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และผลกระทบที่ทำให้ทุพพลภาพที่การติดฝิ่นอาจมีต่อทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบาลของก๊กมินตั๋ง[134]
ความสัมพันธ์กับเหมา เจ๋อตง
[แก้]ใน ค.ศ. 1943 ความสัมพันธ์ของโจวกับเจียง ไคเชกเสื่อมลง และเขาก็กลับไปอยู่ที่เหยียนอานอย่างถาวร ในช่วงเวลานั้น เหมา เจ๋อตงได้ขึ้นเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกำลังพยายามผลักดันทฤษฎีการเมืองของตน (เรียกว่า "ความคิดของเหมา เจ๋อตง" ตามตัวอักษร) ให้ได้รับการยอมรับเป็นลัทธิของพรรค หลังขึ้นสู่อำนาจ เหมาจัดให้มีการรณรงค์เพื่อปลูกฝังความคิดนี้ในหมู่สมาชิกพรรค การรณรงค์นี้กลายเป็นรากฐานของการบูชาลัทธิเหมาที่ต่อมาได้ครอบงำการเมืองจีนจนกระทั่งสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรม[135]
หลังกลับมาถึงเหยียนอัน โจวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและเกินความจำเป็นในการรณรงค์นี้ โจวถูกตีตราว่าเป็น "ประจักษนิยม" ร่วมกับนายพลเผิง เต๋อหวย, หลิว ปั๋วเฉิง, เย่ เจี้ยนอิง และเนี่ย หรงเจิน เพราะเขามีประวัติเคยร่วมมือกับโคมินเทิร์นและศัตรูของเหมา หวัง หมิง เหมาโจมตีโจวต่อสาธารณะว่าเป็น "ผู้ให้ความร่วมมือและผู้ช่วยของสิทธันตนิยม... ที่ดูหมิ่นการศึกษาลัทธิมากซ์–เลนิน" จากนั้นเหมาและพันธมิตรของเขายังอ้างว่าองค์กรพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่โจวเคยตั้งขึ้นในจีนตอนใต้นั้นถูกนำโดยสายลับก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่โจวปฏิเสธอย่างหนักแน่น และข้อกล่าวหานี้ถูกยกเลิกไปในภายหลังเมื่อเหมาเชื่อมั่นในความภักดีของโจวในช่วงท้ายของการรณรงค์นี้[135]
โจวป้องกันตัวเองด้วยการไตร่ตรองและวิจารณ์ตัวเองต่อสาธารณะหลายครั้งติดต่อกัน และกล่าวสุนทรพจน์มากมายเพื่อยกย่องเหมาและความคิดของเหมา เจ๋อตง พร้อมทั้งแสดงการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อความเป็นผู้นำของเหมา นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมกับพันธมิตรของเหมาในการโจมตีเผิง ชู่จือ, เฉิน ตู๋ซิ่ว และหวัง หมิง ผู้ซึ่งเหมามองว่าเป็นศัตรู การข่มเหงโจว เอินไหลทำให้มอสโกไม่สบายใจ และแกออร์กี ดีมีตรอฟได้เขียนจดหมายส่วนตัวถึงเหมาเพื่อระบุว่า "โจว เอินไหล... จะต้องไม่ถูกตัดออกจากพรรค" ในที่สุด การยอมรับความผิดพลาดอย่างกระตือรือร้นของโจว การสรรเสริญความเป็นผู้นำของเหมา และการโจมตีศัตรูของเหมาทำให้เหมาเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ลัทธิเหมาของโจวนั้นเป็นของจริง ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำหรับการอยู่รอดทางการเมืองของโจว ในการประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่เจ็ดใน ค.ศ. 1945 เหมาได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำโดยรวมของพรรคและสิทธันต์ของความคิดของเหมา เจ๋อตงก็ได้รับการฝังรากลึกในหมู่ผู้นำพรรคอย่างมั่นคง[135]
ความพยายามทางการทูตกับสหรัฐ
[แก้]ภารกิจดิกซี
[แก้]ขณะที่สหรัฐเริ่มวางแผนสำหรับการรุกรานญี่ปุ่น ซึ่งในขณะนั้นสันนิษฐานว่าจะต้องใช้ฐานในจีน ผู้นำทางการเมืองและการทหารของอเมริกาก็เริ่มกระตือรือร้นที่จะติดต่อกับพรรคคอมมิวนิสต์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 เจียง ไคเชกยอมอย่างไม่เต็มใจที่จะอนุญาตให้คณะสังเกตการณ์ทางทหารของอเมริกา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ภารกิจดิกซี" (Dixie Mission) เดินทางไปยังเหยียนอาน เหมาและโจวให้การต้อนรับคณะภารกิจนี้และจัดการเจรจาหลายครั้งด้วยความสนใจที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกา พวกเขาสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอเมริกาในอนาคตเพื่อโจมตีญี่ปุ่นในจีน และพยายามโน้มน้าวชาวอเมริกันว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนมุ่งมั่นที่จะตั้งรัฐบาลผสมระหว่างก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเพื่อแสดงความปรารถนาดี หน่วยกองโจรคอมมิวนิสต์ได้รับคำสั่งให้ช่วยเหลือทหารอากาศอเมริกันที่เครื่องบินตก เมื่อถึงเวลาที่ชาวอเมริกันออกจากเหยียนอาน หลายคนเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็น "พรรคที่แสวงหาการเติบโตทางประชาธิปไตยที่เป็นระเบียบไปสู่สังคมนิยม" และคณะได้เสนออย่างเป็นทางการให้มีการร่วมมือกันมากขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับกองทัพอเมริกัน[136]
ค.ศ. 1944–1945
[แก้]ใน ค.ศ. 1944 โจวเขียนจดหมายถึงนายพลโจเซฟ สติลเวล ผู้บัญชาการชาวอเมริกันในภาคพื้นจีน–พม่า–อินเดียในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยพยายามโน้มน้าวสติลเวลถึงความจำเป็นที่อเมริกาจะต้องส่งเสบียงให้แก่คอมมิวนิสต์ และความปรารถนาของคอมมิวนิสต์ที่จะเห็นรัฐบาลจีนที่เป็นหนึ่งเดียวหลังสงคราม การแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยของสติลเวลต่อรัฐบาลชาตินิยมโดยทั่วไป และต่อเจียง ไคเชกโดยเฉพาะ ทำให้ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์สั่งปลดเขาในปีเดียวกันนั้น ก่อนที่การทูตของโจวจะเกิดผล ผู้ที่มาแทนสติลเวลคือแพทริก เจ. เฮอร์ลีย์ ซึ่งเปิดรับคำร้องของโจว แต่ในที่สุดก็ปฏิเสธการให้กองทัพอเมริกันเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน เว้นแต่ว่าพรรคจะยอมผ่อนปรนให้ก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาและโจวเห็นว่ายอมรับไม่ได้ ไม่นานหลังญี่ปุ่นยอมจำนนใน ค.ศ. 1945 เจียงได้เชิญเหมาและโจวไปยังฉงชิ่งเพื่อร่วมประชุมสันติภาพที่ได้รับการรับรองจากอเมริกา[137]
การเจรจาที่ฉงชิ่ง
[แก้]ที่เหยียนอาน มีความกังวลอย่างแพร่หลายว่าคำเชิญจากเจียงนั้นเป็นกับดัก และว่าฝ่ายชาตินิยมกำลังวางแผนลอบสังหารหรือจำคุกผู้นำทั้งสอง โจวเข้ารับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของเหมา และการตรวจสอบเครื่องบินและที่พักของพวกเขาในเวลาต่อมาไม่พบสิ่งใด ตลอดการเดินทางไปฉงชิ่ง เหมาปฏิเสธจะเข้าไปในที่พักจนกว่าโจวจะตรวจสอบเป็นการส่วนตัว ในการต้อนรับ งานเลี้ยง และการชุมนุมสาธารณะอื่น ๆ เหมาและโจวเดินทางไปด้วยกัน และโจวแนะนำเขาให้รู้จักกับคนดังและรัฐบุรุษท้องถิ่นมากมายที่เขาเคยผูกมิตรไว้ในช่วงที่มาพักที่ฉงชิ่งก่อนหน้านี้[138]
ตลอดการเจรจาสี่สิบสามวัน เหมาและเจียงพบกันสิบเอ็ดครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขของจีนหลังสงคราม ขณะที่โจวทำงานเพื่อยืนยันรายละเอียดของการเจรจา แต่ท้ายที่สุด การเจรจาก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ข้อเสนอของโจวที่จะถอนกองทัพแดงออกจากจีนตอนใต้ถูกเพิกเฉย และคำขาดของพี.เจ. เฮอร์ลีย์ที่จะรวมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ากับก๊กมินตั๋งเป็นการดูหมิ่นเหมา หลังเหมาเดินทางกลับเหยียนอานในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1945 โจวก็ยังคงอยู่ต่อเพื่อจัดการรายละเอียดของมติจากการประชุม โจวกลับเหยียนอานในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 เมื่อการปะทะครั้งใหญ่ระหว่างคอมมิวนิสต์และชาตินิยมทำให้การเจรจาในอนาคตไม่มีความหมายอีกต่อไป เฮอร์ลีย์ประกาศลาออกในเวลาต่อมา โดยกล่าวหาว่าสมาชิกสถานทูตสหรัฐบ่อนทำลายเขาและเข้าข้างคอมมิวนิสต์[139]
การเจรจาของมาร์แชลล์
[แก้]
หลังการขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐของแฮร์รี เอส. ทรูแมน เขาได้แต่งตั้งนายพลจอร์จ ซี. มาร์แชลล์เป็นทูตพิเศษประจำประเทศจีนในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1945 มาร์แชลล์ได้รับมอบหมายให้เป็นคนกลางในการเจรจาหยุดยิงระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและก๊กมินตั๋ง และมีอิทธิพลต่อทั้งเหมาและเจียงให้ปฏิบัติตามข้อตกลงฉงชิ่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ลงนามไว้แล้ว โจวและผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่าการแต่งตั้งมาร์แชลล์เป็นพัฒนาการเชิงบวก และหวังว่ามาร์แชลล์จะเป็นนักเจรจาที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าเฮอร์ลีย์ โจวเดินทางถึงฉงชิ่งเพื่อเจรจากับมาร์แชลล์ในวันที่ 22 ธันวาคม[140]
การเจรจาในระยะแรกเป็นไปอย่างราบรื่น โจวเป็นตัวแทนของคอมมิวนิสต์ มาร์แชลล์เป็นตัวแทนของอเมริกา และจาง ฉฺวิน (ต่อมาถูกแทนที่โดยจาง จื้อจง) เป็นตัวแทนของก๊กมินตั๋ง ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946 ทั้งสองฝ่ายตกลงยุติความเป็นปฏิปักษ์ และจัดระเบียบกองทัพใหม่โดยยึดหลักการแยกกองทัพออกจากพรรคการเมือง โจวลงนามในข้อตกลงเหล่านี้ทั้งที่ทราบดีว่าไม่มีฝ่ายใดสามารถดำเนินการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ เจียงกล่าวสุนทรพจน์ที่ให้คำมั่นเรื่องเสรีภาพทางการเมือง การปกครองตนเองของท้องถิ่น การเลือกตั้งอย่างเสรี และการปล่อยตัวนักโทษการเมือง โจวแสดงความยินดีกับคำกล่าวของเจียงและแสดงการต่อต้านสงครามกลางเมือง[141]
ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนมองข้อตกลงเหล่านี้ในแง่ดี วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1946 สำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนแต่งตั้งโจวให้เป็นหนึ่งในผู้นำแปดคนเพื่อเข้าร่วมในรัฐบาลผสมในอนาคต (ผู้นำคนอื่น ๆ ได้แก่ เหมา, หลิว เช่าฉี และจู เต๋อ) มีการเสนอให้โจวได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานาธิบดีของจีน เหมาแสดงความปรารถนาที่จะเยือนสหรัฐ และโจวได้รับคำสั่งให้ใช้กลวิธีกับมาร์แชลล์เพื่อผลักดันกระบวนการสันติภาพ[142]
การเจรจาของมาร์แชลล์เริ่มแย่ลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทั้งก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เต็มใจจะสละความได้เปรียบใด ๆ ที่ตนได้รับ ไม่ยอมยกเลิกความเป็นพรรคการเมืองในกองทัพของตน หรือสละอำนาจการปกครองตนเองในพื้นที่ที่ฝ่ายตนควบคุม การปะทะทางทหารในแมนจูเรียเกิดขึ้นบ่อยขึ้นในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ค.ศ. 1946 และท้ายที่สุดก็บีบให้กองกำลังคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยหลังจากการรบครั้งใหญ่หลายครั้ง กองทัพของรัฐบาลก็เพิ่มการโจมตีในส่วนอื่น ๆ ของจีน[143]
วันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1946 โจวและภรรยาเดินทางออกจากฉงชิ่งไปยังหนานจิง ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของฝ่ายชาตินิยม การเจรจายิ่งเลวร้ายลง และในวันที่ 9 ตุลาคม โจวแจ้งมาร์แชลล์ว่าเขาไม่ได้รับความไว้วางใจจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกต่อไป วันที่ 11 ตุลาคม กองทัพชาตินิยมยึดจางเจียโข่วทางตอนเหนือของจีนซึ่งเป็นของคอมมิวนิสต์ เจียงซึ่งมั่นใจในความสามารถที่จะเอาชนะคอมมิวนิสต์ได้ ได้เรียกประชุมสมัชชาแห่งชาติโดยไม่มีการเข้าร่วมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและสั่งให้ร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 15 พฤศจิกายน วันที่ 16 พฤศจิกายน โจวจัดแถลงข่าว ซึ่งเขาประณามก๊กมินตั๋งว่า "ฉีกข้อตกลงจากการประชุมที่ปรึกษาการเมือง" วันที่ 19 พฤศจิกายน โจวและคณะผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งหมดได้เดินทางออกจากหนานจิงไปยังเหยียนอาน[144]
กลับสู่สงครามกลางเมือง
[แก้]นักยุทธศาสตร์การทหารและหัวหน้าข่าวกรอง
[แก้]หลังการเจรจาล้มเหลว สงครามกลางเมืองจีนก็กลับมาดำเนินต่ออย่างจริงจัง โจวเปลี่ยนความสนใจจากงานด้านการทูตไปสู่กิจการทหาร ขณะเดียวกันก็ยังคงสนใจงานด้านข่าวกรองในระดับสูง โจวทำงานโดยตรงภายใต้เหมาในฐานะหัวหน้าผู้ช่วยของเขา ในตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการทหารของคณะกรรมการกลาง และในฐานะหัวหน้าคณะเสนาธิการใหญ่ ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการงานเมืองของคณะกรรมการกลาง หน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อประสานงานภายในพื้นที่ที่ควบคุมโดยก๊กมินตั๋ง โจวยังคงกำกับกิจกรรมใต้ดินต่อไป[145]
กองกำลังชาตินิยมที่เหนือกว่าสามารถยึดเหยียนอานได้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1947 แต่สายลับของโจว (โดยหลักคือสฺยง เซี่ยงฮุย) สามารถให้รายละเอียดแก่ผู้บัญชาการกองทัพเหยียนอาน เผิง เต๋อหวย เกี่ยวกับกำลังพล การกระจายกำลัง ตำแหน่ง การสนับสนุนทางอากาศ และวันเวลาการวางกำลังของกองทัพก๊กมินตั๋ง ข่าวกรองนี้ทำให้กองกำลังคอมมิวนิสต์สามารถเลี่ยงการสู้รบใหญ่และหันไปใช้การทัพสงครามกองโจรที่ยืดเยื้อซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่ชัยชนะครั้งสำคัญหลายครั้งของเผิง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1948 กองทหารก๊กมินตั๋งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือกว่าครึ่งก็พ่ายแพ้หรือหมดกำลัง ภายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1949 กองกำลังคอมมิวนิสต์ก็ยึดปักกิ่งกับเทียนจินได้และควบคุมภาคเหนือของจีนไว้อย่างมั่นคง[146]
การทูต
[แก้]วันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1949 เจียงก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีของรัฐบาลชาตินิยมและให้นายพลหลี่ จงเหรินรับช่วงต่อ วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1949 หลี่เริ่มการเจรจาสันติภาพกับคณะผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำนวนหกคน โดยคณะผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์นำโดยโจว เอินไหล และคณะผู้แทนก๊กมินตั๋งนำโดยจาง จื้อจง[147]
โจวเริ่มการเจรจาโดยถามว่า: "ทำไมคุณถึงไปซีโข่ว (ที่เจียงเกษียณตัวเอง) เพื่อพบเจียง ไคเชกก่อนออกจาหนานจิง?" จางตอบว่าเจียงยังมีอำนาจแม้จะเกษียณตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว และการยินยอมของเจียงเป็นสิ่งจำเป็นในการสรุปข้อตกลงใด ๆ โจวตอบว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะไม่ยอมรับสันติภาพจอมปลอมที่ถูกบงการโดยเจียงและถามว่าจางมีอำนาจที่จำเป็นในการดำเนินการตามเงื่อนไขที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการหรือไม่ การเจรจาดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 15 เมษายน เมื่อโจวนำเสนอ "ฉบับสุดท้าย" ของ "ร่างข้อตกลงเพื่อสันติภาพในประเทศ" ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นคำขาดให้ยอมรับข้อเรียกร้องของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาลก๊กมินตั๋งไม่ได้ตอบสนองหลังผ่านไปห้าวัน เป็นสัญญาณว่าพวกเขาไม่พร้อมจะยอมรับข้อเรียกร้องของโจว[148]
วันที่ 21 เมษายน เหมาและโจวออก "คำสั่งถึงกองทัพให้รุกคืบทั่วประเทศ" กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ยึดหนานจิงได้ในวันที่ 23 เมษายนและยึดกวางตุ้งซึ่งเป็นที่มั่นของหลี่ได้ในเดือนตุลาคม ทำให้หลี่ต้องลี้ภัยไปอเมริกา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1949 กองทัพปลดปล่อยประชาชนยึดเฉิงตูได้ ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายที่ก๊กมินตั๋งควบคุมบนแผ่นดินใหญ่ของจีน ทำให้เจียงต้องอพยพไปไต้หวัน[148]
นักการทูตและรัฐบุรุษสาธารณรัฐประชาชนจีน
[แก้]สถานการณ์ทางการทูตของสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949
[แก้]หลังก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 โจวได้รับแต่งตั้งให้เป็นทั้งนายกรัฐมนตรีของสภาบริหารรัฐบาล (ต่อมาถูกแทนที่ด้วยคณะมนตรีรัฐกิจ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยการประสานงานของทั้งสองตำแหน่งนี้และสถานะของเขาในฐานะสมาชิกของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองจำนวนห้าคน ทำให้โจวกลายเป็นสถาปนิกของนโยบายต่างประเทศยุคแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนำเสนอภาพลักษณ์ของจีนในฐานะสมาชิกใหม่แต่มีความรับผิดชอบในประชาคมระหว่างประเทศ โจวเป็นนักเจรจาที่มีประสบการณ์และได้รับความเคารพในฐานะนักปฏิวัติอาวุโสภายในประเทศจีน[149] การที่โจวรวมเอาบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกคอมมิวนิสต์เข้าไว้ในคณะรัฐมนตรีของเขานั้นเป็นที่น่าสังเกต โดย 47% ของรัฐมนตรีของเขาและครึ่งหนึ่งของผู้บัญชาการของเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์[150]: 214

ภายในช่วงต้นทศวรรษ 1950 อิทธิพลระหว่างประเทศของจีนอยู่ในระดับต่ำยิ่ง เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ชิงใน ค.ศ. 1911 ความทะเยอทะยานของจีนในการเป็นสากลนิยมถูกทำลายลงด้วยความพ่ายแพ้ทางทหารและการรุกรานจากชาวยุโรปและญี่ปุ่นหลายต่อหลายครั้ง เมื่อสิ้นสุดสมัยของยฺเหวียน ชื่อไข่และสมัยขุนศึกที่ตามมา ชื่อเสียงระหว่างประเทศของจีนก็เสื่อมลงจน "แทบไม่มีอะไรเลย" ในสงครามโลกครั้งที่สอง บทบาทที่มีประสิทธิผลของจีนบางครั้งถูกตั้งคำถามจากผู้นำพันธมิตรคนอื่น ๆ สงครามเกาหลีในช่วง ค.ศ. 1950–1953 ยิ่งทำให้สถานะระหว่างประเทศของจีนเลวร้ายลงอย่างมาก โดยทำให้สหรัฐออยู่ในจุดยืนเป็นปรปักษ์และทำให้มั่นใจได้ว่าไต้หวันจะยังคงอยู่นอกเหนือการควบคุมของสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะยังคงอยู่นอกสหประชาชาติไปอีกนาน[149]
ความพยายามในช่วงแรกของโจวในการปรับปรุงเกียรติภูมิของสาธารณรัฐประชาชนจีนคือการสรรหานักการเมือง นักทุนนิยม ปัญญาชน และผู้นำทางทหารที่มีชื่อเสียงของจีนที่ไม่ได้สังกัดพรรคคอมมิวนิสต์ โจวสามารถโน้มน้าวให้จาง จื้อจงยอมรับตำแหน่งภายในสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 หลังเครือข่ายใต้ดินของโจวนำครอบครัวของจางมายังปักกิ่งอย่างปลอดภัย สมาชิกคนอื่น ๆ ทั้งหมดของคณะผู้แทนก๊กมินตั๋งที่โจวเคยเจรจาด้วยใน ค.ศ. 1949 ก็ยอมรับเงื่อนไขที่คล้ายกัน[151]
ซ่ง ชิ่งหลิง ม่ายของซุน ยัตเซ็น ซึ่งเหินห่างจากครอบครัวและต่อต้านก๊กมินตั๋งมาหลายปี ก็เข้าร่วมกับสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 อย่างเต็มใจ หวง เหยียนเผย์ นักอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงซึ่งปฏิเสธข้อเสนอตำแหน่งรัฐบาลมานานหลายปี ก็ถูกโน้มน้าวให้ยอมรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ ส่วนฟู่ จั๋วอี้ ผู้บัญชาการก๊กมินตั๋งที่ยอมจำนนต่อกองทหารรักษาการณ์ปักกิ่งใน ค.ศ. 1948 ก็ถูกโน้มน้าวให้เข้าร่วมกองทัพปลดปล่อยประชาชนและรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอนุรักษ์น้ำ[152]
การทูตกับอินเดีย
[แก้]ความสำเร็จทางการทูตครั้งแรกของโจวเกิดขึ้นจากความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกันกับชวาหะร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียหลังได้รับเอกราช ด้วยการทูตของเขา โจวสามารถโน้มน้าวให้อินเดียยอมรับการยึดครองทิเบตของจีนใน ค.ศ. 1950 และ 1951 ต่อมาอินเดียถูกโน้มน้าวให้ทำหน้าที่เป็นคนกลางที่เป็นกลางระหว่างจีนกับสหรัฐในช่วงการเจรจาอันยากลำบากหลายขั้นตอนเพื่อยุติสงครามเกาหลี[153] โจวช่วยเจรจาความตกลงจีน–อินเดีย ค.ศ. 1954 และต่อมาได้จัดทำส่วนประกอบบางส่วนของข้อตกลงนั้นให้เป็นทางการในฐานะห้าหลักการแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แนวคิดหลักในนโยบายต่างประเทศของจีน[150]: 239
ในช่วงความขัดแย้งชายแดนจีน–อินเดีย ค.ศ. 1962 โจวมีคำสั่งให้กองกำลังจีนที่ได้รับชัยชนะถอนกำลังกลับไป 10 กิโลเมตรหลังเส้นแมกมาฮอน รวมถึงการคืนอาวุธและยุทธภัณฑ์ที่ยึดได้ทั้งหมด และการฝังศพทหารอินเดียที่เสียชีวิตด้วยเกียรติทางทหารเต็มรูปแบบ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นที่ถกเถียงกันภายในกองทัพปลดปล่อยประชาชนแต่ทำให้เหมาพอใจ "ความมีน้ำใจอันล้นเหลือ" ของโจวทำให้เกิดความแตกแยกในกองทัพและรัฐบาลอินเดีย ซึ่งทำให้พวกเขาอ่อนแอลงและยับยั้งความขัดแย้งเพิ่มเติมกับจีน[150]: 293
สงครามเกาหลี
[แก้]เมื่อสงครามเกาหลีอุบัติขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 โจวกำลังดำเนินการลดขนาดกองทัพปลดปล่อยประชาชนจำนวน 5.6 ล้านนายลงครึ่งหนึ่ง ตามคำสั่งคณะกรรมการกลาง โจวและเหมาหารือถึงความเป็นไปได้ที่อเมริกาจะเข้าแทรกแซงกับคิม อิล-ซ็องในเดือนพฤษภาคมและเรียกร้องให้คิมระมัดระวังหากเขาวางแผนจะรุกรานและยึดเกาหลีใต้ แต่คิมปฏิเสธจะใส่ใจคำเตือนเหล่านี้ วันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1950 หลังสหรัฐดันมติของสหประชาชาติที่ประณามการรุกรานของเกาหลีเหนือและส่งทัพเรือที่เจ็ดเข้า "วางตัวเป็นกลาง" ในช่องแคบไต้หวัน โจววิพากษ์วิจารณ์ทั้งมติของสหประชาชาติและการริเริ่มของสหรัฐว่าเป็น "การรุกรานด้วยอาวุธในดินแดนจีน"[154]
แม้ความสำเร็จในช่วงแรกของคิมจะทำให้เขาทายว่าจะชนะสงครามภายในสิ้นเดือนสิงหาคม แต่โจวและผู้นำจีนคนอื่น ๆ มีความเห็นในแง่ลบมากกว่า โจวไม่เชื่อมั่นเหมือนคิมว่าสงครามจะจบลงอย่างรวดเร็วและรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสหรัฐจะเข้าแทรกแซง เพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ที่อเมริกาจะรุกรานเข้าสู่เกาหลีเหนือหรือจีน โจวได้เจรจาให้สหภาพโซเวียตให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนกองกำลังจีนด้วยกำลังทางอากาศและได้ส่งทหารจีน 260,000 นายไปประจำตามชายแดนเกาหลีเหนือภายใต้บัญชาการของเกา กั่ง แต่พวกเขาได้รับคำสั่งอย่างเคร่งครัดไม่ให้เคลื่อนเข้าสู่เกาหลีเหนือหรือปะทะกับกองกำลังของสหประชาชาติหรือสหรัฐเว้นแต่จะถูกโจมตีก่อน โจวสั่งให้ไช่ เฉิงเหวินทำการสำรวจภูมิประเทศของเกาหลี และสั่งให้เหลย์ อิงฝู ที่ปรึกษาทางทหารของโจวในเกาหลีเหนือ วิเคราะห์สถานการณ์ทางทหารที่นั่น เหลย์สรุปว่าแมกอาเทอร์น่าจะพยายามยกพลขึ้นบกที่อินช็อนมากที่สุด[155]
วันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1950 แมกอาเธอร์ยกพลขึ้นบกที่อินช็อน แทบไม่พบการต่อต้าน และยึดกรุงโซลได้ในวันที่ 25 กันยายน การทิ้งระเบิดทำลายรถถังเกาหลีเหนือและปืนใหญ่ส่วนใหญ่ กองทหารเกาหลีเหนือแทนที่จะถอนทัพขึ้นไปทางเหนือกลับสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว วันที่ 30 กันยายน โจวเตือนสหรัฐว่า "ประชาชนจีนจะไม่ยอมทนต่อการรุกรานจากต่างชาติ และจะไม่ยอมทนเห็นเพื่อนบ้านตนถูกรุกรานอย่างป่าเถื่อนโดยจักรวรรดินิยม"[156]
วันที่ 1 ตุลาคม ครบรอบปีแรกของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน กองทัพเกาหลีใต้ได้ข้ามเส้นขนานที่ 38 เข้าสู่เกาหลีเหนือ สตาลินปฏิเสธจะเข้าเกี่ยวข้องในสงครามโดยตรง และคิมส่งคำร้องขออย่างบ้าคลั่งให้เหมาส่งกำลังเสริม โจวและคณะผู้นำจีนจัดการประชุมฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องที่จงหนานไห่ตั้งแต่วันที่ 2 ถึง 6 ตุลาคมเพื่อหารือว่าจีนควรส่งความช่วยเหลือทางทหารหรือไม่ ในการประชุมนั้น โจวเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สนับสนุนจุดยืนของเหมาอย่างหนักแน่นที่ว่าจีนควรส่งความช่วยเหลือทางทหาร โดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งของกองทัพอเมริกา ด้วยการสนับสนุนของเผิง เต๋อหวย ที่ประชุมจึงได้ข้อสรุปให้ส่งกำลังทหารไปยังเกาหลี[157]
เพื่อขอการสนับสนุนจากสตาลิน โจวเดินทางไปยังรีสอร์ตฤดูร้อนของสตาลินที่ทะเลดำในวันที่ 10 ตุลาคม สตาลินตกลงจะส่งยุทโธปกรณ์และกระสุนในตอนแรก แต่เตือนโจวว่ากองทัพอากาศของสหภาพโซเวียตจะต้องใช้เวลาสองหรือสามเดือนในการเตรียมปฏิบัติการและจะไม่มีการส่งกองทหารราบใด ๆ ในการประชุมครั้งต่อมา สตาลินบอกโจวว่าจะให้ยุทธภัณฑ์แก่จีนในรูปแบบสินเชื่อเท่านั้น และกองทัพอากาศโซเวียตจะปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าจีนหลังผ่านไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง สตาลินไม่ได้ตกลงจะส่งทั้งยุทธภัณฑ์หรือการสนับสนุนทางอากาศจนกระทั่งเดือนมีนาคม ค.ศ. 1951[158]
ทันทีที่กลับถึงปักกิ่งในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1950 โจวพบกับเหมา เจ๋อตง, เผิง เต๋อหวย และเกา กั่ง และกลุ่มนี้ได้ออกคำสั่งให้ทหารจีน 200,000 นายที่ประจำอยู่ตามชายแดนเข้าสู่เกาหลีเหนือ ซึ่งพวกเขาได้ดำเนินการในวันที่ 25 ตุลาคม หลังหารือกับสตาลิน ในวันที่ 13 พฤศจิกายน เหมาแต่งตั้งโจวเป็นผู้บัญชาการโดยรวมของกองทัพอาสาประชาชน หน่วยพิเศษของกองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนที่จะเข้าแทรกแซงในสงครามเกาหลีและเป็นผู้ประสานงานความพยายามในสงคราม โดยมีเผิงเป็นผู้บัญชาการภาคสนาม คำสั่งที่โจวออกให้แก่กองทัพฯ ถูกส่งในนามของคณะกรรมาธิการการทหารกลาง[159]
ภายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1951 สงครามได้เข้าสู่ภาวะชะงักงันบริเวณเส้นขนานที่ 38 และทั้งสองฝ่ายตกลงเจรจาการสงบศึก โจวเป็นผู้กำกับการเจรจาพักรบ ซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม โจวเลือกหลี่ เค่อหนงและเฉียว กวานหฺวาเป็นหัวหน้าคณะเจรจาของจีน การเจรจาดำเนินไปเป็นเวลาสองปีก่อนจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1953 ซึ่งมีการลงนามอย่างเป็นทางการที่พันมุนจ็อม[160]
สงครามเกาหลีเป็นภารกิจทางทหารสุดท้ายของโจว ใน ค.ศ. 1952 เผิง เต๋อหวยได้รับตำแหน่งต่อจากโจวในการบริหารคณะกรรมาธิการการทหารกลาง (ซึ่งโจวเป็นหัวหน้ามาตั้งแต่ ค.ศ. 1947) ใน ค.ศ. 1956 หลังการประชุมสภาพรรคครั้งที่แปด โจวได้สละตำแหน่งในคณะกรรมาธิการทหารอย่างเป็นทางการและมุ่งเน้นไปที่งานในคณะกรรมาธิการสามัญ คณะมนตรีรัฐกิจ และกิจการต่างประเทศ[161]
การทูตกับเพื่อนบ้านคอมมิวนิสต์ของจีน
[แก้]
หลังสตาลินเสียชีวิตในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 โจวได้เดินทางไปมอสโกและเข้าร่วมพิธีศพของสตาลินในอีกสี่วันต่อมา เป็นที่น่าสังเกตว่าเหมาตัดสินใจไม่เดินทางไปมอสโก อาจเป็นเพราะยังไม่มีนักการเมืองระดับสูงของโซเวียตคนใดเดินทางไปปักกิ่งมาก่อน หรือเพราะสตาลินเคยปฏิเสธข้อเสนอที่จะพบกับเหมาใน ค.ศ. 1948 (อย่างไรก็ตาม ได้มีการจัดพิธีรำลึกขนาดใหญ่เพื่อเป็นเกียรติแก่สตาลินที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปักกิ่ง โดยมีเหมาและผู้คนอีกหลายแสนคนเข้าร่วม) ขณะที่อยู่ในมอสโก โจวได้รับการต้อนรับด้วยความเคารพอย่างสูงจากเจ้าหน้าที่โซเวียต โดยได้รับอนุญาตให้ยืนข้างผู้นำคนใหม่ของสหภาพโซเวียต ได้แก่ วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ, นีกีตา ครุชชอฟ, เกออร์กี มาเลนคอฟ และลัฟเรนตีย์ เบรียา แทนที่จะยืนรวมกับคณะผู้แทน "ต่างชาติ" อื่น ๆ ที่เข้าร่วมพิธีศพ โจวได้เดินตามหลังรถปืนใหญ่ที่บรรทุกหีบศพของสตาลินโดยตรง ความพยายามทางการทูตของโจวในมอสโกได้รับผลตอบแทนในเวลาต่อมา เมื่อใน ค.ศ. 1954 ครุชชอฟได้เดินทางเยือนปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมงานฉลองครบรอบห้าปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชน[147][162] เนื่องจากมาเลนคอฟ ผู้สืบทอดตำแหน่งของสตาลินในขณะนั้น มีตำแหน่งไม่มั่นคง โจวจึงสามารถเจรจาความตกลงจีน–โซเวียตบางส่วนใหม่ให้เป็นประโยชน์ต่อจีนมากขึ้นและเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับความตกลงแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีฉบับใหม่ ที่โดดเด่นที่สุดคือโจวได้ผลักดันให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของโซเวียตมายังจีน[150]: 230
ตลอดทศวรรษ 1950 โจวทำงานเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างจีนกับรัฐคอมมิวนิสต์อื่น ๆ โดยประสานนโยบายต่างประเทศของจีนให้สอดคล้องกับนโยบายของโซเวียตที่ส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นในหมู่พันธมิตรทางการเมือง ใน ค.ศ. 1952 โจวลงนามในความตกลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย ซึ่งเป็นการให้การรับรองเอกราชโดยพฤตินัยแก่มองโกเลียนอก ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักในสมัยราชวงศ์ชิง โจวยังทำความตกลงกับคิม อิล-ซ็องเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจเกาหลีเหนือหลังสงคราม เพื่อบรรลุเป้าหมายการทูตสันติกับประเทศเพื่อนบ้าน โจวได้เจรจาอย่างฉันมิตรกับอู้นุ นายกรัฐมนตรีเมียนมา และส่งเสริมความพยายามของจีนในการส่งเสบียงให้กบฏเวียดนามของโฮจิมินห์ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามเหวียตมิญ[149]
การประชุมเจนีวา
[แก้]ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1954 โจวเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อเข้าร่วมการประชุมเจนีวา ซึ่งจัดขึ้นเพื่อยุติสงครามฝรั่งเศส–เวียดนามที่กำลังดำเนินอยู่ ความอดทนและความเฉลียวฉลาดของเขาได้รับการยกย่องว่าช่วยให้มหาอำนาจที่เกี่ยวข้อง (โซเวียต ฝรั่งเศส อเมริกัน และเวียดนามเหนือ) สามารถทำความตกลงเพื่อยุติสงครามได้ ตามความตกลงสันติภาพที่เจรจากัน อินโดจีนของฝรั่งเศสถูกแบ่งออกเป็นลาว กัมพูชา เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ มีการตกลงจะจัดการเลือกตั้งภายในสองปีเพื่อตั้งรัฐบาลผสมในเวียดนามที่เป็นเอกภาพ และเหวียตมิญตกลงจะยุติกิจกรรมกองโจรในเวียดนามใต้ ลาว และกัมพูชา[163]
ระหว่างการประชุมช่วงต้นในเจนีวา โจวได้พบกับจอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐผู้ซึ่งเป็นผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง หลังโจวเสนอจับมืออย่างสุภาพ ดัลเลสได้หันหลังและเดินออกจากห้องอย่างหยาบคาย พร้อมกล่าวว่า "ผมจับไม่ได้" ผู้สังเกตการณ์ตีความว่าโจวเปลี่ยนช่วงเวลาที่น่าอับอายนี้ให้เป็นชัยชนะเล็ก ๆ โดยการยักไหล่แบบ "ฝรั่งเศส" เล็กน้อยต่อพฤติกรรมนี้ โจวมีประสิทธิภาพในการตอบโต้การยืนกรานของดัลเลสที่ว่าจีนไม่ควรได้รับที่นั่งในการประชุม ในการสร้างความประทับใจถึงความสุภาพและความมีอารยธรรมของจีนให้มากยิ่งขึ้น โจวได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับนักแสดงชาวบริติช ชาร์ลี แชปลิน ผู้ที่มาอาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์หลังถูกขึ้นบัญชีดำในสหรัฐเพราะถูกกล่าวหาว่ามีแนวคิดสังคมนิยม[163]
การประชุมเอเชีย–แอฟริกา
[แก้]
ใน ค.ศ. 1955 โจวเป็นผู้มีบทบาทโดดเด่นในการเข้าร่วมการประชุมเอเชีย–แอฟริกาที่จัดขึ้นในอินโดนีเซีย การประชุมที่บันดุงนี้เป็นการรวมตัวกันของ 29 รัฐในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งจัดโดยอินโดนีเซีย พม่า ปากีสถาน ศรีลังกา และอินเดีย และมีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศเอเชีย–แอฟริกาและเพื่อต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมหรือลัทธิอาณานิคมใหม่จากทั้งสหรัฐหรือสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น ที่การประชุม โจวใช้ความสามารถพิเศษทำให้การประชุมมีจุดยืนเป็นกลางซึ่งทำให้สหรัฐถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค โจวกล่าวตำหนิว่า ในขณะที่จีนกำลังทำงานเพื่อ "สันติภาพโลกและความก้าวหน้าของมนุษยชาติ" แต่ "กลุ่มก้าวร้าว" ภายในสหรัฐกำลังให้ความช่วยเหลือกชาตินิยมในไต้หวันอย่างแข็งขันและวางแผนจะติดอาวุธให้ญี่ปุ่นอีกครั้ง คำพูดของเขาที่ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางคือ "ประชากรในเอเชียจะไม่มีวันลืมว่าระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกจุดระเบิดบนแผ่นดินเอเชีย" ด้วยการสนับสนุนจากผู้เข้าร่วมที่มีชื่อเสียงที่สุด การประชุมจึงได้ออกปฏิญญาที่เข้มแข็งเพื่อสนับสนุนสันติภาพ การยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ การลดอาวุธโดยทั่วไป และหลักการของการเป็นตัวแทนสากลในสหประชาชาติ[164]
ระหว่างทางไปร่วมการประชุมบันดุง ได้เกิดความพยายามลอบสังหารโจว เมื่อมีการวางระเบิดบนเครื่องบินแอร์อินเดีย Kashmir Princess ซึ่งถูกเช่าเหมาลำสำหรับการเดินทางของโจวจากฮ่องกงไปจาการ์ตา โจวรอดพ้นความพยายามนี้เมื่อเขาเปลี่ยนเครื่องบินในนาทีสุดท้าย แต่ผู้โดยสารคนอื่นบนเที่ยวบินนั้นเสียชีวิตทั้งหมด 11 คน มีเพียงลูกเรือสามคนที่รอดชีวิตจากการตก รายงานการศึกษาล่าสุดกล่าวโทษความพยายามดังกล่าวว่าเป็นฝีมือของ "หน่วยงานข่าวกรองหนึ่งของก๊กมินตั๋ง"[165] โจเซฟ เทรนโต นักข่าว ยังอ้างว่ามีความพยายามครั้งที่สองในการปลิดชีวิตโจวในการประชุมบันดุงซึ่งเกี่ยวข้องกับ "ชามข้าวที่มีสารพิษออกฤทธิ์ช้า"[166]
ตามรายงานหนึ่งที่อิงจากการวิจัยล่าสุด โจวรู้เรื่องระเบิดบน Kashmir Princess หลังได้รับคำเตือนเกี่ยวกับแผนการจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเขาเองและไม่ได้พยายามจะหยุดยั้งเพราะเขาเห็นว่าผู้ที่เสียชีวิตเป็นผู้ที่สามารถแทนที่ได้: นักข่าวต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับล่าง หลังเครื่องบินตก โจวใช้เหตุการณ์นี้เตือนรัฐบาลอังกฤษเกี่ยวกับสายลับก๊กมินตั๋งที่เคลื่อนไหวอยู่ในฮ่องกงและกดดันให้สหราชอาณาจักรยุติเครือข่ายข่าวกรองของชาตินิยมที่ดำเนินการอยู่ที่นั่น (โดยตัวเขาเองรับบทเป็นผู้สนับสนุน) เขาหวังว่าเหตุการณ์นี้จะช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ของอังกฤษกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและทำลายความสัมพันธ์ของอังกฤษกับสาธารณรัฐจีน (ROC)[167] อย่างไรก็ตาม คำอธิบายอย่างเป็นทางการสำหรับการไม่ขึ้นเครื่องบินของโจวยังคงเป็นเพราะโจวถูกบังคับให้เปลี่ยนกำหนดการเนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ[168]
หลังการประชุมบันดุง สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศของจีนเริ่มดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความช่วยเหลือจากหลายประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งเข้าร่วมการประชุม จุดยืนที่สหรัฐหนุนหลังในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนก็เริ่มเสื่อมคลายลง แม้จะมีแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากสหรัฐให้ปฏิบัติตามแนวทางของตนก็ตาม ใน ค.ศ. 1971 สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ได้รับที่นั่งของจีนในสหประชาชาติ[169]
การเยือนแอฟริกา
[แก้]
ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1963 ถึงมกราคม ค.ศ. 1964 โจวได้เดินทางไปเยือนประเทศในแอฟริกาเหนือทั้งหมดเพื่อภารกิจทางการทูต วันที่ 15 ธันวาคม โจวเข้าพบประธานาธิบดีนาศิรแห่งอียิปต์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ[170] จากนั้น วันที่ 21 ธันวาคม โจวเยือนแอลจีเรีย ในการประชุมครั้งนั้น ประธานาธิบดีอาเหม็ด เบน เบลลา ได้เรียกร้องให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างสองชาติ[171] วันที่ 27 ธันวาคม รัฐบาลตูนิเซียได้ประกาศความตั้งใจที่จะให้การรับรองรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนหลังการวางแผนร่วมกับทูตตูนิเซียให้โจวเดินทางเยือนประเทศเป็นเวลา 2 วันในเดือนมกราคม[172] วันที่ 28 ธันวาคม โจวเยือนโมร็อกโกและเข้าเฝ้ากษัตริย์ฮะซันที่ 2 แม้จะไม่มีการยืนยัน แต่เชื่อกันว่าการประชุมครั้งนี้มีลักษณะเน้นด้านเศรษฐกิจมากกว่าการพยายามแสวงหาการสนับสนุนจากจีนคอมมิวนิสต์[173]
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวว่าเขามีกำหนดการเข้าพบผู้นำในมาลี กินี และกานา[171]
จุดเยือนเรื่องไต้หวัน
[แก้]
เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 โจวแจ้งแก่รัฐบาลทั่วโลกว่า ประเทศใดก็ตามที่ต้องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องยุติความสัมพันธ์กับผู้นำของอดีตระบอบในไต้หวัน และสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนเหนือที่นั่งของจีนในสหประชาชาติ นี่เป็นเอกสารนโยบายต่างประเทศฉบับแรกที่ออกโดยรัฐบาลใหม่ ภายใน ค.ศ. 1950 สาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ และกับประเทศที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ 13 ประเทศได้สำเร็จ แต่การเจรจากับรัฐบาลตะวันตกส่วนใหญ่ไม่ประสบผล[174]
โจวปรากฏตัวจากการประชุมบันดุงพร้อมกับชื่อเสียงในฐานะนักเจรจาที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง เมื่อตระหนักว่าสหรัฐจะหนุนหลังความเป็นเอกราชโดยพฤตินัยของไต้หวันซึ่งควบคุมโดยสาธารณรัฐจีนด้วยกำลังทหาร โจวโน้มน้าวรัฐบาลของตนให้ยุติการระดมยิงหมู่เกาะจินเหมินและหมาจู่ และหันไปหาทางเลือกทางการทูตเพื่อยุติการเผชิญหน้าแทน ในการประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1955 โจวประกาศว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะ "มุ่งมั่นที่จะปลดปล่อยไต้หวันด้วยวิธีการสันติเท่าที่จะเป็นไปได้"[175] เมื่อใดก็ตามที่มีการหยิบประเด็นไต้หวันขึ้นมาหารือกับรัฐบุรุษต่างประเทศ โจวจะแย้งว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และการแก้ไขความขัดแย้งกับทางการไต้หวันเป็นเรื่องภายใน[176]
ใน ค.ศ. 1958 ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถูกส่งมอบแก่เฉิน อี้ นายพลผู้มีประสบการณ์ทางการทูตน้อยมาก หลังโจวลาออกจากตำแหน่งในกระทรวงการต่างประเทศ คณะทูตของสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ถูกลดจำนวนลงอย่างมาก เจ้าหน้าที่บางส่วนถูกย้ายไปแผนกวัฒนธรรมและการศึกษาต่าง ๆ เพื่อทดแทนแกนนำที่ถูกตีตราว่าเป็น "ฝ่ายขวา" และถูกส่งไปทำงานในค่ายแรงงาน[177]
แถลงการณ์เซี่ยงไฮ้
[แก้]

ช่วงต้นทศวรรษ 1970 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐเริ่มดีขึ้น คนงานของเหมาในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม หนึ่งในไม่กี่ภาคเศรษฐกิจของจีนที่กำลังเติบโตในขณะนั้น ให้คำแนะนำต่อประธานเหมาว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตตามที่ผู้นำพรรคต้องการ การนำเข้าเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญทางเทคนิคของอเมริกาในปริมาณมากเป็นสิ่งจำเป็น ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1970 จีนได้เชิญทีมปิงปองของอเมริกามาเยือนจีน ถือเป็นการเริ่มต้นสมัย "การทูตปิงปอง"[178]
ใน ค.ศ. 1971 โจวได้พบอย่างลับ ๆ กับเฮนรี คิสซินเจอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประธานาธิบดีนิกสัน ซึ่งเดินทางมายังจีนเพื่อเตรียมการประชุมระหว่างริชาร์ด นิกสันกับเหมา ระหว่างการประชุมเหล่านี้ สหรัฐตกลงอนุญาตการโอนเงินของอเมริกาไปยังจีน (คาดว่าจากญาติในสหรัฐ) อนุญาตให้เรือสัญชาติอเมริกันทำการค้ากับจีน (ภายใต้ธงชาติอื่น) และอนุญาตให้สินค้าจีนส่งออกไปยังสหรัฐได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามเกาหลี ในขณะนั้น การเจรจาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งจนถูกปกปิดจากสาธารณชนอเมริกัน กระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา และรัฐบาลต่างประเทศทั้งหมด[178]
เช้าวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 ริชาร์ด นิกสันเดินทางถึงปักกิ่ง โดยมีโจวเป็นผู้ให้การต้อนรับ และต่อมาได้เข้าพบเหมา เจ๋อตง สาระสำคัญทางการทูตของการเยือนของนิกสันได้ข้อสรุปในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ในแถลงการณ์เซี่ยงไฮ้ ซึ่งสรุปจุดยืนของทั้งสองฝ่ายโดยไม่มีความพยายามแก้ไขความขัดแย้ง "ฝ่ายสหรัฐ" ยืนยันจุดยืนของอเมริกาว่าการเข้ามีส่วนร่วมในสงครามเวียดนามที่กำลังดำเนินอยู่ไม่ถือเป็นการ "แทรกแซงจากภายนอก" ในกิจการของเวียดนาม และย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อ "เสรีภาพส่วนบุคคล" รวมถึงให้คำมั่นที่จะสนับสนุนเกาหลีใต้ต่อไป "ฝ่ายจีน" ระบุว่า "ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน" ว่า "กองกำลังต่างชาติทั้งหมดควรถูกถอนกลับประเทศของตน" และเกาหลีควรได้รับการรวมเป็นหนึ่งตามข้อเรียกร้องของเกาหลีเหนือ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะมีความเห็นต่างเกี่ยวกับสถานะของไต้หวัน ส่วนท้ายของแถลงการณ์เซี่ยงไฮ้สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนทางการทูต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สื่อสารมวลชน และวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม และรับรองความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายที่จะร่วมกันทำงานเพื่อ "ผ่อนคลายความตึงเครียดในเอเชียและทั่วโลก" มติของแถลงการณ์เซี่ยงไฮ้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่สำหรับทั้งสหรัฐและจีน[179]
การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า
[แก้]ในช่วงขบวนการซูฝาน โจวพยายามปกป้องสมาชิกของสถาบันที่เขาควบคุมอยู่ เช่น สถาบันวิทยาศาสตร์ โดยการจำกัดความรุนแรงของข้อกล่าวหาที่มีต่อพวกเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถปกป้องพันธมิตรของตนได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ผาน ฮั่นเหนียน ผู้ร่วมงานของโจวตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมือง ต้องสงสัยเพราะติดต่อกับกองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงเวลานั้นและถูกจับ[150]: 231 ใน ค.ศ. 1959 โจวได้รับอนุญาตจากเหมาให้กู้ชื่อเสียงปัญญาชน "ฝ่ายขวา" จำนวน 40,000 คน[150]: 280
ใน ค.ศ. 1958 เหมาริเริ่มการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มระดับการผลิตของจีนทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมด้วยเป้าหมายที่ไม่เป็นจริง ในฐานะผู้บริหารที่เป็นที่นิยมและเน้นปฏิบัติจริง โจวสามารถรักษาตำแหน่งของตนไว้ได้ตลอดช่วงการก้าวกระโดดนี้ ใน ค.ศ. 1959 เขาสั่งให้รื้อสุสานบรรพบุรุษของครอบครัวตนเองในหฺวายอานเพื่อให้สามารถนำที่ดินไปใช้ในการทำนารวมได้ เพื่อนร่วมงานและญาติของโจวกล่าวว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ในยามลำบาก[150]: 281
ต้นทศวรรษ 1960 ชื่อเสียงของเหมาไม่ได้สูงส่งเหมือนที่เคยเป็นมา นโยบายเศรษฐกิจของเหมาในทศวรรษ 1950 ประสบความล้มเหลว และเขามีวิถีชีวิตที่ห่างเหินจากเพื่อนร่วมงานเก่าแก่หลายคนมากขึ้นเรื่อย ๆ การผสมผสานระหว่างความแปลกประหลาดส่วนตัวของเขากับความล้มเหลวของนโยบายอุตสาหกรรมก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์จากนักปฏิวัติอาวุโสหลายคน เช่น หลิว เช่าฉี, เติ้ง เสี่ยวผิง, เฉิน ยฺหวิน และโจว ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความกระตือรือร้นต่อวิสัยทัศน์ของการต่อสู้ปฏิวัติอย่างต่อเนื่องของเหมาลดน้อยลง[180]
อาการป่วย
[แก้]ความพยายามเริ่มแรกของเหมาและหลิน
[แก้]
เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์และอำนาจของตนเอง เหมา โดยได้รับความช่วยเหลือจากหลิน เปียว ได้ดำเนินการโฆษณาชวนเชื่อต่อสาธารณะหลายประการ ความพยายามของเหมาและหลินในการปรับปรุงภาพลักษณ์ของเหมาในช่วงต้นทศวรรษ 1960 รวมถึงการที่หลินได้ตีพิมพ์บันทึกประจำวันของเหลย์เฟิงและการรวบรวมคติพจน์จากประธานเหมา[181] ความพยายามครั้งสุดท้ายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือการปฏิวัติวัฒนธรรม ในการประชุมวางแผนเบื้องต้นของคณะกรรมการกลางพรรค โจวถกเถียงเรื่องโครงการ 16 จุดสำหรับการปฏิวัติวัฒนธรรม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยสิบจุด[150]: 324 แม้จะยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ โจวก็พยายามเน้นไปที่การปกป้องนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ บุคลากรทางวัฒนธรรม นักเขียน และศิลปิน ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าหน้าที่ในสถาบันส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาได้ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการปกป้องเพื่อนและพันธมิตรของเขา เช่น เนี่ย หรงเจินและกัว มั่วรั่ว ได้บ้าง[150]: 324–328
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอื่นใด การปฏิวัติวัฒนธรรมที่ประกาศใน ค.ศ. 1966 เป็นการสนับสนุนเหมา เจ๋อตงอย่างเปิดเผย และทำให้เหมามีอำนาจและอิทธิพลในการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองออกจากพรรคในระดับสูงสุดของรัฐบาล นอกเหนือจากการสั่งปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของจีนแล้ว ยังมีการเร่งเร้าให้เยาวชนจีนทำลายอาคารเก่า วัด และศิลปะ และโจมตีครู "ลัทธิแก้" ผู้บริหารโรงเรียน ผู้นำพรรค และบุพการีของตนเอง[182] หลังประกาศการปฏิวัติวัฒนธรรม สมาชิกอาวุโสหลายคนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ลังเลในการปฏิบัติตามทิศทางของเหมา รวมถึงประธานหลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิง ถูกปลดจากตำแหน่งเกือบจะทันที พวกเขาและครอบครัวถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกทำให้เสียเกียรติอย่างรุนแรง[182]
การอยู่รอดทางการเมือง
[แก้]หลังถูกปลดจากตำแหน่งไม่นาน โจวเสนอว่าควร "อนุญาตให้ประธานหลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิงกลับมาทำงาน" แต่ถูกคัดค้านโดยเหมา, หลิน เปียว, คัง เชิงและเฉิน ปั๋วต๋า เฉิน ปั๋วต๋าถึงกับเสนอว่าโจวเองอาจถูก "พิจารณาว่าเป็นพวกต่อต้านปฏิวัติ" หากเขาไม่ทำตามแนวทางของเหมา[183] ภายหลังการข่มขู่ว่าจะต้องเจอชะตากรรมเดียวกับสหายหากเขาไม่สนับสนุนเหมา โจวก็หยุดวิพากษ์วิจารณ์และเริ่มทำงานอย่างใกล้ชิดกับประธานเหมาและกลุ่มพวกพ้องของเขา
โจวให้การสนับสนุนการตั้งองค์กรยุวชนแดงหัวรุนแรงในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1966 และเข้าร่วมกับเฉิน ปั๋วต๋าและเจียง ชิงในการต่อต้านสิ่งที่พวกเขาถือว่าเป็นยุวชนแดง "ฝ่ายซ้าย" และ "ฝ่ายขวา" สิ่งนี้เปิดทางให้มีการโจมตีหลิว เช่าฉี, เติ้ง เสี่ยวผิง และเถา จู้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1966 และมกราคม ค.ศ. 1967[184] ภายในเดือนกันยายน ค.ศ. 1968 โจวอธิบายอย่างตรงไปตรงมาถึงกลยุทธ์การรอดชีวิตทางการเมืองของเขาต่อนักรัฐสภา LDP ชาวญี่ปุ่นที่มาเยือนปักกิ่งว่า: "ความเห็นส่วนตัวของคนเราควรจะก้าวหน้าหรือถอยกลับไปตามทิศทางของคนส่วนใหญ่"[185] เมื่อเขาถูกกล่าวหาว่าขาดความกระตือรือร้นในการติดตามความเป็นผู้นำของเหมา เขาได้กล่าวโทษตนเองว่า "ขาดความเข้าใจ" ในทฤษฎีของเหมา โดยแสดงท่าทีประนีประนอมกับกองกำลังที่เขาลับ ๆ ชิงชังและเรียกเป็นการส่วนตัวว่า "นรก" ของเขา[186] ตามตรรกะของการรอดชีวิตทางการเมือง โจวทำงานเพื่อช่วยเหลือเหมาและจำกัดการวิพากษ์วิจารณ์ของเขาไว้เพียงการสนทนาส่วนตัวเท่านั้น
ตลอดทศวรรษถัดมา เหมาเป็นผู้พัฒนานโยบายเป็นส่วนใหญ่ในขณะที่โจวเป็นผู้ดำเนินการ โดยพยายามบรรเทาความสุดโต่งบางอย่างของการปฏิวัติวัฒนธรรม เช่น การป้องกันไม่ให้ปักกิ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "นครบูรพาแดง" (จีน: 东方红市; พินอิน: Dōngfānghóngshì) และการป้องกันไม่ให้สิงโตผู้พิทักษ์จีนหน้าจัตุรัสเทียนอันเหมินถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นเหมา[187] โดยอาศัยอำนาจของเหมา โจวได้จัดทำรายชื่อบุคคลที่จะได้รับการคุ้มครองจากการถูกข่มเหง รวมถึงผู่อี๋และครอบครัว คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ หัวหน้าพรรคที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ผู้พิพากษาศาลสูงสุด และอดีตนายพลชาตินิยม เช่น ไช่ ถิงไข่และฟู่ จั้วอี้ เขายังสามารถปกป้องผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายจากการข่มเห่งร้ายแรงกว่าได้ด้วยการให้พวกเขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 301 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่มีใจสามารถดูแลพวกเขาให้พ้นจากการเข้าถึงของยุวชนแดงได้[150]: 332–333 โจวยังสั่งให้กองพันของกองทัพปลดปล่อยประชาชนคุ้มกันพระราชวังต้องห้ามและปกป้องวัตถุทางประเพณีจากความเสียหายและการทำลายโดยยุวชนแดง[188] โจวไม่ชอบงิ้วปฏวัติ (ย่างป่านซี่)[189]: 167 แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ แต่การที่เขาไม่สามารถป้องกันเหตุการณ์มากมายในการปฏิวัติวัฒนธรรมได้ถือเป็นความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวงสำหรับโจว ตลอดทศวรรษสุดท้ายของชีวิต ความสามารถของโจวในการดำเนินนโยบายของเหมาและรักษาประเทศให้ดำเนินต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมีความสำคัญในทางปฏิบัติมากพอจะช่วยชีวิตเขาได้ (ด้วยความช่วยเหลือของเหมา) เมื่อใดก็ตามที่โจวตกอยู่ในอันตรายทางการเมือง[190] ในช่วงสุดท้ายของการปฏิวัติวัฒนธรรม ใน ค.ศ. 1975 โจวผลักดัน "สี่ทันสมัย" เพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากนโยบายของเหมา
แม้โจวจะรอดพ้นจากการประหัตประหารโดยตรงในช่วงแรก แต่เขาไม่สามารถช่วยชีวิตคนใกล้ชิดที่สุดหลายคนไม่ให้ชีวิตถูกทำลายโดยการปฏิวัติวัฒนธรรมได้ ซุน เหวย์ชื่อ บุตรสาวบุญธรรมของโจว เสียชีวิตใน ค.ศ. 1968 หลังถูกทรมาน ถูกจำคุก และถูกข่มขืนโดยยุวชนแดงผู้ภักดีต่อเหมาเป็นเวลาเจ็ดเดือน ใน ค.ศ. 1968 เจียง ชิงยังมีส่วนในการทรมานและสังหารบุตรชายบุญธรรม (ซุน หยาง) ของโจวโดยยุวชนแดง หลังการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลง บทละครของซุนก็ถูกนำกลับมาแสดงเพื่อเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แก๊งสี่คน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของเธอ[191]
ในช่วงหลังของการปฏิวัติวัฒนธรรม โจวกลายเป็นเป้าหมายของการรณรงค์ทางการเมืองที่จัดโดยประธานเหมาและแก๊งสี่คน การรณรงค์ "วิพากษ์หลิน วิพากษ์ขงจื๊อ" ใน ค.ศ. 1973 และ 1974 มุ่งเป้าไปที่นายกรัฐมนตรีโจวเพราะเขาถูกมองว่าเป็นคู่แข่งทางการเมืองหลักของแก๊งสี่คน ใน ค.ศ. 1975 ศัตรูของโจวริเริ่มการรณรงค์ชื่อ "วิพากษ์ซ่งเจียง ประเมินซ้องกั๋ง" ซึ่งส่งเสริมให้ใช้โจวเป็นตัวอย่างของผู้แพ้ทางการเมือง[192]
อสัญกรรม
[แก้]ความเจ็บป่วยและความตาย
[แก้]ตามชีวประวัติของโจวที่เขียนโดยเกา เหวินเชียน อดีตนักวิจัยจากสำนักงานการวิจัยเอกสารพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่าโจวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1972[193] คณะแพทย์ของโจวรายงานว่าเขามีโอกาสสูงที่จะหายจากการรักษา อย่างไรก็ตาม การรักษาทางการแพทย์สำหรับสมาชิกพรรคที่มีตำแหน่งสูงสุดต้องได้รับอนุมัติจากเหมา ซึ่งเหมาออกคำสั่งไม่ให้แจ้งผลการวินิจฉัยแก่โจวและภรรยา ไม่ให้ทำการผ่าตัด และไม่ให้ตรวจเพิ่มเติม[194]
ตามคำกล่าวของจี้ เฉาจู้ ล่ามส่วนตัวของโจว ระบุว่าเฮนรี คิสซินเจอร์ได้เสนอส่งผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งจากสหรัฐมาทำการรักษาโจว แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกปฏิเสธในที่สุด[195] ภายใน ค.ศ. 1974 โจวมีอาการเลือดออกในปัสสาวะอย่างมาก หลังผู้นำจีนคนอื่น ๆ ที่ทราบอาการของโจวได้กดดัน เหมาจึงสั่งให้ทำการผ่าตัดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1974 แต่เลือดออกกลับมาอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนต่อมา บ่งชี้ว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ การผ่าตัดหลายครั้งในช่วงหนึ่งปีครึ่งต่อมาไม่สามารถยับยั้งการลุกลามของมะเร็งได้[196] โจวยังคงทำงานในระหว่างที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยมีเติ้ง เสี่ยวผิง รองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง เข้ามารับผิดชอบกิจการสำคัญส่วนใหญ่ของคณะมนตรีรัฐกิจ การปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายของเขาคือในการประชุมครั้งแรกของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 4 เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1975 ซึ่งเขานำเสนอรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล หลังจากนั้นเขาก็หายไปจากสายตาของสาธารณชนเพื่อรับการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติม[197] โจวถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคมะเร็งเมื่อเวลา 09:57 น. ของวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1976 สิริอายุ 77 ปี
การตอบสนองของเหมา
[แก้]หลังอสัญกรรมของโจว เหมาไม่ได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ เพื่อรับรองความสำเร็จหรือคุณูปการของโจว และไม่ได้ส่งคำแสดงความเสียใจถึงม่ายของโจว ซึ่งเป็นผู้นำพรรคอาวุโสด้วยตนเอง[198] เหมาสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ของเขาไม่ให้สวมปลอกแขนสีดำไว้อาลัย[199] การที่เหมาจะเข้าร่วมพิธีศพของโจว ซึ่งจัดขึ้นที่มหาศาลาประชาชนหรือไม่นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียง ด้วยตัวเหมาเองมีสุขภาพทรุดโทรมมากจนไม่สามารถเข้าร่วมได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด[199] อย่างไรก็ตาม เหมาสั่งให้ส่งพวงหรีดไปยังพิธีศพ[199]
เหมาโจมตีข้อเสนอที่จะให้มีการประกาศยกย่องโจวต่อสาธารณะว่าเป็นมาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ และปฏิเสธคำร้องขอให้เขาปรากฏตัวสั้น ๆ ในพิธีศพของโจว โดยสั่งให้หลานชาย เหมา ยฺเหวี่ยนซิน อธิบายว่าเขาไม่สามารถเข้าร่วมได้เพราะการทำเช่นนั้นจะถูกมองว่าเป็นการยอมรับต่อสาธารณะว่าเขากำลังถูกบังคับให้ "ทบทวนการปฏิวัติวัฒนธรรมใหม่" เนื่องจากช่วงบั้นปลายชีวิตของโจวมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการยับยั้งและปรับเปลี่ยนความรุนแรงของการปฏิวัติวัฒนธรรม เหมาวิตกว่าการแสดงความอาลัยต่อสาธารณะในภายหลังอาจถูกนำมาใช้โจมตีตัวเขาและนโยบายของเขา และสนับสนุนการรณรงค์ "ห้าข้อห้าม" (ดูด้านล่าง) เพื่อปราบปรามการแสดงความอาลัยต่อโจวในที่สาธารณะหลังอสัญกรรมของอดีตนายกรัฐมนตรี[200]
อนุสรณ์
[แก้]ไม่ว่าเหมาจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับโจว แต่สาธารณชนก็อยู่ในความโศกเศร้าโดยทั่วไป ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายงานว่าปักกิ่ง ในเวลาไม่นานหลังจากอสัญกรรมของโจว ดูเหมือนกับเป็นเมืองร้าง ไม่มีพิธีฝังศพ เนื่องจากโจวได้สั่งเสียไว้ว่าต้องการให้เถ้ากระดูกของเขาถูกโปรยไปตามเนินเขาและแม่น้ำในบ้านเกิด มากกว่าจะเก็บไว้ในอนุสรณ์พิธีการ เมื่อโจวจากไป เป็นที่ชัดเจนว่าประชาชนชาวจีนเคารพรักเขามากเพียงใด และมองว่าเขาเป็นสัญลักษณ์ของเสถียรภาพในยุคสมัยที่วุ่นวายทางประวัติศาสตร์อย่างมาก[201] อสัญกรรมของโจวยังนำมาซึ่งการแสดงความเสียใจจากนานาชาติทั่วโลก
รองนายกรัฐมนตรีเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นผู้กล่าวบทยกย่องในพิธีศพของโจวเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1976 แม้คำกล่าวส่วนใหญ่จะสะท้อนถ้อยคำของแถลงการณ์อย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการกลางทันทีหลังอสัญกรรมของโจวหรือประกอบด้วยคำบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพทางการเมืองอันน่าทึ่งของโจว แต่ช่วงท้ายของบท เขาก็ได้กล่าวสรรเสริญลักษณะส่วนตัวของโจวอย่างจริงใจโดยแสดงความรู้สึกออกมาจากใจจริงขณะที่ยังคงรักษาสำนวนโวหารที่จำเป็นสำหรับโอกาสรัฐพิธีในการกล่าวถึงโจว[202] เติ้งกล่าวว่า:
เขาเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา ใส่ใจผลประโยชน์ส่วนรวม เคารพวินัยของพรรค เข้มงวดในการ "วิจารณ์" ตัวเอง และเก่งในการรวมมวลชนของเจ้าหน้าที่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมถึงธำรงไว้ซึ่งความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นของพรรค เขารักษาความสัมพันธ์อย่างกว้างขวางและใกล้ชิดกับมวลชน และแสดงความเมตตาอันไม่มีขอบเขตต่อสหายและประชาชนทุกคน... เราควรเรียนรู้จากแบบอย่างอันดีงามของเขา—คือความถ่อมตัวและรอบคอบ สุภาพและเข้าถึงได้ง่าย เป็นแบบอย่างในการประพฤติ และดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและขยันขันแข็ง เราควรทำตามแบบอย่างของเขาในการยึดมั่นในวิถีชีวิตแบบชนกรรมาชีพและต่อต้านวิถีชีวิตแบบชนชั้นกระฎุมพี[202]
สเปนซ์เชื่อว่าในเวลานั้นข้อความนี้ถูกตีความว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เหมาและผู้นำคนอื่น ๆ ของการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างละมุนละไม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกมองหรือสรรเสริญว่าเป็นคน "เปิดเผยและตรงไปตรงมา", "เก่งในการรวมมวลชนของเจ้าหน้าที่", หรือแสดงออกซึ่ง "ความเมตตา" หรือความถ่อมตัว, ความรอบคอบ, หรือการเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าเจตนาของเติ้งจะเป็นอย่างไร แก๊งสี่คน และต่อมาคือฮฺว่า กั๋วเฟิง ได้เพิ่มการข่มเหงเติ้งทันทีหลังจากที่เขากล่าวบทยกย่องนี้[202]
การระงับการไว้อาลัยสาธารณะ
[แก้]หลังพิธีไว้อาลัยอย่างเป็นทางการครั้งเดียวของโจวในวันที่ 15 มกราคม ศัตรูทางการเมืองของโจวภายในพรรคสั่งห้ามการแสดงความอาลัยต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ ข้อบังคับที่ฉาวโฉ่ที่สุดในการห้ามให้เกียรติโจวคือ "ห้าข้อห้าม" ที่มีการละเลยและบังคับใช้ไม่ดี ได้แก่ ห้ามสวมปลอกแขนดำ ห้ามพวงหรีดไว้อาลัย ห้ามจัดห้องไว้อาลัย ห้ามกิจกรรมรำลึก และห้ามแจกจ่ายรูปถ่ายของโจว ความคับข้องใจที่สะสมมานานหลายปีต่อการปฏิวัติวัฒนธรรม การข่มเหงเติ้ง เสี่ยวผิง (ซึ่งสาธารณชนมองว่ามีความใกล้ชิดกับโจวอย่างมาก) และการห้ามไว้อาลัยโจวอย่างเปิดเผย ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันหลังจากที่โจวเสียชีวิตไม่นาน สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวางต่อเหมาและผู้สืบทอดอำนาจที่เห็นได้ชัด (โดยเฉพาะฮฺว่า กั๋วเฟิงและแก๊งสี่คน)[203]
ความพยายามอย่างเป็นทางการในการบังคับใช้ "ห้าข้อห้าม" รวมถึงการรื้อถอนอนุสรณ์สาธารณะและการฉีกโปสเตอร์รำลึกถึงผลงานของเขา วันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1976 หนังสือพิมพ์ชั้นนำของเซี่ยงไฮ้ เหวินฮุ่ยเป้า ตีพิมพ์บทความที่ระบุว่าโจวเป็น "ผู้เดินตามทุนนิยมภายในพรรค [ที่] ต้องการช่วยเหลือผู้เดินตามทุนนิยมที่ไม่สำนึก [เติ้ง] ให้กลับมามีอำนาจ" การโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้และความพยายามอื่น ๆ ในการโจมตีภาพลักษณ์ของโจวมีแต่จะยิ่งเสริมความผูกพันของสาธารณชนต่อความทรงจำของโจว[204] ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ค.ศ. 1976 มีเอกสารปลอมฉบับหนึ่งเผยแพร่ในหนานจิงโดยอ้างว่าเป็นพินัยกรรมฉบับสุดท้ายของโจว เอินไหล เอกสารดังกล่าวโจมตีเจียง ชิงและยกย่องเติ้ง เสี่ยวผิง ทำให้รัฐบาลต้องเพิ่มความพยายามโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้าน[205]
อุบัติการณ์เทียนอันเหมิน
[แก้]ภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังอสัญกรรมของโจว ได้เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างไม่ธรรมดาที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1976 ก่อนเทศกาลเช็งเม้งประจำปีของจีน ที่ผู้คนจะไปคารวะบรรพบุรุษที่ล่วงลับตามธรรมเนียม ผู้คนหลายพันได้รวมตัวกันรอบอนุสาวรีย์วีรชน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อรำลึกถึงชีวิตและอสัญกรรมของโจว เอินไหล ในโอกาสนี้ ชาวปักกิ่งได้ให้เกียรติโจวโดยการวางพวงหรีด ป้ายผ้า กลอน แผ่นป้าย และดอกไม้ที่ฐานอนุสาวรีย์[206] จุดประสงค์ที่ชัดเจนที่สุดของการรำลึกครั้งนี้คือการยกย่องสรรเสริญโจว แต่ในขณะเดียวกันก็มีการโจมตีเจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว และเหยา เหวินยฺเหวียนสำหรับการกระทำอันชั่วช้าที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำต่ออดีตนายกรัฐมนตรี คำขวัญจำนวนหนึ่งที่ทิ้งไว้ที่เทียนอันเหมินยังโจมตีเหมาเอง และการปฏิวัติวัฒนธรรมของเขาด้วย[207]
มีผู้เข้าเยี่ยมชมจัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 4 เมษายนอาจสูงถึงสองล้านคน[207] บันทึกการสังเกตเหตุการณ์ในจัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 4 เมษายนรายงานว่าผู้คนจากทุกระดับชั้นในสังคม ตั้งแต่ชาวนาที่ยากจนที่สุดไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพปลดปล่อยประชาชนและลูกหลานของแกนนำสูง ต่างเข้าร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมมีแรงจูงใจที่ผสมกันของความโกรธต่อการปฏิบัติที่โจวได้รับ การกบฏต่อเหมาและนโยบายของเขา ความกังวลต่ออนาคตของจีน และการท้าทายผู้ที่ต้องการลงโทษสาธารณชนสำหรับการรำลึกถึงโจว ไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการประสานงานจากตำแหน่งผู้นำใด ๆ เป็นการประท้วงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่สะท้อนความรู้สึกของสาธารณชนในวงกว้าง เติ้ง เสี่ยวผิงไม่ได้เข้าร่วมอย่างเห็นได้ชัด และเขาสั่งให้ลูก ๆ เลี่ยงการไปปรากฏตัวที่จัตุรัส[208]
เช้าวันที่ 5 เมษายน ฝูงชนที่มารวมตัวกันรอบอนุสาวรีย์พบว่าตำรวจได้เคลื่อนย้ายสิ่งที่จัดแสดงไว้ออกไปทั้งหมดในช่วงกลางคืน ทำให้ผู้คนโกรธแค้น ความพยายามปราบปรามผู้ไว้อาลัยนำไปสู่การจลาจลรุนแรง โดยมีการจุดไฟเผารถตำรวจและฝูงชนกว่า 100,000 คนบุกเข้าไปในอาคารของรัฐบาลหลายแห่งรอบจัตุรัส[206]
ภายในเวลา 18:00 น. ฝูงชนส่วนใหญ่ได้สลายตัวไป แต่มีกลุ่มเล็ก ๆ ยังคงอยู่จนถึงเวลา 22:00 น. เมื่อกองกำลังรักษาความมั่นคงเข้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมินและจับกุมพวกเขา (ตัวเลขที่รายงานของผู้ถูกจับกุมคือ 388 คน แต่มีข่าวลือว่าสูงกว่ามาก) ผู้ถูกจับกุมหลายคนถูกตัดสินให้เข้ารับ "การพิจารณาของประชาชน" ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือถูกตัดสินให้ไปใช้แรงงานในค่ายกักกัน อุบัติการณ์ที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นในปักกิ่งเมื่อวันที่ 4 และ 5 เมษายนเกิดขึ้นในเจิ้งโจว, คุนหมิง, ไท่หยวน, ฉางชุน, เซี่ยงไฮ้, อู่ฮั่น และกว่างโจว อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับโจว เติ้ง เสี่ยวผิงจึงถูกปลดจากตำแหน่ง "ทั้งในและนอกพรรค" อย่างเป็นทางการในวันที่ 7 เมษายน หลังเกิด "อุบัติการณ์เทียนอันเหมิน" นี้[206]
หลังโค่นล้มฮฺว่า กั๋วเฟิงและเข้าควบคุมประเทศจีนใน ค.ศ. 1980 เติ้ง เสี่ยวผิงได้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมในอุบัติการณ์เทียนอันเหมินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่กว้างขึ้นในการย้อนผลกระทบของการปฏิวัติวัฒนธรรม
มรดก
[แก้]
ในช่วงท้ายของชีวิต โจวได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นตัวแทนของความเป็นกลางและความยุติธรรมในวัฒนธรรมประชานิยมของจีน[203] นับตั้งแต่อสัญกรรมของเขา โจวถูกมองว่าเป็นนักเจรจาที่มีทักษะ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินนโยบาย เป็นนักปฏิวัติที่อุทิศตน และเป็นรัฐบุรุษปฏิบัตินิยมปฏิบัติซึ่งใส่ใจในรายละเอียดและแง่มุมปลีกย่อยอย่างผิดธรรมดา เขายังเป็นที่รู้จักในด้านจรรยาบรรณในการทำงานที่ทุ่มเทและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รวมถึงเสน่ห์และความสง่างามในการเข้าสังคมที่โดดเด่น พฤติกรรมทางการเมืองของโจวควรถูกมองในแง่ของปรัชญาการเมืองและบุคลิกภาพของเขาด้วย ในระดับใหญ่ โจวเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความขัดแย้งที่แฝงอยู่ในนักการเมืองคอมมิวนิสต์ที่เติบโตมาในขนบธรรมเนียมจีนดั้งเดิม เป็นทั้งอนุรักษนิยมและหัวรุนแรง เป็นปฏิบัตินิยมและยึดมั่นในอุดมการณ์ มีความเชื่อในระเบียบและความสามัคคี ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อ (ซึ่งพัฒนาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป) ในพลังแห่งการก้าวหน้าของการกบฏและการปฏิวัติ
แม้จะเป็นผู้เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในอุดมคติคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นรากฐานของสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่โจวก็ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าได้บรรเทาความสุดโต่งของนโยบายหัวรุนแรงของเหมาภายในอำนาจของตน[209] เป็นที่เชื่อกันว่าเขาประสบความสำเร็จในการปกป้องสถานที่ทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญทางศาสนาและจักรวรรดิหลายแห่ง (เช่น พระราชวังโปตาลาในลาซ่าและพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง) จากยุวชนแดง และยังปกป้องผู้นำระดับสูงหลายคน รวมถึงเติ้ง เสี่ยวผิง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และศิลปินหลายคนจากการกวาดล้าง[209] เติ้ง เสี่ยวผิงเคยกล่าวไว้ว่าโจว "บางครั้งถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ขัดต่อมโนธรรมของตนเองเพื่อลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด" อันเป็นผลจากนโยบายของเหมา[209]
ขณะที่ผู้นำจีนยุคก่อนหลายคนในปัจจุบันถูกวิพากษ์วิจารณ์ในจีน แต่ภาพลักษณ์ของโจวยังคงเป็นไปในเชิงบวกและได้รับความเคารพในหมู่ชาวจีนร่วมสมัย ชาวจีนจำนวนมากยังคงยกย่องโจวว่าเป็นผู้นำที่มีมนุษยธรรมมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 และพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบันก็ส่งเสริมภาพลักษณ์ของโจวในฐานะผู้นำที่อุทิศตนและเสียสละซึ่งยังคงเป็นสัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์[210] แม้แต่นักประวัติศาสตร์ที่ระบุความผิดพลาดของเหมาก็มักให้คุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกับโจว: โจวเป็นผู้มีวัฒนธรรมและมีการศึกษา ในขณะที่เหมาหยาบคายและเรียบง่าย โจวมีความสม่ำเสมอในขณะที่เหมาไม่มีเสถียรภาพ โจวอดทนอดกลั้นในขณะที่เหมาหวาดระแวง[211] หลังอสัญกรรมของเหมา สื่อจีนเน้นย้ำเป็นพิเศษถึงรูปแบบความเป็นผู้นำของเขาที่ปรึกษาหารือ มีเหตุผล เป็นจริง และสุขุมรอบคอบ[212]

อย่างไรก็ตาม การวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการล่าสุดเกี่ยวกับโจวมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของเขากับเหมาในช่วงบั้นปลายชีวิต และกิจกรรมทางการเมืองของเขาในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยแย้งว่าความสัมพันธ์ระหว่างโจวกับเหมาอาจซับซ้อนกว่าที่มักถูกนำเสนอ โจวถูกอธิบายว่าเป็นผู้ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขและภักดีต่อเหมาและพันธมิตรของเขาอย่างยิ่ง ถึงขั้นยอมสนับสนุนหรืออนุญาตให้มีการข่มเหงเพื่อนและญาติพี่น้องเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับการประณามทางการเมืองด้วยตนเอง โจวไม่สามารถหรือไม่เต็มใจจะปกป้องอดีตสายลับที่เขาเคยจ้างในช่วงสงครามกลางเมืองจีนและสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งถูกข่มเหงเนื่องจากการติดต่อในช่วงสงครามกับศัตรูของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วงต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม เขาบอกกับเจียง ชิงว่า "นับจากนี้ไปเธิจะเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด และฉันจะทำให้แน่ใจว่ามันได้รับการดำเนินการ" และประกาศต่อสาธารณะว่าสหายเก่าของเขาอย่างหลิว เช่าฉี "สมควรตาย" สำหรับการต่อต้านเหมา ในความพยายามเลี่ยงการถูกข่มเหงจากการต่อต้านเหมา โจวยอมรับการข่มเหงทางการเมืองของคนอื่น ๆ อย่างเฉยเมย รวมถึงโจว เอินโช่ว น้องชายของเขาเอง[211][213][214]
คำกล่าวที่เป็นที่นิยมในจีนครั้งหนึ่งเปรียบเทียบโจวกับตุ๊กตาล้มลุก ซึ่งอาจหมายความว่าเขาเป็นนักฉวยโอกาสทางการเมือง หลี่ จื้อสุย แพทย์ส่วนตัวคนหนึ่งของเหมาในขณะนั้น ได้ให้ลักษณะโจวเช่นนั้นและวิพากษ์วิจารณ์โจวอย่างรุนแรงในหนังสือ The Private Life of Chairman Mao โดยบรรยายว่าเขาเป็น "ทาสของเหมา ผู้เชื่อฟังอย่างนอบน้อมที่สุด... ทุกสิ่งที่เขาทำ เขาทำเพื่อแสดงความภักดีต่อเหมา ทั้งเขาและ [เติ้ง หยิ่งเชา] ไม่มีแม้แต่ความคิดที่เป็นอิสระแม้แต่น้อย"[215] หลี่ยังบรรยายความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันของเหมากับโจวว่าเหมาเรียกร้องความภักดีอย่างเต็มที่ "แต่เพราะโจวอ่อนน้อมและภักดีมาก เหมาจึงดูถูก [โจว]"[216] ผู้สังเกตการณ์บางคนวิพากษ์วิจารณ์เขาว่าเป็นนักการทูตมากเกินไป: เลี่ยงการแสดงจุดยืนชัดเจนในสถานการณ์ทางการเมืองที่ซับซ้อนและกลับกลายเป็นผู้ที่เข้าใจยาก คลุมเครือ และลึกลับทางอุดมการณ์[209][210] มีคำอธิบายหลายอย่างที่ถูกนำเสนอเพื่ออธิบายความเข้าใจยากของเขา ดิก วิลสัน อดีตหัวหน้าบรรณาธิการของ Far Eastern Economic Review เขียนว่าทางเลือกเดียวของโจว "คือการเสแสร้งว่ายังคงสนับสนุนการเคลื่อนไหว [การปฏิวัติวัฒนธรรม] ต่อไป ขณะเดียวกันก็พยายามเบี่ยงเบนความสำเร็จของมัน บรรเทาความเสียหาย และเยียวยาบาดแผลที่มันกำลังสร้าง"[217] คำอธิบายสำหรับความเข้าใจยากของโจวนี้ยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางโดยชาวจีนจำนวนมากหลังอสัญกรรมของเขา[209] วิลสันยังเขียนอีกว่า โจว "คงถูกขับออกจากตำแหน่งที่มีอิทธิพล ถูกปลดจากการควบคุมรัฐบาล" หากเขา "แสดงจุดยืนและเรียกร้องให้เหมายุติการรณรงค์หรือควบคุมยุวชนแดง"[217]
ดังนั้น การมีส่วนร่วมของโจวในการปฏิวัติวัฒนธรรมจึงได้รับการปกป้องจากหลายคนบนพื้นฐานที่ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเสียสละทางการเมือง เนื่องมาจากอิทธิพลและความสามารถทางการเมืองของเขา รัฐบาลทั้งหมดอาจล่มสลายหากปราศจากความร่วมมือจากเขา เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงทศวรรษสุดท้ายของชีวิตโจว เป็นไปได้ยากที่เขาจะรอดจากการกวาดล้างได้หากปราศจากการสนับสนุนจากเหมาผ่านการช่วยเหลืออย่างแข็งขัน[190]
โจวได้รับคำชมอย่างมากจากรัฐบุรุษอเมริกันที่ได้พบกับเขาใน ค.ศ. 1971 เฮนรี คิสซินเจอร์ เขียนว่าเขาประทับใจอย่างยิ่งกับสติปัญญาและอุปนิสัยของโจว โดยบรรยายว่าเขา "สามารถสนทนาในเรื่องปรัชญา การรำลึกความหลัง การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ การหยั่งเชิงทางยุทธวิธี การตอบโต้ด้วยอารมณ์ขัน... [และ] แสดงความสง่างามส่วนตัวได้อย่างน่าทึ่ง" คิสซินเจอร์เรียกโจวว่าเป็น "หนึ่งในสองหรือสามคนที่น่าประทับใจที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา"[218] โดยระบุว่า "ความรอบรู้ในข้อเท็จจริง โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอเมริกา และความเป็นมาของผมนั้น ช่างน่าทึ่ง"[219] ในบันทึกความทรงจำของเขาริชาร์ด นิกสันระบุว่าเขาประทับใจใน "ความฉลาดปราดเปรื่องและพลังขับเคลื่อน" ที่โดดเด่นของโจว[211]
—อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เฮนรี คิสซินเจอร์, On China (2011)[220]
หลังขึ้นสู่อำนาจ เติ้ง เสี่ยวผิงอาจเน้นย้ำความสำเร็จของโจวมากเกินไปเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าและการปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมา ซึ่งทั้งสองอย่างทำลายเกียรติภูมิของพรรคอย่างร้ายแรง เติ้งสังเกตว่านโยบายที่หายนะของเหมาไม่สามารถเป็นตัวแทนช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพรรคได้อีกต่อไป แต่มรดกและอุปนิสัยของโจวสามารถเป็นได้ นอกจากนี้ เติ้งยังได้รับชื่อเสียงจากการออกนโยบายเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จซึ่งโจวได้เสนอไว้แต่แรก[221] ด้วยการเชื่อมโยงตัวเองอย่างแข็งขันกับโจวซึ่งเป็นที่นิยมอยู่แล้ว มรดกของโจวอาจถูกนำมาใช้ (และอาจบิดเบือน) เป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคหลังอสัญกรรมของเขา[190]

ปัจจุบันโจวยังคงเป็นบุคคลที่ได้รับการรำลึกถึงอย่างกว้างขวางในจีน หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน โจวสั่งไม่ให้บ้านเกิดของเขาที่หฺวายอานเปลี่ยนบ้านของเขาให้เป็นอนุสรณ์สถานและไม่ให้ดูแลสุสานบรรพบุรุษตระกูลโจว คำสั่งเหล่านี้ได้รับการเคารพตลอดช่วงชีวิตของโจว แต่ปัจจุบันบ้านของครอบครัวและโรงเรียนดั้งเดิมของตระกูลได้รับการบูรณะ และมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาเยี่ยมชมทุกปี ใน ค.ศ. 1998 หฺวายอานได้เปิดสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีพิพิธภัณฑ์อุทิศให้แก่ชีวิตของเขา เพื่อรำลึกถึงวันเกิดครบรอบ 100 ปีของโจว สวนสาธารณะแห่งนี้รวมถึงการจำลอง Xihuating เป็นที่พักและที่ทำงานของโจวในปักกิ่ง[126]
เทียนจินได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์สำหรับโจวและเติ้ง อิ่งเชา ภรรยา และหนานจิงได้สร้างอนุสรณ์สถานรำลึกถึงการเจรจาของคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1946 กับรัฐบาลชาตินิยม ซึ่งมีรูปปั้นสัมฤทธิ์ของโจวตั้งอยู่[222] มีการออกแสตมป์เพื่อรำลึกถึงวันครบรอบอสัญกรรมปีแรกของโจวใน ค.ศ. 1977 และใน ค.ศ. 1998 เพื่อรำลึกถึงวันเกิดครบรอบ 100 ปีของเขา
ภาพยนตร์แนวดราม่าอิงประวัติศาสตร์ปี 2013 เรื่อง The Story of Zhou Enlai นำเสนอการเดินทางของโจว เอินไหลในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1961 ระหว่างช่วงก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า เมื่อเขาสำรวจสถานการณ์ในชนบทในหฺวาซีของกุ้ยหยางและตำบลปั๋วเยี่ยนในเหอเป่ย์ ซึ่งเป็นฐานปฏิวัติเก่า
ในวัฒนธรรมประชานิยม
[แก้]ซุน เหวย์หมิน นักแสดงชาวจีน ได้รับบทเป็นโจว เอินไหลบนจอภาพยนตร์อยู่บ่อยครั้ง รวมถึงมังกรสร้างชาติ (2009) และ Mao Zedong 1949 (2019) และซีรีส์โทรทัศน์ Diplomatic Situation (2019) และอื่น ๆ[223]
มีเพลงร็อกสองเพลงที่อ้างถึงโจว ในเพลง "How-Hi-the-Li" ปี 1969 ประพันธ์โดยมือเบส ริก เกรช วง Family ได้เสียดสีบุคคลทางการเมือง โดยตั้งคำถามว่า "ถ้าคุณโจว เอินไหล จะรู้สึก 'ไฮ' ได้หรือไม่ / ด้วยชาทั้งหมดในประเทศจีน" โจวเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลกหลายคนที่ถูกกล่าวถึงในเพลง "We Didn't Start the Fire" ของบิลลี โจเอลใน ค.ศ. 1989
รางวัลและเกียรติยศ
[แก้]- กัมพูชา:
- เครื่องอิสริยยศพระราชาณาจักรกัมพูชา ชั้นมหาเสรีวัฒน์ (1956)[224]
- อินโดนีเซีย:
- เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ชั้นอธิประธานา (1961)[225]
- โปแลนด์:
- เครื่องอิสริยาภรณ์โปโลเนียเรสติตูตา ชั้นมหากางเขน (1954)[226]
ผลงาน
[แก้]- Zhou Enlai (1981). Selected Works of Zhou Enlai. Vol. I (1st ed.). Beijing: Foreign Languages Press. ISBN 0-8351-2251-4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2020. สืบค้นเมื่อ 7 May 2020.
- — (1989). Selected Works of Zhou Enlai. Vol. II (1st ed.). Beijing: Foreign Languages Press. ISBN 0-8351-2251-4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2020. สืบค้นเมื่อ 7 May 2020.
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เมื่อภูมิหลังครอบครัวที่เป็น "สีแดง" (ยากจน) กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกเรื่องตั้งแต่การเข้าเรียนในวิทยาลัยไปจนถึงการรับราชการ โจว เอินไหลต้องย้อนกลับไปหาแม่ของมารดาซึ่งเขาอ้างว่าเป็นลูกสาวเกษตรกร เพื่อหาคนในครอบครัวที่มีคุณสมบัติเป็น "สีแดง"[6]
- ↑ นี่คือสาเหตุของการรับบุตรบุญธรรมที่ระบุไว้ในงานของเกา (23) ขณะที่ลี (11) เสนอว่าสาเหตุนั้นมาจากความเชื่อที่ว่าการมีบุตรชายสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของบิดาได้
- ↑ บิดาของโจวอาจอยู่ที่แมนจูเรียในช่วงเวลานี้ด้วย และโจวอาจเคยอาศัยอยู่กับเขาชั่วระยะหนึ่ง หลังจากนั้นการติดต่อระหว่างโจวกับบิดาของเขาก็น้อยลง บิดาของเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1941 สำหรับการอภิปรายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโจวกับบิดาของเขา โปรดดูในหนังสือของลี หน้า 19–21
- ↑ วันก่อตั้งกลุ่มนี้เป็นที่ถกเถียงกัน นักเขียนส่วนใหญ่ เช่น เกา (41) ในปัจจุบันยอมรับว่าเป็นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 กลุ่มเหล่านี้หลายแห่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปลาย ค.ศ. 1920 และต้น ค.ศ. 1921 กลุ่มเหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้นก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะก่อตั้งอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1921 ดังนั้น จึงยังคงมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกในกลุ่มเหล่านั้น
- ↑ นอกจากจะกล่าวถึงสถานะที่ไม่แน่นอนของสมาชิกกลุ่มเทียบกับสมาชิกพรรคแล้ว เลอวีน (151 n47) ยังตั้งคำถามว่า ณ จุดนั้น โจวมีความเชื่อแบบคอมมิวนิสต์ที่ "แน่วแน่" หรือไม่
- ↑ อ้างอิงจากลี 161. แหล่งข้อมูลอื่นให้ข้อมูลวันที่ สถานที่ และจำนวนคนแตกต่างกันไป
- ↑ ลีอ้างถึงกิจกรรมสาธารณะครั้งสุดท้ายของโจวในยุโรปว่าเป็นงานเลี้ยงอำลาของพรรคชาตินิยมในวันที่ 24 กรกฎาคม
- ↑ "เลขาธิการคณะกรรมการมณฑล" นั้น อ้างอิงตามหนังสือของบาร์นูอินและยฺหวี หน้า 32 อย่างไรก็ตาม ผลงานอื่น ๆ ให้ข้อมูลวันที่และตำแหน่งที่แตกต่างกัน ส่วนงานของเขาในภาคกิจการทหารของมณฑลน่าจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นเล็กน้อย ตามที่ระบุในหนังสือของบาร์นูอินและยฺหวี หน้า 35
- ↑ ตามที่วิลเบอร์กล่าวไว้ ที่ปรึกษาชาวรัสเซียมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ในช่วงแรก ๆ เหล่านี้
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 周恩來的一個鮮為人知的義子王戍 [Wang Shu, a little-known adopted son of Zhou Enlai]. People's Daily (ภาษาChinese (China)). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 March 2016. สืบค้นเมื่อ 11 August 2014.
- ↑ 李鵬新書:有人傳我是周總理養子這不正確 [Li Peng's new book: Some people say that I am Premier Zhou's adopted son, which is not true]. Xinhua News Zhejiang (ภาษาChinese (China)). 30 June 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2014.
- ↑ Lee 7
- ↑ Lee 6
- ↑ Lee (180 n7) cites a recent study that claims Zhou Panlong did not actually serve as county magistrate.
- 1 2 Barnouin and Yu 11
- ↑ Barnouin and Yu 9
- ↑ Lee 17, 21
- ↑ Lee 16–17
- ↑ Lee 25–26
- ↑ Barnouin and Yu 13–14
- ↑ Barnouin and Yu 14
- ↑ Boorman "Chang Po-ling" (101) calls him "one of the founders of modern education in China".
- ↑ Lee 39, 46
- ↑ Lee 43
- ↑ Lee 55 and 44
- ↑ Lee 77 and 152
- ↑ Barnouin and Yu 16
- ↑ Lee 64–66
- ↑ Lee 74
- ↑ Barnouin and Yu 18
- ↑ Lee 86 103
- ↑ Lee 89
- ↑ Barnouin and Yu 29–30
- ↑ Barnouin and Yu 21
- ↑ Boorman (332) makes the claim that Zhou attended Kawakami's lectures
- ↑ Lee 104
- ↑ Itoh 113–114
- 1 2 Barnouin and Yu 22
- ↑ Lee 118–119
- ↑ Lee 125
- ↑ Lee 127–8
- ↑ Lee 133.
- ↑ Barnouin and Yu 23
- ↑ Lee 137
- ↑ Lee 138
- ↑ Lee 139
- ↑ "July 1, 1921, "Foundation of the Communist Party of China" – CINAFORUM". CINAFORUM (ภาษาอิตาลี). 1 July 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 May 2018. สืบค้นเมื่อ 20 May 2018.
- ↑ Lee 152
- 1 2 Barnouin and Yu 25
- 1 2 Barnouin and Yu 26
- ↑ Gao 40, Levine 150
- ↑ Goebel, Anti-Imperial Metropolis เก็บถาวร 4 กันยายน 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, pp. 1–2.
- ↑ Lee 159
- ↑ Levine 169–172
- ↑ Marquis, Christopher; Qiao, Kunyuan (2022). Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise. New Haven: Yale University Press. doi:10.2307/j.ctv3006z6k. ISBN 978-0-300-26883-6. JSTOR j.ctv3006z6k. OCLC 1348572572. S2CID 253067190.
- ↑ Barnouin and Yu 27
- ↑ Barnouin and Yu 28
- ↑ Barnouin and Yu 31
- ↑ Lee 165
- ↑ Crean, Jeffrey (2024). The Fear of Chinese Power: an International History. New Approaches to International History series. London, UK: Bloomsbury Academic. ISBN 978-1-350-23394-2.
- ↑ Barnouin and Yu 32
- ↑ Wilbur, Nationalist 13–14
- ↑ Wilbur, Missionaries 238
- ↑ For Chen Yi, see Boorman, "Chen Yi", 255. For the rest, see Weidenbaum 212–213
- 1 2 3 Barnouin and Yu 35
- ↑ Hsu 47–48
- ↑ Wilbur Nationalist 20
- ↑ Boorman "Ch'en Chiung-ming" 179
- ↑ Wilbur Missionaries 203 n92
- ↑ Wilbur Missionaries 175
- ↑ Wilbur Missionaries 222
- ↑ Weidenbaum 233–235
- ↑ Barnouin and Yu, 33–34
- ↑ Wilbur Missionaries 244 has a detailed discussion of the section.
- ↑ Hsu 53
- ↑ Hsu 55–56
- ↑ Hsu 56
- ↑ Smith 228
- ↑ Smith 226
- ↑ Smith 227
- ↑ Spence 335
- ↑ Barnouin and Yu 37
- ↑ Hsu 58
- 1 2 Hsu 61–64
- ↑ Barnoun and Yu 38
- ↑ Hsu 64
- ↑ Wilbur
- ↑ Barnouin and Yu 40–41
- ↑ Whitson and Huang 39–40
- 1 2 Barnouin and Yu 42
- ↑ Spence 386
- ↑ Whitson and Huang 40
- ↑ Barnouin and Yu 44
- ↑ Barnouin and Yu 44–45
- ↑ Barnouin and Yu 45
- ↑ Barnouin and Yu 45–46
- ↑ Barnouin and Yu 46
- ↑ Barnouin and Yu 47
- ↑ Barnouin and Yu 47–48
- 1 2 Barnouin and Yu 48
- ↑ Barnouin and Yu 52
- ↑ Barnouin and Yu 49
- ↑ Barnouin and Yu 49–51
- ↑ Barnouin and Yu 51–52
- ↑ Whitson and Huang 57–58
- ↑ Wortzel, Larry M; Higham, Robin D. S (1999). Dictionary of Contemporary Chinese Military History. Bloomsbury Academic. ISBN 9780313293375.
- ↑ Barnouin and Yu 52–55
- ↑ Wilson 51
- ↑ Barnouin and Yu 56
- ↑ Barnouin and Yu 57
- ↑ Barnouin and Yu 57–58
- 1 2 Barnouin and Yu 58
- ↑ Barnouin and Yu 59
- ↑ Spence 402
- ↑ Barnouin and Yu 49–52
- ↑ Barnouin and Yu 59–60
- ↑ Barnouin and Yu 62
- ↑ Barnouin and Yu 73–74
- ↑ Barnouin and Yu (64–65)
- 1 2 Barnouin and Yu 65
- ↑ Spence 407
- 1 2 Barnouin and Yu 67
- ↑ Spence 408
- ↑ Spence 409
- ↑ Barnouin and Yu 68
- 1 2 3 Barnouin and Yu 71
- 1 2 Barnouin and Yu 72
- ↑ Barnouin and Yu 72–73
- 1 2 3 Lee and Stephanowska 497
- ↑ Zhang 3
- ↑ Spence 688
- ↑ Barnouin and Yu 74
- ↑ Barnouin and Yu 74–75
- ↑ Barnouin and Yu 75–76
- 1 2 Barnouin and Yu 124–124
- ↑ Barnouin and Yu 76–77
- ↑ Barnouin and Yu 77
- ↑ Barnouin and Yu 78
- ↑ Barnouin and Yu 77, 82–83
- ↑ Barnouin and Yu 82–87
- ↑ Barnouin and Yu 88
- ↑ Barnouin and Yu 89
- 1 2 Barnouin and Yu 79–80
- 1 2 3 Barnouin and Yu 91–95
- ↑ Barnouin and Yu 95–97
- ↑ Barnouin and Yu 97–100
- ↑ Barnouin and Yu 97–101
- ↑ Barnouin and Yu 101–104
- ↑ Barnouin and Yu 104–105
- ↑ Barnouin and Yu 105
- ↑ Barnouin and Yu 106
- ↑ Barnouin and Yu 106–107
- ↑ Barnouin and Yu 107–108
- ↑ Barnouin and Yu 108
- ↑ Barnouin and Yu 110–116
- 1 2 Barnouin and Yu 117
- 1 2 Barnouin and Yu 118
- 1 2 3 Spence 524
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Han, Suyin (1994). Eldest son. Internet Archive. Hill and Wang. ISBN 978-0-8090-4151-0.
- ↑ Barnouin and Yu 128–129
- ↑ Barnouin and Yu 129
- ↑ Spence, 1999, p. 552
- ↑ Barnouin and Yu 140
- ↑ Barnouin and Yu 141
- ↑ Barnouin and Yu 143
- ↑ Barnouin and Yu 144–146
- ↑ Barnouin and Yu 146, 149
- ↑ Barnouin and Yu 147–148
- ↑ Barnouin and Yu 149–150
- ↑ Barnouin and Yu 150–151
- ↑ Spence 525
- 1 2 Spence 525–526
- ↑ Spence 527
- ↑ Tsang 766
- ↑ Trento 10–11
- ↑ Barnouin and Yu 156
- ↑ "China marks journalists killed in premier murder plot 50 years ago", Xinhua News Agency, 11 April 2005
- ↑ Spence 596
- ↑ Walz, Jay (16 December 1963). "CHOU AND NASSER OPEN DISCUSSIONS; Chinese and U.A.R. Chiefs Have Private Meeting Premier Visits Relics Chou Hails Ancient Culture". The New York Times. ProQuest 116578926.
- 1 2 Braestrup, Peter (22 December 1963). "Chou Is in Algeria; Gets Quiet Greeting; CHOU IN ALGERIA; WELCOME IS QUITE". The New York Times. ProQuest 116355547. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2023. สืบค้นเมื่อ 10 May 2023.
- ↑ Braestrup, Peter (28 December 1963). "TUNIS IS PLANNING TIES WITH PEKING; Will Announce Recognition During Visit by Chou TUNIS IS PLANNING TIES WITH PEKING". The New York Times. ProQuest 116354040.
- ↑ "Chou Sees Hassan; Morocco Is Believed To Seek Sales Rise; Seek Bigger Sales". The New York Times. 29 December 1963. ProQuest 116327846.
- ↑ Barnouin and Yu 134
- ↑ Spence 528
- ↑ Barnouin and Yu 158
- ↑ Barnouin and Yu 127,
- 1 2 Spence 597
- ↑ Spence 599–600
- ↑ Spence 565
- ↑ Spence 566
- 1 2 Spence 575
- ↑ Dittmer 130–131
- ↑ Dittmer 142–143
- ↑ Dittmer 144–145
- ↑ Barnouin and Yu 4–5
- ↑ Macfarquhar, Roderick; Schoenhals, Michael (2008). Mao's Last Revolution. Harvard University Press. pp. 118–119.
- ↑ "Amazing journey: how China hid palace artefacts from Japanese invaders". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 February 2022. สืบค้นเมื่อ 15 June 2018.
- ↑ Minami, Kazushi (2024). People's Diplomacy: How Americans and Chinese Transformed US-China Relations during the Cold War. Ithaca, NY: Cornell University Press. ISBN 9781501774157.
- 1 2 3 Barnouin and Yu 5
- ↑ Li and Ho 500
- ↑ Bonavia 24
- ↑ Gao 235
- ↑ Gao, 235–236
- ↑ Ji, Chaozhu (2008). The man on Mao's right : from Harvard yard to Tiananmen Square, my life inside China's Foreign Ministry (1st ed.). Random House. p. Chapter 25. ISBN 978-1400065844.
- ↑ Gao 260–262, 275–276, 296–297
- ↑ "Government Work Report to the Fourth National People's Congress (in Chinese)". People's Daily. 21 January 1975. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2009. สืบค้นเมื่อ 17 January 2014.
- ↑ Spence 610
- 1 2 3 Philip Short, Mao – A Life, Hodder & Stoughton, 1999; p. 620
- ↑ Teiwes and Sun 217–218
- ↑ Spence 610–611
- 1 2 3 Spence 611
- 1 2 Teiwes and Sun 213
- ↑ Teiwes and Sun 214
- ↑ Teiwes and Sun 222
- 1 2 3 Spence 612
- 1 2 Teiwes and Sun 218
- ↑ Teiwes and Sun 119–220
- 1 2 3 4 5 Burns, John F. (10 January 1986). "IN DEATH, ZHOU ENLAI IS STILL BELOVED (BUT A PUZZLE)". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2023. สืบค้นเมื่อ 28 February 2017.
- 1 2 Barnouin and Yu 4
- 1 2 3 Ritter
- ↑ Burns, John P. (June 1983). "Reforming China's Bureaucracy, 1979–82". Asian Survey. 23 (6): 702. doi:10.2307/2644386. JSTOR 2644386.
- ↑ Sun 143–144
- ↑ Barnoun and Yu 87
- ↑ Zhisui, Li (1995). The Private Life of Chairman Mao. New York: Chatto & Windus. p. 460.
- ↑ Zhisui, Li (1995). The Private Life of Chairman Mao. New York: Chatto & Windus. p. 897.
- 1 2 Wilson, Dick (1984). Zhou Enlai: A Biography. New York: Viking.
- ↑ Kissinger
- ↑ "Kissinger Describes Nixon Years". Daily Collegian
- ↑ Kissinger, Henry (2011-05-17). On China. Penguin. ISBN 978-1-101-44535-8.
- ↑ Naughton, Barry (September 1993). "Deng Xiaoping: The Economist". The China Quarterly. 135: 491–514. doi:10.1017/S0305741000013886. S2CID 154747048.
- ↑ Nanjing Meiyuan New Village Memorial Hall
- ↑ 孙维民:七十二次扮演周恩来,这次仍是第一次 [Sun Weimin: I have played Zhou Enlai 72 times, but this is my first time]. China News Service. 8 September 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2025. สืบค้นเมื่อ 19 June 2025.
- ↑ 中柬友好关系发展的新阶段 [New Phase in the Development of China-Cambodia Friendly Relations]. zhouenlai.info. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 April 2023. สืบค้นเมื่อ 29 January 2023.
- ↑ 1961年6月15日人民日报 第1版 [People's Daily, 15 June 1961, Page 1]. People's Daily (govopendata). 15 June 1961. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 January 2023. สืบค้นเมื่อ 29 January 2023.
- ↑ Stela, Wojciech (2008). Polish orders and decorations. Warsaw. p. 48. ISBN 9788390662824.
ข้อมูล
[แก้]- Anderson, Perry (12 September 2024). "Made by the Revolution". London Review of Books. Vol. 46 no. 17. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 May 2025. สืบค้นเมื่อ 19 May 2025.
- Barnouin, Barbara; Yu, Changgen (2006). Zhou Enlai: A Political Life. Hong Kong: Chinese University Press. ISBN 962-996-280-2.
- Bonavia, David (1995). China's Warlords. New York: Oxford University Press. ISBN 0-19-586179-5.
- Boorman, Howard L. ed. Biographical Dictionary of Republican China. New York, NY: Columbia University Press, 1967–71.
- Chen, Jian (2024). Zhou Enlai: A Life. Cambridge, Massachusetts: Belknap Press. ISBN 978-0674659582.
- Dillon, Michael. "Zhou Enlai: Mao's Enigmatic Shadow," History Today (May 2020) 79#5 pp 50–63 online.
- Dillon, Michael. Zhou Enlai: The Enigma Behind Chairman Mao (Bloomsbury, 2020).
- Dittmer, Lowell. Liu Shao-ch'i and the Chinese Cultural Revolution: The Politics of Mass Criticism, (U of California Press, 1974).
- Dikötter, Frank (2010). Mao's great famine : the history of China's most devastating catastrophe, 1958–62. London: Bloomsbury Publishing PLC. ISBN 978-0-7475-9508-3.
- Garver, John W. China's Quest: The History of the Foreign Relations of the People's Republic (2nd ed. 2018) comprehensive scholarly history.
- Gao Wenqian. Zhou Enlai: The Last Perfect Revolutionary. New York, NY: Public Affairs, 2007.
- Goebel, Michael (2015). Anti-Imperial Metropolis: Interwar Paris and the Seeds of Third World Nationalism. New York, NY: Cambridge University Press. ISBN 9781107073050. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2015. สืบค้นเมื่อ 1 September 2015.
- Han Suyin. Eldest Son: Zhou Enlai and the Making of Modern China. New York: Hill & Wang, 1994.
- Hsu, Kai-yu. Chou En-Lai: China's Gray Eminence. Garden City, NY: Doubleday, 1968.
- Itoh, Mayumi. The Origins of Contemporary Sino-Japanese Relations: Zhou Enlai and Japan (Springer, 2016).
- Kingston, Jeff (3 October 2010). ""Mao's Famine was no Dinner Party" (Book Review)". Japan Times Online. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 September 2021. สืบค้นเมื่อ 10 September 2021.
- "Kissinger Describes Nixon Years". Daily Collegian. 25 September 1979.
- Kissinger, Henry. "Special Section: Chou En-lai". TIME Magazine. Monday, 1 October 1979. Retrieved on 12 March 2011.
- Kraus, Charles. "Zhou Enlai and China's Response to the Korean War." (2012) online เก็บถาวร 15 กุมภาพันธ์ 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- Lee, Chae-jin. Zhou Enlai: The Early Years. (Stanford UP, 1994).
- Lee, Lily Xiao Hong; Stefanowska, A. D. (2003). Biographical Dictionary of Chinese Women: The Twentieth Century 1912–2000 (ภาษาอังกฤษ). Armonk, New York: East Gate Books. ISBN 0-7656-0798-0. สืบค้นเมื่อ 12 June 2011.
- Li, Tien-min. Chou En-Lai. Taipei: Institute of International Relations, 1970.
- Li, Yanhua, Hongyu Zhao, and Jianmei Jia. "Chou En-lai's Exploration of China's Democratic Political Construction." 2013 International Conference on Education, Management and Social Science (2013) online.
- Levine, Marilyn. The Found Generation: Chinese Communists in Europe during the Twenties. Seattle, WA: University of Washington Press, 1993.
- Ritter, Peter. "Saint and Sinner". TIME Magazine. Thursday, 1 November 2007. Retrieved on 11 March 2011.
- Smith, Steve. "Moscow and the Second and Third Armed Uprisings in Shanghai, 1927." The Chinese Revolution in the 1920s: Between Triumph and Disaster. ed. Mechthild Leutner et al. London, England: Routledge, 2002. 222–243.
- Spence, Jonathan D. (1999). The Search for Modern China (2nd ed.). New York: W.W. Norton and Company. ISBN 0-393-97351-4.
- Sun, Warren (July 2004). "Review: Zhou Enlai Wannian (Zhou Enlai's Later Years) by Gao Wenqian". The China Journal (52): 142–144. doi:10.2307/4127902. JSTOR 4127902.
- Trento, Joseph J. Prelude to Terror: Edwin P. Wilson and the Legacy of America's Private Intelligence Network Carroll and Graf, 2005. 10–11.
- Tsang, Steve (1994). "Target Zhou Enlai: The 'Kashmir Princess' Incident of 1955". China Quarterly. 139 (139): 766–782. doi:10.1017/S0305741000043150. JSTOR 655141. S2CID 154183849.
- Teiwes, Frederick C.; Sun, Warren (Summer 2004). "The First Tiananmen Incident Revisited: Elite Politics and Crisis Management at the End of the Maoist Era". Pacific Affairs. 77 (2): 211–235. JSTOR 40022499.
- Whitson, William W. and Huang, Chen-hsia. The Chinese High Command: A History of Communist Military Politics, 1927–71. New York: Praeger, 1973.
- Wilbur, C. Martin. The Nationalist Revolution in China: 1923–1928. Cambridge, England: Cambridge University Press, 1983.
- Wilbur, C. Martin and Julie Lien-ying How. Missionaries of Revolution: Soviet Advisers and Nationalist China, 1920–1927. Cambridge, MA: Harvard University Press, 1989.
- Wilson, Dick. Zhou Enlai: A Biography. New York, NY: Viking, 1984.
- Zhang, Shu Guang (2019). "In the Shadow of Mao: Zhou Enlai and New China's Diplomacy". The Diplomats, 1939–1979. Princeton University Press. pp. 337–370. doi:10.2307/j.ctv8pz9nc.18. ISBN 978-0-691-03613-7. JSTOR j.ctv8pz9nc.18. S2CID 159187923.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]| แหล่งข้อมูลห้องสมุดเกี่ยวกับ โจว เอินไหล |
- โจว เอินไหล ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- Zhou Enlai Biography From Spartacus Educational
- Zhou Enlai, Stephan Landserger's Chinese Propaganda Pages
- The Mystery of Zhou Enlai by Jonathan Spence from The New York Review of Books
- ภาพยนตร์สั้น Interview with Zhou En Lai (1965) สามารถดาวน์โหลดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์
- S. L. James. "China: Communist History Through Film". Internet Archive. สืบค้นเมื่อ 28 July 2015.
| ก่อนหน้า | โจว เอินไหล | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| ไม่มี | นายกรัฐมนตรีจีน (ค.ศ. 1949 – 1976) |
ฮั่ว กั๋วเฟิง |