โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
บทความนี้อาศัยการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิมากเกินไป |
โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย Ayutthaya Wittayalai School | |
---|---|
พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และอาคารสิริมงคลานันท์ | |
ที่ตั้ง | |
ข้อมูล | |
ชื่ออื่น | อ.ย.ว. / AYW |
ชื่อเดิม | โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (พ.ศ. 2450–2469) โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลอยุธยา (พ.ศ. 2469–2476) |
ประเภทโรงเรียน | โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ |
คำขวัญ | ตั้งใจเรียน เพียรทำดี มีวินัย รับใช้สังคม |
สถาปนา | พ.ศ. 2448 |
ผู้ก่อตั้ง | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
การกำกับดูแล | สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา |
ผู้อำนวยการ | ว่าที่ร้อยตรี ดร.กฤดิ์ทรัพย์ เชื้อพันธ์ |
รองผู้อำนวยการ | อัจฉราพร นาคดิลก กนิษฐา กสิผล วาสนา ภาคาแพทย์ ธิติเดช ชมภูราช |
ชั้นเรียนที่เปิดสอน | มัธยมศึกษาปีที่ 1–6 |
ภาษาที่ใช้เป็นสื่อการสอน | ภาษาที่มีการเรียนการสอนในโรงเรียน
ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ภาษาฝรั่งเศส |
ห้องเรียน | 102 ห้องเรียน |
พื้นที่ | 84 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา |
สี | |
เพลง | เพลงธง, เพลงชาติเสือ |
สัญลักษณ์ | ชาติเสือ |
ฉายาทีมกีฬา | เสือร้ายบึงพระราม |
เว็บไซต์ | www |
โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย (อังกฤษ: Ayutthaya Wittayalai School; อักษรย่อ: อ.ย.ว. – A.Y.W.) เป็นโรงเรียนรัฐบาลมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ แบบสหศึกษา และเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สถาปนาเมื่อปี พ.ศ. 2448 โดยพระราชดำรัสจัดตั้งโรงเรียนหลวงตามมณฑลต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชื่อว่า โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า ตั้งอยู่บริเวณวัดเสนาสนารามหลังพระราชวังจันทรเกษม (ปัจจุบันโรงเรียนอยุธยานุสรณ์ได้ใช้พื้นที่ในการทำการเรียนการสอนแทน) ในปี พ.ศ. 2484 ได้มีการย้ายที่ตั้งของโรงเรียนไปอยู่บริเวณบึงพระราม โดยโรงเรียนได้รับพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ในการก่อสร้างเป็นอาคารเรียน หอประชุม และบ้านพักครูหลังใหม่ในพื้นที่ที่ย้าย ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนในปัจจุบัน
ประวัติ
[แก้]สถาปนาโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า
[แก้]พ.ศ. 2448–2484
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นตามมณฑลต่าง ๆ โดยทั่วกัน ยึดแบบอย่างของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยโรงเรียนหลวงแห่งแรกของประเทศไทย ดังที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า
เจ้านายราชตระกูล ตั้งแต่ลูกฉันเปนต้นลงไป ตลอดจนถึงราษฎรที่ต่ำที่สุด จะให้ได้มีโอกาศเล่าเรียนได้เสมอกัน ไม่ว่าเจ้า ว่าขุนนาง ว่าไพร่ เพราะฉนั้น จึงขอบอกได้ว่าการเล่าเรียนในบ้านเมืองเรานี้จะเปนข้อสำคัญที่หนึ่ง ซึ่งฉันจะอุตสาห์จัดให้เจริญขึ้นจงได้
— พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในที่ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ เนื่องในโอกาสเสด็จฯ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ พ.ศ. 2427[1]
ซึ่งในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดการปฏิรูปการปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยการปกครองส่วนภูมิภาคนั้น โปรดให้จัดการปกครองแบบเทศาภิบาลขึ้น โดยให้รวมเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน 3–4 เมือง ขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง โดยในปี พ.ศ. 2438 โปรดให้จัดตั้งมณฑลกรุงเก่าขึ้น ประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ คือ กรุงเก่าหรืออยุธยา อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี พรหมบุรี อินทร์บุรี และสิงห์บุรี[2] โดยมี พระยาโบราณบุรานุรักษ์ (พร เดชะคุปต์) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลประจำมณฑล ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า และได้สนองพระบรมราชโองการของพระองค์ มีส่วนร่วมในการจัดตั้งโรงเรียน เขาได้ขอพระราชานุญาตขยายพื้นที่วัดเสนาสนาราม และเรี่ยไรเงินจากผู้มีจิตศรัทธาในการสร้างโรงเรียน และได้มอบหนังสือตำนานกรุงเก่าให้กับห้องสมุด[3] เพื่อเตรียมสร้างโรงเรียนประจำมณฑลขึ้นใน ร.ศ. 123 หรือปี พ.ศ. 2448 โดยในระยะแรกใช้กุฏิพระ ศาลาวัด และบริเวณใกล้เคียงกับวัดเสนาสนาราม หลังพระราชวังจันทรเกษม เป็นสถานที่ทำการเรียนการสอน[4]: 1 โดยมีขุนประกอบวุฒิสารท (ทิพ เปรมกมล) เป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียน
ในปี พ.ศ. 2448 มีปรากฏทะเบียนรายชื่อนักเรียนไว้ จำนวน 259 คน แต่ไม่ปรากฏรายชื่อครู โดยในเวลานั้น ยังมีนักเรียนที่เป็นพระและสามเณร และยังไม่มีนามสกุลและเลขประจำตัวใช้[4]: 4 ต่อมาพระอนุสิษฐ์วิบูลย์ (เปี่ยม จันทรสถิตย์) ได้เป็นครูใหญ่ต่อจากขุนประกอบวุฒิสารท
ในปี พ.ศ. 2449 กระทรวงธรรมการเห็นว่าประชาชนนิยมส่งบุตรหลานมาศึกษาเล่าเรียนเป็นจำนวนมาก จนทำให้สถานที่เดิมคับแคบ จึงได้จัดสร้างอาคารเรียนแบบประยุกต์ครึ่งตึกครึ่งไม้ ลักษณะถาวร 2 ชั้นแบบ 6 ห้องเรียนและห้องประชุมอีก 1 ห้อง ประชาชนในมณฑลกรุงเก่าขณะนั้นเรียกชื่อโรงเรียนกันว่า "โรงเรียนหลังวัง" (ซึ่งตึกที่กระทรวงธรรมการได้สร้างนั้น ต่อมาโรงเรียนอยุธยานุสรณ์ขอใช้ตึกนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียน เพราะโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยย้ายมาอยู่ในสถานที่ปัจจุบัน) ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2449 พระวิเศษกลปกิจ (รัตน์ ปัทมะศิริ) ได้เป็นครูใหญ่ต่อจากพระอนุสิษฐ์วิบูลย์ ในเวลานั้นโรงเรียนไม่มีการจัดเป็นชั้นประถมและมัธยม แต่มีการจัดไว้เป็นชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 3 ฯลฯ เท่านั้น วันหยุดของโรงเรียนเป็นวันโกนวันพระ นอกจากโรงเรียนจะมีคุณครูเป็นผู้สอน ยังมีนักเรียนฝึกหัดสอนเป็นผู้สอนนักเรียนด้วย โดยคุณครูจะต้องควบคุมดูแลการสอนของนักเรียนฝึกหัดสอนอีกทีหนึ่ง ในปีดังกล่าวมีนักเรียนเข้าใหม่จำนวน 89 คน[4]: 4
ในปี พ.ศ. 2450 ขุนบำเหน็จวรสาร (ชิต) ได้เป็นครูใหญ่ต่อจากพระวิเศษกลปกิจ ในปีนี้พระยาไพศาลศิลปศาสตร์ (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เจ้ากรมตรวจกระทรวงธรรมการ ได้มาตรวจโรงเรียนเพื่อเปลี่ยนระเบียบของโรงเรียนใหม่ โดยได้ให้ชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า" เรียกนักเรียนฝึกหัดครูว่า "นักเรียนสอน" จัดนักเรียนออกเป็น 6 ห้องเรียน ได้แก่ มูล 1, มูล 2, เตรียม, ประถม 1, ประถม 2 และประถม 3 เปลี่ยนทะเบียนใหม่ และได้รับนักเรียนใหม่เข้ามาเพิ่มในวันดังกล่าวจำนวน 151 คน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2450 โรงเรียนได้ถูกใช้เป็นสถานที่พักข้าราชการในงานสมโภชกรุงเก่า จึงได้ทำการปิดการเรียนการสอนเป็นเวลา 2–3 วัน และตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2450 พระชำนาญขบวนสอน (เฉย สุกุมาลนันท์) ครูรองของโรงเรียน ได้มาทำหน้าที่เป็นครูใหญ่แทน ส่วนขุนบำเหน็จวรสารได้ย้ายไปเป็นผู้รั้งข้าหลวงธรรมการ[4]: 5
ในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2451 พระชำนาญขบวนสอน ครูใหญ่ ได้ย้ายไปเป็นผู้ช่วยข้าหลวงธรรมการ รัตน์ ครูรองของโรงเรียน จึงมาเป็นครูใหญ่แทน[4]: 5 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2451 ขุนบำเหน็จวรสาร ข้าหลวงธรรมการ ได้มีคำสั่งให้ย้ายสร่าง ครูใหญ่โรงเรียนเสนาสน์ มาเป็นผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2451 และให้ครูใหญ่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่าดูแลรับผิดชอบโรงเรียนเสนาสน์ด้วย โดยได้รวมให้โรงเรียนเสนาสน์มาอยู่รวมในการปกครองของโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า ให้เป็นโรงเรียนเดียวกัน[4]: 5–6
ในปี พ.ศ. 2452 ได้มีการนำนักเรียนไปถือน้ำพิพัฒน์สัตยาเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนมีนาคม โดยได้จัดให้นักเรียนเดินแถวไปรับน้ำที่วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร รัตน์ได้เป็นครูใหญ่จนถึงเดือนพฤษภาคม เมื่อเริ่มเดือนมิถุนายน ปุ่นจึงได้มาเป็นครูใหญ่แทน ต่อมาทางเทศามณฑลกรุงเก่าได้มีการขอไปยังกรมทหารราบที่ 13 ให้ทางทหารได้มาฝึกหัดนักเรียนโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่าเป็นครั้งแรก ซึ่งคล้ายกับยุวชนทหาร[4]: 6
ในปี พ.ศ. 2453 เล็กได้เป็นครูใหญ่แทนปุ่น และเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน ผันก็ได้เป็นครูใหญ่แทนเล็ก[4]: 6 ในปี พ.ศ. 2454 โรงเรียนได้ทำการเปิดรับนักเรียนหญิง เป็นมูลศึกษาแผนกหญิงครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2454 มีครูผู้สอนเป็นผู้หญิงคือ ผิว แพทย์ผดุงครรภ์ เริ่มแรกมีนักเรียนหญิงจำนวน 5 คน แต่ต่อมาก็ได้ถูกยกเลิกไป เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 ด้วยผิว แพทย์ผดุงครรภ์ ขอลาออกจากตำแหน่ง เพราะมีครรภ์จึงไม่สามารถเดินทางไปมาไกล เพื่อมาสอนได้[4]: 7
ในปี พ.ศ. 2455 ขุนกลั่นวิชาสอน (วิชา หัมพานนท์) ได้เป็นครูใหญ่ต่อจากผัน ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2456 การสอนวิชาทหารจากกรมทหารราบที่ 13 ซึ่งได้เริ่มสอนเมื่อ พ.ศ. 2452 ได้ถูกยกเลิกไป โดยต่อมาคุณครูในโรงเรียนได้ทำการสอนวิชาทหารกันเอง จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2457 ทหารก็ได้กลับมาสอนนักเรียนอีกครั้ง โดยผู้ที่มาสอนคือ นายร้อยตรีห้อย นายเวรทหารราบที่ 13[4]: 7 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2457 โรงเรียนได้ทำการส่งนักเรียนไปแข่งขันกรีฑาที่กรุงเทพมหานคร และการลูกเสือของโรงเรียนก็ได้มีการเดินทางจากเมืองกรุงเก่าหรืออยุธยา ไปเข้าค่ายพักแรม และซ้อมรบกันถึงที่เมืองลพบุรี[4]: 8
ต่อมาในปี พ.ศ. 2467 ทางราชการได้ยุบเลิกมณฑลต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองอินทร์บุรีและเมืองพรหมบุรีเข้ากับเมืองสิงห์บุรี ตั้งที่ว่าการมณฑลที่อยุธยา ซึ่งก็คือพระราชวังจันทรเกษม ในส่วนของตึกที่ทำการภาค (อาคารมหาดไทย) และพระที่นั่งพิมานรัตยา แต่อาคารหลังอื่น ๆ ในพระราชวัง ทางโรงเรียนก็ได้ขอใช้ทำการเรียนการสอนต่อ แต่ก็ส่งผลทำให้สถานที่เล่าเรียนของโรงเรียนมีพื้นที่น้อยลง และในปี พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อจาก "มณฑลกรุงเก่า" เป็น "จังหวัดพระนครศรีอยุธยา" ซึ่งจากการจัดตั้งมณฑลอยุธยามีผลให้อยุธยามีความสำคัญทางการบริหารการปกครองมากขึ้น การสร้างสิ่งสาธารณูปโภคหลายอย่างมีผลต่อการพัฒนาเมืองอยุธยาในเวลาต่อมา[5]: 5 จนเมื่อยกเลิกการปกครองระบบเทศาภิบาลตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยระเบียบราชการบริหารส่วนอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2467 เปลี่ยนให้มณฑลต่าง ๆ นั้นเลื่อนฐานะเป็นจังหวัดแต่อยุธยายังคงเป็นมณฑลเทศาภิบาลอยู่ จนกระทั่งภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อยุธยาจึงเปลี่ยนฐานะเป็นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน และก็เป็นผลทำให้โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า เปลี่ยนชื่อมาเป็นโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ดังปัจจุบัน
อาคารพระราชทาน
[แก้]พ.ศ. 2484–ปัจจุบัน
หลังจากที่เปลี่ยนชื่อโรงเรียนจากโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่ามาเป็นโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยแล้วนั้น การเรียนการสอนก็เป็นไปอย่างราบรื่นและได้เจริญก้าวหน้ามาโดยตลอด นับจากปี พ.ศ. 2448 จนถึงปี พ.ศ. 2483 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยมีอายุถึง 35 ปี ที่ใช้อาคารเรียนอยู่ด้านหลังพระราชวังจันทรเกษม จนประชาชน ชาวบ้านเรียกกันว่า โรงเรียนหลังวัง จนมีศิษย์เก่าสำเร็จการศึกษาเป็นจำนวนมาก และซึ่งศิษย์เก่ารุ่นแรก ๆ เหล่านี้เป็นบุคคลที่มีเกียรติอันควรคารวะ อาทิ
ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ หรืออำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐบุรุษอาวุโส อดีตนายกรัฐมนตรี 3 สมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และยังเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เข้าศึกษาใน ร.ศ. 131 หรือ พ.ศ. 2455 และสำเร็จการศึกษาใน ร.ศ. 134 หรือ พ.ศ. 2458 เลขประจำตัว 791[5]: 5
พลตรี พลเรือตรี นาวาอากาศเอก ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าศึกษาใน ร.ศ. 131 หรือ พ.ศ. 2455 และสำเร็จการศึกษาใน ร.ศ. 136 พ.ศ. 2460 เลขประจำตัว 640 สิ่งที่เป็นอนุสรณ์คือสร้างหอพระพุทธรูปและมอบทุนการศึกษา[5]: 5
พลตรี หม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ หรือหม่อมราชวงศ์เฉลิมลาภ ทวีวงศ์ อดีตองคมนตรี สิ่งที่เป็นอนุสรณ์ คือ ตั้งทุนถาวรมอบให้โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
วิโรจน์ กมลพันธ์ อดีตธรรมการจังหวัดและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เลขประจำตัว 684
ชื่อเสียงและประวัติศาสตร์อันยาวนานของโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย รวมทั้งครู อาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิอีกมากมายหลายท่าน ทำให้ประชาชนในมณฑลกรุงเก่าขณะนั้น ให้การยอมรับและพร้อมใจกันส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้นทุก ๆ ปีจนสถานที่นั้นคับแคบลงทุกปี
จนกระทั่งเมื่อ ปรีดี พนมยงค์ นักเรียนเก่าโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีแผนที่จะปรับปรุงเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา และได้เล็งเห็นว่า สถานที่ตั้งของโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย แต่เดิมนั้นคับแคบ ไม่มีโอกาสขยายได้อีกเท่าที่ควร ซึ่งโดยความหวังของปรีดี พนมยงค์ นั้น มุ่งหวังที่จะให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีมหาวิทยาลัยด้วย
ฉะนั้น เมื่อวิโรจน์ กมลพันธ์ นักเรียนโรงเรียนเก่าอยุธยาวิทยาลัย ซึ่งดำรงตำแหน่งธรรมการจังหวัดในขณะนั้นได้ปรึกษาหารือกันในเรื่องการย้ายสถานที่ตั้งของโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ปรีดี พนมยงค์มีความเห็นชอบด้วย จึงได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งได้รับพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวนเงิน 1 แสนบาท และได้มีพระราชดำรัสสั่ง ให้จัดสร้างอาคารตึกถาวร 2 ชั้น 1 หลัง สร้างหอประชุมพระราชทาน 1 หลัง และบ้านพักครูอีก 20 หลัง
จากนั้น ปรีดี พนมยงค์ ได้มอบหมายให้ หลวงบริหารชนบท (ส่าน สีหไตรย์) ข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นผู้พิจารณาเลือกสถานที่ โดยหลวงบริหารชนบทได้เสนอแผนการก่อสร้าง และได้รับความเห็นชอบ เพราะเห็นว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นโรงเรียนรัฐบาลของจังหวัด นอกจากนี้ยังสามารถขยายบริเวณโรงเรียนออกไปให้กว้างขวางได้อีก[5]: 5
หลวงบริหารชนบทได้ให้ข้อคิดเห็นไว้ว่า "สถานที่ตั้งของโรงเรียนนี้เหมาะสมมาก โดยอยู่จุดกึ่งกลางของเกาะเมืองและมีบริเวณสภาพแวดล้อมที่สวยงาม มีปูชนียสถาน ซึ่งเหมาะสมกับสถานศึกษา ด้านหน้าของโรงเรียนก็เป็นที่ตั้งของ สวนสาธารณะบึงพระราม ด้านหลังก็เป็นถนนที่ตัดตรงมาจากกรุงเทพฯ มีสถานที่ราชการสองฝั่งถนน ซึ่งเหมาะสมในทุกๆด้าน"[5]: 5
งานก่อสร้างเริ่มขึ้นเมื่อเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2482 แล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2483 โดยมีหลวงบริหารชนบท เป็นกรรมการควบคุมการก่อสร้าง พร้อมกันนี้ยังได้ควบคุมงานก่อสร้างหอประชุมพระราชทานอีก 1 หลัง และบ้านพักครูอีก 20 หลังบนพื้นที่ 84 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา และอาคารเรียนนั้นได้ทำพิธีเปิดอาคารเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2484 และเนื่องจากอาคารหลังนี้ได้รับพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้าง จึงได้ชื่ออาคารนี้ว่า "อาคารพระราชทาน"
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
และเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2534 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่ออาคารนามว่า “สิริมงคลานันท์”[6]: 28
ภายหลังจากที่ทรงพระราชทานชื่ออาคาร เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ มาทรงเป็นประธานเปิดแพรคลุมป้ายอาคาร “สิริมงคลานันท์” และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงทอดพระเนตรห้องพิพิธภัณฑ์ทางการศึกษาทั้ง 9 ห้อง บนอาคารสิริมงคลานันท์ รวมทั้งยังทรงปลูกต้นพิกุลไว้ด้านหน้าอาคารอเนกประสงค์ขณะที่กำลังก่อสร้างอยู่ด้วย เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
ต่อมา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครั้งยังดำรงพระยศสยามมกุฎราชกุมาร) พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ (ครั้งยังดำรงพระยศพระวรชายา) เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานมอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินแก่ราษฎรชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ หอประชุมพระราชทาน รัชกาลที่ 8 ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงปลูกต้นพะยอม และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาฯ ทรงปลูกต้นประดู่กิ่งอ่อน ไว้ด้านหน้าหอประชุมพระราชทาน รัชกาลที่ 8 เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
ครั้นถึงปี พ.ศ. 2486 – 2487 ประเทศไทยต้องประสบปัญหาภัยคุกคามจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลกระทบให้โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยจำเป็นต้องรับภาระด้วย กล่าวคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขออาศัยใช้สถานที่เรียนเป็นการลี้ภัยชั่วคราว จึงทำให้นักเรียนโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยมีการเรียนกันอย่างกระท่อนกระแท่น ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ครู อาจารย์ และนักเรียนก็เต็มใจและยินดี เพราะถือได้ว่าได้ให้ความช่วยเหลือแก่กัน[6]: 28
เมื่อประเทศกลับคืนสู่ภาวะปกติในยุคต่อ ๆ มา การเรียนการสอน การศึกษาของโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยได้ขยายตัวอย่ารวดเร็ว มีอาคารเรียนถาวรเพิ่มขึ้นอีกหลายอาคาร ภายใต้การบริหารของผู้อำนวยการโรงเรียน ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่อีกหลายท่าน จำนวนครูและนักเรียนก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เทคนิคและวิธีการสอนรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยีที่ทันสมัยจึงได้ถูกนำมาบรรจุเข้าไว้เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน อย่างค่อนข้างพร้อมในโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
ปัจจุบัน โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย จัดการเรียนการสอนแบบสหศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยมีการพัฒนาทุกด้านมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงเรียนได้รับเกียรติบัตรรางวัลพระราชทาน จำนวน 6 ครั้งด้วยกัน ดังนี้
- พ.ศ. 2521, 2537, 2546, 2557, 2561, 2565
และยังมีนักเรียนของโรงเรียนที่ได้รับเกียรติบัตรรางวัลพระราชทานเช่นกัน ซึ่งได้รับในปี
- พ.ศ. 2526, 2527, 2546, 2549, 2551, 2557, 2563
ลำดับการเปลี่ยนชื่อโรงเรียน
[แก้]- โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า พ.ศ. 2448 - 2469
- โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลอยุธยา พ.ศ. 2469 - 2476
- โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย พ.ศ. 2476 - ปัจจุบัน
ข้อสังเกต โรงเรียนประจำมณฑลส่วนใหญ่จะมีคำสร้อย "วิทยาลัย" ต่อท้าย เช่น ราชสีมาวิทยาลัย (โรงเรียนประจำมณฑลนครราชสีมา), ยุพราชวิทยาลัย (โรงเรียนหลวงประจำมณฑลพายัพ), ภูเก็ตวิทยาลัย (โรงเรียนตัวอย่างมณฑลภูเก็ต), ร้อยเอ็ดวิทยาลัย (โรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ด) และอยุธยาวิทยาลัย เป็นต้น
เกียรติบัตรรางวัลพระราชทาน
[แก้]รางวัลพระราชทานสำหรับนักเรียน นักศึกษาและสถานศึกษา เกิดขึ้นจากน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยเมตตาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีพระราชปรารภแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ม.ล. ปิ่น มาลากุล) ในปี พ.ศ. 2506 เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานแสดงศิลปหัตถกรรมนักเรียน การศึกษา 2506 ใจความของพระราชปรารภมีว่า "มีนักเรียนจำนวนมากซึ่งมีความประพฤติดีและมีความมานะพยายามศึกษาเล่าเรียนได้ผลดี รวมทั้งมีโรงเรียนซึ่งจัดการศึกษาดี จนนักเรียนได้รับการเรียนดีเป็นส่วนรวม นักเรียนและโรงเรียนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวสมควรจะได้รับรางวัลพระราชทาน และทรงยินดีจะพระราชทานรางวัลให้" ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการ (โดยกรมวิชาการ) ได้รับพระราชปรารภมาพิจารณาดำเนินการด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่ปฏิบัติสืบต่อมา เพราะนอกจากจะเป็นโอกาสอันดีในการทำกิจกรรมที่สนองพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว รางวัลพระราชทานยังเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดการพัฒนามาตรฐานคุณภาพการศึกษาของชาติให้ดียิ่งขึ้นด้วย จึงเป็นที่ตระหนักชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนั้นทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทรงเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาแห่งชาติ พระราชทานขวัญกำลังใจแก่นักเรียน นักศึกษาที่มีความประพฤติดี มีผลการเรียนดี ตลอดจนผู้บริหารสถานศึกษาที่จัดการศึกษาได้มาตรฐานดีเด่นด้วยการพระราชทานรางวัลให้ ซึ่งในระยะแรกทรงพระราชทานด้วยพระองค์เองจวบจนบัดนี้เป็นเวลาเกือบ 40 ปี กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการและพัฒนางานมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษาได้รับรางวัลพระราชทานไปแล้วกว่า 3,000 คน มีสถานศึกษาที่เป็นผู้นำทางวิชาการประมาณกว่า 2,000 แห่ง
โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยได้สมัครเข้ารับการพิจารณาเพื่อเข้ารับรางวัลพระราชทานทั้งของนักเรียนและสถานศึกษา โดยเข้ารับคัดเลือกในระดับจังหวัดได้เป็นลำดับที่ 1 แล้วจึงเข้ารับการพิจารณาได้ระดับเขตการศึกษา และเขตตรวจราชการ โดยนำเสนอการพัฒนาระบบทั้งองค์กร 6 ประการคือ
1. มุ่งพัฒนาการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีให้มีคุณภาพ สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นโยบายปัญจปฏิรูปของ กระทรวงศึกษาธิการและยุทธศาสตร์ 10 ประการของกรมสามัญศึกษา
2. เร่งพัฒนาการจัดการกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ มีกระบวนการคิดที่เป็นระบบ มีความคิดสร้างสรรค์ มีนิสัยรักการอ่าน และวิธีการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ
3. พัฒนาโรงเรียนให้มีบรรยากาศแห่งการเรียนรู้มีสภาพแวดล้อมที่ร่มรื่นสวยงาม น่าอยู่เพื่อให้นักเรียนมีนิสัยที่อ่อนโยน ภูมิใจและรักโรงเรียน
4. ส่งเสริม สนับสนุนให้ครู อาจารย์ ได้พัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างสรรค์ผลงานดีเด่นตามมาตรฐานวิชาชีพครู
5. สนับสนุนให้ชุมชนองค์กรท้องถิ่น สมาคมศิษย์เก่า สมาคมผู้ปกครองฯเครือข่าย ฯลฯ ได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของโรงเรียน
6. มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนให้อยู่ในระดับดีเยี่ยม มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อขยายผล และพัฒนาแนวทางให้เกิดเป็นระยะที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ยังได้นำโครงการและกิจกรรมดีเด่นของโรงเรียน ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาองค์กร การจัดสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียน โครงการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ และระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
คณะกรรมการประเมินโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
[แก้]คณะกรรมการการประเมินเพื่อรับรางวัลพระราชทาน เข้ามายังโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย เพื่อประเมินโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยในทุกด้าน โดยเริ่มประเมินตั้งแต่นักเรียนเริ่มมาโรงเรียน จนถึงกลับบ้านในตอนเลิกเรียน การประเมินคณะกรรมการได้ทำการประเมินทุกรูปแบบ อาทิ ดูจากเอกสารร่องรอยของการดำเนินการ การสัมภาษณ์บุคลากรตั้งแต่ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อำนวยการโรงเรียน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน นักเรียนเก่า ครู อาจารย์ และที่สำคัญที่สุดคือการสัมภาษณ์นักเรียน ทั้งนักเรียนที่นัดหมายหรือนักเรียนที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างของคณะกรรมการเอง
สถานศึกษารางวัลพระราชทานและนักเรียนรางวัลพระราชทาน
[แก้]โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตรรางวัลพระราชทานถึง 6 ครั้ง โดยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2521 นายเจริญ ลัดดาพงศ์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2537 นายจักรกฤษณ์ ธีระอรรถ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2546 นายอำนาจ ศรีชัย เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2557 นายเฉลิมศักดิ์ ภาระธัญญา เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ครั้งที่ 5 ในปี พ.ศ. 2561 นายวรากร รื่นกมล เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน และครั้งที่ 6 ในปี พ.ศ. 2565 ว่าที่ร้อยตรี ดร.กฤดิ์ทรัพย์ เชื้อพันธ์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน รวมถึงนักเรียนโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยยังได้รับเกียรติรางวัลพระราชทานถึง 7 ครั้งอีกด้วย อาทิ นายวีระ ขันธชัย, นายณัฐพล อัศวสงคราม, นายอรรถพงษ์ รักขธรรม, นายต้นตระการ ทรัพย์ภักดี, นายภัคพล ขันธบรรพ
สมาคมนักเรียนเก่าอยุธยาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
[แก้]เป็นความมงคลสำหรับชาวอยุธยาวิทยาลัยเป็นอย่างยิ่งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับ สมาคมนักเรียนอยุธยาวิทยาลัย ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปีพุทธศักราช 2527
อาคารและสถานที่ภายในโรงเรียน
[แก้]- พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2518 – ปัจจุบัน)
โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่งแสนบาท ในการสร้างอาคารเรียน 1 หลัง หอประชุม 1 หลัง และบ้านพักครูอีกจำนวน 20 หลัง โดยพระบรมราชานุสาวรีย์จะตั้งอยู่ ณ สนามกลางโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย บริเวณด้านหน้าอาคารสิริมังคลานันท์ ซึ่งในทุกวันจันทร์นักเรียนโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยจะทำการถวายพวงมาลัยข้อพระกรและทำการถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์โดยพร้อมเพรียงกัน และในทุกวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย อันประกอบด้วย คณะผู้บริหาร คณะครู สมาคมนักเรียนเก่าอยุธยาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นักเรียนปัจจุบัน และนักเรียนเก่า ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทาน พิธีวางพวงมาลาและถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์เพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
- อาคาร 1 อาคารสิริมงคลานันท์ (พ.ศ. 2484 – ปัจจุบัน)
เป็นอาคารเรียนที่เก่าแก่ที่สุดในโรงเรียน มีรูปแบบอาคารเป็นแบบอลังการศิลป์ (Art Deco)[7] และเป็นสถาปัตยกรรมคณะราษฎร[8] เป็นอาคารสีขาว สูง 2 ชั้น พื้นอาคารปูด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลมีลายสีขาว–ส้ม คล้ายลายของเสือ ซึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์ของโรงเรียนคือ "ชาติเสือ" อาคารสิริมงคลานันท์เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2484 โดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ปัจจุบันเป็นอาคารอำนวยการของโรงเรียน
- ชั้น 1 ห้องผู้อำนวยการ สำนักงานผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารบุคคลและกิจการนักเรียนเดิม กลุ่มบริหารงบประมาณ กลุ่มบริหารทั่วไป (ฝ่ายอาคาร/สถานที่, ฝ่ายสารบรรณ, ฝ่ายพัสดุ) และห้องประชุมวิวัฒน์ชาญอนันตชัย
- ชั้น 2 พิพิธภัณฑ์ทางการศึกษาโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย จำนวนทั้งสิ้น 9 ห้อง
- อาคาร 2 (พ.ศ. 2516 – ปัจจุบัน)
เป็นอาคารสีเหลืองสูง 2 ชั้น เดิมเรียกว่าอาคาร 8 เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2516 โดยชั้นล่างจะเป็นห้องของกลุ่มบริหารวิชาการและห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ชั้นสองเป็นห้องเรียนคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนและห้องพักครูวิชาคอมพิวเตอร์ บริเวณด้านหน้าอาคารมีจอ LED ขนาดใหญ่ ไว้เพื่อใช้สำหรับประชาสัมพันธ์กิจกรรมข่าวสารในโรงเรียน
- ชั้น 1 กลุ่มบริหารวิชาการ ห้องประชุมพุทธไตรรัตนนายก (แวว กตสาโรอุปถัมภ์) ศูนย์อาเซียนศึกษา และห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
- ชั้น 2 ห้องพักครูวิชาคอมพิวเตอร์ ห้องเรียนคอมพิวเตอร์จำนวน 4 ห้องเรียน และศูนย์การเรียนรู้
- อาคาร 3 (พ.ศ. 2514 – ปัจจุบัน)
เป็นอาคารเรียนสีขาว–แดงสูง 3 ชั้น เดิมเรียกว่าอาคาร 9 เริ่มก่อสร้างในปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2514 และมีพิธีเปิดอาคารเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2516 โดยก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสามัญศึกษา เป็นประธานในพิธีเปิด ปัจจุบันเป็นอาคารเรียนวิชาสังคมศึกษาและการงานอาชีพ (ธุรกิจศึกษา)
- ชั้น 1 ห้องชมรม School Twinning ห้องวิทยฐานะ ห้องถ่ายเอกสาร และห้องเรียนจำนวน 6 ห้องเรียน
- ชั้น 2 ห้องพักครูวิชาธุรกิจศึกษา ห้องพิมพ์ดีด ห้องจำลองธุรกิจ และห้องเรียนจำนวน 4 ห้องเรียน
- ชั้น 3 ห้องเรียนจำนวน 7 ห้องเรียน
- อาคาร 4 (พ.ศ. 2521 – ปัจจุบัน)
เป็นอาคารสีขาว–แดงสูง 4 ชั้น เดิมเรียกว่าอาคาร 19[9] เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2521 โดยเป็นอาคารเรียนวิชาภาษาต่างประเทศ
- ชั้น 1 ห้องเรียนพิเศษ English Program จำนวน 4 ห้องเรียน ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และห้องสมุดสำหรับห้องเรียนพิเศษ English Program
- ชั้น 2 ห้องภาษาต่างประเทศ ห้อง Multimedia Center และห้องสมุดภาษาต่างประเทศ
- ชั้น 3 ห้องเรียนจำนวน 6 ห้องเรียน
- ชั้น 4 ห้องเรียนจำนวน 6 ห้องเรียน
- อาคาร 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา มหาราชินี (พ.ศ. 2534 – ปัจจุบัน)
เป็นอาคารเรียนสีเขียวสูง 4 ชั้น เดิมชื่ออาคาร 324 ก่อสร้างขึ้นในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ 60 พรรษาในปี พ.ศ. 2534 อาคารดังกล่าวได้สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2536 ด้วยงบประมาณจากกรมสามัญศึกษาจำนวน 11,460,000 บาท และสำนักพระราชวังได้อนุญาตให้ใช้ชื่ออาคารว่า "อาคารเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา มหาราชินี" ปัจจุบันเป็นอาคารเรียนวิชาคณิตศาสตร์
- ชั้น 1 ห้องสมุดประจำโรงเรียน ห้องสมุดอาเซียน (ASEAN Library Room) โดยกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และร้านค้าสวัสดิการโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
- ชั้น 2 ห้องเรียนคณิตศาสตร์ ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ห้องเรียนจำนวน 4 ห้องเรียน และห้องคอมพิวเตอร์จำนวน 1 ห้อง
- ชั้น 3 ห้องเรียนคณิตศาสตร์ ห้องเรียนจำนวน 8 ห้องเรียน
- ชั้น 4 ห้องเรียนคณิตศาสตร์ ห้องเรียนจำนวน 8 ห้องเรียน
- อาคาร 6 อาคารอเนกประสงค์วิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2535 – ปัจจุบัน)
เป็นอาคารเรียนสูง 4 ชั้น เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2535 และสร้างเสร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ 2537 ด้วยงบประมาณจากกรมสามัญศึกษาจำนวน 21,582,000 บาท ในปี พ.ศ. 2539 ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นอาคารเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
- ชั้น 1 ห้อง TOT IT SCHOOL ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ห้องวิทยาศาสตร์อากาศยาน ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี และห้องสมุดของห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี
- ชั้น 2 ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ 2 ห้องเรียน และห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์จำนวน 5 ห้องเรียน
- ชั้น 3 ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ห้องหุ่นยนต์และอิเล็คทรอนิกส์ ห้องโครงงาน ห้องเรียนปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ห้องเรียนปฏิบัติการชีวะวิทยา ห้องฟิสิกส์จำนวน 2 ห้อง ห้องวิทยาศาสตร์พลังสิบ และห้องโสตทัศนศึกษา
- ชั้น 4 หอประชุมใหญ่ของโรงเรียน
- อาคาร 7 อาคารบุญประเสริฐ
เป็นอาคารเรียนชั้นเดียว บริจาคเงินก่อสร้างโดย พลเอกชาญ บุญประเสริฐ โดยมี ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในเกียรติเป็นประธานในพิธีรับมอบ และเปิดอาคารเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2535 ประกอบด้วยห้องพักครูวิชาแนะแนว ห้องเรียนจำนวน 7 ห้องเรียน ใช้เป็นห้องเรียนวิชาแนะแนวและภาษาต่างประเทศ
- อาคาร 8 อาคารอานันทศิลป์
เป็นอาคารเรียนวิชาศิลปะ ดนตรี-นาฎศิลป์
- ชั้น 1 ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ห้องเรียนจำนวน 2 ห้องเรียน (ทัศนศิลป์)
- ชั้น 2 ห้องเรียนจำนวน 3 ห้องเรียน (ดนตรีไทย ขับร้อง และการแสดง)
- ชั้น 3 ห้องเรียนจำนวน 2 ห้องเรียน (นาฏศิลป์ และดนตรีสากล)
- อาคาร 9 อาคาร 100 ปี อยุธยาวิทยาลัย
เป็นอาคารที่สร้างขึ้นในวาระโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยมีอายุครบ 100 ปี ก่อสร้างโดยเงินบริจาคของนักเรียนเก่าโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
- ชั้น 1 ห้องพักครูวิชาสุขศึกษา ห้องจ่ายยา ห้องผ่าตัดเล็ก ห้องนอนพักฟื้น
- ชั้น 2 ห้อง Academic Internet ที่ทำการ AYW TV และห้องคอมพิวเตอร์จำนวน 1 ห้อง
- อาคาร 10 อาคารขนาบน้ำ
เป็นอาคาร 1 ชั้น ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์จำนวน 4 ห้องเรียน และห้องเรียนสีเขียว 1 ห้อง
- อาคาร 11 อาคารฮาน่า
เป็นอาคาร 1 ชั้น เดิมใช้สำหรับการทำปฏิบัติการฟิสิกส์ แต่ในปัจจุบันได้ใช้เป็นอาคารที่ทำการของ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
- อาคาร 12 อาคารอักษรานันท์
เป็นอาคาร 2 ชั้น ใช้ในการเรียนวิชาภาษาไทย
- ชั้น 1 ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ห้องเรียนจำนวน 9 ห้องเรียน และห้องประชุม 1 ห้อง
- ชั้น 2 ห้องเรียนจำนวน 11 ห้องเรียน
- อาคารศูนย์กีฬาอยุธยาวิทยาลัย
เป็นอาคารสำหรับเล่นกีฬาแบดมินตัน ตระกร้อ ปิงปอง และบาสเก็ตบอล
- ชั้น 1 ห้องกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ, เนตรนารี, ยุวกาชาด) เวทีมวย ลานเล่นแบดมินตัน ตระกร้อ และปิงปอง
- ชั้น 2 ห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ห้องเรียนวิชาสุขศึกษาจำนวน 2 ห้องเรียน ห้องสมุดการกีฬา และห้องออกกำลังกาย
- ชั้น 3 สนามบาสเกตบอล พร้อมอัฒจันทร์ 3 ด้าน มีความจุประมาณ 1,500 คน และใช้เป็นที่ประชุมระดับชัันมัธยมศึกษาปีที่ 2
- ลานอุตสาหกรรม เป็นบริเวณอาคารเรียนวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ประกอบด้วย
- อาคารอุตสาหกรรม 1 ห้องพักครูวิชาอุตสาหกรรม ห้องเรียน e-Learning และห้องเรียนจำนวน 2 ห้องเรียน (การออกแบบ, การประดิษฐ์, การเขียนแบบ)
- อาคารอุตสาหกรรม 2 ห้องพักครูวิชาอุตสาหกรรม ห้องดนตรีสากล และห้องเรียนจำนวน 2 ห้องเรียน (เครื่องยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, การเขียนแบบ)
- อาคารคหกรรม ห้องพักครูวิชาคหกรรม ห้องเรียนจำนวน 4 ห้องเรียน (การประกอบอาหาร, การประดิษฐ์, งานบ้าน)
- อาคารเกษตรและบริเวณโดยรอบ เป็นอาคารเรียนวิชาเกษตร 3 ห้องเรียน บริเวณโดยรอบเป็นแปลงเกษตร โรงเรือนปลูกต้นไม้ และบ้าน 1 หลัง ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักครูหลังสุดท้ายจากจำนวน 20 หลังที่ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2484 โดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และอาคารห้องพักครูอีก 1 หลัง
- อาคารศุภพิพัฒน์ เดิมเป็นอาคารศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปัจจุบันเป็นอาคารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
- อาคารดิษยรักษ์ เป็นที่ทำการธนาคารโรงเรียน โดยความร่วมมือระหว่างโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยกับธนาคารออมสิน
- อาคารประชาสัมพันธ์ เป็นอาคาร 1 ชั้น ใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์ภายในโรงเรียนและห้องกลุ่มบริหารงานบุคคลและกิจการนักเรียนปัจจุบัน
- หอประชุมพระราชทาน รัชกาลที่ 8 เป็นหอประชุมแห่งแรกของโรงเรียน ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2484 โดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
- หอประชุม 2 มีความจุประมาณ 500 คน สามารถใช้เป็นที่ทำการสอนวิชาพลศึกษา โดยปรับเป็นสนามวอลเลย์บอลหรือสนามแบตมินตันจำนวน 1 สนามได้และใช้เป็นที่ประชุมระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- โรงยิมตะกร้อ ห้องพักครูวิชาพลศึกษา สนามตระกร้อในร่ม 3 สนาม และที่ทำการสำหรับหน่วยรักษาความปลอดภัย
- โดม 1 โดมวัดป่าสัก หรือโดมม.5 เป็นที่สำหรับนั่งพักผ่อน ทำกิจกรรมนันทนาการ และเป็นเวทีแสดงศักยภาพนักเรียนและเป็นที่ประชุมระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ชื่อของโดมเป็นชื่อของวัดโบราณในโรงเรียน
- โดม 2 โดมวัดสะพานนาค เป็นสนามกีฬาในร่ม แบ่งเป็นสนามวอลเล่ย์บอล 1 สนาม และสนามบาสเกตบอล 2 สนาม สามารถปรับเป็นสนามฟุตซอลได้ 2 สนาม หรือสนามฟุตบอล 1 สนาม และเป็นที่ประชุมระดับชัันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชื่อของโดมเป็นชื่อของวัดโบราณในโรงเรียน
- โดม 3 โดมวัดฉัททันต์ เป็นสนามกีฬาในร่ม เป็นสนามบาสเกตบอล 2 สนาม สามารถปรับเป็นสนามฟุตซอลได้ 2 สนาม หรือสนามฟุตบอล 1 สนาม และเป็นที่ประชุมระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ชื่อของโดมเป็นชื่อของวัดโบราณในโรงเรียน
- โดม 4 โดมวัดป่าโรง เป็นที่สำหรับนั่งพักผ่อน ทำกิจกรรมนันทนาการ และเป็นเวทีแสดงศักยภาพนักเรียน ชื่อของโดมเป็นชื่อของวัดโบราณในโรงเรียน
- สนามฟุตบอล เป็นสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน พร้อมลู่วิ่งจำนวน 6 ลู่ และอัฒจันทร์คอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 3 อัฒจันทร์ ทางทิศเหนือของสนามขนานกับกำแพง 100 ปี อยุธยาวิทยาลัย
- สระว่ายน้ำอยุธยาวิทยาลัย เป็นสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน 50 เมตร พร้อมอัฒจันทร์ 1 ด้าน มีความจุประมาณ 1,000 คน โดยได้รับงบประมาณก่อสร้างจากกรมพลศึกษาและมีห้องออกกำลังกายอีกด้วย
- หอพระพุทธรูปประจำโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย มี 2 แห่งคือ
- จุดที่ 1 ตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าด้านถนนปรีดี พนมยงค์ (หรือถนนโรจนะ) ตรงข้ามจวนผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริจาคเงินก่อสร้างโดย พลเรือตรี นาวาอากาศเอก ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักเรียนเก่าโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยและอดีตนายกรัฐมนตรี โดยนามของพระพุทธรูปที่ประดิษฐานคือ "พระพุทธปฏิมาวาสนัฏฐารสม์"
- จุดที่ 2 ตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าด้านถนนป่าโทน (หรือถนนเดชาวุธ) ตรงข้ามสวนสาธารณะบึงพระราม ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 โดยนามของพระพุทธรูปที่ประดิษฐานคือ "พระพุทธไตรรัตนนายก"
- ลานธรรมวาสโน เป็นลานอเนกประสงค์เพื่อการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของโรงเรียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และฝึกจิตใจให้สงบ นั่งสมาธิ ในปี พ.ศ. 2563 ผู้อำนวยการสุชีพ บุญวงษ์ ได้ตั้งชื่อลานธรรมะแห่งนี้ โดยได้รับคำแนะนำจากคุณครูสมเกียรติ วิเชียรวิลาวัณย์ โดยให้ชื่อว่า "ลานธรรมวาสโน" ตั้งชื่อตามฉายาแรกของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ ( วาสน์ วาสโน ) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเคยเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย[10]
- ศูนย์อาหารโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย มีจำนวน 2 แห่ง
- ศูนย์อาหาร 1 เป็นโรงอาหารเดิมตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน อยู่ติดกับหอประชุมพระราชทาน รัชกาลที่ 8 มีร้านค้าประมาณ 20 ร้านค้า มีความจุประมาณ 800 คน
- ศูนย์อาหาร 2 เป็นโรงอาหารที่เปิดใช้เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 มีร้านค้าประมาณ 20 ร้านค้า มีความจุประมาณ 1,000 คน
- โรงผลิตน้ำดื่มอยุธยาวิทยาลัย เป็นโครงการผลิตน้ำดื่มส่งเสริมอาชีพนักเรียนอยุธยาวิทยาลัย อยู่บริเวณด้านหลังศูนย์อาหาร 1 ผลิตเพื่อจำหน่ายในโรงเรียนให้แก่ครู อาจารย์ และนักเรียน
- ศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย เป็นศูนย์ฝึกย่อยสำหรับฝึกนักศึกษาวิชาทหาร โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
- กำแพง 100 ปี อยุธยาวิทยาลัย เป็นกำแพงที่สร้างขึ้นในวาระโรงเรียนมีอายุครบ 100 ปี เป็นกำแพงอิฐ ลักษณะคล้ายกำแพงเมืองโบราณ ตั้งอยู่ทางด้านถนนป่าโทน
หลักสูตรและแผนการเรียน
[แก้]- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
- ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี (ตามแนวทาง สสวท.)
- ห้องเรียนพิเศษ โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program)
- ห้องเรียนพิเศษ โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program)
- ห้องเรียนวิทยาศาสตร์พลังสิบ
- ห้องเรียนปกติ 3 กลุ่มการเรียน ได้แก่
- กลุ่มเน้นวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์
- กลุ่มเน้นคณิตศาสตร์-ภาษา
- กลุ่มทั่วไป
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
- ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี (ตามแนวทาง สสวท.)
- ห้องเรียนพิเศษ โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) (วิทยาศาสตร์)
- ห้องเรียนพิเศษ โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) (ภาษา-วรรณกรรม)
- ห้องเรียนวิทยาศาสตร์พลังสิบ
- ห้องเรียนปกติ 3 กลุ่มการเรียน ได้แก่
- กลุ่มเน้นวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ และกลุ่มเน้นวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (เตรียม 4 เหล่า)
- กลุ่มเน้นคณิตศาสตร์-ภาษา
- กลุ่มทั่วไป
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี (ตามแนวทาง สสวท.)
- ห้องเรียนพิเศษ โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) (วิทยาศาสตร์)
- ห้องเรียนพิเศษ โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) (ภาษา-วรรณกรรม)
- ห้องเรียนวิทยาศาสตร์พลังสิบ
- ห้องเรียนปกติ 3 กลุ่มการเรียน ได้แก่
- กลุ่มเน้นวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ และกลุ่มเน้นวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (เตรียม 4 เหล่า)
- กลุ่มเน้นคณิตศาสตร์-ภาษา
- กลุ่มทั่วไป
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
- ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (โครงการเสริมสร้างศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ของกระทรวงศึกษาธิการ)
- ห้องเรียนปกติ จำนวน 12 แผนการเรียน ได้แก่
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (เน้นวิศวกรรมศาสตร์)
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ)
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์
- แผนการเรียนคณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ (เน้นภาษาอังกฤษ)
- แผนการเรียนคณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาญี่ปุ่น
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาฝรั่งเศส
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาเกาหลี
- แผนการเรียนคอมพิวเตอร์กราฟิก
- แผนการเรียนภาษาไทย-สังคมศึกษา (เน้นนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์)
- แผนการเรียนภาษาไทย-สังคมศึกษา
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
- ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (โครงการเสริมสร้างศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ของกระทรวงศึกษาธิการ)
- ห้องเรียนปกติ จำนวน 12 แผนการเรียน ได้แก่
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (เน้นวิศวกรรมศาสตร์)
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ)
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์
- แผนการเรียนคณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ (เน้นภาษาอังกฤษ)
- แผนการเรียนคณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาญี่ปุ่น
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาฝรั่งเศส
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาเกาหลี
- แผนการเรียนคอมพิวเตอร์กราฟิก
- แผนการเรียนภาษาไทย-สังคมศึกษา (เน้นนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์)
- แผนการเรียนภาษาไทย-สังคมศึกษา
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
- ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (โครงการเสริมสร้างศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ของกระทรวงศึกษาธิการ)
- ห้องเรียนปกติ จำนวน 12 แผนการเรียน ได้แก่
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (เน้นวิศวกรรมศาสตร์)
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ (โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ)
- แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์
- แผนการเรียนคณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ (เน้นภาษาอังกฤษ)
- แผนการเรียนคณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาญี่ปุ่น
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาฝรั่งเศส
- แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาเกาหลี
- แผนการเรียนคอมพิวเตอร์กราฟิก
- แผนการเรียนภาษาไทย-สังคมศึกษา (เน้นนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์)
- แผนการเรียนภาษาไทย-สังคมศึกษา
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
การบริหารงาน
[แก้]ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูใหญ่ และอาจารย์ใหญ่
[แก้]- ผู้รักษาการแทนในกรณีตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ครูใหญ่ และอาจารย์ใหญ่ว่างลง
ลำดับ | รายนาม | วาระการดำรงตำแหน่ง | ||
---|---|---|---|---|
ดำรงตำแหน่ง | หมดวาระ | ระยะเวลา | ||
1 | ขุนประกอบวุฒิสารท (ทิพ เปรมกมล) | พ.ศ. 2448 | พ.ศ. 2449 | |
2 | พระอนุสิษฐ์วิบูลย์ (เปี่ยม จันทรสถิตย์) | พ.ศ. 2449 | พ.ศ. 2450 | |
3 | พระวิเศษกลปกิจ (รัตน์ ปัทมะศิริ) | พ.ศ. 2450 | พ.ศ. 2450 | |
4 | ขุนบำเหน็จวรสาร (ชิต) | พ.ศ. 2451 | พ.ศ. 2451 | |
5 | พระชำนาญขบวนสอน (เฉย สุกุมาลนันท์) | พ.ศ. 2452 | มิถุนายน พ.ศ. 2452 | |
6 | รัตน์ | พ.ศ. 2452 | พฤษภาคม พ.ศ. 2453 | |
7 | ปุ่น | มิถุนายน พ.ศ. 2453 | พ.ศ. 2453 | |
8 | เล็ก | พ.ศ. 2454 | พ.ศ. 2454 | |
9 | ผัน | พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 | พ.ศ. 2455 | |
10 | ขุนกลั่นวิชาสอน (วิชา หัมพานนท์) | พ.ศ. 2456 | พ.ศ. 2464 | |
- | มี ศาลิชีวิน | พ.ศ 2458 | พ.ศ. 2458 | |
11 | ขุนทรงวรวิทย์ (แม้น สุวรรณประภา) | พ.ศ. 2464 | กรกฎาคม พ.ศ. 2466 | |
12 | หลวงภารสาส์น (เฟื่อง นาวาชีวะ) | พ.ศ. 2466 | พ.ศ. 2477 | |
13 | ฟุ้ง ศรีวิจารณ์ | พ.ศ. 2478 | พ.ศ. 2479 | |
14 | ฉลวย สาตพร | พ.ศ. 2479 | มกราคม พ.ศ. 2481 | |
- | สุรินทร์ สรศิริ | พ.ศ. 2481 | พ.ศ. 2482 | |
15 | สุรินทร์ สรศิริ | พ.ศ. 2482 | พ.ศ. 2482 | 60—90 วัน |
16 | สังข์ อิศรางกูร ณ อยุธยา | พ.ศ. 2482 | พ.ศ. 2484 | |
17 | เชื้อ สาริมาน | พ.ศ. 2484 | พ.ศ. 2486 | |
18 | เชื้อ สมบุญวงศ์ | พ.ศ. 2486 | พ.ศ. 2488 | |
15 (2) | สุรินทร์ สรศิริ | พ.ศ. 2489 | พ.ศ. 2491 | |
19 | แวว นิลพยัคฆ์ | พ.ศ. 2491 | พ.ศ. 2498 | |
20 | จรูญ ส่องสิริ | พ.ศ. 2498 | พ.ศ. 2505 | |
21 | พิทยา วรรธนานุสาร | พ.ศ. 2505 | พ.ศ. 2516 | |
22 | เจริญ ลัดดาพงศ์ | พ.ศ. 2517 | พ.ศ. 2526 | |
23 | ลือชา สร้อยพาน | พ.ศ. 2526 | พ.ศ. 2528 | |
24 | มาโนช ปานโต | พ.ศ. 2528 | พ.ศ. 2530 | |
25 | ชลิต เจริญศรี | พ.ศ. 2530 | พ.ศ. 2532 | |
26 | อุเทน เจริญกูล | พ.ศ. 2532 | พ.ศ. 2535 | |
27 | จักรกฤษณ์ ธีระอรรถ | พ.ศ. 2535 | พ.ศ. 2542 | |
28 | วิโรจน์ ฟักสุวรรณ์ | พ.ศ. 2542 | พ.ศ. 2543 | |
29 | รัชนี ศุภพงศ์ | พ.ศ. 2543 | พ.ศ. 2546 | |
30 | อำนาจ ศรีชัย | 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 | พ.ศ. 2547 | |
31 | มาโนช จันทร์เทพ | 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 | พ.ศ. 2554 | |
32 | เฉลิมศักดิ์ ภาระธัญญา | 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554 | 30 กันยายน พ.ศ. 2559 | 4 ปี 296 วัน |
33 | วรากร รื่นกมล | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 | 30 กันยายน พ.ศ. 2562 | 2 ปี 323 วัน |
- | สมศักดิ์ งามสมเกล้า | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562 | 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 | 0 ปี 57 วัน |
34 | สุชีพ บุญวงษ์ | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 | 30 กันยายน พ.ศ. 2564 | 1 ปี 306 วัน |
35 | ว่าที่ร้อยตรี ดร.กฤดิ์ทรัพย์ เชื้อพันธ์ | 1 ตุลาคม พ.ศ.2564 | ปัจจุบัน | ข้อผิดพลาด: แม่แบบ:อายุปีและวัน รองรับเฉพาะปีพุทธศักราช หากใช้เป็นคริสต์ศักราช กรุณาใช้ แม่แบบ:Age in years and days |
กิจกรรมในโรงเรียน
[แก้]กิจกรรมสำคัญ
[แก้]- วันอานันทมหิดล
วันอานันทมหิดล หรือ วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญของโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมสำคัญได้แก่ พิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน และพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ณ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
- วันอยุธยาวิทยาลัย
วันอยุธยาวิทยาลัย ตรงกับวันเสาร์แรกของเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นวันครบรอบวันสถาปนาโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า หรือปัจจุบันคือโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ซึ่งสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2448 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยวันเสาร์แรกของเดือนมีนาคมในปี พ.ศ. 2448 ตรงกับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2448 โดยในวันดังกล่าวจะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ งานชาติเสือคืนถิ่น ซึ่งเป็นงานที่จะรวมศิษย์เก่า มาจัดกิจกรรมรื่นเริงพบปะสังสรรค์กัน และการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี เพื่อแถลงกิจการงานของสมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- พิธีมอบเหรียญค่าแห่งคุณธรรม
เป็นพิธีประดับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ "ค่าแห่งคุณธรรม" ของโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ให้แก่นักเรียนที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีและเป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 20 กันยายน ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 โดยในแต่ละปีจะมีนักเรียนได้รับเพียงไม่กี่คน ซึ่งจะได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการของโรงเรียนเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสมในการเข้าเสนอชื่อรับรางวัล โดยเกณฑ์ที่ใช้พิจารณามีดังต่อไปนี้
- เป็นผู้ประพฤติเรียบร้อยทั้งที่บ้านและโรงเรียน ทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยสม่ำเสมอ
- ขยันหมั่นเพียรและตั้งใจเล่าเรียนสม่ำเสมอทุกวิชา ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งก็ได้
- มีปฏิภาณไหวพริบดีพอใช้
- มีน้ำใจเสียสละและช่วยเหลือโรงเรียนอยู่เป็นนิจ
- รักความสามัคคี รักมิตรสหายและรักชื่อเสียงเกียรติคุณของโรงเรียน
- ต้องมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย[11]
กิจกรรมกีฬาภายใน
[แก้]งานกีฬาภายในของโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย หรือ ชาติเสือเกมส์ เป็นงานกิจกรรมการแข่งขันกีฬาและกรีฑาภายในโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ซึ่งงานจะจัดขึ้น 3 วันในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี โดยมีการแบ่งคณะสีทั้งหมดออกเป็น 6 คณะสี ได้แก่
- คณะสีราชพฤกษ์ (สีเหลือง)
- คณะสีราชาวดี (สีฟ้า)
- คณะสียูงทอง (สีแสด)
- คณะสีนาคราช (สีเขียว)
- คณะสีอินทนิล (สีม่วง)
- คณะสีจามจุรี (สีชมพู)
ซึ่งจะไล่เรียงแตกต่างกันไปในแต่ละห้อง โดยเริ่มจากห้องเลขที่แรกไปจนถึงห้องเลขที่สุดท้ายในแต่ละระดับชั้น ตามลำดับ
บุคคลสำคัญ
[แก้]รายพระนามและรายนามนักเรียนเก่าที่มีชื่อเสียง
[แก้]- ประเสริฐ บุญสม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- พลตำรวจเอก ประทิน สันติประภพ ราชองครักษ์พิเศษ, สมาชิกวุฒิสภา, อธิบดีกรมตำรวจ
- เชาวน์วัศ สุดลาภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย 1, ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนที่ 7
- วิญญู อังคณารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
นักธุรกิจ
[แก้]- ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา เจ้าของบริษัทในเครือกรังด์ปรีซ์[12]
ศิลปิน ดารา นักแสดง นักดนตรี นักกีฬา และผู้มีชื่อเสียง
[แก้]- มาโนช พุฒตาล นักร้อง, นักดนตรี, นักจัดรายการดนตรีเพลงสากลทางโทรทัศน์, นักจัดรายการวิทยุ, ทำนิตยสารเกี่ยวกับดนตรี
- ปราจีน ทรงเผ่า นักดนตรี, นักแต่งเพลง, หัวหน้าวงดนตรีดิ อิมพอสซิเบิ้ล
- รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง (เอก) นักแสดง, นักร้อง, นักแต่งเพลง
- ไชยา มิตรชัย (เสมา สมบูรณ์) พระเอกลิเกชื่อดัง, นักแสดง, นักร้อง, พิธีกร
- กันต์ธีร์ ปิติธัญ (ซีดี The Star 10) นักร้อง, นักแสดง, แร็ปเปอร์
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "ร้อยเรื่องราวจากรั้วจามจุรี: ๑ พระราชปณิธาน". CU100. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สืบค้นเมื่อ 2021-05-14.
- ↑ "ประวัติความเป็นมาของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา". จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. สำนักงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. สืบค้นเมื่อ 2021-05-18.
- ↑ ปองพล วิชาดี. (2563). พระยาโบราณราชธานินทร์กับอยุธยาวิทยาลัย. วารสารชาติเสือ, 115(1), 9.
- ↑ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 สังข์ อิศรางกูร ณ อยุธยา. (2484). อยุธยาวิทยานุสรณ์. โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 หนึ่งศตวรรษอยุธยาวิทยาลัย, สมาคมนักเรียนเก่าอยุธยาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, วารสาร, 2548
- ↑ 6.0 6.1 84 ปีอยุธยาวิทยาลัย, สมาคมนักเรียนเก่าอยุธยาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, วารสาร, 2532
- ↑ ครูศิลป์ (นามแฝง). (2563). ปลูกปัญญาศิลป์: "อาคารสิริมงคลานันท์ กับสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปแบบ Art Deco". วารสารชาติเสือ, 115(1), 35.
- ↑ ทศพล อินน้ำคบ. (2563). ประวัติศาสตร์: อยุธยาวิทยาลัยกับศิลปะแบบคณะราษฎร. วารสารชาติเสือ, 115(1), 31.
- ↑ พงศธร แสนช่าง. (2563). จากตึก ๑๙ สู่ตึก ๔ สีเปลี่ยน จิตวิญญาณไม่เปลี่ยน. วารสารชาติเสือ, 115(1), 23.
- ↑ ลานธรรมวาสโน. (2563). วารสารชาติเสือ, 115(1), 30.
- ↑ พิธีมอบเหรียญค่าแห่งคุณธรรม: จงรักษาความดี ดุจเกลือรักษาความเค็ม. (2563). วารสารชาติเสือ, 115(1), 42.
- ↑ "โครงสร้างผู้ถือหุ้น". บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน). 2020-01-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-05. สืบค้นเมื่อ 2020-07-16.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- เว็บไซต์โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
- กลุ่มบริหารวิชาการ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ที่เฟซบุ๊ก
- ข้อมูลพื้นฐานโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยในระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์