โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
บทความนี้ อาศัยการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิมากเกินไป (สิงหาคม 2020) (เรียนรู้ว่าจะนำสารแม่แบบนี้ออกได้อย่างไรและเมื่อไร) |
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ Benchamaracharungsarit School | |
---|---|
![]() | |
![]() โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ในปี พ.ศ. 2556 | |
![]() | |
เลขที่ 222 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 24000 | |
ข้อมูล | |
ชื่ออื่น | บ.ฉ. / BRR |
ประเภท | โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ |
คำขวัญ | สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี ความพร้อมเพรียงแห่งหมู่คณะนำมาซึ่งความสุข |
สถาปนา | 20 มิถุนายน ค.ศ. 1892 |
ผู้ก่อตั้ง | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ผู้อำนวยการโรงเรียน | นายชัชชัย พุทธสุวรรณ์ |
สี | น้ำเงิน-เหลือง |
เพลง | มาร์ชเบญจมราชรังสฤษฎิ์ |
สังกัด | สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 6 สพฐ. |
ศิษย์เก่า | สมาคมศิษย์เก่าเบญจมราชรังสฤษฎิ์ |
เว็บไซต์ | www |
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ (อังกฤษ: Benchamaracharungsarit School) (อักษรย่อ : บ.ฉ. / BRR) เป็นโรงเรียนรัฐบาลสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 222 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์เป็นโรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษา ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2435 เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ
เดิมโรงเรียนนี้เคยเป็นโรงเรียนประจำมณฑลปราจีนบุรี[1] และใช้ชื่อว่า โรงเรียนเบญจมราชูทิศ
ประวัติโรงเรียน[แก้]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เริ่มก่อตั้งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2435 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[2]
เส้นเวลาโดยสรุป[แก้]
- ก่อตั้ง โรงเรียนสายชล ณ รังสี เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2435
- เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนอณัตยาคม เมื่อปีพุทธศักราช 2446
- เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ เมื่อปีพุทธศักราช 2450
- เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนเบญจมราชูทิศ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พุทธศักราช 2456[1]
- แยกนักเรียนหญิง แล้วตั้งโรงเรียนใหม่โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนดัดดรุณี เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2458 จนถึงปัจจุบัน
- แยกนักเรียนบางส่วน แล้วตั้งโรงเรียนใหม่โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์ เมื่อปีพุทธศักราช 2463
- ยุบ โรงเรียนฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์ และเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนเบญจมฉะเชิงเทรา เมื่อปีพุทธศักราช 2478
- เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา “เบญจมราชรังสฤษฎิ์” เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พุทธศักราช 2482 ต่อมาได้มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเปลี่ยนชื่อโรงเรียนรัฐบาลเพื่อความเหมาะสม ลงวันที่ 1 มิถุนายน พุทธศักราช 2494
- เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา “เบญจมราชรังสฤษฎิ์” จังหวัดฉะเชิงเทรา ตามหนังสือของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 16542/2494 ลงวันที่ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2494 ในสมัยนายเลียง ไชยกาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
- เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ เมื่อปีพุทธศักราช 2501 สืบมาจนปัจจุบันนี้
พ.ศ. 2435–2449: วัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน)[แก้]
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในกรุงเทพฯ หลายแห่ง ให้ตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรเป็นแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม เมื่อ พ.ศ. 2427 และจัดตั้งโรงเรียนกระจายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ
ต่อมาประกาศตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2430 เพื่อให้ดูแลจัดการการศึกษาโดยเฉพาะ และเมื่อมีโรงเรียนเพิ่มมากยิ่งขึ้น จึงฐานะกรมศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 และทรงมีพระราชปรารภว่ายังสามารถให้การศึกษาแก่ราษฎรได้อย่างทั่วถึง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศตั้ง “โรงเรียนมูลสามัญศึกษา” ขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2435 ครูผู้สอนในสมัยนั้น ได้แก่พระภิกษุที่อยู่ในวัดและจัดสอนตามหลักสูตรสามัญ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ โรงเรียนมูลสามัญชั้นต่ำ โรงเรียนมูลสามัญชั้นสูง
โดยส่วนหนึ่งในประกาศระบุว่า “บรรดาโรงเรียนซึ่งตั้งในพระอารามแลวัดต่าง ๆ ประกาศนี้ ถ้าสอนตามแบบเรียนหลวงแล้ว ให้นับเป็นโรงเรียนหลวงทั้งสิ้น”[3] จากประกาศฉบับนี้มีผลทำการตั้งโรงเรียนขึ้นตามวัดต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร รวมทั้งจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย จึงนับว่าการประกาศตั้งโรงเรียนมูลสามัญศึกษาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2435 หมายรวมถึงที่วัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน) จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็ฯโรงเรียนมูลสามัญศึกษาโรงเรียนหนึ่งของเมืองฉะเชิงเทรา โดยใช้ชื่อโรงเรียนตามชื่อวัด ใช้ศาลาการเปรียญของวัดเป็นสถานศึกษาเล่าเรียนเปิดสอนทั้งชั้นมูลและชั้นประถม โรงเรียนวัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน) จึงเป็นโรงเรียนหลวงของเมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งขณะนั้นเจ้าคณะจังหวัด คือ ครูญาณรังษีมุนีวงษ์ (พระครูมี) ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส ต่อมามีประชาชนส่งบุตรหลานมาเรียนมากขึ้น จึงใช้โรงทึมที่หลวงอาณัติจีนประชาสร้างขึ้นเพื่อบำเพ็ญกุศลศพของพระวิสูตรจีนชาติแล้วถวายให้วัดเมื่อ พ.ศ. 2438
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิรูปการปกครองพร้อมกันไปด้วย โดยจัดแบ่งหัวเมืองออกเป็นมณฑล (มณฑลเทศาภิบาล) และได้จัดตั้งมณฑลปราจีนขึ้นในปี พ.ศ. 2437 ต่อมามีพระราชปรารภว่า “เมืองฉะเชิงเทรามีราชการมากกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งยังมีทางรถไฟ และเป็นเมืองท่ามกลางมณฑล สมควรย้ายที่ว่าการมณฑลมาตั้งที่เมืองฉะเชิงเทราจะเป็นการสะดวกแก่การปกครองและการบังคับบัญชา” จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ว่าการมณฑลมาตั้งทีเมืองฉะเชิงเทราตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2445
จากนั้นทรงมีพระราชประสงค์ที่จะจัดการการศึกษาให้เป็นแบบแผนเดียวกันทั่วทั้งประเทศ จึงทรงมอบให้กระทรวงธรรมการดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ โดยให้มีการศึกษาตาม “โครงการจัดการการศึกษาตามแบบอย่างอังกฤษ พ.ศ. 2441” กล่าวคือแบ่งการศึกษาเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ชั้นมูล ชั้นประถม ชั้นมัธยม และอุดมศึกษา และจัดให้การศึกษาในโรงเรียนเพื่อให้เป็นแบบอย่างเฉพาะในเมืองที่เป็นที่ตั้งมณฑลขึ้นก่อน กระทรวงธรรมการจึงได้ส่ง ขุนวิธานดรุณกิจ ออกมาจัดการการศึกษาในมณฑลปราจีนบุรี ฉะเชิงเทราเป็นคนแรก โดยมีท่านเจ้าคุณทักษิณคณิศร แม่กองการศึกษาและแม่กองสอบไล่มาเป็นประธานร่วมด้วย เมื่อร่วมกันพิจารณากันว่าเห็นพ้องกันว่า “โรงเรียนวัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน)” มีความเหมาะสมที่จะเป็นตัวอย่างมากกว่าโรงเรียนวัดอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน จึงแจ้งให้กระทรวงธรรมการทราบ และได้รับเลือกและยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนรัฐบาลตัวอย่างประจำมณฑลปราจีน เมื่อปี พ.ศ. 2446[4] แบ่งนักเรียนตามประเภทความรู้ได้ 2 ระดับ คือชั้นมูลและชั้นประถม จากนั้นกระทรวงธรรมการส่งครูมาให้ 2 คน คือ ครูมั่ง พระปัญญา และครูต่ำ (ไม่ทราบนามสกุล) จึงได้แยกนักเรียนชั้นประถมลงมาที่โรงทึม และตั้งชื่อใหม่เป็น “โรงเรียนอณัตยาคม” โดยชื่อสกุลของพระวิสูตรจีนชาติ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เจ้าสกุลสืบนับว่า โรงเรียนวัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน) เป็นโรงเรียนที่เป็นรากฐานอันสำคัญในด้านการศึกษาของเมืองฉะเชิงเทรา
หลังจากเปิดทำการสอนได้ 2 ปี โรงเรียนอาณัตยาคม กลายเป็นสนามสอบไล่ตามคำสั่งของท่านเจ้าคุณทักษิณคณิศร เจ้าอาวาสวัดบางยี่เรือใต้ คลองบางกอกใหญ่ ธนบุรี ซึ่งเป็นเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรีด้วย ได้มีคำสั่งให้ครูโรงเรียนต่างในจังหวัดฉะเชิงเทรา มาสมทบสอบไล่ที่โรงเรียนอาณัตยาคม และท่านเจ้าคุณทักษิณคณิศรได้พาข้าหลวงและพนักงานสอบไล่มาทำการสอบเมื่อเดือนพฤษภาคมพ.ศ. 2488 โดยมีหลวงบำนาญวรญาณเป็นหัวหน้าคณะสอบ โรงเรียนที่มาสอบไล่ ประกอบไปด้วย
- โรงเรียนเทพพิทยาคม วัดเทพนิมิตร
- โรงเรียนอุคมพิทยา วัดสมาน
- โรงเรียนดรุณพิทยาคาร วัดแหลมล่าง
- โรงเรียนอณัตยาคม วัดสายชล ณ รังษี
แม้จะเปิดทำการสอน แต่อยู่ได้ไม่นานนักก็จำเป็นต้องย้ายด้วยอุปสรรคทางด้านการคมนาคม
พ.ศ. 2450–2480: เบญจมราชูทิศ[แก้]
ในปี พ.ศ. 2449 ได้มีการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพมาถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้มีการวางผังเมืองใหม่ให้สอดรับกับการพัฒนาที่จะตามมา ทำให้กระทรวงธรรมการได้มีคำสั่งย้ายโรงเรียนประจำมณฑลปราจีน มาตั้งที่วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (วัดเมือง) ในปี พ.ศ. 2450 โดยใช้ศาลาการเปรียญเป็นสถานที่เรียน รวมถึงย้ายครูที่กระทรวงได้ส่งมาประจำก่อนหน้านี้มาประจำที่วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ด้วย ซึ่งนักเรียนบางส่วนได้ย้ายตามมาเรียนยังที่ตั้งแห่งใหม่ แต่บางส่วนยังคงเรียนอยู่ที่ตั้งเดิม จนมีนักเรียนมากขึ้น หลวงพ่อแก้วหรือพระอธิการแก้วซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสขณะนั้นได้ให้ใช้เงินของท่านสร้างเรือนไม้ทรงปั้นหยา 2 ชั้น เพื่อเป็นที่สำหรับเรียนเพิ่มเติม ชั้นบนเป็นของนักเรียนมัธยม ชั้นล่างเป็นของนักเรียนประถม 2 และ 3 ส่วนศาลาการเปรียญเป็นที่เรียนของชั้นมูลและชั้นประถม 1 โรงเรียนได้รับการตั้งชื่อตามวัดคือโรงเรียนปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ มีครูใหญ่คนแรกที่กระทรวงธรรมการส่งมาชื่อว่าแปลก
ต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑล มีความคิดที่จะหาพื้นที่สำหรับจัดตั้งโรงเรียนที่กว้างขวางและมั่นคงให้เหมาะกับการเรียนการสอนของประชาชน จึงได้มอบหมายให้ขุนวิธานดรุณกิจ เป็นผู้หาเงินสร้างโรงเรียนใหม่ ด้วยการรับบริจาคและเรี่ยไรจากข้าราชการ พ่อค้าและประชาชน จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2453 รวบรวมเงินได้ 1,433.66 บาท ก็ยังไม่พอต่อการก่อสร้าง พอดีกับขุนวิธานดรุณกิจ ได้ย้ายไปรับราชการที่อื่น จึงได้มอบหมายให้ขุนบรรหารวรอรรถ มาดำรงตำแหน่งแทน จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2455 รวบรวมเงินได้เพิ่มอีก 2,205.43 บาท รวมกับเงินก้อนแรกเป็นจำนวน 3,639.09 บาท ก็ยังไม่พอเพียงแก่การสร้างอาคารเรียน กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลในขณะนั้นจึงได้โปรดอนุญาตประทานเงินที่เหลือจากการทำสังเค็ด (ของที่ถวายแก่พระสงฆ์เมื่อเวลาปลงศพ) เพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช เป็นเงิน 2,930.32 บาท กับเงินของพระอธิการแก้ว เจ้าอาวาสวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (เวลามรณภาพแล้ว) ซึ่งเป็นเงินสงฆ์อีก 2,888.82 บาท และได้ประทานกระแสรับสั่งว่ายินดีจะสละทรัพย์ส่วนพระองค์เข้าร่วมสมทบกับเงินที่เหลืออยู่เพื่อให้การก่อสร้างสำเร็จ
ธรรมการมณฑล (ขุนบรรหารวรอรรถ) จึงได้เริ่มประกวดราคาการก่อสร้างในวงเงิน 9,458.23 บาท ซึ่งมีผู้เสนอราคา 9,000 บาท จึงได้เซ็นสัญญาและเริ่มก่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 ในพื้นที่ที่ได้จัดหาไว้ (ปัจจุบันคือพื้นที่ของสระว่ายน้ำของโรงเรียน) โดยก่อสร้างเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวใต้ถุนเตี้ย ระหว่างก่อสร้างเกิดพายุหนักทำให้โครงสร้างถล่มลงมาทั้งหลัง การก่อสร้างจึงล่าช้า และแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2456 เสด็จในกรม (กรมขุนมรุพงษ์ฯ) จึงได้แจ้งไปทางกระทรวงธรรมการเพื่อนำความกราบขึ้นบังคมทูลพระราชกรุณาขอพระราชทานนามโรงเรียนหลังนี้ และในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2456 กระทรวงธรรมการแจ้งกลับมาว่า ได้นำความกราบขึ้งบังคมทูลแล้ว พระองค์ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามโรงเรียนว่า “เบญจมราชูทิศ”[5]
ต่อมา ขุนบรรหารวรอรรถ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันให้เกิดโรงเรียน เบญจมราชูทิศ ขึ้นมาต้องย้ายไปรับราชการตำแหน่งข้าหลวงตรวจการศึกษาภาคตะวันออกในช่วงต้นปี พ.ศ. 2460 ธรรมการจังหวัด คือ หลวงอำนวยศิลปศาสตร์ จึงได้ขึ้นมารับตำแหน่งธรรมการมณฑล ซึ่งท่านเป็นผู้สนใจงานในด้านการศึกษาเช่นกัน จึงได้พัฒนาการศึกษาในจังหวัดฉะเชิงเทราจนเจริญขึ้นตามลำดับ เป็นเหตุให้โรงเรียนเบญจมราชูทิศที่มีอยู่เดิมไม่เพียงพอ ถึงแม้จะมีโรงเรียนปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์อยู่เดิมแล้วเช่นกัน ธรรมการมณฑลจึงมีความคิดที่จะสร้างโรงเรียนเพิ่มขึ้นอีกแห่งเพื่อไม่ให้นักเรียนเกิดอุปสรรค์จากการเรียนเนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอ จึงนำความขึ้นทูล หม่อมเจ้าธำรงสิริ ศรีธวัช (สมุหเทศาภิบาล) และได้รับความเห็นชอบ และประมูลการรับเหมาก่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ได้ในราคา 20,000 บาท ดำเนินการก่อสร้างในด้านตะวันออกของโรงเรียนเบญจมราชูทิศ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2462 (บริเวณสนามฟุตบอลของโรงเรียนในปัจจุบัน) และเปิดอาคารเรียนในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2463 เป็นอาคารเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวมีมุขกลางใต้ถุนสูงโปร่ง มีบันไดขึ้นลงสองข้างมุข หม่อมเจ้าธำรงสิริ ศรีธวัช จึงแจ้งไปยังกระทรวงธรรมการเพื่อนำความกราบขึ้นบังคมทูลขอพระทานนามโรงเรียน ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “ฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์”[4] และได้ฉลองการเปิดโรงเรียนใหม่ โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสด็จมาชักแพรเปิดป้าย
ในปี พ.ศ. 2478 หลวงอาจวิชาสรร ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ และข้าหลวงตรวจการศึกษาธิการ ได้ปรึกษากับนายสุบิน พิมพยะจันทร์ ธรรมการจังหวัด ว่าโรงเรียนทั้งสอง คือ โรงเรียนเบญจมราชูทิศและโรงเรียนฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์ ก่อตั้งมานานพอสมควร ตัวอาคารมีการชำรุดทรุดโทรม ประกอบกับนักเรียนที่มากขึ้นทั้งสองโรงเรียน สมควรจที่จะยุบรวมโรงเรียนทั้งสองและสร้างใหม่ในที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และรวมชื่อโรงเรียนทั้งสองหลังเป็นตั้งใหม่เป็น “เบญจมฉะเชิงเทรา” โดยใช้ชื่อเก่าจากโรงเรียนทั้งสองมารวมกัน
พ.ศ. 2480–ปัจจุบัน: เบญจมราชรังสฤษฎิ์[แก้]
ในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2479 หลวงอาจวิชาสรร ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการศาสนา จึงได้มีการแต่งตั้งนายศิริพล (ย้อย) วรสินธุ์ มาดำรงตำแหน่งครูใหญ่แทน จึงได้สานงานต่อกับที่ได้ปรึกษากับนายสุบิน พิมพยะจันทร์ ธรรมการจังหวัด ได้รื้อโรงเรียนทั้งสองหลังลงมาเมื่อ พ.ศ. 2480 เพื่อนำวัสดุต่าง ๆ ไปก่อสร้างร่วมกับตัวโรงเรียนหลังใหม่
ระหว่างนั้นที่ตัวโรงเรียนไม่มีอาคารเรียน โรงเรียนประกอบไปด้วยครูจำนวน 13 คน นักเรียนจำนวน 310 คน โรงเรียนได้รับความเมตตาจาก ร้อยเอกหลวงกำจัดไพริน ผู้บังคับกองพันทหารช่างที่ 2 (ค่ายศรีโสธร) ให้ใช้เรือนนอนทหารจำนวน 1 หลัง เป็นสถานที่สำหรับการเรียนการสอนตลอดปีการศึกษา พ.ศ. 2481 โดยตัวอาคารเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และสามารถย้ายกลับมาเรียนในอาคารเรียนหลังใหม่ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม พ.ศ. 2481 จากนั้นนายสุบิน พิมพยะจันทร์ ธรรมการจังหวัดได้ทำสัญญากับนายสุวรรณ แสงส่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2481 เพื่อกั้นฝาผนังอาคารชั้นล่างด้วยเงินการจรอีก 1,895.00 บาท รวมถึงทาสีอาคารทั้งอาคาร โดยว่าจ้างนายเค็งคุน แซ่อุ๊ย ด้วยเงินการจรอีก 2,650.00 บาท จนกระทั่งตัวอาคารนั้นเสร็จสมบูรณ์ โรงเรียนประกอบไปด้วยอาคารเรียนที่มี 2 ชั้น จำนวน 20 ห้อง มีห้องประชุมอยู่กลางอาคาร
โดยในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2482 หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการได้มาเป็นประธานพิธีชักแพรเปิดป้ายนามโรงเรียน โดยใช้ชื่อเต็มว่า โรงเรียนประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา “เบญจมราชรังสฤษฎิ์” จากนั้นในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2494 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา “เบญจมราชรังสฤษฎิ์” จังหวัดฉะเชิงเทรา[6][7]
ในปี พ.ศ. 2496 โรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายปรับปรุงขององค์การส่งเสริมการศึกษาจังหวัดฉะเชิงเทรา ประกอบไปด้วยวิชาเลือกสำหรับแยกเรียน 4 แผนก ประกอบไปด้วย แผนกวิสามัญ (แผนกหนังสือ) แผนกช่าง แผนกพาณิชย์ และแผนกเกษตร โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศซึ่งประจำองค์การสหประชาชาติ ชื่อว่า ดร.ออสเซี่ยน ฟล้อค (Dr. Ossian Flock) คอยให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยมีชื่อเรียกในยุคนั้นว่า โรงเรียนมัธยมวิสามัญแบบประสม (Comprehensive High School)[8] เป็นโรงเรียนแรกของประเทศไทยที่ได้รับการปรับปรุงทางด้านการศึกษา
จากนั้นในปี พ.ศ. 2501 ได้เปิดให้มีการเรียนการสอนในระดับเตรียมอุดมศึกษา แผนกวิทยาศาสตร์ในรูปแบบสหศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนจากเดิม เป็น "โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์" และใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2511 โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสม[8] (ค.ม.ส.) รุ่นที่ 2 เป็นโรงเรียนที่ 7 ของโครงการที่ใช้หลักสูตร ค.ม.ศ. ในระดับ มศ.ต้น และในปี พ.ศ. 2515 เริ่มใช้งานหลักสูตร ค.ม.ส. ในระดับ มศ.ปลาย แผนกทั่วไป รวมถึงเริ่มต้นรับนักเรียนในรูปแบบสหศึกษาตั้งแต่ระดับชั้น มศ.1 เป็นต้นมา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ได้เริ่มใช้งาน หลักสูตรมัธยมศึกษาตอลปลาย พ.ศ. 2518 ในชั้น ม.ศ.4 ปี พ.ศ. 2521 เริ่มใช้งาน หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2521 ปี พ.ศ. 2524 เริ่มใช้หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2524 ในชั้น ม.4 และปรับเปลี่ยนหลักสูตรตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ใช้งานจนถึงปัจจุบัน[2]
ตราสัญลักษณ์[แก้]
ตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ประกอบไปด้วย ตราพระเกี้ยวเปล่งรัศมีด้านบน ด้านล่างเป็นวงกลมภายในมีอักษรย่อ บ.ฉ. 5 ด้านล่างมีแพรแถบข้อความชื่อโรงเรียน มีความหมายดังนี้[9]
- ตระพระเกี้ยวเปล่งรัศมี เป็นตราประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ก่อตั้งและพระราชทานนามโรงเรียน
- หมาลเลข 5 หมายถึงเลขประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- อักษรย่อ บ.ฉ. ย่อมาจาก เบญจมราชูทิศ ฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์ ซึ่งเป็นชื่อพระราชทานของโรงเรียนก่อนจะยุบรวมกัน
- แพรแถบด้านล่าง มีข้อความว่า โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
หลักสูตรที่เปิดสอน[แก้]
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น[แก้]
- ห้องเรียนพิเศษ[10]
- ห้องเรียนปกติ[12]
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (เสริมพื้นฐานสอบเตรียมทหาร) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (เสริมพื้นฐานวิศวะ – สถาปัตย์) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (เสริมพื้นฐานแพทย์ – พยาบาล) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (ทั่วไป) ระดับชั้นละ 3 ห้อง (120 คน)
- แผนการเรียนอังกฤษ – จีน (เสริมพื้นฐานทักษะภาษาสู่สากล) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนทั่วไป (ศิลปะ – กีฬา) ศูนย์บางเตย ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนทั่วไป (เกษตร/งานช่าง) ศูนย์บางเตย ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย[แก้]
- ห้องเรียนพิเศษ[10]
- ห้องเรียนปกติ[12]
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (เสริมพื้นฐานสอบเตรียมทหาร) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (เสริมพื้นฐานวิศวะ – สถาปัตย์) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (เสริมพื้นฐานแพทย์ – พยาบาล) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (เสริมทักษะดิจิทัล – หุ่นยนต์) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (เสริมพื้นฐานโลจิสติกส์) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนวิทย์ – คณิต (ทั่วไป) ระดับชั้นละ 6 ห้อง (240 คน)
- แผนการเรียนศิลป์ – คำนวณ (ภาษา – คณิต) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนอังกฤษ – จีน (เตรียมทักษะภาษาสู่สากล) ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
- แผนการเรียนอังกฤษ – ไทย – สังคม ระดับชั้นละ 1 ห้อง (40 คน)
ชีวิตในโรงเรียน[แก้]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ประกอบด้วยการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1 - ม.3) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 - ม.6) โดยแบ่งเป็นห้องเรียนพิเศษ และห้องเรียนปกติทั้งสองระดับชั้น
ในการมาเรียนในแต่ละวัน จะใช้ระบบเช็คการมาเข้าเรียนด้วยการสแกนลายนิ้วมือ[14] และมีการเปิดเพลง เบญจมราชรังสฤษฎิ์ (เพลงกฤษณ์กังวาน) ระยะเวลาประมาณ 5 นาที[15] พร้อมเสียงบอกระยะเวลาที่เหลือก่อนจะจบเพลง เพื่อเป็นสัญญาณในการเตรียมรวมแถวเพื่อทำกิจกรรมหน้าเสาธง เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา[15]
ปัจจุบันระเบียบเกี่ยวกับทรงผม โรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนสามารถไว้ผมยาวได้ตามความเหมาะสม โดยนักเรียนหญิงที่ไว้ผมยาวจะต้องใช้โบว์ในการผูกรวบผม
ด้านวิชาการ[แก้]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์มีนักเรียนได้รับรางวัลจากการแข่งขันทางวิชาการ จากโอลิมปิกวิชาการ ทั้งในระดับประเทศ[16] และในระดับนานาชาติ ทั้งเหรียญทอง[17]เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง[18][19] นอกจากนี้โรงเรียนยังได้รับคัดเลือกให้เป็นศูนย์ สอวน. วิชาดาราศาสตร์[20] ซึ่งเป็น 1 ใน 12 แห่งทั่วประเทศ และศูนย์โรงเรียนขยายผล สอวน. กลุ่ม 7 ภาคตะวันออก ศูนย์ สอวน. มหาวิทยาลัยบูรพา ในวิชาฟิสิกส์[21] ร่วมกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี
กิจกรรมภายในโรงเรียน[แก้]
ชมรมและกิจกรรมชุมนุม[แก้]
ลูกเสือกองเกียรติยศ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลูกเสือกองร้อยพิเศษเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีคำขวัญว่า "เกียรติ วินัย หน้าที่ สามัคคี กล้าหาญ มั่นคง ตรงต่อเวลา" เป็นกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเองให้มีความพร้อมในการเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานด้านลูกเสือ มีอักษรย่อว่า BRR SCout[22] โดยผู้เข้ารับการฝึกจะได้รับการฝึกทักษะในด้านต่าง ๆ ตามหลักสูตรทางลูกเสือซึ่งจะได้รับเครื่องหมายวิชาพิเศษ โดยจะมีเครื่องหมายแสดงคุณวุฒิทางลูกเสือแสดงถึงความสามารถตามลำดับ อีกทั้งยังมีหน้าที่ปฏิบัติงานจิตอาสาต่าง ๆ ของโรงเรียน[23] และเป็นวิทยากรในการฝึกอบรมลูกเสือ โดยลูกเสือกองร้อยพิเศษเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ได้แข่งขันชนะการประกวดระเบียบแถวลูกเสือ เนตรนารี ระดับจังหวัด ได้รับคัดเลือกไปร่วมแข่งขันระดับประเทศ[24] ในการเดินสวนสนามในพิธีทบทวนคำปฏิญาณและสวนสนามของลูกเสือ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติทุกปี[24]
ด้านดนตรี[แก้]
วงดนตรีโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา (BRR Band) มีความโด่ดเด่นในการแสดงศักยภาพทางด้านดนตรีของนักเรียน โดยได้ร่วมแสดงในกิจกรรมทั้งระดับจังหวัด ในงานนมัสการหลวงพ่อโสธร และงานประจำปี จังหวัดฉะเชิงเทราทุก ๆ ปี และได้ร่วมการแข่งขันทั้งในระดับประเทศ[25] และระดับนานาชาติจนได้รับรางวัล อาทิ ชนะเลิศ DRUM BATTLE ในการแข่งขัน 2019 Marching In Okayama[26] ชนะเลิศการแข่งขัน DRUM BATTLE การประกวดวงโยธวาทิตนักเรียน ประจำปี 2563 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี[25]
สถานที่ภายในโรงเรียน[แก้]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีเนื้อที่ทั้งหมด 33 ไร่ 3 งาน 93 ตารางวา ประกอบด้วยกลุ่มอาคารเรียน ลานกิจกรรม สนามกีฬา และสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ มีอาณาเขตติดต่อกับถนนชุมพล ถนนมหาจักรพรรดิ์ และถนนนรกิจ[27]
สถานที่สำคัญ[แก้]
- พระบรมราชาอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานอยู่บริเวณด้านหน้าอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ฝั่งตะวันออก[28][29]
- หอพระประวัติศาสตร์ 129 ปี อยู่บริเวณด้านหน้าอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ฝั่งตะวันตก เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธร 2 องค์ และพระพุทธเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 1 องค์[30] สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสโรงเรียนครบรอบ 129 ปีเมื่อปี พ.ศ. 2564 โดยสมาคมศิษย์เก่าเบญจมราชรังสฤษฎิ์ แต่เดิมหอพระหลังเก่ามีเพียงแค่พระพุทธเบญจมราชรังสฤษฎิ์
- หอนาฬิกากฤษณ์กังวาน สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ครูกฤษณ์ มุสิกุล เป็นหอนาฬิกาติดตั้งคู่กับเสาธงเพื่อส่งสัญญาณเปลี่ยนคาบเรียนของนักเรียน จะดังทุก ๆ 50 นาทีจนถึงเวลาเลิกเรียน[15]
อาคารเรียน[แก้]
ปัจจุบันโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีอาคารหลักภายในโรงเรียนจำนวนทั้งสิ้น 10 อาคาร ประกอบไปด้วย
- อาคาร 1 มีความสูง 3 ชั้น
- ชั้น 1 เป็นที่ตั้งของห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และชั้นนี้ยังเป็นที่ตั้งของห้องสมุดของกลุ่มสาระการเรียนรู้นี้
- ชั้น 2 เป็นห้องเรียนวิทย์-คณิตและห้องพระพุทธศาสนา
- ชั้น 3 เป็นห้องเรียนวิทย์-คณิต
- อาคาร 2 หรืออีกชื่อหนึ่งว่า อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา มีความสูง 7 ชั้น
- ชั้น 1 โรงอาหาร
- ชั้น 2 ห้องสมุด ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ และห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก
- ชั้น 3 เป็นชั้นที่มีการเรียนการสอนวิชาเคมี มีห้องพักครูและห้องปฏิบัติการเคมี
- ชั้น 4 เป็นชั้นที่มีการสอนวิชาชีววิทยา มีห้องพักครูสาขาวิชาชีววิทยา
- ชั้น 5 เป็นชั้นที่มีการสอนวิชาฟิสิกส์ มีห้องพักครูสาขาวิชาฟิสิกส์
- ชั้น 6 เป็นชั้นที่มีการสอนวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีห้องพักครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
- ชั้น 7 เป็นที่ตั้งของห้องเรียนสีเขียว ห้องเรียนรวม เป็นชั้นที่มีการสอนวิชาดาราศาสตร์
- อาคาร 3 มีความสูง 2 ชั้น
- ชั้น 1 เป็นที่เรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระการเรียนรู้ย่อยคหกรรมศาสตร์ ห้องศูนย์เพื่อนใจและห้องชมรม TO BE NUMBER ONE
- ชั้น 2 เป็นที่ตั้งของห้องเรียนวิทย์-คณิต
- อาคาร 4 มีความสูง 4 ชั้น เป็นอาคารสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดยชั้น 2 ของอาคารเป็นที่ตั้งของห้องพักครู ห้อง Sound Lab ห้อง Multimedia และห้องสมุดของกลุ่มสาระการเรียนรู้นี้
- อาคาร 5 มีความสูง 4 ชั้น
- ชั้น 1 เป็นที่ตั้งของห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ซึ่งรวมทั้งห้องปฏิบัติการทางคณิตศาสตร์และห้องสมุดของกลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมทั้งห้องปฏิบัติการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งด้านข้างของอาคารเป็นที่ตั้งของร้านถ่ายเอกสาร
- ชั้น 2 เป็นที่ตั้งของห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระการเรียนรู้ย่อยคอมพิวเตอร์ รวมทั้งห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
- อาคาร 6 หรืออีกชื่อหนึ่งว่า อาคารอนุสรณ์ อาจารย์สุบิน พิมพยะจันทร์ มีความสูง 2 ชั้น เป็นอาคารสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี จำนวน 2 สาระการเรียนรู้ย่อย
- ชั้น 1 เป็นที่ตั้งของกลุ่มสาระการเรียนรู้ย่อยเกษตรกรรม ร้านสหกรณ์โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ธนาคารโรงเรียน และห้องพยาบาล
- ชั้น 2 เป็นที่ตั้งของกลุ่มสาระการเรียนรู้ย่อยอุตสาหกรรมศิลป์ ห้องประชุมคุณปู่สุบิน - คุณย่าส้มเช้า พิมพยะจันทร์ และห้องเรียนประจำชั้นของนักเรียน ม.6
- อาคาร 7 มีความสูง 3 ชั้น
- ชั้น 1 เป็นที่ตั้งของห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และห้องดนตรีสากล
- ชั้น 2 เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และห้องพักครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปศึกษา รวมทั้งห้องนาฏศิลป์
- ชั้น 3 เป็นห้องปฏิบัติการดนตรี
- อาคาร 8 มีความสูง 4 ชั้น โดยชั้น 1 เป็นห้องธรรมังคลาจารย์ ชั้น 2 3 และ 4 เป็นห้องเรียนสำหรับนักเรียนห้องพิเศษคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และห้องพักครูกลุ่มห้องพิเศษเหล่านี้
- อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มีความสูง 2 ชั้น
- ชั้น 1 เป็นที่ตั้งของห้องแนะแนว ห้องวิชาการ ห้องธุรการ ห้องประชาสัมพันธ์ ห้องปกครอง และห้องพักรองผู้อำนวยการ
- ชั้น 2 เป็นที่ตั้งของห้องพักผู้อำนวยการ ห้องประชุม และห้องเกียรติยศ ซึ่งรวบรวมผลงานและชื่อเสียงของนักเรียนโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
- อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีความสูง 3 ชั้น
- ชั้น 1 เป็นที่ตั้งของสนามปิงปอง ห้องสภานักเรียน และร้านถ่ายเอกสาร
- ชั้น 2 เป็นที่ตั้งของห้องโสตทัศนศึกษา และงานเทคโนโลยีทางการศึกษา
- ชั้น 3 เป็นห้องประชุมใหญ่
- กลุ่มอาคารฝึกวิชาชีพ ประกอบไปด้วย
- เรือนเพาะชำ
- โรงฝึกงาน
ลานกิจกรรมและกีฬา[แก้]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีพื้นที่กิจกรรมและสนามกีฬาที่หลากหลาย อาทิ
- สนามฟุตบอลกลางแจ้งขนาดมาตรฐาน
- สระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน ใช้สำหรับการเรียนวิชาพลศึกษา และจัดการแข่งขันต่าง ๆ
- โรงยิมเนเซียม บริเวณหน้าสระว่ายน้ำ เป็นสนามวอลเลย์บอลและลานกิจกรรมในร่ม
- โรงยิมเนเซียมและลานกีฬาในร่ม บริเวณด้านข้างและใต้อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประกอบไปด้วยสนามบาสเกตบอล สนามแบดมินตัน สนามปิงปอง
- ลานกิจกรรมกลางแจ้ง
สวนพักผ่อนหย่อนใจ[แก้]
พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจภายในโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีกระจายอยู่ทั่วไปโดยรอบบริเวณโรงเรียน โดยพื้นที่หลักประกอบไปด้วย
- สวนบริเวณข้างสนามฟุตบอล ประกอบด้วยบ่อน้ำและน้ำตกจำลอง
- สวนลูกเสือกองเกียรติยศ บริเวณข้างอาคาร 7 ติดประตู 1 (ทางออก)
- สวนบริเวณหน้าอาคาร 4 ประกอบไปด้วยสนามหญ้า และศาลาม้านั่ง
ผู้อำนวยการโรงเรียน[แก้]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ประกอบด้วยครูใหญ่และผู้อำนวยการรายนามดังนี้[31]
ลำดับที่ | รายนาม | วาระการดำรงตำแหน่ง |
---|---|---|
1 | นายแปลก | ไม่พบหลักฐาน |
2 | ขุนกิตติวิทย์ (ฮะเซี้ยง ตีระวณิช) | 18 มีนาคม 2455 |
3 | ขุนพูลคุณสมบัติ (สวาสดิ์ คัยนันทน์) | 15 สิงหาคม 2462 |
4 | ขุนอภิรามจรรยา (ลำดวน สมิตัย) | 16 กุมภาพันธ์ 2466 |
5 | นายประเสริฐ (เซ่งฮั้ว ปาณฑุรังคานนท์) | 18 มีนาคม 2470 |
6 | นายสุบิน พิมพะยะจันทร์ | 28 กุมภาพันธ์ 2473 |
7 | หลวงอาจวิชาสรร (ทอง ชัยปาณี) | 1 พฤษภาคม 2477 |
8 | นายศิริพล (ย้อย) วรสินธุ์ | 23 ตุลาคม 2479 |
9 | นายชอบ จุลศรีไกวัล (รักษาการแทน) | 22 พฤศจิกายน 2488 |
10 | นายสุรินทร์ สอนสิริ | 19 เมษายน 2489 |
11 | นายมงคลชัย เหมริด | 1 กันยายน 2490 |
12 | นายเทพ เวชพงศ์ | 12 สิงหาคม 2493 |
13 | นายไพบูลย์ รัตนมังคละ | 10 กุมภาพันธ์ 2496 |
14 | นายชวน สุวรรณรอ | 1 มิถุนายน 2499 |
15 | นายชื้น เรืองเวช | 1 พฤษภาคม 2507 |
16 | นายอุเทน เจริญกูล | 1 ตุลาคม 2509 |
17 | นายเสนาะ จันทร์สุริยา | 1 พฤศจิกายน 2517 |
18 | นายกมล ธิโสภา | 24 กรกฎาคม 2519 |
19 | นายถนอม ทัฬหพงศ์ | 7 มิถุนายน 2520 |
20 | นายจงกล เมธาจารย์ | 27 ตุลาคม 2520 |
21 | นายพัลลภ พัฒนโสภณ | 12 พฤศจิกายน 2522 |
22 | นายสมศักดิ์ ศรีสุวรรณ | 12 พฤศจิกายน 2527 |
23 | นายเผดิม สุวรรณโพธิ์ | 7 ธันวาคม 2530 |
24 | นายอร่าม รังสินธุ์ | 19 ตุลาคม 2533 – 2541 |
25 | นายบุญส่ง ชิตตระกูล | 9 มกราคม 2541 – 9 ธันวาคม 2542 |
26 | นายสมบูรณ์ ธุวสินธุ์ | 20 มกราคม 2543 – 2547 |
27 | นายอำนาจ เดชสุภา | 1 ตุลาคม 2547 – 2557 |
28 | นายชาติชาย ฟักสุวรรณ | 22 มิถุนายน 2558 – 2559 |
29 | ดร.วีระชัย ตนานนท์ชัย | 9 มีนาคม 2560 – 2561 |
30 | นายศักดิ์เดช จุมณี | 18 มีนาคม 2563 – 2564 |
31 | นายชัชชัย พุทธสุวรรณ์ | ปัจจุบัน |
เบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย[แก้]
เบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย ตั้งอยู่ที่ ตำบลบางเตย อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา เดิมคือโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 4 ซึ่งถูกยุบเลิกตามมติที่ประชุมของกรรมการเขตพื้นที่การศึกษามัธยม เขต 6 ครั้งที่ 3/2556 ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เนื่องจากไม่มีนักเรียนเพียงพอที่จะจัดการเรียนการสอนได้[32] จึงโอนการดูแลทุกอย่างไปอยู่กับโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ โดยคณะกรรมการสภานักเรียน ปีการศึกษา 2555 - 2556 และศิษย์เก่าสภานักเรียน ได้ดำเนินการเข้าปรับปรุงพื้นที่และเตรียมความพร้อมพื้นที่[33] เพื่อเปิดการเรียนการสอนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ระดับชั้นละ 2 ห้องเรียน และพัฒนาพื้นที่สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมนอกห้องเรียน อาทิ ค่ายลูกเสือและเนตรนารี ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยได้ดำเนินกาารับมอบพื้นที่ ทรัพย์สิน และเอกสารสำคัญอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557[34]
โรงเรียนในเครือเบญจมราชรังสฤษฎิ์[แก้]
โรงเรียนในจังหวัดฉะเชิงเทราที่ใช้ชื่อเบญจมราชรังสฤษฎิ์เช่นเดียวกัน ตามนโยบายของอธิบดีกรมสามัญศึกษาในสมัยนั้น คือ นายโกวิท วรพิพัฒน์[35][36] ประกอบไปด้วย
- โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2
- โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 3 ชนะสงสารวิทยา
- โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 4 (ปัจจุบันคือ เบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย)
- โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 5
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 "Benchamarachuthit Chanthaburi School, Thailand". www.bj.ac.th.
- ↑ 2.0 2.1 "BRR WEBSITE - History of BEN : อดีตที่ไม่มีวันลืม". www.brr.ac.th.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 9 ร.ศ. 111 (พ.ศ. 2435) หน้า 93-95 ตอนหนึ่ง
- ↑ 4.0 4.1 Phamornsuwan, Wilawan; Sriwongchay, Namthip; Wichianpradist, Ornchulee; Kirdsiri, Kreangkrai; Tangpoonsupsiri, Tippawan; Chitsutthiyan, Supot; Janyaem, Kittikhun; Buranaut, Isarachai (2020). "องค์ประกอบของเมืองเก่า และการประกาศขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าฉะเชิงเทรา". NAJUA: Architecture, Design and Built Environment. 35 (2): C23–C41.
- ↑ "ฝากเรื่องราวไว้กับน้อง ๆ (๑๖๒) : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (๓๔)". ftp.vajiravudh.ac.th.
- ↑ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเปลี่ยนชื่อโรงเรียนรัฐบาลเพื่อความเหมาะสม ลงวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2494
- ↑ หนังสือของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 16542/2494 ลงวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2494
- ↑ 8.0 8.1 วศินสรากร, วรวิทย์ (1985). "โรงเรียนมัธยมแบบประสม". สารานุกรมศึกษาศาสตร์ (Encylopedia of Education) (ภาษาอังกฤษ). 1 (0).
- ↑ "พิธีเจิมตราพระเกี้ยวสีทอง เตรียมติดตั้งบนอาคารสมเด็จพระเทพฯ รร.เบญจมฯ". komkhaotuathai.com. 2022-03-16.
- ↑ 10.0 10.1 "BRR Website - Discussion Forum: ประกาศรับสมัครนักเรียนห้องเรียนพิเศษ 2564". www.brr.ac.th.
- ↑ 11.0 11.1 ประกาศโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ เรื่อง การรับนักเรียนเข้าเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ประเภทห้องเรียนพิเศษ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ http://www.brr.ac.th/forum/viewthread.php?thread_id=1363&getfile=848
- ↑ 12.0 12.1 "BRR Website - Discussion Forum: ประกาศรับสมัครนักเรียนห้องเรียนปกติและความสามาถรพิเศษ 2564". www.brr.ac.th.
- ↑ 13.0 13.1 ประกาศโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ เรื่อง การรับนักเรียนเข้าเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ประเภทห้องเรียนพิเศษ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ http://www.brr.ac.th/forum/viewthread.php?thread_id=1363&getfile=849
- ↑ "BRR Website - News: เก็บข้อมูลลายนิ้วมือนักเรียนใหม่-และถ่ายรูปติดบัตร". www.brr.ac.th.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 "BRR Website - Articles: วินัยสร้างได้ง่ายๆ..ถ้าไม่สับสน". www.brr.ac.th.
- ↑ "BRR Website - News: รับรางวัลจากการแข่งขันเคมีโอลิมปิก ระดับชาติ ครั้งที่ 17". www.brr.ac.th.
- ↑ Siriwongthawan, Ketkaew. "ผลการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ 18 (18th IJSO)".
- ↑ matichon (2018-03-30). "เด็กไทยเจ๋ง! คว้า 1 ทอง 5 เงิน 6 ทองแดง แข่งคณิตโอลิมปิกมัธยมที่เวียดนาม". มติชนออนไลน์.
- ↑ "เด็กไทยสุดเจ๋ง คว้า 14 รางวัล 24 เหรียญ "คณิตศาสตร์โอลิมปิก" ที่กรุงฮานอย". www.thairath.co.th. 2019-04-06.
- ↑ "ดาราศาสตร์ - มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา".
- ↑ "ขยายผลสู่โรงเรียน - มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา".
- ↑ "(1) ลูกเสือกองร้อยพิเศษเบญจมราชรังสฤษฎิ์ [ฉะเชิงเทรา เขต 1] - Thai-school.net". www.thai-school.net.
- ↑ matichon (2018-11-25). "เหล่าลูกเสือ-เนตรนารี น้อมรำลึก 'วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า'". มติชนออนไลน์.
- ↑ 24.0 24.1 การสวนสนามเนื่องในพิธีทบทวนคำปฏิญาณและเดินสวนสนาม ณ สนามศุภชลาศัย ลูกเสือกองร้อยพิเศษเบญจมราชรังสฤษฎิ์ "สารานุกรมลูกเสือ 100 ปี ลูกเสือไทย - ดาวน์โหลดหนังสือ | 1-50 หน้า | PubHTML5". pubhtml5.com. หน้า 25
- ↑ 25.0 25.1 "ชื่นชมวง'BrrBand'สร้างชื่อ กวาดรางวัลระดับนานาชาติ". dailynews. 2020-02-02.
- ↑ "'เด็กฉะเชิงเทรา...มือตี' เจ๋งจนมีดีกรี 'รางวัลอินเตอร์'". dailynews. 2018-12-02.
- ↑ แผนผังโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา (www.brr.ac.th)
- ↑ "BRR Website - News: วันปิยมหาราช ประจำปี 2564". www.brr.ac.th.
- ↑ matichon (2018-11-25). "เหล่าลูกเสือ-เนตรนารี น้อมรำลึก 'วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า'". มติชนออนไลน์.
- ↑ "BRR Website - News: พิธีอัญเชิญองค์พระประดิษฐาน ณ หอพระประวัติศาสตร์ 129 ปี". www.brr.ac.th.
- ↑ "BRR Website - Photo Albums: ทำเนียบผู้บริหาร". www.brr.ac.th.
- ↑ "BRR Website - News: แถลงข่าวยุบรวมเบญจมฯ4 เข้ากับเบญจมฯ". www.brr.ac.th.
- ↑ "BRR Website - News: จิตอาสาร่วมพัฒนาศูนย์เบญจมฯบางเตย". www.brr.ac.th.
- ↑ "BRR Website - บันทึกเรื่องเบญจมฯศูนย์บางเตย". www.brr.ac.th.
- ↑ "โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ๒". www.ben2.ac.th.
- ↑ "ประวัติความเป็นมาของโรงเรียน". โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 3 ชนะสงสารวิทยา (ภาษาอังกฤษ).
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- บทความที่ใช้แหล่งอ้างอิงปฐมภูมิเป็นหลักตั้งแต่สิงหาคม 2020
- บทความทั้งหมดที่ใช้แหล่งอ้างอิงปฐมภูมิเป็นหลัก
- โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ
- โรงเรียนในจังหวัดฉะเชิงเทรา
- โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง
- โรงเรียนที่มีอายุเกิน 100 ปีในประเทศไทย
- โรงเรียนที่สร้างขึ้นเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งรัชกาลที่ 5
- โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา
- โรงเรียนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2435