ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สฤษดิ์ ธนะรัชต์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 117: | บรรทัด 117: | ||
== ดูเพิ่ม == |
== ดูเพิ่ม == |
||
* [[คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505]] |
* [[คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505]] |
||
== เกียรติยศและรางวัลที่ได้รับ == |
|||
จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ พลตำรวจเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับพระราชทานยศ "นายกองใหญ่" ในฐานะ[[นายกรัฐมนตรี]]และมีฐานะเป็นประธานกรรมการและผู้บัญชาการ[[กองอาสารักษาดินแดน]] เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2503<ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2503/D/025/1068.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดน]</ref><ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2504/D/088/16.PDF ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศตำรวจ] เล่ม 78 ตอน 88 ง พิเศษ หน้า 16 27 ตุลาคม พ.ศ. 2504 </ref> |
|||
== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == |
== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:09, 6 มิถุนายน 2563
สฤษดิ์ ธนะรัชต์ | |
---|---|
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 11 | |
ดำรงตำแหน่ง 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 – 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 (4 ปี 302 วัน) | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร |
ก่อนหน้า | จอมพล ถนอม กิตติขจร |
ถัดไป | จอมพล ถนอม กิตติขจร |
ผู้บัญชาการทหารบก | |
ดำรงตำแหน่ง 23 มิถุนายน พ.ศ. 2497 – 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 (9 ปี 168 วัน) | |
ก่อนหน้า | จอมพล ผิน ชุณหะวัณ |
ถัดไป | จอมพล ถนอม กิตติขจร |
รักษาราชการนายกรัฐมนตรี | |
ดำรงตำแหน่ง 16 กันยายน พ.ศ. 2500 – 21 กันยายน พ.ศ. 2500 (0 ปี 5 วัน) | |
ก่อนหน้า | จอมพล แปลก พิบูลสงคราม |
ถัดไป | พจน์ สารสิน |
ดำรงตำแหน่ง 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 (0 ปี 112 วัน) | |
ก่อนหน้า | จอมพล ถนอม กิตติขจร |
ถัดไป | เขาเอง |
อธิบดีกรมตำรวจ | |
ดำรงตำแหน่ง 9 กันยายน 2502 – 8 ธันวาคม 2506 (4 ปี 90 วัน) | |
ก่อนหน้า | พลตำรวจเอกไสว ไสวแสนยากร |
ถัดไป | พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ |
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด | |
ดำรงตำแหน่ง 27 กันยายน 2500 – 8 ธันวาคม 2506 (6 ปี 72 วัน) | |
ก่อนหน้า | จอมพล ป. พิบูลสงคราม |
ถัดไป | จอมพลถนอม กิตติขจร |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 16 มิถุนายน 2451 มุกดาหาร ประเทศไทย |
เสียชีวิต | 8 ธันวาคม 2506 (55 ปี 175 วัน) กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย |
พรรคการเมือง | พรรคเสรีมนังคศิลา (พ.ศ. 2498) พรรคชาติสังคม (พ.ศ. 2500) |
คู่สมรส | ท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ (2491–2506)[1] |
ลายมือชื่อ | ไฟล์:Thai-PM Sarit signature.svg |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
สังกัด | กองทัพบกไทย กองบัญชาการทหารสูงสุด กรมตำรวจ |
ประจำการ | พ.ศ. 2476–2506 |
ยศ | จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ ไฟล์:Thai police O9.png พลตำรวจเอก |
บังคับบัญชา | กองทัพไทย |
ผ่านศึก | |
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (16 มิถุนายน พ.ศ. 2451 — 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506) เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 11, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ผู้บัญชาการทหารบกและอธิบดีกรมตำรวจ
ในคราวรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเขาเป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร โดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ[2] ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์สนับสนุนนายพลพูมี หน่อสะหวันในการต่อสู้กับกองโจรปะเทดลาวในราชอาณาจักรลาว
จอมพลสฤษดิ์มีอนุภรรยาจำนวนมาก[3] และมีบุตรหลายคน สมรสครั้งสุดท้ายกับ นางสาววิจิตรา ชลทรัพย์ ต่อมาคือ ท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์[4] จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ด้วยโรคไตพิการเรื้อรัง และอีกหลายโรค สิริอายุ 55 ปี
ปฐมวัยและการศึกษา
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีชื่อแต่แรกเกิดว่า สิริ ธนะรัชต์[5] เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2451 ที่บ้านปากคลองตลาด ตำบลพาหุรัด จังหวัดพระนคร[6] เป็นบุตรของพันตรี หลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) กับจันทิพย์ จันทรสาขา (สกุลเดิม: วงษ์หอม) มีพี่ชายร่วมบิดามารดาชื่อสวัสดิ์ ธนะรัชต์[5] มารดามีเชื้อสายลาวจากมุกดาหาร ส่วนบิดาเป็นชาวพระตะบองซึ่งอาจมีเชื้อสายเขมร[7]
ขณะสฤษดิ์อายุได้ 3 ปี จันทิพย์ได้พาบุตรชายทั้งสองกลับจังหวัดมุกดาหารอันเป็นบ้านเดิมเพื่อหนีหลวงเรืองเดชอนันต์ที่มีอนุภริยาจำนวนมาก[5] ระหว่างทางสวัสดิ์บุตรชายคนโตตายระหว่างทางด้วยไข้ป่า หลังจอมพลสฤษดิ์ได้พำนักอยู่บ้านเดิมของมารดาจนมีอายุได้ 7 ปี บิดาก็รับไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพมหานคร[8] ส่วนจันทิพย์สมรสใหม่กับหลวงพิทักษ์พนมเขต (สีห์ จันทรสาขา) มีบุตร คือ สง่า จันทรสาขา อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม, สงวน จันทรสาขา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม และดร.สุรจิตต์ จันทรสาขา ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นพี่น้องต่างบิดาของสฤษดิ์[9]
สฤษดิ์เริ่มการศึกษาชั้นต้นที่จังหวัดมุกดาหาร จากนั้นเข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ. 2462 ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2471 ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นนักเรียนทำการนายร้อย กองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2472[10]
กระทั่งได้รับพระราชทานยศร้อยตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472[11]
รับราชการทหาร
ต่อมาใน พ.ศ. 2476 เกิดกบฏบวรเดช นำโดยพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ร้อยตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นหนึ่งในผู้บังคับหมวดปราบปรามกบฏของฝ่ายรัฐบาล ที่มีพันเอกหลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บังคับบัญชา หลังจากรัฐบาลได้รับชัยชนะ ได้รับพระราชทานยศร้อยโท [12] จากนั้นอีก 2 ปีก็ได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอก [13]
ใน พ.ศ. 2484 ร้อยเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าร่วมรบในสงครามมหาเอเชียบูรพาขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองทัพทหารราบที่ 33 จังหวัดลำปาง มียศเป็นพันตรี [14] จากนั้นในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2486 จึงได้รับพระราชทานยศ พันโท [15] จนช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2488 จึงได้เลื่อนยศเป็นพันเอก[16] ตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 13 และผู้บังคับการจังหวัดทหารบกลำปาง
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง มีการผลัดเปลี่ยนอำนาจทางการเมือง โดยก่อนหน้านั้น เมื่อ พ.ศ. 2487 อำนาจของจอมพล ป. พิบูลสงครามได้เริ่มเสื่อมถอยลง[17] หลังจากลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กลับเติบโตขึ้นโดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยกำลังสำคัญ[17]
พ.ศ. 2490 คณะนายทหารนำโดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ รัฐประหารโค่นรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ด้วยความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ[18] พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์เข้าร่วมคณะรัฐประหาร เป็นการกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่งของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีพันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นขุนพลคู่ใจตั้งแต่นั้น[18]
นับแต่นั้น ตำแหน่งของพันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2491 ได้รับพระราชทานยศพลตรี [19] ดำรงตำแหน่งแม่ทัพกองทัพที่ 1 และรักษาการผู้บัญชาการกองพลที่ 1 กระทั่งได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 1 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 [20] ผลงานที่สร้างชื่อคือการเป็นหัวหน้าปราบกบฏวังหลวงเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 จากนั้นก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลโท เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2493 [21] ต่อด้วยการก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปีเดียวกัน [22] จากนั้นในวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2494 ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก แทน พลโท เดช เดชประดิยุทธ ที่ขยับไปดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการทหารบก [23] ได้ครองตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก แทน พลโท เดช เดชประดิยุทธ ที่ขยับไปดำรงตำแหน่ง เสนาธิการกลาโหม [24] รั้งยศพลเอก เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 [25] โดยก่อนหน้านั้นในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2495 พลเอกสฤษดิ์ขณะมียศเป็นพลโทได้รับพระราชทานยศเป็น พลเรือโท และ พลอากาศโท [26]
ต่อมาในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2497 พลเอกสฤษดิ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก [27] ในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2498 พลเอกสฤษดิ์ได้รับพระราชทานยศ พลเรือเอก และ พลอากาศเอก [28]
ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2499 พลเอกสฤษดิ์ได้รับพระราชทานยศ จอมพล [29] พร้อมกับ พลเรือเอก หลวงยุทธศาสตร์โกศล
ในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารบก ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด [30] เป็นคนแรก
ต่อมาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ได้รับพระราชทานยศ จอมพลเรือ และ จอมพลอากาศ พร้อมกับ พลเอกถนอม กิตติขจร ที่ได้รับพระราชทานยศ พลเรือเอก พลอากาศเอก [31]
ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทน อธิบดีกรมตำรวจ แทน พลตำรวจเอกไสว ไสวแสนยากร [32] กระทั่งวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2504 จอมพลสฤษดิ์ได้รับพระราชทานยศ พลตำรวจเอก และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น นายตำรวจราชสำนักพิเศษ ในวันเดียวกัน[33]
เรื่องอื้อฉาวภายในครอบครัว
ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก |
หนึ่งเดือนหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ทายาททั้งหลายต่างก็เริ่มวิวาทแก่งแย่งทรัพย์มรดกมหาศาลของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 บุตรทั้ง 7 คนของจอมพลสฤษดิ์ได้ฟ้องท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ที่พยายามจะตัดสิทธิในส่วนแบ่งอันถูกต้องของทายาท
เนื่องจากเป็นเรื่องอื้อฉาวมาก ประชาชนจึงต่างให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งในคดีนี้และสื่อมวลชนก็ยกให้เป็นคดีที่อื้อฉาวที่สุดในเมืองไทย การที่ประชาชนให้ความสนใจในการพิจารณาคดีนี้ จึงเป็นการบังคับให้รัฐบาลจอมพลถนอมต้องเข้าแทรกแซงและสอบสวนเบื้องหลังความมั่งคั่งของจอมพลสฤษดิ์
ได้มีการเปิดพินัยกรรมของจอมพลสฤษดิ์ที่บ้านของจอมพลถนอม ต่อหน้าทนายความและนายทหารคนสำคัญๆ ที่เป็นผู้ใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์ ตัวพินัยกรรมเองลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 หลังจากจอมพลสฤษดิ์ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงเล็กน้อย ข้อสำคัญในพินัยกรรมกล่าวว่าทรัพย์สินทั้งหมดของจอมพลสฤษดิ์ให้ตกแก่ท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์แต่เพียงผู้เดียว โดยมีข้อแม้ว่าท่านผู้หญิงต้องให้ลูกเลี้ยง คือพันตรีเศรษฐา ธนะรัชต์และร้อยโทสมชาย ธนะรัชต์ คนละ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งบ้านหนึ่งหลังที่เหมาะสมกับฐานะของบุคคลทั้งสอง อย่างไรก็ตาม จะเป็นไปตามเงื่อนไขนี้ก็ต่อเมื่อทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นเงินสดมีมากกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ที่นาของจอมพลสฤษดิ์จะต้องแบ่งให้แก่บุตรชายคนโตทั้งสองคนจำนวนเท่า ๆ กัน
โจทก์ร้องเรียนว่าจอมพลสฤษดิ์ได้เขียนพินัยกรรมขึ้นอีกฉบับหนึ่งซึ่งถูกท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ทำลายไปแล้วหลังจากที่เข้าบุกบ้านส่วนตัวของจอมพลสฤษดิ์ในค่ายกองพลที่ 1 บุตรชายทั้งสองกล่าวหาท่านผู้หญิงวิจิตราว่าได้พยายามจะรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดของจอมพลสฤษดิ์ไว้โดยอ้างว่ามีเงินจำนวนถึง 2,874,009,794 บาท รวมกันอสังหาริมทรัพย์อีกมากมายที่ไม่สามารถจะประมาณได้ ตรงกันข้ามท่านผู้หญิงวิจิตรากลับกล่าวว่าตนรู้เพียงว่ามีเงินเพียง 12 ล้านบาทเท่านั้น
ขณะที่รอคอยผลการตัดสินจากศาล บุตรของจอมพลสฤษดิ์ก็ได้ร้องเรียนจอมพลถนอมให้ใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ในการสอบสวนเรื่องราวนี้ทั้งหมด หลังจากที่พิจารณาอย่างคร่าวๆ แล้ว รัฐบาลรู้สึกว่าหากมิได้ลงมือกระทำการอย่างรวดเร็วแล้ว ก็จะทำให้ฐานะของรัฐบาลไม่ดีในสายตาของประชาชน ดังนั้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2507 จอมพลถนอมจึงออกประกาศว่าตนจะได้นำมาตรา 17 มาใช้ในการยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์และตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอบข่ายการฉ้อราษฎร์บังหลวงของจอมพลสฤษดิ์
จากรายงานของคณะกรรมการคณะนี้ ปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ได้ใช้เงินแผ่นดินเพื่อเลี้ยงดูนางบำเรอและลงทุนในธุรกิจ เงินผลประโยชน์ที่สำคัญๆ 3 แหล่งที่รัฐบาลสนใจคือ เงินงบประมาณ 394 ล้านบาทที่เป็นเงินสืบราชการลับของสำนักนายกรัฐมนตรี เงิน 240 ล้านบาทจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาล และประมาณ 100 ล้านบาทซึ่งควรที่จะให้แก่กองทัพบกซึ่งได้เปอร์เซนต์จากการขายสลากกินแบ่ง
ในระหว่างการสอบสวน อธิบดีกรมทะเบียนการค้าเปิดเผยว่า จอมพลสฤษดิ์และท่านผู้หญิงวิจิตรามีผลประโยชน์จากบริษัทต่างๆ ถึง 45 แห่ง การถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งก็คือในบริษัทกรุงเทพกระสอบป่าน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 20 ล้านบาท ต่อมาสมาชิกผู้หนึ่งในคณะกรรมการบริษัทได้ให้ปากคำว่า หุ้นส่วนเหล่านี้ได้โอนไปให้น้องชายจอมพลสฤษดิ์สองคน ซึ่งทั้งนี้ก็หมายความว่า จอมพลสฤษดิ์ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากอุตสาหกรรมข้าว ซึ่งกฎหมายบังคับให้ซื้อกระสอบป่านจากบริษัทนี้ นอกจากจำนวนหุ้นและบัญชีเงินฝากในธนาคารจำนวนมากมายแล้ว จอมพลสฤษดิ์ยังมีที่ดินอีกจำนวนมหาศาล ดังที่อธิบดีกรมที่ดินกล่าวว่า จอมพลสฤษดิ์มีที่ดินมากกว่า 20,000 ไร่ในต่างจังหวัด และที่ดินอีกนับแปลงไม่ถ้วนทั้งในและทั่วพระนคร ส่วนเงินสดที่เก็บไว้ในธนาคารต่างๆ นั้น จอมพลสฤษดิ์มีอยู่ประมาณ 410 ล้านบาท ซึ่งถูกยึดไว้เพื่อพิจารณาว่าเงินส่วนใดเป็นของรัฐบาลหรือไม่
ในที่สุดศาลก็ได้พิจารณาคดีวิวาทเกี่ยวกับทรัพย์สินของจอมพลสฤษดิ์ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2507 ศาลแนะนำให้ประนีประนอมกันโดยที่ให้ท่านผู้หญิงวิจิตราและพันโทเศรษฐาเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน และให้ตกลงกันเองต่อเมื่อปรากฏผลขั้นสุดท้ายของการสอบสวนของรัฐบาลแล้ว
บทบาททางสังคม
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทยเป็นอย่างมากในช่วง พ.ศ. 2500 อาทิ เช่น การนำนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้และนำความเจริญกระจายสู่ชนบท
รถตุ๊กๆ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ประกาศห้ามใช้รถสามล้อวิ่งในถนนสายต่างๆ โดยการยกเลิกการจดทะเบียนจักรยานสามล้อและจักรยานสามล้อส่วนบุคคลที่ใช้ในจังหวัดพระนครและธนบุรี ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาการจราจร ปัญหาทางสังคมอันเนื่องมาจากการอพยพของคนต่างจังหวัดเข้ามาประกอบอาชีพนี้ และปัญหาความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยได้นำรถบรรทุกสามล้อยี่ห้อไดฮัทสุที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมาดัดแปลงใช้แทนและได้ทดลองใช้เป็นครั้งแรกในย่านเยาวราช
การฝึกบุคคลท่ามือเปล่า
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้นำหลักการฝึกบุคคลท่ามือเปล่า (Without Weapon) จากการฝึกของกองทัพสหรัฐมาใช้ในกองทัพไทยเป็นครั้งแรก อันได้แก่ ท่าตรง, ตามระเบียบ พัก และต่อมาได้นำมาใช้ในองต์กรต่างๆอาทิ โรงเรียน องค์กรต่างๆ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและฝึกความมีวินัยตามโนบายในขณะนั้น
ดูเพิ่ม
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับพระราชเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด ดังนี้
- พ.ศ. 2502 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝ่ายหน้า)[34]
- พ.ศ. 2502 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายหน้า)[35]
- พ.ศ. 2505 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 1 เสนางคะบดี (ส.ร.)[36]
- พ.ศ. 2495 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[37]
- พ.ศ. 2494 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)[38]
- พ.ศ. 2505 - เหรียญชัยสมรภูมิ สงครามมหาเอเชียบูรพา[39]
- พ.ศ. 2477 – เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (พ.ร.ธ.) [40]
- พ.ศ. 2505 – เหรียญราชการชายแดน (ช.ด.)[41]
- พ.ศ. 2485 – เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)
- พ.ศ. 2505 - เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1[42]
- พ.ศ. 2493 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 2 (อ.ป.ร.2)[43]
- พ.ศ. 2501 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 (ภ.ป.ร.1)[44]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศเป็นอันมาก[45]
- พ.ศ. 2497 - ลีเจียนออฟเมอริต ชั้นผู้บังคับบัญชา (สหรัฐอเมริกา)
- พ.ศ. 2498 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระบรมรูป ชั้นที่ 1 (ลาว)
- พ.ศ. 2498 - เครื่องอิสริยยศลำดับสหไมตรี ชั้นที่ 1
- พ.ศ. 2498 - เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรมแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้นที่ 1
- พ.ศ. 2499 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์ล้านช้างร่มขาว ชั้นประถมาภรณ์
อ้างอิง
- ↑ อนุสรณ์ 50 ปี อสัญกรรมวาร ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (PDF). กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. 2556. p. 8.
- ↑ ประกาศพระบรมราชโองการ ตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร
- ↑ "โดม แดนไทย" ผู้เขียน "จอมพลของคุณหนูๆ" (โรงพิมพ์เกียรติศักดิ์ พ.ศ. 2507) รวบรวมรายชื่อ บรรดาสตรีในชีวิตของจอมพลสฤษดิ์ ไว้ถึง 81 คน
- ↑ Hello Mukdahan. ประวัติจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์. เรียกดูเมื่อ 9 เมษายน 2556
- ↑ 5.0 5.1 5.2 "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (1)". Hello Mukdahan. สืบค้นเมื่อ 26 มิถุนายน 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ อนุสรณ์ 50 ปี อสัญกรรมวาร ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (PDF). กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. 2556. p. 1.
- ↑ เชตวัน เตือประโคน (11 มีนาคม 2559). "สืบค้นรากเหง้า'สยาม-ไทย' ตามรอย'จิตร ภูมิศักดิ์'สู่ดินแดน'ขอม-เขมร'". มติชนออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2559.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (2)". Hello Mukdahan. สืบค้นเมื่อ 26 มิถุนายน 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (3)". Hello Mukdahan. สืบค้นเมื่อ 26 มิถุนายน 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ วิชัย เทียนถาวร, นพ. (29 เมษายน พ.ศ. 2558). "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ". มติชนออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 26 มิถุนายน 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ พระราชทานยศทหารบก
- ↑ ประกาศพระราชทานยศทหารบก
- ↑ ประกาศพระราชทานยศทหารบก
- ↑ ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ 17.0 17.1 หนังสือประชาธิปไตยบนเส้นขนาน โดย วินทร์ เลียววาริณ, ISBN 9748585476
- ↑ 18.0 18.1 หนังสือ นายควง อภัยวงศ์ กับพรรคประชาธิปัตย์ โดย ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม พ.ศ. 2522
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ให้นายทหารรับราชการ
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหารและตำรวจ
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักคณะรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารพ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง เล่ม 71 ตอน 43 ง พิเศษ หน้า 1506 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2497
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักคณะรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร เล่ม 72 ตอน 20 ง หน้า 660 15 มีนาคม พ.ศ. 2498
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักคณะรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร เล่ม 73 ตอน 26 ง พิเศษ หน้า 1 27 มีนาคม พ.ศ. 2499
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 74 ตอน 83 ก หน้า 1385 1 ตุลาคม พ.ศ. 2500
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 76 ตอน 28 ง พิเศษ หน้า 12 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้อธิบดีกรมตำรวจพ้นตำแหน่งหน้าที่และตั้งผู้รักษาการแทน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 76 ตอน 88 ง หน้า 2157 15 กันยายน พ.ศ. 2502
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศตำรวจ
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เล่ม ๗๖ ตอนที่ ๑๑๕ ฉบับพิเศษ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ หน้า ๓๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หน้า ๑๔๐๐ เล่ม ๗๖ ตอนที่ ๕๓ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๐๒
- ↑ แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เล่ม ๗๙ ตอน ๖๙ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ หน้า ๑๖๙๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษาแจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หน้า ๔๖๔๗ เล่ม ๖๙ ตอนที่ ๗๒ ๙ ธันวาคม ๒๔๙๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษาแจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หน้า ๕๖๔๖ เล่ม ๖๘ ตอนที่ ๗๔ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๙๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิ หน้า ๑ เล่ม ๗๙ ตอน ๘๓ ฉบับพิเศษ, ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๕
- ↑ บัญชีรายนามผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (สังกัด ร. พัน ๔ หน้า ๒๒๔๑)
- ↑ ราชกิจจานุเบกษาแจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญราชการชายแดน ฉบับพิเศษ หน้า ๙ เล่ม ๗๙ ตอนที่ ๔๕ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๐๕
- ↑ รายนามผู้ที่สมควรได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดี
- ↑ ราชกิจจานุเบกษาแจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๘ หน้า ๓๐๓๙ เล่ม ๒๗ ตอนที่ ๓๙ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๙๓
- ↑ ราชกิจจานุเบกษาแจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ หน้า ๓๖๕ เล่ม ๗๕ ตอนที่ ๑๒ ๔ กุมพาพันธ์ ๒๕๐๑
- ↑ อาจศึก ดวงสว่าง. การพัฒนาลิกไนท์ในประเทศไทย. 2507[1]
- สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะที่ 29 : 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 [2]
แหล่งข้อมูลอื่น
ก่อนหน้า | สฤษดิ์ ธนะรัชต์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
จอมพลผิน ชุณหะวัณ | ผู้บัญชาการทหารบก (23 มิถุนายน พ.ศ. 2497 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506) |
จอมพลถนอม กิตติขจร | ||
จอมพล ป. พิบูลสงคราม | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (31 มีนาคม พ.ศ. 2500 - 16 กันยายน พ.ศ. 2500) |
จอมพลถนอม กิตติขจร | ||
จอมพลถนอม กิตติขจร | ไฟล์:Seal Prime Minister of Thailand.png นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย (ครม. 29) (9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 – 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506) |
จอมพลถนอม กิตติขจร | ||
พลตำรวจเอก ไสว ไสวแสนยากร | อธิบดีกรมตำรวจ (พ.ศ. 2502 – พ.ศ. 2506) |
พลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงศ์ | ||
จอมพลถนอม กิตติขจร (สมัยที่ 1) |
ไฟล์:Silpakorn University Logo.svg นายกคณะกรรมการมหาวิทยาลัยศิลปากร คนที่ 3 (พ.ศ. 2503 – พ.ศ. 2507) |
จอมพลถนอม กิตติขจร (สมัยที่ 2) |
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2451
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2506
- นักการเมืองไทย
- นายกรัฐมนตรีไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติไทย
- รัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง
- นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- อธิบดีกรมตำรวจและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
- ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทย
- ผู้บัญชาการทหารบกของกองทัพไทย
- ทหารบกชาวไทย
- จอมพล
- บุคคลจากกรุงเทพมหานคร
- ชาวไทยเชื้อสายลาว
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ น.ร.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.จ. (ฝ่ายหน้า)
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ส.ร.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.
- ผู้ได้รับเหรียญชัยสมรภูมิ
- ผู้ได้รับเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
- ผู้ได้รับเหรียญราชการชายแดน
- ผู้ได้รับเหรียญจักรมาลา
- ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ อ.ป.ร.2
- ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ภ.ป.ร.1
- บุคคลจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
- พรรคชาติสังคม
- เสียชีวิตจากภาวะไตล้มเหลว
- ผู้นำที่ขึ้นสู่ตำแหน่งจากรัฐประหาร
- ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ผู้นำที่ได้อำนาจจากรัฐประหาร