การรถไฟแห่งประเทศไทย
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกลบออก |
มีข้อสงสัยว่าบทความนี้อาจละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ระบุไม่ได้ชัดเจนเพราะขาดแหล่งที่มา หรืออ้างถึงสิ่งพิมพ์ที่ยังตรวจสอบไม่ได้ หากแสดงได้ว่าบทความนี้ละเมิดลิขสิทธิ์ ให้แทนป้ายนี้ด้วย {{ละเมิดลิขสิทธิ์}} หากคุณมั่นใจว่าบทความนี้ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ ให้แสดงหลักฐานในหน้าอภิปราย โปรดอย่านำป้ายนี้ออกก่อนมีข้อสรุป |
การรถไฟแห่งประเทศไทย | |
---|---|
![]() ![]() SE Asia passenger trains interactive map | |
สถานที่ตั้ง | ประเทศไทย |
วันที่ให้บริการ | กรมรถไฟ, กรมรถไฟหลวง, กรมรถไฟแผ่นดิน (พ.ศ. 2433–พ.ศ. 2494) การรถไฟแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2494–ปัจจุบัน) [1] |
ความกว้างราง | 1,000 mm (3 ft 3 3⁄8 in) มีเตอร์เกจ |
รางเดิม | 1,435 mm (4 ft 8 1⁄2 in) สแตนดาร์ดเกจ |
ความยาว | 4,070 km (2,530 mi) |
สำนักงานใหญ่ | 1 ถนนรองเมือง, แขวงรองเมือง, เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 |
เว็บไซต์ | railway.co.th/Home/Index |
การรถไฟแห่งประเทศไทย (ชื่อย่อ: รฟท.; อังกฤษ: State Railway of Thailand ; SRT) เป็นรัฐวิสาหกิจในกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่ดูแลกิจการด้านรถไฟของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ ๐๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ [2] มีทางรถไฟอยู่ภายใต้ขอบเขตดำเนินการทั้งหมด ๔,๐๗๐ กิโลเมตร แต่เดิมมีสถานะเป็นส่วนราชการระดับกรม อยู่ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ก่อตั้งเมื่อเดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๓
กำเนิดกรมรถไฟ[แก้]
“รถไฟ” เป็นระบบขนส่งมวลชนสมัยใหม่ซึ่งคนอังกฤษเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น และมีใช้ในอังกฤษก่อนที่ใดๆ ในโลก การที่อังกฤษจะนำระบบคมนาคมแบบใหม่เข้ามาใช้ในเมืองขึ้นของตนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับเป็นความน่าตื่นเต้นสำหรับคนไทยซึ่งไม่เคยมีรถไฟและไม่เคยเห็นรถไฟมาก่อน แค่จะได้นั่งรถไฟก็ยังต้องดิ้นรนเดินทางไปขึ้นถึงในอังกฤษ
คนไทยเห็นรถไฟจากอังกฤษครั้งแรก ในปี ค.ศ. ๑๘๕๕ (พ.ศ.๒๓๙๘) ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แต่เป็นเพียงรถไฟ “ของเล่น” เท่านั้น ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรได้ทรงจัดส่งรถไฟจำลองเข้ามาถวาย โดยให้ราชทูตชื่อ นายแฮร์รี่ ปาร์คส์ (Harry Parkes) เข้ามาแลกเปลี่ยนสนธิสัญญากับฝ่ายไทย ในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๘๕๕ ดังข้อความตามหลักฐานของทางการไทยตอนหนึ่งว่า
“ในปีเถาะ เดือน ๔ นั้น มิสเตอร์ฮารีปักซึ่งเป็นทูตเข้ามาทำสัญญาด้วย เซอร์ยอน เบาริง แต่ก่อนนั้น นำหนังสือออกไปประทับตราแผ่นดินอังกฤษแล้ว กลับเข้ามาเปลี่ยนหนังสือสัญญาซึ่งประทับตรากรุงเทพพระมหานคร มีพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการเข้ามาเป็นอันมาก มิสเตอร์ฮารีปักเข้ามาด้วยเรือกลไกชื่อ ออกแกลน ถึงกรุงเทพพระนครทอดอยู่ที่หน้าป้อมป้องปัจจามิตร ป้อมปิดปัจจนึก ณ วันอังคาร เดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ ได้ยิงปืนสลุตธงแผ่นดิน ๒๑ นัด ทั้ง ๒ ฝ่าย ครั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๔ แรม ๑๐ ค่ำ มิสเตอร์ฮารีปักกับขุนนางอังกฤษ ๑๗ นาย เข้าเฝ้าออกใหญ่ถวายพระราชสาส์น ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ถวายเครื่องราชบรรณาการอย่างรถไฟ ๑ อย่าง กำปั่นไฟ ๑ กระจกฉากรูปควีนเป็นกษัตริย์ฉาก ๑ กระจกฉากรูปควีนวิคตอเรียเมื่อมีบุตร ๘ คน กับเครื่องเขียนหนังสือสำรับ ๑ และของต่างๆ เป็นอันมาก เจ้าพนักงานในตำแหน่งทั้งปวงมารับไปต่อมือฮารีปักเองเนืองๆ เจ้าพนักงานกรมท่า จึงได้บัญชีไว้บ้าง ของถวายในพระบวรราชวังก็มีเป็นอันมาก ท่านก็ให้เจ้าพนักงานมารับไปเหมือนกัน”[3]
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ การล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสได้แผ่ขยายมาถึงบริเวณแหลมอินโดจีน พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการคมนาคมโดยเส้นทางรถไฟ เพราะการใช้แต่ทางเกวียนและแม่น้ำลำคลองเป็นพื้นนั้น ไม่เพียงพอแก่การบำรุงรักษาพระราชอาณาเขต ราษฎรที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมีจิตใจโน้มเอียงไปทางประเทศใกล้เคียง จึงเห็นว่าควรสร้างทางรถไฟขึ้นในประเทศเพื่อติดต่อกับมณฑลที่ติดต่อกับชายแดนอื่นก่อน เพื่อความสะดวกแก่การปกครอง ตรวจตราป้องกันการรุกราน เป็นการเปิดภูมิประเทศให้ประชาชนพลเมืองเข้าบุกเบิกพื้นที่รกร้างว่างเปล่าให้เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ และจะเป็นเส้นทางให้สามารถขนส่งผู้โดยสารและสินค้าไปมาถึงกันได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เซอร์แอนดรู คลาก และบริษัทปันชาร์ด แมกทักการ์ด โลเธอร์ ดำเนินการสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา และมีทางแยกตั้งแต่เมืองลพบุรี - เชียงใหม่ ๑ สาย จากเมืองอุตรดิตถ์ - ตำบลท่าเดื่อริมฝั่งแม่น้ำโขงอีก ๑ สาย และจากเมืองเชียงใหม่ไปยังเชียงราย - เชียงแสนหลวงอีก ๑ สาย โดยทำการสำรวจให้แล้วเสร็จเป็นตอน ๆ รวม ๘ ตอน ในราคาค่าจ้างโดยเฉลี่ยไม่เกินไมล์ละ ๑๐๐ ปอนด์ หรือประมาณ ๒๔,๕๐๐ บาทต่อกิโลเมตร ทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญา เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๐[4]
และในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรมรถไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในสังกัดกระทรวงโยธาธิการ [5] แรกเริ่มที่ก่อตั้งกรมรถไฟนั้น ทางราชการได้แบ่งส่วนราชการกรมรถไฟ ในกระทรวงโยธาธิการ ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๖ ตอน ๒๔ ลงวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๒ หรือ ร.ศ.๑๑๘ ไว้ดังต่อไปนี้[6]
- ตำแหน่งข้าราชการกระทรวงโยธาธิการ รัตนโกสินทร ศก ๑๑๘
- กรมรถไฟ
- กองกลาง
- กองแบบอย่าง
- เซกชั่นบางกอก
- เซกชั่นปากเพรียว
- เซกชั่นหินลับ
- เซกชั่นหมวกเหล็ก
- เซกชั่นจันทึก
- เซกชั่นคลองไผ่
- เซกชั่นสีคิ้ว
- เซกชั่นโคราช
- เซกชั่นท่าเรือ
- เซกชั่นลพบุรี
พร้อมทั้งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ธงมีตราเครื่องหมายสำหรับกรมรถไฟ ตามประกาศกระทรวงโยธาธิการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๖ ตอน ๕๐ ลงวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ หรือ ร.ศ.๑๑๘ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ [7]
ธงช้างทรงเครื่องยืนแท่นตามพระราชบัญญัติธง ร.ศ.๑๑๘ มาตรา ๕ ที่มุมมีตรารูปล้อรถมีปีกมีพระมหาพิไชยมงกุฎอยู่เบื้องบน
และทรงพระราชทานพระบรมราชานุมัติให้กระทรวงโยธาธิการว่าจ้าง มิสเตอร์ จี. มูเร แคมป์เบลล์ สร้างทางรถไฟหลวงจากกรุงเทพ ถึงนครราชสีมา เป็นสายแรก เป็นทางขนาดกว้าง ๑.๔๓๕ เมตร และได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธีกระทำพระฤกษ์ เริ่มการ สร้างทางรถไฟ ณ บริเวณย่านสถานีกรุงเทพ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ (ปัจจุบัน การรถไฟฯ ได้สร้างอนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวงเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกเหตุการณ์สำคัญในอดีต และเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร เสด็จมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด) จากนั้นในวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๙ พระองค์ได้เสด็จฯ ทรงเปิดการเดินรถไฟเส้นทางรถไฟสายแรกของสยาม คือสายกรุงเทพ-นครราชสีมา กรมรถไฟจึงถือเอาวันที่ ๒๖ มีนาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บุคคลสำคัญที่ผลักดันให้กิจการรถไฟของไทยเติบใหญ่อย่างมั่นคงในเวลาต่อมา คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ที่วิทยาลัยตรีนิตี้ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้รับฉายาว่าพระบิดาแห่งการรถไฟไทย โดยปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้รักษาการตำแหน่งเจ้ากรมรถไฟสายเหนือ ต่อมาได้พระบรมราชโองการโปรกเกล้าให้รวมกรมรถไฟสายเหนือกับสายใต้เข้าด้วยกันเป็นกรมรถไฟหลวงเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงพระองค์แรกซึ่งเป็นคนไทย แลดูเหมือนจะเป็นพระราชประสงค์จำนงหมายไว้แต่เดิมมากกว่าเป็นการบังเอิญจากสงคราม เพราะต่อมาในเดือนพฤจิกายนปีเดียวกัน ก็ได้มีพระราชหัตถเลขาเป็นส่วนพระองค์แสดงความในพระราชหฤทัยที่ทรงมีอยู่ (พระราชหัตถเลขาลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๐) ทรงกล่าวว่า
“รู้สึกว่า ราชการกรมรถไฟ เป็นราชการสำคัญและมีงานที่ต้องทำมาก เพราะเต็มไปด้วยความยุ่งยาก และฉันรู้สึกว่าเป็นเคราะห์ดีอย่างยิ่งที่ฉันได้เลือกให้ตัวเธอเป็นผู้บัญชาการรถไฟ และอาจพูดได้โดยไม่แกล้งยอเลยว่า ถ้าเป็นผู้อื่นเป็นผู้บัญชาการ การงานอาจยุ่งเหยิงมากจนถึงแก่เสียทีได้ทีเดียว เมื่อความจริงเป็นอยู่เช่นนี้ ฉันจึงได้มารู้สึกว่า
๑) การงานกรมรถไฟไม่ใช่เป็นของที่จะวานให้เธอทำเป็นชั่วคราวเสียแล้ว จะต้องคิดอ่านเป็นงานแรมปี....
๒) ฉันเห็นว่า เธอควรจะต้องให้เวลาและกำลังส่วนตัวสำหรับกิจการรถไฟนี้มากกว่าอย่างอื่น....
จึงขอบอกตามตรง และเธอต้องอย่าเสียใจว่าในขณะนี้ เธอมีหน้าที่ราชการหลายอย่างเกินไป จนทำให้ฉันนึกวิตกว่า ถึงแม้เธอจะเต็มใจรับทำอยู่ทั้งหมดก็ดี แต่กำลังกายของเธอจะไม่ทนไปได้ จริงอยู่ฉันได้ยินเธอกล่าวอยู่เสมอว่า “ยอมถวายชีวิต” แต่ฉันขอบอกอย่างดื้อๆ เพราะฉันรักเธอว่า ฉันไม่ต้องการชีวิตของเธอ ฉันต้องการใช้กำลังความสามารถของเธอมากกว่า”
เปลี่ยนนามกระทรวงโยธาธิการใหม่ เป็นกระทรวงคมนาคม[แก้]
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศพระบรมราชโองการ ประกาศจัดราชการและให้เปลี่ยนนามกระทรวงโยธาธิการใหม่ เป็นกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ร.ศ.๑๓๐ พ.ศ.๒๔๕๕ ( ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ขณะนั้น)
- มีการแบ่งส่วนราชการ กระทรวงคมนาคม ดังนี้
- ๑.กรมรถไฟ (ยังไม่ใช้ชื่อกรมรถไฟหลวง)
- ๒.กรมไปรษณีย์โทรเลข
- ๓.กรมทาง
ประกาศเปลี่ยนนามแห่งกรมรถไฟ[แก้]
เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๖๗ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามจาก “กรมรถไฟ” เป็น “กรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม” ส่วนตัวย่อให้ใช้ ร.ฟ.ล. (Royal State Railways of Siam R.S.R.)[8]
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระบิดาแห่งการรถไฟไทย[แก้]
โดยพระปรีชาสามารถกอร์ปด้วยพระวิริยภาพอันแรงกล้าของพระองค์เจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ซึ่งพระองค์ท่านเป็นพระองค์แรกที่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง พระองค์ได้ทรงจัดการไม่แต่ให้การคมนาคมโดยทางรถไฟติดต่อเชื่อมถึงกันได้โดยสะดวกแต่ภายในพระราชอาณาจักรเท่านั้น ยังทรงเป็นผู้นำชื่อเสียงและเกียรติคุณของกรมรถไฟแห่งราชอาณาจักรไทยไปอุโฆษในต่างประเทศ จนได้รับความยกย่องในสมรรถภาพและประสิทธิภาพว่า เป็นกรมรถไฟไทยที่ไม่ค้องใช้วิศวกรชาวต่างประเทศ เป็นเหตุให้ประชาชาติในนานาประเทศสนใจในการเดินทางท่องเที่ยว หรือเพื่อธุรกิจอย่างอื่นเข้ามาในราชอาณาจักรไทยกันมากหลาย และไม่เฉพาะแก่การรถไฟเท่านั้นที่พระองค์ได้ทรงกอบเกื้อ หรือปลุกปล้ำทะนุบำรุงให้รุ่งเรืองวัฒนามาแต่สมัยนั้นจนกาลบัดนี้ ถึงในด้านอื่นๆ เกี่ยวกับการคมนาคมของประเทศทุกสาขา พระองค์ก็ได้ทรงฟื้นฟูให้ก้าวหน้าทันสมัยด้วยเหมือนกัน แนวนโยบายเกี่ยวกับการรถไฟหลวงที่ผู้บัญชาการกรมรถไฟพระองค์แรกได้ทรงวางไว้ กรมรถไฟก็ได้ถือเป็นหลักปฏิบัติและดำเนินการตามตลอดมาจนถึงกาลปัจจุบันนี้
นับแต่แรกที่ทรงปฏิบัติราชการในกรมรถไฟ พระองค์ทรงฝึกให้ข้าราชการไทย โดยการแนะนำสั่งสอนด้วยพระองค์เอง และโดยจัดให้มีนักเรียนสอบชิงทุนของกรมรถไฟหลวงออกไปศึกษาวิชาการรถไฟและการพาณิชย์ ณ ต่างประเทศ เพื่อเข้ามาสวมตำแหน่งสำคัญๆ แทนชาวต่างประเทศดั่งที่เคยจำเป็นต้องจ้างมาใช้แต่ก่อน ได้ทรงเริ่มนโยบายนี้เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๔๖๑ และรุ่นสุดท้าย ได้ส่งไปในปี พ.ศ.๒๔๖๖ รวมเป็นนักเรียน ๕๑ คน นโยบายนี้ได้รับผลอันสมบูรณ์ราวต้นปี พ.ศ.๒๔๗๕ นอกจากนั้นยังทรงรับโอนนักศึกษาไทยที่ศึกษาอยู่ ณ ต่างประเทศแล้วมาเป็นนักเรียนใช้ทุนของกรมรถไฟหลวงก็อีกหลายนาย ทรงเป็นผู้ก่อกำเนิดชักนำให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยในกรมรถไฟมีความรู้สึกฉันมิตรซึ่งกันและกัน ร่วมมือฏิบัติราชการโดยมิให้เป็นไปเยี่ยงนายกับบ่าว ความร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของข้าราชการกรมรถไฟนับแต่สมัยพระองค์ทรงบังคับบัญชา เป็นผลความเจริญแก่กรมรถไฟมาจนทุกวันนี้
การรวมกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ [แก้]
ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศรวมหน้าที่ราชการกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป็นกระทรวงคมนาคมและพาณิชยการ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๘ และได้ประกาศเปลี่ยนนามใหม่เป็น กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๘ กรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม จึงอยู่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ยุคหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕[แก้]
ในปีพ.ศ.๒๔๗๖ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง กรมรถไฟได้ถูกปรับปรุงให้มาสังกัดกระทรวงเศรษฐการ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๐ หน้า ๗๗๐ ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๗๖ มีการแบ่งส่วนราชการ กระทรวงเศรษฐการ ดังนี้ [9]
- มาตรา ๒๐ หน้าที่ราชการในกระทรวงเศรษฐการ แยกเป็น
- ๑) สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี
- ๒) สำนักงานปลัดกระทรวง
- ๓) กรมทะเบียนการค้า
- ๔) กรมพาณิชย์
- ๕) กรมวิทยาศาสตร์
- ๖) กรมสหกรณ์
- ราชการส่วนเกษตร
- ๑) กรมการประมง
- ๒) กรมเกษตร
- ๓) กรมชลประทาน
- ๔) กรมที่ดินและโลหกิจ
- ๕) กรมป่าไม้
- ราชการส่วนคมนาคม
- ๑) กรมการขนส่ง
- ๒) กรมเจ้าท่า
- ๓) กรมไปรษณีย์โทรเลข
- ๔) กรมรถไฟ
เปลี่ยนชื่อจากกรมรถไฟหลวงมาเป็นกรมรถไฟ[แก้]
รัฐบาลคณะราษฎรได้เปลี่ยนชื่อ กรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม เป็น กรมรถไฟ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๐ หน้า ๗๗๐ ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๗๖[10]
การปรับปรุงการบริหารงาน[แก้]
หลังจากได้มีการปรับปรุงการบริหารราชการของกรมรถไฟแล้วเสร็จ รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการสำนักงานและกรมในกระทรวงเศรษฐการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๕ หน้า ๑๔๒ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๑ [11]
- มาตรา ๑๐ กรมรถไฟแบ่งส่วนราชการดั่งนี้
ราชการฝ่ายธุรการ
- ๑. สำนักงานเลขานุการกรม แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณ (๒) แผนกประวัติ (๓) แผนกสถิติ
- ๒. กองพัสดุ แบ่งเป็น ๘ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณและประวัติ (๒) แผนกบัญชี (๓) แผนกจัดหาพัสดุ (๔) แผนกโรงพิมพ์ (๕) แผนกคลังพัสดุกลาง (๖) แผนกคลังครุภัณฑ์ (๗) แผนกคลัง
พัสดุโรงงาน (๘) แผนกคลังพัสดุของคืน
- ๓. กองแพทย์
- ๔. สำนักงานอาณาบาล
ราชการฝ่ายการเดินรถ
- ๑. กองเดินรถ แบ่งเป็น ๔ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณและประวัติ (๒) แผนกรถสินค้า (๓) แผนกรถโดยสาร (๔) แผนกกำหนดเวลาเดินรถ
- ๒. กองสินค้าและที่ดิน แบ่งเป็น ๔ แผนก คือ
- (๑) แผนกสินค้า (๒) แผนกเสาะแสวง (๓) แผนกที่ดิน (๔) แผนกขนส่ง
- ๓. กองโดยสาร แบ่งเป็น ๒ แผนก คือ
- (๑) แผนกโดยสาร (๒) แผนกโฆษณา
- ๔. กองโรงแรมบ้านพักและรถเสบียง แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ
- (๑) แผนกบ้านพักและรถเสบียง (๒) แผนกโรงแรมราชธานี (๓) แผนกโรงแรมหัวหิน
- ๕. กองศิลา แบ่งเป็น ๒ แผนก คือ
- (๑) แผนกทำศิลา (๒) แผนกจำหน่ายศิลา
- ๖. กองจัดการเดินรถภาคต่าง ๆ
ราชการฝ่ายการบัญชี
- ๑. กองสารบัญชี แบ่งเป็น ๔ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณและประวัติ (๒) แผนกบัญชีก่อสร้าง (๓) แผนกบัญชีต่างประเทศ (๔) แผนกควบคุมงบประมาณ
- ๒. กองรวบรวม แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ
- (๑) แผนกประมวล (๒) แผนกบัญชีพัสดุ (๓)แผนกตรวจรายจ่าย
- ๓. กองคลังเงิน แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ
- (๑) แผนกตั๋วโดยสาร (๒) แผนกคลังเงิน (๓)แผนกจ่ายเงินท้องที่
- ๔. กองตรวจบัญชี แบ่งเป็น ๔ แผนก คือ
- (๑) แผนกตรวจบัญชีค่าระวาง (๒) แผนกตรวจบัญชีโดยสาร (๓)แผนกตรวจบัญชีรายได้ (๔) แผนกตรวจบัญชีท้องที่
ราชการฝ่ายการช่างกล
- ๑. กองช่างกล แบ่งเป็น ๔ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณและประวัติ (๒) แผนกสถิติ (๓) แผนกแบบแผน (๔) แผนกเครื่องจักร
- ๒. กองโรงงาน แบ่งเป็น ๕ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณและประวัติ (๒) แผนกโรงจักร (๓) แผนกซ่อมรถจักร (๔) แผนกซ่อมรถโดยสาร (๕) แผนกซ่อมรถบรรทุก
- ๓. กองลากเลื่อน แบ่งเป็น ๒ แผนก คือ
- (๑) แผนกรถจักร (๒) แผนกรถพ่วง
- กองไฟฟ้า
- (๑) แผนกเครื่องทำไฟ้ฟ้า (๒) แผนกไฟฟ้าจุด (๓) แผนกหม้อไฟฟ้า
ราชการฝ่ายการช่างโยธา
- ๑. กองแบบแผน แบ่งเป็น ๔ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณและประวัติ (๒) แผนกออกแบบ (๓) แผนกสถาปัตยกรรม (๔) แผนกกรรมสิทธิ์ที่ดิน
- ๒. กองบำรุงทางและสถานที่ แบ่งเป็น ๔ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณและประวัติ (๒) แผนกงานใหม่ (๓) แผนกโรงงานซ่อม (๔) แผนกไม้และฟืน
- ๓. กองสื่อสาร แบ่งเป็น ๔ แผนก คือ
- (๑) แผนกสารบรรณและประวัติ (๒) แผนกก่อสร้างเสาสาย (๓) แผนกโทรเลขโทรศัพท์ (๔) แผนกอาณัติสัญญาณ
- ๔. กองก่อสร้าง
ในปีพ.ศ.๒๔๘๔ กรมรถไฟได้ถูกปรับปรุงให้กลับมาสังกัดกระทรวงคมนาคมตามเดิม ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พุทธศักราช ๒๔๘๔ ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๘ หน้า ๑๐๔๔ ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๘๔ มีการแบ่งส่วนราชการ กระทรวงคมนาคม ดังนี้[12]
- มาตรา ๑๗ หน้าที่ราชการในกระทรวงคมนาคม แยกเป็น
- ๑) สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี
- ๒) สำนักงานปลัดกระทรวง
- ๓) กรมการขนส่ง (กองการบินพาณิชย์เดิม สังกัดกระทรวงเศรษฐการ)
- ๔) กรมเจ้าท่า (โอนจากกระทรวงเศรษฐการ)
- ๕) กรมไปรษณีย์โทรเลข (โอนจากกระทรวงเศรษฐการ)
- ๖) กรมทาง (เดิมเป็นกองทางสังกัด กรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทย)
- ๗) กรมรถไฟ (โอนจากกระทรวงเศรษฐการ)
กรมรถไฟในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[แก้]
ครั้นราชอาณาจักรไทยตกอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่สองตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๘๔ เป็นเหตุให้กิจการรถไฟได้รับความกระทบกระเทือนจากภัยสงคราม ต้องรับภาระในการขนส่งทหารและร่วมมือกับกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเพื่อขนส่งทหารเข้าสู่ยุทธภูมิ โดยกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นมีหน่วยทหารขนส่งรถไฟ มีนายพลอิชิดาฯเป็นผู้บังคับหน่วย มีนายทหารขนส่งรถไฟส่งไปประจำทุกย่านสถานีรถไฟของไทย คอยควบคุมการขนส่งของหน่วยทหารญี่ปุ่น ดูแลให้มีการขนขึ้นลงให้ทันภายในกำหนดเวลาเดินรถของกรมรถไฟ ควบคุมการบรรทุกอาวุธหนักยานพาหนะ การผูกมัดรัดตรึงให้มั่นคง ตักเตือนระเบียบวินัยการเดินทางแก่ทหารในขบวนรถพิเศษนั้น ขบวนรถพิเศษญี่ปุ่นในระยะหลังได้ใช้ล้อเลื่อนโดยสารและรถสินค้าที่ทหารญี่ปุ่นนำมาจากมลายู อินโดจีนฝรั่งเศส และชะวา คละกันไปและใช้รถแซมเพื่อการผสมขอพ่วงเป็นขบวนรถเดินทางต่อไปได้ คงใช้รถจักรของกรมรถไฟไทย มีพนักงานขับรถ(พขร.) และช่างไฟ (ชฟ.๑,๒) เป็นผู้ขับ ส่วนใหญ่เดินในทางสายใต้ พอพ้นปาดังเบซาร์ก็เปลี่ยนเป็นรถจักรของทหารขนส่งรถไฟญี่ปุ่นนำขบวนรถนั้นต่อไปในมลายู บางครั้งความไม่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้ากรมรถไฟของไทยและเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น ก่อให้เกิดปัญหาในการเดินรถ ดังเช่นกรณีเจ้าหน้าที่รถไฟญี่ปุ่นที่ตามทหารญี่ปุ่นเข้ามาควบคุมการเดินรถและสับเปลี่ยนรถที่ย่านสถานีสำคัญๆของกรมรถไฟไทยไม่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับระเบียบการเดินรถของกรมรถไฟ จนมีเหตุทะเลาะวิวาทชกต่อยกันไม่เว้นแต่ละวันเพราะสื่อภาษากันไม่รู้เรื่อง จนต้องให้นักเรียนไทยที่จบจากญี่ปุ่นเข้ามารับราชการเป็นล่ามประจำสถานีรถไฟ หรือใช้ล่ามคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาไทยแบบต้องเอียงหูฟัง หนักเข้าก็เกิดเหตุการณ์กรณีนายสถานีรถไฟสงขลาถูกทหารญี่ปุ่นรุมชกต่อยจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และกรณีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๔๘๕ ทหารญี่ปุ่นได้รุมทุบตีนายฉัตร์ พนักงานขับรถจักร และนายพุฒ คนการโรงรถจักรหาดใหญ่ของกรมรถไฟ ขณะทำขบวนรถไฟจากสถานีสุไหงโกลกไปชุมทางหาดใหญ่ เมื่อรถจอดที่ชุมทางหาดใหญ่ ทหารญี่ปุ่นก็รุมทุบตีซ้ำอีกจนถึงเวลา ๑๗.๓๐ น.ก็ยังไม่ยอมหยุดทุบตี
ในช่วงปลายสงครามฯการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรหนักหน่วงมากขึ้นเนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นประสบความเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิ กล่าวคือ บรรดาอาคารบ้านพักข้าราชการ อาคารสถานี สะพาน ล้อเลื่อน โรงงานโรงรถจักร อาณัติสัญญาณประจำที่และทางรถไฟ ฯลฯ ได้รับความเสียหายจากภัยทางอากาศทั่วถึงกันทุกแห่ง คือ ทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่นภูมิภาค คำนวนค่าเสียหายทั้งสิ้นตามราคาเดิม เมิ่อก่อนสงครามตกเป็นเงินประมาณ ๓๗,๓๓๓,๑๐๐ บาท หากคำนวนตามราคาปัจจุบันจะสูงขึ้นอีกประมาณ ๑๔ เท่า มีข้าราชการกรมรถไฟได้รับอันตรายจากภัยสงครามและประสบภัยทางอากาศ เป็นอันตรายถึงสิ้นชีวิต ๑๐๓ คน บาดเจ็บ ๙ คน และถึงความสิ้นเนื้อประดาตัว ๑,๓๗๐ คน
เครื่องแบบข้าราชการพลเรือนรัฐพาณิชย์ กรมรถไฟ[แก้]
- สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกกฎ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนรัฐพาณิย์ กรมรถไฟ มีเครื่องแบบเฉพาะต่างจากข้าราชการกระทรวง ทะบวง กรม อื่นๆ โดยได้ออกกฎฯรวมทั้งสิ้น ๕ ฉบับ อันได้แก่
- กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ออกตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ.๒๔๘๒
- กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ออกตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.๒๔๘๕
- กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ออกตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ (ฉบับที่ ๓๘) พ.ศ.๒๔๙๑
- กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ออกตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ (ฉบับที่ ๔๒) พ.ศ.๒๔๙๓
- กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ออกตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ (ฉบับที่ ๔๔) พ.ศ.๒๔๙๔
กำเนิดการรถไฟแห่งประเทศไทย[แก้]
ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ สมัยรัฐบาลที่มีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เลขที่ ๔๐ หมวด ก ฉบับพิเศษ ลงในวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔ และให้ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ปีเดียวกัน ดังนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย จึงถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภค สังกัดกระทรวงคมนาคม และให้มีการโอนกิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ต่างๆ รวมไปถึงข้าราชการพลเรือนรัฐพาณิชย์ ลูกจ้าง และสายงานทั้งหมด ของกรมรถไฟไปอยู่ในการดำเนินงานของ การรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีพลเอกจรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ เป็นผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยคนแรก และเป็นอธิบดีกรมรถไฟคนสุดท้าย ซึ่งมีพิธีส่งมอบกิจการของกรมรถไฟให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับมาดำเนินการเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๔๙๔ จัดขึ้น ณ วังสวนกุหลาบ โดยมี ฯพณฯจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและได้กล่าวมอบกิจการรถไฟให้กับคณะกรรมการรถไฟชุดแรก นายเล้ง ศรีสมวงศ์ ประธานกรรมการรถไฟ เป็นผู้กล่าวรับมอบ
กรรมการชุดแรก[แก้]
- นายเล้ง ศรีสมวงศ์ ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ
- นายเกษม ศรีพยัคฆ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- นายสพรั่ง เทพหัสดิน ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- พระภัทรกิจโกศล (เทียม โดษะนันทน์) ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- พลโทจรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- พระพิศาลสุขุมวิท(ประสพ สุขุม) ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- พันเอกประมาณ อดิเรกสาร ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
กรรมการชุดปัจจุบัน[แก้]
- นาย จิรุตม์ วิศาลจิตร ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ
- ดร.ชยธรรม์ พรหมศร ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- นาย อำนวย ปรีมนวงศ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- นางสาว ไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- นาย ธันวา เลาหศิริวงศ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- นาย พินิจ พัวพันธ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
- นาง ศุกร์ศิริ บุญญเศรษฐ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการ
เครื่องหมายราชการของการรถไฟแห่งประเทศไทย[แก้]
การรถไฟแห่งประเทศไทย ขอพระบรมราชานุญาตใช้เครื่องหมายราชการของกรมรถไฟ (รูปล้อปีกภายใต้พระมหามงกุฎและมีรัศมีครอบ) ประกอบเป็นตราเครื่องหมายของการรถไฟฯ และทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาต เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๙
เครื่องหมายราชการแห่งกรมรถไฟ ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ พุทธศักราช ๒๔๘๒ ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศ(ฉบับที่ ๑๒)กำหนดภาพเครื่องหมายราชการนี้ ตามพระราชบัญญัติฯดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตอนที่ ๑๕ เล่ม ๕๙ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๘๕ ซึ่งมีลักษณะดังนี้
"เป็นรูปล้อปีก เบื้องบนมีอุณณาโลมและมีพระมหามงกุฎมีรัศมี เบื้องล่างมีคำว่า "กรมรถไฟ"[13]
รายนามผู้บริหารจากอดีตถึงปัจจุบัน[แก้]
เส้นทางเดินรถ[แก้]
การรถไฟแห่งประเทศไทย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นผู้ให้บริการรถไฟทางไกลทุกสาย มีสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เป็นสถานีปลายทางของทุกสาย มีสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ลาดกระบัง เป็นที่ทำการรับส่งสินค้าหลัก ปัจจุบันการรถไฟฯ มีระยะทางที่เปิดการเดินรถแล้ว รวมทั้งสิ้น 4,507 กิโลเมตร แบ่งเป็นเส้นทางรถไฟทางเดี่ยว 4,097 กิโลเมตร เส้นทางรถไฟทางคู่ 303 กิโลเมตร ได้แก่ ช่วงกรุงเทพ - ลพบุรี ระยะทาง 133 กิโลเมตร ช่วงชุมทางสถานีตลิ่งชัน - สถานีนครปฐม ระยะทาง 44 กิโลเมตร ช่วงสถานีฉะเชิงเทรา - สถานีสัตหีบ ระยะทาง 69.8 กิโลเมตร และช่วงสถานีชุมทางศรีราชา - สถานีแหลมฉบัง ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร และเส้นทางรถไฟทางสาม 107 กิโลเมตร ได้แก่ ช่วง รังสิต - ชุมทางบ้านภาชี ระยะทาง 60 กิโลเมตรและช่วงสถานีหัวหมาก - ชุมทางฉะเชิงเทรา ระยะทาง 45.82 กิโลเมตร
สายเหนือ[แก้]
ทางรถไฟสายเหนือ เดินรถคู่ไปกับทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือแล้วแยกกันที่สถานีรถไฟชุมทางบ้านภาชี โดยทางรถไฟสายเหนือผ่านจังหวัดลพบุรี, นครสวรรค์, พิจิตร พิษณุโลก, อำเภอเด่นชัย, ลำปาง, ลำพูน แล้วสุดทางรถไฟที่เชียงใหม่ ระยะทางจากกรุงเทพ 751 กิโลเมตร มีทางรถไฟแยกที่สถานีชุมทางบ้านดารา จังหวัดพิษณุโลกถึงสถานีสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ระยะทาง 29 กิโลเมตร
สายตะวันออกเฉียงเหนือ[แก้]
ทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ เดินรถคู่กับทางรถไฟสายเหนือแล้วแยกกันที่สถานีรถไฟชุมทางบ้านภาชี มุ่งสู่นครราชสีมา แยกเป็นสองสายที่สถานีรถไฟชุมทางถนนจิระ โดยสายหนึ่งผ่านขอนแก่น, อุดรธานี, หนองคาย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแล้วสุดทางรถไฟที่สถานีรถไฟท่านาแล้ง นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ระยะทางจากกรุงเทพ 627.25 กิโลเมตร อีกสายหนึ่งผ่านบุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ แล้วสุดทางรถไฟที่อุบลราชธานี ระยะทางจากกรุงเทพ 575 กิโลเมตร
ยังมีอีกเส้นทางหนึ่งเริ่มต้นจากสถานีรถไฟชุมทางแก่งคอยที่สระบุรี ผ่านอำเภอชัยบาดาลที่ลพบุรีและอำเภอจัตุรัสที่ชัยภูมิ ก่อนจะวิ่งเข้าสู่สายหลักที่ไปหนองคาย ที่สถานีรถไฟชุมทางบัวใหญ่ นครราชสีมา ระยะทาง 252.4 กิโลเมตร
สายใต้[แก้]
ทางรถไฟสายใต้ เริ่มต้นจากสถานีกรุงเทพแล้วเมื่อถึงที่สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อจะแยกไปทางตะวันตกสู่นครปฐม ก่อนจะแยกเป็นสามทาง โดยทางหนึ่งไปทางกาญจนบุรี (210 กิโลเมตร) ทางหนึ่งไปทางสุพรรณบุรี (157 กิโลเมตร) ทางรถไฟสายใต้หลักวิ่งต่อไป โดยผ่านราชบุรี, เพชรบุรี, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพรจนถึงสุราษฎร์ธานี มีทางแยกคีรีรัฐนิคม จากนั้นวิ่งต่อไปถึง สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง ที่ นครศรีธรรมราช และยังมีทางแยกไปกันตังที่ตรังและชุมทางเขาชุมทองซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน สายใต้หลักวิ่งต่อไปจนถึงพัทลุง, ชุมทางหาดใหญ่ ที่สงขลามีทางแยกซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับทางรถไฟของ ประเทศมาเลเซีย ที่ปาดังเบซาร์ ส่วนสายใต้หลักจะวิ่งต่อไปผ่านยะลา จนถึงสุไหงโก-ลก นราธิวาส
สายตะวันออก[แก้]
ทางรถไฟสายตะวันออก ถึง จังหวัดสระแก้ว ( สถานีรถไฟอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ ) ระยะทาง 260 กิโลเมตร, สถานีคลองสิบเก้า-ชุมทางแก่งคอย ระยะทาง 81.4 กิโลเมตร และชุมทางเขาชีจรรย์-มาบตะพุต ระยะทาง 24.07 กิโลเมตร
สายแม่กลอง[แก้]
ทางรถไฟสายแม่กลอง ช่วง สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ - สถานีรถไฟมหาชัย ระยะทาง 31 กิโลเมตร และช่วง สถานีรถไฟบ้านแหลม - สถานีรถไฟแม่กลอง ระยะทาง 34 กิโลเมตร
โครงการทางคู่[แก้]
นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยยังมีโครงการขยายเส้นทางให้เป็นทางคู่เพื่อให้สามารถทำความเร็วได้มากขึ้น ลดเวลาการเดินทาง เพิ่มความจุตู้สินค้าและตู้โดยสาร รวมทั้งลดการใช้พลังงาน เนื่องจากการขนส่งเที่ยวหนึ่ง สามารถจุผู้โดยสารและสินค้าได้มากกว่ารถยนต์ โครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง ได้แก่ ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร นครปฐม-หัวหิน 165 กิโลเมตร มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 132 กิโลเมตร ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น 185 กิโลเมตร ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 167 กิโลเมตร รวมระยะทาง 767 กิโลเมตร
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน[แก้]
การรถไฟแห่งประเทศไทย ยังเป็นผู้รับผิดชอบเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอีก 7 โครงการ แบ่งเป็นรถไฟฟ้าชานเมือง 3 โครงการ และระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง 4 โครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ระบบรถไฟฟ้าชานเมือง
- รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ : เป็นสัมปทานของ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด แบ่งออกเป็น
- ช่วงสุวรรณภูมิ - พญาไท ระยะทาง 28.6 กิโลเมตร : เปิดให้บริการ โดยยกเลิกการให้บริการรถไฟด่วนเป็นการชั่วคราวเพื่อทดแทนด้วยรถไฟความเร็วสูง
- ช่วงพญาไท - ดอนเมือง ระยะทาง 21.8 กิโลเมตร : อยู่ในระหว่างเตรียมการก่อสร้าง
- รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง แบ่งออกเป็น
- สายสีแดงอ่อน
- ช่วงศาลายา - ตลิ่งชัน และศิริราช - ตลิ่งชัน : อยู่ในระหว่างเตรียมการก่อสร้าง
- ช่วงตลิ่งชัน - บางซื่อ : เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2564
- ช่วงบางซื่อ - พญาไท : อยู่ในระหว่างเตรียมการก่อสร้าง
- ช่วงพญาไท - หัวหมาก - ฉะเชิงเทรา และศาลายา - นครปฐม : อยู่ในระหว่างการศึกษาเส้นทาง
- สายสีแดงเข้ม
- ช่วงธรรมศาสตร์รังสิต - รังสิต : อยู่ในระหว่างเตรียมการก่อสร้าง
- ช่วงรังสิต - บางซื่อ : เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2564
- ช่วงบางซื่อ - หัวลำโพง : อยู่ในระหว่างเตรียมการก่อสร้าง
- ช่วงหัวลำโพง - วงเวียนใหญ่ - มหาชัย กำลังปรับแบบช่วงหัวลำโพง - วงเวียนใหญ่ เป็นอุโมงลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาและจัดทำรายงาน EIA ฉบับใหม่ [14]
- มหาชัย - ปากท่อ และช่วงธรรมศาสตร์รังสิต - บ้านภาชี : อยู่ในระหว่างการศึกษาเส้นทาง
- สายสีแดงอ่อน
- ระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง
- รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ช่วงดอนเมือง - อู่ตะเภา : เป็นสัมปทานของ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด อยู่ในระหว่างเตรียมการก่อสร้าง
- รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (สายอีสาน) ช่วงบางซื่อ - หนองคาย : เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลจีน อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
- รถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่น (สายเหนือ) ช่วงบางซื่อ - เชียงใหม่ : เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลญี่ปุ่น อยู่ในระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการ
- รถไฟความเร็วสูงสายใต้ ช่วงบางซื่อ - ปาดังเบซาร์ (ไทย) : อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการ
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "ประวัติการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม". คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2021-08-16. สืบค้นเมื่อ 2022-03-17.
- ↑ "พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔" (PDF). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 1951-06-30. สืบค้นเมื่อ 2022-03-17.
- ↑ https://www.silpa-mag.com/history/article_8421
- ↑ "สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๔ / เรื่องที่ ๗ รถไฟ / ประวัติการรถไฟในประเทศไทย". คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2014-05-09.
- ↑ "รอยทางจาก "กรมรถไฟ" สู่... "แอร์พอร์ต เรล ลิงก์"". คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2014-04-14. สืบค้นเมื่อ 2014-05-09.
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2442/024/312.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2442/050/698.PDF
- ↑ https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=1070559
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2476/A/763.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2476/A/763.PDF
- ↑ https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=1106027
- ↑ https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=1112829
- ↑ https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=1115541
- ↑ "รอหน่อยนะ! คมนาคมยันเดินหน้ารถไฟฟ้าสายสีแดง"หัวลำโพง-มหาชัย"รอปรับแบบช่วงข้ามเจ้าพระยาเป็นอุโมงค์ทางลอด". ประชาชาติธุรกิจ. 2018-11-20.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
![]() |
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: การรถไฟแห่งประเทศไทย |
![]() |
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ: |
- เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
- เว็บไซต์การรถไฟแห่งประเทศไทย
- แผนที่แสดงเส้นทางการเดินรถไฟในปัจจุบัน
- คากิซากิ, อิจิโร. จากทางรถไฟสู่ทางหลวง: ความเปลี่ยนแปลงนโยบายการคมนาคมและการหมุนเวียนสินค้าของประเทศไทย พ.ศ. 2478-2518. นนทบุรี: ต้นฉบับ, 2560.
- คากิซากิ, อิจิโร. ย้อนรอยรถไฟไทย: สืบสานและต่อยอด. แปลโดย มุทิตา พานิช. กรุงเทพฯ: สถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2562.
- สุทธิศักดิ์ แสวงศักดิ์. บทบาทของกรมรถไฟหลวงกับการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2464-2502. ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. (ประวัติศาสตร์). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ออนไลน์.
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ การรถไฟแห่งประเทศไทย
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์
พิกัดภูมิศาสตร์: 13°44′48″N 100°30′53″E / 13.7466502°N 100.5146915°E