จังหวัดอุตรดิตถ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จังหวัดอุตรดิตถ์
การถอดเสียงอักษรโรมัน
 • อักษรโรมันChangwat Uttaradit
จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง:
คำขวัญ: 
เหล็กน้ำพี้ลือเลื่อง เมืองลางสาดหวาน
บ้านพระยาพิชัยดาบหัก ถิ่นสักใหญ่ของโลก[1]
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดอุตรดิตถ์เน้นสีแดงประเทศมาเลเซียประเทศพม่าประเทศลาวประเทศเวียดนามประเทศกัมพูชาจังหวัดนราธิวาสจังหวัดยะลาจังหวัดปัตตานีจังหวัดสงขลาจังหวัดสตูลจังหวัดตรังจังหวัดพัทลุงจังหวัดกระบี่จังหวัดภูเก็ตจังหวัดพังงาจังหวัดนครศรีธรรมราชจังหวัดสุราษฎร์ธานีจังหวัดระนองจังหวัดชุมพรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จังหวัดเพชรบุรีจังหวัดราชบุรีจังหวัดสมุทรสงครามจังหวัดสมุทรสาครกรุงเทพมหานครจังหวัดสมุทรปราการจังหวัดฉะเชิงเทราจังหวัดชลบุรีจังหวัดระยองจังหวัดจันทบุรีจังหวัดตราดจังหวัดสระแก้วจังหวัดปราจีนบุรีจังหวัดนครนายกจังหวัดปทุมธานีจังหวัดนนทบุรีจังหวัดนครปฐมจังหวัดกาญจนบุรีจังหวัดสุพรรณบุรีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจังหวัดอ่างทองจังหวัดสิงห์บุรีจังหวัดสระบุรีจังหวัดลพบุรีจังหวัดนครราชสีมาจังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดสุรินทร์จังหวัดศรีสะเกษจังหวัดอุบลราชธานีจังหวัดอุทัยธานีจังหวัดชัยนาทจังหวัดอำนาจเจริญจังหวัดยโสธรจังหวัดร้อยเอ็ดจังหวัดมหาสารคามจังหวัดขอนแก่นจังหวัดชัยภูมิจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดนครสวรรค์จังหวัดพิจิตรจังหวัดกำแพงเพชรจังหวัดตากจังหวัดมุกดาหารจังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดเลยจังหวัดหนองบัวลำภูจังหวัดหนองคายจังหวัดอุดรธานีจังหวัดบึงกาฬจังหวัดสกลนครจังหวัดนครพนมจังหวัดพิษณุโลกจังหวัดอุตรดิตถ์จังหวัดสุโขทัยจังหวัดน่านจังหวัดพะเยาจังหวัดแพร่จังหวัดเชียงรายจังหวัดลำปางจังหวัดลำพูนจังหวัดเชียงใหม่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดอุตรดิตถ์เน้นสีแดง
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดอุตรดิตถ์เน้นสีแดง
ประเทศ ไทย
การปกครอง
 • ผู้ว่าราชการ ศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ[2]
(ตั้งแต่ พ.ศ. 2566)
พื้นที่[3]
 • ทั้งหมด7,838.592 ตร.กม. (3,026.497 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่อันดับที่ 25
ประชากร
 (พ.ศ. 2564)[4]
 • ทั้งหมด446,148 คน
 • อันดับอันดับที่ 59
 • ความหนาแน่น56.92 คน/ตร.กม. (147.4 คน/ตร.ไมล์)
 • อันดับความหนาแน่นอันดับที่ 70
รหัส ISO 3166TH-53
ชื่อไทยอื่น ๆบางโพธิ์ท่าอิฐ, พิชัย, ท่าเหนือ, เมืองลับแล
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
 • ต้นไม้สัก
 • ดอกไม้ประดู่บ้าน
 • สัตว์น้ำปลาตะโกก
ศาลากลางจังหวัด
 • ที่ตั้งถนนประชานิมิตร ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ 53000
 • โทรศัพท์0 5541 1977
 • โทรสาร0 5541 1537, 0 5541 1977
เว็บไซต์http://www.uttaradit.go.th
สารานุกรมประเทศไทย ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย

อุตรดิตถ์ (ไทยถิ่นเหนือ: ᩏᨲ᩠ᨲᩁᨯᩥᨲ᩠ᨳ᩺, อุตฺตรดิตฺถ์) เป็นจังหวัดหนึ่งตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย ได้ชื่อว่าเมืองท่าแห่งทิศเหนือ ในอดีตเป็นหัวเมืองชุมนุมการค้าที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ อุตรดิตถ์นั้นเป็นเมืองที่เรียกว่าเป็นเมืองรอยต่อทางวัฒนธรรม ทั้งวัฒนธรรมสยาม วัฒนธรรมล้านนา และวัฒนธรรมล้านช้าง มีเมืองโบราณในพื้นที่ 12 เมือง อันได้แก่ เมืองพิชัย เมืองทุ่งยั้ง เมืองตรอน เมืองน้ำปาด เมืองลับแล เมืองด่านนางพูน เมืองบางโพ เมืองพิพัต เมืองปัตตาบูร เมืองพิมูน เมืองฝาง และเมืองขุนกัน เมืองโบราณเหล่านี้ล้วนมีเอกสารเก่าแก่รองรับ เอกสารที่สำคัญที่สุดคือ เอกสารทูตตอบในสมัยสมเด็จพระนารายมหาราช พ.ศ. 2224 และแผนที่โบราณของชาวต่างชาติหลายฉบับ

จังหวัดอุตรดิตถ์
"อุตรดิตถ์" ในภาษาไทย (บน)
และในคำเมืองอักษรธรรมล้านนา (ล่าง)
ชื่อภาษาไทย
อักษรไทยอุตรดิตถ์
อักษรโรมันUttaradit
ชื่อคำเมือง
อักษรธรรมล้านนาᩏᨲ᩠ᨲᩁᨯᩥᨲ᩠ᨳ᩺
อักษรไทยอุตฺตรดิตฺถ์

เดิมทีตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันนี้เป็นเพียงตำบลชื่อ "บางโพธิ์ท่าอิฐ" แต่เพราะบางโพธิ์ท่าอิฐซึ่งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำน่านมีความเจริญรวดเร็ว เพราะเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าสำคัญในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ย้ายเมืองหลักมาจากเมืองพิชัยมายังตำบลบางโพธิ์ท่าอิฐ และยกฐานะขึ้นเป็นเมือง "อุตรดิตถ์" ซึ่งมีความหมายว่า ท่าน้ำแห่งทิศเหนือของสยามประเทศ [5] ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 เมืองอุตรดิตถ์มีความเจริญขึ้น เมืองอุตรดิตถ์จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัด

จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ทางใต้สุดของภาคเหนือ โดยสภาพภูมิศาสตร์จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่สูงสลับซับซ้อน ซึ่งจะอยู่ทางตอนเหนือและทางตะวันออกของจังหวัด เนื่องจากทำเลที่ตั้งดังกล่าวจึงทำให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน มีอากาศฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดูฝน และมีช่วงฤดูแล้งคั่นอยู่อย่างชัดเจนตั้งแต่ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม เดือนที่ร้อนที่สุดคือเดือนเมษายน จังหวัดอุตรดิตถ์ได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ มรสุมตะวันออกเฉียงใต้ปกติจะมีแหล่งกำเนิดบริเวณทะเลอันดามัน ทำให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีช่วงฤดูฝนกินระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยสูงที่สุด

ประชากรส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 99.66 นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท[6] โดยประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยใช้พื้นที่ในการทำการเกษตรประมาณร้อยละ 26.70 ของพื้นที่ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังประกอบอาชีพทางด้านปศุสัตว์ รวมทั้งมีการทำพืชไร่ปลูกผลไม้นานาชนิด โดยผลไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดอุตรดิตถ์คือลางสาด

ส่วนการเดินทางมายังจังหวัดอุตรดิตถ์สามารถใช้เส้นทางได้หลายเส้นทาง ทั้งทางรถไฟ ทางรถโดยสารประจำทาง และทางรถยนต์ส่วนบุคคล สำหรับการเดินทางโดยเครื่องบิน จังหวัดอุตรดิตถ์เคยมีท่าอากาศยาน 1 แห่ง สำหรับการเดินทางพาณิชย์ แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว

สถานที่สำคัญภายในจังหวัดนั้น มีทั้งแหล่งโบราณสถาน เช่น วัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระฝางสว่างคบุรีมุนีนาถ วัดพระยืนพุทธบาทยุคล วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ซากเมืองโบราณสมัยอาณาจักรสุโขทัย แหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน และแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย ทั้งน้ำตก เขื่อนสิริกิติ์ วัด พระพุทธรูปสำคัญของจังหวัด เป็นต้น

ศัพทมูลวิทยา[แก้]

ชื่อของจังหวัดมาจากคำว่า อุตร (บาลี: อุตฺตร) หมายถึง "ทิศเหนือ" รวมกับคำว่า ดิตถ์ (ติตฺถ) หมายถึง "ท่าน้ำ" ทำให้มีความหมายเป็น "ท่าน้ำแห่งทิศเหนือของสยามประเทศ"

ประวัติศาสตร์[แก้]

สมัยก่อนประวัติศาสตร์[แก้]

ซ้าย: กลองมโหระทึกสำริดในวัฒนธรรมดองซอน ขุดพบที่ม่อนวัดศัลยพงษ์ ตำบลบางโพ ในปี พ.ศ. 2470[7]
กลาง: ซากกระดูกที่กลายเป็นหินและโบราณวัตถุของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบที่บ้านบุ่งวังงิ้ว (สองหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวและการตั้งถิ่นฐานของแหล่งชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ในจังหวัดอุตรดิตถ์)
ขวา: ถ้วยกระเบื้องแบบจีน พบบนเนินทรายกลางแม่น้ำน่านบริเวณบ้านท่าเสา-บ้านคุ้งตะเภา (หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเส้นทางคมนาคมและชุมนุมการค้าสำคัญของท่าอิดช่วงต่อมา ก่อนจะหมดความสำคัญลงสิ้นเชิงในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา)

พื้นที่ตั้งตัวเมืองอุตรดิตถ์ในอดีต เป็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่ราบลุ่มอันเกิดจากดินตะกอนแม่น้ำพัดของแม่น้ำน่านที่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและประกอบกสิกรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานบริเวณรอบที่ตั้งตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวและการตั้งถิ่นฐานของแหล่งชุมชนมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ดังการค้นพบเครื่องมือหินขัดและซากกระดูกมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านบุ่งวังงิ้วซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามตำบลบางโพ-ท่าอิฐ และการค้นพบกลองมโหระทึกสำริด กาน้ำและภาชนะสำริดที่ม่อนศัลยพงษ์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตตำบลบางโพใน พ.ศ. 24701[8]

สมัยประวัติศาสตร์[แก้]

พื้นที่ตั้งตัวเมืองอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ในทำเลที่ตั้งอันเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่มีความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้นในบริเวณแถบนี้จึงมีการเคลื่อนไหวและย้ายถิ่นฐานของผู้คนมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีท่าน้ำที่สำคัญ 3 ท่า คือ ท่าเซา ท่าอิด และท่าโพธิ์ ซึ่งมีความสำคัญและเจริญรุ่งเรืองมาแต่สมัยขอมปกครองท่าอิด ตั้งแต่ พ.ศ. 1400[9]

เมืองท่าการค้าขายสำคัญ[แก้]

ที่ตั้งของตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันมีที่มาจาก 3 ท่าน้ำสำคัญที่มีความสำคัญเป็นชุมทางค้าขายมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรขอม คือ

  • ท่าอิด คือ บริเวณท่าอิฐบนและท่าอิฐล่างปัจจุบัน
  • ท่าโพธิ์ คือ บริเวณวัดท่าถนน ตลาดบางโพ เนื่องจากมีต้นโพธิ์มาก มีคลองไหลผ่าน เรียกว่า คลองบางโพธิ์ (เพี้ยนมาเป็นบางโพ)
  • ท่าเสา คือ บริเวณตลาดท่าเสา

วิบูลย์ บูรณารมย์ ผู้แต่งหนังสือตำนานเมืองอุตรดิษฐ์ ได้อธิบายว่าความหมายของชื่อ "ท่าอิด" และ "ท่าเสา" ไว้ว่า คำว่า "อิด" หรือ "อิฐ" ในชื่อท่าอิดเพี้ยนมาจากคำว่า "อิ๊ด" ในภาษาล้านนา แปลว่า "เหนื่อย" ส่วนคำว่า "เสา" ในชื่อท่าเสามาจากคำว่า "เซา" ในภาษาล้านนา แปลว่า "พักผ่อน" ทั้งสองคำนี้มีที่มาจากการเดินทางมาค้าขายที่ท่าอิดทางเรือ และทางบกของจังหวัดภาคเหนือ และภาคกลางสมัยโบราณ กว่าจะถึงก็เหนื่อยและต้องพักผ่อน[9]

สำหรับความหมายของท่าอิฐและท่าเสาในอีกความเห็นหนึ่งนั้น พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษประจำกรมศิลปากร กล่าวไว้ในหนังสือของท่านคัดค้านการสันนิษฐานความหมายตามภาษาคำเมืองดังกล่าว โดยกล่าวว่า คำว่าท่าอิฐและท่าเสานั้นเป็นคำในภาษาไทยกลาง เพราะคนท่าอิฐและท่าเสาเป็นกลุ่มชนสุโขทัยดั้งเดิมที่ใช้กลุ่มภาษาไทยกลุ่มเมืองในแคว้นสุโขทัย เช่นเดียวกับชาวสุโขทัย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก กำแพงเพชร และเช่นเดียวกับกลุ่มคนในตำบลทุ่งยั้ง บ้านพระฝาง เมืองพิชัย บ้านแก่ง และบ้านคุ้งตะเภา ซึ่งเป็นกลุ่มคนแคว้นสุโขทัยเดิมในจังหวัดอุตรดิตถ์เช่นเดียวกัน โดยคำว่าท่าเสานั้น มีความหมายโดยตรงเกี่ยวข้องกับการล่องซุงหมอนไม้ในสมัยโบราณเช่นเดียวกับชื่อนามหมู่บ้านหมอนไม้ (หมอนไม้ซุง) ซึ่งอยู่ทางใต้ของบ้านท่าอิฐ[10]

อย่างไรก็ดี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แสดงให้เห็นว่าทั้งท่าอิฐและท่าเสานับเป็นท่าที่มีความเจริญทางการค้ามากกว่าทุกท่าในภาคเหนือ เป็นทั้งท่าจอดเรือ ค้าขายจากมณฑลภาคเหนือและภาคกลางรวมถึงเชียงตุง เชียงแสน หัวพันทั้งห้าทั้งหก สิบสองปันนา สิบสองจุไทย จนต่อมาแควน่านได้เปลี่ยนทางเดิน ทำให้หาดท่าอิดงอกออกไปทางตะวันออกมากทุก ๆ ปี ท่าอิดจึงเลื่อนตามลงไปเรื่อย ๆ เรียกว่าหาดท่าอิดล่าง ท่าอิดเดิมเรียกว่าท่าอิดบน ท่าอิดล่างก็ยังคงเป็นศูนย์การค้าสำคัญของภาคเหนือมาตลอดจนถึงสมัยรัชกาลที่ 6[9]

ปลายกรุงศรีอยุธยา-ต้นกรุงรัตนโกสินทร์[แก้]

ในช่วงสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมืองฝาง ซึ่งอยู่เหนือน้ำเมืองอุตรดิตถ์ได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมสำคัญของประชาชน เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากการสงครามระหว่างไทย-พม่า ทำให้เกิดชุมนุมเจ้าพระฝางเป็นใหญ่เหนือหัวเมืองแถบนี้ ก่อนจะถูกปราบปรามลงได้ในภายหลัง

ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เคยใช้เมืองท่าอิดเป็นที่พักทัพเมื่อกรีธาทัพผ่านมา [11] และใช้เป็นที่รวบรวมทัพก่อนขึ้นตีหัวเมืองฝ่ายเหนือและล้านนา สมัยก่อนนั้น การเดินทางและการขนส่งสินค้าเพื่อนำมาขายทางตอนเหนือมีสะดวกอยู่ทางเดียวคือ ทางน้ำ แม่น้ำที่สามารถให้เรือสินค้ารวมทั้งเรือสำเภาขึ้นลงได้สะดวกถึงภาคเหนือตอนล่างก็มีแม่น้ำน่านเท่านั้น เรือสินค้าที่มาจากกรุงเทพฯ หรือกรุงศรีอยุธยาก็จะขึ้นมาได้ถึงบางโพท่าอิฐเท่านั้น เพราะเหนือขึ้นไปแม่น้ำจะตื้นเขินและมีเกาะแก่งมาก ฉะนั้นตำบลบางโพท่าอิฐจึงเป็นย่านการค้าที่สำคัญ [9]

ภาพถ่ายวิถีชีวิตริมน้ำแม่น้ำน่านสมัยรัชกาลที่ 5 ภาพนี้ถ่ายจากฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของบ้านท่าเสา ฝั่งตรงข้ามคือแถบย่านทุ่งบ้านคุ้งตะเภา[12]

กำเนิดนามเมืองอุตรดิตถ์[แก้]

โดยในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อุตรดิตถ์เป็นหัวเมืองชุมนุมการค้าที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในภาคเหนือ ทำให้ในปี พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญของเมืองแห่งนี้ในฐานะศูนย์กลางการค้าขายของแถบภาคเหนือตอนล่าง หรือเมืองท่าที่ตั้งอยู่ปลายเหนือสุดของการควบคุมด้วยอำนาจโดยตรงของ อาณาจักร จึงพระราชทานนามเมืองท่าอิดไว้ว่า "อุตรดิฐ"[13] (อุตร-ทิศเหนือ, ดิตถ์-ท่าน้ำ) แปลว่า "ท่าน้ำแห่งทิศเหนือ" (คำนี้ต่อมาเขียนเป็น "อุตตรดิตถ์ "[14] และ "อุตรดิตถ์" ดังที่ใช้ในปัจจุบัน)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์หน้าพลับพลารับเสด็จหน้าวัดวังเตาหม้อ (วัดท่าถนน) จังหวัดอุตรดิฐ พ.ศ. 2444[15]

พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองพิชัย ท่าอิด เมืองทุ่งยั้ง และเมืองลับแล ทรงเล็งเห็นว่าท่าอิดมีความเจริญ เป็นศูนย์ทางการค้า ประกอบกับมีเมืองลับแลอยู่ใกล้ ๆ เป็นเมืองรองลงไป การชำระคดีและการเรียกเก็บภาษีอากรสะดวกกว่าที่เมืองพิชัย แต่ท่าอิดในขณะนั้นยังคงมีฐานะเป็นเมืองท่าขึ้นต่อเมืองพิชัย ดังนั้น คดีต่าง ๆ ที่เกิดขั้นรวมทั้งการเก็บภาษีอากรส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ท่าอิด ราษฎรต้องลงไปเมืองพิชัยติดต่อกับส่วนราชการเป็นการไม่สะดวก จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองพิชัยมาตั้งที่บริเวณท่าอิด ส่วนเมืองพิชัยเดิมว่าเรียกว่าเมืองพิชัยเก่า

ที่พักทัพปราบกบฏเงี้ยว[แก้]

พ.ศ. 2446 พวกเงี้ยวก่อการจลาจลที่เมืองแพร่ โดยมีประกาหม่องหัวหน้าเงี้ยวตั้งตนเป็นใหญ่[16][17][18] จับพระยาสุรราชฤทธานนท์ข้าหลวงประจำมณฑลกับข้าราชการไทย 38 คนฆ่าแล้วยกทัพลงมาจะยึดท่าอิด กองทัพเมืองอุตรดิตถ์โดยการนำของพระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ เป็นผู้บัญชาทัพ พระยาพิศาลคีรี (ทัพ) ข้าราชการเกษียณอายุแล้วเป็นผู้คุมกองเสบียงส่ง โดยยกทัพไปตั้งรับพวกเงี้ยวที่ปางอ้อ ปางต้นผึ้ง พระยาศรีสุริยราชฯ จึงมอบหมายพระยาพิศาลคีรี เป็นผู้บัญชาการทัพแทน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นผู้มีอาวุโสและกรำศึกปราบฮ่อที่หลวงพระบางมามาก พระยาพิศาลคีรีได้สร้างเกียรติคุณให้กองทัพไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยการปราบทัพพวกเงี้ยวราบคาบ ฝ่ายไทยเสียชาวบ้านที่อาสารบเพียงคนเดียว กอปรกับเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีซึ่งเป็นแม่ทัพจากกรุงเทพฯ ยกมาช่วยเหลือ[19]

ยุคทางรถไฟถึงเมืองอุตรดิตถ์[แก้]

สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ในอดีต

พ.ศ. 2448-2451 ทางรถไฟได้เริ่มสร้างทางผ่านท่าโพธิ์และท่าเซา ซึ่งขณะนั้นบริเวณนี้ยังเป็นป่าไผ่อยู่ ไม่เจริญเหมือนท่าอิด กรมรถไฟจึงได้สร้างทางรถไฟแยกไปที่หาดท่าอิดล่าง ในปี พ.ศ. 2450 สมัยพระยาสุจริตรักษา (เชื้อ) เป็นเจ้าเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 กรมรถไฟได้สร้างสถานีรถไฟถึงบางโพธิ์และท่าเซา ทำให้ท่าโพธิ์และท่าเซาเจริญทางการค้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับที่ท่าอิดน้ำท่วมบ่อย การคมนาคมทางน้ำเริ่มลดความสำคัญลง การค้าที่ท่าอิดเริ่มซบเซา พ่อค้าเริ่มอพยพมาตั่งที่ท่าโพธิ์และท่าเซาเพิ่มมากขึ้น ท่าอิดเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ พ.ศ. 1400 ก็เสื่อมความนิยมลง และได้ย้ายศูนย์กลางการค้ามาที่ตลาดท่าโพธิ์และตลาดท่าเสาในเวลาต่อมา

ต่อมาหลังจากการตัดเส้นทางรถไฟผ่านเมืองอุตรดิตถ์สำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ทำให้แหล่งชุมนุมการค้าย่านท่าเสาและท่าอิฐเริ่มหมดความสำคัญลง เพราะรถไฟสามารถวิ่งขึ้นเมืองเหนือได้โดยไม่ต้องหยุดขนถ่ายเสบียงที่เมืองอุตรดิตถ์ และประกอบกับการที่ทางราชการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ปิดกั้นแม่น้ำน่านในเขตอำเภอท่าปลาในปี พ.ศ. 2510 ทำให้การคมนาคมทางน้ำยุติลงสิ้นเชิง โดยในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2500 นั้น เส้นทางคมนาคมทางถนนในจังหวัดอุตรดิตถ์มีเพียงไม่กี่เส้นทาง และด้วยทำเลที่ตั้งและความไม่สะดวกในการคมนาคมทางถนนในช่วงนั้นดังกล่าว ทำให้ตัวเมืองอุตรดิตถ์ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภาคเหนือกลายเป็นเมืองในมุมปิด ไม่เหมือนเมื่อครั้งการคมนาคมทางน้ำรุ่งเรือง และด้วยภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยดังกล่าว จึงทำให้ในช่วงต่อมารัฐบาลได้หันมาพัฒนาเมืองพิษณุโลกให้เป็นศูนย์กลางแห่งภาคเหนือตอนล่างแทน[20]

อุตรดิตถ์ในปัจจุบัน[แก้]

จนในปี พ.ศ. 2522 ทางการได้ตัดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ทำให้เมืองอุตรดิตถ์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนามากขึ้นตามลำดับ เพราะทางเส้นนี้เป็นเส้นทางส่วนหนึ่งของถนนสายเอเชียที่ตัดผ่านมาจากจังหวัดพิษณุโลกผ่านนอกเมืองอุตรดิตถ์เข้าสู่จังหวัดแพร่ ทำให้เส้นทางนี้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมทางบกสายหลักของจังหวัดอุตรดิตถ์ และกลายเป็นทางผ่านสำคัญเพื่อเข้าสู่ภาคเหนือ

ตัวเมืองอุตรดิตถ์มีความเจริญขึ้นมาโดยลำดับเนื่องจากเป็นที่ตั้งของย่านสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ทำให้ใน พ.ศ. 2458 สมัยรัชกาลที่ 6 ได้ย้ายศูนย์ราชการจากเมืองพิชัยมาตั้งไว้ที่เมืองอุตรดิตถ์ และใน พ.ศ. 2495 เมืองอุตรดิตถ์จึงได้รับการยกฐานะจากเมืองอุตรดิตถ์ขึ้นเป็นจังหวัดอุตรดิตถ์ สืบจนปัจจุบัน

สัญลักษณ์ประจำจังหวัด[แก้]

ตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัด
"มณฑปประดิษฐานพระแท่นศิลาอาสน์" ภายในวัดพระแท่นศิลาอาสน์

ตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ออกแบบโดย พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) ในปี พ.ศ. 2483 ตามนโยบายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น พระพรหมพิจิตรได้สนองนโยบายที่ให้นำปูชนียวัตถุสถานสำคัญของจังหวัดมาผูกเป็นตรา ท่านจึงได้นำรูปมณฑปประดิษฐานพระแท่นศิลาอาสน์ โบราณสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ มาประกอบผูกเข้าไว้เป็นตราประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ตราที่ผูกขึ้นใหม่นี้เขียนลายเส้นโดย นายอุณห์ เศวตมาลย์ ไม่มีรูปครุฑ, นามจังหวัดและลายกนกประกอบ ต่อมาทางราชการจึงได้เพิ่มรายละเอียดทั้งสามเข้าไว้ในตราจังหวัด ซึ่งตรานี้ยังคงใช้มาจนปัจจุบัน[21]

คำขวัญประจำจังหวัด

เหล็กน้ำพี้ลือเลื่อง เมืองลางสาดหวาน บ้านพระยาพิชัยดาบหัก ถิ่นสักใหญ่ของโลก

— คำขวัญประจำจังหวัดอุตรดิตถ์

คำขวัญประจำจังหวัดอุตรดิตถ์แต่งขึ้นในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ในสมัยนั้นได้นำนโยบายนี้เข้าสู่ที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและมีการคิดประกอบคำขวัญจังหวัดอุตรดิตถ์ขึ้นเป็นตัวอย่าง เพื่อมอบให้วิทยาลัยครูอุตรดิตถ์กำหนดกรอบแนวคิดการประกวดคำขวัญประจำจังหวัดต่อไป อย่างไรก็ดี คำขวัญที่คิดในที่ประชุมส่วนราชการได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางและเป็นที่รู้จักทั่วไป จึงไม่ได้มีการคิดประกวดคำขวัญใหม่ ทำให้คำขวัญดังกล่าวยังคงใช้เป็นคำขวัญประจำจังหวัดมาจนปัจจุบัน[21]

วิสัยทัศน์ประจำจังหวัด
เมืองแห่งคุณภาพชีวิต ผลผลิตปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ก้าวไกลสัมพันธ์เพื่อนบ้านยั่งยืน
ต้นไม้ประจำจังหวัด

ต้นสัก

ดอกไม้ประจำจังหวัด

ดอกประดู่บ้าน ดอกไม้ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ในราวปี พ.ศ. 2504 รัฐบาลเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรก ได้มีโครงการพัฒนาท้องถิ่นหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่เน้นเรื่องเศรษฐกิจในชุมชนเป็นหลักเพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาส่วนหนึ่ง จังหวัดจึงมีนโยบายให้หน่วยงานราชการทุกแห่งปลูกไม้ประดับและไม้ยืนต้นในพื้นที่ของส่วนราชการทุกแห่ง และเสนอแนะให้ปลูกพันธุ์ไม้กัลปพฤกษ์และพันธุ์ไม้ประดู่บ้าน แต่พันธุ์ไม้ที่ปลูกทั้งสองชนิดมีเพียงดอกประดู่บ้านที่บานสะพรั่ง ทางจังหวัดจึงกำหนดให้ดอกประดู่บ้านเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์

สัตว์น้ำประจำจังหวัด

ปลาตะโกก (Cyclocheilichthys enoplos)

เพลงประจำจังหวัด

เพลงประจำจังหวัดคือ "อุตรดิตถ์เมืองงาม"

อุตรดิตถ์เมืองงาม
ตัวอย่างบทเพลง อุตรดิตถ์เมืองงาม
  • หากไม่ได้ยินเสียง โปรดดูเพิ่มที่ วิกิพีเดีย:วิธีใช้สื่อ
  • ภูมิศาสตร์[แก้]

    ที่ตั้งและอาณาเขต[แก้]

    จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ใต้สุดของภาคเหนือ โดยมีพื้นที่ประมาณ 7,854 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 25 ของประเทศ มีจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกัน ดังนี้

    ภูมิประเทศทางตอนเหนือและทางตะวันออกของจังหวัดส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่สูง ทิวเขาเหล่านี้ต่อเนื่องมาจากจังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน

    ภูมิประเทศและภูมิอากาศ[แก้]

    ข้อมูลภูมิอากาศของจังหวัดอุตรดิตถ์
    เดือน ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ทั้งปี
    อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) 31.8
    (89.2)
    34.5
    (94.1)
    36.8
    (98.2)
    38.2
    (100.8)
    35.8
    (96.4)
    33.6
    (92.5)
    32.9
    (91.2)
    32.5
    (90.5)
    32.7
    (90.9)
    32.8
    (91)
    32.1
    (89.8)
    31.1
    (88)
    33.73
    (92.72)
    อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) 16.3
    (61.3)
    18.2
    (64.8)
    21.0
    (69.8)
    23.7
    (74.7)
    24.6
    (76.3)
    24.4
    (75.9)
    24.1
    (75.4)
    23.9
    (75)
    23.7
    (74.7)
    22.8
    (73)
    20.2
    (68.4)
    17.0
    (62.6)
    21.66
    (70.99)
    หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) 7.8
    (0.307)
    9.9
    (0.39)
    22.9
    (0.902)
    71.5
    (2.815)
    225.4
    (8.874)
    196.2
    (7.724)
    194.2
    (7.646)
    259.7
    (10.224)
    282.3
    (11.114)
    134.2
    (5.283)
    24.5
    (0.965)
    4.0
    (0.157)
    1,432.6
    (56.402)
    วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย 1 2 3 7 15 17 19 22 19 11 3 1 120
    แหล่งที่มา: Thai Meteorological Department

    ทรัพยากรธรรมชาติ[แก้]

    จังหวัดอุตรดิตถ์มีทรัพยากรป่าไม้ที่สมบูรณ์ มีทรัพยากรแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แร่พลวง เหล็ก ทองแดง ยิปซัม แร่ใยหิน ดินขาว ทัลก์ แต่ยังไม่ได้นำไปใช้ในทางเศรษฐกิจ และมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำน่าน ไหลผ่านเขตจังหวัดเป็นระยะความยาวถึง 160 กิโลเมตร แม่น้ำปาด ห้วยพูล คลองแม่พร่อง ห้วยน้ำพี้ คลองตรอน ห้วยน้ำลอก นอกจากนั้นมีเขื่อนและฝายกักเก็บน้ำเพื่อการชลประทาน คือ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนดินช่องเขาขาดหรือแซดเดิล ฝายสมเด็จฯ และฝายหลวงลับแลซึ่งเป็นฝายแรกของประเทศไทย ในปี 2563 มีพื้นที่ป่าไม้จำนวน 3,300,045 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 67.36 ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ป่าไม้แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้

    อุทยานแห่งชาติ[แก้]

    วนอุทยาน[แก้]

    จังหวัดอุตรดิตถ์ มีวนอุทยาน (Forest Park) ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติที่รัฐจัดไว้ ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด จำนวน 5 แห่ง ดังนี้

    • วนอุทยานถ้ำจัน
    • วนอุทยานเขาพลึง - บ้านด่าน
    • วนอุทยานน้ำตกแม่เฉย
    • วนอุทยานห้วยน้ำลี
    • วนอุทยานวังยาว

    นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ป่าไม้รูปแบบอื่นอีก ดังต่อไปนี้

    • สวนรุกขชาติ (Arboretum) - มีเพียงแห่งเดียว คือ สวนรุกชาติบ้านแพะ อำเภอทองแสนขัน
    • ป่าสงวนแห่งชาติ (National Reserved Forest) มีทั้งหมด 15 แห่ง
    • ป่าชุมชน (Community Forest) - เป็นป่าธรรมชาติ ที่ชาวบ้านช่วยกันป้องกันรักษาเอาไว้ สำหรับเป็นแหล่งซับน้ำและใช้สอย ปัจจุบันมีการสร้างป่าชุมชนขึ้นในพื้นที่สาธารณะ เพื่อใช้ประโยชน์ของชุมชน
    • เขตห้ามล่าสัตว์ป่า - มี 3 แห่ง คือ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาใหญ่ - เขาหน้าผาตั้ง และเขาตาพรม, เขตห้ามล่าสัตว์ป่าภูสันเขียว และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าห้วยผึ้ง-วังยาว
    • เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า - มี 4 แห่งคือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่จริม, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเมี่ยง-ภูทอง, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าน้ำปาด และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา

    การเมืองการปกครอง[แก้]

    การปกครองส่วนภูมิภาค[แก้]

    การปกครองแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ 67 ตำบล 613 หมู่บ้าน

    แผนที่อำเภอในจังหวัดอุตรดิตถ์
    1. อำเภอเมืองอุตรดิตถ์
    2. อำเภอตรอน
    3. อำเภอท่าปลา
    4. อำเภอน้ำปาด
    5. อำเภอฟากท่า
    6. อำเภอบ้านโคก
    7. อำเภอพิชัย
    8. อำเภอลับแล
    9. อำเภอทองแสนขัน

    รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด[แก้]

    สมัยกรุงศรีอยุธยา[แก้]

    ทำเนียบเจ้าเมืองพิชัย ระหว่างปี พ.ศ. 1893–2310 ขึ้นกับอาณาจักรอยุธยา มีฐานะเป็นเมืองชั้นตรี

    ลำดับ รายชื่อ ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
    1 พระยาพิชัย ไม่ปรากฏ

    สมัยกรุงธนบุรี[แก้]

    ทำเนียบเจ้าเมืองพิชัย ระหว่างปี พ.ศ. 2310–2325 มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรี และเมืองหน้าด่าน

    ลำดับ รายชื่อ ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
    1 พระยาพิชัย (ทองดี วิชัยขัทคะ) 2313–2324
    สิ้นสุดราชวงศ์ธนบุรี พ.ศ. 2325

    สมัยกรุงรัตนโกสินทร์[แก้]

    ทำเนียบผู้สำเร็จราชการเมือง และผู้ว่าราชการจังหวัดระหว่างปี พ.ศ. 2325–ปัจจุบัน

    ทำเนียบผู้สำเร็จราชการเมือง[แก้]

    เมืองพิชัยมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรี ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. 2325–2437 และตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการยกฐานะเป็นหัวเมืองชั้นโท

    ลำดับ รายชื่อ ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
    1 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โต ปานะดิษฐ์) 2325 -ไม่ปรากฏ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
    2 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (สังข์ ศิริปาลกะ) ไม่ปรากฏ
    3 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (บุญมี) ไม่ปรากฏ
    4 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (มงคล) ไม่ปรากฏ
    5 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ต่าย) 2401-2411
    6 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ดิฐ ดิษฐานนท์) 2424-2427
    7 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (มิ่ง มิ่งศรีพิชัย) 2427-2428
    8 พระยาศรีธรรมศุกราช (ครุธ หงสนันท์) 2428–ไม่ปรากฏ รัชสมัยรัชกาลที่ 5
    9 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (เชย กัลยาณมิตร) 2432-2436
    ทำเนียบผู้ว่าราชการเมือง[แก้]

    สิ้นสุดตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองพิชัยเปลี่ยนตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองขึ้นกับเป็นมณฑลพิษณุโลก ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2437–2476

    ลำดับ รายชื่อ ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
    1 พระบริรักษ์โยธี (ทองอยู่ สุวรรณบาตร) 2436-2440
    2 พระยาอุตรกิจพิจารณ์ ไม่ปรากฏ - 2442
    3 พระเทพเยนทร์ (ถนอม) 2442
    4 พระสีหสงคราม (โพ เนติโพธิ์) ไม่ปรากฏ - 2444

    รายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์[แก้]

    พ.ศ. 2444 ย้ายศาลากลางจังหวัดจากเมืองพิชัยมาอยู่ที่เมืองอุตรดิตถ์ และได้ยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2476–ปัจจุบัน

    ลำดับ รายชื่อ ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
    1 พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพ เนติโพธิ์) พ.ศ. 2444–2446
    2 พระยาเทพาธิบดี (อิ่ม เทพานนท์) พ.ศ. 2446–2449
    3 พระยาสุจริตรักษา (เชื้อ กัลยาณมิตร) พ.ศ. 2449–2450
    4 พระยาสุริยราชวราภัย (จร รัตนบิณฑะ) พ.ศ. 2450–2454
    5 พระยาวจีสัตยรักษ์ (ดิศ นามะสนธิ) พ.ศ. 2454–2459
    6 พระยาพิษณุโลกบุรี (สวัสดิ์ มหากายี) พ.ศ. 2459–2459
    7 พระยาวโรดมภักดีศรีอุตรดิตถ์นคร (อั้น หงสนันท์) พ.ศ. 2459–2467
    8 พระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี) พ.ศ. 2467–2469
    9 พระยาวิเศษฤๅชัย (หม่อมหลวงเจริญ อิศรางกูร) พ.ศ. 2469–2471
    10 พระยาวิเศษภักดี (หม่อมราชวงศ์กมล นพวงษ์) พ.ศ. 2471–2474
    11 พระยาอัธยาศัยวิสุทธิ์ (โชติ กนกมณี) พ.ศ. 2474–2476
    12 พระประสงค์เกษมราษฎร์ (ชุ่ม สุวรรณคุปต์) พ.ศ. 2476–2478
    13 พระสนิทประชานันท์ (อิน แสงสนิท) พ.ศ. 2479–2481
    14 หลวงอุตรดิตถาภิบาล (เนื่อง ปาณิกบุตร) พ.ศ. 2481–2482
    15 พระสมัครสโมสร (เสงี่ยม บุรสมบูรณ์) พ.ศ. 2483–2485
    16 ขุนพิเศษนครกิจ (ชุบ กลิ่นสุคนธ์) พ.ศ. 2486–2487
    17 ขุนระดับคดี (ปัญญา รมยานนท์) พ.ศ. 2487–2488
    18 ขุนอักษรสารสิทธิ์ (ละมัย สารสิทธิ์) พ.ศ. 2488–2490
    19 ขุนสนิทประชาราษฎร์ (สนิท จันทร์ศัพท์) พ.ศ. 2490–2491
    20 นายพ่วง สุวรรณรัฐ พ.ศ. 2491–2492
    21 นายเกษม อุทยานิน พ.ศ. 2492–2492
    22 ร้อยโท ถวิล ระวังภัย พ.ศ. 2492–2493
    23 ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุญยนิตย์) พ.ศ. 2493–2495
    24 ขุนรัฐวุฒิวิจารย์ (สุวงศ์ วัฎสิงห์) พ.ศ. 2495–2497
    25 ขุนสนิทประชากร (กุหลาบ ศกรมูล) พ.ศ. 2497–2501
    26 นายสง่า ศุขรัตน์ พ.ศ. 2501–2506
    27 นายประกอบ ทรัพย์มณี พ.ศ. 2506–2509
    28 พลตำรวจตรี สามารถ วายวานนท์ พ.ศ. 2509–2510
    29 นายเวทย์ นิจถาวร พ.ศ. 2510–2513
    30 นายเวียง สาครสินธุ์ พ.ศ. 2513–2515
    31 นายดิเรก โสตสถิตย์ พ.ศ. 2515–2516
    32 นายวิจิน สัจจะเวทะ พ.ศ. 2516–2518
    33 พลตำรวจตรี ศรีศักดิ์ ธรรมรักษ์ พ.ศ. 2518–2519
    34 นายเลอเดช เจษฎาฉัตร พ.ศ. 2519–2522
    35 นายกาจ รักษ์มณี พ.ศ. 2522–2526
    36 นายธวัช มกรพงศ์ พ.ศ. 2526–2530
    37 นายธวัชชัย สมสมาน พ.ศ. 2530–2531
    38 นายสุพงศ์ ศรลัมพ์ พ.ศ. 2531–2532
    39 นายศรีพงศ์ สระวาสี 1 มิถุนายน 2532 – 30 กันยายน 2534
    40 นายชัยวัฒน์ อรุโณทัยวิวัฒน์ 1 ตุลาคม 2534 – 30 กันยายน 2536
    41 นายสมบัติ สืบสมาน 5 ตุลาคม 2536 – 30 มีนาคม 2540
    42 นายนิรัช วัจนะภูมิ 31 มีนาคม 2540 – 5 เมษายน 2541
    43 นายชัยพร รัตนนาคะ 16 เมษายน 2541 – 30 กันยายน 2542
    44 นายสิทธิพร เกียรติศิริโรจน์ 1 ตุลาคม 2542 – 30 กันยายน 2545
    45 นายปรีชา บุตรศรี 1 ตุลาคม 2545 – 30 กันยายน 2548
    46 ร้อยตำรวจโท อุปฤทธิ์ ศรีจันทร์ 1 ตุลาคม 2548 – 12 พฤศจิกายน 2549
    47 นายสมบูรณ์ ศรีพัฒนาวัฒน์ 13 พฤศจิกายน 2549 – 30 กันยายน 2550
    48 นายธวัชชัย ฟักอังกูร 1 ตุลาคม 2550 – 30 กันยายน 2552
    49 นายโยธินศร์ สมุทรคีรีจ์ 1 ตุลาคม 2552 – 30 กันยายน 2555
    50 นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน 12 พฤศจิกายน 2555 – 30 กันยายน 2556
    51 นายชัช กิตตินภดล 1 ตุลาคม 2556 – 30 กันยายน 2558
    52 นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ 1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2559
    53 นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ 1 ตุลาคม 2559 – 30 กันยายน 2560
    54 นายเสฐียรพงศ์ มากศิริ 1 ตุลาคม 2560 – 30 กันยายน 2561
    55 นายธนากร อึ้งจิตรไพศาล 1 ตุลาคม 2561 – 30 กันยายน 2563
    56 นายผล ดำธรรม 1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2565
    57 นายสมหวัง พ่วงบางโพ 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566
    58 นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ 17 ธันวาคม 2566 – ปัจจุบัน

    การปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]

    องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีเขตพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมทั้งจังหวัดอุตรดิตถ์ คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ และภายในจังหวัดยังแบ่งออกเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับพื้นฐานจำนวน 89 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมือง 1 แห่ง เทศบาลตำบล 25 แห่ง และ องค์การบริหารส่วนตำบล 63 แห่ง โดยเทศบาลสามารถจำแนกได้ตามอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ดังนี้

    ความมั่นคง[แก้]

    เศรษฐกิจ[แก้]

    จังหวัดอุตรดิตถ์มีผลผลิตสาขาที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของจังหวัดคือ สาขาการเกษตร รองลงไปคือการอุตสาหกรรม การประมง และการพาณิชย์

    • พืชเศรษฐกิจของจังหวัดที่สำคัญคือ ลางสาดมีการปลูกมากที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ก็มีทุเรียน เงาะ มังคุด สับปะรด ลำไย ส่วนพืชไร่ที่เป็นพืชเศรษฐกิจคือ ข้าว อ้อย ข้าวโพด กระเทียม ถั่วต่าง ๆ และยาสูบ เป็นต้น
    • มีพื้นที่ปลูกอ้อยมากเพราะมีโรงงานน้ำตาลถึง 2 แห่ง มีโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง โรงงานผลิตไวน์ลางสาด โรงงานผลิตเส้นหมี่ โรงงานผลิตดินขาว โรงงานถลุงแร่ขนาดเล็ก เป็นต้น
    • มีการทำอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายอย่างเช่น การทำไม้กวาดตองกง การทอผ้า การจักสานเครื่องใช้ไม้ไผ่ การทำเครื่องปั้นดินเผา การตีเหล็กทำเครื่องใช้เกษตรกรรมและทำมีด เป็นต้น
    • สภาพความคล่องตัวของเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอลับแล อำเภอพิชัย มีธนาคารพาณิชย์คอยให้บริการอยู่หลายแห่ง จากสภาพทั่วไปแล้วจังหวัดอุตรดิตถ์มีค่าครองชีพของประชากรอยู่ในระดับปานกลาง

    ทางด้านอุตสาหกรรมของจังหวัดอุตรดิตถ์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน คือ อุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้ อุตสาหกรรมน้ำตาล อุตสาหกรรมทอผ้า และอุตสาหกรรมน้ำปลา ส่วนในเรื่องของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่น เหมืองแร่ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ ยังไม่เกิดขึ้นในจังหวัดอุตรดิตถ์ ถึงแม้อุตรดิตถ์จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ต่าง ๆ ก็ตาม

    ประชากร[แก้]

    ประชากรท้องถิ่นดั้งเดิมของจังหวัด คือชนพื้นถิ่นไทยสยามและไทยวน ผู้เป็นเจ้าของซากโครงกระดูกและเครื่องมือหินและสำริดสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในจังหวัด ต่อมาพื้นที่ตั้งเมืองอุตรดิตถ์เป็นทางผ่านสำคัญมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมดองซอน ทำให้มีการเคลื่อนย้ายผู้คนมาจากที่ต่าง ๆ มากขึ้น เรื่อยมาในสมัยทวารวดีและอาณาจักรขอมดังปรากฏหลักฐานเมืองโบราณที่เวียงเจ้าเงาะ จนมาในสมัยสมัยสุโขทัยได้มีเมืองเกิดขึ้นมากมาย เช่น เมืองฝาง เมืองทุ่งยั้ง เมืองตาชูชก และเมืองพิชัย และด้วยการเป็นเส้นทางการค้าทางน้ำ ทำให้ชาวเมืองอุตรดิตถ์ในสมัยโบราณมีที่มาจากหลายเผ่าพันธุ์ แต่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาจนปัจจุบันคือไทยสยามจากอาณาจักรสุโขทัยที่อาศัยอยู่ในแถบอำเภอพิชัย และไทยวนจากอาณาจักรล้านนาที่อพยพจากเชียงแสนมาอาศัยอยู่ในแถบอำเภอลับแล ชนสองกลุ่มนี้ตั้งถิ่นฐานขึ้นเป็นเมืองอย่างมั่นคงมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

    จนสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการกวาดต้อนผู้คนและการอพยพย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ล้านช้าง (ลาว) จากทั้งเมืองเวียงจันทน์และเมืองหลวงพระบาง ลงมาตั้งถิ่นฐานในเขตอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดมากขึ้น ได้แก่บริเวณอำเภอน้ำปาก อำเภอฟากท่า และอำเภอบ้านโคกในปัจจุบัน และได้มีชาวจีนโพ้นทะเลอพยพย้ายถิ่นฐานมาตั้งหลักแหล่งทำมาค้าขายในแถบเมืองท่ามากเป็นลำดับ จึงทำให้เมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันกลายเป็นเมืองที่มีกลุ่มชนมากถึง 3 วัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข[20]

    จำนวนประชากรในอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดอุตรดิตถ์
    (ปี 2551 จังหวัดอุตรดิตถ์มีประชากรทั้งสิ้น 464,205 คน ประชากรชาย 229,207 คน ประชากรหญิง 234,998 คน)

    ชาวทุ่งยั้ง หน้าวัดพระแท่นศิลอาสน์ ภาพถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5
    ชาวไทยสยาม
    (เมืองอุตรดิตถ์, พิชัย)

    ชาวลับแล ในชุดพื้นเมือง ภาพถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5
    ชาวไทยล้านนา
    (ลับแล, ท่าปลา, เมืองอุตรดิตถ์,ตรอน, ทองแสนขัน,น้ำปาด)

    อันดับ อำเภอ จำนวนประชากร

    ชาวไทยเชื้อสายลาว ในชุดพื้นเมืองล้านช้าง
    ชาวไทยเชื้อสายลาว
    (บ้านโคก, ฟากท่า,น้ำปาด, ตรอน, ทองแสนขัน)


    1 อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ 85,124
    2 อำเภอพิชัย 73,119
    3 อำเภอลับแล 37,142
    4 อำเภอท่าปลา 42,951
    5 อำเภอตรอน 30,888
    6 อำเภอน้ำปาด 29,558
    7 อำเภอทองแสนขัน 28,021
    8 อำเภอฟากท่า 14,359
    9 อำเภอบ้านโคก 10,618

    ศาสนา[แก้]

    พระมหาสถูป วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ เมืองสวางคบุรี พุทธศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดอุตรดิตถ์

    ประชากรท้องถิ่นดั้งเดิมของจังหวัด นับถือผีที่เป็นความเชื่อแบบโบราณเป็นหลัก สังเกตได้จากร่องรอยการใส่ภาชนะและข้าวของเครื่องใช้ลงในหลุมฝังศพตามความเชื่อในเรื่องโลกหน้าของคนโบราณในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีบ้านบุ่งวังงิ้ว

    ประชากรอุตรดิตถ์กว่าร้อยละ 99.66 นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
    (ภาพ:สามเณรในวัดคุ้งตะเภา)

    อย่างไรก็ตามศาสนาแรกที่ชาวอุตรดิตถ์รับมานับถือสันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธศาสนา เพราะปรากฏหลักฐานโบราณสถานทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดที่ พระมหาสถูปแห่งเมืองฝาง จากตำนานที่กล่าวว่าเป็นพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระทันตธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้รับมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระสมณทูตคือพระโสณะและพระอุตตระมาประกาศพระศาสนาที่สุวรรณภูมิ และแม้ว่าตำนานนี้อาจจะเป็นเรื่องที่แต่งเสริมความศรัทธาในภายหลัง แต่พระมหาสถูปแห่งเมืองฝางก็คงสร้างมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย พร้อม ๆ กับการสถาปนาเมืองฝางสวางคบุรีให้เป็นเมืองหน้าด่านทิศตะวันออกสุดแห่งอาณาจักรสุโขทัย (สวางคบุรี-เมืองที่รับแสงอรุณแห่งแรกของอาณาจักรสุโขทัย) [20]

    ปัจจุบัน ประชากรของจังหวัดอุตรดิตถ์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทลังกาวงศ์ประมาณร้อยละ 99.66 มีจำนวนวัดในพระพุทธศาสนาถึง 312 วัด พระสงฆ์สามเณรกว่าพันรูป[22] นอกจากนั้นยังมีศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ซึ่งเข้ามาเผยแพร่ในภายหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นคนนอกพื้นที่ ที่อพยพย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดอุตรดิตถ์ในช่วงไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา

    การศึกษา[แก้]

    จังหวัดอุตรดิตถ์นับได้ว่าเป็นจังหวัดหนึ่งที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนกระทั่งถึงระดับอุดมศึกษา ในระดับปฐมวัยและระดับมัธยมศึกษานั้น ดูแลโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุตรดิตถ์ แบ่งออกเป็น 2 เขต โดยแต่ละเขตจะรับผิดชอบการศึกษาของแต่ละอำเภอในจังหวัดอุตรดิตถ์

    นอกจากนี้ ยังมีการจัดการเรียนในระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ (และที่เปิดสาขาเป็นศูนย์การศึกษาอุตรดิตถ์) ดังต่อไปนี้

    บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ มหาวิทยาลัยรัฐเพียงแห่งเดียวที่มีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์
    ระดับอุดมศึกษา
    อาชีวศึกษา
    มัธยมศึกษา
    สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ (เฉพาะในจังหวัดอุตรดิตถ์) และ โรงเรียนเอกชน
    • อำเภอพิชัย
      • โรงเรียนพิชัย
      • โรงเรียนบ้านโคนพิทยา
      • โรงเรียนดาราพิทยาคม
    • อำเภอลับแล
      • โรงเรียนลับแลพิทยาคม
      • โรงเรียนลับแลศรีวิทยา
      • โรงเรียนด่านแม่คำมันพิทยาคม

    ประถมศึกษา

    โรงพยาบาล[แก้]

    จังหวัดอุตรดิตถ์มีสถานบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่สถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชน คลินิก โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลทหาร และโรงพยาบาลเอกชน โดยมีโรงพยาบาลศูนย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขประจำจังหวัด คือ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม คือ โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก โรงพยาบาลเอกชนในเครือ Principal Capital คือ โรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ และมีโรงพยาบาลประจำอำเภอ ดังต่อไปนี้

    ประเพณีและวัฒนธรรม[แก้]

    สภาพพื้นที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ในเขตรอยต่อ 3 วัฒนธรรม คือล้านนา ล้านช้าง และไทยกลาง เป็นผลให้ลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภาษาถิ่นและงานประเพณีพื้นบ้านต่าง ๆ มีลักษณะผสมผสาน บางส่วนพูดภาษาไทยถิ่นเหนือ (คำเมือง)[ต้องการอ้างอิง] บางส่วนพูดภาษาไทยภาคกลาง บางส่วนพูดภาษาลาว และบางส่วนพูดภาษาท้องถิ่นของตน เช่น บ้านทุ่งยั้ง เป็นต้น

    งานเทศกาล และงานประจำปี[แก้]

    อำเภอลับแล
    งานประเพณีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (วันอัฐมีบูชา) วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง
    • งานเทศกาลแห่น้ำขึ้นโฮง : ไหว้สาเจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร กษัตริย์พระองค์แรกแห่งนครลับแล มีการแห่ขบวนตุงล้านนาที่ยาวที่สุด จัดขึ้นในช่วงเดือน 6 ของทุกปี
    • งานเทศกาลทุเรียนและผลไม้เมืองลับแล : จัดโดย เทศบาลตำบลหัวดง
    • งานนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ตั้งแต่ วันขึ้น 8 ค่ำ ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน สาม จัดโดย วัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระยืนพุทธบาทยุคล วัดพระนอนพุทธไสยาสน์ และจังหวัดอุตรดิตถ์
    • งานประเพณีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันอัฏฐมีบูชา : จัดในระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ถึง วันแรม 8 ค่ำ เดือน 6
    • งานประเพณีสงกรานต์เมืองลับแล ถนนข้าวแคบ : จัดโดยเทศบาลพระศรีพนมมาศ ระหว่างวันที่ 12 - 15 เมษายน ของทุกปี ณ บริเวณหน้าอนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ
    อำเภอเมือง
    • งานเทศกาลพระยาพิชัยดาบหัก และงานกาชาดจังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างวันที่ 7 - 16 มกราคม ของทุกปี ณ สนามกีฬาพระยาพิชัยดาบหัก ถนนแปดวา และถนนประตูชัย
    • งานเทศกาลลางสาด ลองกองหวาน และสินค้า OTOP อุตรดิตถ์ ณ สนามกีฬาพระยาพิชัยดาบหัก ถนนแปดวา และถนนประตูชัย
    • งานประจำปีนมัสการหลวงพ่อเพชร วัดท่าถนน
    • งานประจำปีวัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ : จัดโดยเทศบาลตำบลผาจุก
    • งานประจำปีวัดหมอนไม้
    • งานหอการค้าแฟร์ : ณ สนามกีฬาพระยาพิชัยดาบหัก ถนนแปดวา และถนนประตูชัย จัดโดยหอการค้าจังหวัดอุตรดิตถ์
    อำเภอตรอน
    • งานประเพณีไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติ พิธีขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำ : วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี บริเวณลานอเนกประสงค์ริมน้ำน่าน อำเภอตรอน
    • งานย้อนรำลึกเส้นทางประวัติศาสตร์รัชกาลที่ 5 เสด็จเมืองตรอนตรีสินธุ์ วัดหาดสองแคว
    • งานฮ่วมแอ่วงาน เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ไท-ยวน บ้านน้ำอ่าง สืบสานวิถีไทย ระหว่างวันที่ 12 - 14 เมษายน ของทุกปี ณ วัดไชยมงคล
    อำเภอน้ำปาด
    • งานพญาปาด เทศกาล หอม-กระเทียม และของดีอำเภอน้ำปาด
    อำเภอบ้านโคก
    • งานสืบสานประเพณีก่อเจดีย์บุญกองข้าวใหญ่
    อำเภอพิชัย
    • งานนมัสการหลวงพ่อโต และของดีเมืองพิชัย
    อำเภอฟากท่า
    • งานของดีอำเภอฟากท่า
    อำเภอท่าปลา
    • งานประเพณีสงกรานต์เขื่อนสิริกิติ์
    • งานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีและของดีอำเภอท่าปลา จัดโดยเทศบาลตำบลจริม และองค์การบริหารส่วนตำบลนางพญา ณ สนามกลางอำเภอท่าปลา

    การละเล่นพื้นบ้าน[แก้]

    จังหวัดอุตรดิตถ์ ยังมีการละเล่นดนตรีพื้นบ้านที่ยังคงมีผู้สืบต่อมาจนปัจจุบัน ถึงสามวัฒนธรรม ทั้งภูมิปัญญาในการทำเครื่องดนตรีและการละเล่น เช่น ดนตรีมังคละ (มีการละเล่นกันอยู่ในอำเภอพิชัย (กองโค) อำเภอเมือง (พระฝาง หมอนไม้ คุ้งตะเภา) และอำเภอลับแล (ทุ่งยั้ง ไผ่ล้อม)) กลองยาวทุ่งยั้ง และวงปี่พาทย์ไทยเดิม และมีการละเล่นตามแบบวัฒนธรรมล้านช้าง เช่น ตับเต่า รวมถึงการละเล่นซะล้อ ซอ ซึง จ๊อย ค่าว ตามแบบวัฒนธรรมล้านนา เช่น ซอล่องน่าน มวยเจิง (อำเภอท่าปลา) และฟ้อนนางโยน ฟ้อนดอกเจิง ซอลับแลง (อำเภอลับแล)

    การขนส่ง[แก้]

    ทางราง[แก้]

    สถานีรถไฟอุตรดิตถ์

    จังหวัดอุตรดิตถ์มีทางรถไฟผ่านจำนวน 3 อำเภอ คือ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอพิชัย และอำเภอตรอน อีกทั้งจังหวัดอุตรดิตถ์ยังเป็นที่ตั้งของย่านสถานีรถไฟที่สำคัญในภาคเหนือ ได้แก่ สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ และสถานีรถไฟศิลาอาสน์ ที่มีขบวนรถไฟจากสถานีรถไฟกรุงเทพ สถานีรถไฟพิษณุโลก และสถานีรถไฟเชียงใหม่มายังจังหวัดอุตรดิตถ์ทุกวัน วันละ 22 ขบวน(เที่ยวขึ้นและเที่ยวล่อง) ทั้งรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว และรถท้องถิ่น

    ทางถนน[แก้]

    ทางรถโดยสารประจำทาง[แก้]

    สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุตรดิตถ์

    จากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) มีรถยนต์โดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศจากกรุงเทพฯ สู่อุตรดิตถ์ทุกวัน วันละหลายเที่ยว เช่น บ.เชิดชัยทัวร์ จ.บ. สุโขทัย วินทัวร์ (วินทัวร์) บ. นครชัยแอร์ บ. นครชัยทัวร์ และของบขส. เป็นต้น บริษัทที่ให้บริการเดินทางรถประจำทางทั้งรถปรับอากาศชั้นที่ 1 ชั้น 2 ทั้งรถมาตราฐานชั้นที่ 4 ก, ข (รถสองชั้น) และรถโดยสารธรรมดา นอกจากนี้จากสถานีขนส่งอุตรดิตถ์ สามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย ดังนี้

    ภาคเหนือตอนบน
    • ปลายทาง เชียงใหม่ ผ่าน เด่นชัย ลำปาง ลำพูน
    • ปลายทาง แม่สาย ผ่าน เด่นชัย แพร่ พะเยา เชียงราย
    • ปลายทาง เชียงของ ผ่าน แพร่ เชียงคำ เทิง
    • ปลายทาง ทุ่งช้าง น่าน ผ่าน แพร่
    • "ปลายทาง" เชียงราย ผ่าน เด่นชัย งาว ดอกคำใต้
    ภาคเหนือตอนล่าง
    • ปลายทาง ตาก กำแพงเพชร ผ่าน ศรีสัชนาลัย สวรรคโลก สุโขทัย
    • ปลายทาง นครสวรรค์ ผ่าน พิษณุโลก พิจิตร
    • ปลายทาง พิษณุโลก
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    • ปลายทาง หนองคาย นครพนม บึงกาฬ ผ่าน เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร
    • ปลายทาง ขอนแก่น ผ่าน หล่มสัก ชุมแพ
    • ปลายทาง นครราชสีมา ผ่าน อ.สากเหล็ก อ.เขาทราย(พิจิตร) โคกสำโรง(ลพบุรี) สีคิ้ว(นครราชสีมา)
    • ปลายทาง อุบลราชธานี ผ่าน ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร
    ภาคตะวันออก
    • ปลายทาง พัทยา ระยอง ผ่าน สระบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยา
    ภาคใต้
    • ปลายทาง ภูเก็ต ผ่าน สิงห์บุรี บางบัวทอง เพชรบุรี ชะอำ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี พังงา
    • ปลายทาง ด่านนอก ชายแดนมาเลเซีย ผ่าน หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ทุ่งสง พัทลุง หาดใหญ่

    ทางรถยนต์ส่วนบุคคล[แก้]

    ป้ายต้อนรับสู่เมืองอุตรดิตถ์ บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11

    ระบบขนส่งมวลชนภายในจังหวัดอุตรดิตถ์[แก้]

    • ท่ารถประจำทาง
      • รถประจำทางสายอุตรดิตถ์-ตรอน-พิชัย (ท่ารถอยู่ข้างวัดท่าถนนฝั่งริมน้ำน่าน)
      • รถประจำทางสายอุตรดิตถ์-ฟากท่า-บ้านโคก (ท่ารถหน้าสถานีรถไฟอุตรดิตถ์เก่า)
      • รถประจำทางสายอุตรดิตถ์-ทองแสนขัน-น้ำปาด (ท่ารถอยู่ข้างวัดท่าถนนฝั่งริมน้ำน่าน)
    • คิวรถสองแถว
      • รถสองแถวสายอุตรดิตถ์-ลับแล (คิวรถอยู่หน้าร้านอุตรดิตถ์เมืองทอง และร้านเพชรนพเก้า)
      • รถสองแถวสายอุตรดิตถ์-หาดงิ้ว (คิวรถอยู่ฝั่งตรงข้ามนาซ่าแลนด์)
      • รถสองแถวสายอุตรดิตถ์-ห้วยฉลอง (คิวรถอยู่ตึกแถวข้างตลาดเทศบาล 3)
      • รถสองแถวสายอุตรดิตถ์-น้ำปาด (คิวรถอยู่หน้าสนามแบดมินตันเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์(ตลาดโต้รุ่ง))
      • รถสองแถวสายอุตรดิตถ์-น้ำหมัน-วังดิน (คิวรถอยู่หน้าสนามแบดมินตันเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์(ตลาดโต้รุ่ง))
      • รถสองแถวสายอุตรดิตถ์-ท่าปลา (คิวรถอยู่ข้างวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์)
    • รถแท๊กซี่ มีจุดจอดรับส่งอยู่ที่ สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ และสถานีขนส่งจังหวัดอุตรดิตถ์
    • รถสองแถวรอบเมือง มีจุดจอดรับส่งอยู่ที่สถานีขนส่งจังหวัดอุตรดิตถ์ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ,โลตัสอุตรดิตถ์ ตลาด และเกาะกลาง
    • รถตุ๊กตุ๊กรับจ้าง มีจุดจอดรับส่งที่สถานีขนส่งจังหวัดอุตรดิตถ์
    • รถจักรยานยนต์รับจ้าง มีจุดจอดรับส่งที่ ตรงข้ามตลาดโต้รุ่ง หน้าห้างฟรายเดย์ หน้าวัดท่าถนนฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟอุตรดิตถ์
    • รถสามล้อรับจ้าง

    ทางอากาศ[แก้]

    เดินทางโดยใช้สายการบินนกแอร์ แบบ Fly'n'Ride กรุงเทพ(ดอนเมือง)-อุตรดิตถ์ วันละ 1 เที่ยวบิน จากสนามบินดอนเมืองถึงสนามบินพิษณุโลก และเดินทางโดยรถตู้ถึงจุดรับส่งผู้โดยสารที่จังหวัดอุตรดิตถ์

    การเดินทางสู่ประเทศเพื่อนบ้าน[แก้]

    อุตรดิตถ์เป็นเส้นทางที่สะดวกที่สุดในการเดินทางจากพรมแดนประเทศไทยสู่หลวงพระบาง

    จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพรมแดนติดกับเมืองปากลาย แขวงไชยบุรี ประเทศลาว ทางอำเภอบ้านโคกและน้ำปาด เมือปี 2552 ทางคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกระดับช่องภูดู่ ตำบลม่วงเจ็ดต้น อำเภอบ้านโคก เป็นด่านชายแดนสากล ดังนั้นในปัจจุบัน การเดินทางผ่านแดนเข้าออกสู่ประเทศลาวสามารถทำได้อย่างสะดวก ณ ที่ทำการด่าน ตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศลาว

    การเดินทางสู่ประเทศลาวเริ่มจาก จุดผ่านแดนถาวรภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ถึงเมืองหลวงพระบาง เป็นระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง

    • ด่านภูดู่ -ปากลาย 30 กิโลเมตร
    • ปากลาย-ไชยบุรี 168 กิโลเมตร
    • ไชยบุรี-ท่าเรือเฟอร์รี 30 กิโลเมตร (ข้ามแม่น้ำโขง)
    • ท่าเรือเฟอร์รี-เชียงเงิน 60 กิโลเมตร
    • เชียงเงิน-หลวงพระบาง 27 กิโลเมตร

    ในปัจจุบันทางส่วนใหญ่ได้ปรับปรุงเป็นถนนคอนกรีตที่สามารถเดินทางได้ทุกฤดูกาลจนถึงเชียงเงิน จากนั้นเป็นทางลาดยางจนถึงหลวงพระบาง ในปีพ.ศ. 2555 เส้นทางดังกล่าวได้ถูกพัฒนาเป็นถนนระหว่างประเทศระดับมาตรฐาน (R4 Highway) เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดในการเดินทางจากพรมแดนประเทศไทยสู่หลวงพระบาง

    สถานที่สำคัญ[แก้]

    หลวงพ่อเพ็ชร วัดท่าถนน พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์ (ศิลปะเชียงแสน)
    โบราณสถาน
    พระอารามหลวง
    พระพุทธรูปสำคัญในจังหวัดอุตรดิตถ์
    เขื่อน

    สถานที่ท่องเที่ยว[แก้]

    อำเภอเมืองอุตรดิตถ์
    พระฝาง องค์จำลอง
    • ศาลเจ้าแม่ทับทิม
    • วิหารพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม (บ้านชายเขา) มูลนิธิพุทธภาวนาธรรมสถาน (ฉือ เต็ก เซี่ยง ตึ้ง)
    • ศาลเจ้าไต้ฮงกง
    • อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก พิพิธภัณฑ์ดาบเหล็กน้ำพี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และพิพิธภัณฑ์พระยาพิชัยดาบหัก (ศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์)
    • พิพิธภัณฑ์บ้านกนกมณี
    • หอวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์
    • ศูนย์วัฒนธรรมบ้านชายเขา
    • สวนสาธารณะริมน้ำน่าน
    • สวนซากุระโคจิมา - ทุ่งกะโล่
    • เขื่อนทดน้ำผาจุก
    • จุดชมวิวเขาพลึง
    • ขุนฝาง
    • สถานีรถไฟอุตรดิตถ์เก่า และหอนาฬิกา
    • สถานีรถไฟศิลาอาสน์
    • ถนนคนเดินอุตรดิตถ์
    อำเภอลับแล
    เวียงเจ้าเงาะ
    อำเภอพิชัย
    หลวงพ่อโต วัดหน้าพระธาตุ
    • วัดหน้าพระธาตุ
    • ศาลเจ้าพ่อพระยาพิชัยดาบหัก
    • ศาลเจ้าแม่ทับทิม
    • พิพิธภัณฑ์บ้านเกิดพระยาพิชัยดาบหัก
    • สะพานปรมินทร์
    อำเภอตรอน
    • พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชุมชนหาดสองแคว
    อำเภอน้ำปาด
    อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
    • อนุสาวรีย์เจ้าพ่อพญาปาด
    อำเภอท่าปลา
    อำเภอทองแสนขัน
    อำเภอฟากท่า
    • โคกธาตุ
    • สุสานหอยล้านปี
    อำเภอบ้านโคก

    ดูเพิ่มได้ที่ รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอุตรดิตถ์

    บุคคลที่มีชื่อเสียง[แก้]

    อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก
    เกจิคณาจารย์ชื่อดังของจังหวัดอุตรดิตถ์
    • พระครูธรรมกิจจาภิบาล (กลม สุวณฺโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดดอยท่าเสา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
    • พระนิมมานโกวิท (ทองดำ ฐิตวณฺโณ) พระเกจิอาจารย์แห่งเมืองอุตรดิตถ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
    • หลวงพ่อกล่อม พรหมสโร พระเกจิอาจารย์แห่งเมืองอุตรดิตถ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่ากะพี้ ต้นตำรับพระปิดตาสายภาคเหนือ ที่โด่งดังระดับประเทศ
    • หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต
    • พระครูนิกรธรรมรักษ์ ติสฺสโร (หลวงพ่อไซร์​ วัดช่องลม)
    • พระครูพิชัยธรรมคุณ (หลวงพ่อจรูญ จนฺทสโร) พระสุปฏิปันโนแห่งเมืองพิชัย
    ด้านการเมืองการปกครอง
    ด้านการศึกษา
    ด้านกีฬา
    ด้านสื่อมวลชน/ดารา/นักแสดง/ศิลปิน
    นางงาม/นางแบบ

    ของดีจังหวัดอุตรดิตถ์[แก้]

    อำเภอเมือง[แก้]

    • ขนมเทียนเสวย
    • กล้วยกวน
    • ผลิตภัณฑ์ลูกตาวเชื่อม
    • วุ้นมะพร้าว

    อำเภอลับแล[แก้]

    • ข้าวแคบ
    • ข้าวพันผัก
    • หมี่พัน
    • ลอดช่องเค็ม
    • ขนมแหนบ
    • ข้าวเกรียบว่าว
    • ข้าวหลามทุ่งยั้ง
    • ไส้กรอกทุ่งยั้ง
    • ลาบทุ่งยั้ง
    • ของทอดเมืองลับแล
    • ทุเรียนหลงลับแล ทุเรียนหลินลับแล ทุเรียนหมอนทอง ทุเรียนพื้นเมือง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน
    • มะยงชิดพันธุ์ทูลเกล้า
    • มะปรางหวานพันธุ์สุวรรณบาตร
    • ลางสาด ลางกอง
    • ผ้าซิ่นตีนจกลับแล
    • เสื้อพื้นเมืองลับแล
    • ไม้กวาดตองกง

    อำเภอพิชัย[แก้]

    • ไส้กรอกพิชัย
    • แกงหอยขม
    • ไก่ชนพันธุ์เขียวพาลี

    อำเภอตรอน[แก้]

    • ขนมวง
    • ขนมสาลี่มะพร้าว
    • ขนมดาดกระทะ
    • หัวปลีทอดลาวเวียง
    • อั่วบักเผ็ด

    อำเภอท่าปลา[แก้]

    • ผลิตภัณฑ์เม็ดมะม่วงหิมพานต์
    • ปลาซิวแก้ว
    • ผ้าซิ่นท่าปลา

    อำเภอน้ำปาด[แก้]

    • สับปะรดห้วยมุ่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน
    • กระเทียมน้ำปาด
    • มะขามหวาน ผลิตภัณฑ์จากมะขามหวาน
    • ผ้าซิ่นน้ำปาด

    อำเภอทองแสนขัน[แก้]

    • ผลิตภัณฑ์จากแร่เหล็กน้ำพี้
    • ผ้าทอทองแสนขัน

    อำเภอฟากท่า[แก้]

    • มะขามหวาน
    • ผ้าซิ่นฟากท่า

    อำเภอบ้านโคก[แก้]

    • มะขามหวาน
    • ผ้าทอมัดหมี่
    • ผ้าขาวม้า

    เชิงอรรถ[แก้]

    หมายเหตุ 1: นายแจ้ง เลิศวิลัย เป็นผู้พบกลองมโหระทึกสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังกล่าว โดยได้ขุดพบที่ตำบลท่าเสา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ในปี พ.ศ. 2470 และได้ส่งมอบให้แก่ทางราชการ ปัจจุบันกลองมโหระทึกดังกล่าวตั้งแสดงอยู่ในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร[23]

    อ้างอิง[แก้]

    1. สัญญลักษณ์และเพลงประจำจังหวัด เก็บถาวร 2011-05-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักงานจังหวัดอุตรดิตถ์
    2. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 140 ตอน 318 ง หน้า 15 วันที่ 19 ธันวาคม 2566
    3. ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารและงานปกครอง. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ข้อมูลการปกครอง." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dopa.go.th/padmic/jungwad76/jungwad76.htm เก็บถาวร 2016-03-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน [ม.ป.ป.]. สืบค้น 18 เมษายน 2553.
    4. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/pk/pk_64.pdf 2564. สืบค้น 18 กุมภาพันธ์ 2565.
    5. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศเปลี่ยนนามเมืองพิไชยเปนเมืองอุตรดิฐ เก็บถาวร 2008-04-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม 32, 22 สิงหาคม พ.ศ. 2458, หน้า 178
    6. สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุตรดิตถ์. (2552). ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาจังหวัดอุตรดิตถ์-พระพุทธรูปสำคัญในจังหวัดอุตรดิตถ์. [ออนไลน์]. แหล่งข้อมูล : http://utt.onab.go.th/download/serviceutt/128.doc เก็บถาวร 2011-05-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกข้อมูลเมื่อ 13-6-52
    7. พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. (2545). ศาสนาการเมืองในประวัติศาสตร์สุโขทัย-อยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
    8. ชิน อยู่ดี และสุด แสงวิเชียร. (2517). อดีต. กรุงเทพฯ: ฝ่ายวิชาการนักศึกษา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 170-171
    9. 9.0 9.1 9.2 9.3 วิบูลย์ บูรณารมย์. (2540). ตำนานเมืองอุตรดิษฐ์. พิมพ์ครั้งที่ 2. อุตรดิตถ์: โรงพิมพ์พี.ออฟเซ็ทอาร์ท.
    10. พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. (2530). วัดใหญ่ท่าเสา : รายงานการสำรวจและแนวทางการสงวนรักษาอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และสถาปัตยกรรม. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร. อัดสำเนา.
    11. _______. (ม.ป.ป.). พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ระหว่างจลาจล จุลศักราช ๑๑๒๙-๑๑๓๐ เก็บถาวร 2011-05-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. กรุงเทพฯ : (ม.ป.ท.).
    12. Karl Doehring. (1920). The Country and People of Siam. London : White Lotus Co Ltd. ISBN 978-974-8434-87-2
    13. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศเปลี่ยนนามเมืองพิไชยเปนเมืองอุตรดิฐ เก็บถาวร 2008-04-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๓๒, ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘, หน้า ๒๗๘
    14. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พุทธศักราช ๒๔๗๙ ในเขตเทศบาลเมืองอุตตรดิตถ์ จังหวัดอุตตรดิตถ์ พ.ศ. ๒๔๙๙, เล่ม ๗๓, ตอน ๓๘ ก, ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙, หน้า ๕๘๒
    15. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2465). พระราชหัตถเลขา คราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ ในรัชกาลที่ 5 นับในหนังสือเรื่องเที่ยวที่ต่าง ๆเปนภาคที่ 5. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ไทย.
    16. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศห้ามไม่ให้ราษฎรตกตื่นในการเล่าลือต่าง ๆ (ข่าวลือเกิดศึกสงครามต่าง ๆ และชี้แจงเหตุปราบผู้อ้างตนเป็นผีบุญในมณฑลอิสาณหลอกลวงชาวบ้าน ,การปราบโจรเงี้ยวปล้นเมืองแพร่ ในมณฑลพายัพ), เล่ม ๑๙, ๑๐ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๑, หน้า ๓๘๒
    17. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศถอดเจ้าพิริยเทพวงษ์ออกจากเจ้าผู้ครองนครแพร่, เล่ม ๑๙, ๕ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๑, หน้า ๕๓๖
    18. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศถอดเจ้าพิริยเทพวงษ์ เจ้านครแพร่ออกจากสมาชิกเครื่องราชอิศริยาภรณ์, เล่ม ๑๙, ๑๒ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๑, หน้า ๕๖๖
    19. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศข่าวราชการมณฑลพายัพ (ข่าวการส่งกองทัพยกขึ้นไปปราบโจรเงี้ยวที่ปล้นเมืองแพร่), เล่ม ๑๙ แผ่นที่ ๑๐, ๑๗ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๑, หน้า ๓๘๕
    20. 20.0 20.1 20.2 เทวประภาส มากคล้าย. (2553). วัดคุ้งตะเภาจากอดีตสู่ปัจจุบัน : พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อและภูมิปัญญาท้องถิ่น. กรุงเทพฯ : โรงเพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ISBN 9789743648847
    21. 21.0 21.1 สำนักงานคลังจังหวัดอุตรดิตถ์. (2551). คำขวัญจังหวัดอุตรดิตถ์ เหล็กน้ำพี้ลือเลื่อง เมืองลางสาดหวาน บ้านพระยาพิชัยดาบหัก ถิ่นสักใหญ่ของโลก. [ออน-ไลน์]. แหล่งข้อมูล : http://klang.cgd.go.th/utt/utt2.htm เก็บถาวร 2011-05-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
    22. ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาจังหวัดอุตรดิตถ์. (2552). สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุตรดิตถ์. [ออน-ไลน์]. แหล่งข้อมูล : http://utt.onab.go.th/download/serviceutt/128.doc เก็บถาวร 2011-05-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
    23. "หวน พินพันธุ์, ผศ.. (2529). ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ: กระทรวงมหาดไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-28. สืบค้นเมื่อ 2009-10-08.

    หนังสืออ่านเพิ่มเติม[แก้]

    • จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพกับกระทรวงมหาดไทย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: บริษัทพิฆเณศพริ้นท์ติ้งเซนเตอร์จำกัด, 2545.
    • เดช บุนนาค. การปกครองระบบเทศาภิบาลของประเทศสยาม พ.ศ. 2435–2458. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามลดา, 2548.
    • ธเนศวร์ เจริญเมือง. "การปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นในระยะผ่าน (1)." หนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ, ปีที่ 2 ฉบับที่ 48, 23-29 กันยายน 2545.
    • ธเนศวร์ เจริญเมือง. คนเมือง. เชียงใหม่: ห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงใหม่โรงพิมพ์แสงศิลป์, 2544.
    • บุญวรรณี วิริยะชัยวงศ์. กระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองในแอ่งเชียงใหม่-ลำพูนสมัยราชวงศ์มังราย พ.ศ. 1800-2030. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2539.
    • มณเฑียร ดีแท้. มรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ: วิเทศธุรกิจการพิมพ์, 2523.
    • วิบูลย์ บูรณารมย์. ตำนานเมืองอุตรดิษฐ์. พิมพ์ครั้งที่ 2. อุตรดิตถ์: โรงพิมพ์พี.ออฟเซ็ทอาร์ท, 2540.
    • สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด, 2539.
    • หวน พินธุพันธุ์. ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ: กระทรวงมหาดไทย, 2529.
    • หวน พินธุพันธุ์. อุตรดิตถ์ของเรา. กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์, 2521.
    • อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. "ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นในสังคมเชียงใหม่ (พ.ศ. 1839-2439)." วารสารสังคมศาสตร์, ปีที่ 5 ฉบับที่ 1, เมษายน-กันยายน 2524.

    ดูเพิ่ม[แก้]

    แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]


    พิกัดภูมิศาสตร์: 17°38′N 100°06′E / 17.63°N 100.1°E / 17.63; 100.1