รถด่วนพิเศษนครพิงค์
ขบวนรถด่วนพิเศษนครพิงค์ | |
---|---|
![]() | |
ข้อมูลทั่วไป | |
รูปแบบ | รถด่วนพิเศษ |
ปลายทาง | สถานีรถไฟกรุงเทพ สถานีรถไฟเชียงใหม่ |
เส้นทาง | ทางรถไฟสายเหนือ |
การดำเนินงาน | |
เปิดเมื่อ | 13 เมษายน พ.ศ. 2530 |
ปิดเมื่อ | 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559[1] |
ผู้ดำเนินงาน | การรถไฟแห่งประเทศไทย |
ข้อมูลทางเทคนิค | |
ความเร็ว | 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (56 ไมล์ต่อชั่วโมง) |
รถด่วนพิเศษนครพิงค์ (อังกฤษ: Nakhon Phing Special Express; เลขขบวน: 1/2) เป็นรถด่วนพิเศษในอดีตขบวนหนึ่งของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้บริการระหว่างสถานีรถไฟกรุงเทพ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยรถนั่งและนอนปรับอากาศชั้นหนึ่งและชั้นสอง (บนอ.ป. และ บนท.ป.) รถนั่งปรับอากาศชั้นที่2สำหรับผู้พิการ และรถเสบียงปรับอากาศ (บกข.ป) ปัจจุบันยุติการให้บริการและทดแทนด้วยรถด่วนพิเศษอุตราวิถีขบวนที่ 9/10 เดินรถเที่ยวสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 (ถึงสถานีรถไฟกรุงเทพวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559) รวมระยะเวลาการใช้งานทั้งสิ้น 29 ปี 10 เดือน 30 วัน
ประวัติ[แก้]
รถด่วนพิเศษนครพิงค์ ในอดีตคือรถด่วนนครพิงค์ เป็นรถโดยสารปรับอากาศล้วน เปิดเดินรถครั้งแรกในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2530 และเป็นขบวนรถด่วนที่วิ่งคู่กับรถด่วนขบวนที่ 13/14 ซึ่งเปิดทำการมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2465 โดยใช้รถนั่งและนอนปรับอากาศชั้นที่ 1 รุ่นฮุนได 24 ที่นั่งและนอน ที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ เมือปี พ.ศ. 2539 และรถนั่งและนอนปรับอากาศชั้นที่ 2 รุ่นแดวู 40 ที่นั่งและนอน ที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ เมือปี พ.ศ. 2539 เช่นเดียวกับรถนั่งและนอนปรับอากาศชั้นที่ 1 และมีรถนั่งปรับอากาศชั้นที่ 2 ที่รองรับผู้โดยสารที่เป็นคนพิการ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อผู้พิการ รวมทั้งห้องน้ำกว้างกว่ารถโดยสารปกติ โดยดัดแปลงมาจากรถนั่งปรับอากาศชั้น 3 เดิมจาก JR-west ประเทศญี่ปุ่น และมีตู้สำหรับสุภาพสตรีและเด็กอยู่ที่คันที่ 11 ในเที่ยวไป และคันที่ 3 ในเที่ยวกลับ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 รถด่วนพิเศษนครพิงค์ได้กลายมาเป็นขบวนรถตัวอย่างขบวนหนึ่งของการรถไฟฯ ควบคู่กับรถด่วนพิเศษระหว่างประเทศ รถด่วนพิเศษทักษิณ และรถด่วนพิเศษดีเซลรางขบวนที่ 21/22 กรุงเทพ - อุบลราชธานี - กรุงเทพ
รถด่วนพิเศษนครพิงค์ยกเลิกการเดินรถตั้งแต่คืนวันที่ 11 พฤศจิกายน (สำหรับขบวนที่ 1) และคืนวันที่ 12 พฤศจิกายน (สำหรับขบวนที่ 2) พ.ศ. 2559[1] และทดแทนด้วยการเดินรถด่วนพิเศษอุตราวิถีขบวนที่ 9/10 โดยใช้รถไฟชุด 115 คันจาก ประเทศจีนชุดละ 13 คัน โดยใช้ชุดเวลาเดิมกับด่วนพิเศษนครพิงค์ นับเป็นการปิดฉากขบวนรถด่วนพิเศษยอดนิยมมาทุกยุคทุกสมัยขวัญใจชาวต่างประเทศ ซึ่งรับใช้คนไทยและต่างประเทศมานานเกือบ 30 ปี
สถานีรถไฟที่จอด[แก้]
ขบวน 1 กรุงเทพ - เชียงใหม่[แก้]
- กรุงเทพ
- สามเสน
- ชุมทางบางซื่อ
- บางเขน
- หลักสี่
- ดอนเมือง
- รังสิต
- อยุธยา
- ลพบุรี
- นครสวรรค์
- พิจิตร
- ศิลาอาสน์
- เด่นชัย
- นครลำปาง
- ขุนตาน
- ลำพูน
- เชียงใหม่
ขบวน 2 เชียงใหม่ - กรุงเทพ[แก้]
- เชียงใหม่
- ลำพูน
- ขุนตาน
- นครลำปาง
- เด่นชัย
- ศิลาอาสน์
- พิษณุโลก
- นครสวรรค์
- ลพบุรี
- อยุธยา
- รังสิต
- ดอนเมือง
- หลักสี่
- บางเขน
- ชุมทางบางซื่อ
- สามเสน
- กรุงเทพ
เหตุการณ์สำคัญ[แก้]
- ประมาณปลายปี พ.ศ. 2554 ซึ่งมีเหตุการณ์มหาอุทกภัยนั้น การรถไฟฯ ได้ปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินรถของขบวนนี้ออกไปยังทางรถไฟสายตะวันออก ผ่านทางรถไฟสายพระพุทธฉาย ถึงสถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย จากนั้นจึงย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟชุมทางบ้านภาชี มุ่งหน้าทางรถไฟสายเหนือเป็นลำดับต่อไป
- เนื่องจากเหตุการณ์รถไฟสายเหนือตกรางรายวันในปลายปี พ.ศ. 2556 การรถไฟฯ จึงปิดปรับปรุงเส้นทางช่วงศิลาอาสน์-เชียงใหม่ ทำให้ขบวนนี้งดเดินรถชั่วคราว
ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 Chiang Mai City Update. "ปิดตำนาน "รถด่วนพิเศษนครพิงค์" รฟท. เปิดขบวนใหม่ "อุตราวิถี" แทน". 25 October 2016. Chiang Mai City Update. สืบค้นเมื่อ 3 December 2016.