สถาบันวิทยาลัยชุมชน
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
คติพจน์ | เสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อเพิ่มคุณค่าชีวิตและศักยภาพของบุคคลและชุมชน |
---|---|
ประเภท | สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ |
สังกัดการศึกษา | กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม |
อธิการบดี | นายคมสัน คูสินทรัพย์(รก.ผอ.สถาบัน) |
นายกสภาสถาบัน | ดร.สิริกร มณีรินทร์ |
ที่ตั้ง | อาคารรัชมังคลาภิเษก 2 กระทรวงศึกษาธิการ 319 วังจันทรเกษม ถนนราชดำเนินนอก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 |
สถาบันวิทยาลัยชุมชน [1]เป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ แต่เดิมคือ "สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน" ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลวิทยาลัยชุมชน 20 แห่งทั่วประเทศ WA
ข้อมูลทั่วไป[แก้]
ประวัติ[แก้]
[2]สถาบันวิทยาลัยชุมชน เกิดจากการวางรากฐานของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนได้มีการพัฒนามาบนเส้นทางที่ยาวไกลถึง 9 ปี โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา คือ
(1) สำนักงานโครงการ เพื่อเตรียมการจัดทำข้อเสนอวิทยาลัยชุมชนต่อคณะรัฐมนตรี
(2) สำนักงานส่งเสริมวิทยาลัยชุมชน ดำเนินงานภายใต้สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ และ
(3) สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน ดำเนินงานภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ช่วงเตรียมการ - "สำนักงานโครงการ"
- กลไกเริ่มต้น ตั้งคณะทำงาน 6 คณะเพื่อเตรียมการ
- ประกาศจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน “นำร่อง”
ช่วงเตรียมโครงการ[แก้]
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2544 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดทำ “แนวคิดและหลักการวิทยาลัยชุมชน” ซึ่งเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวในการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้แจ้งเจตนารมณ์ที่จะจัดตั้งและดำเนินการตามนโยบายวิทยาลัยชุมชนแก่ผู้บริหารระดับสูงระดับอธิบดีของกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น นอกจากนี้ได้มีการประชุมชี้แจงสร้างความเข้าใจแก่ผู้ปฏิบัติทุกระดับ และแก่ประชาชนทั้งประเทศ โดยผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ จุลสาร แผ่นพับ เป็นต้น โดยมีความถี่เดือนละ 3-4 ครั้ง พร้อมจัดการประกวดคำขวัญและตราสัญลักษณ์วิทยาลัยชุมชน เชิญชวนผู้สนใจจากทั่วประเทศสมัครส่งประกวด โดยมีกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยเพาะช่าง มาเป็นกรรมการตัดสิน ซึ่งได้คำขวัญว่า “วิทยาลัยชุมชน พัฒนาคน พัฒนาท้องถิ่น” และตราสัญลักษณ์เป็นรูปทรงสถาปัตยกรรมไทยและลวดลายไทยประสานกัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนไทย
ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนนั้น เป็นที่ทราบกันแล้วว่า ประเทศสหรัฐอเมริกามีการพัฒนาวิทยาลัยชุมชนมาช้านาน ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงได้นำคณะผู้ร่วมก่อตั้งและเตรียมการดำเนินงานวิทยาลัยชุมชนไปประชุมร่วมกับประชาคม วิทยาลัยชุมชนสหรัฐอเมริกาที่มหาวิทยาลัยฮาวาย ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม - 4 เมษายน พ.ศ. 2544 โดยได้เรียนรู้ประสบการณ์ ศึกษาดูงานที่มลรัฐฮาวาย แคลิฟอร์เนีย ไอโอว่า และนอร์ธคาโรไลน่า กระทั่งต่อมาเกิดโครงการความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ตามโครงการ East-West Community College การประชุมครั้งนั้นได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา และสถาบันคีนันแห่งเอเชีย
กลไกเริ่มต้น ตั้งคณะทำงาน 6 คณะเพื่อเตรียมการ[แก้]
เพื่อให้การเตรียมการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนเป็นไปอย่างมีระบบและเรียบร้อย กระทรวงศึกษาธิการ ได้สร้างกลไกการดำเนินงานในระยะเตรียมการโดยแต่งตั้งคณะกรรมการและบุคคล ดังนี้
(1) คณะกรรมการอำนวยการ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน มีหน้าที่กำหนดนโยบาย แนวทางการดำเนินงานและสนับสนุน
(2) คณะกรรมการดำเนินงาน มีหน้าที่จัดทำแผนการดำเนินงานและประสานกับอนุกรรมการต่างๆ
(3) คณะอนุกรรมการ 6 ด้าน ได้แก่ ด้านวางระบบบริหารงานวิทยาลัยชุมชน ด้านหลักสูตร ด้านพัฒนาบุคลากร ด้านระบบข้อมูลสารสนเทศ ด้านประสานความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และชุมชน และด้านประชาสัมพันธ์
(4) จัดตั้งสำนักงานโครงการวิทยาลัยชุมชนเป็นหน่วยงานภายในเทียบเท่ากองในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางประสาน ส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินงาน
(5) จัดหาบุคลากร แต่งตั้งนางสาวสุนันทา แสงทอง ตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 8ว สำนักงานนโยบายและแผนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้อำนวยการสำนักงานโครงการวิทยาลัยชุมชน
(6) แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาสำนักงานในโครงการ ให้คำปรึกษา แนะนำและร่วมทำงาน ได้แก่ นายชุมพล พรประภา รองศาสตราจารย์ฉลอง ภิรมย์รัตน์ นายอุดม มุ่งเกษม และนางพัชรี สว่างทรัพย์
ลงหลักปักฐาน คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน
จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำโครงการเสนอคณะรัฐมนตรี โดยมีสาระสำคัญดังนี้
(1) เหตุผลความจำเป็น เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาแก่ผู้พลาดโอกาสทางการศึกษา
(2) วัตถุประสงค์ เพื่อจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาประจำท้องถิ่น จัดการศึกษาและฝึกอบรมในหลักสูตรที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนเป็นสำคัญ
(3) พันธกิจ จัดการศึกษาหลักสูตร 2 ปีแรกของระดับอุดมศึกษา จัดการศึกษาด้านวิชาชีพ หลักสูตร ประกาศนียบัตร และจัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิต
(4) ข้อเสนอเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอทั้ง 4 ข้อ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณา ดังนี้
(1) วิทยาลัยชุมชนที่จะจัดตั้งขึ้นควรเป็นรูปแบบและการดำเนินการที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแบบไทย ไม่ควรยึดหลักการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนของต่างประเทศมาเป็นต้นแบบโดยตรง
(2) การจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยชุมชนแต่ละแห่งต้องสนองต่อความต้องการและการประกอบอาชีพของชุมชนในท้องถิ่น
(3) การจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนของท้องถิ่นใด ควรให้ชุมชนและท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล เข้ามามีส่วนร่วมลงทุน หรือมีส่วนริเริ่มของการจัดตั้งเพื่อให้ท้องถิ่นได้ตระหนักถึงภาระความรับผิดชอบในส่วนของตนตั้งแต่เริ่มต้น รวมทั้งสามารถพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
การจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนในประเทศไทย[แก้]
การจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนในประเทศไทย เกิดจากความจำเป็นในการผลิตกำลังคนเพื่อสนองความต้องการพัฒนาประเทศและมีแนวความคิดที่จะใช้การจัดการศึกษาตามหลักการวิทยาลัยชุมชนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 3 กำหนดนโยบายการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้ส่งเสริมการศึกษาและทดลองการจัดการศึกษาแบบวิทยาลัยชุมชนเพื่อสนองความต้องการกำลังคนระดับกลางในแขนงวิชาที่ประเทศมีความต้องการมาก ตลอดจนปัญหาในระดับอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาเป็นไปเพื่อคนส่วนน้อยไม่เกิดความเป็นธรรมในสังคม ปัญหาดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อความเจริญของประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบให้เตรียมการปฏิรูปการศึกษา
ใน พ.ศ. 2520 จัดตั้งวิทยาลัยชุมชนภูเก็ตขึ้นเป็นแห่งแรก[3] โดยให้เป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 ได้จัดตั้งขึ้นอีกแห่งที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี พ.ศ. 2527 ได้จัดตั้งวิทยาลัยชุมชนในสังกัดวิทยาลัยครู ขึ้น 4 แห่ง คือ วิทยาลัยชุมชนพิบูลสงคราม วิทยาลัยชุมชนอุบลราชธานี วิทยาลัยชุมชนนครราชสีมา และวิทยาลัยชุมชนนครศรีธรรมราช (แต่ในระหว่างที่เตรียมการดำเนินงานวิทยาลัยชุมชนนั้น มีการแก้ไขพระราชบัญญัติวิทยาลัยครูให้เปิดสอนถึงระดับปริญญาตรี ดังนั้น จึงไม่มีการดำเนินการวิทยาลัยชุมชนต่อ)
ประกาศจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน “นำร่อง”[แก้]
คณะกรรมการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนทุกจังหวัด ได้เลือกสถานศึกษา 10 แห่ง มาเป็นวิทยาลัยชุมชน โดยได้สถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา 3 แห่ง และสังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน 7 แห่ง จากนั้น ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2545 กระทรวงศึกษาธิการประกาศจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนโดยให้สถานศึกษาทำหน้าที่วิทยาลัยชุมชน และทำภารกิจเดิมควบคู่ไปด้วย มีสถานศึกษาที่ได้รับคัดเลือกเป็นวิทยาลัยชุมชน ดังนี้
1) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็น วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน
2) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดตาก เป็น วิทยาลัยชุมชนตาก
3) วิทยาลัยการอาชีพโพทะเล จังหวัดพิจิตร เป็น วิทยาลัยชุมชนพิจิตร
4) วิทยาลัยการอาชีพบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี เป็น วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี
5) ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว เป็น วิทยาลัยชุมชนสระแก้ว
6) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นวิทยาลัยชุมชนบุรีรัมย์
7) วิทยาลัยเทคนิคหนองบัวลำภู เป็น วิทยาลัยชุมชนหนองบัวลำภู
8) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดมุกดาหาร เป็น วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร
9) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดระนอง เป็น วิทยาลัยชุมชนระนอง
10) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดนราธิวาส เป็น วิทยาลัยชุมชนนราธิวาส
จากนั้นเป็นต้นมา วิทยาลัยชุมชนตามประกาศดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการตามภารกิจ และแนวทางการดำเนินงานที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้ โดยมีวิทยาลัยชุมชนเป็นสถาบันหลัก และใช้สถานศึกษา และหน่วยงานราชการเป็นที่จัดการเรียนการสอนที่กระจายไปถึงระดับอำเภอ
ยุคสำนักงานส่งเสริมวิทยาลัยชุมชน - สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ[แก้]
ระบบบริหารจัดการวิทยาลัยชุมชน[แก้]
กล่าวได้ว่าปี พ.ศ. 2545 - พ.ศ. 2546 เป็นระยะเริ่มก่อตั้งวิทยาลัยชุมชน โดยที่กระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางเพื่อหลอมรวมสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดที่มีภารกิจใกล้เคียงกัน ได้แก่สถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา กรมการศึกษานอกโรงเรียน กรมพลศึกษา และกรมอื่นๆ ให้มาเป็นวิทยาลัยชุมชน เพื่อความเป็นเอกภาพทางการศึกษา โดยให้ทำงานประสานเป็นเครือข่ายและจัดการศึกษาเพิ่มเติมเต็มในส่วนที่ขาด และปรับระบบบริหารจัดการใหม่ตามหลักการวิทยาลัยชุมชน เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จึงได้ดำเนินการดังนี้
1) ให้จังหวัดเลือกคณะกรรมการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนจังหวัด ที่มีองค์ประกอบของบุคคล จากภาครัฐ เอกชน และชุมชน โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ทำหน้าที่จัดตั้งและสนับสนุนวิทยาลัยชุมชนเสนอกระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้ง
2) ให้คณะกรรมการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนเลือกสถานศึกษาที่มีศักยภาพและมีภารกิจเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัยชุมชนอยู่แล้ว ให้เป็นสถานศึกษาหลักที่จะเป็นวิทยาลัยชุมชน เสนอกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศจัดตั้ง
3) ให้กรรมการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนเสนอกระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินงานวิทยาลัยชุมชนจังหวัดที่มีองค์ประกอบจากสถานศึกษาที่เป็นวิทยาลัยชุมชน สถาบันอุดมศึกษา องค์กรภาครัฐ เอกชน ชุมชน ทำหน้าที่วางระบบบริหารจัดการวางแผนและประสานการดำเนินงานให้เกิดการเรียนการสอนในระยะแรก
4) ให้สถานศึกษาหลักที่เป็นวิทยาลัยชุมชนทำหน้าที่จัดการเรียนการสอน โดยมีภารกิจ 2 ส่วน คือ ภารกิจเดิมของสถานศึกษาและเพิ่มภารกิจของวิทยาลัยชุมชน
5) ให้มีสำนักประสานงานวิทยาลัยชุมชนจังหวัดทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะทำงานดำเนินงาน และประสานกับสถานศึกษาที่เป็นวิทยาลัยชุมชนเครือข่ายหรือแหล่งสนับสนุน
ใน พ.ศ. 2545-2546 เป็นระยะเริ่มก่อตั้งวิทยาลัยชุมชน กระทรวงศึกษาธิการได้ออกแบบระบบริหารจัดการ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค มีรายละเอียดดังนี้
1. ส่วนกลาง [แก้]
มีคณะกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนระดับชาติ ประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน เป็นกรรมการ มีหน้าที่กำหนดนโยบาย แผนพัฒนา กำหนดมาตรฐาน กำกับติดตามและประเมินผล สนับสนุนทรัพยากร ส่งเสริมการประสานความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีคณะกรรมการจำนวนไม่เกิน35 คน โดยมีสำนักงานส่งเสริมวิทยาลัยชุมชน (ปรับชื่อจากสำนักงานโครงการวิทยาลัยชุมชน) เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ และเป็นหน่วยงานกลางดำเนินการและประสานการดำเนินงานกับทุกระดับ
- ดร.สิริกร มณีรินทร์ เป็นประธานคณะกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนระดับชาติ
- นางสาวสุนันทา แสงทอง เป็นผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิทยาลัยชุมชน
2. ส่วนภูมิภาค[แก้]
มีคณะกรรมการวิทยาลัยชุมชนจังหวัด ประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน ชุมชน และองค์กรเครือข่ายร่วมจัดการศึกษา เป็นกรรมการ มีหน้าที่จัดทำนโยบายและแผนพัฒนาระดับจังหวัด เสนอและอนุมัติให้อนุปริญญา ประกาศนียบัตร และวุฒิบัตร กำกับดูแล พิจารณาจัดตั้ง ยุบรวม หรือเลิกการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ประสาน ส่งเสริม การจัดและการระดมทรัพยากร มีคณะกรรมการจำนวนไม่เกิน 19 คน โดยมีสำนักงานวิทยาลัยชุมชนเป็นสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการ มีวิทยาลัยชุมชนเป็นสถานศึกษา ทำหน้าที่จัดการศึกษาตามภารกิจวิทยาลัยชุมชนร่วมกับวิทยาลัยชุมชนเครือข่าย โดยมีสำนักงานวิทยาลัยชุมชนเป็นหน่วยอำนวยการส่งเสริมสนับสนุน
ยุคสำนักงานบริหารงานวิทยาลัยชุมชน - สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา[แก้]
สถานะการดำเนินงานวิทยาลัยชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวันที่ 7 กรกฎาคม 2546 เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ซึ่งบัญญัติให้มีกระทรวงศึกษาธิการ โดยการจัดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และพระราชบัญญัติที่ออกตามนัยของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติดังกล่าวนั้น ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้าง องค์กร การแบ่งส่วนงาน การจัดระบบครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา และการจัดระบบทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา ทั้งนี้ ในส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลได้ทยอยเสนอไปยังรัฐสภาเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติ
สำหรับการจัดโครงสร้าง องค์กร การแบ่งส่วนงานนั้น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546ได้บัญญัติให้กระทรวงศึกษาธิการจัดระบบบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐใหม่ ในการนี้ ให้ปรับสำนักงานส่งเสริมวิทยาลัยชุมชนเข้าสู่โครงสร้างใหม่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ต่อมาในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2546 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ “กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญารูปแบบวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2546” ขึ้น เป็นกฎหมายรองรับการดำเนินงานวิทยาลัยชุมชน โดยสาระสำคัญหลัก คือ
(1) ให้วิทยาลัยชุมชนเป็นสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาซึ่งบริหารจัดการโดยชุมชน
(2) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาและฝึกอบรมด้านวิชาการและวิชาชีพตามหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและส่งเสริมให้มีการพัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในชุมชน
(3) ให้วิทยาลัยชุมชนเป็นส่วนราชการในสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
(4) การบริหารงาน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
- หน่วยนโยบาย ประกอบด้วย คณะกรรมการวิทยาลัยชุมชน และสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน
- หน่วยปฏิบัติการ ประกอบด้วยสภาวิทยาลัยชุมชน และวิทยาลัยชุมชน
บทบาทหน้าที่สำนักงานบริหารงานวิทยาลัยชุมชน[แก้]
สถาบันวิทยาลัยชุมชน เป็นไปพร้อมๆ กับการประกาศพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ได้มีกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กำหนดให้สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชนมีบทบาทหน้าที่ ดังนี้
- จัดทำข้อเสนอนโยบาย และจัดทำแผนหลักของระบบวิทยาลัยชุมชน เสนอแนะการจัดตั้งและจัดสรรงบประมาณให้วิทยาลัยชุมชน
- จัดทำระบบข้อมูล สารสนเทศ กำกับ ตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลและรายงานผลการดำเนินงานวิทยาลัยชุมชน
- พัฒนาและส่งเสริมการจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนและระบบเครือข่ายความร่วมมือการจัดการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- จัดทำมาตรฐานการจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน
- ดำเนินการเกี่ยวกับงานเลขานุการของคณะกรรมการวิทยาลัยชุมชน
- ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้ มีนางสาวสุนันทา แสงทอง เป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน
ยุคสถาบันวิทยาลัยชุมชน[แก้]
สำนักงานบริหารงานวิทยาลัยชุมชน ได้ยกฐานะเป็น สถาบันวิทยาลัยชุมชน ตามพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2558 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2558 โดยมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป มีฐานะนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (แต่ไม่เทียบเท่าสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ) มีวัตถุประสงค์ตามมาตรา 8 "เพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา ให้สถาบัน เป็นสถานศึกษาซึ่งจัดการศึกษาโดยวิทยาลัยชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษา วิจัย ให้บริการ ทางวิชาการ ทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ของท้องถิ่นและชุมชน การพัฒนาที่ยั่งยืน เสริมสร้างศักยภาพบุคคล ตอบสนองและสอดคล้องต่อความต้องการ และการประกอบอาชีพของท้องถิ่นและชุมชนซึ่งนำไปสู่การพัฒนาประเทศ"
ภายหลังพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ได้จัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ขึ้น โดยเป็นการรวมหน่วยงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเข้าด้วยกัน ส่งผลให้สถาบันวิทยาลัยชุมชุนเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมด้วย
ตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันฯ และวิทยาลัยในสังกัด[แก้]

- จุดกึ่งกลาง หมายถึง ศูนย์รวมความร่วมมือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของชุมชน
- ช่องว่าง หมายถึง การศึกษา ความรู้ การเติบโต โอกาสทางการศึกษา
- รูปทรงทาง หมายถึง การบูรณาการ วิถีปัญญา และวิถีไทย สถาปัตยกรรมไทย
- เส้นโค้ง หมายถึง การศึกษาตลอดชีวิต การสร้างบุคลากร รองรับด้านล่างที่มีคุณภาพให้แก่ชุมชนและประเทศชาติ[4]
- เพลงมาร์ชสถาบันวิทยาลัยชุมชน ***ปณิธานสรรค์สร้างเพื่อปวงชน พัฒนาตน สร้างคนสร้างโอกาสทางศึกษา มีคุณธรรมนำความรู้คือปรัชญา สร้างคุณค่าภูมิปัญญาสังคมไทย ***เรือนทองสัญลักษณ์งามเด่น ร่มเย็นธงไตรรงค์โบกไสว ตำราเรียนเพียรวิชาการก้าวไกล ศูนย์ร่วมใจเราน้อง-พี่ คือศรัทธา ***ศาสตร์-ศิลป์ ส่องแสงงามพิลาศ สร้างปราชญ์ท้องถิ่นทรงคุณค่า พัฒนาสังคมอุดมปัญญา สมดั่งนามล้ำค่า “สถาบันวิทยาลัยชุมชน”
ส่วนงานราชการ[แก้]
สถาบันวิทยาลัยชุมชน มีส่วนงานราชการตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2558 ดังนี้
- สำนักงานสถาบัน
- วิทยาลัยในสังกัด
สำนักงานสถาบัน[แก้]
สำนักงานสถาบันวิทยาลัยชุมชน มีหน่วยงานภายใน ดังนี้
หน่วยงานภายในสถาบันวิทยาลัยชุมชน | |
---|---|
เว็บไซต์หน่วยงาน | ชื่อหน่วยงาน |
[1] | กองอำนวยการ |
[2] | กองบริหารทรัพยากรบุคคล |
[3] | กองการคลังและบริหารทรัพย์สิน |
[4] | กองแผนงานและงบประมาณ |
[5] | กองมาตราฐานการศึกษาและวิจัย |
[6] | กองส่งเสริมกิจการวิทยาลัยชุมชุน |
[7] | หน่วยตรวจสอบภายใน |
วิทยาลัยในสังกัด[แก้]
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และกระทรวงศึกษาธิการมีประกาศจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2545 จำนวน 10 จังหวัด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน พิจิตร ตาก บุรีรัมย์ มุกดาหาร หนองบัวลำภู สระแก้ว อุทัยธานี ระนอง และนราธิวาส และในปี พ.ศ. 2547 ได้ดำเนินการขยายจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนเพิ่มเติมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา และปัตตานี และวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ได้มีการดำเนินการขยายการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนเพิ่มเติมอีก 5 แห่ง คือ จังหวัดยโสธร สมุทรสาคร ตราด สตูล และพังงา
ต่อมาได้มีการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนเพิ่มเติมขึ้นอีก 3 แห่ง คือ ในปีพ.ศ. 2549 จัดตั้งวิทยาลัยชุมชนแพร่ พ.ศ. 2550 จัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสงขลา เพื่อรับผิดชอบการศึกษาในพื้นที่พิเศษ 4 อำเภอและเมื่อ พ.ศ. 2554 มีการจัดตั้งวิทยาชัยชุมชนน่าน เป็นวิทยาลัยล่าสุด
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-04-28. สืบค้นเมื่อ 2017-05-14.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-24. สืบค้นเมื่อ 2017-05-14.
- ↑ กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญารูปแบบวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2546
- ↑ ข้อบังคับสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน ว่าด้วยเข็มวิทยฐานะ ตรา เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ และเครื่องแบบ เครื่องหมาย เครื่องแต่งกาย เครื่องแบบผู้สำเร็จการศึกษาสำหรับนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2549
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน เก็บถาวร 2018-02-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน