ข้ามไปเนื้อหา

จังหวัดร้อยเอ็ด

พิกัด: 16°03′N 103°39′E / 16.05°N 103.65°E / 16.05; 103.65
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก จ.ร้อยเอ็ด)
จังหวัดร้อยเอ็ด
การถอดเสียงอักษรโรมัน
 • อักษรโรมันChangwat Roi Et
จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง:
  • วัดบูรพาภิราม
  • เจดีย์หินทราย วัดป่ากุง
  • บึงพลาญชัย
  • พระเจดีย์มหาชัยมงคล
  • กู่กาสิงห์
คำขวัญ: 
สิบเอ็ดประตูเมืองงาม เรืองนามพระสูงใหญ่
ผ้าไหมสาเกต บุญผะเหวดประเพณี
มหาเจดีย์ชัยมงคล งามน่ายลบึงพลาญชัย
เขตกว้างไกลทุ่งกุลา โลกลือชาข้าวหอมมะลิ[1]
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดร้อยเอ็ดเน้นสีแดงประเทศมาเลเซียประเทศพม่าประเทศลาวประเทศเวียดนามประเทศกัมพูชาจังหวัดนราธิวาสจังหวัดยะลาจังหวัดปัตตานีจังหวัดสงขลาจังหวัดสตูลจังหวัดตรังจังหวัดพัทลุงจังหวัดกระบี่จังหวัดภูเก็ตจังหวัดพังงาจังหวัดนครศรีธรรมราชจังหวัดสุราษฎร์ธานีจังหวัดระนองจังหวัดชุมพรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จังหวัดเพชรบุรีจังหวัดราชบุรีจังหวัดสมุทรสงครามจังหวัดสมุทรสาครกรุงเทพมหานครจังหวัดสมุทรปราการจังหวัดฉะเชิงเทราจังหวัดชลบุรีจังหวัดระยองจังหวัดจันทบุรีจังหวัดตราดจังหวัดสระแก้วจังหวัดปราจีนบุรีจังหวัดนครนายกจังหวัดปทุมธานีจังหวัดนนทบุรีจังหวัดนครปฐมจังหวัดกาญจนบุรีจังหวัดสุพรรณบุรีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจังหวัดอ่างทองจังหวัดสิงห์บุรีจังหวัดสระบุรีจังหวัดลพบุรีจังหวัดนครราชสีมาจังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดสุรินทร์จังหวัดศรีสะเกษจังหวัดอุบลราชธานีจังหวัดอุทัยธานีจังหวัดชัยนาทจังหวัดอำนาจเจริญจังหวัดยโสธรจังหวัดร้อยเอ็ดจังหวัดมหาสารคามจังหวัดขอนแก่นจังหวัดชัยภูมิจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดนครสวรรค์จังหวัดพิจิตรจังหวัดกำแพงเพชรจังหวัดตากจังหวัดมุกดาหารจังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดเลยจังหวัดหนองบัวลำภูจังหวัดหนองคายจังหวัดอุดรธานีจังหวัดบึงกาฬจังหวัดสกลนครจังหวัดนครพนมจังหวัดพิษณุโลกจังหวัดอุตรดิตถ์จังหวัดสุโขทัยจังหวัดน่านจังหวัดพะเยาจังหวัดแพร่จังหวัดเชียงรายจังหวัดลำปางจังหวัดลำพูนจังหวัดเชียงใหม่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดร้อยเอ็ดเน้นสีแดง
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดร้อยเอ็ดเน้นสีแดง
ประเทศ ไทย
การปกครอง
 • ผู้ว่าราชการ ว่าง
(ตั้งแต่ พ.ศ. 2567)
พื้นที่[2]
 • ทั้งหมด8,299.449 ตร.กม. (3,204.435 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่อันดับที่ 23
ประชากร
 (พ.ศ. 2566)[3]
 • ทั้งหมด1,284,836 คน
 • อันดับอันดับที่ 15
 • ความหนาแน่น154.80 คน/ตร.กม. (400.9 คน/ตร.ไมล์)
 • อันดับความหนาแน่นอันดับที่ 25
รหัส ISO 3166TH-45
ชื่อไทยอื่น ๆสาเกตนคร
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
 • ต้นไม้กระบก
 • ดอกไม้อินทนิลบก
 • สัตว์น้ำปลาหลดจุด
ศาลากลางจังหวัด
 • ที่ตั้งถนนเทวาภิบาล ตำบลในเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด 45000
 • โทรศัพท์0 4351 9165
 • โทรสาร0 4351 1353
เว็บไซต์http://www.roiet.go.th/
สารานุกรมประเทศไทย ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย

ร้อยเอ็ด (เดิมสะกดว่า ร้อยเอ็จ)[4] เป็นจังหวัดบริเวณลุ่มแม่น้ำชีในภาคอีสานตอนกลางของประเทศไทย

ประวัติ เคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยปรากฏชื่อในตำนานอุรังคธาตุว่า สาเกตนคร หรือ เมืองร้อยเอ็ดประตู อันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรื่องโดยที่มีเมืองขึ้นจำนวนมาก การตั้งชื่อเมืองว่า "ร้อยเอ็ดประตู" นั้น น่าจะเป็นการตั้งชื่อเชิงอุปมาอุปไมยให้เป็นศิริมงคลและแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองมากกว่าการที่เมืองจะมีประตูเมืองอยู่จริงถึงร้อยเอ็ดประตู ซึ่งการตั้งชื่อเพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองผ่านการมีประตูเมืองจำนวนมากนั้น น่าจะได้รับอิทธิพลหรือแบบอย่างมาจากเมืองหรืออาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในสมัยโบราณอย่างทวารวดีซึ่งมีความหมายว่าเมืองที่มีประตูล้อมรอบเป็นกำแพง หรืออย่างเมืองหงสาวดีที่มีประตูเมืองรายล้อมกำแพงเมืองอยู่ยี่สิบประตู ซึ่งแต่ละประตูนั้นจะตั้งชื่อตามเมืองขึ้นของตน เช่น เชียงใหม่ อโยธยา จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น นอกจากนั้นการตั้งชื่อเมืองให้ดูยิ่งใหญ่เกินจริงเพื่อความเป็นสิริมงคลก็ถือเป็นธรรมดาของการตั้งชื่อเมืองหรืออาณาจักรในสมัยโบราณ

ส่วนข้อสันนิษฐานที่ว่าเมืองร้อยเอ็ดน่าจะมีเพียงสิบเอ็ดหัวเมือง อันเนื่องมาจากการเขียนจำนวนตามแบบภาษาลาวโบราณ โดยเลขสิบเอ็ดจะประกอบไปด้วยเลขสิบกับเลขหนึ่ง (10+1 =101) ทำให้เกิดการอ่านที่ผิดเพี้ยนเป็นคำว่าร้อยเอ็ดนั้น น่าจะเป็นสมมุติฐานที่คลาดเคลื่อน เพราะจากการตรวจสอบข้อความตัวอักษรธรรมในต้นฉบับใบลานเรื่องอุรังคธาตุไม่ปรากฏว่ามีจุดไหนที่เขียนชื่อเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวเลข แต่กลับมีการเขียนถึงเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวอักษรทุกจุด (มีทั้งหมด 59 จุด) และไม่มีข้อความตอนใดที่บรรยายแจกแจงรายชื่อหัวเมืองทั้ง 11 แห่ง (อ่านเพิ่มเติมที่ ร้อยเอ็ด คือ ร้อยเอ็ด มิใช่สิบเอ็ด หรือ 10 + 1 โดย สุวัฒน์ ลีขจร)[5]

ประกอบกับตามธรรมดาของการตั้งชื่อต่างๆไม่ว่าจะคนหรือเมืองนั้น จะต้องมีการออกเสียงก่อนถึงจะมีการเขียนเป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ซึ่งหากชื่อเมืองแต่เดิมชื่อว่าเมืองสิบเอ็ดประตูแล้ว จึงมีการจารึกชื่อเป็นตัวเลขอย่าง 101 นั้น คำว่าสิบเอ็ดก็ไม่น่าจะออกเสียงเพี้ยนจนมาเป็นคำว่าร้อยเอ็ดอย่างในปัจจุบันได้ ดังนั้นชื่อเมืองร้อยเอ็ดหรือเมืองร้อยเอ็ดประตูจึงน่าจะเป็นชื่อเมืองที่มีมาอยู่แต่แรกเริ่มดังปรากฏในหลักฐานสำคัญ คือ ตำนานอุรังคธาตุฉบับกรมศิลป์ฯ

สรุปความหมาย ก็คือ มีคำ 2 คำที่ต้องทำความเข้าใจ คำแรก คือคำว่า ร้อยเอ็ด แปลว่าจำนวนที่มากมายจนนับไม่ถ้วน และ อีกคำหนึ่ง ก็คือ คำว่า เมืองร้อยเอ็ดประตู ซึ่งมีนักวิชาการ ได้ตีความว่าน่าจะหมายถึง ทวารวดี เพราะ ทวาร แปลว่า ช่อง, รู, ประตู วติ หรือ วดี แปลว่า เขต หรือ รั้ว ทวารดี จึงแปลว่า เมืองที่มีประตูเป็นรั้ว ซึ่งเปรียบเทียบแล้วน่าจะมีความหมายที่ใกล้เคียงกับคำว่าเมืองร้อยเอ็ดประตูที่สุด

ประวัติศาสตร์

[แก้]

สมัยก่อนประวัติศาสตร์

[แก้]

พบหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั่วไปในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด มีการขุดพบแหล่งโบราณคดีบ้านเมืองบัวซึ่งสันนิษฐานว่า ชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบมีอายุประมาณ 1,800-2,500 ปีมาแล้ว และมักมีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มน้ำกับใกล้แหล่งเกลือสินเธาว์[ต้องการอ้างอิง][6][7] อิทธิพลของพุทธศาสนาภายใต้วัฒนธรรมทวารวดีได้เข้ามาเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 12-15 มีหลักฐานสมัยทวารวดีที่สำคัญ เช่น คูเมืองร้อยเอ็ด เจดีย์เมืองหงส์ในเขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน กลุ่มใบเสมาบริเวณหนองศิลาเลขในเขตอำเภอพนมไพร และพระพิมพ์ดินเผาปางนาคปรกที่เมืองไพรในเขตอำเภอเสลภูมิ

วัฒนธรรมจากอาณาจักรขอมได้แพร่เข้ามาในพุทธศตวรรษที่ 16 ปรากฏหลักฐานอยู่มาก เช่น สถาปัตยกรรมในรูปแบบของปราสาทหิน เช่น กู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ และประติมากรรมที่เป็นรูปเคารพทางศาสนาที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำจากหินทรายและโลหะเป็นจำนวนมาก

สมัยทวารวดี

[แก้]

การตั้งถิ่นฐานของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องถึงสมัยทวารวดี เมืองที่สร้างขึ้นมีรูปร่างและที่ตั้งไม่แน่นอน แต่มีลักษณะที่สำคัญคือ มีคูน้ำและคันดิน ล้อมรอบชุมชน ร่องรอยที่ยังเห็นอยู่ของคูเมืองและคันดินได้แก่บริเวณด้านตะวันออกของวัดบูรพาภิราม ด้านใต้ของเมืองบริเวณโรงเรียนสตรีศึกษา นอกจากนี้ยังพบอยู่ในอำเภอต่าง ๆ ของร้อยเอ็ด ได้แก่ บ้านเมืองไพร (เขตอำเภอเสลภูมิ) บ้านเมืองหงส์ (เขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน) บ้านสีแก้ว (เขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด) หนองศิลาเลข บ้านชะโด (เขตอำเภอพนมไพร) และบ้านดงสิงห์ (เขตอำเภอจังหาร)[ต้องการอ้างอิง]

สมัยลพบุรี

[แก้]

พบโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยลพบุรีหรือละโว้ที่เป็นที่รู้จักดี ได้แก่ ปราสาทหินกู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่โพนระฆัง กู่โพนวิท กู่บ้านเมืองบัวในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่คันทนามในเขตอำเภอโพนทราย สำหรับโบราณวัตถุ ได้แก่ รูปเคารพและเครื่องมือเครื่องใช้ในศาสนา เช่นพระพุทธรูป เทวรูป ศิวลึงค์ ภาชนะดินเผา คันฉ่องสำริด กำไลสำริด เป็นต้น

สมัยอาณาจักรล้านช้าง

[แก้]
แผนที่อาณาเขต เมืองท่งศรีภูมิ ระหว่างปี พ.ศ. 2256 - 2315 และเมืองสุวรรณภูมิ ระหว่างปี พ.ศ. 2315 - 2318

ได้ปรากฏชื่อเมืองร้อยเอ็ดในเอกสารของลาวว่า พระเจ้าฟ้างุ้มเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นบุตรเขยเมืองขอม ได้นำไพร่พลมารวมกำลังกันอยู่ที่เมืองร้อยเอ็ด ก่อนยกกำลังไปยึดเมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ได้สำเร็จแล้วจึงได้สถาปนาอาณาจักรล้านช้าง

หลักฐานเกี่ยวกับเมืองร้อยเอ็ดขาดหายไปประมาณ 400 ปี จนถึงประมาณปี พ.ศ. 2231 เมืองเวียงจันทน์เกิดความไม่สงบ พระครูโพนสะเม็ดพร้อมผู้คนประมาณ 3,000 คนได้เชิญเจ้าหน่อกษัตริย์อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง แล้วมาตั้งมั่นอยู่ที่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์ ผู้ปกครองเมืองจำปาศักดิ์มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระครูโพนสะเม็ด จึงได้นิมนต์ให้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและปกครองเมืองจำปาศักดิ์ ต่อมาเจ้าหน่อกษัตริย์ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์พระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้ขยายอิทธิพลไปในดินแดนต่าง ๆ เหนือสองฝั่งแม่น้ำโขง ได้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นหลายแห่งและส่งบริวารไปปกครอง เช่น เมืองเชียงแตง เมืองสีทันดร เมืองรัตนบุรี เมืองคำทอง เมืองสาละวัน และเมืองอัตตะปือ เป็นต้น

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2256 เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้มอบหมายให้เจ้าจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคล เจ้านายผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์ลาวล้านช้าง[8][9] ควบคุมไพร่พลประมาณ 3,000 คน มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ในดินแดนภาคอีสานตอนกลาง เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก เรียกว่า เมืองท่งศรีภูมิ ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเสียว โดยมีแม่น้ำชีเป็นเขตแดนด้านตะวันออก (เขตนครหลวงจำปาสัก) และแม่น้ำมูลเป็นเขตแดนด้านทิศใต้ กั้นระหว่างเขตเมืองนครราชสีมา (เมืองในเขตอาณาจักรอยุธยา) (ปัจจุบันพื้นที่แม่น้ำชีตกแม่น้ำมูลซึ่งเป็นปลายอาณาเขตของเมืองท่งที่อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศใต้สุด ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่าง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ อำเภอวารินชำราบ และอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี) ด้านทิศเหนือชนแดนเขตอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ บริเวณเมืองผาขาว (บ้านผ้าขาว ตำบลม่วงไข่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร) เมืองพันนา (บ้านพันนา ตำบลพันนา อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร) สนามหมากหญ้า (เขตรอยต่อ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) ภูเม็ง (เขตอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น) ฝายพญานาค (รอยต่ออำเภอหนองเรือ และอำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) หรือกล่าวโดยสรุปคือ เมืองท่งศรีภูมิเคยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากโดยครอบคลุมพื้นที่กลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธ์ุ แทบจะทั้งหมด และบางส่วนของจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ยโสธร อุบลราชธานี ชัยภูมิ อุดรธานี โดยมีพื้นที่ทั้งหมดโดยประมาณ 31,000 ตารางกิโลเมตร[10] อนึ่งเจ้าแก้วมงคลยังเป็นปฐมบรรพบุรุษของเจ้าเมืองทั่วภาคอีสานที่ส่งลูกหลานไปปกครองหัวเมืองอีสานกว่า 20 หัวเมือง ภาคเหนือ 1 หัวเมือง และสปป.ลาว 1 หัวเมือง ได้แก่ เมืองสุวรรณภูมิราชบุรียประเทศราช (เมืองสุวรรณภูมิ) เมืองร้อยเอ็ด เมืองชลบทวิบูลย์ เมืองขอนแก่น เมืองเพี้ย เมืองรัตนนคร เมืองมหาสารคาม เมืองศีร์ษะเกษ เมืองโกสุมพิสัย เมืองกันทรวิชัย (เมืองโคกพระ) เมืองวาปีปทุม เมืองหนองหาน (เมืองหนองหานน้อย) เมืองโพนพิสัย เมืองพุทไธสง (เมืองผไทสมัน) เมืองบุรีรัมย์ (เมืองแปะ) เมืองเกษตรวิสัย เมืองพนมไพรแดนมฤค เมืองธวัชบุรี เมืองพยัคฆภูมิพิสัย (เมืองเสือ) เมืองจตุรพักตรพิมาน (เมืองหงษ์) เมืองขามเฒ่า เมืองเปือยใหญ่ (บ้านค้อ) เมืองนันทบุรี (เมืองน่าน) เมืองรัตนบุรี (เมืองศรีนครเตา) เมืองเดชอุดม เมืองราษีไศล (เมืองคง) เมืองรัตนวาปี เมืองสนม และเมืองประชุมพนาลัย (เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว)

เจ้าแก้วมงคลปกครองเมืองท่งอยู่ได้นาน 12 ปีก็ถึงแก่พิราลัย ในปีพ.ศ. 2268 เจ้าแก้วมงคลมีโอรสสองคน อันเกิดจากพระชายาคนที่ 2 ที่อพยพติดตามกันมาด้วย ได้แก่ เจ้ามืดคำดลและเจ้าสุทนต์มณี พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรจึงทรงแต่งตั้งเจ้ามืดผู้พี่เป็นเจ้าเมืองท่ง ท่านที่ 2 และเจ้าทนเป็นอุปราช เมื่อเจ้ามืดถึงแก่พิราลัย ในปีพ.ศ. 2306 เจ้าทนจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองท่งแทนพี่ชาย เจ้ามืดมีโอรส 3 คน คือ เจ้าเชียง เจ้าสูน และเจ้าอุ่น (ภายหลังถูกส่งไปทำราชการและไปเป็นกรมการเมืองที่เมืองขุขันธ์) ต่อมาในปีพ.ศ. 2308 เจ้าเชียง เจ้าสูน ทั้งสองคนไม่พอใจที่ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองสืบแทนบิดา จึงได้คบคิดกับกรมการเมืองที่เป็นสมัครพรรคพวกของตน เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) แห่งกรุงศรีอยุธยาและได้นำทองคำแท่งจำนวนมากไปถวายในคราวเข้าเฝ้า พร้อมกับทูลขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปช่วยรบกับเจ้าทน สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพรหมกับพระยากรมท่าเป็นแม่ทัพเดินทางมาพร้อมกับเจ้าเชียงและเจ้าสูน เมื่อเดินทางใกล้ถึงเมืองท่ง เจ้าทนทราบข่าว จึงพาครอบครัวและไพร่พลอพยพไปอยู่ ณ บ้านกุดจอก (ในพื้นที่อำเภออาจสามารถ) เมื่อพระยาพรหมและพระยากรมท่าเข้าเมืองแล้ว ได้ติดตามไปนำตัวเจ้าทนมาว่ากล่าวตักเตือนให้คืนดีกันกับเจ้าเชียงและเจ้าสูนผู้เป็นหลาน เจ้าเชียงกับเจ้าสูนก็ได้ครองเมืองท่งและเมืองท่งจึงขาดจากการปกครองของนครจำปาศักดิ์ มาขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่บัดนั้น

สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์

[แก้]
แผนที่การปักปันอาณาเขตระหว่างเมืองสุวรรณภูมิกับเมืองร้อยเอ็ด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2318
พระขัติยะวงษา (สุทนต์มณี) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านแรก

ปี พ.ศ. 2318 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยากรมท่าและพระยาพรหมเดินทางมาดูแลหัวเมืองในภาคอีสาน ท้าวทนจึงได้เข้ามาขออ่อนน้อม พระยาทั้งสองจึงมีใบบอกไปยังกรุงธนบุรีขอตั้งท้าวทน (ต้นตระกูล ณ ร้อยเอ็จ) เป็นเจ้าเมือง โดยยกบ้านกุ่มฮ้างขึ้นเป็น เมืองร้อยเอ็ด ตามนามเดิม แยกอาณาเขตออกจากเมืองสุวรรณภูมิ ท้าวทนได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา นับว่าเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ส่วนเมืองท่งศรีภูมินั้นบรรดากรมการเมืองเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่ไม่เหมาะสม จึงได้ย้ายไปตั้งบริเวณดงท้าวสาร และให้ชื่อว่า เมืองสุวรรณภูมิ ในปีพ.ศ. 2315 (ซึ่งต่อมา ในสมัย ร.1 เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์หรือเมืองสุวรรณภูมิราชบุรียประเทศราช) นับแต่นั้นมาทั้งเมืองร้อยเอ็ดและเมืองสุวรรณภูมิต่างมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีเช่นเดียวกัน (กรณีเมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์การแต่งตั้งเจ้าเมืองจะถูกจารึกด้วยพระสุพรรณบัฏ)[11][12] โดยเมืองร้อยเอ็ดกับเมืองสุวรรณภูมิได้มีการปักปันเขตแดนกันทั้งหมด ดังนี้ ตั้งแต่ปากน้ำลำพาชี (น้ำชี) ตกลำน้ำมูลขึ้นมาตามลำน้ำพาชี ถึงปากห้วยดางเดียวขึ้นไปทุ่งลาดไถ ไปบ้านดงขี้เหล็ก บ้านแก่งทรายหินตั้งแต่ถ้ำเต่า เหวฮวด ดงสวนอ้อย บึงกุย ศาลาอีเก้ง ภูเม็ง หนองม่วงคลุ้ม กุ่มปัก ศาลาหักมูลเค็ง ประจบปากน้ำลำพาชีตกลำน้ำมูลเป็นเขตเมืองสุวรรณภูมิ (มีพื้นที่โดยประมาณ 16,500 ตารางกิโลเมตร)[10] ตั้งแต่ลำน้ำยัง ตกลำน้ำพาชีขึ้นไปภูดอกซ้อน หินทอดยอดยัง ดู่สามต้น อ้นสามขวาย สนามหมากหญ้า ผาขาวพันนา ฝายพญานาค ภูเม็ง มาประจบหนองแก้ว ศาลาอีเก้งมาบึงกุยเป็นอาณาเขตเมืองร้อยเอ็ด (มีพื้นที่โดยประมาณ 14,500 ตารางกิโลเมตร)[10]

พ.ศ. 2321 เจ้าโสมพมิตร นำไพร่พลอพยพข้ามภูพานจากบ้านพรรณา (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร) เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาเขตของเมืองร้อยเอ็ด (พื้นที่จังหวัดกาฬสินธ์ุในปัจจุบัน) ตั้งเป็นบ้านแก่งสำโรงซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นเขตแดนของเมืองร้อยเอ็ด

พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทำให้เมืองร้อยเอ็ดและบรรดาหัวเมืองอีสานล้วนต้องขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนเมืองร้อยเอ็ดก็ได้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนมีฐานะทางการเมืองและความสำคัญเหนือเมืองสุวรรณภูมิในเวลาต่อมา

พ.ศ. 2326 พระขัติยะวงษา (ท้าวทน) ถึงแก่กรรม ท้าวสีลังบุตรคนโตได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระขัติยะวงษา เจ้าเมืองร้อยเอ็ดสืบแทน

ต่อมาในปีพ.ศ. 2336 พระขัติยะวงษา (สีลัง ธนสีลังกูร) ได้ให้การช่วยเหลือแเก่เจ้าโสมพมิตรโดยการนำพาเข้าเฝ้าฯ ถวายสวามิภักดิ์ ต่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือ รัชกาลที่ 1 บ้านแก่งสำโรงจึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองกาฬสินธุ์[13] ส่งผลให้เมืองร้อยเอ็ดยกเขตแดนทางทิศเหนือ (บริเวณ ลำน้ำยังตกลำน้ำพาชี ภูดอกซ้อน หินทอดยอดยัง ดู่สามต้น อ้นสามขวาย) ให้แก่เมืองกาฬสินธ์ุ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

พ.ศ. 2340 เพี้ยเมืองแพนกรมการเมืองสุวรรณภูมิ นำไพร่พลขอแยกตัวออกจากเมืองสุวรรณภูมิ ไปตั้งเมืองขึ้นใหม่ ขึ้นเป็นเมืองขอนแก่น ซึ่งตั้งเมืองในเขตแดนของเมืองร้อยเอ็ด ส่งผลให้เมืองร้อยเอ็ดยกเขตแดนทางฟากตะวันตก (บริเวณ สนามหมากหญ้า ฝายพญานาค กู่แก้ว ภูเม็งประจบหนองแก้ว) ให้กับเมืองขอนแก่นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ต่อมาในปี พ.ศ. 2369 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อกองทัพกบฏถูกตีแตกถอยร่นกลับมา กำลังทหารจากเมืองร้อยเอ็ดได้เข้าโจมตีซ้ำเติมจนพวกกบฏแตกพ่าย พระขัติยะวงษา (สีลัง) มีความดีความชอบได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาขัติยะวงษาพิสุทธิบดี พระยาชั้นพานทอง

ในปี พ.ศ. 2408 รัชกาลที่4 โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านลาดกุดยางใหญ่ ในแขวงเมืองร้อยเอ็ด ขึ้นเป็น เมืองมหาสารคาม ขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ด ให้ท้าว มหาไชย (กวด) บุตรอุปฮาด (สิงห์) แห่งเมืองร้อยเอ็ด เป็น “พระเจริญราชเดช” เจ้าเมืองมหาสารคามท่านแรก

พ.ศ. 2412 แยกเมืองมหาสารคามให้ไปขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร

ในปี พ.ศ. 2418 เกิดสงครามปราบฮ่อที่เวียงจันทน์และหนองคาย เจ้าเมืองอุบลได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ายกกำลังไปปราบ โดยเกณฑ์กำลังพลจากหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือไปช่วยปราบกบฏ เมื่อกองทัพยกมาถึงเมืองร้อยเอ็ด พระขัติยะวงษา (สาร) และราชวงศ์ (เสือ) ได้สมทบกำลังไปปราบฮ่อด้วย เมื่อเสร็จศึก ราชวงศ์ (เสือ) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาล จึงให้รวมหัวเมืองอีสานเข้าด้วยกัน แล้วแบ่งออกเป็น 4 กองใหญ่ แต่ละกองมีข้าหลวงกำกับการปกครองกองละ 1 คน และมีข้าหลวงใหญ่กำกับราชการอีกชั้นหนึ่งอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ กองใหญ่ทั้ง 4 กอง ได้แก่ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ และหัวเมืองลาวฝ่ายกลาง เมืองร้อยเอ็ดเป็นหัวเมืองเอกในจำนวน 12 เมืองของหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การบริหารหัวเมืองอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราระบบการปกครองเทศาภิบาลขึ้นใช้ปกครองส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ หัวเมืองลาวกาวจึงเปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลลาวกาว ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ และมณฑลอีสานตามลำดับ

ในปี พ.ศ. 2443 เมืองร้อยเอ็ดได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นบริเวณร้อยเอ็ด โดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 เมือง คือเมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ เมืองมหาสารคาม เมืองกมลาไสย และเมืองกาฬสินธุ์

ในปี พ.ศ. 2451 มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล มีการยุบเมืองต่างๆเป็น จังหวัด อำเภอ ตำบล และในปีเดียวกัน มีการยุบเมืองกาฬสินธุ์ เป็น อำเภออุทัยกาฬสินธุ์ ยุบเมืองกมลาไสย เป็น อำเภอกมลาไสย และเมืองสุวรรณภูมิ เป็น อำเภอสุวรรณภูมิ พร้อมด้วยเมืองขึ้นทั้งหมดของทั้ง 3 เมือง ให้ยุบเป็นอำเภอ อันได้แก่ อำเภอพนมไพร,อำเภอเกษตรวิสัย,อำเภอจตุรพักตรพิมาน,อำเภออาจสามารถ,อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย,อำเภอเสลภูมิ,อำเภอท่าขอนยาง,อำเภอกันทรวิชัย,อำเภอภูแล่นช้าง,อำเภอสหัสขันธุ์ และ อำเภอกุฉินารายณ์ ให้มาขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ด

ในปี พ.ศ. 2456 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเทศาภิบาลข้าหลวงมณฑลอีสานว่า ควรแยกมณฑลอีสานออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลอุบลราชธานีและมณฑลร้อยเอ็ด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้เป็นไปตามที่เสนอ ส่งผลให้เมืองร้อยเอ็ดได้รับการถูกยกฐานะขึ้นเป็นมณฑล พร้อมกันนั้นได้มีการแยกอำเภออุทัยกาฬสินธุ์,อำเภอกมลาไสย,อำเภอหัสขันธ์,อำเภอกุฉินารายณ์,อำเภอภูแล่นช้าง ของเมืองร้อยเอ็ด ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองกาฬสินธุ์ มีการโอนอำเภอท่าขอนยาง,อำเภอกันทรวิชัยและอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ของเมืองร้อยเอ็ด ให้ไปขึ้นกับเมืองมหาสารคาม โดย มณฑลร้อยเอ็ดมีเขตปกครอง 3 เมืองคือ เมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม และเมืองกาฬสินธุ์

ในปี พ.ศ. 2459 มีการเปลี่ยนเเปลงรูปเเบบการปกครองเปลี่ยนจากการใช้คำว่า เมือง เปลี่ยน เป็น จังหวัด ทั่วทั้งประเทศ ดังนั้นส่งผลให้ เมืองร้อยเอ็ดเเปรสภาพเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด

พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล และมณฑลอุดร เป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน มีอุปราชประจำภาคอยู่ที่เมืองอุดรธานี ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2468 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกภาคอีสาน แล้วปรับเปลี่ยนเป็นการปกครองระบบมณฑลตามเดิม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2469 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบมณฑลร้อยเอ็ด และ มณฑลอุบล แล้วให้เปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัด ขึ้นต่อมณฑลนครราชสีมา

ในปี พ.ศ. 2445 ได้เกิดกบฏผีบุญขึ้นในจังหวัดร้อยเอ็ดอันมีสาเหตุมาจากการยกเลิกการปกครองแบบดั้งเดิม โดยยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง แล้วแต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง ทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มเจ้าเมืองเดิมและทายาท กบฏผีบุญเกิดขึ้นจากการมีผู้อ้างตัวเป็นผู้วิเศษตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในภาคอีสาน ในที่สุดก็ถูกทางราชการปราบได้ราบคาบ

ในปี พ.ศ. 2469 อำมาตย์เอก พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางศุ) ข้าหลวงจังหวัดร้อยเอ็ด เห็นว่า บึงพลาญชัย (เดิมใช้ว่าบึงพระลานชัย) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองร้อยเอ็ดตื้นเขิน ถ้าปล่อยทิ้งไว้บึงก็จะหมดสภาพไป จึงได้ชักชวนชาวบ้านจากทุกอำเภอมาขุดลอกบึงเพื่อให้มีน้ำขังอยู่ได้ตลอดปี ได้ดำเนินการขุดลอกบึงทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ 2 ปี มีชาวบ้านมาร่วมขุดลอกบึงถึง 40,000 คน นับว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของไทยที่ควรจารึกไว้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานไทยต่อไปชั่วกาลนาน ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนเป็นมรดกที่สำคัญของจังหวัดร้อยเอ็ดมาตราบเท่าทุกวันนี้

ทำเนียบเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด

[แก้]
ชื่อ วาระการดำรงตำแหน่ง
เจ้าเมือง ผู้ว่าราชการเมือง และ ข้าหลวงบริเวณร้อยเอ็ด
1. พระขัติยะวงษา (ธน ธนสีลังกูร) พ.ศ. 2318–2326
2. พระยาขัติยวงษาพิสุทธิบดี (สีลัง ธนสีลังกูร) พระยาชั้นพานทอง พ.ศ. 2326–2389
3. พระขัติยะวงษา (อินทร์ ธนสีลังกูร) พ.ศ. 2389–2392
4. พระขัติยะวงษา (จันทร์ ธนสีลังกูร) พ.ศ. 2392–2408
5. พระขัติยะวงษา (สาร ธนสีลังกูร) พ.ศ. 2408–2419
6. พระขัติยะวงษา (เสือ ธนสีลังกูร) พ.ศ. 2420–2425
7. พระขัติยะวงษา (เภา ธนสีลังกูร) พ.ศ. 2429–2434
8. นายพันโท พระยาพินิจสารา (ทับทิม บุณยรัตพันธุ์) พ.ศ. 2443–2446
9. พระยาขัติยะวงษาเอกธิกะสตานันท์ (เหลา ณ ร้อยเอ็ด) พ.ศ. 2448–2451
ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด
1. พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย (จาบ สุวรรณทัต) พ.ศ. 2451–2464
2. พระยาแก้วโกรพ (ทองสุก ผลพันธ์ทิน) พ.ศ. 2464–2469
3. พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางศุ) พ.ศ. 2469–2471
4. พระนรินทร์ภักดี (สุข ทังศุภูดิ) พ.ศ. 2471–2472
5. พระวิจารณ์ภักดี (เอียน โอวาทสาร) พ.ศ. 2472–2476
6. พระชาติตระการ (หม่อมราชวงศ์จิตร คเนจร) พ.ศ. 2476–2478
7. หลวงพำนักนิกรชน (อุ่น สมิตตามร) พ.ศ. 2478–2480
8. พันเอก พระศรีราชสงคราม (ศรี ศุขะวาที) พ.ศ. 2480–2481
9. พระบริบูรณ์วุฒิราษฎร์ (ชุบ ศรลัมภ์) พ.ศ. 2481–2486
10. พระบรรณศาสน์สาทร (สง่า คุปตารักษ์) พ.ศ. 2487–2490
11. หลวงเดิมบางบริบาล (ไชยศรี กุณฑลบุตร) พ.ศ. 2490–2490
12. นายยุทธ จรัณยานนท์ พ.ศ. 2490–2494
13. นายสง่า ศุขรัตน์ พ.ศ. 2494–2495
14. นายสวัสดิ์ พิบูลย์นครินทร์ พ.ศ. 2495–2496
15. ขุนบำรุงรัตนบุรี (กุหลาบ จูฑะพุทธิ) พ.ศ. 2496–2496
16. นายสนิท วิไลจิตต์ พ.ศ. 2496–2497
17. ขุนอักษรสารสิทธิ์ (พินิต อักษรสารสิทธิ์) พ.ศ. 2497–2500
18. นายกิตติ โยธการี พ.ศ. 2500–2501
19. นายสมบัติ สมบัติทวี พ.ศ. 2501–2502
20. นายสมาส อมาตยกุล พ.ศ. 2502–2507
21. นายวิญญู อังคณารักษ์ พ.ศ. 2507–2509
22. ร้อยตำรวจตรี ชั้น สุวรรณทรรภ พ.ศ. 2509–2512
23. นายประจักษ์ วัชรปาน พ.ศ. 2512–2514
24. นายประมูล ศรัทธาทิพย์ พ.ศ. 2514–2516
25. พลตรี ชาย อุบลเดชประชารักษ์ พ.ศ. 2516–2516
26. นายประมวล รังสีคุต พ.ศ. 2516–2517
27. นายประมูล จันทรจำนง พ.ศ. 2517–2520
28. นายเดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ พ.ศ. 2520–2520
29. นายศักดา อ้อพงษ์ พ.ศ. 2520–2522
30. นายปราโมทย์ หงสกุล พ.ศ. 2522–2524
31. นายธวัชชัย สมสมาน พ.ศ. 2524–2526
32. นายปรีชา คชพลายุกต์ พ.ศ. 2526–2528
33. นายปราโมทย์ แก้วพรรณา พ.ศ. 2528–2531
34. นายปรีชา พงศ์อิศวรานนท์ พ.ศ. 2531–2532
35. นายดำรง รัตนพานิช พ.ศ. 2532–2533
36. นายสุพร สุภสร พ.ศ. 2533–2534
37. นายฮึกหาญ โตมรศักดิ์ พ.ศ. 2534–2537
38. นายมานิต ศิลปอาชา พ.ศ. 2537–2538
39. นายวีระ เสรีรัตน์ พ.ศ. 2538–2541
40. นายอัครพงศ์ พยัคฆันตร พ.ศ. 2541–2543
41. นายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช พ.ศ. 2543–2544
42. นายกวี มินวงษ์ พ.ศ. 2544–2546
43. นายนพพร จันทรถง พ.ศ. 2546–2549
44. นายพินิจ พิชยกัลป์ พ.ศ. 2549–2551
45. นายพงษ์ศิริ กุสุมภ์ พ.ศ. 2551–2552
46. นายชิดพงษ์ ฤทธิประศาสน์ พ.ศ. 2552–2552
47. นายธวัชชัย ฟักอังกูร พ.ศ. 2552–2553
48. นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม พ.ศ. 2553–2555
49. นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ พ.ศ. 2555–2555
50. นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม พ.ศ. 2555–2557
51. นายสมศักดิ์ จังตระกุล พ.ศ. 2557–2558
52. นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล พ.ศ. 2558–2559
53. นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ พ.ศ. 2559–2560
54. นายวันชัย คงเกษม พ.ศ. 2560–2563
55. นายชยันต์ ศิริมาศ พ.ศ. 2563–2564
56. นายภูสิต สมจิตต์ พ.ศ. 2564–2565
57. นายทรงพล ใจกริ่ม พ.ศ. 2565–2567
60. -ว่าง-

ภูมิศาสตร์

[แก้]

ที่ตั้งและอาณาเขต

[แก้]

จังหวัดร้อยเอ็ดตั้งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างละติจูดที่ 15 องศา 24 ลิปดาเหนือ ถึง 16 องศา 19 ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 103 องศา 16 ลิปดาตะวันออก ถึง 104 องศา 21 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 512 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้น 8,299.46 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,187,156 ไร่ มีเขตแดนติดต่อกับจังหวัดอื่นดังนี้

ลักษณะภูมิประเทศ

[แก้]

จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 120-160 เมตร มีภูเขาทางตอนเหนือซึ่งติดต่อจากเทือกเขาภูพาน บริเวณตอนกลางของจังหวัด มีลักษณะเป็นที่ราบลูกคลื่น บริเวณตอนล่างมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำมูลและสาขา ได้แก่ ลำน้ำชี ลำน้ำพลับพลา ลำน้ำเตา เป็นต้น บริเวณที่ราบต่ำอันกว้างขวาง เรียกว่า ทุ่งกุลาร้องไห้ มีพื้นที่ประมาณ 80,000 ไร่ มีลักษณะเป็นที่ราบแอ่งกระทะ

ลักษณะภูมิอากาศ

[แก้]

จังหวัดร้อยเอ็ดได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ สภาพภูมิอากาศอยู่ในประเภทฝนเมืองร้อน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,196.8 ลูกบาศก์มิลลิเมตร ฝนตกชุกในเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม อากาศร้อนแห้งแล้งในเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม[14]

การคมนาคม

[แก้]
  • ทางรถยนต์: ห่างจากกรุงเทพมหานคร ระยะทางประมาณ 520 กม. เส้นทางที่สะดวกคือใช้เส้นทางถนนพหลโยธินเข้าสู่สระบุรี และเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนมิตรภาพ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา อำเภอพล อำเภอบ้านไผ่ แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23 ถนนแจ้งสนิท ผ่านจังหวัดมหาสารคาม แล้วเข้าสู่จังหวัดร้อยเอ็ด
  • ทางรถโดยสารประจำทาง:โดยที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดร้อยเอ็ด
      • และยังมีหลายบริษัทที่เปิดให้บริการ โดยผ่านจังหวัดร้อยเอ็ด หลายบริษัท
    • ในอำเภอต่าง ๆ มีรถประจำทางบริการ ได้แก่ อำเภอจังหาร อำเภอโพนทอง อำเภอหนองพอก อำเภอเสลภูมิ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอพนมไพร อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอศรีสมเด็จ อำเภอโพนทราย เป็นต้น
    • นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทางไปในจังหวัดต่างๆด้วย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอุดรธานี จังหวัดขอนแก่น จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น
  • ทางรถไฟ: จังหวัดร้อยเอ็ดนั้น ปัจจุบันยังไม่มีทางรถไฟตัดผ่าน อย่างไรก็ตามสามารถใช้บริการได้ที่สถานีรถไฟขอนแก่น ในอำเภอเมืองขอนแก่น ดังนี้
  • ทางเครื่องบิน: ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด หรือ สนามบินร้อยเอ็ด (Roi Et Airport ; รหัสสนามบิน : ROI) ตั้งอยู่เลขที่ 135 ถนนร้อยเอ็ด-โพนทอง (ทางหลวงหมายเลข 2044) ตำบลมะอึ และตำบลหนองพอก อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ห่างจากตัวเมืองประมาณ 11 กิโลเมตร เป็นท่าอากาศยานในสังกัดกรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม[1] ประกอบด้วยอาคารที่พักผู้โดยสารขนาด 3,013 ตารางเมตร ประตูผู้โดยสารขาเข้าและขาออกอยู่ชั้นเดียวกัน ทางวิ่ง (รันเวย์) 45 x 2,100 เมตร ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด มีสายการบินที่ให้บริการอยู่ 3 สายการบิน

ให้บริการระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานร้อยเอ็ด

รวมวันละ 6 เที่ยวบิน และ สายการบินไทยสมายล์ ให้บริการระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานร้อยเอ็ด

  • การคมนาคมภายในจังหวัด
    • ในการเดินทางภายในจังหวัดก็มีรถโดยสารประจำทางให้บริการ และรถสองแถว มอเตอร์ไซค์รับจ้าง สามล้อรับจ้าง และรถแท็กซี่มิเตอร์ (2 กม. แรก 30 บาท กม. ต่อไป 4 บาท)
  • ระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่าง ๆ
    • โดยอำเภอที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ อำเภอธวัชบุรี ระยะทาง 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 18 นาที ส่วนอำเภอที่อยู่ไกลที่สุด คือ อำเภอโพนทราย ระยะทาง 84 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที ต่อไปเป็นระยะทางของแต่ละอำเภอ

การเมืองการปกครอง

[แก้]

การปกครองส่วนภูมิภาค

[แก้]

จังหวัดร้อยเอ็ดแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 192 ตำบล 2,446 หมู่บ้าน

แผนที่
แผนที่อำเภอในจังหวัดร้อยเอ็ด
เลข ชื่ออำเภอ จำนวนตำบล ประชากร
(พ.ศ. 2563)[15]
พื้นที่
(ตร.กม.)
ความหนาแน่น
(คน/ตร.กม.)
ระยะทางจากศาลากลาง
(กม.)
1 เมืองร้อยเอ็ด 15 158,675 493.632 321.46
2 เกษตรวิสัย 13 97,625 870.128 112.21 49
3 ปทุมรัตต์ 8 53,606 356.904 150.20 66
4 จตุรพักตรพิมาน 12 79,408 521.987 152.12 27
5 ธวัชบุรี 12 67,303 374.001 179.96 12
6 พนมไพร 13 71,398 519.329 137.49 67
7 โพนทอง 14 108,207 719.15 150.46 49
8 โพธิ์ชัย 9 57,981 394.304 147.05 40
9 หนองพอก 9 66,543 599.47 111 75
10 เสลภูมิ 18 118,688 792.338 149.80 32
11 สุวรรณภูมิ 15 114,635 1107.042 105.55 54
12 เมืองสรวง 5 23,115 209.44 110.58 28
13 โพนทราย 5 27,996 215.852 129.70 84
14 อาจสามารถ 10 73,685 454.441 162.14 36
15 เมยวดี 4 23,211 180.589 128.53 73
16 ศรีสมเด็จ 8 36,201 217.852 166.83 26
17 จังหาร 8 45,324 165.1 274.53 14
18 เชียงขวัญ 6 27,352 127.161 215.03 21
19 หนองฮี 4 24,379 132 184.69 74
20 ทุ่งเขาหลวง 5 23,268 138.915 167.52 29
รวม 192 1,298,639 8,299.499 156.47

การปกครองส่วนท้องถิ่น

[แก้]

จังหวัดร้อยเอ็ดมีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 203 แห่ง แบ่งออกเป็น 1 เทศบาลเมือง 72 เทศบาลตำบล 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด และ 129 องค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีรายชื่อเทศบาลดังนี้

ประชากรศาสตร์

[แก้]

มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,310,259 คน แยกเป็นชาย 654,508 คน หญิง 655,751 คน โดยมีอำเภอที่มีประชากรมากที่สุดได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด 118,789 คน รองลงมาได้แก่ อำเภอเสลภูมิ มีจำนวน 108,063 คน และอำเภอสุวรรณภูมิ มีจำนวน 106,451 คน สำหรับอำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ อำเภอจังหาร โดยมีอัตราความหนาแน่น 295 คนต่อตารางกิโลเมตร รองลงมาได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด มีอัตราความหนาแน่น 240 คนต่อตารางกิโลเมตร และอำเภอเชียงขวัญมีอัตราความหนาแน่น 215 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของจังหวัดอยู่ในระดับ 158 คนต่อตารางกิโลเมตร

โดยประชากรมีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • กลุ่มภาษาไทย-ลาว เป็นคนกลุ่มหลักในจังหวัดร้อยเอ็ด แบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1. ชาวไทยอีสานเดิม คนกลุ่มนี้มีภาษาไทยที่เป็นเอกลักษณ์เรียกว่า "สำเนียงร้อยเอ็ด" ไม่พบการใช้สำเนียงนี้ในที่อื่นนอกจากร้อยเอ็ด เป็นกลุ่มภาษาเดียวในภาคอีสานที่จังหวัดอื่นไม่มี สันนิฐานว่าเป็นชนพื้นเมืองร้อยเอ็ดในรุ่นแรกที่เข้ามาอาศัยไม่ต่ำกว่า 500 ปี จนวิวัฒธนาการมีภาษาและสำเนียงของตน ทางประเทศลาวได้กำหนดภาษาลาวไว้ 6 สำเนียง โดยสำเนียงร้อยเอ็ดนี้ทางประเทศลาวได้จัดให้เป็นภาษาลาวตะวันตก มีในเฉพาะในจังหวัดร้อยเอ็ดเท่านั้นและไม่พบการพูดสำเนียงนี้ในที่อื่นๆรวมถึงประเทศลาว แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ภาษาลาวจัดอยู่ตระกูลภาษาขร้า-ไท เช่นเดียวกับภาษาไทยทุกสำเนียง แต่ที่ถูกเรียกเป็นภาษาลาวเพราะทางการลาวใช้สำเนียงเวียงจันทน์เป็นภาษากลางในการจำแนก จึงทำให้สำเนียงร้อยเอ็ดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มลูกของภาษาลาว เนื่องจากมีความใกล้กับภาษาเวียงจันทน์มากกว่าทางกรุงเทพมหานคร 2. ชาวไทยอีสานใหม่ เป็นกลุ่มชาวไทยอีสานที่โยกย้ายกันในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นยุคสงครามหรือการเมือง คนไทยอีสานในกลุ่มนี้ไม่ได้ใช้สำเนียงร้อยเอ็ด แต่ใช้ภาษาอีสานที่มีในอีสานเหนือ, อีสานกลาง รวมถึงสำเนียงลาวใต้ที่พบในแขวงจำปาศักดิ์, แขวงอัตตะปือ อีกทั้งมีการพบสำเนียงลาวเวียงจันทน์ที่โย้ยย้ายเข้ามาช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
  • กลุ่มภาษาเขมร เป็นคนพื้นเมืองร้อยเอ็ด แต่มีบรรพบุรุษเชื้อสายเขมร อยู่ในอำเภอสุวรรณภูมิ และอำเภอเกษตรวิสัย กลุ่มคนเหล่านี้มีภาษาใกล้เคียงกับชาวเขมรในอีสานใต้ หรือที่เรียกกันว่าภาษาเขมรสูง แยกเป็นอีกสำเนียงหนึ่งในตระกูลภาษาเขมร โดยคนกัมพูชาฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ชาวเขมรสูงในประเทศไทยสามารถฟังภาษาเขมรในกัมพูชาแตกฉาน
  • กลุ่มภาษาส่วย-กูย เป็นคนที่อยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด มีเชื่อสายเป็นชาวส่วยหรือกูย อยู่บริเวณอำเภอสุวรรณภูมิ, อำเภอปทุมรัตต์ และอำเภอโพนทราย ติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ ภาษากูยจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก เช่นเดียวกับกลุ่มภาษามอญ-เขมร แต่ชาวกูยแยกสายออกมาเป็นเวลานานมากจึงทำให้มีภาษาใหม่ ปัจจุบันภาษากูยถูกแยกย่อยเป็นอีกกลุ่มภาษาคือกลุ่มภาษากะตู ภาษาย่อยกูย
  • กลุ่มภูไทหรือผู้ไท เป็นกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานในเขตอำเภอเมยวดี, อำเภอหนองพอก ซึ่งติดต่อกับจังหวัดกาฬสินธุ์, ยโสธร และมุกดาหาร คนกลุ่มนี้เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ยาวจนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โดยในปัจจุบันคือแขวงหัวพัน, แขวงเชียงขวาง, แขวงพงสาลี รวมถึงดินแดนสิบสองจุไท หรือในปัจจุบันคือจังหวัดเดียนเบียนฟูในประเทศเวียดนาม พูดภาษาผู้ไท และเรียกตนเองว่าไทนำหน้า เช่น ไทดำ นอกจากนี้ภาษาใกล้เคียงมากกับชาวไทพวน โดย "พวน" คือชื่อเมือง
  • กลุ่มไทย้อ เป็นกลุ่มที่มีเชื้อสายมาจากแขวงคำมวน ประเทศลาว อาศัยอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ชัย ภาษาไทญ้อจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ ในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 50,000 คน ถึงแม้ในอดีตจะมาจากฝั่งประเทศลาว แต่ชาติพันธุ์ไทญ้อไม่ได้ถูกนับรวมกับกลุ่มภาษาลาวทั้ง 6 สำเนียงจากทางการ ภาษาไทญ้อใกล้เคียงกับภาษาภูไท, ผู้ไท, พวน, ลาวโซ่ง และไทดำ

นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนอพยพเข้ามาอาศัยในจังหวัดร้อยเอ็ดในภายหลัง ได้แก่ กลุ่มชาวจีน, ชาวเวียดนาม, แขก

การศึกษา

[แก้]

การศึกษาในจังหวัดร้อยเอ็ดได้ริเริ่มอย่างแบบตะวันตกนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2453 โดยพระครูเอกุตรสตาธิคุณ (โมง) เจ้าอาวาสวัดศรีมงคล (ปัจจุบันคือวัดสระทอง) อำเภอเมืองร้อยเอ็ด ตรงกับช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มขยายการศึกษาไปสู่หัวเมืองต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2454 รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้ราชบุรุษจันทร์มาเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการที่วัดศรีมงคลโดยได้ตั้งชื่อว่า โรงเรียนวัดศรีมงคล ปลาย พ.ศ. 2456 จึงได้ย้ายมาทำการสอนที่อาคารที่ว่าการอำเภอเก่าริมคูเมือง พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ด และตั้งเป็นโรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ด (ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และกาฬสินธุ์) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย

เนื่องจากโรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ดเปิดสอนเฉพาะนักเรียนชาย จึงได้มีการจัดตั้งโรงเรียนประจำมณฑลหญิงขึ้นในปี พ.ศ. 2462 โดยได้แยกออกมาทำการเรียนการสอนบริเวณนอกคูเมืองทางทิศใต้ ซึ่งปัจจุบันคือ โรงเรียนสตรีศึกษา ต่อมารัฐก็ได้พยายามส่งเสริมการศึกษาระดับมัธยมศึกษามากขึ้น โดยได้จัดตั้งโรงเรียนวิสามัญประอำเภอจนครบทุกอำเภอในปี พ.ศ. 2513 จนกระทั่งปัจจุบันจังหวัดร้อยเอ็ดมีการจัดการศึกษาในทุกระดับการศึกษาทั้งระดับอุมศึกษา อาชีวศึกษา การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษานอกโรงเรียน ทั้งในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ดูที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดร้อยเอ็ด

ระดับอุดมศึกษา

สัญลักษณ์

[แก้]

แหล่งท่องเที่ยว

[แก้]

บึงพลาญชัย

[แก้]
บึงพลาญชัย และ หอโหวด 101
บึงพลาญชัย

บึงพลาญชัยตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองร้อยเอ็ด ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด มีลักษณะเป็นเกาะอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกขนาดใหญ่ มีพรรณไม้ต่าง ๆ ร่มรื่น และในบึงน้ำมีปลาชนิดต่าง ๆ หลายพันธุ์ มีเรือจักรยานน้ำและเรือพายไว้บริการประชาชนพายเล่นในบึง นอกจากนั้นยังใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลของจังหวัด รวมทั้งจัดมหรสพต่าง ๆ ภายในบึงพลาญชัยยังมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจคือ

  • ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เป็นของคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวร้อยเอ็ดเคารพนับถือ และเชื่อว่าเจ้าพ่อจะช่วยดลบันดาลให้ชาวเมืองมีความสุข คิดสิ่งใดสมปรารถนา จึงเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ชาวเมืองร้อยเอ็ดจะพากันมากราบนมัสการขอพรเป็นประจำ
  • พระพุทธรูปปางลีลาขนาดใหญ่ กลางสวนดอกไม้
  • พานรัฐธรรมนูญ และนาฬิกาดอกไม้
  • ภูพลาญชัย มีลักษณะเป็นน้ำตกจำลอง และรูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ คล้ายสวนสัตว์
  • สนามเด็กเล่น และ สวนสุขภาพ เป็นสวนออกกำลังกาย เพื่อให้ประชาชนได้ออกกำลังกาย อันเป็นการเสริมสร้างพลานามัยแก่ชาวร้อยเอ็ด
  • น้ำพุดนตรี

หอโหวดร้อยเอ็ด

[แก้]
หอโหวด 101

หอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด ๑๐๑ (Roi Et Tower) เป็นหอคอยชมเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดและบึงพลาญชัย เปิดทำการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563 มีพื้นที่ใช้สอยจริงจำนวน 12 ชั้น เทียบเท่าความสูงของตึก 35 ชั้น มีความสูง 123 เมตร นับได้ว่าเป็นหอคอยชมเมืองที่สูงที่สุดในภาคอีสาน ของประเทศไทย ณ.ปัจจุบัน รวมพื้นที่ทั้งหมด 3,621 ตารางเมตร หอชมเมืองสร้างตามยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองร้อยเอ็ด 4.0 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชื่อ "โครงการสามเหลี่ยมการท่องเที่ยวสาเกตนคร" โดยมีการเชื่อม 3 อำเภอเข้าด้วยกัน ได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอธวัชบุรี และอำเภอหนองพอก หอชมเมืองหรือหอโหวด ๑๐๑ ตั้งชื่อตามเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน "โหวด" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดและถูกนำมาออกแบบเป็นรูปทรงของอาคาร และชื่อจังหวัด "๑๐๑" ภายในอาคารประดับตกแต่งโดยสอดแทรกเรื่องราวท้องถิ่นกับความร่วมสมัย เช่น ดอกอินทนิลบก ดอกไม้ประจำจังหวัด ที่ทำจากคริสตัล เป็นต้น

โดยพื้นที่ภายในอาคารของแต่ละชั้นจะมีดังนี้

  • ชั้นที่ 1 สำนักงานโครงการหอชมเมือง ห้องควบคุมต่างๆ
  • ชั้นที่ 2 ทางเข้าหลักประชาชนทั่วไป เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
  • ชั้นที่ 3 ร้านขายของสินค้าที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง ร้านกาแฟ
  • ชั้นที่ 4 ร้านอาหาร ชมทัศนียภาพ
  • ชั้นที่ 28 ฟิตเนส
  • ชั้นที่ 29 ร้านขายอาหารว่าง
  • ชั้นที่ 30 ร้านอาหาร
  • ชั้นที่ 31 พื้นที่ชมวิว 360 องศา (ภายใน)
  • ชั้นที่ 32 พื้นที่ชมวิว ห้องพักเจ้าหน้าที่
  • ชั้นที่ 33 พิพิธภัณฑ์เมืองร้อยเอ็ด
  • ชั้นที่ 34 พื้นที่ชมวิว 360 องศา (ภายนอก) พื้นกระจกลอยฟ้า Sky Walk กิจกรรมการนั่งกระเช้าห้อยลวดสลิง และกิจกรรมโรยตัวจากชั้น 34 ไปที่บึงพลาญชัย
  • ชั้นที่ 35 เป็นหอพระซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธมิ่งเมืองมงคล พระพุทธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด

พระมหาเจดีย์ชัยมงคล

[แก้]
พระมหาเจดีย์ชัยมงคล

พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่บริเวณวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม ตำบลโคกสว่าง อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ระยะทางจากตัวเมืองร้อยเอ็ดประมาณ 80 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วิจิตรพิสดาร ใช้ศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสานเป็นการผสมกันระหว่างพระปฐมเจดีย์และพระธาตุพนม ใช้งบประมาณก่อสร้างถึงปัจจุบันกว่า 3,000 ล้านบาท ดำเนินการสร้างโดย “พระอาจารย์ศรี มหาวิโร” ซึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

พระมหาเจดีย์นี้ออกแบบโดยกรมศิลปากรเป็นสีขาวตกแต่งลวดลายตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง 8 ทิศ สร้างในเนื้อที่ 101 ไร่ กว้าง 101 เมตร ยาว 101 เมตร ความสูง 101 เมตร รวมยอดทองคำเป็น 109 เมตร ใช้ทองคำหนัก 4,750 บาท หรือประมาณ 60 กิโลกรัม ภายในองค์พระมหาเจดีย์เหมือนอยู่บนวิมานแดนสวรรค์

  • ชั้นที่ 1 เป็นห้องโถงกว้างใหญ่ โอ่อ่า ผนังจารึกนามทานาธิบดีต่าง ๆ ใช้เป็นห้องประชุม บำเพ็ญบุญ
  • ชั้นที่ 2 เป็นห้องโถงโอ่อ่าเช่นกัน ผนังติดตั้งรูปพระพุทธประวัติ ลวดลาย ไทยวิจิตรพิสดาร
  • ชั้นที่ 3 เป็นที่ประดิษฐานรูปพระณาจารย์ ปราชญ์อีสานในอดีต เป็นรูปเหมือนสลักหินอ่อน และหุ่นรูปเหมือนพระสุปฏิปันโน 101 องค์
  • ชั้นที่ 4 จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัดวาอาราม สถานปฏิบัติสมถะวิปัสสนา กรรมฐานที่หลวงปู่ศรี เคยบำเพ็ญธรรมมา
  • ชั้นที่ 5 บันไดเวียน 119 ชั้น เป็นห้องโถงรูประฆัง 8 เหลี่ยมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ทุ่งกุลาร้องไห้

[แก้]
ทุ่งกุลาร้องไห้

ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นที่ราบขนาดใหญ่มีพื้นที่ประมาณ 2 ล้านไร่ อยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดร้อยเอ็ด การที่ได้ชื่อว่าทุ่งกุลาร้องไห้ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ชนเผ่ากุลาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยจากเมืองเมาะตะมะ ประเทศพม่า ได้เดินทางมาค้าขายผ่านทุ่งแห่งนี้ ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน ไม่พบหมู่บ้านใด ๆ เลย น้ำก็ไม่มีดื่ม ต้นไม้ก็ไม่มีที่จะให้ร่มเงา มีแต่ทุ่งหญ้าเต็มไปหมด พื้นดินเป็นทราย เดินทางยากลำบากเหมือนอยู่กลางทะเลทราย ทำให้คนพวกนี้ถึงกับร้องไห้

ในอดีตทุ่งกุลาร้องไห้ในฤดูแล้ง พื้นที่ส่วนใหญ่จะแห้งแล้งมาก ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมทุกปี ใต้พื้นดินลงไปเป็นน้ำเค็ม ไม่สามารถทำการเกษตรได้ หลังจากที่ได้มีการพัฒนาที่ดินแล้ว ทุ่งกุลาร้องไห้ได้กลายเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศ และกลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่มีชื่อเสียงของไทย

น้ำตกถ้ำโสดา

[แก้]

เป็นน้ำตกจากหน้าผาสูง50เมตร ลดหลั่นหลายชั้น มีความสวยงานตระการตา บริเวณหน้าผามีม่านน้ำตกสวยงาม และเป็นชะง่อนถ้ำ มีพระพุทธรูปใว้สักการะบูชา

พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี

พระพุทธรูปที่สูงที่สุดอันดับที่สองของประเทศไทย ตั้งอยู่ในวัดบูรพาภิราม อำเภอเมือง

ประเพณี วัฒนธรรม

[แก้]

ประเพณีบุญผะเหวด

[แก้]
ผ้าผะเหวด

งานบุญพระเวสสันดรชาดก หรือบุญผะเหวดในภาษาอีสาน เป็นบุญประเพณีที่มีการเทศน์มหาชาติเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเฉพาะจังหวัดได้กำหนดให้เป็นงานประเพณีประจำปีของจังหวัดและจัดได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามฮีต 12 คือหมายถึงเดือนสี่มีการทำบุญผะเหวดดังคำกล่าวไว้ในฮีตว่า

ฮีตหนึ่ง พอเถิงเดือนสี่ได้ให้เก็บดอกบุปผา หามาลา

ดวงหอมสู่ตนเก็บไว้

อย่าได้ไลคองนี้เสียศรีสูญเปล่า

หาเอาตากแดดไว้ได้ทำแท้สู่คน

อย่าได้ไลหนีเว้นแนวคองตั้งแต่เก่า

ไฟทั้งหลายสิแล่นเข้าเผาบ้านสิเสื่อมสูญเด้

ประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ (ลายศรีภูมิ)

[แก้]
บั้งไฟลายศรีภูมิ มีเอกลักษณ์ที่เด่นชัดเเละไม่เหมือนใคร คือ ตัวพญานาคจะมีอกนาคเเละมีปีกที่สวยงามอย่างชัดเจน เเละลวดลายบนตัวบั้งไฟยังคงมีการใช้กรรไกรในการตัดเเต่งตามเเบบวิถีโบราณ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ตามเเบบฉบับล้านช้างโบราณ ปัจจุบันเหลือให้เห็นเพียงเเค่ที่เดียว คือ งานบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ
ลายศรีภูมิ เป็นลายที่ใช้ในการประดับบนตัวบั้งไฟลายศรีภูมิซึ่งเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกที่ยังคงใช้กรรไกรในการตัดเเต่งลายเเทนที่จะเป็นการใช้วิธีสับลายตามเเบบสมัยใหม่ โดยการตัดเเต่งจะไม่ให้เส้นขาดออกจากกัน และนิยมใช้สีแดงเลือดนกตัดกับสีเหลืองทอง ลวดลายจึงมีความต่อเนื่องเเละสวยงามโดดเด่นเป็นพิเศษ

เป็นงานบุญประเพณีที่สำคัญของจังหวัด อีกหนึ่งงาน ที่มีการจัดอย่างต่อเนื่องและมีความเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย (ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2256 เป็นต้นมา) อีกทั้งยังเป็นงานประเพณีบุญบั้งไฟ 1 ใน 4 แห่งที่มีชื่อเสียงและมีการจัดงานยิ่งใหญ่ในระดับประเทศ โดยมีเอกลักษณ์ คือ ประกวดแข่งขัน การเอ้ บั้งไฟ ประเภท ลายกรรไกรตัด หรือ "บั้งไฟลายศรีภูมิ" เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย โดย ทั่วไปพื้นที่อื่นๆ การตกแต่งตัวบั้งไฟ จะใช้ลายสับ ทั้งนี้ ในเขตเทศบาลตำบลสุวรรณภูมิ และอำเภอสุวรรณภูมิ มีช่างเอ้ ช่างตัดลายบั้งไฟที่มีชื่อเสียง และถ่ายทอดภูมิปัญญา มาไม่น้อยกว่า 310 ปี และที่มีบันทึกทางวิชาการ ลวดลายกระดาษ โดยช่างมีฝีมือ ที่มีหลักฐานสืบต้นทางวิชาการ ที่มีพัฒนาการและนวัตกรรม การตัดลายกระดาษ "ลายศรีภูมิ" ระหว่าง 70 - 90 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานบั้งไฟลายศรีภูมิ นั้น เป็นที่ทราบกันดีของช่างบั้งไฟเอ้ ทั่วจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดในภาคอีสาน ว่า งานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ เป็นงาน ที่รวบรวมช่างฝีมือการเอ้บั้งไฟและการตกแต่งเครื่องล่าง มาร่วมแข่งขันบั้งไฟเอ้สวยงามขนาดใหญ่ มากที่สุดในประเทศไทย โดย การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ จะจัดทุกวัน เสาร์ อาทิตย์แรก ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี โดยตั้งเเต่ งานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ 2567 เป็นต้นไป จะมีขบวนแห่รำเซิ้งสวยงาม ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีการถูกจัดขึ้นเป็นครั้งเเรกในปี พ.ศ. 2567 ให้สมเกียรติกับดินเเดนที่มีการจัดงานบุญบั้งไฟอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์เเละมีความเก่าเเก่เเละต่อเนื่องมาอย่างยาวนานมากที่สุดเเห่งหนึ่งของภาคอีสานเเละของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นงานประเพณีที่ดึงดูดเเละเป็นศูนย์รวมให้ลูกหลานเมืองศรีภูมิหรือเครือข่ายลูกหลานเจ้าเเก้วมงคล (บรรพชนกลุ่มใหญ่ของภาคอีสาน) ที่มีอยู่ทั่วภาคอีสานเเละประเทศไทยให้กลับมาเยี่ยมเยือนถิ่นเก่าของบรรพชน ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองบรรพบุรุษของชาวอีสาน ก่อนที่ภายหลังจะมีการอพยพเเยกกันออกไปสร้างเมืองเเละชุมชนต่างๆมากมายทั่วภาคอีสาน นับได้ว่าเป็นศูนย์รวมทางจิตใจให้เเก่ลูกหลานชาวอีสานได้มากมายเลยทีเดียว

ประเพณีบุญบั้งไฟพนมไพร

[แก้]

เป็นงานประเพณีบุญบั้งไฟ 1 ใน 4 แห่งที่มีชื่อเสียงและมีการจัดงานยิ่งใหญ่ในระดับประเทศ ในการจัดการแข่งขันบั้งไฟมีขบวนแห่ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี และมีการจัดตามฮีตสิบสองคองสิบสี่ โดยยึดวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 เป็นการจัดงานในทุกปี และมีการจุดบั้งไฟถวย (ถวาย) องค์พระมหาธาตุวัดกลางอุดมเวทย์ ซึ่ง มีบั้งไฟแสน รวมบั้งไฟขนาดอื่นๆ รวมกันมากกว่า 1,000 บั้ง และมีการจุดมากที่สุดในประเทศไทย

ประเพณีบุญบั้งไฟโพนทราย

[แก้]

ประเพณีลอยกระทง (สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป)

[แก้]

เป็นงานประเพณีลอยกระทงที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานและติด 1 ใน 5 ของงานประเพณีลอยกระทงที่มีอัตลักษณ์และจัดได้ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ[16][17] ถือเป็นตัวแทนจัดงานลอยกระทงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้ชื่อว่า “สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป” มีการแห่กระทงประทีป 12 หัวเมือง การประกวดกระทงอนุรักษ์ธรรมชาติ ฯลฯ[18] งานประเพณีลอยกระทง "สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป” เป็นเอกลักษณ์ เป็นการขอขมาพระแม่คงคาในคืนวันเพ็ญเดือน 12 โดยจัดขึ้นที่บึงพลาญชัยและสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ภายในงานสามารถร่วมลอยกระทงรวงข้าวซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของงานลอยกระทงของจังหวัดร้อยเอ็ดเนื่องด้วยจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน และร่วมชมประทีปพระราชทาน การประกวดกระทงอนุรักษ์ การประกวดขบวนแห่ การประกวดกระทงประทีปใหญ่ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ การประกวดธิดาสาเกตนคร และการแสดงแสง เสียงตำนานเมืองร้อยเอ็ด (สาเกตนคร)[19][20]

บุคคลที่มีชื่อเสียง

[แก้]

บุคคลในประวัติศาสตร์

[แก้]

พระภิกษุสงฆ์

[แก้]

ข้าราชการ/นักการเมือง/นักเคลื่อนไหวทางการเมือง/นักกฎหมาย

[แก้]

นักกีฬา

[แก้]

นักร้อง/นักดนตรี

[แก้]

นักแสดง

[แก้]

นายเเบบ/นางเเบบ/นางงาม

[แก้]

ผู้กำกับภาพยนตร์

[แก้]
  • ต้องเต ธิติ ศรีนวล นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์ (กำกับภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ)
  • วัชรพงษ์ ปัทมะ ผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดง (ร่วมกำกับภาพยนต์ดัง อาทิ แดง พระโขนง เป็นต้น)

นักประพันธ์เพลง

[แก้]
  • ภานุวัฒน์ วิเศษวงษา นักเเต่งเพลง (เเต่งเพลงดัง อาทิ บ่เป็นหยังเขาเข้าใจ ซังได้ซังเเล้ว ห้ามตั๋ว นางไอ่ของอ้าย เพิ่นบ่แม่นผู้สาวเฮา เป็นต้น)

ผู้ดำเนินรายการ/ผู้สื่อข่าว

[แก้]

นักธุรกิจ

[แก้]

นักเขียน/กวี

[แก้]

วีรบุรุษ

[แก้]

ศิลปินแห่งชาติ

[แก้]

นักวิชาการ ปราชญ์ชุมชน พื้นบ้าน

[แก้]
  • คำเม้า เปิดถนน ครูพิณเเละมือพิณวง Paradise Bangkok Molam International Band (เดินสายในระดับสากล)
  • พยอม สีนะวัฒน์ ครูช่างศิลป์ ครูช่างทอผ้ายกดอกลายโบราณ ศิลปินเเห่งชาติ พำนักเเละมีครอบครัวอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ดเเต่เกิดที่จังหวัดศรีสะเกษ
  • คำหมา แสงงาม ครูช่างศิลป์ ครูช่างเมรุนกหัสดีลิงค์ ศิลปินเเห่งชาติ พำนักเเละมีครอบครัวอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ดแต่เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี
  • ยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ นักวิชาการ ศิลปินมรดกอีสาน ครูช่างเมรุนกหัสดีลิงค์ ผู้ที่ปริวรรตใบลานอุรังคธาตุนิทานฉบับที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก
  • สมัยลี สร้อยศิลา ปราชญ์พื้นบ้าน ด้านทัศนศิลป์ ครูช่างตัดแต่งลายเอ้บั้งไฟ ลายศรีภูมิ
  • ล้อม ปราสาร ปราชญ์ชุมชน ด้านศาสนพิธี พิธีกรรม ครูช่างทอผ้าไหมลายศรีภูมิดั้งเดิม
  • เลียบ แจ้งสนาม ศิลปินพื้นบ้าน ด้านทัศนศิลป์ ครูช่างตัดแต่งลายเอ้บั้งไฟ ลายศรีภูมิ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ของ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม
  • ครุธ ภูมิแสนโคตร ปราชญ์พื้นบ้าน ด้านทัศนศิลป์ ครูช่างตัดแต่งลายเอ้บั้งไฟ ศิลปินมรดกอีสาน
  • สุมิตรา ทองเภ้า ครูช่างทอผ้ายกดอกลายโบราณจังหวัดร้อยเอ็ด ครูช่างศิลป์ บุคคลต้นแบบของการพัฒนาเชิงสร้างสรรค์
  • เลื่อน สามาลา ปราชญ์พื้นบ้าน ด้านทัศนศิลป์ ครูช่างตัดแต่งลายเอ้บั้งไฟ ช่างออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมไทย

อ้างอิง

[แก้]
  1. กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร. สำนักงานจังหวัดร้อยเอ็ด. "เอกลักษณ์ของจังหวัดร้อยเอ็ด." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.roiet.go.th/brand_of_roiet.htm เก็บถาวร 2007-03-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน [ม.ป.ป.]. สืบค้น 30 มกราคม 2552.
  2. ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารและงานปกครอง. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ข้อมูลการปกครอง." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dopa.go.th/padmic/jungwad76/jungwad76.htm เก็บถาวร 2016-03-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน [ม.ป.ป.]. สืบค้น 18 เมษายน 2553.
  3. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/pk/pk_64.pdf 2564. สืบค้น 10 กุมภาพันธ์ 2565.
  4. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง เปลี่ยนชื่ออำเภอ. เก็บถาวร 2011-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 34 ตอนที่ ๐ก วันที่ 29 เมษายน 2460
  5. เขียนจำนวนตามแบบภาษาลาวโบราณ
  6. "ดอนขุมเงิน และบ่อพันขัน : เกลือ และน้ำศักดิ์สิทธิ์ สร้างอาณาจักรขอมโบราณ". matichonweekly.com. 2018-05-31.
  7. "ภูมิบ้านภูมิเมือง : เมืองร้อยเอ็ด ภูมิแห่งชัยชนะของพระเจ้าจิตรเสน". naewna.com. 2014-09-07.
  8. หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร), ตำนาน เมืองนครจำปาศักดิ์ (อุบลราชธานี : ในงานฌาปนกิจศพ นายวิจิตรศักดิ์ สาระโสภณ ณ เมรุวัดเเจ้ง, ๒๕๒๗) น. ๔
  9. https://finearts.go.th/storage/contents/file/S7yoBa3aJe2AkCKdVqwQCKbvlt16f6i01xIy9q3Z.pdf
  10. 10.0 10.1 10.2 "พื้นที่อาณาเขตของเมืองศรีภูมิ(สุวรรณภูมิ)". เฟสบุ๊ค. 2021-07-15. สืบค้นเมื่อ 2023-06-23.
  11. คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์สำนักนายกรัฐมนตรี, เรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราชกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 (กรุงเทพฯ : สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๔) น. ๒๓,๔๑-๔๕
  12. https://www.finearts.go.th/nlt-korat/view/19408-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-1
  13. อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 2 , 2507 , หน้า 49-50 [1]
  14. Climatological Information for Roi Et, Thailand เก็บถาวร 2012-12-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, accessed 29 March 2012.
  15. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ population
  16. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-18. สืบค้นเมื่อ 2022-10-18.
  17. https://www.jangkhao.org/12555/
  18. https://news.trueid.net/detail/G3baGQWZ65wk
  19. https://news.trueid.net/detail/G3baGQWZ65wk
  20. https://www.77kaoded.com/news/winai/2025586

ดูเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

16°03′N 103°39′E / 16.05°N 103.65°E / 16.05; 103.65