จังหวัดบึงกาฬ
จังหวัดบึงกาฬ | |
---|---|
การถอดเสียงอักษรโรมัน | |
• อักษรโรมัน | Changwat Bueng Kan |
จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง:
| |
คำขวัญ: ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ำยางพารา งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ น้ำตกใสเจ็ดสี ประเพณีแข่งเรือ เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการหลวงพ่อใหญ่ ศูนย์รวมใจศาลสองนาง[1] | |
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดบึงกาฬเน้นสีแดง | |
ประเทศ | ไทย |
การปกครอง | |
• ผู้ว่าราชการ | จุมพฏ วรรณฉัตรสิริ[2] (ตั้งแต่ พ.ศ. 2566) |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 4,305.0 ตร.กม. (1,662.2 ตร.ไมล์) |
อันดับพื้นที่ | อันดับที่ 52 |
ประชากร (พ.ศ. 2566)[3] | |
• ทั้งหมด | 420,487 คน |
• อันดับ | อันดับที่ 62 |
• ความหนาแน่น | 97.67 คน/ตร.กม. (253.0 คน/ตร.ไมล์) |
• อันดับความหนาแน่น | อันดับที่ 49 |
รหัส ISO 3166 | TH-38 |
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด | |
• ต้นไม้ | สิรินธรวัลลี |
• ดอกไม้ | สิรินธรวัลลี |
• สัตว์น้ำ | ปลาบู่กุดทิง |
ศาลากลางจังหวัด | |
• ที่ตั้ง | ภายในศูนย์ราชการจังหวัดบึงกาฬ หมู่ที่ 5 ถนนชยางกูร ตำบลบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ 38000 |
• โทรศัพท์ | 0 4249 2719 |
• โทรสาร | 0 4249 2719 |
เว็บไซต์ | http://www.buengkan.go.th |
บึงกาฬ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนสุดของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 765 กิโลเมตร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 อันมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป[4] โดยแยกอำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และอำเภอศรีวิไล ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคาย โดยจังหวัดบึงกาฬได้รับการจัดตั้งเป็นจังหวัดลำดับที่ 76 และเป็นลำดับล่าสุดของประเทศไทย เป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองที่สำคัญของจังหวัดแถบลุ่มแม่น้ำโขง
ประวัติศาสตร์
[แก้]การตั้งถิ่นฐาน
[แก้]บึงกาฬ เดิมเป็น อำเภอไชยบุรี ในเขตการปกครองของ จังหวัดนครพนม ซึ่งมีที่ว่าการอำเภอ ตั้งอยู่ที่บริเวณปากน้ำสงคราม ก่อนที่ภายหลังจะย้ายที่ว่าการอำเภอไปที่บ้านบึงกาฬ ซึ่งเป็นพื้นที่ๆเคยขึ้นกับเมืองโพนพิสัยมาเเต่เดิม[5] ไชยบุรี เดิมชื่อ "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" อยู่ในเขตการปกครองของเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยในสมัยนั้น ตามแผ่นศิลาจารึกที่วัดไตรภูมินั้น ประวัติของเมืองไชยบุรี ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2351 หัวหน้าชาวไทยญ้อชื่อ ท้าวหม้อและนางสุนันทา ได้พาบุตรและบ่าวไพร่ อพยพโยกย้ายผู้คนพลเมืองจากเมืองหงสา (ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตอนเหนือเมืองหลวงพระบาง) อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง ลงมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณปากน้ำสงครามในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้รวบรวมผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ขึ้น และตั้งชื่อว่า “เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี” ขึ้นตรงต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ได้ตั้งให้ท้าวหม้อเป็นพระยาหงสาวดี และท้าวเล็กน้องชายท้าวหม้อเป็นอุปราชวังหน้า ท้าวหม้อมีบุตรชายคนโตชื่อท้าวโสม
พ.ศ. 2357 ได้สร้าง"วัดศรีสุนันทามหาอาราม"ต่อมาเรียกว่า"วัดไตรภูมิ" ซึ่งได้พบแผ่นศิลาจารึกในวัดนี้แปลออกมาได้ความว่า "พระศาสนาพุทธเจ้า ล่วงลับไปแล้ว 2357 พรรษา พระเจ้าหงสาวดีทั้งสองพี่น้องได้มาตั้งเมืองใหม่ในที่นี้ให้ชื่อว่า "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ในปีจอ ฉศก ตรงกับปีกาบเล็ด ในเดือน 4 แรม 11 ค่ำ วันอังคาร ภายนอกมีอาญาเจ้าวังหน้าเสนาอำมาตย์สิบร้อยน้อยใหญ่ ภายในมีเจ้าครูพุทธา และเจ้าชาดวงแก้ว เจ้าชาบา เจ้าสีธัมมา เจ้าสมเด็จพุทธา และพระสงฆ์สามเณรทุกพระองค์ พร้อมกันมักใคร่ตั้งใจไว้ยังพุทธศาสนา จึงให้นามวัดนี้ว่า "วัดศรีสุนันทามหาอาราม" ตามพุทธบัญญัติสมเด็จพระองค์เจ้า ซึ่งมีจิตตั้งไว้ในพุทธศาสนาสำเร็จในปีกดสี เดือน 5 เพ็ญวันจันทร์ มื้อฮวงมด ขอให้ได้ตามคำมัก คำปรารถนาแห่งปวงข้าทั้งหลาย เทอญ"
ชื่อเดิมตามศิลาจารึกว่า "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" นั้นหมายถึงเมืองที่มีชัยชนะและอุดมสมบูรณ์ ที่ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่า ในสมัยที่ตั้งเมืองนั้นมีการทำสงครามระหว่างกรุงเทพฯ - เมืองเวียงจันทน์ - ญวนอยู่บ่อย ๆ สำหรับเรื่องความอุดมสมบูรณ์นั้นเล่ากันว่า ไชยบุรีเป็นเมืองที่ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" อย่างอุดมสมบูรณ์เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำสงครามจึงจับปลา ได้อย่างสะดวก และสมัยเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมา ปลาในแม่น้ำโขงแม่น้ำสงครามมีมาก ขนาดที่เพียงแต่พายเรือเลียบไปตาม ริมฝั่งน้ำในเวลา ประมาณ 1 ทุ่มเป็นต้นไปโดยพายไปเบา ๆ พอไปถึงจุดใดจุดหนึ่งแล้วก็กระทึบเรือ หรือขย่มเรือให้มีเสียงดังก็มีปลา (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาสร้อย) ตกใจแล้วกระโดดเข้าไปในเรือเองเป็นจำนวนมาก ทำอย่างนี้ไปประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็ได้ปลาเหลือใช้แล้ว แจกญาติพี่น้อง แต่ภายหลังมาเปลี่ยนเป็น "ไชยบุรี" นั้นก็เพราะว่า ค่านิยมในเรื่องภาษา หรือการใช้ภาษาในท้องถิ่นนี้ ไม่ชอบพูดคำยาว ๆ เช่น "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ก็ใช้เพียงคำ หัว กับ ท้าย ส่วนกลางตัด ดังนั้นจึงเหลือเพียง "ไชยบุรี" เท่านั้น เพราะเรียกง่ายและจำง่าย
ตำนานเล่าขานว่าไชยบุรีไม่ได้เป็นเมืองของผู้ไทยโดยแท้ แต่มีตำนานสอดคล้องกับชาวผู้ไทย ไชยบุรีเดิมเป็นเมืองปากน้ำศรีสงครามตามพงศาวดารรัชกาลที่ 3 (พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2505 เล่ม 2 หน้า 179) ว่าได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกขึ้นเป็นเมืองในสมัยรัชกาลที่ 3 การยกขึ้นเป็นเมืองคราวนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าว่า มีเรื่องประหลาดที่หม่อมฉันไปทราบความในท้องถิ่นว่า
".....ดั้งเดิมราษฎรเมืองท่าอุเทนกับเมืองไชยบุรี ซึ่งอยู่ในแนวลำน้ำโขงติดต่อกันอพยพหนีไปอยู่ทางฝั่งซ้ายใกล้แดนญวน พวกชาวเมืองไชยบุรีกลับมาก่อนเห็นว่าที่นาเมืองท่าอุเทนดีจึงพากันไปตั้งอยู่ที่เมืองท่าอุเทน เมื่อชาวเมืองท่าอุเทนกลับมาพบเห็นว่าบ้านเดิมของตนกลับเป็นของคนอื่นแล้ว จึงพากันไปตั้งอยู่เมืองไชยบุรี ราษฎรก็ไขว้เมืองกันมาตั้งแต่นั้น.....” (สาส์นสมเด็จ ฉบับโรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ. 2504 เล่ม 6 หน้า 297)
ตามหนังสือฝั่งขวาแม่น้ำโขงกล่าวว่าได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกบ้านปากน้ำสงครามขึ้นเป็นเมืองไชยบุรี เมื่อ พ.ศ. 2373 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ ท้าวหม้อกลัวภัยจึงอพยพพาครอบครัวบ่าวไพร่หนีไปเมืองปุงลิง เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรีจึงเป็นเมืองร้าง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) แม่ทัพไทยยกทัพมาปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ครั้งที่ 2 ได้จัดราชการหัวเมืองภาคอีสานด้วย (พ.ศ. 2369-2371)โดยสั่งให้พระยาวิชิตสงครามตั้งทัพอยู่ที่เมืองนครพนม ให้ราชวงศ์ (แสน) จากเมืองเขมราฐ เป็นนายด่านตั้งกองรักษาปากน้ำสงคราม คุมไพร่พลไปตั้งอยู่ "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ซึ่งเป็นเมืองร้าง โดยมีท้าวไชย กรมการเมืองยโสธร (ท้าวไชย บุตรอุปฮาด เมืองอุบลราชธานี) ท้าวขัตติยะ กรมการเมืองอุบลราชธานีพาไพร่พลเมืองยโสธรและเมืองอุบลราชธานีมาเป็นกำลังรักษาด่านด้วย) เมื่อปราบขบถจนราบคาบแล้ว ต่อมาเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)จึงได้ทูลขอรัชกาลที่ 3ปูนบำเหน็จ ได้มีท้องตราราชสีห์แต่งตั้งให้ ราชวงศ์ (แสน) เป็น พระยาไชยราชวงษา ปกครองเมืองไชยบุรี (เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี) ซึ่งเป็นต้นตระกูล “เสนจันทร์ฒิไชย” ในปัจจุบัน
เมื่อปราบปรามกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์จบลงแล้ว พ.ศ. 2376 พระยามหาอำมาตยาธิบดี (ป้อม อมาตยกุล) เป็นแม่ทัพตั้งอยู่ ณ เมืองนครพนมอีกครั้งหนึ่ง ได้ไปกวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตามแนวบริเวณใกล้กับแดนญวน อันมีกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆเช่น ผู้ไท ข่า โซ่ กะเลิง แสก ญ้อ และโย้ย ให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่เจ้าอนุวงศ์ และญวน และได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองปุงเลง ซึ้งเป็นชาวไทยญ้อให้กลับมาด้วย โดยมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าอุเทนร้าง ริมฝั่งขวาแม่น้ำโขง เป็นที่ตั้งเมืองใหม่ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ท้าวพระปทุม เจ้าเมืองปุงเลง เป็นพระศรีวรราช เจ้าเมืองท่าอุเทนคนแรก ต้นตระกูล“กิตติศรีวรพันธ์” ในปัจจุบัน
เมื่อ พ.ศ. 2384 โดยมีพระมหาสงครามเป็นแม่ทัพ ได้เกณฑ์กองทัพจากเมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี เมืองสกลนคร เมืองแสน รวมกำลังพล 3,300 คน (พงศาวดารรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2505 เล่ม 2 หน้า 60) ซึ่งพอจะสันนิษฐานได้ว่าเมืองไชยบุรีได้ตั้งเป็นเมืองอย่างมั่นคงแล้ว จากสาส์นตราเจ้าพระยาจักรีสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2381 ได้กล่าวถึงเมืองไชยบุรีว่า อนึ่ง หลวงศรีโยธา หมื่นภิรมย์รักษา ข้าหลวง หลวงประสิทธิ์สงครามกองนอกเมืองนครราชสีมา พระสุนทรราชวงษา พระยาไชยสุนทรเมืองกาฬสินธุ์ บอกไว้แต่ก่อนว่าครอบครัวเมืองคำเกิด บ้านนาอาว นาซอง ชาย หญิง ใหญ่น้อย 200 คน ได้ข้ามมาทางเมืองไชยบุรี เจ้าเมืองกรมการเมืองไชยบุรีว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเวียงจันทน์ อุปฮาดราชวงศ์เมืองคำเกิด คำม่วน ว่าเป็นครอบครัวเมืองคำเกิด เมืองคำม่วน เวียงจันทน์ชักเอาไป ครั้นเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์แตกไปอยู่เมืองมหาชัย เจ้าอนุเวียงจันทน์มอบครอบครัวนี้ให้เมืองคำเกิด คำม่วนตามเดิม เจ้าเมืองไชยบุรีก็ส่งครอบครัวคืนให้ไป 67 คน ชักเอาไว้ที่เมืองไชยบุรี 133 คน ครอบครัวเมือง คำเกิด คำม่วน ข้ามมาทางเมืองท่าอุเทน ชาย หญิง ผู้ใหญ่ 153 คน พระศรีวรราชเจ้าเมืองท่าอุเทน ชักเอาไว้ 30 คน และส่งไปอยู่ที่บ้านแซงกระดาน 123 คน นั้นพระสุนทรราชวงษากับพระไชยวงษาเจ้าเมืองไชยบุรีราชบุตรเมืองท่าอุเทน เจ้าเมืองท้าวเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำม่วนลงไปพร้อม ณ กรุงเทพมหานคร ก็ได้ว่ากล่าวด้วยครัวรายเมือง (รายงาน) เมืองคำเกิด คำมวน (คำม่วน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ เมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน พระไชยวงษา ราชบุตรเมืองท่าอุเทนว่า ครอบครัวเมืองไชยบุรีกับเมืองท่าอุเทนมีความสมัครใจ เจ้าเมือง ราชบุตร ท้าวเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำมวน(คำม่วน) ก็ยอมให้ครอบครัวอยู่ตามใจสมัครนั้น ครอบครัวฟากตะวันออกเข้าสวามิภักดิ์ว่าพากันข้ามมาแต่โดยดีมีตราขึ้นมาแต่ก่อนว่าครัวจะสมัครใจอยู่เมืองไหนก็ให้อยู่ตามใจสมัครที่แจ้งอยู่ในท้องตราแต่ก่อนแล้วนั้น และครัวเมืองคำเกิด เมืองคำมวน (คำม่วน) ซึ่งสมัครใจอยู่เมืองไชยบุรี 133 คน สมัครใจอยู่เมืองท่าอุเทน 30 คน เจ้าเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำมวน(คำม่วน) ก็ยอมให้ครัวอยู่ตามใจสมัครชอบอยู่แล้ว (นายถวิล เกสรราช สันนิษฐานว่าจากหลักฐานก็เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า เจ้าเมืองไชยบุรีนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นพระไชยวงษาแต่ไม่ปรากฏชื่อตัว สำหรับอุปฮาดราชวงศ์และราชบุตรก็ค้นหาไม่พบว่ามีชื่อว่าอย่างไรบ้าง)
พ.ศ. 2457 มีประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 6 เมษายน 2457 ปรับปรุงเขตอำเภอสำหรับการปกครองในมณฑลอุดรได้กล่าวถึง อำเภอไชยบุรี ท้องที่อำเภอโพนพิสัยนั้น ตามลำน้ำของ (โขง) ไปทางใต้ราว 4,000 เส้น กรมการอำเภอโพนพิสัย ดูงานไม่ทั่วถึงและอำเภอไชยบุรี ก็ตั้งอยู่บัดนี้ก็ใกล้อำเภอท่าอุเทนเกินไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตัดท้องที่อำเภอโพนพิสัยตอนใต้ (ครอบคลุมพื้นที่ของบ้านบึงกาญจน์ หรืออำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ ในปัจจุบัน)[5] ไปรวมกับท้องที่อำเภอไชยบุรี และให้ย้ายที่ว่าการอำเภอไชยบุรีมาตั้งที่บ้านบึงกาญจน์จรดริมแม่น้ำของ(โขง)ฝั่งตรงข้ามเมืองบริคันฑ์ แขวงเวียงจันทน์ เพราะเป็นศูนย์กลางเหมาะแก่การปกครองท้องที่อำเภอ และอำเภอไชยบุรีก็ยังคงขึ้นเมืองนครพนมตามเดิม[6]
ครั้นในปีต่อมา พ.ศ. 2459 มีประกาศพระบรมราชโองการเรื่อง โอนอำเภอไชยบุรีไปขึ้นจังหวัดหนองคาย ลงวันที่ 22 มีนาคม 2459 มีความว่าทรงทราบฝ่าละอองธุรีพระบาทว่าอำเภอไชยบุรี ซึ่งเป็นอำเภอขึ้นจังหวัดนครพนมเวลานี้ (พ.ศ. 2459) มีท้องที่และระยะทางห่างไกลจากจังหวัดนครพนมมาก เป็นการลำบากแก่ราษฎรที่อยู่ในแขวงอำเภอไชยบุรี ผู้มีกิจสุขทุกข์จะมายังจังหวัดนครพนมและทั้งไม่เหมาะแก่การปกครอง จึงทรงพระราชดำริว่าสมควรจะโอนอำเภอไชยบุรี มาขึ้นจังหวัดหนองคาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้โอนอำเภอไชยบุรีมาขึ้นจังหวัดหนองคาย ตั้งแต่บัดนี้ (พ.ศ. 2459) เป็นต้นไป[7]
ซึ่งตามนัยเนื้อหาของพระบรมราชโองการแสดงให้เห็นและเข้าใจว่า หมายถึงการโอนเมืองไชยบุรีที่ตั้งที่ว่าการอยู่ที่บ้านบึงกาญจน์ จนกระทั่งมีการไปขึ้นกับจังหวัดหนองคาย แล้วต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบึงกาญจน์ ขึ้นกับจังหวัดหนองคาย ส่วนบ้านปากน้ำสงครามที่เป็นเมืองไชยบุรีเดิมนั้นก็ยังคงมีชื่ออยู่ มิได้โอนไปขึ้นกับจังหวัดหนองคายแต่อย่างใด ยังคงมีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครพนมอยู่เหมือนเดิม ดังปรากฏ หลักฐานในประกาศเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่รับพระราชโองการให้เรียกชื่ออำเภอทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 24 เมษายน 2460 มีความว่า อำเภอไชยบุรี ในจังหวัดนครพนมนั้นคงให้เรียกชื่ออำเภอไชยบุรีตามเดิม[8] ซึ่งเวลาต่อมาได้ถูกยุบลงให้เป็นตำบลไชยบุรี ขึ้นอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
พ.ศ. 2475 ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งเดินทางมาตรวจราชการที่อำเภอไชยบุรี จังหวัดหนองคายพบว่า หมู่บ้านบึงกาญจน์ มีหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง กว้างประมาณ 160 เมตร ยาวประมาณ 3,000 เมตร มีน้ำขังตลอดปี ชาวบ้านได้อาศัยน้ำในบึงแห่งนี้บริโภคและใช้สอย ชาวบ้านเรียก "บึงกาญจน์" เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป จึงได้พิจารณาและจัดทำรายงานไปยังกระทรวงมหาดไทย ขอเปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอไชยบุรีเป็น "อำเภอบึงกาญจน์" ตั้งแต่นั้นมา
พ.ศ. 2477 ทางราชการได้พิจารณาเห็นว่า บึงกาญจน์ ซึ่งแปลว่าน้ำสีทองนั้น ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เพราะน้ำเป็นสีคล้ำค่อนข้างดำ จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ให้สอดคล้องกับความหมาย และความเป็นจริงของน้ำในบึงว่า “บึงกาฬ” ทางการจึงได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอบึงกาญจน์ เป็น"อำเภอบึงกาฬ" เพื่อความสะดวกและเข้าใจง่าย นายอำเภอคนแรกคือ รองอำมาตย์โท พระบริบาลศุภกิจ (คำสาย ศิริขันธ์) ต่อมาได้แยกอำเภอเซกา อำเภอพรเจริญ อำเภอศรีวิไล และ อำเภอบุ่งคล้า ออกจากอำเภอบึงกาฬ ตามลำดับ
การจัดตั้งเป็นจังหวัด
[แก้]ใน พ.ศ. 2537 นายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย เสนอให้จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้น โดยกำหนดจะแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย รวมเป็นท้องที่ทั้งหมด 4,305 ตารางกิโลเมตร[9] และมีประชากรประมาณ 390,000 คน[10] อย่างไรก็ดี กระทรวงมหาดไทย แจ้งผลการพิจารณาว่า ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐ ซึ่งจะขัดกับมติคณะรัฐมนตรี[11]
โครงการร้างมาเกือบ 20 ปี กระทั่ง พ.ศ. 2553 นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองคาย ได้ยื่นกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ (ซึ่งต่อมานายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติจังหวัดบึงกาฬเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา พรบ.จังหวัดบึงกาฬ ด้วย) กระทรวงมหาดไทยจึงได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อยก "ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ..."[10] ผลการสำรวจความเห็นของประชาชนจังหวัดหนองคายในคราวเดียวกัน ปรากฏว่า ร้อยละ 98.83 เห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ [10] ต่อมา วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ[12][13] โดยให้เหตุผลว่า[14]
- เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในเรื่องอำเภอ จำนวนประชากร และลักษณะพิเศษของจังหวัด อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อการให้บริการแก่ประชาชน,
- จังหวัดหนองคายเป็นพื้นที่แนวยาวทอดตามแม่น้ำโขง จึงมีผลต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน,
- จังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดอำนาจเจริญที่เคยตั้งขึ้นใหม่ก็มีเนื้อที่น้อยกว่าหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรีเช่นกัน,
- จังหวัดที่ตั้งขึ้นใหม่ไม่ให้บริการสาธารณะซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- บุคลากรจำนวน 439 อัตรา สามารถกระจายกันในส่วนราชการได้ ไม่มีผลกระทบมาก
ต่อมารัฐสภาได้มีมติเห็นชอบ "ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ..." เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554[15] นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงนำร่างพระราชบัญญัติขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภิไธย โดยทรงลงเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 และประกาศเป็น "พระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554" ลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554 และบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้น (23 มีนาคม) จึงถือว่าวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 เป็นวันตั้งจังหวัดบึงกาฬ[4] เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ มีว่า
"...เนื่องจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่มีท้องที่ติดชายแดน และมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแนวยาว ทำให้การติดต่อระหว่างอำเภอที่ห่างไกลและจังหวัดเป็นไปด้วยความยากลำบาก และใช้ระยะเวลาในการเดินทางมากเกินควร ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบการปกครอง การรักษาความมั่นคง และการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในท้องที่ สมควรแยกอำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และอำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคาย รวมตั้งขึ้นเป็นจังหวัดบึงกาฬ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"
นอกจากมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่ให้จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ โดยมีองค์ประกอบเป็นอำเภอทั้งแปดข้างต้นแล้ว มาตรา 4 ยังให้เปลี่ยนชื่อ "อำเภอบึงกาฬ" เป็น "อำเภอเมืองบึงกาฬ" ด้วย
เมื่อวันที่ 22-25 มีนาคม พ.ศ. 2554 มีการจัดงานฉลองจังหวัดบึงกาฬอย่างยิ่งใหญ่ โดยมี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น เป็นประธานในพิธี[16]
ภูมิศาสตร์
[แก้]อาณาเขต
[แก้]บึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับประเทศลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นแนวพรมแดน
- ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว และจังหวัดนครพนม
- ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดสกลนคร
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว และจังหวัดหนองคาย
สภาพภูมิประเทศ
[แก้]จังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ แวดล้อมไปด้วยภูเขาและน้ำตกที่สวยงาม เช่น น้ำตกเจ็ดสี, น้ำตกตากชะแนน ที่อยู่ภายในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว พื้นที่ส่วนใหญ่ในจังหวัดเป็นที่ราบลุ่ม
สภาพอากาศ
[แก้]ภูมิอากาศที่จังหวัดบึงกาฬค่อนข้างดี เพราะได้อิทธิพลจากแม่น้ำโขงทำให้อากาศไม่ร้อนมากในช่วงถดูร้อน ในฤดูหนาวอากาศดีเหมาะแก่การท่องเที่ยวและพักผ่อนโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญจังหวัดบึงกาฬมักจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจองห้องพักต่อเนื่อง
ข้อมูลภูมิอากาศของจังหวัดบึงกาฬ (พ.ศ. 2504-2533) | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 29 (84) |
31 (88) |
35 (95) |
34 (93) |
33 (91) |
32 (90) |
32 (90) |
31 (88) |
31 (88) |
31 (88) |
30 (86) |
28 (82) |
31.4 (88.6) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 16 (61) |
18 (64) |
21 (70) |
23 (73) |
24 (75) |
24 (75) |
24 (75) |
24 (75) |
24 (75) |
22 (72) |
19 (66) |
15 (59) |
21.2 (70.1) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 7 (0.28) |
10 (0.39) |
30 (1.18) |
89 (3.5) |
240 (9.45) |
278 (10.94) |
249 (9.8) |
336 (13.23) |
275 (10.83) |
76 (2.99) |
12 (0.47) |
3 (0.12) |
1,605 (63.19) |
[ต้องการอ้างอิง] |
การปกครอง
[แก้]การปกครองส่วนภูมิภาค
[แก้]จังหวัดบึงกาฬแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ, 53 ตำบล และ 615 หมู่บ้าน ซึ่งอำเภอทั้ง 8 อำเภอมีดังนี้
เลข | ชื่ออำเภอ | จำนวนตำบล | ประชากร (พ.ศ. 2563) [ต้องการอ้างอิง] |
พื้นที่ (ตร.กม.) |
ความหนาแน่น (คน/ตร.กม.) |
---|---|---|---|---|---|
1 | เมืองบึงกาฬ | 12 | 98,873 | 791.842 | 117.28 |
2 | พรเจริญ | 7 | 44,331 | 362.418 | 122.33 |
3 | โซ่พิสัย | 7 | 71,626 | 985.262 | 72.70 |
4 | เซกา | 9 | 86,737 | 978.429 | 88.65 |
5 | ปากคาด | 6 | 34,796 | 218.1 | 159.54 |
6 | บึงโขงหลง | 4 | 37,671 | 398.152 | 94.62 |
7 | ศรีวิไล | 5 | 39,995 | 327.901 | 121.97 |
8 | บุ่งคล้า | 3 | 14,012 | 243.642 | 57.52 |
รวม | 53 | 422,041 | 4,305.0 | 98.04 |
รายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัด
[แก้]รายชื่อ | วันที่ดำรงตำแหน่ง |
---|---|
1. นายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา[17] | 23 มีนาคม 2554 – 27 พฤศจิกายน 2554 |
2. นายพรศักดิ์ เจียรณัย[17] | 28 พฤศจิกายน 2554 – 8 ตุลาคม 2555 |
3. นายธงชัย ลืออดุลย์[17] | 19 พฤศจิกายน 2555 – 20 มิถุนายน 2556 |
4. นายพงศธร สัจจชลพันธ์[17] | 21 มิถุนายน 2556 – 30 กันยายน 2556 |
5. นายชโลธร ผาโคตร[17] | 1 ตุลาคม 2556 – 30 กันยายน 2557 |
6. นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์[17] | 3 พฤศจิกายน 2557 – 30 กันยายน 2559 |
7. นายพิสุทธิ์ บุษยพรรณพงศ์ | 1 ตุลาคม 2559 – 5 กรกฎาคม 2561 |
8. นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร[18] | 6 กรกฎาคม 2561 – 30 กันยายน 2562 |
9. นายสนิท ขาวสอาด | 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2565 |
10. นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ | 2 ธันวาคม 2565 – 30 กันยายน 2566 |
11. นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ | 17 ธันวาคม 2566 – ปัจจุบัน |
การปกครองส่วนท้องถิ่น
[แก้]องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ในการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัดบึงกาฬ มีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และมีสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 24 คน[19]
ภายในพื้นที่ของจังหวัดบึงกาฬแบ่งออกเป็นเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับล่างหรือระดับพื้นฐานจำนวนทั้งหมด 57 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมือง 1 แห่ง, เทศบาลตำบล 17 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 39 แห่ง[20] รายชื่อเทศบาลทั้งหมดในจังหวัดบึงกาฬมีดังนี้
- อำเภอเมืองบึงกาฬ
- เทศบาลเมืองบึงกาฬ
- เทศบาลตำบลโคกก่อง
- เทศบาลตำบลไคสี
- เทศบาลตำบลโนนสว่าง
- เทศบาลตำบลหนองเลิง
- เทศบาลตำบลหอคำ
- อำเภอเซกา
- เทศบาลตำบลซาง
- เทศบาลตำบลท่าสะอาด
- เทศบาลตำบลป่งไฮ
- เทศบาลตำบลศรีพนา
- อำเภอโซ่พิสัย
- เทศบาลตำบลโซ่พิสัย
- อำเภอบึงโขงหลง
- เทศบาลตำบลบึงโขงหลง
- เทศบาลตำบลบึงงาม
- อำเภอปากคาด
- เทศบาลตำบลปากคาด
- อำเภอพรเจริญ
- เทศบาลตำบลดอนหญ้านาง
- เทศบาลตำบลพรเจริญ
- เทศบาลตำบลศรีสำราญ
- อำเภอศรีวิไล
- เทศบาลตำบลศรีวิไล
การศึกษา
[แก้]สถานศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน
[แก้]ดูเพิ่มเติมได้ที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดบึงกาฬ
จังหวัดบึงกาฬ มีสถาบันการศึกษาหลายแห่ง โดยแบ่งเป็นระดับประถมศึกษา 1 เขต และมัธยมศึกษา 1 เขต (ไม่รวมสังกัด อปท.)
การแบ่งเขตพื้นที่มัธยมศึกษา
[แก้]- สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบึงกาฬ - ครอบคลุมโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัด 25 แห่ง
การแบ่งเขตพื้นที่ประถมศึกษา
[แก้]แบ่งเป็นระดับประถมศึกษา 1 เขต
- สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ
สถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา
[แก้]อาชีวศึกษารัฐ
[แก้]- วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ
- วิทยาลัยเทคนิคเซกา
อาชีวศึกษาเอกชน
[แก้]- วิทยาลัยเทคโนโลยีบริหารธุรกิจรักไทยบึงกาฬ
- วิทยาลัยเทคโนโลยีเอ็น – เทคอินเตอร์เนชั่นแนล
- วิทยาลัยอาชีวศึกษาพรเจริญ
วิทยาลัยเทคโนโลยีเอ็น-เทค บริหารธุรกิจปากคาด
วิทยาลัยเทคโนโลยีโซ่พิสัย
สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา
[แก้]สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
[แก้]สถาบันอุดมศึกษาในกำกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
[แก้]สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
[แก้]- มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ศูนย์บริการการศึกษาบึงกาฬ
- มหาวิทยาลัยปทุมธานี ห้องเรียนจังหวัดบึงกาฬ
การสาธารณสุข
[แก้]ด้านการสาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ ประกอบด้วย
โรงพยาบาลรัฐบาล 8 แห่ง
|
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 1 แห่ง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ 8 แห่ง
|
การคมนาคม
[แก้]ระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่างๆ
[แก้]- อำเภอศรีวิไล 27 กิโลเมตร
- อำเภอบุ่งคล้า 40 กิโลเมตร
- อำเภอพรเจริญ 45 กิโลเมตร
- อำเภอปากคาด 47 กิโลเมตร
- อำเภอโซ่พิสัย 64 กิโลเมตร
- อำเภอเซกา 71 กิโลเมตร
- อำเภอบึงโขงหลง 73 กิโลเมตร
การท่องเที่ยว
[แก้]แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
[แก้]- เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว (อำเภอบุ่งคล้า) ผืนป่าใหญ่ของจังหวัดบึงกาฬ และเป็นป่าอนุรักษ์ที่สวยสมบูรณ์ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในพื้นที่มีน้ำตกสวยงามหลายแห่ง โดยมีน้ำตกชะแนนเป็นน้ำตกขนาดใหญ่สุด
- น้ำตกเจ็ดสี (อำเภอเซกา) น้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว สายน้ำไหลตกจากหน้าผาหินทรายแล้วแผ่กว้างออกสวยงามตระการตา ด้านล่างมีแอ่งน้ำสำหรับเล่นน้ำและโขดหินให้นั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ
- น้ำตกตาดกินรี (อำเภอบึงโขงหลง) อยู่ในป่าภูลังกา เป็นน้ำตกใหญ่ไหลลงสู่หุบเหว น้ำตกชั้นบนไหลลดหลั่นกันไปตามลานหินกว้าง และมีแอ่งน้ำใสให้สามารถลงไปเล่นน้ำกันได้ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูลังกา
- น้ำตกตาดวิมานทิพย์ (อำเภอบึงโขงหลง) ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภุลังกา อำเภอบึงโขงหลง
- บึงโขงหลง (อำเภอบึงโขงหลง) ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์นก โดยเฉพาะนกน้ำที่ย้ายถิ่นเข้ามาในช่วงฤดูหนาว ทั้งห่านป่า นกเป็ดน้ำ นกยาง นกกระเต็น มีจุดดูนกอยู่ดอนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง บริเวณบึงยังมีหาดคำสมบูรณ์ที่มีหาดทรายทอดยาวในช่วงฤดูหนาว เป็นแหล่งพักผ่อนและชมวิวทิวทัศน์ มองเห็นภูลังกาเป็นฉากหลัง
- ภูสิงห์ (อำเภอศรีวิไล) ภูเขาหินทรายสีชมพูที่ทอดตัวยาว มีสำนักสงฆ์หลายแห่งตลอดแนวภูเขา ทำให้มีความเป็นธรรมชาติมาก มีต้นไม้นานาชนิดขึ้นปกคลุมทั้งด้านล่างและด้านบนภูเขานั้นเป็นพลาญหินลานกว้างสามารถขับรถขึ้นไปได้ มีหินลักษณะต่างด้านบนที่สวยงาม เช่น หินสามวาฬ ภูเขาหินทรายสีชมพูที่มีลักษณะเหมือนปลาวาฬ 3 ตัว ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาของภูสิงห์ เป็นต้น ช่วงฤดูร้อนจะมองเห็นภูมิประเทศเบื้องล่างได้ไกลถึงฝั่งประเทศลาวและแม่น้ำโขงซึ่งมีความความสวยงามมาก ส่วนในช่วงฤดูฝน-หนาว หากเดินทางขึ้นมาในช่วงเช้าจะเห็นทะเลหมอกทั่วทั้งบริเวณบนภูเขา
- ภูทอก (อำเภอศรีวิไล) ภูเขาหินทรายที่มีวัดเจติยาคีรีวิหาร ตั้งอยู่เชิงเขา และมีสะพานไม้สร้างวนเวียนขึ้นไปสู่ยอดเขารวม 7 ชั้น เพื่อเป็นทางเดินขึ้นไปยังกุฏิและถ้ำที่อยู่ตามหลืบผา และมองเห็นความสวยงามของภูมิประเทศเบื้องล่างได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ถ้าในวันที่อากาศแจ่มใสอาจมองได้ไกลถึงเทือกเขาในเขตจังหวัดนครพนม
- วัดสว่างอารมณ์ (อำเภอปากคาด) ภายในวัดมีโบสถ์อยู่ยนก้อนหินใหญ่ หลืบถ้ำด้านล่างเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ปางปรินิพพาน บริเวณด้านบนก้อนหินเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์สวยงามของแม่น้ำโขง
- หาดทรายขาว (อำเภอเมืองบึงกาฬ) เป็นหาดทรายขาวริมฝั่งแม่น้ำโขงที่สวยงามระยะทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อยามเช้าและเย็นอากาศดี ลมพัดเย็นสบาย และความสวยงามเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
- แก่งอาฮง (อำเภอเมืองบึงกาฬ) เป็นแก่งหินกลางลำน้ำโขง บริเวณหน้าวัดอาฮงศิลาวาส บ้านอาฮง ตำบลไคสี ถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุดไม่สามารถวัดความลึกได้ กระแสน้ำบริเวณแก่งอาฮงจะไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลาก และมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น "สะดือแม่น้ำโขง" แม่น้ำโขงบริเวณแก่งอาฮงมีความกว้างประมาณ 300 เมตรในฤดูน้ำลด และมีความกว้างราว 400 เมตรในฤดูน้ำหลาก และจะสามารถมองเห็นแก่งได้ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมของทุกปี และกลุ่มหินที่ปรากฏบริเวณแก่งอาฮงจะมีชื่อเรียกตามลักษณะของหิน เช่น หินลิ้น นาค หินปลาเข้ ถ้ำปลาสวาย นอกจากจะเป็นแหล่งพักผ่อนและสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอเมืองบึงกาฬแล้ว ยังเป็นหนึ่งในสถานที่เกิดปรากฏการณ์ "บั้งไฟพญานาค" ในช่วงประเพณีออกพรรษาจะมีนักท่องเที่ยวมาพักเที่ยวชมบั้งไฟพญานาคบริเวณบ้านอาฮงเป็นจำนวนมาก จะมีมากในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ที่ปฏิทินไทยกับปฏิทินประเทศลาวตรงกัน และชาวบ้านโดยรอบยังอาศัยทำการประมงด้วย
- หนองกุดทิง (อำเภอเมืองบึงกาฬ) แหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่ชุ่มน้ำที่ยังความเป็นธรรมชาติไว้อย่างแท้จริง ด้วยมีพื้นที่เชื่อมต่อแม่น้ำโขง ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีความความหลากหลายทางชีวภาพจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับโลก (พื้นที่แรมซาร์) แห่งที่ 11 ของประเทศไทย หนองกุดทิง มีพื้นที่ราว 22,000 ไร่ มีสัตว์น้ำอาศัยอยูมากกว่า 250 สายพันธุ์ มีปลาที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกถึง 20 สายพันธุ์ มีนกพันธุ์ต่าง ๆ กว่า 40 ชนิด เหมาะสำหรับการมาพักผ่อน ชื่นชมธรรมชาติในวันสบาย ๆ
- ตลาดสองฝั่งโขง (อำเภอเมืองบึงกาฬ) เป็นตลาดริมแม่น้ำโขงที่มีพ่อค้าแม่ค้าทั้งคนไทยและคนลาวข้ามฟากมาเปิดขายสินค้าในท้องถิ่นกันอย่างคึกคัก ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง เสื้อผ้า ของกินพื้นถิ่น เดินเล่นในบรรยากาศแบบพื้นบ้าน ติดตลาดเฉพาะวันอังคารกับวันศุกร์
- น้ำตกถ้ำพระ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ เป็นแหล่งน้ำตกที่สวยงามอีกหนึ่งที่
แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
[แก้]แหล่งท่องเที่ยวศิลปวัฒนธรรมประเพณีและกิจกรรม
[แก้]ประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัดบึงกาฬได้รับการสืบทอดมาอย่างรุ่นต่อรุ่นอย่างไม่ขาดหาย เพราะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างดี เทศกาลต่าง ๆ ของจังหวัดบึงกาฬ เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟ, เทศกาลสงกรานต์, ประเพณีแข่งขันเรือยาว, วันยางพาราบึงกาฬ, หนาวดีดี ที่บึงกาฬ
สวนสาธารณะ
[แก้]น้ำตกที่มีชื่อเสียงแต่ละอำเภอ
[แก้]- อำเภอบึงโขงหลง น้ำตกกินรี, น้ำตกตาดวิมานทิพย์, น้ำตกลานดอกเงิน
- อำเภอเซกา น้ำตกเจ็ดสี (น้ำตกสะอาม),น้ำตกชะแนน, น้ำตกถ้ำพระ, น้ำตกหินสะเลิศ
- อำเภอบุ่งคล้า น้ำตกถ้ำฝุ่น
อุทยานแห่งชาติ/วนอุทยาน
[แก้]- อุทยานแห่งชาติภูลังกา (นครพนม-บึงกาฬ) ที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลไผ่ล้อม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม สถานที่ท่องเที่ยวของอุทยานฯ ในเขตจังหวัดบึงกาฬ ได้แก่ น้ำตกกินรี น้ำตกตาดวิมานทิพย์ อำเภอบึงโขงหลง
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ตั้งอยู่ที่อำเภอบุ่งคล้า
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง ที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านต้อง อำเภอเซกา
- วนอุทยานภูสิงห์ (หินสามวาฬ) ที่ทำการวนอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลโคกก่อง อำเภอเมืองบึงกาฬ
ชาวบึงกาฬที่มีชื่อเสียง
[แก้]พระเถระ
[แก้]- หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม วัดป่าภูกระแต (วัดสามัคคีอุปถัมภ์) อำเภอเมืองบึงกาฬ
- หลวงปู่ทองคำ กาญจนวัณโณ วัดถ้ำบูชา อำเภอเซกา
- หลวงปู่เสถียร คุณวโร วัดถ้ำพระภูวัว อำเภอเซกา
- หลวงปู่ทุย ฉันทกโร วัดป่าดานวิเวก อำเภอโซ่พิสัย
- หลวงตาแยง สุขกาโม วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอศรีวิไล
- หลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร วัดป่าวิเวกพัฒนาราม อำเภอพรเจริญ
- หลวงปู่อุดม ญาณรโต วัดป่าสถิตย์ธรรมาราม อำเภอพรเจริญ
- หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอศรีวิไล
- หลวงปู่อ่อนสา ปัญฺญาณวโร (พระครูสิริวรยุต) วัดศรีบุญเรือง อำเภอปากคาด
- หลวงตาสมพร ธมฺมธีโร (พระครูภาวนาธรรมวิสุทธิ์) วัดสุทธิวนาราม อำเภอปากคาด
นักแสดง
[แก้]- หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล
- อมรรัตน์ กิตติกาวสุวรรณ (แพรว) นักแสดงละครชุด ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ฤดูกาลที่ 1 และเจ้าของธุรกิจเครื่องประดับเวลเมล
- รชตะ หัมพานนท์
นักร้อง
[แก้]- อาม ชุติมา นักร้อง นักแต่งเพลง
- เต้ย อธิบดินทร์ นักร้อง นักแต่งเพลง
- ชลที ศรีแก้ว (หลี่ถัง) ผู้ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จากรายการไมค์ทองคำ ซีซั่น 1
- วิวัฒน์ ถีรัตถา (หมอยา) ผู้ได้รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จากรายการลูกทุ่งสิบทิศ (อาชีพหมอ) ช่องเวิร์คพอยท์ 23
- สีเผือก คนด่านเกวียน นักร้องวงดนตรีเพื่อชีวิต
- ภู ศรีวิไล
นางงาม
[แก้]- มิณทร์ลดา สร่างโศก (กิ๊ฟท์) รองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2558
- รวิสรา สวยสมเรียม (พลอยทราย) ผู้ได้ตำแหน่งมิสแกรนด์ไรส์ซิ่งสตาร์ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2016
นักการเมือง
[แก้]- ทรงศักดิ์ ทองศรี
- เชิดพงศ์ ราชป้องขันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบึงกาฬ สังกัดพรรคเพื่อไทย
- ภัทรพร ราชป้องขันธ์ (ก้อย) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบึงกาฬ สังกัดพรรคเพื่อไทย (เสียชีวิตแล้ว)
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดบึงกาฬ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก:[1] เก็บถาวร 2022-10-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2565.
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 140 ตอน 318 ง หน้า 14 วันที่ 19 ธันวาคม 2566
- ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/pk/pk_64.pdf 2564. สืบค้น 3 กุมภาพันธ์ 2565.
- ↑ 4.0 4.1 "พระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 128 (18 ก): 1. 2011-03-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-04-09. สืบค้นเมื่อ 2011-03-22.
- ↑ 5.0 5.1 เอกสารหอจดหมายเหตุเเห่งชาติ รหัสเอกสาร : หวญ 14-25
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 31 หน้า 48 ลงวันที่ 12 เมษายน 2457
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 33 หน้า 320 – 321 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2459
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 34 หน้า 60 ลงวันที่ 29 เมษายน 2460
- ↑ ไทยรัฐ, ครม.ตั้ง 'บึงกาฬ' จังหวัดที่77 แยกจากหนองคาย, 3 สิงหาคม 2553.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 กรุงเทพธุรกิจ, ชาวอ.บึงกาฬดีใจ มท.ชงเข้าครม.ตั้งจังหวัดใหม่ เก็บถาวร 2015-01-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 6 พฤษภาคม 2553.
- ↑ "กระทู้ถามที่ 176 ร." (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 111 (24 ก): 58. 2011-03-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-11-09. สืบค้นเมื่อ 2011-01-20.
- ↑ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันพุธ ที่ 4 สิงหาคม 2553 หน้า 15
- ↑ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ครม.มีมติเห็นชอบตั้ง 'บึงกาฬ' เป็นจังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่ 77 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553.
- ↑ ครม. มีมติตั้ง จังหวัดบึงกาฬ เป็น จังหวัดที่ 77. กระปุกดอตคอม. สืบค้น 10-12-2553.
- ↑ วุฒิฯจัดให้ผ่านฉลุยกฎหมายจัดตั้ง 'จังหวัดบึงกาฬ'
- ↑ จัดงานฉลองยิ่งใหญ่นับถอยหลังสู่จังหวัดบึงกาฬเที่ยงคืนนี้ เก็บถาวร 2011-05-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. (22 มีนาคม 2554). สืบค้น 26-3-2554.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 17.5 "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2013-09-24.
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอน ๑๕๕ ง พิเศษ หน้า ๗ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑
- ↑ "สภา อบจ. บึงกาฬ". องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2024.
- ↑ "ข้อมูลจำนวนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแยกรายจังหวัด". กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2024.