ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อาลัว"
หน้าตา
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560 |
ย้อนกลับไปรุ่นที่ 8479881 โดย ยุทธนาสาระขันธ์ด้วยสจห. ป้ายระบุ: ทำกลับ |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{วิกิตำรา}} |
{{วิกิตำรา}} |
||
{{ไม่เป็นสารานุกรม}} |
|||
'''ขนมอาลัว''' เป็นขนมหวานที่ทำจากแป้ง ผิวด้านนอกจะเป็นน้ำตาลแข็ง ด้านในเป็นแป้งหนืด มักทำเป็นอันเล็กๆ มีหลายสี มีกลิ่นหอมหวาน |
'''ขนมอาลัว''' เป็นขนมหวานที่ทำจากแป้ง ผิวด้านนอกจะเป็นน้ำตาลแข็ง ด้านในเป็นแป้งหนืด มักทำเป็นอันเล็กๆ มีหลายสี มีกลิ่นหอมหวาน |
||
ชื่ออาลัวมีความหมายว่าเสน่ห์ดึงดูดใจ |
ชื่ออาลัวมีความหมายว่าเสน่ห์ดึงดูดใจ |
||
บรรทัด 9: | บรรทัด 6: | ||
อาลัวชาววังมีขนาดใหญ่กว่า และมีส่วนผสมของกะทิมากกว่าอาลัวจิ๋ว |
อาลัวชาววังมีขนาดใหญ่กว่า และมีส่วนผสมของกะทิมากกว่าอาลัวจิ๋ว |
||
[[ไฟล์:อาลัว.jpg|thumb|ขนมอาลัวจิ๋วหลากสี]] |
[[ไฟล์:อาลัว.jpg|thumb|ขนมอาลัวจิ๋วหลากสี]] |
||
* แป้งสาลี (ตราอะไรก็ได้) 145 กรัม |
|||
* น้ำตาลทราย 350 กรัม |
|||
* กะทิ 500 กรัม |
|||
* กลิ่นมะลิ ประมาณ 1/4 ช้อนชา (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) |
|||
* สีผสมอาหารตามชอบ |
|||
อุปกรณ์ |
|||
* หัวบีบเบอร์ 4B (สำหรับอันใหญ่) |
|||
* หัวบีบเบอร์ 199 (สำหรับอันเล็ก) |
|||
วิธีทำขนมอาลัว |
|||
* ร่อนแป้ง จากนั้นใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้เข้ากัน |
|||
* ค่อย ๆ ใส่กะทิลงไป สามารถเพิ่มกลิ่นได้ค่ะ พอเข้ากันแล้ว เทส่วนผสมลงไปในกระทะ |
|||
* ค่อย ๆ กวนด้วยไฟอ่อน พอเริ่มร่อนจากกระทะก็ดับเตา |
|||
* แบ่งใส่ชาม ผสมสีตามชอบ คนให้คลายร้อนลงบ้าง จากนั้นเอาใส่ถุงบีบ |
|||
* จากนั้นบีบลงในถาด แล้วนำไปตากแดดเป็นเวลา 2-3 วัน |
|||
* ผ่านไป 3 วัน สามารถรับประทานได้เลย |
|||
<br /> |
|||
[[หมวดหมู่:ขนมไทย]] |
[[หมวดหมู่:ขนมไทย]] |
||
{{อาหารไทย}} |
{{แม่แบบ:อาหารไทย}} |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:43, 25 ธันวาคม 2562
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/df/Wikibooks-logo-en-noslogan.svg/40px-Wikibooks-logo-en-noslogan.svg.png)
วิกิตำรามีคู่มือในหัวข้อ อาลัว
ขนมอาลัว เป็นขนมหวานที่ทำจากแป้ง ผิวด้านนอกจะเป็นน้ำตาลแข็ง ด้านในเป็นแป้งหนืด มักทำเป็นอันเล็กๆ มีหลายสี มีกลิ่นหอมหวาน ชื่ออาลัวมีความหมายว่าเสน่ห์ดึงดูดใจ อาลัวมีต้นกำเนิดมาจากประเทศโปรตุเกส ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยครั้งแรกโดยคุณท้าวทองกีบม้า หรือ เลดี้ฮอร์ เดอควีมาร์ ภริยาของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ชาวกรีกซึ่งทำงานให้กับราชสำนักโปรตุเกส ภายหลังจึงมารับราชการในราชสำนักตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขนมอาลัวยังแบ่งได้เป็นสองชนิด คือ อาลัวชาววัง และ อาลัวจิ๋ว อาลัวชาววังมีขนาดใหญ่กว่า และมีส่วนผสมของกะทิมากกว่าอาลัวจิ๋ว
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/88/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg/220px-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg)