จังหวัดปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
จังหวัดสิบสองปันนา ສິບສອງພັນນາ | |
---|---|
จังหวัดปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา 西双版纳傣族自治州 · စစ်ဆောင်ပန္နား | |
เมืองเชียงรุ่ง | |
ที่ตั้งของจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนาในมณฑลยูนนาน | |
พิกัด: 22°00′N 100°48′E / 22.000°N 100.800°E | |
ประเทศ | จีน |
มณฑล | ยูนนาน |
รหัส GB/T 2260[1] | 532800 |
เมืองหลวง | เชียงรุ่ง |
หน่วยปกครอง | |
การปกครอง | |
• ประเภท | จังหวัดปกครองตนเอง |
• เลขาธิการ CCP | Zheng Yi |
• ประธานสภาประชาชน | Xu Jiafu |
• ผู้ว่าการ | Dao Wen |
• ประธาน CPPCC | Zhang Xing |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 19,700 ตร.กม. (7,600 ตร.ไมล์) |
ประชากร (2010) | |
• ทั้งหมด | 1,133,515 คน |
• ความหนาแน่น | 58 คน/ตร.กม. (150 คน/ตร.ไมล์) |
เขตเวลา | UTC+08:00 (เวลามาตรฐานจีน) |
รหัสไปรษณีย์ | 666100[2] |
รหัสพื้นที่ | +959[2] |
รหัส ISO 3166 | CN-YN-28 |
เว็บไซต์ | www |
"สำนักงานสถิติมณฑลยูนนาน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-12. สืบค้นเมื่อ 2018-12-09. "Yunnan Portal". |
จังหวัดปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา | |||||||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวย่อ | 西双版纳傣族自治州 | ||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 西雙版納傣族自治州 | ||||||||||||||
| |||||||||||||||
ชื่อภาษาจีนเดิม (1) | |||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 车里 | ||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 車里 | ||||||||||||||
| |||||||||||||||
ชื่อภาษาจีนเดิม (2) | |||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 允景洪 | ||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 允景洪 | ||||||||||||||
| |||||||||||||||
ชื่อภาษาไทลื้อ | |||||||||||||||
ภาษาไทลื้อ | ᩈᩥ᩠ᨷᩈᩬᨦᨻᩢ᩠ᨶᨶᩣ (síp.sɔ́ŋ.pân.nâː) | ||||||||||||||
ชื่อภาษาฮานี | |||||||||||||||
ภาษาฮานี | Xisual banaq | ||||||||||||||
ชื่อภาษาอาข่า | |||||||||||||||
ภาษาอาข่า | Sǐsǎwpâna |
จังหวัดปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา (อักษรธรรม: ᩈᩥ᩠ᨷᩈᩬᨦᨻᩢ᩠ᨶᨶᩣ, อักษรไทลื้อใหม่: ᦈᦹᧈᦈᦹᧈᦵᦋᦲᧁᧈᦘᦱᦉᦱᦺᦑ᧑᧒ᦗᧃᦓᦱ, จื้อจื้อเชิวภาสาไท 12 พันนา; จีน: 西双版纳傣族自治州; ไทใหญ่: သိပ်းသွင်ပၼ်းၼႃး; พม่า: စစ်ဆောင်ပန္နား) หรือชื่อย่อว่า ซีไต่ (จีน: 西傣; พินอิน: Xīdǎi) เป็นเขตปกครองตนเองระดับจังหวัดของชาวไทลื้อ ตั้งอยู่ทางใต้สุดของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีเมืองหลวง คือ เมืองเชียงรุ่ง เมืองที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่และมีแม่น้ำโขงไหลผ่าน ซึ่งในประเทศจีนเรียกว่า "แม่น้ำหลานชาง"[3]
ในประเทศจีน พื้นที่แห่งนี้มีวัฒนธรรมที่แตกต่างทางไปจากชาวจีนฮั่น ทั้งประชากร สถาปัตยกรรม ภาษา และวัฒนธรรม ชาวไทลื้อ นั้นมีความคล้ายคลึงกับของชาวไทใหญ่ ชาวไทเขิน และชาวไทยวน เป็นอย่างมาก รวมไปถึงชาวไทยและชาวลาว
นิรุกติศาสตร์
[แก้]สิบสองปันนา หรือ สิบสองพันนา เป็นคำภาษาไทลื้อ มีความหมายว่า "สิบสองเมือง"[4][5] คำว่า "พันนา" เป็นหน่วยการปกครองของคนไทในอดีต ตามหนังสือพงศาวดารโยนก[ต้องการอ้างอิง] ชื่อนี้สอดคล้องกับเขตปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทในอินโดจีนของฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2433 ถึง พ.ศ. 2488 ซึ่งก็คือสิบสองจุไท
ภูมิประเทศ
[แก้]เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนามีเนื้อที่ประมาณ 19,700 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดกับแขวงหลวงน้ำทา แขวงพงสาลี ของประเทศลาว และรัฐฉานของพม่า โดยมีชายแดนยาวถึง 966 กิโลเมตร และมีแม่น้ำโขงไหลผ่านตอนกลาง
ประวัติ
[แก้]ในสมัยโบราณนั้น เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรน่านเจ้า มีเมืองหลวงอยู่ที่ หนองแส หรือ เมืองต้าลี่ ในประเทศจีนปัจจุบัน
สิบสองปันนานั้นได้เป็นราชอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง เมื่อประมาณ 825 ปีก่อน โดย พญาเจือง หรือสมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่งที่ 1 ในตำราของไทย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 ชาวมองโกลได้รุกรานอาณาจักรล้านนา ส่วนสิบสองปันนานั้นจึงได้เป็นของมองโกล และก็ได้เป็นของจีนต่อมา (ตามประวัติศาสตร์จีน)[ต้องการอ้างอิง]
การอ่อนแอของราชวงค์อาฬโวสวนตาลครั้งแรกเริ่มคราวสมัยสมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่งที่ 3 (ท้าวอ้ายปุง) รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงค์อาฬโวสวนต๋าน จากนั้นเกิดความวุ่นวายเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ สุดท้ายถึงรัชกาลที่ 24 ท้าวอินเมิง (ท้าวอินเมือง) อาณาจักรสิบสองปันนาเริ่มเป็นปึกแผ่นมากที่สุด การขยายอาณาเขตเข้าไปยึดถึงเมืองเชียงตุง เมืองแถง (เดียนเบียนฟู) เชียงแสน ล้านช้าง จึงเป็นเหตุให้การอพยพชาวไทลื้อจากเชียงรุ่งและอีกหลายหัวเมืองลื้อเข้าไปสู่ดินแดนดังกล่าว เพื่อเข้าไปตั้งชุมชนปกครอง หัวเมืองประเทศราช ซึ่งหากมองมาถึงปัจจุบันมีชาวไทลื้อกระจายไปทั่วทั้งเมืองแถน หัวเมืองทางเหนือของลาว ทุกเมือง รัฐฉานของพม่า จนถึงเชียงตุง และแถบใต้คง
สิบสองปันนาดำรงความมั่นคงเฟื่องฟูอยู่ 100 กว่าปี ก็ถูกรุกรานอีกครั้งโดยชาวมองโกล และตกอยู่ในการปกครองของจีนอีกครั้งในปี พ.ศ. 1835 การสิ้นสุดอำนาจการปกครอง และการยอมรับอำนาจของมองโกล เมื่อรัชกาลที่ 33 เมื่อพระเจ้ากรุงจีนส่งตราหัวเสือ (จุ่มกาบหลาบคำ) มาให้เป็นตราแผ่นดินแทนตรานกหัสดีลิงก์ การเปลี่ยนชื่อเจ้าผู้ครองนคร จากชื่อภาษาไทลื้อ เป็นภาษาจีน เริ่มขึ้นในยุคนี้ เจ้าผู้ครองนครชาวไทลื้อถูกเรียกว่าเจ้าแสนหวีฟ้า[2]
เมื่อ พุทธศตวรรษที่ 21 พม่าได้ก่อตั้งอาณาจักรตองอู และขยายอาณาเขตของตนไปทางตะวันออก พม่าได้โจมตีสิบสองปันนา ต่อจากนั้นจึงได้แบ่งเมืองเชียงรุ่งเป็น สิบสองปันนา และก็เป็น เมืองในปัจจุบัน ได้แก่ เมืองฮาย ม้าง หุน แจ้ ฮิง ลวง อิงู ลา พง อู่ เมืองอ่อง และ เชียงรุ่ง จึงเรียกเรียกเมีองแถว ๆ นี้รวมกันว่า สิบสองปันนา ในช่วงสมัยนี้เป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมพม่า และ ศาสนาได้เข้าไปในสิบสองปันนา[ต้องการอ้างอิง]
พันนาในอดีตทั้งหมดของสิบสองปันนามีทั้งหมด ดังนี้[ต้องการอ้างอิง]
- เมืองเชียงรุ่ง เมืองยาง เมืองฮำ รวมเป็น 1 พันนา
- เมืองแจ เมืองมาง (ฟากตะวันตก) เมืองเชียงลู เมืองออง เป็น 1 พันนา
- เมืองลวง เป็น 1 พันนา
- เมืองหน เมืองพาน เชียงลอ เป็น 1 พันนา
- เมืองฮาย เชียงเจือง เป็น 1 พันนา
- เมืองงาด เมืองขาง เมืองวัง เป็น 1 พันนา
- เมืองหล้า เมืองบาน เป็น 1 พันนา
- เมืองฮิง เมืองปาง เป็น 1 พันนา
- เชียงเหนือ เมืองลา เป็น 1 พันนา
- เมืองพง เมืองมาง (ฟากตะวันออก) เมืองหย่วน เป็น 1 พันนา
- เมืองอูเหนือ เมืองอูใต้ เป็น 1 พันนา
- เมืองเชียงทอง อีงู อีปาง เป็น 1 พันนา
- เมืองภูแถนหลวง เวียงคำแถน เป็น 1 พันนา
สมัยหลังราชวงศ์มังราย
[แก้]หลังจากพระเจ้ากาวิละได้ปลดปล่อยเชียงใหม่ และ อาณาจักรล้านนา จาก พม่าแล้ว พระเจ้ากาวิละทรงพิจารณาเห็นว่าเมืองเชียงใหม่ขณะนั้นเป็นเมืองร้าง เพราะผู้คนหนีภัยสงคราม อีกทั้งในกำแพงตัวเมืองเชียงใหม่ยังมีต้นไม้เถาวัลย์ปกคลุม ชุกชุมด้วยเสือ สัตว์ป่านานาพันธุ์ ผู้คนของพระองค์มีน้อยไม่อาจบูรณะซ่อมแซมเมืองใหญ่ได้ ดังนั้นจึงยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนโดยไปตีเมืองไตในดินแดน ๑๒ ปันนา ทั้งไตลื้อ ไตโหลง (ไทใหญ่) ไตขึน (คนไตลื้อในเมืองเชียงตุง) ไตลื้อเมืองยอง ไตลื้อเมืองลวง ไตลื้อเมืองพน เมืองหย่วน เมืองล่า มาอยู่ที่เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา และ น่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรียกกันว่ายุค "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" อันเป็นวิธีฟื้นฟูอาณาจักรล้านนาวิธีหนึ่ง เพราะในช่วงก่อนนั้น พม่าได้กวาดต้อนชาวล้านนาไปอยู่ที่ พุกาม และ มัณฑะเลย์ ไปจำนวนมาก[ต้องการอ้างอิง]
ในช่วงสงครามโลกสิบสองปันนานั้น ตกอยู่ในแผ่นดินจีน ถูกยุบเมืองเชียงรุ่งจากเมืองหลวงเป็นแค่เมือง พร้อม ๆ กับเจ้าทั้งหลายด้วย โดยเคยมีเจ้าปกครองอยู่ถึง 44 พระองค์ โดยสมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่งที่ 44 หรือเจ้าหม่อมคำลือ (刀世勋) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรไทลื้อ เป็นราชบุตรของเจ้าหม่อมแสนเมือง ซึ่งเป็นอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนนั้นมีศักดิ์เป็นอาของเจ้าหม่อมคำลือ แต่พระองค์ท่านเองไม่มีบุตร จึงได้ขอเจ้าหม่อมคำลือเป็นราชบุตรบุญธรรม เจ้าหม่อมคำลือเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1928 และไปเรียนหนังสือที่เมืองฉงชิ่งเมื่ออายุ 16 ปี จนถึงปี ค.ศ. 1944 ได้เข้า “พิธีฮับเมือง” แต่ในช่วงนั้นเกิด สงครามมหาเอเชียบูรพา (ค.ศ. 1939-1945) พิธีฮับเมืองจึงไม่สมบูรณ์ ท่านได้กลับไปเรียนหนังสือ และกลับมาทำพิธีฮับเมืองครั้งที่สอง เมื่อ ค.ศ. 1948 ขณะอายุ 20 ปี อย่างไรก็ตาม ช่วงนั้นได้เกิดการ เปลี่ยนแปลงการปกครองภายในประเทศจีน ราวปี ค.ศ. 1949-1950 ท่านจึงกลายเป็น “กษัตริย์องค์สุดท้าย” โดยเปลี่ยนฐานันดรศักดิ์จากกษัตริย์เป็นสามัญชน โดยที่ยังมิได้บริหารราชการแผ่นดินเลย เนื่องจากหลังจากทำพิธีฮับเมืองครั้งแรกแล้วท่านได้แต่งตั้งให้เจ้าหม่อมแสนเมือง พระราชบิดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากนั้นท่านก็ไปเรียนหนังสือต่อ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วท่านได้เรียนหนังสือ ในระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยยูนนาน และได้แต่งงานกับ สิว์ จิ๊ว เฟิน ชาวจีนคุนหมิง ในปี ค.ศ.1953 ก่อนที่ จะทำงานเป็นนักวิจัยด้านภาษาศาสตร์ อีก 8 ปี ที่สถาบันวิจัยชนชาติส่วนน้อยแห่งชาติ สังกัดสภาวิทยาศาสตร์ประเทศจีน ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ต่อมาเจ้าหม่อมแสนเมืองได้ขอให้รัฐบาลจีนย้ายทั้งสองกลับมาที่คุนหมิง โดยมาทำงานเป็นนักวิจัยด้านภาษาซึ่งรวมถึงอักษรไทลื้อ จนกระทั่ง ในปี ค.ศ. 1971 รัฐบาลจีนมีคำสั่งให้เจ้าหม่อมคำลือและภรรยาไปทำงานในชนบททำงานในสวนอ้อย ใน อ.เชียงกุ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของสิบสองปันนา เป็นเวลานาน ถึง 9 ปี การใช้เวลาในสวนอ้อยนี้ สิว์ จิ๊ว เฟิน เล่าว่า สามารถพกหนังสือหรือตำราเข้าไปอ่านได้ด้วยและหลังจาก เติ้ง เสี่ยวผิง ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของจีนแล้ว เห็นว่านโยบายเอียงซ้าย นโยบายที่ให้เจ้านายไปใช้แรงงานในชนบท เป็นนโยบายที่ผิดพลาดในปัจจุบัน ดังนั้นเจ้าหม่อมคำลือและภรรยาจึงมีโอกาสกลับคุนหมิง โดยทำงานเป็นนักวิจัยที่สถาบันวิจัยชนชาติในมหาวิทยาลัยชนชาติยูนนานจนกระทั่งเกษียณอายุ โดยมีคุณวุฒิทางวิชาการคือ “ศาสตราจารย์” อย่าง ไรก็ดี หลังจากเกษียณอายุแล้วทางการจีนได้ให้ฐานะทางสังคมแก่ เจ้าหม่อมคำลือในฐานะเจ้านายเก่าคือเป็น รองประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองระดับมณฑล และ กรรมการสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ ซึ่งมี ที่พัก และ รถประจำตำแหน่งให้ แต่ปัจจุบันท่านก็ ได้เกษียณจากทุกตำแหน่งแล้ว โดยคนที่มีแซ่เต๋า (刀) ในสิบสองปันนาก็คือ เจ้าในสิบสองปันนาที่เคยครองเมืองทั้งหลายเหล่านี้
เชิงอรรถ
[แก้]1.ใต้คง คือเขตปกครองตนเองชนชาติไทและจิ่งโพเต๋อหง หรือในอดีตคือที่ตั้งของ "อาณาจักรหมอกขาวมาวหลวง" หรือชื่อในเอกสารจีนว่า "อาณาจักรหลู่ชวนแสนหวี" ของชาวไทเหนือ
2.เจ้าแสนหวีฟ้าคือตำแหน่งที่ทางราชสำนักจีนพระราชทานให้กับประมุขชนกลุ่มน้อย คำว่าแสนหวี เป็นคำภาษาจีน คำว่า ชวนเว่ย หรือ แซ่นหวี่ (宣慰) แปลว่าผู้ปลอบประโลม
เขตการปกครอง
[แก้]ปี | ประชากร | ±% |
---|---|---|
2000 | 993,397 | — |
2010 | 1,133,515 | +14.1% |
แหล่งที่มา:[6] |
สิบสองปันนาแบ่งเขตการปกครองออกเป็น นครระดับอำเภอ 1 แห่ง และอำเภอ 2 แห่ง
แผนที่ | ||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อ | อักษรจีน | พินอิน | ประชากรทั้งพื้นที่ (คริสต์ทศวรรษ 2000) |
ประชากรทั้งพื้นที่ (คริสต์ทศวรรษ 2010) |
ประชากรเขตเมือง (คริสต์ทศวรรษ 2000) |
ประชากรเขตเมือง (คริสต์ทศวรรษ 2010) |
พื้นที่ (ตร.กม.) | ความหนาแน่น (คน/ตร.กม.) |
นครเชียงรุ่ง | 景洪市 | Jǐnghóng Shì | 443,600 | 519,935 | 138,939 | 205,523 | 7,133 | 73 |
อำเภอเมืองฮาย | 勐海县 | Měnghǎi Xiàn | 314,100 | 331,850 | 34,241 | 94,945 | 5,511 | 60 |
อำเภอเมืองล้า | 勐腊县 | Měnglà Xiàn | 235,700 | 281,730 | 55,632 | 84,625 | 7,056 | 40 |
กลุ่มชาติพันธุ์
[แก้]จำนวนประชากรแบ่งตามกลุ่มชาติพันธุ์ในสิบสองปันนา จากสำรวจปี ค.ศ. 2000
กลุ่มชาติพันธุ์ | ประชากร (คน) | ร้อยละ |
---|---|---|
ไท (ไทลื้อ, ไทหย่า, ไทเหนือ, ไทยวน, ลาว) | 296,930 | 29.89% |
จีนฮั่น | 289,181 | 29.11% |
อาข่า | 186,067 | 18.73% |
อี๋ | 55,772 | 5.61% |
ลาหู่ | 55,548 | 5.59% |
ปะหล่อง | 36,453 | 3.67% |
จินัว | 20,199 | 2.03% |
เย้า | 18,679 | 1.88% |
ม้ง | 11,037 | 1.11% |
ไป๋ | 5,931 | 0.6 | %
จิ่งเผาะ | 5,640 | 0.57% |
หุย | 3,911 | 0.39% |
ว้า | 3,112 | 0.31% |
จ้วง | 2,130 | 0.21% |
อื่น ๆ | 2,807 | 0.3 | %
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 行政区划代码. 中华人民共和国国家统计局. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-21. สืบค้นเมื่อ 2009-01-29.
- ↑ 2.0 2.1 "Area Code and Postal Code in Yunnan Province". China National Philatelic Corporation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-07.
- ↑ Lionel M. Jensen, Timothy B. Weston (2007). China's transformations: the stories beyond the headlines. Rowman & Littlefield. Sandra Teresa Hyde, Ch. 11: Jinghong is a piaocheng or city of prostitution. It provides Han Chinese male tourists with a sex-oriented tourist destination.
- ↑ Davis (2006), Premodern Flows in Postmodern China, p. 106
- ↑ Mette Hansen (1999), "History of Chinese Education in Sipsong Panna", Lessons in Being Chinese: Minority Education and Ethnic Minority in Southwest China, p. 90
- ↑ "CHINA: Administrative Population". Citypopulation.de. 2012-05-12. สืบค้นเมื่อ October 31, 2013.
- ↑ "Archived copy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 2, 2013. สืบค้นเมื่อ October 31, 2013.
{{cite web}}
: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์) - ↑ "Archived copy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 2, 2013. สืบค้นเมื่อ October 31, 2013.
{{cite web}}
: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)
วรรณกรรม
[แก้]- Davis, Sara (2006). "Premodern Flows in Postmodern China: Globalisation and the Sipsongpanna Tais". Centering The Margin: Agency And Narrative In Southeast Asian Borderlands. Berghahn Books. pp. 87–110.
- Giersch, Charles Patterson (2006). Asian Borderlands: The Transformation of Qing China's Yunnan Frontier. Harvard University Press.
- Forbes, Andrew; Henley, David (2011). China's Ancient Tea Horse Road. Chiang Mai: Cognoscenti Books. ASIN B005DQV7Q2.
- Hsieh, Shih-Chung (July 1989). Ethnic-political adaptation and ethnic change of the Sipsong Panna Dai: an ethnohistorical analysis (PhD). The University of Washington.
- Hansen, Mette Halskov (1999). "Teaching Backwardness or Equality: Chinese State Education Among the Tai in Sipsong Panna". China's National Minority Education: Culture, Schooling, and Development. Routledge. pp. 243–279.
- Hansen, Mette Halskov (2004). "The Challenge of Sipsong Panna in the Southwest: Development, Resources, and Power in a Multiethnic China". Governing China's Multiethnic Frontiers. University of Washington Press. pp. 53–83.
- Sethakul, Ratanaporn (2000). "Tai Lue of Sipsongpanna and Müang Nan in the Nineteenth-Century". Civility and Savagery: Social Identity in Tai States. Curzon Press.
- 云南省编辑委员会 [Yunnan Editors Committee], บ.ก. (2009). 景洪县哈尼族社会调查 [Social Survey of Hani Nationality in Jinghong County]. 哈尼族社会历史调查 [Social History Survey of Hani Nationality]. 民族出版社. ISBN 9787105087754.
{{cite book}}
:|editor=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- เว็บไซต์รัฐบาลจังหวัดสิบสองปันนา เก็บถาวร 2021-05-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- เว็บไซต์รัฐบาลสิบสองปันนา-นครเชียงรุ่ง เก็บถาวร 2008-09-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน