ข้ามไปเนื้อหา

ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอาจเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 1,000,000 ปีก่อน จากหลักฐานฟอสซิลและเครื่องมือหินในภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศ มีการค้นพบฟอสซิลโฮโมอิเร็กตัสอายุราว 1,000,000 ถึง 500,000 ปีในแหล่งโบราณคดีที่ลำปาง นอกจากนี้ยังมีการค้นพบภาพวาดผนังถ้ำอายุราว 10,000 ปีและเครื่องมือหินจำนวนมากในกาญจนบุรี อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช และลพบุรี[ต้องการอ้างอิง]

2,500,000 - 10,000 ปีก่อน: ยุคหินเก่า

[แก้]

ยุคหินเก่าตอนต้น

[แก้]

เป็นยุคแรกสุดของยุคหินเก่า เริ่มนับตั้งแต่การเริ่มใช้เครื่องมือหินของโฮมินิดเมื่อราว 2.5 ล้านปีก่อน จนถึงการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการและเทคโนโลยีที่สำคัญที่เริ่มในยุคหินเก่าตอนกลางเมื่อประมาณ 120,000 ปีก่อน

สปีชีส์ในช่วงต้น

[แก้]

การค้นพบฟอสซิลมนุษย์ลำปางแสดงให้เห็นว่าเคยมีโฮโมอิเร็กตัสดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ในช่วง 1,000,000 ถึง 500,000 ปีก่อน[1]

โฮโมอิเรกตัสอพยพจากแอฟริกาเข้ามายังเอเชียเมื่อประมาณ 1,000,000 ปีก่อน การใช้ไฟเป็นเครื่องมือสำคัญในการเอาตัวรอดตามวิถีชีวิตแบบคนเก็บของป่าล่าสัตว์ของพวกเขา กะโหลกศีรษะของโฮโมอิเรกตัสมีขนาดเล็กและหนากว่าเมื่อเทียบกับมนุษย์สมัยใหม่ พวกเขาอาศัยอยู่ตามปากถ้ำใกล้แหล่งน้ำ ศัตรูตามธรรมชาติที่สำคัญได้แก่ ไฮยีนายักษ์ Hyaena sinesis เสือเขี้ยวดาบ อุรังอุตัง และ แพนด้ายักษ์[ต้องการอ้างอิง][โปรดขยายความ]

ในปี พ.ศ. 2542 สมศักดิ์ ประมาณกิจอ้างว่าเขาพบชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะของโฮโมอีเรกตัสที่เกาะคาจังหวัดลำปาง อย่างไรก็ตามนักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ยอมรับความเชื่อถือของการค้นพบดังกล่าว [2] ฟอสซิลกะโหลกนี้เทียบได้กับฟอสซิลกะโหลกศีรษะของมนุษย์ Sangiran II ที่พบในเกาะชวา (มนุษย์ชวา) ซึ่งมีอายุ 400,000 - 800,000 ปี เทียบเท่ากับมนุษย์ปักกิ่ง[ ต้องการอ้างอิง ] นอกจากนี้ก็ยังมีการค้นพบเครื่องมือหินอายุราว 40,000 ปีที่เพิงผาถ้ำลอดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ความเกี่ยวข้องกับคนไทยในปัจจุบัน

[แก้]

หลักฐานพันธุกรรมแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ลำปางไม่ใช่บรรพบุรุษคนไทยในปัจจุบัน นักพันธุศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เคยมีการผสมข้ามกันระหว่างโฮโมอิเรกตัสกับมนุษย์สมัยใหม่ที่อพยพมายังเอเชียอาคเนย์ [3] ซึ่งสอดคล้องกับ "ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเมื่อเร็วๆ นี้จากแอฟริกา" (Recent African origin of modern humans) ที่ระบุว่ามนุษย์สมัยใหม่ทั้งหมด (รวมถึงคนไทย) สืบเชื้อสายมาจากแอฟริกา[4]

10,000 - 4,000 ปีก่อน: ยุคหินใหม่

[แก้]

ยุคหินใหม่

[แก้]

ยุคหินใหม่เป็นช่วงเวลาซึ่งแต่เดิมถือเป็นส่วนสุดท้ายของยุคหิน เริ่มขึ้นด้วยการแพร่กระจายของเกษตรกรรมซึ่งทำให้เกิดการปฏิวัติยุคหินใหม่ และจบลงด้วยการแพร่กระจายของเครื่องมือโลหะในยุคสำริด หรือในบางพื้นที่ก็อาจพัฒนาข้ามไปสู่ยุคเหล็กโดยตรงขึ้นอยู่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้นักโบราณคดียังพบการเปลี่ยนแปลงในอาหารการกิน ตามมาด้วยการเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล [5]

การขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อไม่นานมานี้ชี้ให้เห็นว่าการปลูกข้าวแพร่เข้าสู่ตอนกลางของประเทศไทยโดยการย้ายถิ่นฐานของสังคมเกษตรกรรมที่ปลูกข้าวเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน [6]

การตั้งถิ่นฐาน

[แก้]

วัฒนธรรมยุคหินใหม่ปรากฏในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เช่น แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี นครราชสีมา อุบลราชธานี เมื่อประมาณ 9,000 ปีก่อนคริสตกาล พวกเขาเริ่มจากการหาของป่า ซึ่งจะพัฒนาไปสู่การทำเกษตรกรรม หลักฐานจากภาคใต้แสดงให้เห็นว่ามีการทำนาข้าวตั้งแต่ 2,500 ถึง 2,200 ปีก่อน [7] อย่างไรก็ตามนักวิชาการได้หารือกันเมื่อเร็วๆ นี้ถึงความเป็นไปได้ของการทำนาข้าวในคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย [8]

เกษตรกรรมยุคหินใหม่ในช่วงแรกจะจำกัดอยู่เพียงพืชและสัตว์ไม่กี่ชนิดเช่น พลู ถั่ว พริกไทย แตงกวา [9] และการเลี้ยงวัวกับหมู การตั้งถิ่นฐานของผู้อยู่อาศัยถาวรและชั่วคราว การใช้เครื่องปั้นดินเผาในเอเชียอาคเนย์ และการปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยงและไม้เลี้ยงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นเอกเทศ นำไปสู่วัฒนธรรมยุคหินใหม่ที่แตกต่างกันในระดับภูมิภาค พัฒนาขึ้นอย่างเป็นอิสระต่อแหล่งวัฒนธรรมอื่นๆ บนโลก[ต้องการอ้างอิง]

การตั้งถิ่นฐานในยุคหินใหม่

[แก้]
ถาพถ่ายบริเวณแม่น้ำแควน้อย .
  • ถ้ำผีแมน

ถ้ำผีแมนเป็นแหล่งโบราณคดีในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 650 เมตร บนเนินเขามองเห็นแม่น้ำสาละวิน พื้นที่นี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนเก็บของป่าล่าสัตว์ชาวฮัวบิเนียน (Hoabinhian) จากเวียดนามเหนือในช่วง 9,000 ถึง 5,500 ปีก่อนคริสตกาล

  • ถ้ำแล่งกำนัน

ถ้ำแล่งกำนันเป็นแหล่งโบราณคดีในอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งอยู่บนที่สูงหินปูน หันหน้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สูงจากระดับน้ำทะเล 110 เมตร และอยู่ห่างจากแม่น้ำแควน้อย 4 กิโลเมตร จากการวิเคราะห์ซากสัตว์ในถ้ำ นักวิชาการเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้เป็นหนึ่งในที่พักชั่วคราวหลายแห่งของคนเก็บของป่าล่าสัตว์ที่แวะเวียนมาตามฤดูกาล มันถูกใช้ตั้งแต่ปลายสมัยไพลสโตซีนจนถึงสมัยโฮโลซีนตอนต้น [10]

  • วังโพธิ์

วังโพธิเป็นแหล่งโบราณคดีในอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรีทางตะวันตกของประเทศไทย มีอายุตั้งแต่ 4,500 ถึง 3,000 ปีก่อนคริสตกาล มีการค้นพบเครื่องมือหินจำนวนมากในถ้ำและตามแม่น้ำในภูมิภาคนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

  • บ้านเชียง
บ้านเชียง. ยุคก่อนประวัติศาสตร์

บ้านเชียงเป็นแหล่งโบราณคดีในอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี จากระบุอายุโดยใช้เทคนิคเทอร์โมลูมิเนสเซนส์ ประมาณได้ว่าโบราณวัตถุที่พบถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 4,420 ถึง 3,400 ปีก่อนคริสตกาล หลุมศพที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบไม่ปรากฏร่องรอยสัมฤทธิ์ จึงสรุปได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นในยุคหินใหม่ ส่วนหลุมศพที่ใหม่ที่สุดนั้นถูกสร้างขึ้นในยุคเหล็ก [11]

  • โคกพนมดี

โคกพนมดีตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี บริเวณใกล้กับที่ราบน้ำท่วมถึงของแม่น้ำบางปะกง พื้นที่นี้ถูกใช้อยู่อาศัยตั้งแต่ 2,000 ถึง 1,500 ปีก่อนคริสตกาล การขุดค้นพบชี้ให้เห็นว่ามีการฝังศพเกิดขึ้น 7 ระยะ รวมหลุมศพ 154 หลุม ซึ่งพบซากทางโบราณคดีมากมาย เช่น ปลา ปู เตาไฟ หลุมศพ และศพของผู้ใหญ่กับทารก [12]

จากการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติในการเก็บศพและไอโซโทปของสตรอนเซียม คาร์บอน และออกซิเจนที่พบในซากฟัน นักโบราณคดีตั้งข้อสงสัยในความเป็นไปได้ของการควบรวมกันระหว่างวัฒนธรรมเกษตรกรรมไกลทะเล กับวิถีชีวิตคนเก็บของป่าล่าสัตว์แบบชายฝั่งบริเวณโคกพนมดี [13] การศึกษาไอโซโทปแสดงให้เห็นว่าในระยะก่อนหน้านี้ ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวอพยพมาจากทั้งพื้นที่ไกลทะเลและพื้นที่ชายฝั่ง ในขณะที่ผู้ชายถูกเลี้ยงและเติบโตขึ้นในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่แรก การปรับตัวเข้าท้องถิ่นของผู้อพยพเกิดขึ้นในช่วงระยะที่ 4 เป็นต้นไป โดยมีการปลูกข้าวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน [13] : 301–314 

  • เขารักเกียรติ

เขารักเกียรติตั้งอยู่ในอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ถ้ำในบริเวณนี้ถูกขุดค้นโดยกรมศิลปากรเมื่อปี พ.ศ. 2529 เผยให้เห็นเซรามิกยุคหินใหม่ เครื่องมือหิน และซากโครงกระดูกมนุษย์ [8]

2,500 ปีที่แล้ว: ยุคสำริด

[แก้]
เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงใน พิพิธภัณฑ์ für Indische Kunst เบอร์ลิน-ดาห์เลม
ควายดินเผา จาก ลพบุรี 2300 ปีก่อนคริสตกาล

ยุคทองแดงและสำริด

[แก้]

งานโลหะที่ล้ำหน้าที่สุดในยุคนั้นคือการหล่อสัมฤทธิ์โดยการถลุงทองแดงและดีบุกที่โผล่ขึ้นมาตามผิวโลก แล้วนำมาหล่อรวมกัน นักวิชาการบางส่วนอ้างว่าสัมฤทธิ์อาจปรากฏขึ้นก่อนหน้าตั้งแต่ช่วง 5,000 ปีก่อนคริสตกาล

การตั้งถิ่นฐานในยุคสำริดในประเทศไทย

[แก้]
  • บ้านเชียง

ที่บ้านเชียงมีการค้นพบโบราณวัตถุสัมฤทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ 2,100 ปีก่อนคริสตกาล หลุมฝังศพที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุประมาณ 2,100 ปีก่อนคริสตกาล ที่ใหม่ที่สุดประมาณค.ศ. 200 นอกจากนี้ยังขุดพบเบ้าหลอมและเศษสัมฤทธิ์เช่น หัวหอก ขวาน จอบ ตะขอ ใบมีด เครื่องประดับ และกระดิ่งขนาดเล็ก [11]

1,700 ปีที่แล้ว: ยุคเหล็ก

[แก้]

ยุคเหล็กเป็นยุคที่เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ถูกสร้างขึ้นด้วยเหล็กเป็นส่วนใหญ่ การทำเครื่องมือจากเหล็กสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอื่นๆ เช่น วิธีการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ ความเชื่อทางศาสนา หรือศิลปะ อย่างไรก็ตามสังคมบางแห่งก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป

แหล่งโบราณคดีในประเทศไทย เช่น โนนนกทา ศูนย์การทหารปืนใหญ่ลพบุรี ถ้ำองบะ และบ้านดอนตาเพชร มีหลักฐานการใช้เครื่องมือเหล็กในช่วง 3,400 ถึง 1,700 ปีก่อน

การตั้งถิ่นฐานในยุคเหล็ก

[แก้]
  • โนนนกทา

โนนนกทาเป็นแหล่งโบราณคดีในอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีอายุตั้งแต่ 1420 ถึง 50 ปีก่อนคริสตกาล

  • ศูนย์การทหารปืนใหญ่ลพบุรี

ศูนย์การทหารปืนใหญ่ลพบุรีเป็นแหล่งโบราณคดีในอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีอายุตั้งแต่ 1,225 ถึง 700 ปีก่อนคริสตกาล

  • ถ้ำองบะ

ถ้ำองบะเป็นแหล่งโบราณคดีในอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ทางตะวันตกของประเทศไทย มีอายุตั้งแต่ 310 ถึง 150 ปีก่อนคริสตกาล

  • บ้านดอนตาเพชร

บ้านดอนตาเพชรเป็นแหล่งโบราณคดีในอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี มีอายุตั้งแต่ 24 ปีก่อนคริสตกาลถึงค.ศ. 276 โบราณวัตถุจำนวนมากที่พบในสุสานจากคริสตศตวรรษที่ 4 ถูกนำเข้ามาจากการติดต่อค้าขายกับอินเดีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ โบราณวัตถุดังกล่าว ได้แก่ เครื่องประดับทรงหกเหลี่ยมแบน รูปปั้นหินรูปสิงโตและเสือขนาดเล็ก และภาชนะโลหะต่างๆ [14]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Early Man Of Our Land". Bangkok Post (ภาษาอังกฤษ). 2016.
  2. Marwick, Ben (June 2009). "Biogeography of Middle Pleistocene hominins in mainland Southeast Asia: A review of current evidence". Quaternary International. 202 (1–2): 51–58. doi:10.1016/j.quaint.2008.01.012.
  3. Mapping human history p.130-131.
  4. Multiregional or single origin.
  5. Marwick, Ben; Van Vlack, Hannah G.; Conrad, Cyler; Shoocongdej, Rasmi; Thongcharoenchaikit, Cholawit; Kwak, Seungki. "Adaptations to sea level change and transitions to agriculture at Khao Toh Chong rockshelter, Peninsular Thailand". Journal of Archaeological Science. 77: 94–108. doi:10.1016/j.jas.2016.10.010.
  6. Higham, C.F.W. and T. Higham. 2009. A New chronological framework for prehistoric Southeast Asia based on a Bayesian model from Ban Non Wat. Antiquity 83: 125-144.
  7. Stargardt, J. 1983. Satingpra I: The Environmental and Economic Archaeology of South Thailand. Oxford: British Archaeological Reports (BAR) in association with ISEAS, Singapore
  8. 8.0 8.1 Lekenvall, Henrik (2012). "Late Stone Age Communities in the Thai-Malay Peninsula". Journal of Indo-Pacific Archaeology. 32: 78–86.
  9. Gorman C. (1971) The Hoabinhian and After: Subsistence Patterns in Southeast Asia during the Late Pleistocene and Early Recent Periods. World Archaeology 2: 300-320
  10. Shoocongdej, R. 2010. Subsistence-Settlement Organisation During the Late Pleistocene - Early Holocene: the Case of Lang Kamnan Cave, Western Thailand. In: B Bellina, EA Bacus and TO Pryce (eds). 50 Years of Archaeology in Southeast Asia: Essays in Honour of Ian Glover. River Book, Bangkok. pp.51-66.
  11. 11.0 11.1 Charles Higham (archaeologist)|Higham, Charles, Prehistoric Thailand, ISBN 974-8225-30-5, pp.84-88.
  12. Halcrow, S., Tayles, N., Inglis, R., Higham, C., Carver, M. (2012). Newborn twins from prehistoric mainland Southeast Asia: birth, death and personhood.Antiquity, 86(333).
  13. 13.0 13.1 Bentley, R.A.; Tayles, N.; Higham, C.; Macpherson, C.; Atkinson, T.C. (2007). "Shifting Gender Relations at Khok Phanom Di, Thailand" (PDF). Current Anthropology. 48 (2). doi:10.1086/512987.
  14. Glover, I. C., & Bellina, B. (2011). Ban Don Ta Phet and Khao Sam Kaeo: The Earliest Indian Contacts Re-assessed. Early Interactions Between South and Southeast Asia: Reflections on Cross-cultural Exchange, 2, 17.

ดูเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]