แคว้นพะเยา
พะเยา | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
พุทธศตวรรษที่ 17–พุทธศตวรรษที่ 19 | |||||||||
แคว้นพะเยา | |||||||||
สถานะ | นครรัฐ[1] | ||||||||
เมืองหลวง | พะเยา (เวียงน้ำเต้าและเวียงลูกตะวันตก) | ||||||||
ศาสนา | พุทธนิกายเถรวาท | ||||||||
การปกครอง | สมบูรณาญาสิทธิราชย์ | ||||||||
พระมหากษัตริย์ | |||||||||
• พุทธศตวรรษที่ 17 - 19 | ราชวงศ์พะเยา | ||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||
• สถาปนา | พุทธศตวรรษที่ 17 | ||||||||
• ถูกผนวกเข้ากับล้านนา | พุทธศตวรรษที่ 19 | ||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | จังหวัดพะเยา |
ประวัติศาสตร์ไทย |
---|
ตัวเลขในวงเล็บ หมายถึง ปีพุทธศักราช |
แคว้นพะเยา[2] หรือ นครรัฐพะเยา[3] เป็นนครรัฐอิสระ[1]ในจังหวัดพะเยา ตั้งอยู่ใกล้น้ำแม่อิงซึ่งไหลลงมาจากเทือกเขาผีปันน้ำ เป็นอาณาจักรร่วมสมัยเดียวกับยุคปลายของหิรัญนครเงินยาง
แคว้นพะเยาเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในรัชกาลพญางำเมือง เคยขยายอำนาจปกครองนครรัฐน่านระยะหนึ่ง ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรล้านนา และอาณาจักรสุโขทัย แต่ภายหลังในช่วงปี พ.ศ. 1877-1879 พะเยาถูกผนวกเข้ากับล้านนาในสมัยพญาคำฟูที่เข้าปล้นพะเยาจากความร่วมมือของนครรัฐน่าน[4]
ประวัติ
[แก้]แคว้นพะเยา เกิดจากการขยายตัวของราชวงศ์ลาวที่แยกตัวออกมาเพื่อสร้างเมืองใหม่ สันนิษฐานว่าประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 โดยพญาลาวเงินแห่งเมืองเงินยางได้ส่งเจ้าราชบุตรนามขุนจอมธรรมสร้างเมืองพะเยาและปกครองในฐานะนครรัฐอิสระไม่ขึ้นกับใคร มีความสัมพันธ์อันดีกับเมืองเงินยางในฐานะญาติและพันธมิตร[1]
แคว้นพะเยา เริ่มมีบทบาทโดดเด่นขึ้นต้นพุทธศตวรรษที่ 19 กษัตริย์นามพญางำเมือง กษัตริย์พระองค์ที่เก้า เป็นพระสหายของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพญามังราย[5] ทั้งสามพระองค์ได้ร่วมมือกันทำสัญญาสามกษัตริย์ในปี พ.ศ. 1830 เพื่อต่อต้านการขยายตัวของจักรวรรดิมองโกล ทั้งที่ก่อนหน้านี้พญามังรายเคยยกทัพไปเมืองพะเยาในปี พ.ศ. 1819 ซึ่งไม่ได้รบกันแต่กลับเจรจากัน[6] สรัสวดี อ๋องสกุล ได้สันนิษฐานว่าเป็นเพราะ "...ความเป็นสหายและความเข้มแข็งของพญางำเมืองในขณะนั้นเป็นอุปสรรคต่อการยึดเมืองพะเยา"[1] ด้วยความเข้มแข็งดังกล่าวพญางำเมืองได้ขยายอำนาจและยึดครองนครรัฐน่านโดยส่งพระชายาและราชบุตรไปปกครอง ถือเป็นยุคที่พะเยาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด[1]
หลังสิ้นรัชกาลพญางำเมือง ท้าวคำแดงพระโอรสได้ครองเมืองสืบต่อ ยังคงสัมพันธ์อันดีกับล้านนา และเคยช่วยพญาไชยสงครามปราบกบฏขุนเครือ และหลังจากการปราบกบฏก็ได้ขอนางแก้วพอตาธิดาพญาไชยสงครามให้เสกสมรสกับท้าวคำลือ พระราชโอรสซึ่งเป็นกษัตริย์พะเยาองค์สุดท้าย ซึ่งเฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมี มองว่าการมาของนางแก้วพอตาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พะเยาเสียเอกราช[7] เพราะในปี พ.ศ. 1877-1879 พญาคำฟูแห่งล้านนาทรงประสบความสำเร็จในการปล้นเมืองพะเยาจากความร่วมมือของนครรัฐน่าน และอาจได้รับการสนับสนุนจากนางแก้วพอตาที่เป็นพระปิตุจฉาพญาคำฟู[8] อันเป็นการดีต่อล้านนาที่เมืองเชียงรายและเชียงแสนจะปลอดภัยจากการโจมตีของพะเยา[9] และตั้งเมืองพะเยาเป็นฐานอำนาจที่จะขยายลงไปสู่นครรัฐแพร่และน่านต่อไป[4]
หลังสิ้นเอกราช เมืองพะเยาปรากฏความสำคัญในฐานะส่วนหนึ่งของล้านนาในรัชสมัยพญาสามฝั่งแกน เพราะได้ส่งขุนนางที่มีฐานะเป็นอา ช่วยเหลือให้พระองค์ครองราชย์มาปกครองพะเยา และตอบแทนความชอบด้วยการกำหนดตำแหน่งเจ้าเมืองพะเยาเป็น "เจ้าสี่หมื่น" และในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช ทรงให้ความชอบแก่พระยายุทธิษฐิระ อดีตเจ้าเมืองสองแควผู้มาสวามิภักดิ์ให้การยกให้ครองพะเยา แต่กาลต่อมาเมือล้านนาได้ยึดครองนครรัฐแพร่และน่านแล้ว เมืองพะเยาจึงถูกลดบทบาทลง[4]
ประชากร
[แก้]ด้วยความที่พะเยาเป็นผลจากการขยายตัวของเมืองเงินยางที่ขยายลงมายังที่ราบลุ่มเชียงราย-พะเยา เป็นดินแดนที่เรียกว่า "โยนก" มีประชากรเป็น ไทยวน ด้านการตั้งถิ่นฐานจะกระจายตามแอ่งหรือที่ราบลุ่มแม่น้ำเป็นแนวยาวตามลำน้ำอิง[10] เมื่อขุนจอมธรรมตั้งเมืองพะเยา ได้รวบรวมไพร่พลจากหัวเมืองต่าง ๆ ได้ 80,000 คน แบ่งเป็น 36 พันนา นาละ 500 คน[11] ชุมชนที่เกิดขึ้นในระยะแรก ๆ เป็นชุมชนเล็ก ๆ แยกกันอยู่เป็นแห่ง ๆ มีผู้นำชุมชนในนามของเจ้าผู้ปกครอง การตั้งชุมชนบ้านและเมืองได้พัฒนาจากถิ่นฐานที่อยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีวัฒนธรรมด้อยกว่า ผสมผสานกับวัฒนธรรมต่างถิ่นที่เจริญกว่า[10] นอกจากนี้ประชากรบางส่วนเป็นชาวกาว โดยเฉพาะที่เมืองงาวที่อยู่ใกล้กับนครรัฐน่านที่มีชาติพันธุ์เดียวกัน[12]
ทั้งนี้แคว้นพะเยาแต่เดิมนับถือผี[10] ต่อมาพญางำเมืองได้มีศรัทธารับคติพุทธศาสนาจากหริภุญชัยมาประดิษฐานในแคว้น[13] หลังการรับพุทธศาสนาจึงมีการสร้างพระพุทธรูปหินทรายและศาสนาวัตถุอื่น ๆ[10] กษัตริย์ทรงนับถือศาสนาพุทธ และตั้งพระองค์ตามหลักทศพิศราชธรรม[11]
ภูมิศาสตร์
[แก้]จากการขยายตัวของราชวงศ์ลาวที่ขยายตัวลงมาตามที่ราบลุ่มเชียงราย-พะเยา ทั้งนี้ตัวเมืองพะเยาตั้งอยู่บนลุ่มน้ำอิงที่ไหลลงสู่กว๊านพะเยา เป็นที่ราบปลายภูเขาที่มีชื่อเรียกตามตำนานว่า "ภูยาว" ต่อมาได้กลายเป็นคำว่า "พยาว" และเป็น "พะเยา" ที่ตั้งเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ เพราะมีแหล่งน้ำสองแหล่งคือ น้ำแม่อิงและกว๊านพะเยา และเป็นที่ราบกว้างใหญ่เหมาะสมแก่การตั้งเมือง[14]
เมื่อขุนจอมธรรมมาตั้งเมืองพะเยา เวียงแห่งแรกมีผังเมืองเป็นรูปน้ำเต้าเรียก "เวียงน้ำเต้า" ต่อมาในสมัยพญาสิงหราชได้มีการขยายชุมชนออกมาทางกว๊านพะเยาเพราะใกล้แหล่งน้ำเป็นเวียงรูปสี่เหลี่ยมเรียก "เวียงลูกตะวันตก" และถือว่าเวียงทั้งสองเป็นเวียงแฝด ทั้งยังเป็นเวียงหลักของพะเยา นอกจากนี้ยังมีเวียงบริวาร ได้แก่ เวียงพระธาตุจอมทอง, เวียงปู่ล่าม, เวียงหนองหวี และเวียงต๋อม[10]
แต่อย่างไรก็ตามแคว้นพะเยามีข้อจำกัดด้านที่ตั้ง เพราะแวดล้อมไปด้วยเขาสูง พะเยาจึงเป็นเมืองเล็กและค่อนข้างปิด มีเพียงทางตะวันออกเฉียงเหนือที่สามารถติดต่อกับเมืองเชียงของและเชียงรายได้สะดวก ส่วนทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาสูงติดกับอำเภอวังเหนือ ด้านใต้ต่ออำเภองาวด้วยเขาสูง ส่วนตะวันออกติดกับนครรัฐน่านที่เต็มไปด้วยขุนเขาเช่นกัน ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวทำให้นครรัฐแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองเพียงช่วงแรก ๆ เท่านั้น ก่อนที่จะถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรล้านนาในกาลต่อมา[14]
โดยแคว้นพะเยา ปกครองเมืองต่าง ๆ ดังนี้[11]
- ทิศตะวันออก จรดขุนผากาดจำบอน ตาดม้าน บางสีถ้ำ ไทรสามต้น สบห้วยปู น้ำพุง สบปั๋ง ห้วยบ่อทอง ตาดซาววา กิ่วแก้ว กิ่วสามช่อง มีหลักหินสามก้อนฝังไว้กิ่วฤๅษี แม่น้ำสายตา กิ่วช้าง กิ่วง้ม กิ่วเปี้ย ดอยปางแม่นาค
- ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อแดนขรนคร
- ทิศตะวันตก โป่งปูดห้วยแก้วดอยปุย แม่คาว ไปทางทิศใต้กิ่วรุหลาว ดอกจิกจ้อง ขุนถ้ำ ดอยตั่ง ดอยหนอก ผาดอกวัว แซ่ม่าน ไปจรดเอาดอยผาหลักไก่
- ทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีเมืองในอำนาจปกครอง คือ เมืองงาว เมืองกาว สะเอียบ เชียงม่วน เมืองเทิง เมืองสระ เมืองออย สะสาว เมืองดอบ เชียงคำ เมืองลอ เมืองเชียงแลง เมืองหงาว แซ่เหียง แซ่ลุล ปากบ่อง เมืองป่าเป้า เมืองวัง แซ่ซ้อง เมืองปราบ แจ้ห่ม
- ทิศใต้ จรดนครเขลางค์และนครหริภุญชัย
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
[แก้]แคว้นเงินยาง
[แก้]แคว้นพะเยามีความสัมพันธ์กับแคว้นเงินยางด้วยมีปฐมกษัตริย์มาจากเมืองเงินยางดังกล่าว การดำเนินการระหว่างสองรัฐจึงเป็นเป็นในฐานะเครือญาติ เมื่อมีศึกสงครามทั้งสองรัฐก็จะช่วยกันปกป้องบ้านเมือง เช่น ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวถึงขุนเจืองครองเมืองพะเยาได้ไปช่วยเมืองเงินยางปราบแกว หลังจากทำสงครามไล่แกวแล้ว ขุนเจืองจึงขึ้นครองเมืองเงินยางสืบมา หรือกรณีของพระชายาของพญางำเมืองคือ นางอั้วเชียงแสน จากชื่อแสดงให้เห็นว่า นางอั้วเป็นธิดาจากเมืองเชียงแสน นั่นคือพะเยาและเงินยางมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่แนบแน่นผ่านการเสกสมรส ด้วยเหตุนี้แคว้นเงินยางจึงเป็นทั้งพระสหายและพระประยูรญาติสนิทสืบเนื่องหลายชั่วอายุคน[15]
อาณาจักรล้านนา
[แก้]พญางำเมืองได้มีสัมพันธภาพกับพญามังรายแห่งล้านนา โดยใน พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ระบุว่า พญางำเมืองกับพญามังรายเป็นสหายกันมาแต่รุ่นปู่[5] การเป็นพระสหายของสามกษัตริย์ทำให้เกิดการป้องกันภัยจากการรุกรานของมองโกล ด้วยการทำสนธิสัญญาสามกษัตริย์ในปี พ.ศ. 1830 ทั้งที่ก่อนหน้านี้พญามังรายเคยยกทัพไปเมืองพะเยาในปี พ.ศ. 1819 ซึ่งไม่ได้รบกันแต่กลับมีการเจรจากัน[6]
แม้พะเยาและล้านนาจะมีการเสกสมรสเพื่อสร้างความสัมพันธ์เครือญาติกัน ดังกรณีของนางแก้วพอตาธิดาพญาไชยสงครามกับท้าวคำลือ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพะเยา แต่พะเยาก็ถูกล้านนาหักหลังในสมัยพญาคำฟูที่ได้รับความร่วมมือกับนครรัฐน่าน และหลังจากนั้นเป็นต้นมาพะเยาจึงตกเป็นส่วนหนึ่งของล้านนามาแต่นั้น[4]
อื่น ๆ
[แก้]- อาณาจักรสุโขทัย — พญางำเมืองได้มีสัมพันธภาพกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย ด้วยทรงศึกษาที่เมืองละโว้ร่วมรุ่นกัน[15] ทั้งมีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติด้วยพระราชธิดาในพญางำเมืองเสกสมรสกับบุคคลชนชั้นปกครองของสุโขทัย[16] ซึ่งเฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมีเสนอว่าคือพระยาเลอไทย[17] มีพระราชโอรสด้วยกันคือ พ่องำเมือง
- นครรัฐน่าน — เคยถูกพญางำเมืองยึดครอง พร้อมกับส่งพระชายาและพระราชบุตรปกครองอยู่หลายปี แต่ได้อิสระในหลายปีต่อมา และภายหลังได้ร่วมมือกับล้านนาปล้นเมืองพะเยาจนเป็นสาเหตุให้แคว้นพะเยาสลายตัวไปเป็นส่วนหนึ่งของล้านนา[15]
- แคว้นหริภุญชัย — เผยแผ่ศาสนาพุทธมายังแคว้นพะเยาจนเป็นที่แพร่หลายในรัชกาลพญางำเมือง[13]
รายนามกษัตริย์เมืองพะเยา
[แก้]พระนาม | ครองราชย์ (พ.ศ.) | รวมปีครองราชย์ | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
ขุนจอมธรรม | 1602 | 21 ปี | |
ขุนเจือง | |||
ลาวเงินเรือง | |||
ไม่ทราบพระนาม | |||
พญามิ่งเมือง | |||
พญางำเมือง | 1801-1841 | ||
พญาคำแดง | |||
ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของล้านนา | |||
รายนามเจ้าเมืองพะเยาภายใต้ล้านนา | |||
พระยายุทธิษเฐียร | 1994-2022 | ||
นาง(เจ้า)หมื่น (นางเมืองพะเยา) | 2022-2031 | ||
เจ้าสี่หมื่นพะเยาปู่เลี้ยงพระเจ้ายอดเชียงราย | 2033-2036 | ||
เจ้าสี่หมื่นพะเยาราชครูแห่งพระเจ้ายอดเชียงราย | 2036-2039 | ||
เจ้าสี่หมื่นพะเยาปู่เลี้ยงพระเจ้ายอดเชียงราย | 2039 | ||
เจ้าแสนญาณกัลยา | 2045-2052 | ||
เจ้าเมืองจิต | 2056-2058 | ||
เจ้าเมืองส้อยพระเยา | 2058-2059 | ||
เจ้าเมืองผาง | 2059-2060 | ||
เจ้าคำยอดฟ้า | 2060-2062 | ||
เจ้าพระยาหน่อเชียงแสน | 2062-2064 | ||
เจ้าขุนเชียงคง | 2064-2078 | ||
พระยาเมืองตู้ | ? | ||
พ.ศ.2101 เสียเมืองแก่พม่า |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 65
- ↑ สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2552. หน้า 256
- ↑ สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2552. หน้า 62
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2552. หน้า 66
- ↑ 5.0 5.1 "พงศาวดารเชียงแสน". พงศาวดารภาคที่ 61, หน้า 27
- ↑ 6.0 6.1 ตำนานสิบห้าราชวงศ์ เล่ม 1. เชียงใหม่ : สถาบันวิจัยทางสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2524, หน้า 55
- ↑ เฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมี. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นปกครองของล้านนาและสุโขทัย : ข้อคิดใหม่และข้อสังเกตบางประการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559, หน้า 7
- ↑ เฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมี (ปริวรรต). ตำนานเมืองพะเยา. เชียงใหม่ : นครพิงค์, 2554, หน้า 24-25
- ↑ สุรพล ดำริห์กุล. แผ่นดินล้านนา. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2539, หน้า 29-31
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 "พัฒนาการทางประวัติศาสตร์". หอมรดกไทย. สืบค้นเมื่อ 2014-01-17.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)[ลิงก์เสีย] - ↑ 11.0 11.1 11.2 "ประวัติความเป็นมาและเหตุการณ์สำคัญ". เว็บไซต์จังหวัดพะเยา. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-24. สืบค้นเมื่อ 2014-01-18.
- ↑ เฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมี. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นปกครองของล้านนาและสุโขทัย : ข้อคิดใหม่และข้อสังเกตบางประการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559, หน้า 14
- ↑ 13.0 13.1 สุจิตต์ วงษ์เทศ (2537, กรกฎาคม). "คำให้การของบรรณาธิการ". ศิลปวัฒนธรรม. (15:9), หน้า 18
- ↑ 14.0 14.1 สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2552. หน้า 62-63
- ↑ 15.0 15.1 15.2 สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 65-66
- ↑ คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ประชุมจารึกภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย (จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด). กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2547, หน้า 155
- ↑ เฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมี. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นปกครองของล้านนาและสุโขทัย : ข้อคิดใหม่และข้อสังเกตบางประการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559, หน้า 9-12