ปตานี
ปตานี | |
|---|---|
มัสยิดกรือเซะ มัสยิดโบราณแห่งหนึ่งในภูมิภาคปตานี | |
![]() แผนที่ภูมิภาคปตานีในความหมายอย่างแคบ | |
| ประเทศ | ไทย, มาเลเซีย |
ปตานี (มลายู: Patani; ڤطاني) หรือเรียก ปตานีรายา (Patani Raya) หรือ ปตานีเบอซาร์ (Patani Besar "ปตานีใหญ่") เป็นภูมิภาคประวัติศาสตร์ในส่วนเหนือของคาบสมุทรมลายู กินอาณาบริเวณจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ภูมิภาคปตานีมีความสัมพันธ์ในอดีตกับซิงกอรา (สงขลา) ลิกอร์ (นครศรีธรรมราช) ลิกอร์ (ใกล้สุราษฎร์ธานี) และกลันตัน ย้อนไปถึงเมื่ออาณาจักรปัตตานีเป็นรัฐสุลต่านมลายูกึ่งเอกราชที่ถวายบรรณาการแก่ราชอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยาของไทย รัฐสุลต่านปตานีได้รับเอกราชช่วงสั้น ๆ หลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี 2310 แต่กลับมาอยู่ใต้การควบคุมของไทยอีกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ในช่วงปีหลังมีขบวนการแบ่งแยกซึ่งมุ่งตั้งรัฐอิสลามมลายู ชื่อ ปาตานีดารุสซาลาม (Patani Darussalam, ڤطاني د ارالسلام) ซึ่งกินอาณาบริเวณสามจังหวัดภาคใต้และสงขลาบางส่วนของไทย[1] การรณรงค์เกิดความรุนแรงหลังปี 2544 ทำให้เกิดปัญหาการก่อความไม่สงบยืดเยื้อและการใช้กฎอัยการศึก
ชื่อ
[แก้]ตำนานก่อตั้งเมือง
[แก้]ตามตำนาน ผู้ก่อตั้งปตานีเป็นรายาจากโกตามะลิฆา (Kota Malikha) นามพญาตูนักปา อินทิรา (Phaya Tunakpa Inthira) วันหนึ่งขณะที่พญาตูนักปาล่าสัตว์นั้น พระองค์ทอดพระเนตรกระจงเผือกที่สวยงามขนาดเท่าแพะวิ่งหนีหายไป พระองค์ทรงถามราษฎรว่าสัตว์ตัวนั้นหายไปไหน พวกเขาตอบว่า: "ปะตา นี เลาะฮ์!" ("หาดนี้แหละ!" ในภาษามลายูปัตตานี) พวกเขาค้นหากระจงแต่กลับพบชายชาวประมงวัยชราที่ระบุตนเองเป็น เจ๊ะตานี (Che' Tani) ชายชราพูดว่าตนถูกส่งโดยพระอัยกาของรายาเพื่อสร้างเมืองใหม่ที่อยู่ไกล แต่กลับป่วยระหว่างทาง เนื่องจากไปต่อไม่ได้ จึงหยุดอยู่ที่นี่ ภายหลังรายาสั่งให้สร้างเมืองในบริเวณที่กระจงหายตัวไป เมืองนั้นภายหลังเป็นปตานี ซึ่งเชื่อว่าตั้งชื่อตาม "หาดแห่งนี้" ที่กระจงหายตัวไป หรือตามชายชรานาม ปะตานี หมายถึง "พ่อตานี"[2]
ปตานี, ปัตตานี
[แก้]ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย อักขรวิธีปัตตานี ปตานี และปาตานีกลายเป็นคำที่มีความขัดแย้งที่ใช้เรียกพื้นที่ที่ครอบคลุมจังหวัดปัตตานี , ยะลา, นราธิวาส และสงขลาบางส่วน โดยปตานีหรือปาตานีในภาษามลายูเขียนด้วยอักษร "t" ตัวเดียว แต่ในข้อมูลไทยเขียนตัว "t" สองตัว[3] เมื่อเขียนเป็นภาษาไทย "ปตานี" (Patani) จึงออกเสียงต่างจาก "ปัตตานี" (Pattani) ส่วน "P'tani" เป็นศัพท์ภาษามลายูดั้งเดิมที่ใช้เรียกภูมิภาคนี้ โดยมีการใช้งานเป็นเวลานาน และมักไม่เขียนในภาษาไทย ดังนั้น ในขณะที่ "Patani" ในทางวิชาการเป็นคำเดียวกับ "P'tani" แต่ "Patani" ที่มี "t" ตัวเดียว มีความหมายแฝงทางการเมืองบางส่วน[4]
วัฒนธรรม
[แก้]"ปตานี" ตามมุมมองทางวัฒนธรรม อาจหมายถึงดินแดนอาณาจักรปัตตานีในอดีต รวมถึงพื้นที่กว้างใหญ่ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรนี้เช่นกัน[5]
ภูมิหลังทางวัฒนธรรม: ประเพณีปตานี
[แก้]
ผู้อาศัยในภูมิภาคปตานีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมลายูมาโดยตลอด โดยมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลสำคัญมาจากศาสนาอิสลาม[6]
ผู้คนในปตานีพูดภาษามลายูปัตตานี ซึ่งเป็นภาษามลายูรูปแบบหนึ่ง ปตานีมีวัฒนธรรมที่ซับซ้อนและโดดเด่น ซึ่งประกอบด้วยวรรณกรรมมุขปาฐะอันหลากหลาย พิธีเก็บเกี่ยวข้าว ภาพวาดสีสันสดใสบนตัวเรือกอและ และการแสดงละครวายัง ชาวปตานีอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนทางตอนเหนือสุดของคาบสมุทรมลายู ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา พวกเขาปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตที่กลมกลืนกับชุมชนชาวจีน ชาวพุทธ ชาวอินเดีย ชาวอาหรับ และโอรังอัซลี[7]
แม้ชาวปตานีมีความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์กับชาวมลายูเพื่อนบ้านทางตอนใต้ แต่อาณาจักรปัตตานีที่ปกครองโดยสุลต่านในอดีตนิยมถวายบรรณาการแด่กษัตริย์สยามในกรุงเทพฯ กษัตริย์สยามทรงจำกัดพระองค์เองเป็นเวลาหลายศตวรรษที่ให้ปตานีถวายบรรณาการในรูปแบบของบุหงามาศ ซึ่งเป็นต้นไม้เชิงพิธีที่ประดับด้วยทองคำเปลวและดอกไม้ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมรับอำนาจของสยาม ปล่อยให้ผู้ปกครองปตานีส่วนใหญ่อยู่ตามลำพัง[8]
คริสต์ศตวรรษที่ 20: ถูกบังคับดูดกลืน
[แก้]จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20 รัฐบาลในกรุงเทพมหานครยังคงอาศัยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ภายในภูมิภาคปตานี รวมถึงการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายแพ่งไทย ซึ่งอนุญาตให้ชาวมุสลิมยังคงปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่นที่อิงตามศาสนาอิสลามในประเด็นเรื่องมรดกและครอบครัวได้ แต่ทว่า ใน พ.ศ. 2477 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ริเริ่มกระบวนการการแผลงเป็นไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการกลืนกลายทางวัฒนธรรมของชาวปตานีและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในประเทศไทย[9]
พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติถูกบังคับใช้ อันเป็นผลมาจากกระบวนการการแผลงเป็นไทยที่ส่งเสริมแนวคิดเรื่อง "ความเป็นไทย" และเป้าหมายรวมศูนย์อำนาจ "รัฐนิยม ฉบับที่ 3" มุ่งเป้าไปที่ชาวปตานีโดยตรง[10] ใน พ.ศ. 2487 กฎหมายแพ่งของไทยถูกบังคับใช้ทั่วทั้งแผ่นดิน รวมถึงภูมิภาคปตานี โดยยกเลิกข้อยินยอมเดิมที่มีต่อระบบการปกครองของศาสนาอิสลามในท้องถิ่น[11]:131 หลักสูตรการศึกษาได้รับการปรับปรุงให้เน้นไทยเป็นหลัก โดยสอนทุกวิชาเป็นภาษาไทย ศาลมุสลิมแบบดั้งเดิมที่ใช้พิจารณาคดีแพ่งถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยศาลแพ่งที่รัฐบาลกลางในกรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินการและอนุมัติ กระบวนการกลืนกลายทางวัฒนธรรมและการมองว่าการนำวัฒนธรรมไทย-พุทธมาบังคับใช้ในสังคมของพวกเขา กลายเป็นสิ่งที่รบกวนความสัมพันธ์อันกลมกลืนระหว่างชาวปตานีเชื้อสายมลายูและรัฐไทย[12]
เมื่อถูกปฏิเสธการรับรองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมแยกจากกัน ผู้นำปตานีจึงต่อต้านนโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อพวกเขา และขบวนการชาตินิยมก็เริ่มเติบโตขึ้น นำไปสู่ความขัดแย้งในภาคใต้ของประเทศไทย เดิมทีเป้าหมายของขบวนการชาตินิยม เช่น องค์การปลดปล่อยสหปัตตานี (PULO) คือการแบ่งแยกดินแดน มุ่งสู่การต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อจัดตั้งรัฐเอกราชที่ชาวปตานีสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่ต้องถูกยัดเยียดคุณค่าทางวัฒนธรรมที่แปลกแยก[13]
คริสต์ศตวรรษที่ 21: วัฒนธรรมท้องถิ่นตกอยู่ในความเสี่ยง
[แก้]หลัง พ.ศ. 2544 ขบวนการก่อความไม่สงบในปตานีถูกยึดครองโดยกลุ่มที่มีผู้นำส่วนใหญ่เป็นครูสอนศาสนาแนวซะละฟี ซึ่งส่งเสริมศาสนา ปฏิเสธอุดมการณ์การสร้างชาติของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในยุคแรก[14] กลุ่มก่อความไม่สงบในปัจจุบันประกาศลัทธิญิฮาดแบบแข็งข้อและไม่ได้แบ่งแยกดินแดนอีกต่อไป พวกเขามีเป้าหมายทางศาสนาที่สุดโต่งและข้ามชาติ เช่น การสถาปนารัฐเคาะลีฟะฮ์อิสลาม ซึ่งทำลายอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมหรือชาตินิยมปตานีแบบสร้างสรรค์ กลุ่มอิงแบบซะละฟีต่อต้านมรดกและการปฏิบัติของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูดั้งเดิม โดยกล่าวหาว่าไม่เป็นอิสลาม[14] พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับคุณค่าทางวัฒนธรรมของปตานี แต่มีเป้าหมายโดยตรงคือการทำให้ภูมิภาคปตานีไม่สามารถปกครองได้[15]
ในสถานการณ์ปัจจุบัน การรักษาอัตลักษณ์ที่ปราศจากอิทธิพลของอิสลามสุดโต่งนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับประชาชนในภูมิภาคปตานีที่อัปโชคแห่งนี้ กิจกรรมของกลุ่มกบฏในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของสังคมปตานีด้วยการบังคับใช้กระแสศาสนาที่รุนแรงและการบังคับใช้กฎซาละฟีที่เข้มงวดต่อประชาชนในพื้นที่[13]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ คุ้มเมธา, ทวีพร (12 กันยายน 2558). "'ปาตานี' vs สามจังหวัดชายแดนใต้ การเมืองของคำเรียก". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|access-date=(help) - ↑ Wyatt, David K. (December 1967). "A Thai Version of Newbold's "Hikayat Patani"". Journal of the Malaysian Branch of the Royal Asiatic Society. 40 (2 (212)): 16–37. JSTOR 41491922.
- ↑ Anthony Reid (30 August 2013). Patrick Jory (บ.ก.). Ghosts of the Past in Southern Thailand: Essays on the History and Historiography of Patani. NUS Press. p. 20. ISBN 978-9971696351.
- ↑ Kummetha, Thaweeporn (2015-09-20). "Pattani with two t's or one? The politics of naming". Pratchathai English. สืบค้นเมื่อ 20 September 2015.
- ↑ Montesano, Michael J.; Jorey, Patrick, บ.ก. (2008). Thai South and Malay North: Ethnic Interactions on a Plural Peninsula. NUS Press. ISBN 978-9971-69-411-1.
- ↑ NST - "Promote identity and culture of Pattani Malays"
- ↑ Jacques Ivanoff, The Cultural Roots of Violence in Malay Southern Thailand: Comparative Mythology; Soul of Rice, White Lotus.
- ↑ Zain, Sabri. "The Kedah Blockade". Sejara Melayu. สืบค้นเมื่อ 20 September 2015.
- ↑ Thanet Aphornsuvan, Rebellion in Southern Thailand: Contending Histories ISBN 978-981-230-474-2 pp.35
- ↑ The Royal Gazette, Vol. 56, Page 1281. 7 August, B.E. 2482 (C.E. 1939). Retrieved on 4 June 2010.
- ↑ Ockey, James (2008). "Elections and Political Integration in the Lower South of Thailand". ใน Montesano, Michael J.; Jorey, Patrick (บ.ก.). Thai South and Malay North: Ethnic Interactions on a Plural Peninsula. NUS Press. ISBN 978-9971-69-411-1.
- ↑ Umaiyah Haji Umar, The Assimilation of the Bangkok-Melayu Communities .
- 1 2 A Breakdown of Southern Thailand's Insurgent Groups. Terrorism Monitor Volume: 4 Issue: 17
- 1 2 Rohan Gunaratna & Arabinda Acharya, The Terrorist Threat from Thailand: Jihad Or Quest for Justice?
- ↑ Zachary Abuza, The Ongoing Insurgency in Southern Thailand, INSS, p. 20
