ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศญี่ปุ่น"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: การแก้ไขผิดปกติในบทความคัดสรร/คุณภาพ การแก้ไขแบบเห็นภาพ |
||
บรรทัด 75: | บรรทัด 75: | ||
{{ความหมายอื่น|||ญี่ปุ่น (แก้ความกำกวม)|ญี่ปุ่น}} |
{{ความหมายอื่น|||ญี่ปุ่น (แก้ความกำกวม)|ญี่ปุ่น}} |
||
ร์และขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ภัยคุกคามข้ามชาติซึ่งมีเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีรวมทั้งการก่อการร้ายระหว่างประเทศและการโจมตีไซเบอร์ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ<ref name="Japan's Security Policy">{{cite news |title= Japan's Security Policy |publisher= Ministry of Foreign Affairs of Japan |url=http://www.mofa.go.jp/policy/security/}}</ref> ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้เข้ามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุดในความพยายามธำรงและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ |
|||
'''ประเทศญี่ปุ่น''' ({{ญี่ปุ่น|日本|Nihon/Nippon|นิฮง/นิปปง}}, ชื่ออย่างเป็นทางการ {{ญี่ปุ่น|日本国|Nihon-koku/Nippon-koku|นิฮงโกกุ/นิปปงโกกุ}}) เป็น[[รัฐเอกราช]]หมู่เกาะใน[[เอเชียตะวันออก]] ตั้งอยู่ใน[[มหาสมุทรแปซิฟิก]]นอกฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เอเชีย ทางตะวันตกติดกับ[[คาบสมุทรเกาหลี]]และ[[ประเทศจีน]] โดยมี[[ทะเลญี่ปุ่น]]กั้น ส่วนทางทิศเหนือติดกับ[[ประเทศรัสเซีย]] มี[[ทะเลโอค็อตสค์]]เป็นเส้นแบ่งแดน |
|||
ตัวอักษร[[คันจิ]]ของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า "ถิ่นกำเนิดของ[[ดวงอาทิตย์]]" จึงทำให้มักได้ชื่อว่า "ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย" ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะ[[กรวยภูเขาไฟสลับชั้น]]ซึ่งมีเกาะประมาณ [[รายชื่อเกาะของประเทศญี่ปุ่น|6,852 เกาะ]] เกาะใหญ่สุดคือ เกาะ[[ฮนชู]] [[ฮกไกโด]] [[คีวชู]] และ[[เกาะชิโกกุ|ชิโกกุ]] ซึ่งคิดเป็นพื้นที่แผ่นดินประมาณร้อยละ 97 ของประเทศญี่ปุ่น และมักเรียกว่าเป็นหมู่เกาะเหย้า (home islands) ประเทศแบ่งเป็น 47 [[จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น|จังหวัด]]ใน 8 [[ภูมิภาคของญี่ปุ่น|ภูมิภาค]] โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และ[[จังหวัดโอกินาวะ|โอกินาวะ]]เป็นจังหวัดใต้สุด ประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 127 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็น[[รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร|อันดับ 10 ของโลก]] [[ชาวญี่ปุ่น]]เป็นร้อยละ 98.5 ของประชากรทั้งหมดของประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 9.1 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุง[[โตเกียว]]<ref>{{cite web|title=「東京都の人口(推計)」の概要(平成26年2月1日現在) (2014)|url=http://www.metro.tokyo.jp/INET/CHOUSA/2014/02/60o2r100.htm|work=Tokyo Metropolitan Government (JPN)|accessdate=March 20, 2014}}</ref> เมืองหลวงของประเทศ |
|||
การวิจัยทางโบราณคดีระบุว่ามีมนุษย์อาศัยในญี่ปุ่นปัจจุบันครั้งแรกตั้งแต่[[ยุคหินเก่า]] การกล่าวถึงญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกปรากฏในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดใน[[เอเชียตะวันออก]] หลังจากแพ้[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน พ.ศ. 2490 |
|||
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึงปี 2411 ประเทศญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหาร[[ระบบเจ้าขุนมูลนาย|เจ้าขุนมูลนาย]][[โชกุน]]ซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธยจักรพรรดิ ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่[[ซะโกะกุ|ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยว]]อันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติในปี 2396 เมื่อกองเรือสหรัฐ[[บะกุมะสึ|บังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก]] หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ ราชสำนักจักรวรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนในปี 2411 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจาก[[โชชู]]และซัตสึมะ และมีการสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชัยใน[[สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง]] [[สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น]]และ[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]ทำให้ประเทศญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยนิยมเพิ่มขึ้น [[สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง]]ปี 2480 ขยายเป็นบางส่วนของ[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]ในปี 2484 ซึ่งยุติในปี 2488 นับแต่การลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับบทวนวันที่ 3 พฤษภาคม 2490 ระหว่างการยึดครองของผู้บังคับบัญชาสูงสุดสำหรับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศญี่ปุ่นธำรงระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐรรมนูญโดยมีจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐและสภานิติบัญญํติจากการเลือกตั้ง เรียก [[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ญี่ปุ่น)|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] |
|||
ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิก[[สหประชาชาติ]] [[OECD]] [[จี7]] [[จี8]] และ[[จี20]] และถือเป็น[[มหาอำนาจ]]<ref>{{cite web|url=http://www.the-american-interest.com/2015/01/04/the-seven-great-powers/|title=The Seven Great Powers|publisher=American-Interest|accessdate=July 1, 2015}}</ref><ref name="Balance of Power">{{cite book|author1=T. V. Paul|author2=James J. Wirtz|author3=Michel Fortmann|title=Balance of Power|publisher=State University of New York Press, 2005|year=2005|location=United States of America|pages=59, 282|isbn=0-7914-6401-6|url=https://www.google.com/books?id=9jy28vBqscQC&pg=PA59&dq="Great+power"}} ''Accordingly, the great powers after the Cold War are Britain, China, France, Germany, Japan, Russia, and the United States'' p.59</ref><ref name="Joshua Baron">{{cite book|last1=Baron|first1=Joshua|title=Great Power Peace and American Primacy: The Origins and Future of a New International Order|date=January 22, 2014|publisher=Palgrave Macmillan|location=United States|isbn=1-137-29948-7}}</ref> มีเศรษฐกิจใหญ่เป็น[[รายการประเทศเรียงตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (ราคาตลาด)|อันดับ 3 ของโลกตามจีดีพีราคาตลาด]] และอันดับ 4 ของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ และยังเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลกด้วย ประเทศญี่ปุ่นมีกำลังแรงงานทักษะสูงและถือเป็นประเทศที่มีการศึกษาสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก โดยมีร้อยละของพลเมืองมีวุฒิการศึกษาขั้นตติยภูมิ (tertiary education) สูงสุดประเทศหนึ่งของโลก<ref name="OECD">{{cite web|title=OECD.Stat Education and Training > Education at a Glance > Educational attainment and labor-force status > Educational attainment of 25–64 year-olds|publisher=OECD|url=http://stats.oecd.org}}</ref> แม้ประเทศญี่ปุ่น[[มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|สละสิทธิประกาศสงคราม]] แต่ยังมี[[กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น|กองทหารสมัยใหม่]]และมีงบกองทัพมากเป็นอันดับ 8 ของโลก<ref>{{cite web|url=http://www.sipri.org/research/armaments/milex/resultoutput/15majorspenders|title=SIPRI Yearbook 2012–15 countries with the highest military expenditure in 2011|publisher=Sipri.org|accessdate=April 27, 2013|deadurl=yes|archiveurl=https://web.archive.org/web/20100328104327/http://www.sipri.org/research/armaments/milex/resultoutput/15majorspenders|archivedate=March 28, 2010|df=mdy-all}}</ref> ซึ่งใช้สำหรับบทบาทป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ ประเทศญี่ปุ่นเป็น[[ประเทศพัฒนาแล้ว]]ที่มีมาตรฐานการครองชีพและ[[ดัชนีการพัฒนามนุษย์]]สูง ประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูงสุดและมีอัตราการเสียชีวิตทารกต่ำสุดอันดับ 3 ในโลก ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่อง[[ภาพยนตร์ญี่ปุ่น|ภาพยนตร์]]ที่เก่าแก่และกว้างขวาง [[อาหารญี่ปุ่น|อาหารหลากชนิด]]และการเข้ามีส่วนร่วมสำคัญในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปัจจุบัน<ref>{{cite web|url=http://apps.who.int/gho/data/node.main.688?lang=en|title=WHO Life expectancy |publisher=World Health Organization|date=June 1, 2013|accessdate=June 1, 2013}}</ref><ref name="Table A.17">{{cite web|title=Table A.17|url=https://www.un.org/esa/population/publications/wpp2006/WPP2006_Highlights_rev.pdf|work=United Nations World Population Prospects'', 2006 revision''|publisher=UN|accessdate=January 15, 2011}}</ref> |
|||
== ชื่อประเทศ == |
|||
ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้[[คันจิ]]ตัวเดียวกันคือ '''日本''' คำว่า''นิปปง'' มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า ''นิฮง'' จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป |
|||
สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本) " ตั้งแต่ช่วงปลาย[[พุทธศตวรรษที่ 12]] จนถึงกลาง[[พุทธศตวรรษที่ 13]]<ref>เช่น 熊谷公男 『大王から天皇へ 日本の歴史03』(講談社、2001) และ 吉田孝 『日本誕生』(岩波新書、1997)</ref><ref>เช่น 神野志隆光『「日本」とは何か』(講談社現代新書、2005)</ref> ตัวอักษร[[คันจิ]]ของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า''ถิ่นกำเนิดของ[[ดวงอาทิตย์]]'' และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่า''ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย'' ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับ[[ราชวงศ์สุย]]ของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน<ref>เช่น 網野善彦『「日本」とは何か』(講談社、2000)、神野志前掲書</ref> ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ<ref>{{cite web|url=http://www.lang.nagoya-u.ac.jp/proj/sosho/5/maeno.pdf|title=国号に見る「日本」の自己意識|author=前野みち子}}</ref> |
|||
ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน ({{lang-en|Japan}}), ยาพัน ({{lang-de|Japan}}), ฌาปง ({{lang-fr|Japon}}), ฆาปอน ({{lang-es|Japón}}) รวมถึงคำว่า '''ญี่ปุ่น''' ในภาษาไทย น่าจะมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือแต้จิ๋วที่ออกเสียงว่า "ยิดปุ่น" ([[หมิ่นหนาน|ฮกเกี้ยน]]) หรือ "หยิกปึ้ง" ([[สำเนียงแต้จิ๋ว|แต้จิ๋ว]]) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่า "จีปังกู" แต่ในสำเนียง[[แมนดาริน]]อ่านว่า รื่อเปิ่นกั๋ว ({{zh-all|t=日本国|p=Rìběn'guó}}) หรือย่อ ๆ ว่า รื่อเปิ่น ({{zh-all|t=日本|p=Rìběn}}) <ref>[http://www.google.com/dictionary?aq=f&langpair=en|zh-TW&q=Japan&hl=en Google Dictionary (อังกฤษ-จีน)]{{dead link|date=พฤษภาคม 2560}} {{en icon}}</ref> ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี ออกเสียงว่า "อิลบน" ({{lang-ko|일본}}; 日本 ''Ilbon'') <ref>[http://www.google.com/dictionary?aq=f&langpair=en|ko&q=Japan&hl=en Google Dictionary (อังกฤษ-เกาหลี)]{{dead link|date=พฤษภาคม 2560}} {{en icon}}</ref> และภาษาเวียดนาม ที่ออกเสียงว่า "เหญิ่ตบ๋าน" ({{lang-vi|Nhật Bản}}, 日本)<ref>ก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เวียดนามใช้ตัวอักษรจีน</ref> จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเอง |
|||
== ภูมิศาสตร์ == |
|||
[[ไฟล์:Satellite View of Japan 1999.jpg|thumb|ภาพ[[กลุ่มเกาะญี่ปุ่น]]ถ่ายจากดาวเทียม]] |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีเกาะรวม 6,852 เกาะ ทอดตามชายฝั่งแปซิฟิกของเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นรวมทุกเกาะตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 24 องศา และ 46 องศาเหนือ และลองติจูด 122 องศา และ 146 องศาตะวันออก หมู่เกาะหลักไล่จากเหนือลงใต้ ได้แก่ [[ฮกไกโด]] [[ฮนชู]] [[ชิโกกุ]] และ[[คีวชู]] [[หมู่เกาะรีวกีว]]รวมทั้ง[[เกาะโอกินาวะ]]เรียงกันอยู่ทางใต้ของคีวชู รวมกันมักเรียกว่า [[กลุ่มเกาะญี่ปุ่น]]<ref>{{cite book|last=McCargo|first=Duncan|title=Contemporary Japan|year=2000|publisher=Macmillan|isbn=0-333-71000-2 |pages=8–11}}</ref> |
|||
พื้นที่ประมาณร้อยละ 73 ของประเทศญี่ปุ่นเป็นป่าไม้ ภูเขาและไม่เหมาะกับการใช้ทางการเกษตร อุตสาหกรรม หรือการอยู่อาศัย<ref>{{cite web|title=Japan|url=https://www.state.gov/r/pa/ei/bgn/4142.htm|publisher=US Department of State|accessdate=January 16, 2011}}</ref> ด้วยเหตุนี้ เขตอยู่อาศัยได้ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งเป็นหลัก จึงมีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก ประเทศญี่ปุ่นเป็น[[รายชื่อประเทศเรียงตามความหนาแน่นประชากร|ประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงสุดของโลกประเทศหนึ่ง]]<ref>{{cite web |url=http://esa.un.org/unpp/ |title=World Population Prospects |publisher=''[[United Nations Department of Economic and Social Affairs|UN Department of Economic and Social Affairs]]'' |accessdate=March 27, 2007 |archiveurl=https://web.archive.org/web/20070321013235/http://esa.un.org/unpp/ <!--Added by H3llBot--> |archivedate=March 21, 2007}}</ref> |
|||
เกาะต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟบน[[วงแหวนไฟ|วงแหวนไฟแปซิฟิก]] รอยต่อสามโบะโซะ (Boso Triple Junction) นอกชายฝั่งญี่ปุ่นเป็นรอยต่อสามที่[[แผ่นอเมริกาเหนือ]] [[แผ่นแปซิฟิก]]และ[[แผ่นทะเลฟิลิปปิน]]บรรจบกัน ประเทศญี่ปุ่นเดิมติดกับชายฝั่งตะวันออกของ[[ทวีปยูเรเชีย]] แต่แผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงดึงประเทศญี่ปุ่นไปทางตะวันออก เปิด[[ทะเลญี่ปุ่น]]เมื่อประมาณ 15 ล้านปีก่อน<ref>{{cite web|url=http://shinku.nichibun.ac.jp/jpub/pdf/jr/IJ1501.pdf|last=Barnes|first=Gina L.|title=Origins of the Japanese Islands|publisher=[[University of Durham]]|year=2003|accessdate=August 11, 2009}}</ref> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่ 108 ลูก ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีภูเขาไฟใหม่เกิดขึ้นหลายลูก รวมทั้งโชวะ-ชินซันบนฮกไกโดและเมียวจิน-โชนอกหินบายองเนสในมหาสมุทรแปซิฟิก เกิดแผ่นดินไหวทำลายล้างซึ่งมักทำให้เกิด[[คลื่นสึนามิ]]ตามมาหลายครั้งทุกศตวรรษ<ref>{{cite web |url=http://volcano.und.edu/vwdocs/volc_images/north_asia/japan_tec.html |archiveurl=https://web.archive.org/web/20070204064754/http://volcano.und.edu/vwdocs/volc_images/north_asia/japan_tec.html |archivedate=February 4, 2007 |title=Tectonics and Volcanoes of Japan |publisher=Oregon State University |accessdate=March 27, 2007}}</ref> [[แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต พ.ศ. 2466]] ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน<ref>{{cite web|last=James |first=C.D. |title=The 1923 Tokyo Earthquake and Fire |url=http://nisee.berkeley.edu/kanto/tokyo1923.pdf |publisher=University of California Berkeley |accessdate=January 16, 2011 |year=2002 |deadurl=yes |archiveurl=https://web.archive.org/web/20070316050633/http://nisee.berkeley.edu/kanto/tokyo1923.pdf |archivedate=March 16, 2007 |df= }}</ref> แผ่นดินไหวใหญ่ล่าสุด ได้แก่ [[แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538]] และ[[แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554|แผ่นดินไหวในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554]] ซึ่งมีขนาด 9.1 และทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ ดัชนีความเสี่ยงโลกปี 2556 จัดให้ประเทศญี่ปุ่นมีความเสี่ยงภัยธรรมชาติสูงสุดอันดับที่ 15<ref name="2013 World Risk Report">[http://www.worldriskreport.com/uploads/media/WorldRiskReport_2013_online_01.pdf 2013 World Risk Report] {{webarchive |url=https://web.archive.org/web/20140816173655/http://www.worldriskreport.com/uploads/media/WorldRiskReport_2013_online_01.pdf |date=August 16, 2014 }}</ref> |
|||
=== ภูมิอากาศ === |
|||
ภูมิอากาศของประเทศญี่ปุ่นเป็นแบบอบอุ่นเป็นหลัก แต่มีความแตกต่างกันมากตั้งแต่เหนือจดใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นหกเขตภูมิอากาศหลัก ได้แก่ ฮกไกโด ทะเลญี่ปุ่น ที่สูงภาคกลาง [[ทะเลเซโตะใน]] มหาสมุทรแปซิฟิกและ[[หมู่เกาะรีวกีว]] |
|||
เขตเหนือสุด ฮกไกโด มีภูมิอากาศแบบทวีปชื้นที่มีฤดูหนาวเย็นและยาวนาน และมีฤดูร้อนอุ่นมากถึงเย็น [[หยาดน้ำฟ้า]]ไม่หนัก แต่หมู่เกาะมักมีกองหิมะลึกในฤดูหนาว ในเขตทะเลญี่ปุ่นตรงชายฝั่งตะวันตกของฮนชู ลมฤดูหนาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือนำให้หิมะตกหนัก ในฤดูร้อน ภูมิภาคนี้เย็นกว่าเขตแปซิฟิก แม้บางครั้งมีอุณหภูมิร้อนจัดเนื่องจาก[[ลมเฟิน]] (foehn) เขตที่สูงภาคกลางเป็นภูมิอากาศแบบทวีปชื้นในแผ่นดินตรงแบบ มีความแตกต่างของอุณหภูมิมากระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาว ตลอดจนมีความแตกต่างระหว่างกลางวันกลางคืนมาก หยาดน้ำฟ้าเบาบาง แม้ฤดูหนาวปกติมีหิมะตก เขตภูเขา[[ชูโงกุ]]และ[[เกาะชิโกกุ]]กั้นทะเลในแผ่นดินเซโตะจากลมตามฤดูกาล ทำให้มีลมฟ้าอากาศไม่รุนแรงตลอดปี ชายฝั่งแปซิฟิกมีลักษณะภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนชื้นซึ่งมีฤดูหนาวไม่รุนแรง มีหิมะตกบางครั้ง และฤดูร้อนที่ร้อนชื้นเนื่องจากลมฤดูกาลจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะรีวกีวมีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน โดยมีฤดูหนาวอบอุ่นและฤดูร้อนร้อน หยาดน้ำฟ้าหนักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฤดูฝน<ref name=autogenerated2>{{cite book|last=Karan|first=Pradyumna Prasad|title=Japan in the 21st century|year=2005|publisher=University Press of Kentucky|isbn=0-8131-2342-9|pages=18–21, 41|author2=Gilbreath, Dick}}</ref> |
|||
อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 5.1 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ 25.2 องศาเซลเซียส<ref>{{cite web|title=Climate|url=http://www.jnto.go.jp/eng/arrange/essential/climate.html|publisher=[[Japan National Tourism Organization|JNTO]]|accessdate=March 2, 2011}}</ref> อุณหภูมิสูงสุดที่เคยวัดได้ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 41.0 องศาเซลเซียส ซึ่งมีบันทึกเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2556<ref>{{cite web|url=http://ds.data.jma.go.jp/tcc/tcc/news/press_20130813.pdf |title=Extremely hot conditions in Japan in midsummer 2013 |
|||
|publisher=Tokyo Climate Center, Japan Meteorological Agency |date=August 13, 2013 |accessdate=August 3, 2017}}</ref> ฤดูฝนหลักเริ่มในต้นเดือนพฤษภาคมในโอกินาวะ และแนวฝนจะค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นเหนือจนถึงฮกไกโดในปลายเดือนกรกฎาคม ในฮนชูส่วนใหญ่ ฤดูฝนเริ่มก่อนกลางเดือนมิถุนายนและกินเวลาประมาณหกสัปดาห์ ในปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พายุไต้ฝุ่นมักนำพาฝนตกหนักมา<ref name="climate">{{cite web |url=http://www.jnto.go.jp/eng/arrange/essential/climate.html |title=Essential Info: Climate |publisher=[[Japan National Tourism Organization|JNTO]] |accessdate=April 1, 2007}}</ref> |
|||
=== ความหลากหลายทางชีวภาพ === |
|||
[[ไฟล์:Jigokudani hotspring in Nagano Japan 001.jpg|thumb|left|[[ลิงกังญี่ปุ่น]]ที่[[Jigokudani Monkey Park|บ่อน้ำพุร้อนจิโกะคุดะนิ]]มีชื่อเสียงว่าเข้าสปาในฤดูหนาว]] |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีเขตชีวภาพป่าเก้าเขตซึ่งสะท้อนภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีตั้งแต่ป่าใบกว้างชื้นกึ่งเขตร้อนในหมู่เกาะรีวกีวและ[[หมู่เกาะโอะงะซะวะระ]] จนถึงป่าผสมและใบกว้างเขตอุบอุ่นในเขตภูมิอากาศไม่รุนแรงในหมู่เกาะหลัก จนถึงป่าสนเขาเขตอบอุ่นในส่วนฤดูหนาวหนาวเย็นในเกาะทางเหนือ ประเทศญี่ปุ่นมีสัตว์ป่ากว่า 90,000 ชนิด รวมทั้ง[[หมีสีน้ำตาล]] [[ลิงกังญี่ปุ่น]] [[ทะนุกิ]] หนูนาญี่ปุ่นใหญ่ และ[[ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น]] มีการตั้งเครือข่ายอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่เพื่อคุ้มครองพื้นที่สำคัญของพืชและสัตว์ตลอดจนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตาม[[อนุสัญญาแรมซาร์]]สามสิบเจ็ดแห่ง มีสี่แห่งลงทะเบียนใน[[รายการแหล่งมรดกโลกในประเทศญี่ปุ่น|รายการมรดกโลกของยูเนสโก]] |
|||
=== สิ่งแวดล้อม === |
|||
ในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายสิ่งแวดล้อมถูกรัฐบาลและบริษัทอุตสาหกรรมลดความสำคัญ ผลทำให้มี[[สี่โรคสิ่งแวดล้อมใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น|มลภาวะสิ่งแวดล้อม]]แพร่หลายในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อสนองต่อความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงริเริ่มกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหลายฉบับในปี 2513<ref>{{cite web|script-title=ja:日本の大気汚染の歴史 |url=http://www.erca.go.jp/taiki/history/ko_syousyu.html |publisher=Environmental Restoration and Conservation Agency |accessdate=March 2, 2014 |language=Japanese |deadurl=yes |archiveurl=https://web.archive.org/web/20110501085231/http://www.erca.go.jp/taiki/history/ko_syousyu.html |archivedate=May 1, 2011}}</ref> วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ<ref>{{cite web|last=Sekiyama|first=Takeshi|title=Japan's international cooperation for energy efficiency and conservation in Asian region|url=http://nice.erina.or.jp/en/pdf/C-SEKIYAMA.pdf|archiveurl=https://web.archive.org/web/20080216005103/http://nice.erina.or.jp/en/pdf/C-SEKIYAMA.pdf|archivedate=February 16, 2008|publisher=Energy Conservation Center|accessdate=January 16, 2011}}</ref> ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้แก่ มลภาวะทางอากาศในเมือง การจัดการขยะ ยูโทรฟิเคชันน้ำ การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การจัดการเคมีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์<ref>{{cite web|title=Environmental Performance Review of Japan|url=http://www.oecd.org/dataoecd/0/17/2110905.pdf|publisher=[[Organisation for Economic Co-operation and Development|OECD]]|accessdate=January 16, 2011}}</ref> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในอันดับที่ 39 ในดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อมปี 2559 ซึ่งวัดความผูกมัดของประเทศต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม<ref>{{cite web|title=Environmental Performance Index: Japan|url=http://epi.yale.edu/country/japan|publisher=Yale University|accessdate=April 19, 2016}}</ref> ในฐานะเจ้าภาพและผู้ลงนาม[[พิธีสารเกียวโต]]ปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อผูกพันตามสนธิสัญญาในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และใช้วิธีการเพิ่มเติมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ<ref>{{cite news |url=https://www.reuters.com/article/idUST191967 |title=Japan sees extra emission cuts to 2020 goal – minister |date=June 24, 2009 |agency=Reuters}}</ref> |
|||
== ประวัติศาสตร์ == |
|||
{{บทความหลัก|ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น}} |
|||
=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ === |
|||
[[ไฟล์:MiddleJomonVessel.JPG|thumb|150px|เครื่องปั้นดินเผายุคโจมง|left]] |
|||
วัฒนธรรม[[ยุคหินเก่า]]ประมาณ 30,000 ปีก่อน ค.ศ. เป็นหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์บนกลุ่มเกาะญี่ปุ่นครั้งแรกเท่าที่ทราบ หลังจากนั้นเป็น[[ยุคโจมง]]เมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน ค.ศ. ที่มีวัฒนธรรมนักล่าสัตว์หาของป่ากึ่งอยู่กับที่[[ยุคหินกลาง]]ถึง[[ยุคหินใหม่]] ซึ่งมีลักษณะโดยการอาศัยอยู่ในหลุมและเกษตรกรรมเรียบง่าย<ref>{{cite web|url=http://www.pitt.edu/~annj/courses/notes/jomon_genes.html|title=Jomon Genes|last=Travis|first=John|publisher=University of Pittsburgh|accessdate=January 15, 2011}}</ref> รวมทั้งบรรพบุรุษของ[[ชาวไอนุ]]และ[[ชาวยะมะโตะ]]ร่วมสมัยด้วย<ref>{{cite journal|last=Matsumara|first=Hirofumi; Dodo, Yukio|url=https://www.jstage.jst.go.jp/article/ase/117/2/117_080325/_article |title=Dental characteristics of Tohoku residents in Japan: implications for biological affinity with ancient Emishi|journal=Anthropological Science|year=2009|volume=117|issue=2|pages=95–105|doi=10.1537/ase.080325|last2=Dodo|first2=Yukio}}</ref><ref>{{cite journal|last=Hammer|first=Michael F.|url=http://www.nature.com/jhg/journal/v51/n1/abs/jhg20068a.html |title=Dual origins of the Japanese: common ground for hunter-gatherer and farmer Y chromosomes|journal=Journal of Human Genetics|year=2006|volume=51|issue=1|pages=47–58|doi=10.1007/s10038-005-0322-0|pmid=16328082|last2=Karafet|first2=TM|last3=Park|first3=H|last4=Omoto|first4=K|last5=Harihara|first5=S|last6=Stoneking|first6=M|last7=Horai|first7=S|display-authors=etal}}</ref> เครื่องดินเผาตกแต่งจากยุคนี้ยังเป็นตัวอย่างเครื่องดินเผาเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังเหลือรอดในโลกด้วย ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ. ชาวยะโยะอิเริ่มเข้าสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น ผสมผสานกับโจมอน<ref>{{cite book|last=Denoon|first=Donald; Hudson, Mark|title=Multicultural Japan: palaeolithic to postmodern|publisher=Cambridge University Press|year=2001|isbn=0-521-00362-8|pages=22–23}}</ref> [[ยุคยะโยะอิ]]ซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. มีการริเริ่มการปฏิวัติอย่างการทำนาข้าวเปียก<ref>{{cite web|title=Road of rice plant|url=http://www.kahaku.go.jp/special/past/japanese/ipix/5/5-25.html|archiveurl=https://web.archive.org/web/20110430010530/http://www.kahaku.go.jp/special/past/japanese/ipix/5/5-25.html|archivedate=April 30, 2011|publisher=[[National Science Museum of Japan]]|accessdate=January 15, 2011}}</ref> เครื่องดินเผาแบบใหม่<ref>{{cite web|title=Kofun Period|url=http://www.metmuseum.org/toah/hd/kofu/hd_kofu.htm|publisher=Metropolitan Museum of Art|accessdate=January 15, 2011}}</ref> และโลหะวิทยาที่รับมาจากจีนและเกาหลี<ref>{{cite web|title=Yayoi Culture|url=http://www.metmuseum.org/toah/hd/yayo/hd_yayo.htm|publisher=Metropolitan Museum of Art|accessdate=January 15, 2011}}</ref> |
|||
ญี่ปุ่นปรากฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษรใน[[ฮั่นซู]] (บันทึกประวัติศาสตร์ฮั่น) ของจีน<ref>{{cite book |last=Takashi |first=Okazaki |last2=Goodwin |first2=Janet |title=The Cambridge history of Japan, Volume 1: Ancient Japan |year=1993 |publisher=Cambridge University Press |location=Cambridge |isbn=0-521-22352-0 |page=275 |chapter=Japan and the continent}}</ref> ตามบันทึกสามก๊ก ราชอาณาจักรทรงอำนาจที่สุดในกลุ่มเกาะญี่ปุ่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 เรียก ยะมะไตโกะกุ มีกาเผยแผ่[[ศาสนาพุทธ]] เข้าประเทศญี่ปุ่นจาก[[อาณาจักรแพ็กเจ]] (เกาหลีปัจจุบัน) และได้รับอุปถัมภ์โดย[[เจ้าชายโชโตะกุ]] และการพัฒนา[[ศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น|ศาสนาพุทธญี่ปุ่น]]ในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก<ref>{{cite book |editor=Brown, Delmer M.|year=1993 |title=The Cambridge History of Japan |publisher=Cambridge University Press |pages=140–149}}</ref> แม้มีการต่อต้านในช่วงแรก แต่ศาสนาพุทธได้รับการส่งเสริมจากชนชั้นปกครองและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้น[[ยุคอะซุกะ]] (ค.ศ. 592–710)<ref>{{cite book |title=The Japanese Experience: A Short History of Japan |first=William Gerald|last=Beasley |publisher=University of California Press |year=1999 |page=42 |isbn=0-520-22560-0}}</ref> |
|||
[[ยุคนาระ]] (พ.ศ. 1253–1337) มีการกำเนิดรัฐญี่ปุ่นแบบรวมอำนาจปกครองโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักจักรพรรดิใน[[เฮโจเกียว]] ([[จังหวัดนาระ]]ปัจจุบัน) ยุคนาระเริ่มมีวรรณคดีตลอดจนการพัฒนาศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ<ref>{{cite book |first=Conrad|last=Totman |year=2002 |title=A History of Japan |publisher=Blackwell |pages=64–79 |isbn=978-1-4051-2359-4}}</ref> การระบาดของ[[โรคฝีดาษ]]ในปี 1278–1280 เชื่อว่าฆ่าประชากรญี่ปุ่นไปมากถึงหนึ่งในสาม<ref>{{cite book|last=Hays|first=J.N.|title=Epidemics and pandemics: their impacts on human history|year=2005|publisher=[[ABC-CLIO]]|isbn=1-85109-658-2|page=31}}</ref> ในปี 1327 [[จักรพรรดิคัมมุ]]ย้ายเมืองหลวงจากนาระไป[[นะงะโอกะเกียว]] และ[[เฮอังเกียว]] ([[เกียวโต (นคร)|นครเกียวโต]]ปัจจุบัน) ในปี 1337 |
|||
นับเป็นจุดเริ่มต้นของ[[ยุคเฮอัง]] (พ.ศ. 1337–1728) ซึ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นเฉพาะถิ่นชัดเจนกำเนิด โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ศิลปะ กวีและร้อยแก้ว [[ตำนานเก็นจิ]]ของ[[มุราซากิ ชิคิบุ]] และ "[[คิมิงะโยะ]]" เนื้อร้องเพลงชาติประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็มีการเขียนขึ้นในช่วงนี้<ref>{{cite book |first=Conrad|last=Totman |year=2002 |title=A History of Japan |publisher=Blackwell |pages=79–87, 122–123 |isbn=978-1-4051-2359-4}}</ref> |
|||
ศาสนาพุทธเริ่มแพร่ขยายระหว่าง[[ยุคเฮอัง]] ผ่านสองนิกายหลัก ได้แก่ เท็งไดและชินงน [[สุขาวดี (นิกาย)|สุขาวดี]] (โจโดะชู โจโดะชินชู) ได้รับความนิยมมากกว่าในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 11 |
|||
=== ยุคเจ้าขุนมูลนาย === |
|||
[[ไฟล์:Mōko Shūrai Ekotoba 2.jpg|thumb|นักรบซะมุไรสู้รบกับมองโกลระหว่างการบุกครองญี่ปุ่นของมองโกล ([[Takezaki Suenaga|Suenaga]], 1836)]] |
|||
[[ไฟล์:Japan Kyoto Kinkakuji DSC00108.jpg|thumb|220px|[[วัดคิงกะกุ]] ในเมือง[[เกียวโต]]]] |
|||
ยุคเจ้าขุนมูลนายของญี่ปุ่นมีลักษณะจากการถือกำเนิดและการครอบงำของชนชั้นนักรบ[[ซะมุไร]] ใน พ.ศ. 1728 [[จักรพรรดิโกะ-โทะบะ]]ทรงแต่งตั้งซะมุไร [[มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ]] เป็น[[โชกุน]] หลังพิชิต[[ตระกูลไทระ]]ใน[[สงครามเก็มเป]] โยะริโตะโมะตั้งฐานอำนาจใน[[คะมะกุระ]] หลังเขาเสียชีวิต [[ตระกูลโฮโจ]]เถลิงอำนาจเป็น[[ชิกเก็ง|ผู้สำเร็จราชการให้โชกุน]] มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธสำนักเซนจากจีนใน[[ยุคคะมะกุระ]] (พ.ศ. 1728–1876) และได้รับความนิยมในชนชั้นซะมุไร [[รัฐบาลโชกุนคะมะกุระ]]ขับไล่การบุกครองของมองโกลสองครั้งใน พ.ศ. 1817 และ 1824 แต่สุดท้ายถูก[[จักรพรรดิโกะ-ไดโงะ]]โค่นล้ม ส่วนจักรพรรดิโกะ-ไดโงะก็ถูก[[อะชิกะงะ ทะกะอุจิ]]พิชิตอีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 1879 |
|||
อะชิกะงะ ทะกะอุจิตั้งรัฐบาลโชกุนในมุโระมะชิ จังหวัดเกียวโต เป็นจุดเริ่มต้นของ[[ยุคมุโระมะชิ]] (พ.ศ. 1879–2116) [[รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะ]]รุ่งเรืองในสมัยของ[[อะชิกะงะ โยะชิมิสึ]] และวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนศาสนาพุทธแบบเซ็น (ศิลปะ[[มิยะบิ (ศิลปะ)|มิยะบิ]]) แพร่กระจาย ต่อมาศิลปะมิยะบิวิวัฒน์เป็นวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ และเจริญจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21–22) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะสมัยต่อมาไม่สามารถควบคุมขุนศึกเจ้าขุนมูลนาย ([[ไดเมียว]]) ได้ และเกิดสงครามกลางเมือง ([[สงครามโอนิน]]) ใน พ.ศ. 2010 เปิดฉาก[[ยุคเซ็งโงะกุ]] ("รณรัฐ") ยาวนานนับศตวรรษ |
|||
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีพ่อค้าและ[[มิชชันนารี]][[คณะเยสุอิต]]จากประเทศโปรตุเกสเดินทางถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก ([[การค้านัมบัน]]) โดยตรง ทำให้[[โอะดะ โนะบุนะงะ]]ได้เทคโนโลยีและอาวุธปืนยุโรปซึ่งเขาใช้พิชิตไดเมียวคนอื่นหลายคน การรวบอำนาจของเขาเริ่ม[[ยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ]] (พ.ศ. 2116–2146) หลังโนะบุนะงะถูก[[อะเกะชิ มิสึฮิเดะ]]ลอบฆ่าใน พ.ศ. 2125 [[โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ]] ผู้สืบทอดของโนะบุนะงะ รวมประเทศใน พ.ศ. 2133 และเปิดฉาก[[การบุกครองเกาหลีของญี่ปุ่น (ค.ศ. 1592–98)|บุกครองเกาหลี]] 2 ครั้งใน พ.ศ. 2135 และ 2140 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ |
|||
หลังฮิเดะโยะชิถึงแก่อสัญกรรม [[โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ]]ตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนบุตรของฮิเดะโยะชิและใช้ตำแหน่งให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะซุเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ใน[[ยุทธการที่เซะกิงะฮะระ]]ใน พ.ศ. 2143 ต่อมาใน พ.ศ. 2146 [[จักรพรรดิโกะ-โยเซ]]จึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นโชกุน เขาตั้ง[[รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะ]]ใน[[เอะโดะ]] (กรุง[[โตเกียว]]ปัจจุบัน) รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะออกมาตรการซึ่งรวมบุเกะโชะฮัตโตะเป็นจรรยาบรรณสำหรับควบคุมไดเมียวอัตตาณัติ และนโยบาย[[ซะโกะกุ]] ("ประเทศปิด") ใน พ.ศ. 2182 ซึ่งกินเวลานานสองศตวรรษครึ่งและเป็นยุคเอกภาพทางการเมืองที่เรียก [[ยุคเอะโดะ]] (พ.ศ. 2146–2411) การศึกษาศาสตร์ตะวันตก ที่เรียก [[รังงะกุ]] ยังคงมีต่อผ่านการติดต่อกับดินแดนแทรกของเนเธอร์แลนด์ที่[[เดจิมะ]]ใน[[นางาซากิ]] ยุคเอะโดะยังทำให้โคะกุงะกุ ("การศึกษาชาติ") หรือการศึกษาประเทศญี่ปุ่นโดยคนญี่ปุ่น เจริญด้วย |
|||
=== ยุคใหม่ === |
|||
[[ไฟล์:Meiji tenno1.jpg|thumb|upright|left|[[สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ]] มีการฟื้นฟูการปกครองแบบจักรวรรดิในช่วงปลาย[[รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะ]]]] |
|||
วันที่ 31 มีนาคม 2397 [[แมทธิว ซี. เพอร์รี|พลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี]] และ "[[เรือดำ]]" แห่งกองทัพเรือสหรัฐบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศต่อโลกภายนอกด้วย[[สนธิสัญญาคานางาวะ]] สนธิสัญญาคล้ายกันกับประเทศตะวันตกในยุค[[บะกุมะสึ]]นำมาซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง การลาออกของโชกุนนำสู่[[สงครามโบะชิง]] และการสถาปนารัฐรวมอำนาจปกครองที่เป็นเอกภาพในนามภายใต้จักรพรรดิ ([[การฟื้นฟูเมจิ]])<ref>{{cite book|title=JAPAN From Prehistory to Modern Times|author=John Whitney Hall|publisher =Charles E. Tuttle Company|page=262-264|date=1971}}</ref> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นรับสถาบันการเมือง ตุลาการและทหารแบบตะวันตกและอิทธิพลทางวัฒนธรรมตะวันตกรวมเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมขปงะเรทศสำหรับการกลายเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยผ่านกระบวนการกลายเป็นตะวันตกระหว่างการฟื้นฟูเมจิในปี 2411 คณะรัฐมนตรีจัดตั้งคณะองคมนตรี ริเริ่ม[[รัฐธรรมนูญเมจิ]] และเรียกประชุม[[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ญี่ปุ่น)|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] การฟื้นฟูเมจิเปลี่ยนจักรวรรดิญี่ปุ่นให้เป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมซึ่งมุ่งใช้ความขัดแย้งทางทหารเพื่อขยายเขตอิทธิพลของตน หลังคว้าชัยใน[[สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง]] (พ.ศ. 2437–2438) และ[[สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น]] (พ.ศ. 2447–2448) ประเทศญี่ปุ่นเข้าควบคุมไต้หวัน เกาหลีและครึ่งใต้ของ[[เกาะซาฮาลิน]] ประชากรญี่ปุ่นเพิ่มจาก 35 ล้านคนในปี 2416 เป็น 70 ล้านคนในปี 2478 |
|||
[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่[[ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง|ฝ่ายสัมพันธมิตร]]ผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตในทวีปเอเชียต่อไปอีก ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีช่วง "ประชาธิปไตยไทโช" (พ.ศ. 2455–2469) แต่คริสต์ทศวรรษ 1920 (ประมาณพุทธทศวรรษ 2460) ประชาธิปไตยที่เปราะบางตกอยู่ภายใต้การเลื่อนทางการเมืองสู่[[ฟาสซิสต์]] มีการผ่านกฎหมายปราบปรามการเห็นต่างทางการเมืองและมีความพยายามรัฐประหารหลายครั้ง "[[ยุคโชวะ]]" ต่อมาอำนาจของกองทัพเริ่มเพิ่มขึ้นและนำญี่ปุ่นสู่การขยายอาณาเขตและการเสริมสร้างแสนยานุภาพ ตลอดจนเผด็จการเบ็ดเสร็จและ[[ลัทธิคลั่งชาติ]]ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ฟาสซิสต์ ในปี 2474 ประเทศญี่ปุ่นบุกครองและยึดครอง[[แมนจูเรีย]] เมื่อนานาชาติประณามการครอบครองนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ลาออกจาก[[สันนิบาตชาติ]]ในปี 2476<ref>{{cite web|url=http://www.drc-jpn.org/AR-6E/sugiyama-e02.htm|title=Fundamental Issues underlying US-Japan Alliance: 2. Lytton Report and Anglo-Russo-Americana (ARA) Secret Treaty|publisher=Defense Research Center|author=Katsumi Sugiyama}}{{dead link|date=พฤษภาคม 2560}}</ref> ในปี 2479 ญี่ปุ่นลงนาม[[กติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น]]กับ[[นาซีเยอรมนี]] และ[[กติกาสัญญาไตรภาคี]]ในปี 2483 เข้าร่วมกับ[[ฝ่ายอักษะ]]<ref>{{cite web |url= http://www.friesian.com/pearl.htm |title= The Pearl Harbor Strike Force |author= Kelley L. Ross | publisher = friesian.com |accessdate=2007-03-27}}</ref> หลังพ่ายใน[[ข้อพิพาทชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่น|สงครามชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่น]]ที่กินเวลาสั้น ๆ ประเทศญี่ปุ่นเจรจา[[กติกาสัญญาความเป็นกลางโซเวียต–ญี่ปุ่น]] ซึ่งกินเวลาถึงปี 2488 เมื่อ[[การบุกครองแมนจูเรียของโซเวียต|สหภาพโซเวียตบุกครองแมนจูเรีย]] |
|||
[[ไฟล์:Nagasakibomb.jpg|thumb|right|[[การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มฮิโรชิมะและนางาซากิ|ระเบิดนิวเคลียร์แฟทแมนที่ถูกทิ้งลงนางาซากิ]]ในวันที่ 9 สิงหาคม 2488]] |
|||
ในยุค[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ [[สงครามมหาเอเชียบูรพา]]) ในวันที่ [[7 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2484]] โดย[[การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์|การโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล]] และการยาตราทัพเข้ามายัง[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]] ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและ[[เนเธอร์แลนด์]] ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจาก[[ยุทธนาวีแห่งมิดเวย์]] ([[พ.ศ. 2485]]) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่[[ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง|ฝ่ายสัมพันธมิตร]]โดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ[[ระเบิดปรมาณู]]ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่[[เมืองฮิโรชิมา]]และ[[นางาซากิ]] (ในวันที่ [[6 สิงหาคม|6]] และ [[9 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2488]] ตามลำดับ) และ[[ปฏิบัติการพายุสิงหาคม|การรุกรานของสหภาพโซเวียต]] (วันที่ [[8 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2488]]) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ [[15 สิงหาคม]] ปีเดียวกัน<ref>{{cite web |url=http://library.educationworld.net/txt15/surrend1.html |title=Japanese Instrument of Surrender |publisher=educationworld.net |accessdate=2008-11-22}}</ref> สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่ง[[พลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์]]เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ |
|||
ปี 2490 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|รัฐธรรมนูญฉบับใหม่]]ซึ่งเน้นวัตร[[ประชาธิปไตยเสรีนิยม]] [[การยึดครองญี่ปุ่น]]ของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนาม[[สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก]]ในปี 2499<ref>{{cite web|url=http://www.taiwandocuments.org/sanfrancisco01.htm|title=San Francisco Peace Treaty|publisher=Taiwan Document Project|accessdate=2008-11-22}}</ref> และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิก[[สหประชาชาติ]]ในปี 2499<ref>{{cite web|url=http://www.un.org/News/Press/docs/2006/org1469.doc.htm|title=United Nations Member States|publisher=[[สหประชาชาติ]]|accessdate=2008-11-22}}</ref> หลังสงคราม ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จนถูกประเทศจีนแซงในปี 2553 แต่การเติบโตดังกล่าวหยุดในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย<ref name="webeco">{{cite web |url=http://web-japan.org/factsheet/pdf/ECONOMY.pdf|title=Japan Fact Sheet: Economy|publisher=Web Japan|accessdate=2008-11-22}}{{dead link|date=พฤษภาคม 2560}}</ref> ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเติบโตทางบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป<ref>{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/business/5178822.stm |title=Japan scraps zero interest rates |publisher=BBC News |date=July 14, 2006 |accessdate=December 28, 2006}}</ref> วันที่ 11 มีนาคม 2554 ประเทศญี่ปุ่นประสบ[[แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554|แผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ]] ซึ่งยังส่งผลให้เกิด[[ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิ]] |
|||
== การเมือง == |
|||
{| class="wikitable" style="text-align:left; float:right; margin-right:9px; margin-left:2px;" |
|||
|- |
|||
| style="text-align:center;"| [[ไฟล์:Emperor Akihito cropped 2 Barack Obama Emperor Akihito and Empress Michiko 20140424 1.jpg|126px]] || style="text-align:left;" | [[ไฟล์:Shinzo Abe (2017).jpg|140px]] |
|||
|- |
|||
| style="text-align:center;"|[[สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ]] <br/><small>[[จักรพรรดิญี่ปุ่น|จักรพรรดิ]]ตั้งแต่ปี 2532</small> |
|||
| style="text-align:center;"|[[ชินโซ อะเบะ]]<br/><small>[[นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น|นายกรัฐมนตรี]]ตั้งแต่ปี 2555</small> |
|||
|} |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบรัฐเป็น[[ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ]] โดยที่จักรพรรดิมีพระราชอำนาจจำกัด ทรงเป็นประมุขในทางพิธีการ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ทรงเป็น "สัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของประชาชน"<ref name=constitution>[http://www.sangiin.go.jp/eng/law/index.htm รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น]{{dead link|date=พฤษภาคม 2560}} ราชมนตรีแห่งรัฐสภาญี่ปุ่น (1946-11-03) </ref> นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร ส่วนอำนาจอธิปไตยเป็นของชาวญี่ปุ่น |
|||
[[ไฟล์:Diet of Japan Kokkai 2009.jpg|thumb|left|อาคารสภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] |
|||
[[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ญี่ปุ่น)|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]]เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตั้งอยู่ใน[[ชิโยะดะ (โตเกียว)|ชิโยะดะ กรุงโตเกียว]] สภาฯ ใช้ระบบ[[ระบบสองสภา]] ประกอบด้วย ''สภาผู้แทนราษฎร'' {{nhg2|衆議院|ชุงิ-อิง}} เป็น[[สภาล่าง]] มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และ ''[[ราชมนตรีสภา]]'' ({{nhg2|参議院|ซังงีง}}) เป็น[[สภาสูง]] มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกราชมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุสิบแปดปีบริบูรณ์เป็นต้นไป<ref name="tst-">{{cite web |url=http://www.straitstimes.com/asia/east-asia/japan-lowers-voting-age-from-20-to-18-to-better-reflect-young-peoples-opinions-in |title=Japan lowers voting age from 20 to 18 to better reflect young people's opinions in policies |publisher=''[[The Straits Times]]'' |date=June 20, 2015 |accessdate=August 28, 2017 }}</ref> พรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น (CDP) ที่เป็นเสรีนิยมสังคม และพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยม (LDP) ที่เป็นอนุรักษนิยมครองสภาฯ LDP ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเกือบตลอดมาตั้งแต่ปี 2498 ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ระหว่างปี 2536 ถึง 2537 และระหว่างปี 2552 ถึง 2555 |
|||
ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจาก[[กฎหมายจีน]]มาแต่อดีต และมีพัฒนาการเป็นเอกเทศใน[[ยุคเอะโดะ]]ผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น [[ประชุมราชนีติ]] ({{nhg2|公事方御定書|Kujikata Osadamegaki}}) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้น[[พุทธศตวรรษ 2400]] เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้[[ระบบซีวิลลอว์]]ของยุโรป โดยเฉพาะของ[[ฝรั่งเศส]]และ[[เยอรมนี]] เป็นต้นแบบ เช่น ในปี 2439 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศใช้[[ประมวลกฎหมายแพ่งญี่ปุ่น|ประมวลกฎหมายแพ่ง]] ({{nhg2|民法|Minpō}}) โดยมี[[ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน]]เป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลัง[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] จนปัจจุบัน<ref name="civilcode">{{cite web |url=http://www.britannica.com/eb/article-9043364?hook=6804 |title="Japanese Civil Code" |publisher=Encyclopædia Britannica |year=2006 |accessdate=2006-12-28}}{{dead link|date=พฤษภาคม 2560}}</ref> ระบบศาลของญี่ปุ่นแบ่งเป็นสี่ขั้นหลัก คือ ศาลสูงสุดและศาลชั้นล่างสามระดับ ประชุมกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียก [[หกประมวล]] ({{nhg2|六法|Roppō}}) |
|||
=== การแบ่งเขตการปกครอง === |
|||
ประเทศญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 [[จังหวัด]]<ref> คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง, โด (道) เฉพาะฮกไกโด, ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตและโอซากะ ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในอดีต และเค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่นๆ เมื่อพูดถึงจังหวัดรวมๆ จะใช้ว่า โทะโดฟุเก็ง (都道府県) </ref> และแบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหาร |
|||
ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขาการปกครองออกเป็นเทศบาลย่อยๆ <ref> ซึ่งเทศบาลมีหลายระดับ ตั้งแต่ กุ (区) ชิ (市) โช (町) และมุระหรือซน (村) ซึ่งเรียกรวมกันว่า [[ชิโจซง]] </ref> แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเทศบาลที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเทศบาลลงได้ <ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/np20020126a8.html|title=City-merger talks on increase|publisher=The Japan Times|date=2002-01-26|accessdate=2008-11-15}}{{dead link|date=พฤษภาคม 2560}}</ref> การรวมเขตเทศบาลนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เทศบาลใน [[พ.ศ. 2542]] ให้เหลือ 1,773 เทศบาลใน [[พ.ศ. 2553]] <ref>{{cite web|url=http://www.soumu.go.jp/gapei|title=合併相談コーナー|publisher=Ministry of Internal Affairs and Communications|accessdate=2008-11-16}}</ref> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไป |
|||
{{แผนที่ประเทศญี่ปุ่น}} |
|||
{| border="0" cellpadding="3px" cellspacing="2px" style="background:#fff; width:60%; margin:auto;" |
|||
|- style="text-align:center; background:lightcoral;" |
|||
! style="width:25%;"| ''' [[ฮกไกโด]]''' |
|||
! style="width:25%;"| '''[[โทโฮะกุ]]''' |
|||
! style="width:25%;"| '''[[คันโต]]''' |
|||
! style="width:25%;"| '''[[ชูบุ]]''' |
|||
|- style="text-align:left; vertical-align:top; background:Lavenderblush; font-size:92%;" |
|||
| |
|||
1. [[จังหวัดฮกไกโด|ฮกไกโด]] <br /> |
|||
| |
|||
2. [[จังหวัดอาโอโมริ|อาโอโมริ]]<br /> |
|||
3. [[จังหวัดอิวาเตะ|อิวาเตะ]] <br /> |
|||
4. [[จังหวัดมิยางิ|มิยางิ]]<br /> |
|||
5. [[จังหวัดอากิตะ|อากิตะ]] <br /> |
|||
6. [[จังหวัดยามางาตะ|ยามางาตะ]] <br /> |
|||
7. [[จังหวัดฟูกูชิมะ|ฟูกูชิมะ]] <br /> |
|||
| |
|||
8. [[จังหวัดอิบารากิ|อิบารากิ]] <br /> |
|||
9. [[จังหวัดโทจิงิ|โทจิงิ]] <br /> |
|||
10. [[จังหวัดกุมมะ|กุมมะ]] <br /> |
|||
11. [[จังหวัดไซตามะ|ไซตามะ]] <br /> |
|||
12. [[จังหวัดชิบะ|ชิบะ]]<br /> |
|||
13. [[จังหวัดโตเกียว|โตเกียว]] <br /> |
|||
14. [[จังหวัดคานางาวะ|คานางาวะ]] <br /> |
|||
| |
|||
15. [[จังหวัดนีงาตะ|นีงาตะ]] <br /> |
|||
16. [[จังหวัดโทยามะ|โทยามะ]] <br /> |
|||
17. [[จังหวัดอิชิกาวะ|อิชิกาวะ]] <br /> |
|||
18. [[จังหวัดฟูกูอิ|ฟูกูอิ]] <br /> |
|||
19. [[จังหวัดยามานาชิ|ยามานาชิ]] <br /> |
|||
20. [[จังหวัดนางาโนะ|นางาโนะ]] <br /> |
|||
21. [[จังหวัดกิฟุ|กิฟุ]] <br /> |
|||
22. [[จังหวัดชิซูโอกะ|ชิซูโอกะ]] <br /> |
|||
23. [[จังหวัดไอจิ|ไอจิ]] <br /> |
|||
|- style="text-align:center; background:lightcoral;" |
|||
! style="width:25%;"| '''[[คันไซ]] |
|||
! style="width:25%;"| '''[[ชูโงกุ]]''' |
|||
! style="width:25%;"| '''[[ชิโกกุ]]''' |
|||
! style="width:25%;"| '''[[คีวชู]]และ[[โอกินาวะ]]''' |
|||
|- style="text-align:left; vertical-align:top; background:Lavenderblush; font-size:92%;" |
|||
| |
|||
24. [[จังหวัดมิเอะ|มิเอะ]] <br /> |
|||
25. [[จังหวัดชิงะ|ชิงะ]] <br /> |
|||
26. [[จังหวัดเกียวโต|เกียวโต]] <br /> |
|||
27. [[จังหวัดโอซากะ|โอซากะ]] <br /> |
|||
28. [[จังหวัดเฮียวโงะ|เฮียวโงะ]] <br /> |
|||
29. [[จังหวัดนาระ|นาระ]] <br /> |
|||
30. [[จังหวัดวากายามะ|วากายามะ]] <br /> |
|||
| |
|||
31. [[จังหวัดทตโตริ|ทตโตริ]] <br /> |
|||
32. [[จังหวัดชิมาเนะ|ชิมาเนะ]] <br /> |
|||
33. [[จังหวัดโอกายามะ|โอกายามะ]] <br /> |
|||
34. [[จังหวัดฮิโรชิมะ|ฮิโรชิมะ]] <br /> |
|||
35. [[จังหวัดยามางูจิ|ยามางูจิ]] <br /> |
|||
| |
|||
36. [[จังหวัดโทกูชิมะ|โทกูชิมะ]] <br /> |
|||
37. [[จังหวัดคางาวะ|คางาวะ]] <br /> |
|||
38. [[จังหวัดเอฮิเมะ|เอฮิเมะ]] <br /> |
|||
39. [[จังหวัดโคจิ|โคจิ]] <br /> |
|||
| |
|||
40. [[จังหวัดฟูกูโอกะ|ฟูกูโอกะ]] <br /> |
|||
41. [[จังหวัดซางะ|ซางะ]] <br /> |
|||
42. [[จังหวัดนางาซากิ|นางาซากิ]] <br /> |
|||
43. [[จังหวัดคูมาโมโตะ|คูมาโมโตะ]] <br /> |
|||
44. [[จังหวัดโออิตะ|โออิตะ]] <br /> |
|||
45. [[จังหวัดมิยาซากิ|มิยาซากิ]] <br /> |
|||
46. [[จังหวัดคาโงชิมะ|คาโงชิมะ]] <br /> |
|||
47. [[จังหวัดโอกินาวะ|โอกินาวะ]] <br /> |
|||
|} |
|||
=== ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ === |
|||
[[ไฟล์:Donald Trump and Shinzō Abe at 43rd G7 summit.jpg|thumb|นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น [[ชินโซ อะเบะ]] กับประธานาธิบดีสหรัฐ [[ดอนัลด์ ทรัมป์]]]] |
|||
<!-- [[ไฟล์:Liancourt walleye view.jpg|thumb|[[หินลีย็องกูร์]]เป็นดินแดนพิพาท]] --> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทูตกับเกือบทุกประเทศเอกราชในโลก และเป็นสมาชิกปัจจุบันของ[[สหประชาชาติ]]ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2499 ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิก[[จี 7]], [[เอเปก]] และ "อาเซียนบวกสาม" และเข้าร่วมประชุม[[การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก]] ประเทศญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงความมั่นคงกับประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคม 2550<ref>{{cite web|url=http://www.mofa.go.jp/region/asia-paci/australia/joint0703.html |title=Japan-Australia Joint Declaration on Security Cooperation |publisher=Ministry of Foreign Affairs|accessdate=August 25, 2010}}</ref> และกับประเทศอินเดียในเดือนตุลาคม 2551<ref>{{cite web|url=http://www.mofa.go.jp/region/asia-paci/india/pmv0810/joint_d.html |title=Joint Declaration on Security Cooperation between Japan and India |publisher=Ministry of Foreign Affairs |date=October 22, 2008 |accessdate=August 25, 2010}}</ref> เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการรายใหญ่สุดอันดับห้าของโลก โดยบริจาคเงิน 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2557<ref>{{cite web|title=Statistics from the Development Co-operation Report 2015|url=http://www.oecd.org/dac/japan.htm|publisher=[[Organisation for Economic Co-operation and Development|OECD]]|accessdate=November 15, 2015}}</ref> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ นับแต่สหรัฐและพันธมิตรพิชิตญี่ปุ่นใน[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ทั้งสองประเทศธำรงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการกลาโหมอย่างใกล้ชิด สหรัฐเป็นตลาดสำคัญของสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นและเป็นแหล่งนำเข้าหลักของญี่ปุ่น และผูกมัดป้องกันประเทศญี่ปุ่น โดยมีฐานทัพในประเทศญี่ปุ่นบางส่วนด้วยเหตุนั้น<ref>{{cite web|title=Japan's Foreign Relations and Role in the World Today|url=http://afe.easia.columbia.edu/japan/japanworkbook/fpdefense/foreign.htm|website=Asia for Educators|accessdate=November 13, 2016}}</ref> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นต่อสู้การควบคุมหมู่เกาะคูริลใต้ (ได้แก่ กลุ่มอิโตะโระฟุ คุนะชิริ ชิโตะคัง และฮะโบะมะอิ) ของประเทศรัสเซีย ซึ่งสหภาพโซเวียตยึดครองในปี 2488 ประเทศญี่ปุ่นรับรู้การยืนยันของประเทศเกาหลีใต้เกี่ยวกับ[[หินลีอังคอร์ท]] (หรือ "ทะเกะชิมะ" ในภาษาญี่ปุ่น) แต่ไม่ยอมรับ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับ[[ประเทศจีน]]และ[[ประเทศไต้หวัน]]เหนือ[[หมู่เกาะเซ็งกะกุ]] และกับประเทศจีนเหนือสถานภาพของ[[โอะกิโนะโทะริชิมะ]] |
|||
== กองทัพ == |
|||
กองทัพญี่ปุ่นถูกจำกัดสิทธิตาม[[มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น]] ซึ่งสละสิทธิของประเทศญี่ปุ่นในการประกาศสงครามและการใช้กำลังทหารในข้อพิพาทระหว่างประเทศ ฉะนั้น กองทัพญี่ปุ่นที่เรียก "[[กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น]]" นั้นจึงเป็นกองทัพที่ไม่เคยสู้รบนอกประเทศญี่ปุ่น<ref>正論, May 2014 (171).</ref> ประเทศญี่ปุ่นมีงบประมาณทางทหารสูงสุดประเทศหนึ่งในโลก<ref>{{cite web|title=The 15 countries with the highest military expenditure in 2009|url=http://www.sipri.org/research/armaments/milex/resultoutput/milex_15|publisher=Stockholm International Peace Research Institute|accessdate=January 16, 2011|deadurl=yes|archiveurl=https://web.archive.org/web/20110217084451/http://www.sipri.org/research/armaments/milex/resultoutput/milex_15|archivedate=February 17, 2011|df=mdy-all}}</ref> จัดเป็นประเทศเอเชียอันดับสูงสุดใน[[ดัชนีสันติภาพโลก]]<ref>Institute for Economics and Peace (2015). ''[http://www.visionofhumanity.org/sites/default/files/Global%20Peace%20Index%20Report%202015_0.pdf Global Peace Index 2015.] {{webarchive|url=https://web.archive.org/web/20151006145259/http://www.visionofhumanity.org/sites/default/files/Global%20Peace%20Index%20Report%202015_0.pdf |date=October 6, 2015 }}'' Retrieved October 5, 2015</ref> รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปกครองกองทัพ และส่วนใหญ่ประกอบด้วย[[กองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น]] [[กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น]] [[กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น]] ซึ่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นเป็นผู้เข้าร่วมการฝึกซ้อมทางทะเลริมแพ็ก (RIMPAC) เป็นประจำ<ref>{{cite web|title=About RIMPAC |url=http://www.mindef.gov.sg/imindef/mindef_websites/topics/exrimpac/abt_rimpac.html |publisher=Government of Singapore |accessdate=March 2, 2014 |deadurl=yes |archiveurl=https://web.archive.org/web/20130806203903/http://www.mindef.gov.sg/imindef/mindef_websites/topics/exrimpac/abt_rimpac.html |archivedate=August 6, 2013}}</ref> ล่าสุดมีการใช้กองทัพเพื่อปฏิบัติการรักษาสันติภาพ โดยการวางกำลังในประเทศอิรักเป็นการใช้กองทัพญี่ปุ่นนอกประเทศครั้งแรกนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง<ref name="Iraq deployment">{{cite web |url=http://www.iht.com/articles/2006/06/20/news/japan.php |archiveurl=https://web.archive.org/web/20070416075509/http://www.iht.com/articles/2006/06/20/news/japan.php |archivedate=April 16, 2007 |title= Tokyo says it will bring troops home from Iraq |work=International Herald Tribune |date=June 20, 2006 |accessdate=March 28, 2007}}</ref> สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการห้ามส่งอาวุธออกเพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นสามารถเข้าร่วมโครงการนานาชาติอย่างเครื่องบินขับไล่จู่โจมร่วม (Joint Strike Fighter) ได้<ref>{{cite news|url=http://in.reuters.com/article/2010/07/13/idINIndia-50097320100713 |title=Japan business lobby wants weapon export ban eased |publisher=Reuters |date= July 13, 2010|accessdate=April 12, 2011}}</ref> |
|||
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลกอย่างรวดเร็วร่วมกับโลกาภิวัตน์ สิ่งแวดล้อมความมั่นคงรอบประเทศญี่ปุ่นทวีความรุนแรงมากขึ้นอันสังเกตได้จากการพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ภัยคุกคามข้ามชาติซึ่งมีเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีรวมทั้งการก่อการร้ายระหว่างประเทศและการโจมตีไซเบอร์ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ<ref name="Japan's Security Policy">{{cite news |title= Japan's Security Policy |publisher= Ministry of Foreign Affairs of Japan |url=http://www.mofa.go.jp/policy/security/}}</ref> ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้เข้ามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุดในความพยายามธำรงและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทหารใกล้ชิดกับสหรัฐ พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐ–ญี่ปุ่นเป็นหลักหมุดของนโยบายการต่างประเทศของชาติ<ref>{{cite web |url=http://www.realclearpolitics.com/articles/2007/03/japan_is_back_why_tokyos_new_a.html |title=Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington|author=Michael Green |publisher=Real Clear Politics |accessdate=March 28, 2007}}</ref> นับแต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นสมาชิก[[คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ|คณะมนตรีความมั่นคง]]เป็นเวลารวม 20 ปี วาระล่าสุดในปี 2552 และ 2553 |
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทหารใกล้ชิดกับสหรัฐ พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐ–ญี่ปุ่นเป็นหลักหมุดของนโยบายการต่างประเทศของชาติ<ref>{{cite web |url=http://www.realclearpolitics.com/articles/2007/03/japan_is_back_why_tokyos_new_a.html |title=Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington|author=Michael Green |publisher=Real Clear Politics |accessdate=March 28, 2007}}</ref> นับแต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นสมาชิก[[คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ|คณะมนตรีความมั่นคง]]เป็นเวลารวม 20 ปี วาระล่าสุดในปี 2552 และ 2553 |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:14, 5 พฤศจิกายน 2561
ประเทศญี่ปุ่น 日本国 (ญี่ปุ่น) | |
---|---|
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | โตเกียว |
ภาษาราชการ | ไม่มี[1] |
ภาษาประจำชาติ | ภาษาญี่ปุ่น |
การปกครอง | ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ |
จักรพรรดิอะกิฮิโตะ | |
ชินโซ อะเบะ | |
การสร้างชาติ | |
11 กุมภาพันธ์ 117 ปีก่อน พ.ศ. | |
29 พฤศจิกายน 2433 | |
3 พฤษภาคม 2490 | |
28 เมษายน 2495 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 377,944 ตารางกิโลเมตร (145,925 ตารางไมล์) (61) |
0.8 | |
ประชากร | |
• 2555 ประมาณ | 127,110,047[2] (10) |
• สำมะโนประชากร 2010 | 128,056,026[3] |
337.1 ต่อตารางกิโลเมตร (873.1 ต่อตารางไมล์) (36) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2560 (ประมาณ) |
• รวม | 5.405 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ |
• ต่อหัว | 42,658 ดอลลาร์สหรัฐ |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2560 (ประมาณ) |
• รวม | 4.884 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ |
• ต่อหัว | 38,550 ดอลลาร์สหรัฐ |
จีนี (2551) | 32.1[4] ข้อผิดพลาด: ค่าจีนีไม่ถูกต้อง |
เอชดีไอ (2559) | 0.903 ข้อผิดพลาด: ค่า HDI ไม่ถูกต้อง · 17th |
สกุลเงิน | เยน (¥) (JPY) |
เขตเวลา | UTC+9 (JST) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | ไม่มี |
ขับรถด้าน | ซ้ายมือ |
รหัสโทรศัพท์ | 81 |
รหัส ISO 3166 | JP |
โดเมนบนสุด | .jp |
ร์และขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ภัยคุกคามข้ามชาติซึ่งมีเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีรวมทั้งการก่อการร้ายระหว่างประเทศและการโจมตีไซเบอร์ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ[5] ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้เข้ามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุดในความพยายามธำรงและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทหารใกล้ชิดกับสหรัฐ พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐ–ญี่ปุ่นเป็นหลักหมุดของนโยบายการต่างประเทศของชาติ[6] นับแต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงเป็นเวลารวม 20 ปี วาระล่าสุดในปี 2552 และ 2553
ในเดือนพฤษภาคม 2557 นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะกล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการสลัดการวางเฉยที่ธำรงมาตลอดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยุติและรับผิดชอบความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้น เขากล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการมีบทบาทสำคัญและเสนอความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่น[7] ความตึงเครียดล่าสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเกาหลีเหนือได้จุดชนวนการถกเถียงรอบใหม่เรื่องสถานภาพของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นและความสัมพันธ์กับสังคมญี่ปุ่น[8] แนวทางกองทัพญี่ปุ่นฉบับใหม่ที่มีประกาศในเดือนธันวาคม 2553 จะชี้นำกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นจากความสนใจสมัยสงครามเย็นต่ออดีตสหภาพโซเวียตสู่ประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทดินแดนเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุ[9]
เศรษฐกิจ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการทำงานที่ดีของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง[10] ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ[11] โดยได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543 [12] สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก[13][14] แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น[15] แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเลคโทรนิคมากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[16]
ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก[17] รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) [17] และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ[18] ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูงและเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี[19]
จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน[20] ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4[20] ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย[21] บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเคดา นินเทนโด นิปปอน สตีล และ เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง[22] ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเคอิมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด[23]
ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเระสึหรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิตและการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน[24] ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท[25] แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้[26][25]
ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6[27] และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6[28]เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ[29][30] ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น
โครงสร้างพื้นฐาน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การคมนาคมในประเทศญี่ปุ่น
ใน พ.ศ. 2548 ร้อยละ 50 ของพลังงานที่ใช้ในญี่ปุ่นผลิตจากปิโตรเลียม ร้อยละ 20 จากถ่านหิน ร้อยละ 14 จากก๊าซธรรมชาติ[31] การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์มีปริมาณหนึ่งในสี่ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด[31] แต่หลังจากเกิดเหตุอุบัติเหตุนิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิ รัฐบาลญี่ปุ่นก็วางแผนที่จะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในทศวรรษที่ 2570[32]
ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่นกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบันที่รถไฟชิงกันเซ็งซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา[33] ทางรถไฟญี่ปุ่น ระยะทางรวมทั้งสิ้น23,474 กิโลเมตรแบ่งเป็น ราง 1.435 เมตร สำหรับวิ่งรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟใต้ดินหลายเมือง ระยะทาง 2,664 กม รางรถไฟ 1.067 เมตร สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองรถไฟทางใกล ระยะทาง 22,445 กม. ทางด่วนแห่งชาติ ของประเทศญี่ปุ่นมีระยะทางทั้งสิ้น 11,520 กิโลเมตร การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยมและมีสนามบิน 173 แห่งทั่วประเทศ สนามบินฮาเนดะที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่หนาแน่นที่สุดในเอเชีย[34] สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่สนามบินนาริตะ สนามบินคันไซ และสนามบินนานาชาตินาโงยา แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง[35] สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการ[36]
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก[37] ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตรเป็นอันดับ 3 ของโลก[38]ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 3 ของ โลก[39] เป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด และผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา[40] ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย[41][42] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก[43]
องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติและโมดูลคิโบ มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศใน พ.ศ. 2552[44]
ประชากร
จากการสำรวจในวันที่ 1 สิงหาคม 2012 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127,692,273 คน[45] ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่[46] เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุและชาวรีวกีว รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบุระกุ[47]
ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 82.07 ปี จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก[48] โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบีบูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ [49] จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25)[49] ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี พ.ศ. 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด)[50] การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระเงินบำนาญของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น[51]
จำนวนประชากร
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร และ จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัด
ศาสนา
จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา[52] ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูก ผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียว
ภาษา
ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการ[53] ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่นสำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ[54]
การศึกษา
ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเมจิ [55] ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ [56] การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน[57] โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย[58] โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดยโออีซีดี จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก[59] มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ และ มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้น
การรักษาพยาบาล
คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูงและอัตราการตายของทารกที่ต่ำ[60] รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น[61] ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ[62] ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516[63] แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป[60]
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมงซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกะบะนะ (การจัดดอกไม้) โอะริงะมิ อุกิโยะ-เอะ[64] ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คะบุกิ โน บุนระกุ[64] ระกุโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้ สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะหรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น[65] แอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า อะนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523[66]
ดนตรี
ดนตรีญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอกินาวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น บิวะ โคะโตะ ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7[67] และชะมิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอกินาวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21[67] ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก ดนตรีตะวันตกเริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป[68] ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอะซะวะ[69] นักไวโอลิน มิโดะริ โกะโต[70]นักเปียโน อาเอมิ โคบายาชิ เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟนทั่วไปในญี่ปุ่น[71]
วรรณกรรม
วรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคะจิกิ และ นิฮงโชะกิ[72] และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด[73] ในช่วงต้นของยุคเฮอัง มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คะนะ (ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ) นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น[72] ตำนานเก็นจิ ที่เขียนโดยมุระซะกิ ชิกิบุมักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก[74] ระหว่างยุคเอะโดะ วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ โชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น โยะมิฮง กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น[75] โซเซะกิ นะสึเมะและโองะอิ โมริเป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น[75] ตามมาด้วย ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ, ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ, ยะซุนะริ คะวะบะตะ, มิชิมะ ยุกิโอะ และล่าสุด ฮะรุกิ มุระกะมิ[76] ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ ยะซุนะริ คะวะบะตะ (พ.ศ. 2511) [77] และ เค็นซะบุโร โอเอะ (พ.ศ. 2537) [78]
กีฬา
หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา[79] ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น[79] กีฬาที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ได้แก่
- ซูโม่เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติอันยาวนาน[80] และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น เช่น ยูโด คาราเต้ และเคนโด้ ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากเช่นเดียวกัน
- การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2479[81] มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบันเบสบอลเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง[79] นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ อิจิโร ซุซุกิ และ ฮิเดะกิ มะสึอิ [76]
- ตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น ใน พ.ศ. 2535 ฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น[82] ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัดฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถึง พ.ศ. 2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ในการแข่งฟุตบอลโลก 2002 ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย สามารถชนะเลิศเอเชียนคัพ 3 ครั้ง
อาหาร
ชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ, เท็มปุระ, สุกียากี้, ยะกิโทะริ และ โซบะ เป็นต้น[83] อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น ทงกะสึ, ราเม็งปลาดิบ และ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น[84] อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก[84]
ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่น[85]และอาหารประจำฤดู[86] วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ, มิโซะ, เต้าหู้[87] ถั่วแดงซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่นคมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย[88]
ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม[89] เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว[90] และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น[91]
การท่องเที่ยว
รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี
อ้างอิง
- ↑ "法制執務コラム集「法律と国語・日本語」" (ภาษาญี่ปุ่น). Legislative Bureau of the House of Councillors. สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2009.
- ↑ "Japanese population decreases for third year in a row". สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
- ↑ "Population Count based on the 2010 Census Released" (PDF). Statistics Bureau of Japan. สืบค้นเมื่อ October 26, 2011.
- ↑ "Japan". World Bank.
- ↑ "Japan's Security Policy". Ministry of Foreign Affairs of Japan.
- ↑ Michael Green. "Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington". Real Clear Politics. สืบค้นเมื่อ March 28, 2007.
- ↑ "Abe offers Japan's help in maintaining regional security". Japan Herald. สืบค้นเมื่อ May 31, 2014.
- ↑ Herman, Steve (February 15, 2006). "Japan Mulls Constitutional Reform". Tokyo: Voice of America. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 16, 2006.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Fackler, Martin (December 16, 2010). "Japan Announces Defense Policy to Counter China". The New York Times. สืบค้นเมื่อ December 17, 2010.
- ↑ M1 The Japanese Economy Takahashi Ito, pp 3-4.
- ↑ "Japan: Patterns of Development". country-data.com. 1994. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help) - ↑ "World Factbook; Japan—Economy". CIA. 2006-12-19. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- ↑ "Japan heads towards recession as GDP shrinks". The Times. 2008-08-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-17.
- ↑ "That sinking feeling". The Economist. 2008-10-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-1.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "In Japan, Financial Crisis Is Just a Ripple". The New York Times. 2008-09-19. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "Japan's economy 'worst since end of WWII'". CNN. 2009-02-16. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16.
- ↑ 17.0 17.1 "World Economic Outlook Database; country comparisons". ไอเอ็มเอฟ. 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2007-03-14.
- ↑ "NationMaster; Economy Statistics". NationMaster. สืบค้นเมื่อ 2007-03-26.
- ↑ Chapter 6 Manufacturing and Construction[ลิงก์เสีย], Statistical Handbook of Japan, Ministry of Internal Affairs and Communications
- ↑ 20.0 20.1 "労働力調査(速報)平成19年平均結果の概要" (PDF). Statistic Bureau. สืบค้นเมื่อ 2008-11-01.
- ↑ Summary Statistics Groningen Growth and Development Centre, Sep 2008
- ↑ [1][ลิงก์เสีย] Forbes Global 2000 Retrieved on 2008-11-02
- ↑ Market data. New York Stock Exchange (2006-01-31). Retrieved on 2007-08-11.
- ↑ "Criss-crossed capitalism". The Economist. 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "Going hybrid". The Economist. 2007-11-29. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02.
- ↑ "Total area and cultivated land area". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Total population and agricultural population". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 農林水産省国際部国際政策課 (2006-05-23). "農林水産物輸出入概況(2005)" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2007-09-13.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 31.0 31.1 Chapter 7 Energy[ลิงก์เสีย], Statistical Handbook of Japan 2007
- ↑ "Japan aims to abandon nuclear power by 2030s". Reuters. 2012-09-14. สืบค้นเมื่อ 2012-09-21.
- ↑ จนเป็นต้นเหตุสำคัญของอุบัติเหตุรถไฟตกรางที่จังหวัดเฮียวโงะใน พ.ศ. 2548 Japan's train crash: Your reaction BBC News 2005-05-02
- ↑ "Year to date Passenger Traffic". Airports Council International. 2008-08.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Japan's Road to Deep Deficit Is Paved With Public Works". The New York Times. 1997-03-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Outlook Bleak for Saga Airport Profitability". Fukuoka Now. 2008-07-31. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ Science and Innovation: Country Notes, Japan OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, OECD
- ↑ "Japanese led world in filing of patent applications in 2005". The Japan Times. 2007-08-11. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.[ลิงก์เสีย]
- ↑ [2] ข่าวจากรอยเตอร์
- ↑ [3] รถยนต์
- ↑ Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies Union of Concerned Scientists
- ↑ [www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อoecdpa
- ↑ "Press Release". JAXA. 2008-07-08. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ "Population Census: Total Population". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Population Census: Foreigners". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Sue Sumii". The Economist. 1997-07-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
- ↑ "The World Factbook: Rank order—Life expectancy at birth". CIA. 2008-10-23. สืบค้นเมื่อ 2008-11-5.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 49.0 49.1 "Statistical Handbook of Japan: Chapter 2 Population". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Population Census: Population by Age". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Cloud of population decline may have silver lining". The Japan Times. 2002-09-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-05.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 世界各国の宗教 (2000年) อ้างอิงจาก電通総研日本リサーチセンター、世界主要国価値観データブック
- ↑ The World Factbook; Japan-People CIA (2008)
- ↑ Lucien Ellington (2005-09-01). "Japan Digest: Japanese Education". Indiana University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-04-27. สืบค้นเมื่อ 2006-04-27.
- ↑ Lucien Ellington (2003-12-01). "Beyond the Rhetoric: Essential Questions About Japanese Education". Foreign Policy Research Institute. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "School Education" (PDF). MEXT. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Kate Rossmanith (2007-02-05). "Rethinking Japanese education". The University of Sydney. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Gakureki Shakai[ลิงก์เสีย]
- ↑ en_2649_201185_39713238_1_1_1_1, 00.html OECD’s PISA survey shows some countries making significant gains in learning outcomes[ลิงก์เสีย], OECD, 04/12/2007. Range of rank on the PISA 2007 science scale
- ↑ "Overview of the Social Insurance Systems". Social Insurance Agency. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Health Insurance: General Characteristics". National Institute of Population and Social Security Research. สืบค้นเมื่อ 2007-03-28.
- ↑ Victor Rodwin. "Health Care in Japan". New York University. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.
- ↑ 64.0 64.1 "Japanese Culture". Windows on Asia. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "A History of Manga". NMP International. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Leonard Herman, Jer Horwitz, Steve Kent, and Skyler Miller. "The History of Video Games". Gamespot. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
{{cite web}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 67.0 67.1 "Japan Fact Sheet: Music" (PDF). Web Japan. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.[ลิงก์เสีย]
- ↑ ,1550807, 00.html "J-Pop History". The Observer. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่า|url=
(help) - ↑ "Seiji Ozawa (Conductor)". 2007-06-22. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Midori Goto: From prodigy to peace ambassador". 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ なぜか「第9」といったらベートーヴェン、そして年末。[ลิงก์เสีย]
- ↑ 72.0 72.1 "Japanese Culture: Literature". Windows on Asia. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "万葉集-奈良時代". Kyoto University Library. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ The Tale of Genji
- ↑ 75.0 75.1 "Japanese Culture: Literature (Recent Past)". Windows on Asia. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 76.0 76.1 "สำรวจญี่ปุ่น: ปฏิทินประจำปี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม กีฬา" (PDF). สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "The Nobel Prize in Literature 1968". Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-18.
- ↑ "Kenzaburo Oe The Nobel Prize in Literature 1994". Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-18.
- ↑ 79.0 79.1 79.2 "Japan Fact Sheet: SPORTS" (PDF). Web Japan. สืบค้นเมื่อ 2008-11-19.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Sumo: East and West". PBS. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.
- ↑ Nagata, Yoichi and Holway, John B. (1995). "Japanese Baseball". ใน Pete Palmer (บ.ก.). Total Baseball (fourth edition ed.). New York: Viking Press. p. 547.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ "Soccer as a Popular Sport: Putting Down Roots in Japan" (PDF). The Japan Forum. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ "Traditional Dishes of Japan". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ 84.0 84.1 "Japanese Food Culture" (PDF). Web Japan. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Japanese Delicacies". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "Seasonal Foods" (PDF). The Japan Forum. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ Japanese Food Japan Reference
- ↑ "Local cuisine of Hokkaido". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "茶ができるまで". 全国茶生産団体連合会・全国茶主産府県農協連連絡協議会. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "The Sake Brewing Process". สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Shochu". The Japan Times. 2004-05-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.[ลิงก์เสีย]
ดูเพิ่ม
- ภาษาญี่ปุ่น
- พุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น
- การ์ตูนญี่ปุ่น
- มรดกโลกในประเทศญี่ปุ่น
- สมาคมนักเรียนไทยในประเทศญี่ปุ่น
- 10 อันดับอาหารที่แพงที่สุดในญี่ปุ่น
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- Christopher, Robert C., The Japanese Mind: the Goliath Explained, Linden Press/Simon and Schuster, 1983 (ISBN 0-330-28419-3)
- De Mente, The Japanese Have a Word For It, McGraw-Hill, 1997 (ISBN 0-8442-8316-9)
- Henshall, A History of Japan, Palgrave Macmillan, 2001 (ISBN 0-312-23370-1)
- Jansen, The Making of Modern Japan, Belknap, 2000 (ISBN 0-674-00334-9)
- Johnson, Japan: Who Governs?, W.W. Norton, 1996 (ISBN 0-393-31450-2)
- Ono et al., Shinto: The Kami Way, Tuttle Publishing, 2004 (ISBN 0-8048-3557-8)
- Reischauer, Japan: The Story of a Nation, McGraw-Hill, 1989 (ISBN 0-07-557074-2)
- Sugimoto et al., An Introduction to Japanese Society, Cambridge University Press, 2003 (ISBN 0-521-52925-5)
- Van Wolferen, The Enigma of Japanese Power, Vintage, 1990 (ISBN 0-679-72802-3)
- Shinoda, Koizumi Diplomacy: Japan’s Kantei Approach to Foreign and Defense Affairs, University of Washington Press, 2007 (ISBN 0-295-98699-9)
- Pyle, Japan Rising: The Resurgence of Japanese Power and Purpose, Public Affairs, 2007 (ISBN 1-58648-567-9)
- Samuels, Securing Japan: Tokyo's Grand Strategy and the Future of East Asia, Cornell University Press, 2008 (ISBN 0-8014-7490-6)
- Flath, The Japanese Economy, Oxford University Press, 2000 (ISBN 0-19-877503-2)
- Ito et al., Reviving Japan's Economy: Problems and Prescriptions, MIT Press, 2005 (ISBN 0-262-09040-6)
- Iwabuchi, Recentering Globalization: Popular Culture and Japanese Transnationalism, Duke University Press, 2002 (ISBN 0-8223-2891-7)
- Silverberg, Erotic Grotesque Nonsense: The Mass Culture of Japanese Modern Times, University of California Press, 2007 (ISBN 0-520-22273-3)
- Varley, Japanese Culture, University of Hawaii Press, 2000 (ISBN 0-8248-2152-1)
- Ikegami, Bonds Of Civility: Aesthetic Networks And The Political Origins Of Japanese Culture, Cambridge University Press, 2005 (ISBN 0-521-60115-0)
- Stevens, Japanese Popular Music: Culture, Authenticity and Power, Routledge, 2007 (ISBN 0-415-38057-X)
- Macwilliams, Japanese Visual Culture: Explorations in the World of Manga and Anime, M.E. Sharpe, 2007 (ISBN 0-7656-1602-5)
แหล่งข้อมูลอื่น
- ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
- ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว
- สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น[ลิงก์เสีย]
- สำนักพระราชวังญี่ปุ่น
- กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น
- สำนักงานรัฐสภาญี่ปุ่น
- National Diet Library (อังกฤษ)
- NHK Online
- Kyodo News
- หนังสือพิมพ์โยมิอุริ [ลิงก์เสีย](อังกฤษ)
- หนังสือพิมพ์อาซาฮี (อังกฤษ)
- The Japan Times
- องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น
- เว็บไซด์สอนภาษาญี่ปุ่นฟรี
- CIA World Factbook—Japan (อังกฤษ)
- EIA Energy Profile for Japan(อังกฤษ)
- Encyclopaedia Britannica's Japan portal site[ลิงก์เสีย](อังกฤษ)
- 00.html Guardian Unlimited—Special Report: Japan(อังกฤษ)