เศรษฐกิจญี่ปุ่น

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
กรุงโตเกียว, ศูนย์กลางการเงินของญี่ปุ่น
สกุลเงินเยนญี่ปุ่น (JPY, ¥)
ปีงบประมาณ1 เมษายน – 31 มีนาคม
ภาคีการค้าAPEC, WTO, CPTPP, RCEP, OECD, G-20, G7 และอื่น 
สถิติ
จีดีพี
จีดีพีเติบโต
  • เพิ่มขึ้น 1.1% (2022)[2]
  • เพิ่มขึ้น 1.3% (2023f)[2]
  • เพิ่มขึ้น 1.0% (2024f)[2]
จีดีพีต่อหัว
  • เพิ่มขึ้น $35,400 (ราคาตลาด; ประมาณการ 2023)[1]
  • เพิ่มขึ้น $51,800 (อำนาจซื้อ; ประมาณการ 2023)[1]
ภาคจีดีพี
จีดีพีแบ่งตามส่วนประกอบ
  • ภาคครัวเรือน: 55.5%
  • ค่าใช้จ่ายภาครัฐ: 19.6%
  • การลงทุนในทุนถาวร: 24%
  • การลงทุนในสินค้าคงคลัง: 0%
  • การส่งออกสินค้าและบริการ: 17.7%
  • การนำเข้าสินค้าและบริการ: −16.8%
  • (ประมาณการ 2017)[3]
เงินเฟ้อ (CPI)3.1%
ประชากรยากจน
  • 0.7% ได้เงินต่ำกว่า $1.90/วัน (2013)[4]
  • 0.9% ได้เงินต่ำกว่า $3.20/วัน(2013)[5]
  • 1.2% ได้เงินต่ำกว่า $5.50/วัน(2013)[6]
จีนี33.9 medium (2015)[7]
แรงงาน
  • เพิ่มขึ้น 69.1 ล้านคน (พฤษภาคม 2023)[8]
  • เพิ่มขึ้น 61.2% ของประชากร (พฤษภาคม 2023)[9]
ภาคแรงงาน
ว่างงาน
  • positive decrease 2.6% (2023)[8]
  • positive decrease 3.7% การว่างงานของเยาวชน (15 ถึง 24 ปี; พฤษภาคม 2023)[8]
  • positive decrease 1.8 ล้านคน ว่างงาน (พฤษภาคม 2023)[8]
อุตสาหกรรมหลัก
การค้า
มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น $921.21 พันล้าน (2022)[11]
สินค้าส่งออก
  • อุปกรณ์ขนส่ง 21.0%
  • เครื่องจักร 19.9%
  • เครื่องจักรไฟฟ้า 18.7%
  • เคมีภัณฑ์ 12.4%
  • สินค้าอุตสาหกรรม 10.4%
  • วัตถุดิบ 1.7%
  • อาหาร 1.3%
  • เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ 0.8%
  • อื่นๆ: 13.8%[12]
ประเทศส่งออกหลัก
มูลค่านำเข้าNegative increase $905.09 พันล้าน (2022)[11]
สินค้านำเข้า
  • เครื่องจักรไฟฟ้า 17.6%
  • เชื้อเพลิงแร่ 16.6%
  • เครื่องจักร 10.5%
  • อาหาร 9.9%
  • เคมีภัณฑ์ 9.9%
  • สินค้าอุตสาหกรรม 9.3%
  • วัตถุดิบ 6.9%
  • อุปกรณ์ขนส่ง 5.0%
  • อื่นๆ: 14.4%[12]
ประเทศนำเข้าหลัก
FDI
  • ลดลง ภายใน: $25 พันล้าน (2021)[13]
  • เพิ่มขึ้น ภายนอก: $147 พันล้าน (2021)[13]
หนี้ต่างประเทศNegative increase $4.54 ล้านล้านเหรียญ (มีนาคม 2023)[14]
(ร้อยละ 103.2 ของจีดีพี)
การคลังรัฐบาล
หนี้สาธารณะ
  • Negative increase ¥1.457 พันล้านล้าน
  • Negative increase 263.9% of GDP (2022)[15]
รายรับ¥196,214 พันล้าน[15]
35.5% of GDP (2022)[15]
รายจ่าย¥239,694 พันล้าน[15]
43.4% of GDP (2022)[15]
ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจผู้บริจาค: ODA, $10.37 พันล้าน (2016)[16]
อันดับความเชื่อมั่น


  • Fitch:[18]
  • A
  • Outlook: มีเสถียรภาพ

  • Scope:[19]
  • A
  • Outlook: Negative
ทุนสำรองเพิ่มขึ้น $1.2 ล้านล้าน (2023)[20]
แหล่งข้อมูลหลัก: CIA World Fact Book
หน่วยทั้งหมด หากไม่ระบุ ถือว่าเป็นดอลลาร์สหรัฐ

เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก[21][22] รองจาก สหรัฐอเมริกา และ ประเทศจีน ถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว[23] ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในรัชสมัยโชวะ จักรวรรดิญี่ปุ่นมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก แม้ว่าจะพ่ายแพ้สงครามแต่ญี่ปุ่นก็สามารถไต่เต้าขึ้นมามีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต และครองตำแหน่งนี้ยาวนานกว่าสองทศวรรษจนกระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1990 ญี่ปุ่นก็กลายเป็นชาติเศรษฐกิจอันดับสองของโลกจนถึงปี 2009 จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อำนาจซื้อต่อหัวของญี่ปุ่นในเวทีโลก อยู่ที่ 35,855 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นอันดับ 22 ของโลก[24] การคาดการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่น มีการสำรวจเป็นรายไตรมาสที่เรียกว่า ทังกัง จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น[25]

ปัจจุบัน ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผลิตยานยนต์ได้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก[26] นอกจากนี้ ยังมีอุตสาหรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของโลก ที่มักจะมีการจัดอันดับในบรรดาหมู่ประเทศนวัตกรรมชั้นนำ[27] ซึ่งในระยะหลังมานี้ญี่ปุ่นต้องเผชิญการแข่งขันกับ จีน และ เกาหลีใต้[28] ที่เริ่มช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน ได้ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตเป็นหลัก ซึ่งใช้แรงงานคนน้อย และมีความแม่นยำมากกว่า จำพวก ยานยนต์ไฮบริด และหุ่นยนต์อัตโนมัติต่าง ๆ ซึ่งพบได้ทั่วไปในโรงงานในภูมิภาคคันโต[29][30][31][32] ทั้งนี้ภูมิภาคคันไซก็เป็นหนึ่งในพื้นที่อุตสาหกรรมชั้นนำและศูนย์การผลิตสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่น [33]


ทิศทางเศรษฐกิจมหภาค[แก้]

อัตราการเติบโตของจีดีพีที่แท้จริง (หน่วยบริโภค) ตั้งแต่ ค.ศ. 1956 ถึง 2008
การเปลี่ยนแปลงของจีดีพีที่แท้จริง (น้ำเงิน) รายไตรมาส และอัตราการว่างงาน (แดง) ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 ถึง 2010

แผนภูมินี้แสดงให้เห็นถึงทิศทางของจีดีพีของญี่ปุ่นตามตัวเงิน ประมาณการโดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในหน่วยล้านเยน[34] ดูเพิ่ม [35][36]

ค.ศ. จีดีพี เยน / 1 ดอลลาร์ ดัชนีเงินเฟ้อ
(ฐาน ณ ปี 2000)
จีดีพี (ตัวเงิน) ต่อหัว
ในหน่วย % ของชาวอเมริกัน
จีดีพี (อำนาจซื้อ) ต่อหัว
ในหน่วย % ของชาวอเมริกัน
1955 8,369,500 ¥360.00 10.31
1960 16,009,700 ¥360.00 16.22
1965 32,866,000 ¥360.00 24.95
1970 73,344,900 ¥360.00 38.56
1975 148,327,100 ¥297.26 59.00
1980 240,707,315 ¥225.82 100 105.85 71.87
2005 502,905,400 ¥110.01 97 85.04 71.03
2010 477,327,134 ¥88.54 98 89.8 71.49

จากข้อมูลดัชนีเงินเฟ้อข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นได้เผชิญกับสภาวะปราศจากเงินเฟ้อในช่วงทศวรรษ 1980-2000 ที่สินค้าและบริการต่าง ๆ ในประเทศไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาตลอด 2 ทศวรรษ มิหนำซ้ำ ภายหลังปี 2000 ยังต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด ที่ราคาสินค้าและบริการภายในประเทศมีทิศทางถูกลงแม้จะเพียงเล็กน้อย เหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ชาวญี่ปุ่นตลอดจนบริษัทต่าง ๆ ไม่นิยมนำเงินฝากธนาคารภายในประเทศเพื่อเป็นการลงทุน เนื่องจากไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย หรือจ่ายในอัตราที่ต่ำมากจนแทบจะเป็นร้อยละศูนย์

สำหรับการเปรียบเทียบอำนาจซื้อ อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ อยู่ที่ 109 เยนในปี 2010[37]

อุตสาหกรรม[แก้]

มูลค่าจีดีพีในปี 2012 แบ่างตามภาคอุตสาหกรรม [38] มูลค่าถูกแปลงเป็นหน่วยสกุลเงินบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 12 เมษายน 2013.[39]

อุตสาหกรรม มูลค่าจีดีพี
(ล้านล้านบาท)
% ของจีดีพีทั้งหมด
ภาคบริการอื่น  36.139 23.5%
การผลิต 27.643 18.0%
อสังหาริมทรัพย์ 20.346 13.2%
ค้าส่ง และ ค้าปลีก 19.266 12.5%
คมนาคม และ โทรคมนาคม 10.450 6.8%
รัฐประศาสน์ 9.603 6.2%
ก่อสร้าง 9.545 6.2%
การเงินและกรมธรรม์ประกัน 8.932 5.8%
ไฟฟ้า, แก๊ส และ ประปา 5.225 3.4%
บริการของรัฐบาล 1.197 0.7%
เหมือง 0.087 0.05%
ทั้งหมด 153.778 100%

การเงิน[แก้]

ตลาดหลักทรัพย์[แก้]

ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ปัจจุบันเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 สองโลก ตามราคาตลาด ทำให้ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 ตลาดประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนกว่า 3,425 บริษัท[40] ซึ่งตลาดหลักทรัพย์โตเกียว มีดัชนีตลาดที่สำคัญอยู่ 2 ดัชนี คือ Nikkei 225 และ TOPIX[41][42] นอกจากตลาดหลักทรัพย์โตเกียวแล้ว ประเทศญี่ปุ่นยังมีตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่ง คือ ตลาดหลักทรัพย์โอซากะ ซึ่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 มีการรวมกลุ่มของตลาดหลักทรัพย์ทั้งสอง เป็น กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น (Japan Exchange Group) นอกเหนือไปจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ของญี่ปุ่น ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์นาโงยะ, ฟูกูโอกะ และ ซัปโปโระ[43][44]

ตลาดแรงงาน[แก้]

อัตราว่างงานของญี่ปุ่น (ปี 1953–2009)

ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราว่างงานอยู่ที่ระดับต่ำ อัตราว่างงานในญี่ปุ่น ณ สิ้นปี 2013 อยู่ที่ 3.7% ลดลงจากปี 2009 ที่เคยอยู่ที่ 5.2% อันเนื่องมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูอุตสาหกรรมในประเทศ [45][46][47] ในตัวเลขนี้ แม้แต่บุคคลที่ทำอาชีพเสริม(พาร์ทไทม์)ที่มีชั่วโมงการทำงานต่ำ ก็ไม่ถูกนับว่าเป็นบุคคลว่างงาน

ในปี 2008 แรงงานของญี่ปุ่นมีจำนวน 66 ล้านคน ในจำนวนนี้ 40% เป็นผู้หญิง ตลาดแรงงานของญี่ปุ่นกำลังอยู่ในภาวะหดตัวลงอย่างเรื่อย ๆ เป็นผลมาจากแรงงานส่วนใหญ่เริ่มมีอายุสูงขึ้นสู่วัยเกษียณ ในขณะที่แรงงานรุ่นใหม่ที่เข้ามาทดแทนก็ไม่เพียงพอ ปัญหาที่สำคัญนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอัตราการเกิดที่อยู่ในระดับต่ำมาก แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอุดหนุนสวัสดิการแก่เด็กเกิดใหม่มากมาย แต่ไม่ได้ช่วยทำให้อัตราเกิดเพิ่มขึ้นตามเป้าแต่อย่างใด ที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นได้มีนโยบายใหม่ คือลดเงื่อนไขในการขอสัญชาติญี่ปุ่นแก่พลเมืองต่างประเทศ แต่นโยบายนี้ก็ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก

เศรษฐกิจ[แก้]

โครงสร้าง[แก้]

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการทำงานที่ดีของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง[48] ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ[49] โดยได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543 [50] สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก[51][52] แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น[53] แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[54]

ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก[55] รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) [55] และอันดับที่ 4 รองจากจีน สหรัฐ และอินเดีย เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ[56] ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูง และเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี[57]

จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน[58] ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4[58] ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย[59] บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเคดา นินเทนโด นิปปอน สตีล และ เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง[60] ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเคอิมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด[61]

ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเระสึหรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิตและการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน[62] ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท[63] แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้[64][63]

ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6[65] และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6[66]เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ[67][68] ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น

ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 190 ประเทศในดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจปี 2562[69] ญี่ปุ่นมีภาคส่วนสหกรณ์ขนาดใหญ่ รวมถึงสหกรณ์ผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดและสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปี 2561 ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่สูงในด้านความสามารถในการแข่งขันและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ อยู่ในอันดับ 6 ในรายงานการแข่งขันระดับโลกสำหรับปี 2558–2559

ตารางต่อไปนี้แสดงตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลักในปี 1980–2021 (โดยเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศประมาณการในปี 2022–2027) อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า 5% เป็นสีเขียว[70]

ปี จีดีพี

(ล้าน US$ ความเท่าเทียมของกำลังซื้อ)

จีดีพีต่อหัว

(US$ ความเท่าเทียมของกำลังซื้อ)

จีดีพี

(ล้าน US$ ตัวเงิน)

จีดีพีต่อหัว

(US$ ตัวเงิน)

อัตราเติบโตของจีดีพี

(จริง)

อัตราเงินเฟ้อ

(ร้อยละ)

การว่างงาน

(ร้อยละ)

หนี้สาธารณะ

(ร้อยละของจีดีพี)

1980 1,068.1 9,147.0 1,127.9 9,659.0 เพิ่มขึ้น3.2% Negative increase7.8% 2.0% 47.8%
1981 เพิ่มขึ้น1,218.4 เพิ่มขึ้น10,358.1 เพิ่มขึ้น1,243.8 เพิ่มขึ้น10,574.4 เพิ่มขึ้น4.2% เพิ่มขึ้น4.9% Negative increase2.2% Negative increase52.9%
1982 เพิ่มขึ้น1,336.5 เพิ่มขึ้น11,283.0 ลดลง1,157.6 ลดลง9,772.8 เพิ่มขึ้น3.3% เพิ่มขึ้น2.8% Negative increase2.4% Negative increase57.8%
1983 เพิ่มขึ้น1,437.8 เพิ่มขึ้น12,054.5 เพิ่มขึ้น1,268.6 เพิ่มขึ้น10,636.5 เพิ่มขึ้น3.5% เพิ่มขึ้น1.9% Negative increase2.7% Negative increase63.6%
1984 เพิ่มขึ้น1,556.7 เพิ่มขึ้น12,967.1 เพิ่มขึ้น1,345.2 เพิ่มขึ้น11,205.4 เพิ่มขึ้น4.5% เพิ่มขึ้น2.3% Steady2.7% Negative increase65.6%
1985 เพิ่มขึ้น1,690.0 เพิ่มขึ้น13,989.8 เพิ่มขึ้น1,427.4 เพิ่มขึ้น11,815.8 เพิ่มขึ้น5.2% เพิ่มขึ้น2.0% positive decrease2.6% Negative increase68.3%
1986 เพิ่มขึ้น1,781.4 เพิ่มขึ้น14,667.9 เพิ่มขึ้น2,121.3 เพิ่มขึ้น17,466.7 เพิ่มขึ้น3.3% เพิ่มขึ้น0.6% Negative increase2.8% Negative increase74.0%
1987 เพิ่มขึ้น1,911.8 เพิ่มขึ้น15,666.3 เพิ่มขึ้น2,584.3 เพิ่มขึ้น21,177.8 เพิ่มขึ้น4.7% เพิ่มขึ้น0.1% Negative increase2.9% Negative increase75.7%
1988 เพิ่มขึ้น2,113.5 เพิ่มขึ้น17,246.0 เพิ่มขึ้น3,134.2 เพิ่มขึ้น25,575.1 เพิ่มขึ้น6.8% เพิ่มขึ้น0.7% positive decrease2.5% positive decrease71.8%
1989 เพิ่มขึ้น2,303.0 เพิ่มขึ้น18,719.6 ลดลง3,117.1 ลดลง25,336.2 เพิ่มขึ้น4.9% เพิ่มขึ้น2.3% positive decrease2.3% positive decrease65.5%
1990 เพิ่มขึ้น2,506.1 เพิ่มขึ้น20,302.7 เพิ่มขึ้น3,196.6 เพิ่มขึ้น25,896.0 เพิ่มขึ้น4.9% เพิ่มขึ้น3.1% positive decrease2.1% positive decrease63.0%
1991 เพิ่มขึ้น2,679.4 เพิ่มขึ้น21,620.8 เพิ่มขึ้น3,657.3 เพิ่มขึ้น29,511.8 เพิ่มขึ้น3.4% เพิ่มขึ้น3.3% Steady2.1% positive decrease62.2%
1992 เพิ่มขึ้น2,763.7 เพิ่มขึ้น22,222.4 เพิ่มขึ้น3,988.3 เพิ่มขึ้น32,069.1 เพิ่มขึ้น0.8% เพิ่มขึ้น1.7% Negative increase2.2% Negative increase66.6%
1993 เพิ่มขึ้น2,814.6 เพิ่มขึ้น22,558.2 เพิ่มขึ้น4,544.8 เพิ่มขึ้น36,425.2 ลดลง-0.5% เพิ่มขึ้น1.3% Negative increase2.5% Negative increase72.7%
1994 เพิ่มขึ้น2,899.9 เพิ่มขึ้น23,177.4 เพิ่มขึ้น4,998.8 เพิ่มขึ้น39,953.2 เพิ่มขึ้น0.9% เพิ่มขึ้น0.7% Negative increase2.9% Negative increase84.4%
1995 เพิ่มขึ้น3,038.6 เพิ่มขึ้น24,224.0 เพิ่มขึ้น5,545.6 เพิ่มขึ้น44,210.2 เพิ่มขึ้น2.6% เพิ่มขึ้น-0.1% Negative increase3.2% Negative increase92.5%
1996 เพิ่มขึ้น3,191.2 เพิ่มขึ้น25,385.0 ลดลง4,923.4 ลดลง39,164.3 เพิ่มขึ้น3.1% เพิ่มขึ้น0.1% Negative increase3.4% Negative increase98.1%
1997 เพิ่มขึ้น3,278.1 เพิ่มขึ้น26,014.1 ลดลง4,492.4 ลดลง35,651.3 เพิ่มขึ้น1.0% เพิ่มขึ้น1.7% Steady3.4% Negative increase105.0%
1998 ลดลง3,272.8 ลดลง25,903.3 ลดลง4,098.4 ลดลง32,436.9 ลดลง-1.3% เพิ่มขึ้น0.7% Negative increase4.1% Negative increase116.0%
1999 เพิ่มขึ้น3,307.9 เพิ่มขึ้น26,131.3 เพิ่มขึ้น4,636.0 เพิ่มขึ้น36,622.9 ลดลง-0.3% เพิ่มขึ้น-0.3% Negative increase4.7% Negative increase129.5%
2000 เพิ่มขึ้น3,476.3 เพิ่มขึ้น27,409.2 เพิ่มขึ้น4,968.4 เพิ่มขึ้น39,173.0 เพิ่มขึ้น2.8% เพิ่มขึ้น-0.7% Steady4.7% Negative increase135.6%
2001 เพิ่มขึ้น3,568.4 เพิ่มขึ้น28,068.3 ลดลง4,374.7 ลดลง34,410.7 เพิ่มขึ้น0.4% เพิ่มขึ้น-0.7% Negative increase5.0% Negative increase145.1%
2002 เพิ่มขึ้น3,625.5 เพิ่มขึ้น28,457.7 ลดลง4,182.8 ลดลง32,832.3 เพิ่มขึ้น0.0% เพิ่มขึ้น-0.9% Negative increase5.4% Negative increase154.1%
2003 เพิ่มขึ้น3,753.8 เพิ่มขึ้น29,410.9 เพิ่มขึ้น4,519.6 เพิ่มขึ้น35,410.2 เพิ่มขึ้น1.5% เพิ่มขึ้น-0.3% positive decrease5.2% Negative increase160.0%
2004 เพิ่มขึ้น3,938.9 เพิ่มขึ้น30,836.4 เพิ่มขึ้น4,893.1 เพิ่มขึ้น38,307.1 เพิ่มขึ้น2.2% เพิ่มขึ้น0.0% positive decrease4.7% Negative increase169.5%
2005 เพิ่มขึ้น4,135.7 เพิ่มขึ้น32,372.7 ลดลง4,831.5 ลดลง37,819.1 เพิ่มขึ้น1.8% เพิ่มขึ้น-0.3% positive decrease4.4% Negative increase174.3%
2006 เพิ่มขึ้น4,321.8 เพิ่มขึ้น33,831.1 ลดลง4,601.7 ลดลง36,021.9 เพิ่มขึ้น1.4% เพิ่มขึ้น0.3% positive decrease4.1% positive decrease174.0%
2007 เพิ่มขึ้น4,504.5 เพิ่มขึ้น35,257.9 ลดลง4,579.7 ลดลง35,847.2 เพิ่มขึ้น1.5% เพิ่มขึ้น0.0% positive decrease3.8% positive decrease172.8%
2008 เพิ่มขึ้น4,534.6 เพิ่มขึ้น35,512.2 เพิ่มขึ้น5,106.7 เพิ่มขึ้น39,992.1 ลดลง-1.2% เพิ่มขึ้น1.4% Negative increase4.0% Negative increase180.7%
2009 ลดลง4,303.9 ลดลง33,742.5 เพิ่มขึ้น5,289.5 เพิ่มขึ้น41,469.8 ลดลง-5.7% เพิ่มขึ้น-1.3% Negative increase5.1% Negative increase198.7%
2010 เพิ่มขึ้น4,534.1 เพิ่มขึ้น35,535.2 เพิ่มขึ้น5,759.1 เพิ่มขึ้น45,135.8 เพิ่มขึ้น4.1% เพิ่มขึ้น-0.7% Steady5.1% Negative increase205.7%
2011 เพิ่มขึ้น4,629.4 เพิ่มขึ้น36,215.1 เพิ่มขึ้น6,233.1 เพิ่มขึ้น48,760.9 เพิ่มขึ้น0.0% เพิ่มขึ้น-0.3% positive decrease4.6% Negative increase219.1%
2012 เพิ่มขึ้น4,799.6 เพิ่มขึ้น37,628.8 เพิ่มขึ้น6,272.4 เพิ่มขึ้น49,175.1 เพิ่มขึ้น1.4% เพิ่มขึ้น0.0% positive decrease4.3% Negative increase226.1%
2013 เพิ่มขึ้น5,021.6 เพิ่มขึ้น39,436.8 ลดลง5,212.3 ลดลง40,934.8 เพิ่มขึ้น2.0% เพิ่มขึ้น0.3% positive decrease4.0% Negative increase229.6%
2014 เพิ่มขึ้น5,034.5 เพิ่มขึ้น39,604.1 ลดลง4,897.0 ลดลง38,522.8 เพิ่มขึ้น0.3% เพิ่มขึ้น2.8% positive decrease3.6% Negative increase233.5%
2015 เพิ่มขึ้น5,200.9 เพิ่มขึ้น40,959.3 ลดลง4,444.9 ลดลง35,005.7 เพิ่มขึ้น1.6% เพิ่มขึ้น0.8% positive decrease3.4% positive decrease228.4%
2016 ลดลง5,159.7 ลดลง40,640.5 เพิ่มขึ้น5,003.7 เพิ่มขึ้น39,411.4 เพิ่มขึ้น0.8% เพิ่มขึ้น-0.1% positive decrease3.1% Negative increase232.5%
2017 เพิ่มขึ้น5,248.4 เพิ่มขึ้น41,409.0 ลดลง4,930.8 ลดลง38,903.3 เพิ่มขึ้น1.7% เพิ่มขึ้น0.5% positive decrease2.8% positive decrease231.4%
2018 เพิ่มขึ้น5,408.4 เพิ่มขึ้น42,755.4 เพิ่มขึ้น5,040.9 เพิ่มขึ้น39,850.4 เพิ่มขึ้น0.6% เพิ่มขึ้น1.0% positive decrease2.4% Negative increase232.3%
2019 เพิ่มขึ้น5,485.4 เพิ่มขึ้น43,459.1 เพิ่มขึ้น5,120.3 เพิ่มขึ้น40,566.3 ลดลง-0.4% เพิ่มขึ้น0.5% Steady2.4% Negative increase236.3%
2020 ลดลง5,295.1 ลดลง42,075.4 ลดลง5,031.6 ลดลง39,981.5 ลดลง-4.6% เพิ่มขึ้น0.0% Negative increase2.8% Negative increase259.4%
2021 เพิ่มขึ้น5,606.6 เพิ่มขึ้น44,671.3 ลดลง4,932.6 ลดลง39,301.1 เพิ่มขึ้น1.7% เพิ่มขึ้น-0.2% Steady2.8% Negative increase262.5%
2022 เพิ่มขึ้น6,110.0 เพิ่มขึ้น48,812.8 ลดลง4,300.6 ลดลง34,357.9 เพิ่มขึ้น1.7% เพิ่มขึ้น2.0% positive decrease2.6% Negative increase263.9%
2023 เพิ่มขึ้น6,456.7 เพิ่มขึ้น51,809.1 เพิ่มขึ้น4,410.0 เพิ่มขึ้น35,385.9 เพิ่มขึ้น1.6% เพิ่มขึ้น1.4% positive decrease2.4% positive decrease261.1%
2024 เพิ่มขึ้น6,652.7 เพิ่มขึ้น53,633.3 เพิ่มขึ้น4,568.7 เพิ่มขึ้น36,832.8 เพิ่มขึ้น1.3% เพิ่มขึ้น1.0% Steady2.4% positive decrease260.3%
2025 เพิ่มขึ้น6,839.5 เพิ่มขึ้น55,411.7 เพิ่มขึ้น4,811.6 เพิ่มขึ้น38,982.7 เพิ่มขึ้น0.9% เพิ่มขึ้น1.0% Steady2.4% Negative increase260.7%
2026 เพิ่มขึ้น7,002.5 เพิ่มขึ้น57,025.8 เพิ่มขึ้น5,010.0 เพิ่มขึ้น40,799.8 เพิ่มขึ้น0.5% เพิ่มขึ้น1.0% Steady2.4% Negative increase262.0%
2027 เพิ่มขึ้น7,167.5 เพิ่มขึ้น58,684.7 เพิ่มขึ้น5,172.1 เพิ่มขึ้น42,347.0 เพิ่มขึ้น0.4% เพิ่มขึ้น1.0% Steady2.4% Negative increase263.4%

เกษตรกรรม และประมง[แก้]

นาข้าวในจังหวัดฟูกูชิมะ

ภาคการเกษตรของญี่ปุ่นมีสัดส่วนประมาณ 1.2% ของจีดีพีทั้งหมด ณ ปี 2561 จากการสำรวจพบว่าที่ดินของญี่ปุ่นเพียง 11.5% เท่านั้นที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเนื่องจากขาดที่ดินทำกิน จึงมีการใช้ระบบระเบียงเพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็ก[71] ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตพืชผลต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุดในโลกโดยมีอัตราการพึ่งตนเองทางการเกษตรประมาณ 50% ณ ปี 2561 ภาคเกษตรกรรมขนาดเล็กของญี่ปุ่นได้รับเงินอุดหนุนและได้รับการคุ้มครองอย่างสูง[72] มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการทำฟาร์มเนื่องจากเกษตรกรมักเป็นผู้สูงวัยและมีความยากลำบากในการหาผู้สืบทอด

ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 7 ของโลกในด้านปริมาณปลาที่จับได้คิดเป็น 3,167,610 ตันในปี 2559 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 4,000,000 ตันต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นแหล่งประมงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและคิดเป็นเกือบ 15% ของจำนวนสัตว์น้ำที่จับได้ทั่วโลก[73] ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าการทำประมงของญี่ปุ่นทำให้ปริมาณปลาของโลกลดลง เช่น ปลาทูน่า ญี่ปุ่นยังจุดชนวนความขัดแย้งดังกล่าวด้วยการสนับสนุนการล่าวาฬอย่างถูกกฎหมาย[74]

การท่องเที่ยว[แก้]

รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญ ๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี

ญี่ปุ่นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 31.9 ล้านคนในปี 2562[75] อยู่ในอันดับที่ 11 ของโลกในปี 2562 ในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า[76] และตามรายงานความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวปี 2560 จัดอันดับญี่ปุ่นเป็นอันดับ 4 จาก 141 ประเทศซึ่งสูงที่สุดในเอเชีย

อุตสาหกรรมการผลิต[แก้]

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผลิตโดยโตโยต้า ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก

ญี่ปุ่นมีศักยภาพทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเป็นที่ตั้งของ "ผู้ผลิตยานยนต์ เครื่องมือกล เหล็กกล้าและโลหะรายใหญ่ที่สุดและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด"[77] ภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นคิดเป็นประมาณ 27.5% ของจีดีพี[78] การส่งออกของประเทศสูงเป็นอันดับสามของโลก ณ ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก ณ ปี 2562 และเป็นที่ตั้งของโตโยต้า บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก[79][80] อีกทั้งยังเป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลก อุตสาหกรรมต่อเรือของญี่ปุ่นเผชิญกับการแข่งขันจากเกาหลีใต้และจีน รัฐบาลออกนโยบายในปี 2563 ตั้งเป้าหมายให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางการส่งออกที่เพิ่มกำไร

วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี[แก้]

หุ่นยนต์อาซิโมของฮอนด้า
โมดูลคิโบขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก[81] ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตรเป็นอันดับ 3 ของโลก[82] ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น และเป็นผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด

ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา[83] ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย[84][85] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก[86]

องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติและโมดูลคิโบ มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศใน พ.ศ. 2552[87] นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีโครงการสำคัญมากมายรวมถึงการสำรวจอวกาศ และการสร้างฐานบนดวงจันทร์เพื่อส่งมนุษย์ไปสำรวจและทำภารกิจในปี 2573[88] ยานอวกาซเซลีนี เปิดตัวใน พ.ศ. 2550 ถือเป็นยานอวกาศลำที่สองของญี่ปุ่นที่ส่งขึ้นสู่ดวงจันทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดและวิวัฒนาการของดวงจันทร์[89]

ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในชาติผู้นำของโลกในด้านการผลิตหุ่นยนต์ โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 55% ของจำนวนการผลิตทั่วโลก[90] ญี่ปุ่นมีจำนวนนักวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก คิดเป็นสัดส่วน 14 คนต่อพนักงาน 1,000 คน[91] ญี่ปุ่นยังมีตลาดวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลัก สร้างรายได้ให้แก่ประเทศสูงถึง 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในจำนวนนี้เป็นรายได้จากเกมมือถือสูงถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์[92]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 "Report for Selected Countries and Subjects: April 2023". imf.org. International Monetary Fund.
  2. 2.0 2.1 2.2 "The outlook is uncertain again amid financial sector turmoil, high inflation, ongoing effects of Russia's invasion of Ukraine, and three years of COVID". International Monetary Fund. 11 April 2023.
  3. 3.0 3.1 "EAST ASIA/SOUTHEAST ASIA :: JAPAN". CIA.gov. Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 23 January 2019.
  4. "Poverty headcount ratio at $1.90 a day (2011 PPP) (% of population) - Japan". data.worldbank.org. World Bank. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2021. สืบค้นเมื่อ 1 March 2021.
  5. "Poverty headcount ratio at $3.20 a day (2011 PPP) (% of population) - Japan". data.worldbank.org. World Bank. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2021. สืบค้นเมื่อ 1 March 2021.
  6. "Poverty headcount ratio at $5.50 a day (2011 PPP) (% of population) - Japan". data.worldbank.org. World Bank. สืบค้นเมื่อ 1 March 2021.
  7. "Income inequality". data.oecd.org. OECD. สืบค้นเมื่อ 2 February 2020.
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 "Seasonally adjusted series of major items (Labour force, Employed person, Unemployed person, Not in labour force, Unemployment rate)". stat.go.jp. Ministry of Internal Affairs and Communications. สืบค้นเมื่อ 2 October 2020.
  9. "Employed person by age group". stat.go.jp. Ministry of Internal Affairs and Communications. สืบค้นเมื่อ 2 October 2020.
  10. "Labor Force by Services". data.worldbank.org. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2019. – Labor Force by Industry and agriculture.
  11. 11.0 11.1 Nakao, Yuka (20 January 2022). "Japan's exports, imports hit record highs in December". Kyodo News. สืบค้นเมื่อ 20 January 2022.
  12. 12.0 12.1 12.2 12.3 "Japanese Trade and Investment Statistics". jetro.go.jp. Japan External Trade Organization. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2021. สืบค้นเมื่อ 3 March 2021.
  13. 13.0 13.1 "UNCTAD 2022" (PDF). UNCTAD. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2022.
  14. "External Debt | Economic Indicators | CEIC". www.ceicdata.com.
  15. 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 "Report for Selected Countries and Subjects: October 2022". imf.org. International Monetary Fund.
  16. "Development aid rises again in 2016 but flows to poorest countries dip". OECD. 11 April 2017. สืบค้นเมื่อ 25 September 2017.
  17. "Sovereigns rating list". Standard & Poor's. สืบค้นเมื่อ 26 May 2011.
  18. 18.0 18.1 18.2 Rogers, Simon; Sedghi, Ami (15 April 2011). "How Fitch, Moody's and S&P rate each country's credit rating". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 31 May 2011.
  19. Scope Ratings (6 May 2022). "Scope affirms Japan's A ratings; Outlook revised to Negative". Scope Ratings. สืบค้นเมื่อ 7 May 2022.
  20. "International Reserves / Foreign Currency Liquidity". Ministry of Finance (Japan). สืบค้นเมื่อ 12 มกราคม 2023.
  21. "GDP (current US$)". World Bank. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2013.
  22. "GDP (OFFICIAL EXCHANGE RATE)". CIA World Factbook. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 ธันวาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2013.
  23. "Country statistical profile: Japan". OECD iLibrary. 28 กุมภาพันธ์ 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 มิถุนายน 2013. สืบค้นเมื่อ 19 มิถุนายน 2013.
  24. "World Economic Outlook Database-ตุลาคม 2013". International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2013.
  25. "TANKAN :日本銀行 Bank of Japan". Bank of Japan. Boj.or.jp. สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2013.
  26. "2013 PRODUCTION STATISTICS – FIRST 6 MONTHS". OICA. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2013.
  27. "Statistics on Patents". World Intellectual Property Organization. 19 มิถุนายน 2013. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2014.
  28. Morris, Ben (12 เมษายน 2012). "What does the future hold for Japan's electronics firms?". BBC News. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2013.
  29. Iwadare, Yoshihiko (1 เมษายน 2004). "Strengthening the Competitiveness of Local Industries: The Case of an Industrial Cluster Formed by Three Tokai Prefecters" (PDF). Nomura Research Institute. p. 16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 7 พฤษภาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2014.
  30. Kodama, Toshihiro (1 กรกฎาคม 2002). "Case study of regional university-industry partnership in practice". Institute for International Studies and Training. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 กรกฎาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2014.
  31. Mori, Junichiro; Kajikawa, Yuya; Sakata, Ichiro (2010). "Evaluating the Impacts of Regional Cluster Policies using Network Analysis" (PDF). International Association for Management of Technology. p. 9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2014.
  32. Schlunze, Rolf D. "Location and Role of Foreign Firms in Regional Innovation Systems in Japan" (PDF). Ritsumeikan University. p. 25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 29 มีนาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2014.
  33. "Profile of Osaka/Kansai" (PDF). Japan External Trade Organization Osaka. p. 10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 5 สิงหาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2014.
  34. "Report for Selected Countries and Subjects". สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2013.
  35. Statistics Bureau Home Page
  36. What Were Japanese GDP, CPI, Wage, or Population Then?
  37. "Yearly Average Currency Exchange Rates Translating foreign currency into U.S. dollars". IRS. 2010. สืบค้นเมื่อ 16 November 2013.
  38. "Statistics Division of Gifu Prefecture" (ภาษาญี่ปุ่น). Gifu Prefecture. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 ตุลาคม 2007. สืบค้นเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2007.
  39. "THB/JPY / Japanese Yen Conversion". ธนาคารแห่งประเทศไทย. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มิถุนายน 2014. สืบค้นเมื่อ 1 มิถุนายน 2014.
  40. "Number of companies in the stock exchange" (ภาษาญี่ปุ่น). Tokyo Stock Exchange. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 กรกฎาคม 2014.
  41. "The Nikkei 225 Index Performance". Finfacts. สืบค้นเมื่อ 7 February 2014.
  42. "Tokyo Stock Exchange Tokyo Price Index TOPIX". Bloomberg. สืบค้นเมื่อ 7 February 2014.
  43. Smith, Simon (22 January 2014). "Horizons introduces leveraged and inverse MSCI Japan ETFs". eftstrategy.com. สืบค้นเมื่อ 7 February 2014.
  44. "About JSCC History". Japan Securities Clearing Corporation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 กรกฎาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2014.
  45. "雇用情勢は一段と悪化、5月失業率は5年8カ月ぶり高水準(Update3)". Bloomberg. 30 มิถุนายน 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กรกฎาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2013.
  46. Fujioka, Toru (2009-06-29). "Japan's Jobless Rate Rises to Five-Year High of 5.2% (Update2)". Bloomberg News. Bloomberg. สืบค้นเมื่อ 2013-02-01.
  47. Rochan, M (31 มกราคม 2014). "Japan's Unemployment Rate Drops to Six-Year Low Amid Rising Inflation". International Business Times. สืบค้นเมื่อ 29 เมษายน 2014.
  48. M1 The Japanese Economy Takahashi Ito, pp 3-4.
  49. "Japan: Patterns of Development". country-data.com. มกราคม 1994. สืบค้นเมื่อ 28 ธันวาคม 2006.
  50. "World Factbook; Japan—Economy". CIA. 19 ธันวาคม 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 ธันวาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 28 ธันวาคม 2006.
  51. "Japan heads towards recession as GDP shrinks". The Times. 13 สิงหาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2008.
  52. "That sinking feeling". The Economist. 30 ตุลาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2008.
  53. "In Japan, Financial Crisis Is Just a Ripple". The New York Times. 19 กันยายน 2008. สืบค้นเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2008.
  54. "Japan's economy 'worst since end of WWII'". CNN. 16 กุมภาพันธ์ 2009. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2009.
  55. 55.0 55.1 "World Economic Outlook Database; country comparisons". ไอเอ็มเอฟ. 1 กันยายน 2006. สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2007.
  56. "NationMaster; Economy Statistics". NationMaster. สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2007.
  57. "Chapter 6 Manufacturing and Construction". Statistical Handbook of Japan, Ministry of Internal Affairs and Communications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 สิงหาคม 2013.
  58. 58.0 58.1 労働力調査(速報)平成19年平均結果の概要 (PDF). Statistic Bureau. สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2008.
  59. Summary Statistics Groningen Growth and Development Centre, Sep 2008
  60. "Forbes Global 2000". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2010. สืบค้นเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2008.
  61. "Market data". New York Stock Exchange. 31 มกราคม 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 ตุลาคม 2007. สืบค้นเมื่อ 11 สิงหาคม 2007.
  62. "Criss-crossed capitalism". The Economist. 6 พฤศจิกายน 2008. สืบค้นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2008.
  63. 63.0 63.1 "In the locust position". The Economist. 28 มิถุนายน 2007. สืบค้นเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2008.
  64. "Going hybrid". The Economist. 29 พฤศจิกายน 2007. สืบค้นเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2008.
  65. "Total area and cultivated land area". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2009. สืบค้นเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2008.
  66. "Total population and agricultural population". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2009. สืบค้นเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2008.
  67. 農林水産省国際部国際政策課 (23 พฤษภาคม 2006). "農林水産物輸出入概況(2005)" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 29 กันยายน 2007. สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2007.
  68. "Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2009. สืบค้นเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2008.
  69. "Rankings". World Bank (ภาษาอังกฤษ).
  70. "Report for Selected Countries and Subjects". International Monetary Fund.
  71. "Urbanites Help Sustain Japan's Historic Rice Paddy Terraces - Our World". ourworld.unu.edu.
  72. Chen, Hungyen (2018-07-03). "The spatial patterns in long-term temporal trends of three major crops' yields in Japan". Plant Production Science. 21 (3): 177–185. doi:10.1080/1343943X.2018.1459752. ISSN 1343-943X.
  73. 2018 The State of World Fisheries and Aquaculture (PDF) (Report). Rome: Food and Agriculture Organization of the United Nations. 2018. ISBN 978-92-5-130562-1.
  74. "Japan resumes commercial whaling after 30 years". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 1 กรกฎาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 5 มกราคม 2022.
  75. "Data list | Japan Tourism Statistics". Japan Tourism Statistics | 日本の観光統計データ (ภาษาอังกฤษ).
  76. "UNWTO World Tourism Barometer and Statistical Annex, August/September 2020". www.e-unwto.org (ภาษาอังกฤษ). doi:10.18111/wtobarometereng.2020.18.1.5.
  77. "Explore All Countries – Japan". The World Factbook. Central Intelligence Agency.
  78. "Japan", The World Factbook (ภาษาอังกฤษ), Central Intelligence Agency, 2021-12-14, สืบค้นเมื่อ 2022-01-05
  79. "Is time running out for Japan's car industry?". Autocar (ภาษาอังกฤษ).
  80. "Production Statistics | www.oica.net". www.oica.net.
  81. Science and Innovation: Country Notes, Japan OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, OECD
  82. "Japanese led world in filing of patent applications in 2005". The Japan Times. 11 สิงหาคม 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2009. สืบค้นเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2008.
  83. "History of Hybrid Vehicles". HybridCars.com. 13 มิถุนายน 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 ตุลาคม 2012.
  84. "Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies" (PDF). Union of Concerned Scientists. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2008.
  85. [www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy
  86. Akira Maeda (28 พฤศจิกายน 2003). Innovation in Fuel Cell Technologies in Japan: Development and Commercialization of Polymer Electrolyte Fuel Cells (PDF) (Report). OECD/CSTP/TIP Energy Focus Group.
  87. "Press Release". JAXA. 8 กรกฎาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2008.
  88. published, Elizabeth Howell (7 เมษายน 2019). "Can Robots Build a Moon Base for Astronauts? Japan Hopes to Find Out". Space.com (ภาษาอังกฤษ).
  89. "Japanese probe crashes into Moon" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 11 มิถุนายน 2009. สืบค้นเมื่อ 5 มกราคม 2022.
  90. IFR. "Why Japan leads industrial robot production". IFR International Federation of Robotics (ภาษาอังกฤษ).
  91. "Science,technology and innovation : Researchers by sex, per million inhabitants, per thousand labour force, per thousand total employment (FTE and HC)". data.uis.unesco.org.
  92. Nutt, Christian (19 มิถุนายน 2015). "Japan's game market hits record high as consoles decline and mobile gr". Game Developer (ภาษาอังกฤษ).

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]