ข้ามไปเนื้อหา

ราเม็ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ราเม็ง (ญี่ปุ่น: ラーメン หรือ らーめんโรมาจิrāmen) เป็นบะหมี่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ราเม็งมักจะทานกับเนื้อหมู, สาหร่าย, คามาโบโกะ, ต้นหอม และบางครั้งอาจมีใส่ข้าวโพด ราเม็งมีการปรุงรสแตกต่างกันตามแต่ละจังหวัดในญี่ปุ่น เช่นในเกาะคีวชู ต้นกำเนิดของราเม็งกระดูกหมู หรือในเกาะฮกไกโด ต้นกำเนิดของมิโซราเม็ง (ราเม็งซุปเต้าเจี้ยว)

เส้นราเม็งทำจากแป้งสาลีเป็นหลัก เช่นเดียวกับอาหารจากเส้นแบบอื่นของญี่ปุ่นอย่างอูดงหรือโซเม็ง แต่ต่างกันตรงที่ใช้เส้นซึ่งทำโดยผสมน้ำอัลคาไล

ในประเทศตะวันตก คำว่า Ramen ยังเป็นคำที่ใช้เรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย

ประวัติ

[แก้]

ในประวัติศาสตร์เท่าที่ทราบ ราเม็ง เดิมมีที่มาจากประเทศจีนและถูกนำเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นโดยชาวจีนอพยพในศตวรรษที่ 19[1][2][3] หรือช่วงต้นศตวรรษที่ 20[4][5] คำว่า "ราเม็ง" มาจากภาษาจีน "ลาเมี่ยน" (拉麺)[6][7] ที่มีความหมายถึง เส้นบะหมี่ที่ใช้มือนวดให้มีความเหนียวนุ่ม ที่ได้รับความนิยมบริโภคไปทั่วเอเชียตะวันออก แต่อาจจะมีที่มาจากคำอื่น ๆ ที่ออกเสียงใกล้กัน เช่น 拉麺, 老麺, 鹵麺, 撈麵 จากบันทึกของพิพิธภัณฑ์ราเม็งชินโยโกฮามะ ราเม็งถูกนำเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นในราวปี ค.ศ. 1859 และโทกูงาวะ มิตสึกูนิ ขุนนางใหญ่ในยุคเมจิได้รับประทานราเม็ง

ราเม็งเริ่มได้รับความนิยมแพร่หลายในญี่ปุ่นเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ในระยะแรก ราเม็งถูกเรียกว่า "ชินาโซบะ" (支那そば) ซึ่งแปลว่า "โซบะเจ๊ก" ("ชินา" เป็นคำเรียกเชิงดูหมิ่นชนชาติจีนในภาษาญี่ปุ่น)[8] ต่อมาชาวจีนได้เริ่มมีการขายราเม็งตามรถเข็นพร้อมกับขายเกี๊ยวซ่าพร้อมกัน และมีการเป่าชารูเมระเพื่อเรียกลูกค้า ซึ่งในปัจจุบันได้มีการอัดเป็นเทปเปิดแทน

ชนิดของราเม็ง

[แก้]

ราเม็งมีหลากหลายชนิดแตกต่างกันตามภูมิภาค โดยชนิดของราเม็งจะแบ่งตามลักษณะของเส้น, เนื้อ และซุป สามอย่างนี้เป็นหลัก ตัวอย่างของราเม็ง ได้แก่

แบ่งตามเครื่องปรุงรส

[แก้]

เครื่องปรุงรสเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สร้างความต่างให้ราเม็ง และมีชื่อเรียกต่างกันออกไปตามเครื่องปรุง

แบ่งตามดาชิ

[แก้]

น้ำซุปของราเม็งยังประกอบขึ้นจากดาชิซึ่งมีส่วนผสมหลายชนิด เช่น

แบ่งตามเครื่อง

[แก้]

รวมภาพ

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
  1. 新横浜ラーメン博物館「日本のラーメンの歴史」
  2. "How Did Ramen Become Popular?". Atlas Obscura. 2007.
  3. Rupelle, Guy de la (2005). Kayak and land journeys in Ainu Mosir: Among the Ainu of Hokkaido. Lincoln, NE: iUniverse. p. 116. ISBN 978-0-595-34644-8.
  4. Okuyama, Tadamasa (2003). 文化麺類学・ラーメン篇 [Cultural Noodle-logy;Ramen] (ภาษาญี่ปุ่น). Akashi Shoten. ISBN 4750317926.
  5. Kosuge, Keiko (1998). にっぽんラーメン物語 [Japanese Ramen Story] (ภาษาญี่ปุ่น). Kodansha. ISBN 4062563029.
  6. "Unearth the secrets of ramen at Japan's ramen museum". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-28. สืบค้นเมื่อ 2018-11-05.
  7. Kodansha encyclopedia of Japan, Volume 6 (1st ed.). Tokyo: Kodansha. 1983. p. 283. ISBN 978-0-87011-626-1.
  8. Cwiertka, Katarzyna Joanna (2006). Modern Japanese cuisine: food, power and national identity. Reaktion Books. p. 144. ISBN 1-86189-298-5. However, Shina soba acquired the status of 'national' dish in Japan under a different name - rāmen. The change of name from Shina soba to rāmen took place during the 1950s and '60s. The word Shina, used historically in reference to China, acquired a pejorative connotation through its association with Japanese imperialist association in Asia and was replaced with the word Chūka, which derived from the Chinese name for the People's Republic. For a while, the term Chūka soba was used, but ultimately the name rāmen caught on, inspired by the chicken-flavored instant version of the dish that went on sale in 1958 and spread nationwide in no time.