ข้ามไปเนื้อหา

แคนนอน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แคนนอน
ประเภทบริษัทมหาชน
การซื้อขาย
TYO: 7751
NYSE: CAJ
ISINJP3242800005 Edit this on Wikidata
ก่อตั้ง10 สิงหาคม พ.ศ. 2480 โตเกียว, ญี่ปุ่น
ผู้ก่อตั้งทาเคชิ มิทาราอิ
สำนักงานใหญ่,
บุคลากรหลักฟุจิโอะ มิตะระอิ
(ประธานคณะกรรมการ, CEO)
มะซะยะ มะเอะดะ
(ประธานบริษัท, COO)
ผลิตภัณฑ์กล้องถ่ายรูปดิจิตอล, เลนส์, อุปกรณ์สำนักงาน
รายได้3.800 ล้านล้านเยน (ค.ศ. 2015)[1]
พนักงาน
191,889 คน (ค.ศ. 2015)[2]
เว็บไซต์http://www.canon.com

แคนนอน (ญี่ปุ่น: キヤノンโรมาจิKiyanonทับศัพท์: ในชื่ออังกฤษ Canon) เป็นบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งชำนาญด้านผลิตภัณฑ์ภาพทัศน์ เช่น กล้องถ่ายภาพ, เครื่องถ่ายเอกสาร, เครื่องพิมพ์สำหรับคอมพิวเตอร์ และอื่น ๆ สำนักงานใหญ่ของแคนนอนตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ประวัติ

[แก้]

แคนนอนก่อตั้งขึ้นในปี (ค.ศ. 1933) โดยมี โยะชิดะ โกะโร และ อุชิดะ ซะบุโร เป็นผู้ก่อตั้งร่วม เมื่อตอนแรกที่ก่อตั้งนั้นใช้ชื่อบริษัทว่า เซกิ โคงะกุ เค็นกีวโจะ (精機光学研究所) โดยมุ่งหมายที่จะค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนากล้องถ่ายภาพคุณภาพสูง ในเดือนมิถุนายน (ค.ศ. 1934) บริษัทได้นำกล้องแบบแรกออกสู่ตลาด โดยตั้งชื่อว่า Kwanon ซึ่งมีที่มาจาก คันนง อันเป็นนามของในภาษาญี่ปุ่น ต่อมาบริษัทได้เปลี่ยนชื่อให้ทันสมัยขึ้นเป็น แคนนอน ในปีต่อมา แคนนอนมีสำนักงานถึง 195 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่าเก้าหมื่นคนทำงานในส่วนการวิจัยและพัฒนาการผลิต การขาย และกิจกรรมทางการตลาด

ในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ของแคนนอนจัดจำหน่ายโดย บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด

1933-1936 ต้นกำเนิด Canon

[แก้]

ในช่วงต้นค.ศ. 1930 บริษัทที่ผลิตกล้องได้รับความนิยมสูงสุดคือ Leica และ Contax กล้องจากทั้งสองนี้ผลิตขึ้นในประเทศเยอรมัน ซึ่งนับว่าเป็นอาณาจักรของกล้อง ทั้งสองบริษัทนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจาก นักถ่ายภาพทั่วโลกเนื่องจากตัวกล้องที่มีคุณภาพ และความคมชัดของภาพสูง

ในช่วงเวลานั้น กล้อง Leica มีค่าตัวอยู่ที่ 420 เยน ในขณะที่เงินเดือนเฉลี่ยของคนทำงานทั่วไปซึ่งจบปริญญาตรีในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 70 เยนต่อเดือน นายโกโร่ โยชิดะ ชาวญี่ปุ่น ทำงานอยู่ในบริษัท Leica จึงพยายามที่จะพัฒนากล้อง Range finder สำหรับฟิล์ม 35 mm คุณภาพสูง ในปี 1933 โกโร่ โยชิดะ, ซาบุโร่ ยุชิดะ และ ทาเคโ มาเอดะ เป็นผู้ก่อตั้งห้องแลบสำหรับการผลิตเลนส์ ในห้องอาพาร์ทเมนต์ซึ่งตั้งอยู่ที่ Azabu Word, Tokyo ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานว่าพวกเขาได้ผลิตตัวต้นแบบ กล้อง Range finder คุณภาพสูงมากในปัจจุบัน ทำให้ Kwanon เป็นเพียงกล้องต้นแบบเท่านั้น

บริษัทแคนนอนได้เปิดห้องทดลองเครื่องมือเกี่ยวกับความเที่ยงตรงในเรื่องการมองเห็น ในปี 1933

[แก้]

เรื่องนี่ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ห้องทดลองได้ถูกค้นพบเมื่อปี 1933 บนชั้น 3 ของอพาร์เม็นท์ ที่ชื่อว่า Takekawaya เมืองโตเกียว จุดประสงค์ของห้องทดลองคือ เพื่อสร้างกล้องที่มีคุณภาพสูง

ชายหนุ่มที่ชื่อ Goro Yoshida กับพี่ชายที่เป็นนักกฎหมายชื่อ Saburo Uchida และกล้องสุดโปรด ได้ร่วมกันก่อตั้งห้องทดลองนี้ขึ้นมา จุดประสงค์ก็เพื่อที่ว่าจะได้สร้างกล้องที่สามารถแข่งขันกับกล้องจากเยอรมัน ซึ่งนับวันก็จะยิ่งมีความสามารถสูงขึ้น

พวกเขาได้เริ่มจากการที่วิเคราะห์กล้องของพวกเค้าที่มีอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก พวกเขาวิเคราะห์มันไปเรื่อย ทีละขั้น พวกเขาศึกษาระบบการทำงานของอุปกรณ์ข้างในตัวกล้อง ทดสอบตัวกล้อง วาดและออกแบบต่างๆ ประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เงินทุนของพวกเขาได้มาจากเพื่อนสนิทของพวกเขาที่ชื่อ Takeshi Mitarai ในที่สุด Takeshi Mitarai ก็ได้มาเป็นประธานบริษัท

กล้อง HANSA Canon เปิดตัว

[แก้]

ถึงแม้ว่าจะมีการผลิตกล้อง kwanon เพื่อการค้า แต่ก็ไม่สามารถผลิตเลนส์ ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญของกล้องขึ้นมาได้ จึงได้มีการปรึกษาละประชุมจนได้ข้อสรุปร่วมกันว่าให้ใช้เลนส์จากบริษัท Nippon Kogakn Kogyo ที่ผลิตเลนส์ให้กล้อง Nikon โดยใช้ Kikkor lens หลังจากที่การเตรียมการ ในปี 1936 เดือนกุมภาพันธ์ Precision Optical Instruments ได้มีการเปิดตัวกล้อง Hansa Cannon ที่ประกอบด้วยตัวกล้อง และ Nikkor เป็นกล้องทางการค้าตัวแรกของ Canon “Hansa” ถูกจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในนาม Omiya Shasion Yohin co,ltd ซึ่งมีสัญญาการขายกล้องกับ Precision Optical Instruments lab โดยเฉพาะ คำว่า Canon เป็นเครื่องหมายการค้าตัวใหม่ของทางบริษัท คำว่าCanon หมายถึง คัมภีร์ไบเบิ้ล หรือ บรรทัดฐาน ซึ่งเป็นคำขวัญที่เหมาะสมสำหรับบริษัท

1946-1954 ปีทองของกล้อง Rangefinder

[แก้]

ต้นกำเนิดของ Canon Camera Co., Inc.

[แก้]

ภายหลังการฟื้นฟูของบริษัท Precision Optical Industry Co., Ltd. ได้มีเปิดตัวกล้องรุ่น “S II” ในเดือนตุลาคม 1946 ซึ่งลักษณะเด่นของกล้องรุ่นนี้คือ การรวม ช่องมองภาพ และ rangefinder จำนวนหนึ่งให้มองเห็นอยู่ในหน้าต่างเดียวกัน ต่อมาในเดือนเมษายน 1949 ได้มีการเปิดตัวกล้องอีกรุ่นหนึ่ง คือรุ่น “II B” การขายกล้องสองรุ่นนี้ทำให้กองทุนหลังสงครามของบริษัทแข็งแกร่งมากขึ้น

บริษัท Precision Optical Industry Co.,Ltd. ได้เปลี่ยนชื่อ เป็น Canon Camera Co., Ltd. ในวันที่ 15 กันยายน 1947 เนื่องจากมีการเรียกร้องจากช่างภาพเพื่อป้องกันการสับสนในการเรียกชื่อผลิตภัณฑ์ที่มาจากบริษัท Precision Optical Industry Co., Ltd. ดังนั้นทางบริษัทจึงได้ตัดสินใจ ใช้ “Canon” ป็นเครื่องหมายการค้าของกล้องและเลนส์ การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้เปรียบเสมือนการเกิดใหม่ของวงการกล้องทั่วโลก หลังจากเปลี่ยนชื่อบริษัท 3 ปี ประธานมิตาราอิ ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนสิงหาคม 1950 เพื่อเป็นการศึกษาตลาด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการหาลู่ทางที่จะขยายตลาดการขายกล้องมาสู่อเมริกา แต่ถึงอย่างไรก็ตามทางบริษัทต่างๆในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ยอมรับกล้องจาก Canon ถึงแม้กล้องจะมีคุณภาพดีเพียงใดก็ตาม เพียงเพราะว่าเป็นกล้องที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ อาคารของบริษัทสร้างจากไม้ทั้งหมดซึ่งอาจทพให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย ไม่มีความน่าเชื่อถือ หลังจากนั้นไม่นาน Canon ก็ได้สร้างอาคารขึ้นมาใหม่โดยจ้างวานบริษัท Fuji Aviation Instrument Co., Ltd. รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยและอุปกรณ์ป้องกันเพลิงไหม้ โดยอาคารตั้งอยู่ที่ Shimomaruko, Ohta Ward, Tokyo. สร้างเสร็จในปี 1951 เดือนมิถุนายน

การเปิดตัวของ Rangefinder Camera

[แก้]

ในปี 1951 Canon ได้เปิดตัวเลนส์ Serenar 50 มม. f/1.8 ซึ่งเป็นเลนส์ที่ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งต่อมาได้นำทฤษฎีที่ใช้ในเลนส์ตัวนี้มาพัฒนาใช้กับเลนส์ตัวอื่นๆอีก

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 1950 หลายๆบริษัทได้มีการปิดตัวกล้องอีกหลายรุ่นรวมถึง Canon ด้วยเช่นกัน แต่กล้องที่รับการกล่าวขวัญมากที่สุดคือ “IV Sb2” ซึ่งเป็นผลงานเอกอีกชิ้นหนึ่งที่เทียบเท่ากับกล้องของ Leica เลยก็ว่าได้

1955ความหลากหลายขากกล้อง Rangefinder สู่กล้อง SLR

[แก้]

จากเดิมที่เป็นกล้อง 35 mm เป็นกล้อง rangefinder ในตอนแรกที่ผลิตโดย บริษัท Kwanon จนมาถึง กล้อง “7S” (series 7) ในเดือนเมษายน ปี 1965 ซึ่งถูกพัฒนาโดยอาศัยโครงสร้างแบบ กล้อง “VT” ที่เปิดตัวในปี 1956และกล้อง “P” (Populaire) ที่เปิดตัวในปี 1959 หลังจากนั้น กล้อง rangefinder ก็ถูกแทนที่โดย กล้อง SLR 35 mm

กล้อง SLR ตัวแรกของ Canon คือ “Canonflex” ที่ผลิตขึ้นในปี 1959 ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของกล้อง SLR นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเลนส์จากเลนส์ R-series ไปสู่เลนส์ FL-series ที่ได้มีการรวมฟังก์ชันการทำงานรวมเข้าด้วยกันทำให้ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้มีการเปิดตัวกล้องรุ่น “FX” ในเดือนเมษายน ปี 1964

การเปิดตัวของ Canonet Camera

[แก้]

ในช่วงเดือนมกราคม ปี 1961 กล้อง Canonet ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและอย่างที่ไม่เคยมีใครได้รับมาก่อน กล้องตัวนี้ถูกร้องเรียนจากผู้ค้ากล้องในตลาดว่าราคาของกล้องตัวนี้ถูกเกินไป แต่ในความจริงแล้วกล้องตัวนี้มีราคาแพงมากแต่เมื่อเทียบกับยอดขายและการตอบรับจากช่างภาพทำให้ดูเหมือนว่า กล้องตัวนี้มีราคาถูกเกินไป

กล้อง 8 mm Cinecamera Field

[แก้]

กล้อง 8 mm ตัวแรกของแคนอนที่เป็นกล้องสำหรับการถ่ายภาพยนตร์ คือ “Canon Cine 8T” ที่เปิดตัวในปี 1956 และต่อมาในปีนั้นเองได้มีการพัฒนาให้ตัวกล้องมีการซูมทำให้มีการเปิดตัวกล้องขึ้นมาอีกหนึ่งตัวคือ “Canon Cinezoom 512” ซึ่งเปิดตัวในปี 1964 กล้องตัวนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงสำหรับกล้องเพื่อการถ่ายภาพยนตร์

ก้าวแรกของ Canon Inc.

[แก้]

ในปี 1960 แคนอนได้ตัดสินใจบุกเบิกเข้าสู่การตลาดในการผลิตสินค้าประเภทอื่นๆ เช่น เครื่องคิดเลข และเครื่องถ่ายเอกสาร ทำให้แคนอนต้องขยายตัวและเปลี่ยนเป็น Canon Inc. ในเดือนมีนาคม 1969

1970-1975: ก้าวกระโดดของกล้อง SLR

[แก้]

กล้อง F-1 ตอบสนองความต้องการของช่างถ่ายภาพมืออาชีพ

[แก้]

ตั้งแต่ปี 1964 ของฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้น บริษัทแคนนอน ได้เริ่มดำเนินการผลิตกล้อง SLR เพื่อให้เป็นที่ต้องการของช่างถ่ายภาพมืออาชีพ หลังจากนั้นอีก 5ปี ความพยายามในการพัฒนาก็แล้วเสร็จ กล้องแคนนอน F-1 ก็ถูกเปิดเผยสู่สาธารณชน ในเดือนมีนาคม ปี 1971 ทำให้กล้อง F-1 ของแคนนอนในตอนนั้นเป็นกล้องที่โด่งดังจนต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์กล้องถ่ายรูป

จากการพัฒนาของกล้อง “F-1” ทำให้นักถ่ายภาพมืออาชีพพอใจเป็นอย่างมาก ด้วยอุปกรณ์ที่มีมากถึง 180 ชิ้นทั้งที่เป็นตัวเลนส์ ฟิลเตอร์ อุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นมามีความแข็งแรง สามารถทนต่อสภาพเลวร้ายต่างๆได้เป็นอย่างดี กล้อง “F-1” ได้รับการตอบรับอย่างดีจากช่างภาพมืออาชีพ ทำให้ได้รับเลือกให้เป็นกล้องถ่ายภาพในงานกีฬาโอลิมปิกที่ Montreal, Canada ปี 1976 และ โอลิมปิกหน้าหนาวที่ Lake Placid, USA ปี 1980

สำหรับพื้นฐานของเทคโนโลยีในกล้องแคนนอน F-1 ในช่วงปี 1972 บริษัทแคนนอนได้ประสบความสำเร็จในการผลิต “High Speed Motor Drive Camera” สามารถถ่ายภาพได้ถึง 9 รูปใน 2 วินาที

เลนส์ทั้ง 16รุ่น ในFDซี่รีย์ ได้ถูกนำแสดงออกมาพร้อมกับกล้องแคนนอน F-1 ต่างได้รับคำชม มันเป็นเลนส์ที่ปรับปรุงแก้ไขจนแน่ใจในคุณภาพของสีที่ถูกถ่ายทอดลงแผ่นฟิลม์ อีกทั้งยังสามารถควบคุมสมดุลสีขาวได้อย่างเที่ยงตรงด้วยการคัดสรรวัตถุดิบที่ใช้ทำด้วยแก้วคุณภาพสูง และทำการเคลือบผิวหน้าเลนส์

ซีรีส์ Canonet เป็นซีรีส์ที่มีการขายในท้องตลาดนานมาก

[แก้]

ซีรีส์ Canonet เป็นซี่รี่ย์ที่ถูกวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1969 ถึงปี 1979 ซึ่งในช่วงเวลานั้นซีรีส์ Canonet สามารถทำยอดขายได้ทั้งสิ้น 1.2 ล้านตัว

การนำเสียงบันทึกลงในกล้องถ่ายภาพยนตร์ 8 มม.

[แก้]

กล้องถ่ายภาพยนตร์ที่ใช้ ฟิมล์ 8 มม. ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกล้องรุ่น “Cineprojector T-1” ที่วางจำหน่ายในเดือนเมษายนปี 1972 ได้มีการบันทึกภาพและเสียงได้พร้อมกัน ซึ่งเรียกฟังก์ชันนี้ว่า “lip-synch” ต่อมาในปี 1973 บริษัท Eastman Kodak ได้เริ่มนำเทปแม่เหล็ก มีชื่อเรียกว่า “Ektasound” มาบันทึกเสียง ในกล้องถ่ายภาพยนตร์ที่ใช้ ฟิมล์ 8 มม.

1976- 1986 : เปิดตลาดกล้องซี่รี่ A

[แก้]

“AE-1” ผู้บุกเบิก กล้องอัตโนมัติและมีการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ นำเข้าสู่ “NEW F-1” ระบบกล้องที่ล้ำสมัย

ในเดือนเมษายน ปี 1976 มีการเปิดตัวกล้อง“AE-1” เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก มี Auto-Exposure (AE) SLR ซึ่งพร้อมด้วย CPU เป็นกล้องที่ผสมผสานระบบอิเล็กทรอนิกส์กับเทคโนโลยี เหมือนกับกล้อง “A-1” ที่มี AE 5 โหมด ซึ่งมีการผลิตขึ้นในเดือนเมษายน ปี 1978 ซึ่งกล้อง A-1 ได้กลายมาเป็นกล้องที่ได้รับความนิยมมาก และเมื่อถึงเวลา ก็มีการพัฒนาเวอร์ชันของเลนส์ ซึ่ง FD เลนส์นี้ มุ่งไปที่นวัตกรรมการเปลี่ยนเลนส์ ที่เป็นระบบ “fit and lock” ซึ่งเป็นระบบที่ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ใช้มั่นใจมากขึ้น

ด้วยความสุดยอดของ ระบบกล้อง SLR “F-1” จึงทำให้เกิด “New F-1” ขึ้นในเดือนกันยายน ปี 1981 โดยอาศัยเทคโนโลยีไมโครคอมพิวเตอร์ ทำให้มีประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือมากขึ้น กล้อง“New F-1” นี้ ได้รับความนิยมจากผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ช่างภาพสมัครเล่นถึงระดับมืออาชีพ ในเดือนมีนาคม ปี 1983 ได้เกิด กล้อง T-Series ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง ตลอดจนมีฟังก์ชันที่หลากหลาย

1987-1991: เปิดศักราชใหม่ ของกล้อง SLRปรับโฟกัสอัตโนมัติ “EOS”

[แก้]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1985 บริษัท มินอลตา สร้าง “Minolta a-7000” ขณะที่ Nikon ก็เปิดตัว “Nikon F- 501” ในเดือนเมษายน ปี 1986 ซึ่งเปิดตัวเต็มที่เป็นกล้อง SLR, 35 mm AF ถือว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงของกล้อง SLR ปรับโฟกัสอัตโนมัติ

ภายในการพัฒนาผลงานที่ชื่อว่า “EOS (Electro Optical System) ” Cannon รับประกันว่า เป็นกล้องปรับโฟกัสอัตโนมัติ SLR ที่มีคุณภาพสูงและมีจุดมุ่งหมายทางการตลาด ซึ่งเปิดตัวในวันที่ 1 มีนาคม ปี1987 ซึ่งเป็นปีที่ 50 ของแคนนอน ได้มีการพัฒนาและใช้นวัตกรรมที่หลากหลาย รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเฉพาะของแคนนอนซึ่งประกอบด้วย BASIS (Base-stored Image Sensor ) ซึ่งมีความละเอียดสูง ทำให้ EOS ประสบความสำเร็จมากไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่น แต่ทั่วยุโรป และต่อมาในปี 1989 ก็ได้เปิดตัว EOS-1

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา เลนส์ EF-series พร้อมๆกับกล้องEOS ด้วย ซึ่งมีความโดดเด่น พัฒนาให้มีความสมบูรณ์แบบในการควบคุมและการขนส่งข้อมูลระหว่างตัวกล้องและเลนส์อีกด้วย

กล้องวิดีโอพกพา “LX-1” ซึ่งสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้

[แก้]

ในปี 1991 มีการเปิดตัว “LX-1” กล้องวิดีโอพกพา ซึ่งสามารถเปลี่ยนหรือสลับ เลนส์ได้ ซึ่งใช้ได้ ทั้งเลนส์ สร้างด้วยไมโครคอมพิวเตอร์รวมถึง เลนส์ EF ที่ใช้ในกล้อง EOSด้วย

การทำได้จริงกล้อง SV ที่ราคาไม่แพง

[แก้]

อย่างที่ทราบว่ากล้อง SV นั้นมีข้อเสียตรงที่ราคาแพง จึงมีการสร้างกล้อง SV ที่คนทั่วไปสามารถซื้อหาได้ ซึ่งCanon ได้ตั้งราคาไว้ที่ ไม่เกิน 100,000 เยน และต่อมาก็มีการเปิดตัว “RC-250 (Q-PIC) ” ในเดือนกันยายน ซึ่งมีราคา 99,800 เยน

1992-1996 ความละเอียดและการสร้างสรรค์นวัตกรรม

[แก้]

“EOS” ที่ advance และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

[แก้]

ได้มีการเปิดตัว “EOS-1” ในปี 1994 ซึ่งประสบความสำเร็จมาก มีการพัฒนาตัวโมเดล และคุณภาพของ เลนส์ EF นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา พื้นที่ของออโตเมติกฟิล์ม รวมถึงตัวเซ็นเซอร์ที่ใช้ในการจับโฟกัสและอื่นๆ ทุกอย่างรวมเข้าไว้ด้วยกัน โดยยึดถือข้อมูลการตอบรับของผู้ใช้เป็นหลัก จึงได้รับความไว้วางใจ จากกลุ่มช่างถ่ายภาพระดับมืออาชีพ

ต่อจากนั้น ในเดือนกันยายน ปี 1993 มีการเปิดตัว “EOS KISS”ซึ่งได้รับความนิยมมาก เป็นกล้องอัตโนมัติเต็มรูปแบบ มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา รวมถึงมีการออกแบบเพื่อสนองความต้องการของนักถ่ายภาพมือใหม่และตอบรับผู้ใช้ได้ในวงกว้าง และต่อมาในเดือนกันยายน ปี 1996 ก็ได้มีการพัฒนา EOS เวอร์ชัน “New EOS KISS” ขึ้น

เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นเมื่อมีการเปิดตัว “EOS 5QD” ในเดือน ตุลาคม ปี 1992 เพราะเป็นระบบ eye-controlled focusingซึ่งมีความล้ำสมัยและจากนั้นก็มีการพัฒนา“EOS 55”ออกมาในปี 1995 ด้วย

APS (Advanced Photo System)

[แก้]

ในปี 1996 เดือน เมษายน กล้อง IXY ในระบบ APS ของแคนนนอนก็เปิดตัวออกมา ซึ่งมีฟิล์มขนาดเล็ก กล้อง IXY ของแคนนอนกลายมาเป็นกล้องที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีความกะทัดรัด อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และ ฟังก์ชันมากมาย มันเป็นสิ่งที่ยอดนิยมมาก

การเข้าสู่ยุค Digital

[แก้]

ได้มีการเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อ สำหรับกล้องวิดีโอพกพา จากระบบอนาล็อกเป็นระบบดิจิตอล โดยการสร้าง กล้อง SV นั้น ได้สิ้นสุดลงในปี 1992 และเปลี่ยนเป็นกล้องดิจิตอล ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ปี 1996 ได้มีการเปิดตัว “PowerShot 600” เป็นกล้องดิจิตอล ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยแคนนอน

1997-2000 ปฏิวัติวงการถ่ายภาพ เข้าสู่ระบบดิจิตอลเต็มตัว

[แก้]

Eos series ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

[แก้]

ในระยะครึ่งปีหลังใน ค.ศ. 1990 new Eos ประสบความสำเร็จทางการตลาด จากการประเมินด้วยเครื่องวัด sensor linked ไปที่ focusing pointsและเข้าไปครองใจผู้ใช้ได้นานและได้รับการไว้ใจ ได้ถ้าเปรียบเทียบกับ Eos-1N.EOS-KISS III ซึ่งเปิดตัวในเดื่อนเมษายนปี 1990 มีสมรรถภาพสูง กะทัดรัด และมีความสว่างเกินความคาดหมายเพื่อเข้าถึงรูปแบบ และบรรลุเป้าหมาย ของ Eos – IV

Strengthening of Advance Photo System Line

[แก้]

ในความเจริญของระบบกล้อง มีหลายๆตัวแปรที่สำคัญมาก หนึ่งใน Eos 1*8 Advance Photo system กล้อง SLR รวมกับ สมรรถภาพพื้นฐาน จาก “ New Eos Kiss” กับ ลักษณะAdvance Photo system เช่น ลักษณะพิเศษ IXY DS สามารถกันน้ำเข้าใน ระยะ 5 เมตร

Digital Image Media for the Next Century

[แก้]

การพัฒนาในกล้องดิจิตอลและกล้องวิดีโอที่สามารถพกพาได้กลายเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ Canon ปล่อย Eos D2000 เป็นกล้อง Digital SLR ในปี 1998 เพื่อใช้ในวงการธุรกิจ รวมกับ “Power short A5” และ “Power short Pro 70” กล้องดิจิตอลเพื่อบุคคลทั่วไป จากนั้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2000 Canon ได้เปิดตัวดิจิตอลเวอร์ชันที่มียอดขายดีที่สุด “IXY” Advanced Photo System camera หรือ “IXY DIGITAL”

ในกล้องวิดีโอสำหรับพกพา รุ่น MV-1 เป็นกล้องวิดีโอรุ่นแรกที่สามารถพกพาได้ผลิตโดย Dibut ในปี 1997-2000 ตามมาด้วยรุ่น MV-1 ในปี 1999 เป็นกล้องที่กะทัดรัด มีน้ำหนักของแสงและได้ภาพที่มีคุณภาพสูง จากนั้น่มีรุ่น pv1 ซึ่งรับช่วงต่อจากรุ่น FV10 และเผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม ปี 2000 ออกแบบเพื่อใช้ภายในครอบครัว สำหรับช่างภาพสมัครเล่นหรือแม้กระทั่งช่างภาพระดับมืออาชีพก็ใช้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ Canonได้นำ XL1 เข้ามาในเดือนกุมภาพันธ์ปี1998 เป็นแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก

แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์)

[แก้]

ก่อตั้งในปีพ.ศ. 2537 วันนี้แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) เป็นสาขาของบริษัทแคนนอน อิงค์ ประเทศญี่ปุ่น มีพนักงานกว่า 400 คน เราทุกคนอุทิศตนเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของผู้บริโภค เราเชื่อว่า การที่จะประสบความ สำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือกันเป็นอย่างดีจากพนักงานทุกคน ลูกค้าทุกท่าน รวมถึงสังคมของเราซึ่งเราอยู่อาศัยและทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และการบริการทั้งทางด้านอุปกรณ์ด้านภาพดิจิตอลและเครื่องใช้สำนักงานด้วย

ปรัชญาของแคนนอน

[แก้]

ยึดแนวปรัชญาเคียวเซ (Kyosei) ที่มีสาระสำคัญคือการใช้ชีวิตและการทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม แคนนอนอุทิศตนในการผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกทั้งในบ้านและในที่ทำงาน เพื่อบรรลุผลวัตถุประสงค์ดังกล่าวแคนนอนจัดสรรงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกปี เป็นเงิน จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ตั้งแต่ปี 2528 แคนนอนได้รับสิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกา 19,902 ฉบับ และเป็นหนึ่งในสามของบริษัทยอดเยี่ยมที่มีสิทธิบัตรมากที่สุดของทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่พัฒนาเทคโนโลยีแห่งนวัตกรรม แคนนอนยังคงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะเห็นได้จากนโยบายการวิจัยและการ ผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม แคนนอนเป็นบริษัทแรกของโลกที่ริเริ่ม โปรแกรมการนำตลับหมึกมาใช้ใหม่อย่างต่อเนื่อง

รางวัลและชื่อเสียง

[แก้]

แคนนอนยึดหลักระบบบริหารคุณภาพซึ่งหมายถึงบริษัทสามารถเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เป็นไปตามกฎข้อ บังคับที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แคนนอนยึดถึอหลักการบริหารจัดการ การมุ่งเน้นที่ลูกค้า และนโยบายคุณภาพ ดังนั้นแคนนอนจึงได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9002: 1994 ในพ.ศ. 2544 และต่อมาในปีพ.ศ. 2547 ได้รับการยกระดับเป็น ISO 9001:2000 อีกด้วย

Time Line

[แก้]

ปี 1933 มีการเปิดห้องทดลองเครื่องมือเกี่ยวกับสายตา ที่ชั้น3 ของอาคาร Takekawaya ที่ย่านรปปงงิ ในโตเกียว ห้องทดลองนี้ถูกตั้งขึ้นโดย Goro Yoshida ชายหนุ่มผู้หลงใหลในกล้องถ่ายภาพ และ Saburo Uchida พี่น้อง ตามกฎหมายของเขา

ปี 1934 ได้มีการผลิตกล้อง 35 ม.ม.ตัวแรกของญี่ปุ่น โยชิดะ ตั้งชื่อมันว่า “Kwanon” ตามชื่อของเทพธิดาแห่งความเมตตา และวางขายเดือนมิถุนายน ปี 1934 ในนิตยสารกล้องอาราชิ

ปี 1937 อุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปภายใต้ชื่อแคนนอนก็ถูกก่อตั้งขึ้น แรกเริ่มผลิตขึ้นไม่เกิน เดือนละ 10ตัวเท่านั้น

ปี 1939 มีการเริ่มผลิตเลนส์

ปี 1942 ทาเคชิ มิตาราอิ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานบริษัท

ปี 1945 บริษัทถูกทำลายเพราะผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 2

ปี 1946 ได้เปิดศูนย์บริการกล้องถ่ายรูปขึ้นที่ กินซ่า

ปี 1947 ชื่อบริษัทถูกเปลี่ยนเป็น Canon Camera Co,.Inc

ปี 1949 แคนนอนกลับมาทำการค้าอีกครั้งภายหลังสงคราม และในปีเดียวกันนี้ กล้องแคนนอน IIB ได้รับรางวัล การประกวดออกแบบกล้องถ่ายภาพที่ ซานฟรานซิสโก

ปี 1952 ได้ก่อกำเนิด IVSb แฟลชตัวแรกของโลก

ปี 1954 Robert Capa ช่างภาพชื่อดังของโลกมาเยี่ยมสำนักงาน Shimomaruko

ปี 1955 ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแคนนอนเปิดสาขาที่แมนฮัดตั้น นิวยอร์ก ในขณะนั้นอเมริกาเป็นผู้นำในขณะที่ญี่ปุ่นพึ่งคืนสภาพภายหลังสงครามโลก ด้วยการช่วยเหลือของอเมริกา

ปี 1957 Canon Europa บริษัทผู้แทนจำหน่ายในยุโรป ได้จัดตั้งขึ้นที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และในปีเดียวกันกล้องถ่ายภาพ L1 และ 8T 8mm. Cinecamera ได้รับรางวัล “ผลิตภัณฑ์ออกแบบยอดเยี่ยม” ที่จัดประกวดขึ้นที่ญี่ปุ่น

ปี 1962 Canon Latin America ผู้แทนจำหน่ายในลาตินอเมริกาจัดตั้งขึ้นที่ปานามา

ปี 1963 กล้อง Canonet เป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างมากด้วยตัวเลขการขายกว่า 1 ล้าน ชิ้น กล้อง “ Canonet ” ของแคนนอน

ปี 1966 บริษัท Canon U.S.A ,. Inc จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ

ปี 1967 แคนนอนลาตินอเมริกา จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ

ปี 1968 Canon Amsterdam N.V. (ขณะนั้นเป็น Europa N.V.) ถูกจัดตั้งขึ้น

ปี 1969 ชื่อบริษัทเปลี่ยนเป็น Canon Inc. และในปีเดียวกัน ศูนย์กลางงานวิจัยแคนนอนถูกจัดตั้งขึ้น และบริษัท Canon Camera Sales ก็จัดตั้งขึ้นเพื่อการตลาดในญี่ปุ่น

ปี 1971 แคนนอนเปิดตัวกล้อง F-1 เป็นครั้งแรก และเป็นการแข่งขันกันระหว่างแคนนอน กับ นิคอน ว่า F-1 ของแคนนอน กับ F2 ของนิคอน กล้องตัวไหนจะเป็นกล้อง SLR ระดับมืออาชีพที่ดีที่สุด

ปี 1972 โรงงานผลิตกล้องแห่งแรกในยุโรปของแคนนอน ถูกจัดตั้งขึ้นที่ เยอรมันตะวันตก

ปี 1974 Takeo Maeda ก้าวขึ้นมาเป็นประธานบริษัท

ปี 1975 Canon France S.A. ถูกจัดตั้งขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส และในปีเดียวกันนี่เอง แคนนอนสามารถพัฒนา Laser Printer ขึ้นเป็นผลสำเร็จ

ปี 1976 Canon (U.K.) Ltd. จัดตั้งขึ้นที่ประเทศอังกฤษ แล้วแคนนอนสามารถทำยอดขายสุทธิได้กว่า หนึ่งแสนล้านเยน แล้วในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนี้ แคนนอนได้ทำการพัฒนากล้องถ่ายรูปโดยการฝัง ไมโครคอมพิวเตอร์ ลงไปในกล้องถ่ายรูปรุ่น AE-1 ซึ่งจะทำให้กล้องสามารถควบคุมการถ่ายภาพได้อัตโนมัติจึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นผู้เริ่มต้นการถ่ายภาพ ช่างภาพสมัครเล่น ก็สามารถใช้กล้อง SLR ได้ง่ายขึ้น

ปี 1977 Ryuzaburo Kaku ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานบริษัท และในปีนี้แคนนอนได้รับรางวัล Academy Award จากเลนซ์ K-35 Series ซึ่งเป็นเลนซ์ของกล้องภาพยนตร์ 35ม.ม.

ปี 1979 Canon Singapore Pte. Ltd. และ Canon Hongkong Co., Ltd. ได้ถูกจัดตั้งขึ้น และในปีนี้แคนนอนได้เปิดตัวกล้อง AF35M (Autoboy) ซึ่งเป็นกล้องคอมแพคที่อัตโนมัติสมบูรณ์แบบ และเพิ่มระบบออโต้กัส ซึ่งวิศวกรของแคนนอนได้คำนึงถึงวิธีการถ่ายภาพให้ง่ายขึ้น และนี่เป็นความสำเร็จของแคนนอนอย่างมากมาย

ปี 1982 บริษัท Oita Canon Inc. ถูกจัดตั้งขึ้นในญี่ปุ่น และอีกหลายบริษัทได้ถูกจัดตั้งขึ้นเรื่อยๆ ในปีต่อๆมา

ปี 1987 แคนนอนเปิดตัวกล้อง EOS650 ซึ่งเป็นกล้อง SLR ที่มีระบบออโต้โฟกัสออกสู่ตลาด

ปี 1989 Keizo Yamaji ก้าวขึ้นเป็นประธานบริษัทแคนนอน และในปีนี้แคนนอนได้เปิดตัวกล้อง EOS-1 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโฉมของกล้องถ่ายภาพ เพราะแคนนอนกล้าที่จะออกแบบจากบอดี้ที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยม ออกมาเป็นให้มีส่วนโค้งมน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานออกแบบของแคนนอนได้คิดริเริ่ม จนกระทั่งผู้อื่นพยายามจะให้กล้องออกมามีรูปร่างคล้ายคลึงกับพวกเขา

ปี 1992 แคนนอนได้เปิดตัวกล้อง EOS5 ที่เป็นกล้อง SLR eye-controlled auto-focus

ปี 1995 Fujio Mitarai ก้าวขึ้นเป็นประธานบริษัท และในปีนี้ได้เปิดตัวกล้อง DCS3 ซึ่งเป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของแคนนอน และนอกจากนั้นยังมีการเปิดตัวเลนซ์ซูมตัวแรกของโลก

ปี 1998 แคนนอนเปิดตัวกล้อง EOS-3 ซึ่งมาพร้อมกับระบบโฟกัส 45 จุด

ปี 2000 แคนนอนเปิดตัวกล้อง D30 ซึ่งเป็นกล้อง Digital SLR ตัวแรกของแคนนอน โดยใช้เซนเซอร์ CMOS ซึ่งทางแคนนอนเป็นผู้พัฒนา และมีความระเอียด 3 ล้านพิกเซลล์

ปี 2001 แคนนอนเปิดตัวกล้อง EOS-1D ซึ่งเป็นกล้อง SLR ระดับมืออาชีพของแคนนอน

ปี 2002 แคนนอนสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งด้วยการเปิดตัวกล้อง EOS-1DS ที่เป็นกล้องถ่ายภาพระดับมืออาชีพที่ใช้เซนเซอร์ CMOS Full-Frame ความละเอียด 11.1 ล้านพิกเซลล์ ซึ่งมีขนาดของเซนเซอร์เท่าฟิล์ม 35ม.ม. โดยไม่คูณทางยาวโฟกัส และในปีเดียวกันนี้ Fujio Mitarai ประธานบริษัท มีชื่อติด 1 ใน 25 ผู้จัดการ จาก Business Week นิตยสารชั้นนำของโลก

ปี 2005 ทางแคนนอนก็ได้เปิดตัวกล้อง EOS 5D ซึ่งเป็นกล้อง SLR ระดับกึ่งมืออาชีพจนถึงระดับมืออาชีพออกมา โดยใช้เซนเซอร์ CMOS Full-Frame ความละเอียด 12.8 ล้านพิกเซลล์ เพื่อให้ผู้ต้องการที่จะสัมผัสกล้อง Full-Frame แต่มีงบไม่ถึงที่จะซื้อ EOS-1DS

  • สำหรับภาพถ่ายดิจิตอคโนโล

ดูเพิ่ม

[แก้]
  1. "2010 Form 10-K, canon". Google.
  2. "Canon Historical Data (consolidated)" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-11-04. สืบค้นเมื่อ 9 February 2010.