ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศญี่ปุ่น"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{บทความคัดสรร}} |
|||
== '''ถูกยึดแล้ว''' == |
|||
{{กล่องข้อมูล ประเทศ |
|||
| native_name = 日本国<br />Nihon-koku / Nippon-koku<br /><small>นิฮงโกะกุ / นิปปงโกะกุ</small> |
|||
| conventional_long_name = ญี่ปุ่น |
|||
| common_name = ญี่ปุ่น |
|||
| image_flag = Flag of Japan.svg |
|||
| image_coat = Imperial Seal of Japan.svg |
|||
| symbol = |
|||
| symbol_type = ตราแผ่นดิน |
|||
| national_motto = |
|||
| image_map = Japan (orthographic projection).svg |
|||
| national_anthem = [[คิมิงะโยะ]] |
|||
| other_symbol_type = ตราสัญลักษณ์ของรัฐบาล: |
|||
| other_symbol = [[ไฟล์:Goshichi no kiri.svg|85x85px|Seal of the Office of the Prime Minister and the Government of Japan]] <br /> <small>เพาโลเนีย {{ญี่ปุ่น|五七桐|Paulownia|''[[เพาโลเนีย|Go-Shichi no Kiri]]''}}</small> |
|||
| official_languages = [[ภาษาญี่ปุ่น]] |
|||
| capital = [[โตเกียว]] |
|||
| latd = 35 |latm=41 |latNS=N |longd=139 |longm=46 |longEW=E | |
|||
| largest_city = [[โตเกียว]] (12.58 ล้านคน) พ.ศ. 2548<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/nenkan/1431-02.htm|title=2-3 Population by Prefecture| publisher =Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications| date=2005| accessdate=2008-11-23}}</ref> |
|||
| government_type = [[ประชาธิปไตย|ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา]]และ[[ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ]] |
|||
| leader_title1 = [[จักรพรรดิ]]<!--ญี่ปุ่นไม่มีประมุขแห่งรัฐ--> |
|||
| leader_title2 = [[รายชื่อนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น|นายกรัฐมนตรี]] |
|||
| leader_name1 = [[จักรพรรดิอะกิฮิโตะ]] |
|||
| leader_name2 = [[ยุกิโอะ ฮะโตะยะมะ]] |
|||
| area_rank = 61 |
|||
| area_magnitude = 1 E11 |
|||
| area = 377,930 |
|||
| areami² = 145,883 |
|||
| percent_water = 0.8% |
|||
| population_estimate = 127,288,416<ref>{{cite web|url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html#People|title=CIA World Factbook-Japan| publisher =CIA| date=2008-11-20| accessdate=2008-11-23}}</ref> |
|||
| population_estimate_year = 2008 |
|||
| population_estimate_rank = 10 |
|||
| population_census = |
|||
| population_census_year = |
|||
| population_density = 337 |
|||
| population_densitymi² = 873 |
|||
| population_density_rank = 30 |
|||
| GDP_nominal_year = 2007 |
|||
| GDP_nominal = 4,376,705 ล้าน[[ดอลลาร์สหรัฐ]]<ref>{{cite web|url=http://siteresources.worldbank.org/DATASTATISTICS/Resources/GDP.pdf|title=Gross domestic product 2007| publisher =World Bank| date=2008-09-10| accessdate=2008-11-23}}</ref> |
|||
| GDP_nominal_rank = 2 |
|||
| GDP_PPP_year = 2007 |
|||
| GDP_PPP = 4,283,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref>{{cite web|url=http://siteresources.worldbank.org/DATASTATISTICS/Resources/GDP_PPP.pdf|title=Gross domestic product 2007, PPP| publisher =World Bank| date=2008-10-17| accessdate=2008-11-23}}</ref> |
|||
| GDP_PPP_rank = 3 |
|||
| GDP_PPP_per_capita = 33,596 ดอลลาร์สหรัฐ<ref>{{cite web|url=http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2008/02/weodata/weorept.aspx?sy=2007&ey=2007&scsm=1&ssd=1&sort=subject&ds=.&br=1&c=512%2C446%2C914%2C666%2C612%2C668%2C614%2C672%2C311%2C946%2C213%2C137%2C911%2C962%2C193%2C674%2C122%2C676%2C912%2C548%2C313%2C556%2C419%2C678%2C513%2C181%2C316%2C682%2C913%2C684%2C124%2C273%2C339%2C921%2C638%2C948%2C514%2C943%2C218%2C686%2C963%2C688%2C616%2C518%2C223%2C728%2C516%2C558%2C918%2C138%2C748%2C196%2C618%2C278%2C522%2C692%2C622%2C694%2C156%2C142%2C624%2C449%2C626%2C564%2C628%2C283%2C228%2C853%2C924%2C288%2C233%2C293%2C632%2C566%2C636%2C964%2C634%2C182%2C238%2C453%2C662%2C968%2C960%2C922%2C423%2C714%2C935%2C862%2C128%2C716%2C611%2C456%2C321%2C722%2C243%2C942%2C248%2C718%2C469%2C724%2C253%2C576%2C642%2C936%2C643%2C961%2C939%2C813%2C644%2C199%2C819%2C184%2C172%2C524%2C132%2C361%2C646%2C362%2C648%2C364%2C915%2C732%2C134%2C366%2C652%2C734%2C174%2C144%2C328%2C146%2C258%2C463%2C656%2C528%2C654%2C923%2C336%2C738%2C263%2C578%2C268%2C537%2C532%2C742%2C944%2C866%2C176%2C369%2C534%2C744%2C536%2C186%2C429%2C925%2C178%2C746%2C436%2C926%2C136%2C466%2C343%2C112%2C158%2C111%2C439%2C298%2C916%2C927%2C664%2C846%2C826%2C299%2C542%2C582%2C443%2C474%2C917%2C754%2C544%2C698%2C941&s=PPPPC&grp=0&a=&pr1.x=39&pr1.y=9|title=Gross domestic product based on purchasing-power-parity (PPP) per capita GDP| publisher =[[กองทุนการเงินระหว่างประเทศ|IMF]]| accessdate=2008-11-23}}</ref> |
|||
| GDP_PPP_per_capita_rank = 23 |
|||
| sovereignty_type = [[ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น|การสร้างชาติ]] |
|||
| established_events = [[วันก่อตั้งชาติ]]<br /><br />[[รัฐธรรมนูญเมจิ|รธน. เมจิ]]<br />[[รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น|รธน. ปัจจุบัน]]<br />[[สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก]] |
|||
| established_dates = <br />[[11 กุมภาพันธ์]] [[117 ปีก่อนพุทธศักราช]] (เชิงสัญลักษณ์) <br />[[29 พฤศจิกายน]] [[พ.ศ. 2433]]<br />[[3 พฤษภาคม]] [[พ.ศ. 2490]]<br />[[28 เมษายน]] [[พ.ศ. 2495]] |
|||
| HDI_year = 2548 |
|||
| HDI = 0.953<ref>[http://hdr.undp.org/en/media/hdr_20072008_en_complete.pdf Human Development Report 2007/2008]</ref> |
|||
| HDI_rank = 8 |
|||
| HDI_category = <font color="#009900">สูง</font> |
|||
| currency = [[เยน]] (¥) |
|||
| currency_code = JPY |
|||
| country_code = JPN |
|||
| time_zone = [[เวลามาตรฐานญี่ปุ่น|JST]] |
|||
| utc_offset = +9 |
|||
| time_zone_DST = ไม่มี |
|||
| utc_offset_DST = |
|||
| cctld = [[.jp]] |
|||
| calling_code = 81 |
|||
| footnotes = |
|||
}} |
|||
''[[ญี่ปุ่น]]เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับความหมายอื่นดูที่ [[ญี่ปุ่น (แก้ความกำกวม)]]'' |
|||
'''ญี่ปุ่น''' {{ญี่ปุ่น|日本|Nihon/Nippon|นิฮง/นิปปง}} มีชื่อทางการคือ'''ประเทศญี่ปุ่น''' {{ญี่ปุ่น|日本国|Nihon-koku/Nippon-koku|นิฮงโกะกุ/นิปปงโกะกุ}} เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาค[[เอเชียตะวันออก]] ตั้งอยู่ใน[[มหาสมุทรแปซิฟิก]] ทางตะวันตกติดกับ[[คาบสมุทรเกาหลี]] และ[[สาธารณรัฐประชาชนจีน]] โดยมี[[ทะเลญี่ปุ่น]]กั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับ[[ประเทศรัสเซีย]] มี[[ทะเลโอค็อตสก์]] เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษร[[คันจิ]]ของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า''ถิ่นกำเนิดของ[[ดวงอาทิตย์]]'' จึงทำให้บางครั้งถูกเรียกว่า''ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย'' |
|||
ญี่ปุ่นมีเนื้อที่กว่า 377,930 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอันดับที่ 61 ของโลก<ref name="area">{{Citation |
|||
|url=http://unstats.un.org/unsd/demographic/products/dyb/dyb2007/Table03.pdf |
|||
|format=pdf |
|||
|title=Demographic Yearbook—Table 3: Population by sex, rate of population increase, surface area and density |
|||
|publisher=United Nations Statistics Division |
|||
|year=2007 |
|||
|accessdate = 2009-08-26}}</ref> หมู่เกาะญี่ปุ่นประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือ[[เกาะ]][[ฮนชู]] [[ฮกไกโด]] [[คิวชู]] และ [[ชิโกกุ]] ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่น[[ภูเขาไฟฟูจิ]] ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือประมาณ 128 ล้านคน<ref name="poprank">{{cite web|url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2119rank.html|title=Rank Order-Population| publisher =CIA| date=2008-07| accessdate=2008-11-23}}</ref> เมืองหลวงของญี่ปุ่นคือ[[กรุงโตเกียว]] ซึ่งถ้ารวมบริเวณปริมณฑลเข้าไปด้วยแล้วจะกลายเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 30 ล้านคน |
|||
สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่[[ยุคหินเก่า]] การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดใน[[เอเชียตะวันออก]] หลังจากแพ้[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน [[พ.ศ. 2490]] |
|||
ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ โดยมี[[จีดีพี]]สูงเป็นอันดับสองของโลก ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของ[[สหประชาชาติ]] [[จี 8]] [[โออีซีดี]] และ[[เอเปค]] และมีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศ ญี่ปุ่นมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี และยังเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี เครื่องจักร และหุ่นยนต์ |
|||
== ชื่อประเทศ == |
|||
ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้[[คันจิ]]ตัวเดียวกันคือ '''日本''' คำว่า''นิปปง'' มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า ''นิฮง'' จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป |
|||
สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本)" ตั้งแต่ช่วงปลาย[[พุทธศตวรรษที่ 12]] จนถึงกลาง[[พุทธศตวรรษที่ 13]]<ref>เช่น 熊谷公男 『大王から天皇へ 日本の歴史03』(講談社、2001) และ 吉田孝 『日本誕生』(岩波新書、1997)</ref><ref>เช่น 神野志隆光『「日本」とは何か』(講談社現代新書、2005)</ref> ตัวอักษร[[คันจิ]]ของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า''ถิ่นกำเนิดของ[[ดวงอาทิตย์]]'' และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่า''ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย'' ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับ[[ราชวงศ์สุย]]ของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน<ref>เช่น 網野善彦『「日本」とは何か』(講談社、2000)、神野志前掲書</ref> ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ<ref>{{cite web|url=http://www.lang.nagoya-u.ac.jp/proj/sosho/5/maeno.pdf|title=国号に見る「日本」の自己意識|author=前野みち子}}</ref> |
|||
ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน ({{lang-en|Japan}}) ยาพัน ({{lang-de|Japan}}) <ref>[[การเขียนคำทับศัพท์ภาษาเยอรมัน]]</ref> ชาปง ({{lang-fr|Japon}}) <ref>[http://www.google.com/dictionary?aq=f&langpair=en|fr&q=Japan&hl=en Google Dictionary (อังกฤษ-ฝรั่งเศส)] {{en icon}}</ref> ฮาปอง ({{lang-es|Japón}}) <ref>[http://www.google.com/dictionary?aq=f&langpair=en|es&q=Japan&hl=en Google Dictionary (อังกฤษ-สเปน)] {{en icon}}</ref> รวมถึงคำว่า'''ญี่ปุ่น'''ในภาษาไทย ล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่าจีปังกู แต่ในสำเนียง[[แมนดาริน]]อ่านว่า รื่เปิ่นกั๋ว ({{lang-zh|rì bĕn guó}}; 日本国) หรือย่อ ๆ ว่า รื่เปิ่น (rì bĕn; 日本) <ref>[http://www.google.com/dictionary?aq=f&langpair=en|zh-TW&q=Japan&hl=en Google Dictionary (อังกฤษ-จีน)] {{en icon}}</ref> ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี ({{lang-ko|일본}};日本) <ref>[http://www.google.com/dictionary?aq=f&langpair=en|ko&q=Japan&hl=en Google Dictionary (อังกฤษ-เกาหลี)] {{en icon}}</ref> และภาษาเวียดนาม ({{lang-vi|Nhật Bản}};日本) <ref>ก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เวียดนามใช้ตัวอักษรจีน</ref> จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเอง |
|||
== ประวัติศาสตร์ == |
|||
{{บทความหลัก|ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น}} |
|||
=== ยุคโบราณ === |
|||
[[ไฟล์:MiddleJomonVessel.JPG|thumb|150px|เครื่องปั้นดินเผายุคโจมง|left]] |
|||
สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่[[ยุคหินเก่า]] เมื่อประมาณ 2900 ปีก่อนพุทธศักราช หลังจากนั้น[[ยุคโจมง]]ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อนพุทธศักราช ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์<ref>[http://www.mnsu.edu/emuseum/prehistory/japan/jomon/paleolithic_jomon.html The Paleolithic Period / Jomon Period] EMuseum, Minnesota State University, Mankato</ref> มีการพัฒนาวิธีการล่าสัตว์โดยใช้คันธนูและลูกธนู ตลอดจนมีการผลิตภาชนะเครื่องปั้นดินเผาใส่อาหารและเก็บรักษาอาหาร คำว่า''โจมง''ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า''ลายเชือก''ซึ่งมาจากลวดลายเชือกบนภาชนะในยุคนั้นที่ค้นพบในช่วงแรก |
|||
[[ยุคยะโยอิ]] เริ่มเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นยุคที่ผู้คนเริ่มเรียนรู้วิธีการปลูกข้าว การตีโลหะ ซึ่งได้รับความรู้มาจากผู้อพยพชาวจีนแผ่นดินใหญ่<ref>[http://www.wsu.edu/~dee/ANCJAPAN/YAYOI.HTM Yayoi and Jomon] World Civilizations, Washington State University</ref> การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น [[โฮ่วฮั่นชู]] (後漢書) ในปี 57 ก่อนคริสตกาล <ref>後漢書, ''會稽海外有東鯷人 分爲二十餘國''</ref> ซึ่งเรียกชาวญี่ปุ่นว่า ''วะ'' (倭) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 อาณาจักรที่ทรงอำนาจมากที่สุดในญี่ปุ่นคือ[[ยะมะไทโคะกุ]] (邪馬台国) ปกครองโดยราชินี[[ฮิมิโกะ]] ซึ่งเคยส่งคณะทูตไปยังประเทศจีนผ่านทางเกาหลีด้วย |
|||
=== ยุคเริ่มอารยธรรมญี่ปุ่น === |
|||
[[ไฟล์:NintokuTomb.jpg|thumb|สุสานจักรพรรดิในสมัย[[ยุคโคะฮุง]]]] |
|||
[[ยุคโคะฮุง]] ซึ่งตั้งชื่อตามสุสานที่นิยมสร้างขึ้นกันในยุคดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9 จนถึง 12 เป็นยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มมีการปกครองแบบราชวงศ์ ซึ่งศูนย์กลางการปกครองนั้นอยู่บริเวณเขต[[คันไซ]] ในยุคนี้[[พระพุทธศาสนา]]ได้เข้ามาจาก[[คาบสมุทรเกาหลี]]สู่หมู่เกาะญี่ปุ่น<ref name=yamato/> แต่[[พระพุทธรูป]]และ[[พุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น]]หลังจากนั้นได้รับอิทธิพลจาก[[จีน]]เป็นหลัก<ref>{{cite book |editor=Delmer M. Brown (ed.) |year=1993 |title=The Cambridge History of Japan |publisher=Cambridge University Press |pages=140–149}}</ref> [[เจ้าชายโชโตะกุ]]ทรงส่งคณะราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน ญี่ปุ่นจึงได้รับนวัตกรรมใหม่ ๆ จากแผ่นดินใหญ่มาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังทรงตรา''[[รัฐธรรมนูญสิบเจ็ดมาตรา]]'' ซึ่งเป็นกฎหมายญี่ปุ่นฉบับแรกอีกด้วย<ref name="yamato">[http://www.wsu.edu/~dee/ANCJAPAN/YAMATO.HTM The Yamato State] World Civilizations, Washington State University</ref> และในที่สุดพระพุทธศาสนาก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นตั้งแต่[[ยุคอะซึกะ|สมัยอะซึกะ]]<ref>{{cite book |title=The Japanese Experience: A Short History of Japan |author=William Gerald Beasley |publisher=University of California Press |year=1999 |url=http://books.google.com/books?vid=ISBN0520225600&id=9AivK7yMICgC&pg=PA42&lpg=PA42&dq=Soga+Buddhism+intitle:History+intitle:of+intitle:Japan&sig=V65JQ4OzTFCopEoFVb8DWh5BD4Q#PPA42,M1 |pages=42 |isbn=0520225600 |accessdate=2007-03-27}}</ref> |
|||
[[ยุคนะระ]] (พ.ศ. 1253-1337) <ref>Dolan, Ronald E. and Worden, Robert L., ed. (1994) "Nara and Heian Periods, A.D. 710-1185" ''Japan: a country study''. Library of Congress, Federal Research Division.</ref> เป็นยุคแรกที่มีการก่อตัวเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็ง มีการปกครองอย่างมีระบบให้เห็นได้อย่างชัดเจน โดยการนำระบอบการปกครองมาจาก[[จีนแผ่นดินใหญ่]] ศูนย์กลางการปกครองในขณะนั้นก็คือ[[เฮโจเกียว]]หรือ[[จังหวัดนะระ]]ในปัจจุบัน ในยุคนะระเริ่มพบการเขียนวรรณกรรมเช่น[[โคจิกิ]] (พ.ศ. 1255) และ[[นิฮงโชะกิ]] (พ.ศ. 1263) <ref>{{cite book |author=Conrad Totman |year=2002 |title=A History of Japan |publisher=Blackwell |pages=64–79 | isbn=978-1405123594}}</ref> เมืองหลวงถูกย้ายไปที่[[นะงะโอกะเกียว]]เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และถูกย้ายอีกครั้งไปยัง[[เฮอังเกียว]] ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ[[ยุคเฮอัง]] |
|||
ระหว่าง พ.ศ. 1337 จนถึง พ.ศ. 1728 ซึ่งเป็น[[ยุคเฮอัง]]นั้น ถือได้ว่าเป็นยุคทองของญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นยุคสมัยที่วัฒนธรรมของญี่ปุ่นเองเริ่มพัฒนาขึ้น สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดมากที่สุดคือ การประดิษฐ์ตัวอักษร [[ฮิรางานะ]] ซึ่งทำให้เกิดวรรณกรรมที่แต่งโดยตัวอักษรนี้เป็นจำนวนมาก เช่นในช่วงกลาง[[พุทธศตวรรษที่ 16]] ได้มีการแต่งนวนิยายเรื่อง[[ตำนานเก็นจิ#นิทานเกนจิ|นิทานเกนจิ]] (源氏物語) ขึ้น ซึ่งเป็นนิยายที่บรรยายเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การปกครองของ[[ตระกูลฟุจิวาระ]] และบทกลอนที่ถูกใช้เป็นเนื้อเพลงของเพลงชาติญี่ปุ่น [[คิมิงะโยะ]] ก็ถูกแต่งขึ้นในช่วงนี้เช่นเดียวกัน<ref>{{cite book |author=Conrad Totman |year=2002 |title=A History of Japan |publisher=Blackwell |pages=122–123 | isbn=978-1405123594}}</ref> |
|||
=== ยุคศักดินา === |
|||
[[ไฟล์:Japan Kyoto Kinkakuji DSC00108.jpg|thumb|200px|[[วัดคิงกะกุ]] ในเมืองเกียวโต สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของโชกุน[[อะชิกะงะ โยชิมิสึ]]ใน[[ยุคมุโรมะจิ]]]] |
|||
ยุคศักดินาญี่ปุ่นเริ่มต้นจากการที่ผู้ปกครองทางการทหารเริ่มมีอำนาจขึ้น พ.ศ. 1728 หลังจากการพ่ายแพ้ของ[[ตระกูลไทระ]] [[มินะโมะโตะ โน โยริโตโมะ]] ได้แต่งตั้งตนเองเป็น[[โชกุน]] และสร้างรัฐบาลทหารในเมือง[[คะมะกุระ]] ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ[[ยุคคะมะกุระ]]ซึ่งมีการปกครองแบบ[[ศักดินา]] แต่รัฐบาลคามากุระก็ไม่สามารถปกครองทั้งประเทศได้ เพราะพวกราชวงศ์ยังคงมีอำนาจอยู่ในเขตตะวันตก หลังจากการเสียชีวิตของโชกุนโยริโตโมะ [[ตระกูลโฮโจ]]ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน รัฐบาลคะมะกุระสามารถต่อต้านการรุกรานของ[[จักรวรรดิมองโกล]]ใน พ.ศ. 1817 และ พ.ศ. 1824 โดยได้รับความช่วยเหลือจาก[[พายุกามิกาเซ่]]ซึ่งทำให้กองทัพมองโกลประสบความเสียหายอย่างมาก<ref>[http://www.taots.co.uk/content/view/25/30/ Mongol Invasion 1274-1281] The Age of the Samurai</ref> |
|||
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคะมะกุระก็อ่อนแอลงจากสงครามครั้งนี้ จนในที่สุดต้องสูญเสียอำนาจให้แก่[[จักรพรรดิโกไดโกะ]] ผู้ซึ่งพ่ายแพ้ต่อ[[อาชิกางะ ทากาอุจิ]]ในเวลาต่อมาไม่นาน<ref name="history1334">{{cite book |author=George Sansom |year=1961 |title=A History of Japan: 1334–1615 |publisher=Stanford| isbn=0-8047-0525-9}}</ref> อาชิกางะ ทากาอุจิย้ายรัฐบาลไปตั้งไว้ที่มุโรมะจิ [[จังหวัดเกียวโต]] จึงได้ชื่อว่า[[ยุคมุโรมะจิ]] ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 20 อำนาจของโชกุนเริ่มเสื่อมลงและเกิด[[สงครามโอนิน|สงครามกลางเมือง]]ขึ้น เพราะบรรดา[[ไดเมียว|เจ้าครองแคว้น]]ต่างทำสู้รบเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสงครามที่เรียกว่า[[ยุคเซงโงกุ]]<ref name=history1334/> |
|||
ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21 มีพ่อค้าและ[[มิชชันนารี]]จากโปรตุเกสเดินทางมาถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก ([[การค้านัมบัน]]) |
|||
สงครามดำรงอยู่หลายสิบปี จน[[โอดะ โนบุนากะ]]เอาชนะเจ้าครองแคว้นอื่นหลายคนโดยใช้เทคโนโลยีและอาวุธของยุโรปและเกือบจะรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นได้แล้วเมื่อเขาถูกลอบสังหารใน พ.ศ. 2125 [[โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ]]ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ต่อมาสามารถปราบปรามบ้านเมืองให้สงบลงได้ในพ.ศ. 2133 ฮิเดโยชิ[[การรุกรานเกาหลีของญี่ปุ่น (พ.ศ. 2135-2141)|รุกรานคาบสมุทรเกาหลี]]ถึง 2 ครั้ง<ref>[http://www.wsu.edu/~dee/TOKJAPAN/TOYOTOMI.HTM Toyotomi Hideyoshi] World Civilizations, Washington State University</ref> แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนเมื่อเขาเสียชีวิตลงใน พ.ศ. 2141 ญี่ปุ่นก็ถอนทัพ<ref>{{cite book |author=[[Stephen Turnbull (historian)|Stephen Turnbull]] |year=2002 |title=Samurai Invasion: Japan's Korean War |publisher=Cassel |pages=227| isbn=978-0304359486}}</ref> |
|||
หลังจากฮิเดโยชิเสียชีวิต [[โทกุงะวะ อิเอะยะสึ]]แต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการให้แก่ลูกชายของฮิเดโยชิ [[โทโยโทมิ ฮิเดโยริ]] เพื่อที่จะได้อำนาจทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะสึเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ใน[[สงครามเซะกิงะฮะระ]]ใน พ.ศ. 2143 จึงขึ้นเป็นโชกุนใน พ.ศ. 2146 และก่อตั้งรัฐบาลใหม่ที่[[เมืองเอะโดะ]] [[ยุคเอะโดะ]]จึงเริ่มต้นขึ้น [[รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะ]]ได้ใช้วิธีหลายอย่าง เช่น บุเกโชฮัตโต เพื่อควบคุมไดเมียวทั้งหลาย ใน พ.ศ. 2182 รัฐบาลเริ่ม[[นโยบายปิดประเทศ]]และใช้นโยบายนี้อย่างไม่เข้มงวดนักต่อเนื่องถึงประมาณสองร้อยห้าสิบปี ในระหว่างนี้ ญี่ปุ่นศึกษาเทคโนโลยีตะวันตกผ่านการติดต่อกับชาวดัตช์ที่สามารถเข้ามาที่[[เกาะเดจิมะ]] (ใน[[จังหวัดนะงะซะกิ]]) เท่านั้น<ref>{{cite book|title=JAPAN From Prehistory to Modern Times|author=John Whitney Hall|publisher =Charles E. Tuttle Company|page=188|date=1971}}</ref> ความสงบสุขจากการปิดประเทศเป็นเวลานานทำให้ชนที่อยู่ใต้อำนาจปกครองอย่างเช่นชาวเมืองได้มีโอกาสที่จะประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาในทางของตนเอง ในยุคเอะโดะนี้ยังมีการเริ่มต้นการให้ศึกษาประชาชนเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย<ref>{{cite web|url=http://www.wsu.edu/~dee/GLOSSARY/KOKUGAKU.HTM |title=Japan Glossary; Kokugaku | publisher = Washington State University | date=1999-07-14 | accessdate=2006-12-28}}</ref> |
|||
แต่ญี่ปุ่นก็ถูกกดดันจากประเทศตะวันตกให้เปิดประเทศอีกครั้ง ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2394 นาวาเอก (พิเศษ) [[แมทธิว เพอร์รี่]] และเรือดำของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาบุกมาถึงญี่ปุ่นเพื่อบังคับให้เปิดประเทศด้วย[[สนธิสัญญาคะนะงะวะ|สนธิสัญญาสัมพันธไมตรีกับประเทศสหรัฐอเมริกา]] หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ต้องทำสนธิสัญญาแบบเดียวกันกับประเทศตะวันตกอื่น ๆ ซึ่งสนธิสัญญาเหล่านี้ทำให้ญี่ปุ่นประสบปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เพราะการเปิดประเทศและให้สิทธิพิเศษกับชาวต่างชาติทำให้ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากไม่พอใจต่อรัฐบาลเอะโดะ และเกิดกระแสเรียกร้องให้คืนอำนาจอธิปไตยแก่องค์จักรพรรดิ (ซึ่งมักเรียกว่า[[การปฏิรูปเมจิ]]) <ref>{{cite book|title=JAPAN From Prehistory to Modern Times|author=John Whitney Hall|publisher =Charles E. Tuttle Company|page=262-264|date=1971}}</ref> จนในที่สุดรัฐบาลเอะโดะก็หมดอำนาจลง |
|||
=== ยุคใหม่ === |
|||
[[ไฟล์:Japanese Empire.jpg|thumb|200px|แผนที่[[จักรวรรดิญี่ปุ่น]] พ.ศ. 2485]] |
|||
ใน[[ยุคเมจิ]] รัฐบาลใหม่ภายใต้การปกครองของ[[สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ]]ได้ย้ายฐานอำนาจขององค์จักรพรรดิมายังเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากเอโดะเป็น[[โตเกียว]] มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองตามแบบตะวันตก เช่นบังคับใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น|รัฐธรรมนูญ]]ใน พ.ศ. 2443 และก่อตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยใช้[[ระบบสองสภา]] นอกจากนี้ [[จักรวรรดิญี่ปุ่น]]ยังสนับสนุนการรับเอาวิทยาการจากประเทศตะวันตก<ref>{{cite book|title=JAPAN From Prehistory to Modern Times|author=John Whitney Hall|publisher =Charles E. Tuttle Company|page=286-287|date=1971}}</ref>และทำให้มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มมีความขัดแย้งทางทหารกับประเทศข้างเคียงเมื่อพยายามขยายอาณาเขต หลังจากที่ได้ชัยชนะใน[[สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง]] (พ.ศ. 2437-2438) และ[[สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น]] (พ.ศ. 2447-2448) ญี่ปุ่นก็ได้อำนาจปกครอง[[ไต้หวัน]] [[เกาหลี]] และตอนใต้ของ[[เกาะซาคาลิน]]<ref>{{cite web |url= http://filebox.vt.edu/users/jearnol2/MeijiRestoration/imperial_japan.htm |title=Japan: The Making of a World Superpower (Imperial Japan) |author=Jesse Arnold | publisher = vt.edu/users/jearnol2 | accessdate=2007-03-27}}</ref> |
|||
[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝ่าย[[ไตรภาคี]] ผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตต่อไปอีก ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายขยายดินแดนต่อไปโดยการครอบครอง[[แมนจูเรีย]]ใน พ.ศ. 2474 และเมื่อถูกนานาชาติประนามในการครอบครองดินแดนนี้ ญี่ปุ่นก็ลาออกจากสันนิบาตชาติในสองปีต่อมา<ref>{{cite web|url=http://www.drc-jpn.org/AR-6E/sugiyama-e02.htm|title=Fundamental Issues underlying US-Japan Alliance: 2. Lytton Report and Anglo-Russo-Americana (ARA) Secret Treaty|publisher=Defense Research Center|author=Katsumi Sugiyama}}</ref> ในปี 1936 ญี่ปุ่นลงนามใน[[สนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากล]]กับ[[นาซีเยอรมนี]] และเข้าร่วมกับ[[ฝ่ายอักษะ]]ในปี 1941<ref>{{cite web |url= http://www.friesian.com/pearl.htm |title= The Pearl Harbor Strike Force |author= Kelley L. Ross | publisher = friesian.com |accessdate=2007-03-27}}</ref> |
|||
[[ไฟล์:Nagasakibomb.jpg|thumb|right|[[การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มฮิโระชิมะและนะงะซะกิ|ระเบิดนิวเคลียร์แฟทแมนที่ถูกทิ้งลงนะงะซะกิ]]ในวันที่ [[9 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2488]]]] |
|||
ในยุค[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ [[สงครามมหาเอเชียบูรพา]]) ในวันที่ [[7 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2484]] โดย[[การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์|การโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล]] และการยาตราทัพเข้ามายัง[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]] ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและ[[เนเธอร์แลนด์]] ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจาก[[ยุทธนาวีแห่งมิดเวย์]] ([[พ.ศ. 2485]]) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่[[ฝ่ายสัมพันธมิตร]]โดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ[[ระเบิดปรมาณู]]ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่[[เมืองฮิโรชิมา]]และ[[นางาซากิ]] (ในวันที่ [[6 สิงหาคม|6]] และ [[9 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2488]] ตามลำดับ) และ[[ปฏิบัติการพายุสิงหาคม|การรุกรานของสหภาพโซเวียต]] (วันที่ [[8 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2488]]) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ [[15 สิงหาคม]] ปีเดียวกัน<ref>{{cite web |url=http://library.educationworld.net/txt15/surrend1.html |title=Japanese Instrument of Surrender |publisher=educationworld.net |accessdate=2008-11-22}}</ref> สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่ง[[พลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์]]เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ |
|||
ใน พ.ศ. 2490 ญี่ปุ่นเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งเน้นเรื่องประชาธิปไตยอิสระ การควบคุมญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนามใน[[สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก]]ใน พ.ศ. 2499<ref>{{cite web|url=http://www.taiwandocuments.org/sanfrancisco01.htm|title=San Francisco Peace Treaty|publisher=Taiwan Document Project|accessdate=2008-11-22}}</ref> และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิก[[สหประชาชาติ]]ในปี 1956<ref>{{cite web|url=http://www.un.org/News/Press/docs/2006/org1469.doc.htm|title=United Nations Member States|publisher=[[สหประชาชาติ]]|accessdate=2008-11-22}}</ref> หลังจากสงครามญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่การเติบโตก็หยุดในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2530 เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังฟองสบู่แตก<ref name="webeco">{{cite web |url=http://web-japan.org/factsheet/pdf/ECONOMY.pdf|title=Japan Fact Sheet: Economy|publisher=Web Japan|accessdate=2008-11-22}}</ref> เศรษฐกิจที่ถดถอยต่อเนื่องยาวนานกว่าสิบปีมีทีท่าว่าจะฟื้นตัวขึ้นในต้นพุทธศตวรรษที่ 26<ref>{{cite web|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/business/5178822.stm|title=Japan scraps zero interest rates |publisher=BBC News|date=2006-07-14|accessdate=2008-11-22}}</ref> แต่กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิด[[วิกฤติทางการเงิน (พ.ศ. 2551)|วิกฤติทางการเงิน]]ใน พ.ศ. 2551<ref name="recess"/> |
|||
== การเมืองการปกครอง == |
|||
{{วิกิซอร์ซ|รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น}} |
|||
[[ไฟล์:Emperor Akihito and empress Michiko of japan.jpg|thumb|150px|left|[[สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ]]และ[[สมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ]]]] |
|||
ประเทศญี่ปุ่นปกครองด้วย[[ระบอบประชาธิปไตย]]แบบเสรีภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข แต่พระจักรพรรดิไม่มีพระราชอำนาจในการบริหารประเทศ โดยมีบัญญัติไว้ใน[[รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น]]ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของชนในรัฐ<ref name=constitution>[http://www.sangiin.go.jp/eng/law/index.htm รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น] มนตรีสภาแห่งรัฐสภาญี่ปุ่น (1946-11-03) </ref> อำนาจการปกครองส่วนใหญ่ตกอยู่กับ[[นายกรัฐมนตรี]]และสมาชิกอื่น ๆ ใน[[สภานิติบัญญัติแห่งญี่ปุ่น|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] ส่วน[[อำนาจอธิปไตย]]นั้นเป็นของ[[ชาวญี่ปุ่น]]<ref name=constitution/> พระจักรพรรดิทรงทำหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐในพิธีการทางการทูต พระองค์ปัจจุบันคือ[[จักรพรรดิอะกิฮิโตะ]] ส่วนรัชทายาทคือ[[เจ้าฟ้าชายนะรุฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น|มกุฎราชกุมารนะรุฮิโตะ]] |
|||
[[ไฟล์:Kokkaigijido.jpg|thumb|right|อาคารสภานิติบัญญัติแห่งญี่ปุ่นใน[[กรุงโตเกียว]]]] |
|||
[[ไฟล์:Saikosai thumb.jpg|thumb|right|ศาลสูงสุดของญี่ปุ่น]] |
|||
องค์กรนิติบัญญัติของญี่ปุ่น คือ '''[[สภานิติบัญญัติแห่งญี่ปุ่น|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]]''' หรือที่เรียก "ไดเอ็ต" เป็น[[ระบบสองสภา]] ประกอบด้วย '''สภาผู้แทนราษฎร''' ({{lang-en|House of Representatives}}) เป็น[[สภาล่าง]] มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และ'''มนตรีสภา''' ({{lang-en|House of Councillors}}) เป็น[[สภาสูง]] มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์เป็นต้นไป<ref>[http://www.th.emb-japan.go.jp/th/japan/explorejp/page20-24.pdf สำรวจญี่ปุ่น: รัฐบาล] สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย</ref> [[พรรคเสรีประชาธิปไตย]]เป็น[[พรรครัฐบาล]]มาโดยตลอดตั้งแต่ก่อตั้งพรรคใน [[พ.ศ. 2498]]<ref>ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ใน [[พ.ศ. 2536]] ที่เกิด[[รัฐบาลผสม]]ของพรรคฝ่ายค้าน {{cite web |url=http://www.jimin.jp/jimin/english/history/index.html |title=A History of the Liberal Democratic Party |publisher=พรรคเสรีประชาธิปไตยญี่ปุ่น|accessdate=2007-03-27}}</ref> จนในปี [[พ.ศ. 2552]] [[พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น]]ชนะการเลือกตั้ง จึงทำให้พรรคเสรีประชาธิปไตยเสียตำแหน่งพรรครัฐบาลซึ่งครองมายาวนานกว่า 54 ปี<ref>{{cite web |url=http://www.businessweek.com/globalbiz/blog/eyeonasia/archives/2009/08/historic_victor.html|title=Historic victory for DPJ in Japan's election|author=Ian Rowley|publisher=Business Week|accessdate=2009-09-26}}</ref> |
|||
สำหรับอำนาจบริหารนั้น พระจักรพรรดิทรงแต่งตั้ง'''นายกรัฐมนตรี'''จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกโดยสมาชิกด้วยกันเองให้เป็นหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้ง[[รัฐมนตรี]]และให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนาย[[ยุกิโอะ ฮะโตะยะมะ]] หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น<ref>{{cite web |url=http://www.kantei.go.jp/foreign/index-e.html |title=Prime Minister of Japan and His Cabinet |publisher=สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น| accessdate=2008-09-23}}</ref> |
|||
ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางประวัติศาสตร์จาก[[กฎหมายของจีน]] และมีพัฒนาการเฉพาะตัวใน[[ยุคเอโดะ]]ผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น [[ประมวลกฎหมายคุจิกะตะโอะซะดะเมะงากิ]] ({{lang-ja|公事方御定書}}) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้น[[พุทธศตวรรษ 2400]] เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้[[ระบบซีวิลลอว์]]ของยุโรปโดยเฉพาะของ[[ฝรั่งเศส]]และ[[เยอรมนี]]เป็นต้นแบบ เช่นใน [[พ.ศ. 2439]] รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งของตน เรียก "[[มินโป]]" ({{lang-ja|民法}}) โดยมี[[ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน|ประมวลกฎหมายแพ่งของเยอรมัน]]เป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลัง[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] จนปัจจุบัน<ref name="civilcode">{{cite web |url=http://www.britannica.com/eb/article-9043364?hook=6804 |title="Japanese Civil Code" |publisher=Encyclopædia Britannica |year=2006 |accessdate=2006-12-28}}</ref> |
|||
กฎหมายสูงสุดแห่งรัฐ คือ '''[[รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|รัฐธรรมนูญ]]''' และบรรดากฎหมายแม่บทของญี่ปุ่นมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ตรา พระจักรพรรดิเป็นผู้ทรงประกาศใช้โดยต้องทรงประทับพระราชลัญจกรเป็นการประกาศใช้ ทั้งนี้ โดยนิตินัยแล้วพระจักรพรรดิไม่ทรงมี[[อำนาจยับยั้ง|พระราชอำนาจในการยับยั้ง]]กฎหมาย ส่วน'''ศาลของญี่ปุ่น'''นั้นแบ่งเป็นสามชั้นจากต่ำขึ้นไป ดังนี้ ศาลชั้นต้น ประกอบด้วย ศาลชั้นต้นทั่วไป ศาลแขวง และศาลครอบครัว, ศาลอุทธรณ์ และศาลสูงสุด ส่วนกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียก "[[รปโป]]" ({{lang-ja|六法}}) มีสภาพเป็นประมวลกฎหมายที่สำคัญหกฉบับ |
|||
== นโยบายต่างประเทศและการทหาร == |
|||
[[ไฟล์:Fukuda meets Bush 16 November 2007.jpg|thumb|left|[[ยะซุโอะ ฟุกุดะ]] อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและอดีตประธานาธิบดี[[จอร์จ ดับเบิลยู. บุช]]]] |
|||
ญี่ปุ่นรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและทางทหารกับ[[สหรัฐอเมริกา]]ซึ่งเป็นพันธมิตรหลัก โดยมี[[ความร่วมมือทางความมั่นคงระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น]]เป็นเสาหลักของนโยบายต่างประเทศ<ref>{{cite web |url=http://www.realclearpolitics.com/articles/2007/03/japan_is_back_why_tokyos_new_a.html |title=Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington| author=Michael Green |publisher=Real Clear Politics | accessdate=2007-03-28}}</ref> ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของ[[สหประชาชาติ]]ตั้งแต่ปี 1956 ได้เป็นสมาชิกไม่ถาวรของ[[คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ]] รวม 9 ครั้ง<ref name="fpolicy">{{cite web |url=http://www.th.emb-japan.go.jp/th/policy/index.htm|title=ญี่ปุ่น: เส้นทาง 60 ปี ในฐานะประเทศที่มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ|publisher=สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย| accessdate=2008-11-15}}</ref> (ล่าสุดเมื่อปี 2005-2006) <ref>[http://www.thegreenpapers.com/ww/UNSecurityCouncil.phtml The United Nations Security Council] The Green Papers Worldwide</ref> และยังเป็นหนึ่งในกลุ่ม [[G4]] ซึ่งมุ่งหวังจะเข้าเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง ญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมาชิกของ [[จี 8]]และ[[เอเปค]] มีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศและกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั่วโลก<ref name=fpolicy/><ref>{{cite web |url=http://www.th.emb-japan.go.jp/th/policy/policy2008.htm|title=นโยบายการต่างประเทศที่สำคัญในปีค.ศ. 2008 |publisher=สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย|date=2007-08|accessdate=2008-11-15}}</ref> นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) รายใหญ่ของโลก โดยบริจาค 7.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2007<ref>{{cite web |url=http://www.oecd.org/dataoecd/27/55/40381862.pdf|title=Net Official Development Assistance in 2007|publisher=[[OECD]]| accessdate=2008-11-15}}</ref> จากการสำรวจของ[[บีบีซี]]พบว่านอกจากประเทศจีนและเกาหลีใต้แล้ว ประเทศส่วนใหญ่มองอิทธิพลของญี่ปุ่นที่มีต่อโลกในเชิงบวก<ref>{{cite web |url=http://news.bbc.co.uk/2/shared/bsp/hi/pdfs/06_03_07_perceptions.pdf|title=Poll: Israel and Iran Share Most Negative Ratings in Global Poll|publisher=BBC World Service|date=2007-03-06| accessdate=2008-11-15}}</ref> |
|||
ญี่ปุ่นมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องสิทธิในดินแดนต่าง ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กับ[[รัสเซีย]]เรื่อง[[เกาะคูริล]] กับ[[เกาหลีใต้]]เรื่อง[[หินลีอังคอร์ท]] (หรือ''ทะเกะชิมะ'' ในภาษาญี่ปุ่น) กับ[[จีน]]และ[[ไต้หวัน]]เรื่อง[[เกาะเซงกากุ]]<ref>{{cite web |url=http://apecthai.org/2008/th/political.php?intertradeid=26|title=จีน-ญี่ปุ่น ผลประโยชน์ที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด |publisher=International Cooperation Study Center, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์| accessdate=2008-11-15}}</ref> กับจีนเรื่อง[[เขตเศรษฐกิจจำเพาะ]]รอบ ๆ [[โอะกิโนะโทะริชิมะ]]<ref>{{cite web |url=http://www.asiaquarterly.com/content/view/29/40/|title=Okinotorishima: Just the Tip of the Iceberg |publisher=Harvard Asia Quarterly|date=2005| accessdate=2008-11-15}}</ref> เป็นต้น นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังคงมีปัญหากับ[[เกาหลีเหนือ]]กรณีการลักพาตัวชาวญี่ปุ่นและเรื่องการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องเกาะคูริล ในทางกฎหมายแล้วญี่ปุ่นยังคงทำสงครามอยู่กับรัสเซีย เพราะไม่เคยมีการลงนามในข้อตกลงใด ๆ เกี่ยวกับปัญหานี้<ref>{{cite web |url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/rs.html#Issues|title=The World Factbook - Russia: Transnational Issues|publisher=CIA|accessdate=2008-11-15}}</ref> |
|||
มาตรา 9 ของ[[รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น]]ฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2489) บัญญัติว่า |
|||
{{คำพูด|1. โดยที่มีความมุ่งประสงค์อย่างแท้จริงในสันติภาพระหว่างชาติโดยมีความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยเป็นพื้นฐาน ชนชาวญี่ปุ่นยอมสละจากสงครามไปตลอดกาลนานโดยให้ถือเป็นสิทธิสูงสุดแห่งชาติ กับทั้งสละจากการคุกคามหรือการใช้กำลังเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างชาติ<br />2. เพื่อบรรลุความมุ่งประสงค์ในวรรคก่อน จะไม่มีการธำรงไว้ซึ่งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กับทั้งศักยภาพอื่น ๆ ในทางสงคราม ไม่มีการรับรองสิทธิในการเป็นพันธมิตรในสงคราม}} |
|||
สำหรับกองทัพญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับ[[กระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น|กระทรวงกลาโหม]](เดิมชื่อทบวงป้องกันตนเองในปี2005ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงกลาโหมในปีนั้น) และประกอบด้วย[[กองกำลังป้องกันตนเองทางพื้นดินของญี่ปุ่น|กองกำลังป้องกันตนเองทางบก]] [[กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น|กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล]] และ [[กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น|กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศ]] กองกำลังของญี่ปุ่นถูกส่งไปเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในประเทศอิรักใน พ.ศ. 2547-2549 ซึ่งนับเป็นการปฏิบัติการของกองทัพในต่างประเทศครั้งแรกตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่ 2<ref name="iht">{{cite web |url=http://www.iht.com/articles/2006/06/20/news/japan.php|title=Tokyo says it will bring troops home from Iraq|publisher=International Herald Tribune|date=2006-06-20|accessdate=2008-11-15}}</ref> อย่างไรก็ตาม การส่งกองกำลังไปยังอิรักนี้ถูกต่อต้านจากประชาชนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก<ref>{{cite web |url=http://www.asahi.com/column/hayano/eng/TKY200412170133.html|title=Self-serving utilization of opinion poll data|publisher=Asahi.com|date=2004-12-17| accessdate=2008-11-22}}</ref> |
|||
=== ความสัมพันธ์กับประเทศไทย === |
|||
{{บทความหลัก|ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น}} |
|||
ประเทศญี่ปุ่นและไทยมีความสัมพันธ์มายาวนานกว่า 600 ปี ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2430<ref name="emb">{{cite web |url=http://www.th.emb-japan.go.jp/th/relation/index.htm|title=ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย|publisher=สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย| accessdate=2008-11-15}}</ref> ความร่วมมือระหว่างกันของทั้งสองประเทศครอบคลุมทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเติบโตขึ้นจากการขยายตัวกิจการของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยนับแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าเงินเยนแข็งตัวขึ้นในพุทธทศวรรษที่ 2520) การลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยนับเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย (รองจากจีน) <ref name="econ">{{cite web |url=http://www.th.emb-japan.go.jp/th/relation/economic.htm|title=เศรษฐกิจ|publisher=สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย| accessdate=2008-11-16}}</ref> และทำให้มีชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก<ref>ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในต่างแดนมากเป็นอันดับ 7 ของโลก{{cite web |url=http://www.th.emb-japan.go.jp/th/jis/publ/pub3_49/pub9.htm|title=จำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย |publisher=สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย| accessdate=2008-11-16}}</ref> ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย<ref name=econ/> ทั้งสองประเทศมีการทำข้อตกลงทวิภาคีหลายข้อ เช่นข้อตกลงความร่วมมือทางเทคโนโลยี (JTPP: Japan- Thailand Partnership Programme in Technical Cooperation) การจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA:Japan-Thailand Economic Partnership Agreement) <ref>{{cite web |url=http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=133|title=ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น|publisher=กระทรวงการต่างประเทศ| accessdate=2008-11-16}}</ref> เป็นต้น จากการสำรวจความคิดเห็นในกลุ่มประเทศอาเซียน 5 ประเทศที่จัดทำในเดือนเมษายน พ.ศ. 2540 โดยกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น พบว่าคนไทยร้อยละ 98 เห็นว่าญี่ปุ่นคือมิตรประเทศ<ref name=emb/> |
|||
== การแบ่งเขตการปกครอง == |
|||
ญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 [[จังหวัด]]<ref>คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง, โด (道) เฉพาะฮกไกโด,ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตและโอซะกะซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในอดีต และเค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่น ๆ เมื่อพูดถึงจังหวัดรวม ๆ จะใช้ว่า โทะโดฟุเก็ง (都道府県) </ref> และ แบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหาร |
|||
ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขตย่อยลงไปเป็นเมืองและหมู่บ้าน<ref>มีวิธีเรียกเขตย่อยหลายอย่างได้แก่ คุ(区) ชิ (市) โช (町) และมุระหรือซน (村) ซึ่งเรียกรวมกันว่า[[ชิโจซง]]</ref> แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเขตย่อยที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเขตลงได้<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/np20020126a8.html|title=City-merger talks on increase|publisher=The Japan Times|date=2002-01-26|accessdate=2008-11-15}}</ref> การรวมเขตการปกครองนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เขตใน พ.ศ. 2542 ให้เหลือ 1,773 เขตใน พ.ศ. 2553<ref>{{cite web|url=http://www.soumu.go.jp/gapei|title=合併相談コーナー|publisher=Ministry of Internal Affairs and Communications|accessdate=2008-11-16}}</ref> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไป |
|||
[[ไฟล์:Regions and Prefectures of Japan.svg|right|300px ]] |
|||
{| width="60%" bgcolor="#fff" border="0" cellpadding="3px" cellspacing="2px" style="margin:auto;" |
|||
|- align="center" bgcolor="lightcoral" |
|||
! width="25%" | ''' [[ฮกไกโด]]''' |
|||
! width="25%" | '''[[โทโฮะกุ]]''' |
|||
! width="25%" | '''[[คันโต]]''' |
|||
! width="25%" | '''[[จูบุ]]''' |
|||
|- valign="top" align="left" style="background: Lavenderblush; font-size: 92%;" |
|||
| |
|||
1. [[จังหวัดฮกไกโด|ฮกไกโด]] <br /> |
|||
| |
|||
2. [[จังหวัดอะโอะโมะริ|อะโอะโมะริ]]<br /> |
|||
3. [[จังหวัดอิวะเตะ|อิวะเตะ]] <br /> |
|||
4. [[จังหวัดมิยะงิ|มิยะงิ]]<br /> |
|||
5. [[จังหวัดอะกิตะ|อะกิตะ]] <br /> |
|||
6. [[จังหวัดยะมะงะตะ|ยะมะงะตะ]] <br /> |
|||
7. [[จังหวัดฟุกุชิมะ|ฟุกุชิมะ]] <br /> |
|||
| |
|||
8. [[จังหวัดอิบะระกิ|อิบะระกิ]] <br /> |
|||
9. [[จังหวัดโทะจิงิ|โทะจิงิ]] <br /> |
|||
10. [[จังหวัดกุนมะ|กุนมะ]] <br /> |
|||
11. [[จังหวัดไซตะมะ|ไซตะมะ]] <br /> |
|||
12. [[จังหวัดจิบะ|จิบะ]]<br /> |
|||
13. [[จังหวัดโตเกียว|โตเกียว]] <br /> |
|||
14. [[จังหวัดคะนะงะวะ|คะนะงะวะ]] <br /> |
|||
| |
|||
15. [[จังหวัดนิอิงะตะ|นิอิงะตะ]] <br /> |
|||
16. [[จังหวัดโทะยะมะ|โทะยะมะ]] <br /> |
|||
17. [[จังหวัดอิชิกะวะ|อิชิกะวะ]] <br /> |
|||
18. [[จังหวัดฟุกุอิ|ฟุกุอิ]] <br /> |
|||
19. [[จังหวัดยะมะนะชิ|ยะมะนะชิ]] <br /> |
|||
20. [[จังหวัดนะงะโนะ|นะงะโนะ]] <br /> |
|||
21. [[จังหวัดกิฟุ|กิฟุ]] <br /> |
|||
22. [[จังหวัดชิซึโอะกะ|ชิซึโอะกะ]] <br /> |
|||
23. [[จังหวัดไอจิ|ไอจิ]] <br /> |
|||
|- align="center" bgcolor="lightcoral" |
|||
! width="25%" | '''[[คันไซ]] |
|||
! width="25%" | '''[[จูโงะกุ]]''' |
|||
! width="25%" | '''[[ชิโกะกุ]]''' |
|||
! width="25%" | '''[[คิวชู]] และ [[โอะกินะวะ]]''' |
|||
|- valign="top" align="left" style="background: Lavenderblush; font-size: 92%;" |
|||
| |
|||
24. [[จังหวัดมิเอะ|มิเอะ]] <br /> |
|||
25. [[จังหวัดชิงะ|ชิงะ]] <br /> |
|||
26. [[จังหวัดเกียวโตะ|เกียวโตะ]] <br /> |
|||
27. [[จังหวัดโอซะกะ|โอซะกะ]] <br /> |
|||
28. [[จังหวัดเฮียวโงะ|เฮียวโงะ]] <br /> |
|||
29. [[จังหวัดนะระ|นะระ]] <br /> |
|||
30. [[จังหวัดวะกะยะมะ|วะกะยะมะ]] <br /> |
|||
| |
|||
31. [[จังหวัดทตโตะริ|ทตโตะริ]] <br /> |
|||
32. [[จังหวัดชิมะเนะ|ชิมะเนะ]] <br /> |
|||
33. [[จังหวัดโอะกะยะมะ|โอะกะยะมะ]] <br /> |
|||
34. [[จังหวัดฮิโระชิมะ|ฮิโระชิมะ]] <br /> |
|||
35. [[จังหวัดยะมะงุจิ|ยะมะงุจิ]] <br /> |
|||
| |
|||
36. [[จังหวัดโทะกุชิมะ|โทะกุชิมะ]] <br /> |
|||
37. [[จังหวัดคะงะวะ|คะงะวะ]] <br /> |
|||
38. [[จังหวัดเอะฮิเมะ|เอะฮิเมะ]] <br /> |
|||
39. [[จังหวัดโคจิ|โคจิ]] <br /> |
|||
| |
|||
40. [[จังหวัดฟุกุโอะกะ|ฟุกุโอะกะ]]<br /> |
|||
41. [[จังหวัดซะงะ|ซะงะ]]<br /> |
|||
42. [[จังหวัดนะงะซะกิ|นะงะซะกิ]] <br /> |
|||
43. [[จังหวัดคุมะโมะโตะ|คุมะโมะโตะ]] <br /> |
|||
44. [[จังหวัดโออิตะ|โออิตะ]] <br /> |
|||
45. [[จังหวัดมิยะซะกิ|มิยะซะกิ]] <br /> |
|||
46. [[จังหวัดคะโงะชิมะ|คะโงะชิมะ]] <br /> |
|||
47. [[จังหวัดโอะกินะวะ|โอะกินะวะ]] <br /> |
|||
|} |
|||
== ภูมิศาสตร์ == |
|||
[[ไฟล์:Satellite image of Japan in May 2003.jpg|thumb|แผนที่ประเทศญี่ปุ่น]] |
|||
[[ไฟล์:Japan .jpg|thumb|แผนที่ประเทศญี่ปุ่นแสดงป่าไม้และเทือกเขา]] |
|||
ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นหมู่เกาะซึ่งมีจำนวนมากกว่า 3,000 เกาะวางตัวอยู่ใน[[มหาสมุทรแปซิฟิก]]ทางตะวันออกของทวีปเอเชีย เกาะที่สำคัญเรียงจากเหนือไปใต้ได้แก่[[ฮกไกโด]] [[ฮนชู]] [[ชิโกกุ]] และ[[คิวชู]] นอกจากนี้ยังมี[[หมู่เกาะริวกิว]]ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู ซึ่งเกาะทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่า[[หมู่เกาะญี่ปุ่น]] ญี่ปุ่นถูกล้อมรอบด้วยทะเลทุกด้าน ได้แก่[[ทะเลโอค็อตสก์]]ทางเหนือ [[ทะเลญี่ปุ่น]]ทางตะวันตก [[ทะเลจีนตะวันออก]]ทางตะวันตกเฉียงใต้ [[ทะเลฟิลิปปินส์]]ทางใต้ และ[[มหาสมุทรแปซิฟิก]]ทางตะวันออก พื้นที่ประมาณร้อยละ 70 เป็นภูเขา<ref>{{cite web |url=http://www.worldinfozone.com/country.php?country=Japan |title=Japan Information—Page 1 |publisher=WorldInfoZone.com |accessdate=2006-12-28}}</ref> ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือทำการเพาะปลูกได้ เพราะมีลักษณะสูงชันและมีโอกาสที่จะเกิดดินถล่มจากแผ่นดินไหวหรือฝนที่ตกหนัก ประชากรญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งอย่างหนาแน่น และทำให้เมืองสำคัญในญี่ปุ่นมีประชากรหนาแน่นมาก<ref>{{cite web |url=http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c02cont.htm#cha2_6|title=Chapter 2 Population: Population Density and Regional Distribution|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> ใน พ.ศ. 2548 ญี่ปุ่นมีป่าไม้ร้อยละ 66.4 พื้นที่ทางการเกษตรร้อยละ 12.6 อาคารร้อยละ 4.9 พื้นน้ำร้อยละ 3.5 ถนนร้อยละ 3.5 และอื่น ๆ ร้อยละ 9<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c01cont.htm#cha1_1|title=Chapter 1 Land and Climate: Land|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> |
|||
ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ใน[[วงแหวนแห่งไฟ]] บริเวณรอยต่อระหว่าง[[แผ่นเปลือกโลก]] 3 แผ่น<ref>[http://www.seinan-gu.ac.jp/~djohnson/natural/plates.html Tectonic Plates]</ref> ทำให้เกิด[[แผ่นดินไหว]]ความรุนแรงต่ำบ่อย ๆ<ref>[http://www.seisvol.kishou.go.jp/eq/higai/higai1996-new.html 日本付近で発生した主な被害地震(平成8年~平成20年5月)] Japan Meteorological Agency{{ja icon}}</ref> และยังมีแผ่นดินไหวความรุนแรงสูงที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหลายครั้งในศตวรรษที่ผ่านมา<ref>[http://www.seisvol.kishou.go.jp/eq/higai/higai-1995.html 過去の地震災害(1995年以前)] Japan Meteorological Agency{{ja icon}}</ref> เช่นเหตุการณ์[[แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิน-อะวะจิ]] ใน พ.ศ. 2537 และ[[แผ่นดินไหวชูเอะสึจังหวัดนีงาตะ]] ใน พ.ศ. 2547 เป็นต้น นอกจากนี้ การที่ญี่ปุ่นตั้งอยู่ในบริเวณวงแหวนแห่งไฟ ยังทำให้ญี่ปุ่นมีบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมากทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว<ref>[http://www.jnto.go.jp/eng/arrange/attractions/hotSprings.html Attractions: Hot Springs] Japan National Tourist Organization</ref> [[ภูเขาฟูจิ]]ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นก็เป็นภูเขาไฟ |
|||
หมู่เกาะญี่ปุ่นวางตัวยาวในแนวเหนือใต้ จึงทำให้มีลักษณะภูมิอากาศแตกต่างกันมาก ประเทศญี่ปุ่นสามารถแบ่งเขตภูมิอากาศออกเป็น 6 เขต คือ |
|||
* [[ฮกไกโด]]: พื้นที่ตอนเหนือสุดของประเทศมีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี แม้จะมี[[หยาดน้ำฟ้า]]ไม่มาก แต่ในฤดูหนาวก็มีหิมะปกคลุมทั่วทั้งเกาะ |
|||
* [[ทะเลญี่ปุ่น]]: ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของเกาะฮนชู ลมตะวันตกเฉียงเหนือที่พัดผ่านในช่วงฤดูหนาวทำให้มีหิมะตกมาก ในช่วงฤดูร้อนอากาศมักจะเย็นกว่าฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ว่าบางครั้งจะเกิด[[ปรากฏการณ์เฟห์น]]ที่ทำให้อากาศร้อนมากผิดปกติ<ref> {{cite web |url=http://www.osaka-jma.go.jp/matue/column/phenomena/foehn.html|title=Foehn phenomenon|publisher=Matsue Local Meteorological Observatory|accessdate=2008-11-02}}{{ja icon}}</ref> |
|||
* [[จูบุ|ที่สูงตอนกลาง]]: อุณหภูมิระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาวและระหว่างกลางวันและกลางคืนมีความแตกต่างมาก |
|||
* [[ทะเลเซะโตะ]]: ภูเขาบริเวณ[[จูโงะกุ]]และ[[ชิโกะกุ]]ช่วยป้องกันบริเวณทะเลเซะโตะจากลมฤดูต่าง ๆ ทำให้บริเวณนี้มีอากาศอบอุ่นและมีฝนตกน้อยตลอดทั้งปี<ref> {{cite web |url=http://www.env.go.jp/park/setonaikai/intro/outline.html|title=瀬戸内海国立公園:自然環境の概要|publisher=Ministry of the Environment|accessdate=2008-11-04}}{{ja icon}}</ref> |
|||
* [[มหาสมุทรแปซิฟิก|ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก]]: ตั้งอยู่ชายฝั่งมหาสมุทรทางตะวันออกของประเทศ ในฤดูหนาวมีอากาศที่หนาวเย็นแต่ไม่ค่อยมีหิมะตก ในฤดูร้อนมีอากาศร้อนและชื้นเพราะลมตะวันออกเฉียงใต้ |
|||
* [[หมู่เกาะริวกิว|หมู่เกาะตะวันตกเฉียงใต้]]: หมู่เกาะริวกิวมีอุณหภูมิกึ่งเขตร้อน คืออากาศอุ่นในฤดูหนาวและร้อนในฤดูร้อน มีฝนตกมากและมี[[ไต้ฝุ่น]]ผ่านมาในช่วงเปลี่ยนฤดู |
|||
ฤดูฝนหลักเริ่มต้นขึ้นในต้นเดือนพฤษภาคมที่[[โอกินาวา|โอะกินะวะ]] และจึงค่อย ๆไต่ขึ้นไปจนถึงฮกไกโดในปลายเดือน[[กรกฎาคม]] บนเกาะฮนชูฤดูฝนจะเริ่มในกลางเดือนของเดือนมิถุนายน มีระยะเวลาประมาณเดือนครึ่ง และในช่วงปลาย[[ฤดูร้อน]]จนถึงต้น[[ฤดูใบไม้ร่วง]]มักมี[[ไต้ฝุ่น]]พัดผ่าน โดยเฉลี่ยจะมีไต้ฝุ่นพัดเข้าใกล้ญี่ปุ่นปีละ 11 ลูก<ref>[http://www.jma.go.jp/jma/kishou/know/typhoon/1-4.html 台風の発生数、接近数、上陸数、経路] Japan Meteorological Agency{{ja icon}}</ref> |
|||
== เศรษฐกิจ == |
|||
[[ไฟล์:Tokyo stock exchange.jpg|thumb|left|[[ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว]] เป็น[[ตลาดหลักทรัพย์]]ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก]] |
|||
หลัง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการแทรกแซงของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง<ref>[http://books.google.com/books?id=5aEKtvs0WHAC&pg=PA3&as_brr=3&hl=ja&source=gbs_toc_r&cad=0_0#PPA3,M1 The Japanese Economy] Takahashi Ito, pp 3-4.</ref> ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ<ref>{{cite web |url=http://www.country-data.com/cgi-bin/query/r-7176.html |title=Japan: Patterns of Development |publisher=country-data.com |month=January | year=1994 |accessdate=2006-12-28}}</ref> ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหา[[ค่าเงินเยนแข็งตัว]]จนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิด[[ยุคฟองสบู่ในญี่ปุ่น|ฟองสบู่แตก]]ต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของ[[ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม|เศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543]] <ref name="ciaecon">{{cite web |url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html#Econ |title=World Factbook; Japan—Economy |publisher=CIA |date=2006-12-19 | accessdate=2006-12-28}}</ref> สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิด[[วิกฤติทางการเงิน (พ.ศ. 2551)|วิกฤติทางการเงิน]]ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก<ref name="recess">{{cite news|url=http://business.timesonline.co.uk/tol/business/economics/article4521121.ece|title=Japan heads towards recession as GDP shrinks|publisher=The Times|date=2008-08-13|accessdate=2008-08-17}}</ref><ref >{{cite web |url=http://www.economist.com/finance/displaystory.cfm?story_id=12522884|title=That sinking feeling|publisher=The Economist|date=2008-10-30|accessdate=2008-11-1}}</ref> แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น<ref >{{cite web |url=http://www.nytimes.com/2008/09/20/business/worldbusiness/20yen.html|title=In Japan, Financial Crisis Is Just a Ripple |publisher=The New York Times|date=2008-09-19|accessdate=2008-11-22}}</ref> แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเลคโทรนิคมากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว<ref >{{cite web |url=http://edition.cnn.com/2009/WORLD/asiapcf/02/16/japan.economy/index.html|title=Japan's economy 'worst since end of WWII'|publisher=CNN|date=2009-02-16|accessdate=2009-02-16}}</ref> |
|||
ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก<ref name="imf">{{cite web |url=http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2006/02/data/weorept.aspx?sy=2005&ey=2005&scsm=1&ssd=1&sort=country&ds=.&br=1&c=512%2C446%2C914%2C666%2C612%2C668%2C614%2C672%2C311%2C946%2C213%2C137%2C911%2C962%2C193%2C674%2C122%2C676%2C912%2C548%2C313%2C556%2C419%2C678%2C513%2C181%2C316%2C682%2C913%2C684%2C124%2C273%2C339%2C921%2C638%2C948%2C514%2C686%2C218%2C688%2C963%2C518%2C616%2C728%2C223%2C558%2C516%2C138%2C918%2C353%2C748%2C196%2C618%2C278%2C522%2C692%2C622%2C694%2C156%2C142%2C624%2C449%2C626%2C564%2C628%2C283%2C228%2C853%2C924%2C288%2C233%2C293%2C632%2C566%2C636%2C964%2C634%2C182%2C238%2C453%2C662%2C968%2C960%2C922%2C423%2C714%2C935%2C862%2C128%2C716%2C611%2C456%2C321%2C722%2C243%2C965%2C248%2C718%2C469%2C724%2C253%2C576%2C642%2C936%2C643%2C961%2C939%2C813%2C644%2C199%2C819%2C184%2C172%2C524%2C132%2C361%2C646%2C362%2C648%2C364%2C915%2C732%2C134%2C366%2C652%2C734%2C174%2C144%2C328%2C146%2C258%2C463%2C656%2C528%2C654%2C923%2C336%2C738%2C263%2C578%2C268%2C537%2C532%2C742%2C944%2C866%2C176%2C369%2C534%2C744%2C536%2C186%2C429%2C925%2C178%2C746%2C436%2C926%2C136%2C466%2C343%2C112%2C158%2C111%2C439%2C298%2C916%2C927%2C664%2C846%2C826%2C299%2C542%2C582%2C443%2C474%2C917%2C754%2C544%2C698%2C941&s=NGDPD&grp=0&a=&pr1.x=64&pr1.y=9 |title=World Economic Outlook Database; country comparisons |publisher=[[ไอเอ็มเอฟ]] |date=2006-09-01 |accessdate=2007-03-14}}</ref> รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) <ref name="imf"/> และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วย[[ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ|อำนาจการซื้อ]]<ref>{{cite web |url=http://www.nationmaster.com/graph/eco_gdp_ppp-economy-gdp-ppp |title=NationMaster; Economy Statistics |publisher=NationMaster |accessdate=2007-03-26}}</ref> ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูงและเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น [[รถยนต์]] [[อิเล็กทรอนิกส์|อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์]] เครื่องจักร [[เหล็กกล้า]] [[โลหะนอกกลุ่มเหล็ก]] เรือ สารเคมี<ref>[http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c06cont.htm Chapter 6 Manufacturing and Construction], Statistical Handbook of Japan, Ministry of Internal Affairs and Communications</ref> |
|||
จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน<ref name="roudou">{{cite web |url=http://www.stat.go.jp/data/roudou/sokuhou/nen/ft/pdf/index.pdf|title=労働力調査(速報)平成19年平均結果の概要|publisher=Statistic Bureau|accessdate=2008-11-01}}</ref> ญี่ปุ่นมี[[อัตราว่างงาน]]ที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4<ref name="roudou"/> ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย<ref>[http://www.conference-board.org/economics/database.cfm Summary Statistics] Groningen Growth and Development Centre, Sep 2008</ref> บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่น[[โตโยต้า]] [[โซนี่]] [[เอ็นทีที โดโคโม]] [[แคนนอน]] [[ฮอนด้า]] [[ทาเคดา]] [[นินเทนโด]] [[นิปปอน สตีล]] และ [[เซเว่น อีเลฟเว่น]] ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง<ref>[http://www.forbes.com/lists/results.jhtml?bktDisplayField=stringfield3&bktDisplayFieldLength=3&passListId=18&passYear=2005&passListType=Company&searchParameter1=unset&searchParameter2=unset&resultsStart=1&resultsHowMany=100&resultsSortProperties=%2Bstringfield3%2C%2Bnumberfield1&resultsSortCategoryName=category&passKeyword=&category1=category&category2=category&fromColumnClick=true] Forbes Global 2000 Retrieved on 2008-11-02</ref> [[ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว]]ซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะ[[ดัชนีนิเคอิ]]มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วย[[มูลค่าตลาด]]<ref>[http://www.nyse.com/events/1170156816059.html Market data.] New York Stock Exchange (2006-01-31). Retrieved on 2007-08-11.</ref> |
|||
ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่น[[เคเระสึ]]หรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ [[การจ้างงานตลอดชีวิต]]และการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน<ref >{{cite web|url=http://www.economist.com/business/displaystory.cfm?story_id=12564050|title=Criss-crossed capitalism |publisher=The Economist|date=2008-11-06|accessdate=2008-11-17}}</ref> ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท<ref name="shareholder">{{cite web |url=http://www.economist.com/business/displaystory.cfm?story_id=9414552|title=In the locust position|publisher=The Economist|date=2007-06-28|accessdate=2008-11-02}}</ref> แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้<ref>{{cite web |url=http://www.economist.com/specialreports/displayStory.cfm?story_id=10169956|title=Going hybrid|publisher=The Economist|date=2007-11-29|accessdate=2008-11-02}}</ref><ref name="shareholder"/> |
|||
ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6<ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69a.htm|title=Total area and cultivated land area|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07}}</ref> และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6<ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69c.htm|title=Total population and agricultural population|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07}}</ref>เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ<ref>{{cite web|last=農林水産省国際部国際政策課|title=農林水産物輸出入概況(2005)|date=2006-05-23|url=http://www.maff.go.jp/toukei/sokuhou/data/yusyutugai2005/yusyutugai2005.pdf|format=PDF|accessdate=2007-09-13}}</ref><ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_5/76.htm|title=Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07}}</ref> ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น |
|||
== โครงสร้างพื้นฐาน == |
|||
[[ไฟล์:Ikata Nuclear Powerplant.JPG|thumb|right|[[โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์อิกะตะ]]]] |
|||
[[ไฟล์:JR_Central_Shinkansen_700.jpg|thumb|left|[[รถไฟชินคันเซ็น]]หรือรถไฟหัวกระสุนซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีเดินทางที่แพร่หลายในญี่ปุ่น]] |
|||
ใน พ.ศ. 2548 ร้อยละ 50 ของพลังงานที่ใช้ในญี่ปุ่นผลิตจาก[[ปิโตรเลียม]] ร้อยละ 20 จาก[[ถ่านหิน]] ร้อยละ 14 จาก[[ก๊าซธรรมชาติ]]<ref name=energy>[http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c07cont.htm Chapter 7 Energy], Statistical Handbook of Japan 2007</ref> การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์มีปริมาณหนึ่งในสี่ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด<ref name=energy/> ซึ่งญี่ปุ่นต้องการจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในทศวรรษหน้า |
|||
ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่น[[กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น]] รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบัน [[รถไฟชินคันเซ็น]]ซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา<ref>จนเป็นต้นเหตุสำคัญของอุบัติเหตุรถไฟตกรางที่จังหวัดเฮียวโงะใน พ.ศ. 2548 [http://news.bbc.co.uk/2/hi/talking_point/4481721.stm Japan's train crash: Your reaction] BBC News 2005-05-02</ref> |
|||
การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยมและมี[[รายชื่อท่าอากาศยานในประเทศญี่ปุ่น|สนามบิน]] 173 แห่งทั่วประเทศ [[สนามบินฮาเนดะ]]ที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่[[อันดับท่าอากาศยานที่มีความหนาแน่นสูงสุดในกรณีจำนวนผู้โดยสาร|หนาแน่นที่สุดในเอเชีย]]<ref>{{cite web|url=http://www.airports.org/cda/aci_common/display/main/aci_content07_c.jsp?zn=aci&cp=1-5-212-218-222_666_2__|title=Year to date Passenger Traffic|publisher=Airports Council International|date=2008-08}}</ref> สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่[[สนามบินนาริตะ]] [[สนามบินคันไซ]] และ[[สนามบินนานาชาตินาโงยา]] แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง<ref>{{cite web|url=http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9500E3DC1031F932A35750C0A961958260|title=Japan's Road to Deep Deficit Is Paved With Public Works|publisher=The New York Times|date=1997-03-01|accessdate=2008-11-23}}</ref> สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการ<ref>{{cite web|url=http://www.fukuoka-now.com/jp/news/show/1860|title=Outlook Bleak for Saga Airport Profitability|publisher=Fukuoka Now|date=2008-07-31|accessdate=2008-11-23}}</ref> |
|||
== วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี == |
|||
[[ไฟล์:Honda ASIMO Walking Stairs.JPG|thumb|right|หุ่นยนต์[[อาซิโม]]ของ[[ฮอนด้า]]]] |
|||
[[ไฟล์:2008 Toyota Crown-Hybrid 01.jpg|thumb|left|[[โตโยต้า คราวน์]] ไฮบริด]] |
|||
[[ไฟล์:Kibo PM and ELM-PS.jpg|thumb|left|โมดูล[[คิโบ]]ของ[[องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น]]]] |
|||
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก<ref name=techno>[http://www.oecd.org/dataoecd/17/62/41559228.pdf Science and Innovation: Country Notes, Japan] OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, [[OECD]]</ref> ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอ[[สิทธิบัตร]]เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nb20070811a6.html|title=Japanese led world in filing of patent applications in 2005|publisher=The Japan Times|date=2007-08-11|accessdate=2008-11-07}}</ref> และจากการสำรวจของ[[โออีซีดี]]พบว่าใน พ.ศ. 2547 ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรต่อจำนวนประชากรสูงที่สุดในโลก<ref name=oecdpa>{{cite web |title=Compendium of Patent Statistics|publisher=[[โออีซีดี]] |year=2008 |url=http://www.oecd.org/dataoecd/5/19/37569377.pdf|accessdate=2008-11-26|format=PDF}}</ref> ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่[[อิเล็กทรอนิกส์]] [[รถยนต์]] เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหว หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรม [[สารเคมี]] [[สารกึ่งตัวนำ]] และ[[เหล็ก]] เป็นต้น ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก<ref>{{cite web |title=World Motor Vehicle Production by Country |publisher=OICA |year=2006 |url=http://www.oica.net/htdocs/statistics/tableaux2006/worldprod_country-2.pdf |accessdate=2007-07-30|format=PDF}}</ref> เป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด และผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด<ref>[http://www.isuppli.com/marketwatch/default.asp?id=423 iSuppli Corporation supplied forecast rankings for 2007] iSuppli</ref> ญี่ปุ่นใช้ระบบอัตโนมัติในการผลิตมากที่สุดในโลก<ref name=robotics>[http://www.unece.org/press/pr2005/05stat_p03e.pdf World Robotics 2005] United Nations Economic Commission for Europe. Retrieved on 2008-11-09</ref>และเป็นผู้นำในการผลิตและใช้งานหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยมีอัตราการใช้หุ่นยนต์ต่อจำนวนแรงงานคนสูงที่สุดในโลก<ref name=robotics/> ญี่ปุ่นยังเป็นผู้ผลิต[[หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์]] เช่น [[QRIO]] และ[[อาซิโม]]อีกด้วย |
|||
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริดของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียน้อยที่สุด<ref>[http://www.ucsusa.org/assets/documents/clean_vehicles/autorank_brochure_2007.pdf Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies] Union of Concerned Scientists</ref><ref>[www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy</ref> ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิงชีวภาพ การใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาลง และการออกแบบที่ดีขึ้น ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้าน[[เซลล์เชื้อเพลิง]]เป็นอันดับหนึ่งของโลก<ref name=oecdpa/>และเคยเป็นประเทศผู้ผลิต[[เซลล์สุริยะ]]และ[[กังหันลมผลิตไฟฟ้า]]รายใหญ่ของโลก<ref>{{cite web|url=http://ecotech.nies.go.jp/library/report/repo_06.html|title=太陽光発電技術の現状|publisher=国立環境研究所|accessdate=2008-11-16}}</ref> แต่เนื่องจากขาดการสนับสนุนจากรัฐทำให้จำนวนการนำไปใช้จริงน้อยกว่าประเทศแถบยุโรป เช่นเยอรมนี<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nb20080605d3.html|title=Japan's renewable energy drive runs out of steam|publisher=The Japan Times|date=2007-06-05|accessdate=2008-11-16}}</ref> |
|||
[[องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น]]เป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทาง[[ดาราศาสตร์]]และ[[จักรวาลวิทยา]]ของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้าง[[สถานีอวกาศนานาชาติ]]และโมดูลสำหรับทดลองของญี่ปุ่น ([[คิโบ]]) มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วย[[กระสวยอวกาศ]]ใน พ.ศ. 2552<ref>{{cite web|url=http://www.jaxa.jp/press/2008/07/20080708_15a2ja_j.html|title=Press Release|publisher=JAXA|date=2008-07-08|accessdate=2008-11-16}}</ref> |
|||
== ประชากร == |
|||
[[ไฟล์:Miyajima Alex.jpg|right|thumb|250px|[[โทริอิ]]ของ[[ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ]]ซึ่งเป็นศาลเจ้าลัทธิชินโต]] |
|||
จากการสำรวจในปี 2005 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127.77 ล้านคน<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/01.htm|title=Population Census: Total Population|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/06.htm|title=Population Census: Foreigners|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสาย[[ชาวยะมะโตะ]] และมีชนกลุ่มน้อยเช่น[[ชาวไอนุ]]และ[[ชาวริวกิว]] รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่า[[บุระกุ]]<ref>{{cite web|url=http://www.economist.com/obituary/displaystory.cfm?story_id=E1_VJRPNJ|title=Sue Sumii|publisher=The Economist|date=1997-07-03|accessdate=2008-11-06}}</ref> |
|||
ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 82.07 ปี จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก<ref>{{cite web |url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2102rank.html |title=The World Factbook: Rank order—Life expectancy at birth |publisher=[[CIA]] |date=2008-10-23|accessdate=2008-11-5}}</ref> โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบี้บูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ<ref name=pop>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c02cont.htm|title=Statistical Handbook of Japan: Chapter 2 Population|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25<ref name=pop/>) ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี 2005 ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/02.htm|title=Population Census: Population by Age|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref>) การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระ[[เงินบำนาญ]]ของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nn20020924b1.html|title=Cloud of population decline may have silver lining|publisher=The Japan Times|date=2002-09-24|accessdate=2008-11-05}}</ref> |
|||
จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตน[[อศาสนา|ไม่มีศาสนา]]<ref>[http://www2.ttcn.ne.jp/~honkawa/9460.html 世界各国の宗教 (2000年)] อ้างอิงจาก電通総研日本リサーチセンター、''世界主要国価値観データブック''</ref> ศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้า[[ชินโต]]เพื่อทำพิธี[[ชิจิ-โกะ-ซัน]] แต่งงานใน[[โบสถ์]][[คริสต์]]และฉลองใน[[วันคริสต์มาส]] จัดงานศพแบบ[[พุทธ]] และบูชาบรรพบุรุษแบบ[[ขงจื๊อ]] นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น[[ศาสนาเทนริเกียว|ลัทธิเทนริเกียว]] และ[[ลัทธิโอมชินริเกียว]] |
|||
ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้[[ภาษาญี่ปุ่น]]เป็น[[ภาษาแม่]]<ref>[https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html#People The World Factbook; Japan-People] CIA (2008) </ref> ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่น[[สำเนียงคันไซ]] โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ<ref>{{cite web |url=http://web.archive.org/web/20060427225148/http://www.indiana.edu/~japan/digest5.html |title=Japan Digest: Japanese Education |date=2005-09-01 |author= Lucien Ellington|publisher=Indiana University |accessdate=2006-04-27}}</ref> |
|||
=== จำนวนประชากร === |
|||
[[ไฟล์:Shibuya night.jpg|thumb|[[ชิบุยะ|แยกชิบุยะ]] ถนนที่มีผู้สัญจรมากที่สุดในโตเกียว|260px]] |
|||
[[ไฟล์:Osaka Dotonbori.jpg|thumb|[[โดตอนโบะริ]] เมืองโอซะกะ |260px]] |
|||
''ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่[[รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร]]'' และ ''[[จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัด]]'' |
|||
รายชื่อเมืองใหญ่เรียงตามจำนวนประชากร 15 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 1 พ.ย. 2552) <ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/data/nihon/02.htm|title=第2章 人口・世帯: 2-3 都市別人口|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications|date=2010-01-02}}</ref> |
|||
{| class="wikitable" |centre |
|||
! ที่ !! เมือง !! จังหวัด !! ประชากร <br /> (ลงทะเบียน/คน) !! ประชากร <br />(โดยประมาณ/คน) |
|||
|- |
|||
| 1 || [[23 เขตการปกครองพิเศษในโตเกียว|โตเกียว]]<br /> (เฉพาะ 23 เขตปกครองพิเศษ)|| [[โตเกียว]]|| 8,489,653 ||8,806,037 |
|||
|- |
|||
| 2 || [[โยะโกะฮะมะ]] || [[จังหวัดคะนะงะวะ|คะนะงะวะ]] || 3,579,628|| 3,673,094 |
|||
|- |
|||
| 3 || [[โอซะกะ (เมือง)|โอซะกะ]] || [[จังหวัดโอซะกะ|โอซะกะ]] || 2,628,811|| 2,663,096 |
|||
|- |
|||
| 4 || [[นะโงะยะ]] || [[จังหวัดไอจิ|ไอจิ]] || 2,215,062||2,258,767 |
|||
|- |
|||
| 5 || [[ซัปโปะโระ]] || [[ฮกไกโด]] || 1,880,863||1,890,857 <br /> (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2552) |
|||
|- |
|||
| 6 || [[โคเบะ]] || [[จังหวัดเฮียวโงะ|เฮียวโงะ]] || 1,525,393||1,537,515 |
|||
|- |
|||
| 7 || [[เคียวโตะ (เมือง)|เกียวโตะ]] || [[จังหวัดเกียวโตะ|เกียวโตะ]] || 1,474,811 || 1,466,042 |
|||
|- |
|||
| 8 || [[ฟุกุโอะกะ (เมือง)|ฟุกุโอะกะ]] || [[จังหวัดฟุกุโอะกะ|ฟุกุโอะกะ]] || 1,401,279 || 1,452,530 |
|||
|- |
|||
| 9 || [[คะวะซะกิ (เมือง)|คะวะซะกิ]] || [[จังหวัดคะนะงะวะ|คะนะงะวะ]] || 1,327,011 || 1,410,395 |
|||
|- |
|||
| 10 || [[ไซตะมะ (เมือง)|ไซตะมะ]] || [[จังหวัดไซตะมะ|ไซตะมะ]] || 1,176,314 || 1,213,348 |
|||
|- |
|||
| 11 || [[ฮิโระชิมะ (เมือง)|ฮิโระชิมะ]] || [[จังหวัดฮิโระชิมะ|ฮิโระชิมะ]]|| 1,154,391 ||1,171,132 |
|||
|- |
|||
| 12 || [[เซนได]] || [[จังหวัดมิยะงิ|มิยะงิ]] || 1,025,098 || 1,034,334 |
|||
|- |
|||
| 13 || [[คิตะคิวชู]] || [[จังหวัดฟุกุโอะกะ|ฟุกุโอะกะ]] || 993,525 || 983,080 |
|||
|- |
|||
| 14 || [[จิบะ (เมือง)|จิบะ]] || [[จังหวัดจิบะ|จิบะ]] || 924,319||956,161 |
|||
|- |
|||
| 15 || [[ซะไก]] || [[จังหวัดโอซะกะ|โอซะกะ]] || 830,966||838,177 |
|||
|} |
|||
=== การศึกษา === |
|||
{{บทความหลัก|การศึกษาของญี่ปุ่น}} |
|||
[[ไฟล์:Yasuda Auditorium, Tokyo University - Nov 2005.JPG|thumb|[[มหาวิทยาลัยโตเกียว]]ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น]] |
|||
ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจาก[[การปฏิรูปเมจิ]] <ref>{{cite web |url=http://www.fpri.org/footnotes/087.200312.ellington.japaneseeducation.html |title=Beyond the Rhetoric: Essential Questions About Japanese Education |author=Lucien Ellington|publisher=Foreign Policy Research Institute |date=2003-12-01 |accessdate=2007-04-01}}</ref> ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของ[[กระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี|กระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น]] (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ <ref>{{cite web |url= http://www.mext.go.jp/english/statist/05101901/005.pdf |title= School Education |publisher= [[Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology (Japan)|MEXT]] | format = [[PDF]] | accessdate=2007-03-10}}</ref> การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน<ref>{{cite web |url=http://www.usyd.edu.au/news/international/226.html?newsstoryid=1568 |title=Rethinking Japanese education |author=Kate Rossmanith|publisher=The University of Sydney |date=2007-02-05| accessdate=2007-04-01}}</ref> โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย<ref>[http://www.bookrags.com/research/gakureki-shakai-ema-02/ Gakureki Shakai] </ref> โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดย[[โออีซีดี]] จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก<ref>[http://www.oecd.org/document/22/0,3343,en_2649_201185_39713238_1_1_1_1,00.html OECD’s PISA survey shows some countries making significant gains in learning outcomes], [[OECD]], 04/12/2007. [http://www.oecd.org/dataoecd/42/8/39700724.pdf Range of rank on the PISA 2006 science scale]</ref> |
|||
มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น [[มหาวิทยาลัยโตเกียว]] [[มหาวิทยาลัยเคโอ]] และ [[มหาวิทยาลัยเกียวโต]] เป็นต้น |
|||
=== การรักษาพยาบาล === |
|||
คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูงและอัตราการตายของทารกที่ต่ำ<ref name=websocial>{{cite web |url=http://web-japan.org/factsheet/pdf/40SocialSecurity.pdf|title=Social Security System |publisher=Web Japan|accessdate=2009-10-13}}</ref> รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น<ref>{{cite web |url=http://www.sia.go.jp/e/ss.html|title=Overview of the Social Insurance Systems|publisher=Social Insurance Agency|accessdate=2008-11-23}}</ref> ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ<ref>{{cite web |url=http://www.ipss.go.jp/s-info/e/Jasos/Health.html |title=Health Insurance: General Characteristics |publisher=National Institute of Population and Social Security Research |accessdate=2007-03-28}}</ref> ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516<ref>{{cite web |url=http://www.nyu.edu/projects/rodwin/lessons.html |author=Victor Rodwin|title=Health Care in Japan |publisher=New York University |accessdate=2007-03-10}}</ref> แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป<ref name=websocial/> |
|||
== วัฒนธรรม == |
|||
[[วัฒนธรรม]]ญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรม[[ยุคโจมง]]ซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก[[เอเชีย]] [[ยุโรป]] และ[[อเมริกาเหนือ]] ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น [[อิเกะบะนะ]] (การจัดดอกไม้) [[โอะริงะมิ]] [[อุกิโยะ-เอะ]]<ref name="woa1">{{cite web |url=http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/culture.html|title=Japanese Culture|publisher=Windows on Asia |accessdate=2008-11-17}}</ref> [[ตุ๊กตาญี่ปุ่น|ตุ๊กตา]] [[เครื่องเคลือบ]] [[เครื่องปั้นดินเผา]] การแสดง เช่น [[คะบุกิ]] [[โน]] บุนระกุ<ref name=woa1/> [[ระกุโงะ]] และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น [[ซะโด|พิธีชงชา]] [[บุโด|ศิลปการต่อสู้]] [[สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น|สถาปัตยกรรม]] [[สวนญี่ปุ่น|การจัดสวน]] [[คะตะนะ|ดาบ]] และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์[[มังงะ]]หรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น<ref>{{cite web |url=http://www.dnp.co.jp/museum/nmp/nmp_i/articles/manga/manga1.html |title= A History of Manga |publisher=NMP International |accessdate=2007-03-27}}</ref> [[แอนิเมชัน]]ที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า [[อะนิเมะ]] วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523<ref>{{cite web |url=http://uk.gamespot.com/gamespot/features/video/hov/index.html |title= The History of Video Games |author= Leonard Herman, Jer Horwitz, Steve Kent, and Skyler Miller|publisher=[[Gamespot]] |accessdate=2007-04-01}}</ref> |
|||
=== ดนตรี === |
|||
[[ไฟล์:KotoPlayer.jpg|thumb|การเล่น[[โคะโตะ]]]] |
|||
[[ดนตรีญี่ปุ่น]]ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอะกินะวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น[[บิวะ]] [[โคะโตะ]] ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7<ref name=webmu>{{cite web |url=http://web-japan.org/factsheet/pdf/MUSIC.pdf|title= Japan Fact Sheet: Music |publisher=Web Japan| accessdate=2008-11-23}}</ref> และ[[ชะมิเซ็ง]]เป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอะกินะวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21<ref name=webmu/> ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก [[ดนตรีตะวันตก]]เริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า [[เจ-ป็อป]]<ref>{{cite web |url=http://observer.guardian.co.uk/omm/story/0,,1550807,00.html |title= J-Pop History |publisher=[[The Observer]]| accessdate=2007-04-01}}</ref> ญี่ปุ่นมีนัก[[ดนตรีคลาสสิค]]ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น [[วาทยากร]] [[เซจิ โอะซะวะ]]<ref>{{cite web |url=http://www.bach-cantatas.com/Bio/Ozawa-Seiji.htm|title=Seiji Ozawa (Conductor)|date=2007-06-22| accessdate=2008-11-23}}</ref> นัก[[ไวโอลิน]] [[มิโดะริ โกะโต]]<ref>{{cite web |url=http://edition.cnn.com/2008/SHOWBIZ/11/03/ta.midori/|title=Midori Goto: From prodigy to peace ambassador|date=2008-11-06| accessdate=2008-11-23}}</ref> เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ[[เบโทเฟน]]ทั่วไปในญี่ปุ่น<ref>[http://www.fujitv.co.jp/event/art-net/clsc_07note/01.html なぜか「第9」といったらベートーヴェン、そして年末。]</ref> |
|||
=== วรรณกรรม === |
|||
[[ไฟล์:Ch5 wakamurasaki.jpg|thumb|ภาพจากเรื่อง[[ตำนานเกนจิ]]]] |
|||
[[วรรณกรรมญี่ปุ่น]]ชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ ''[[โคะจิกิ]]'' และ ''[[นิฮงโชะกิ]]''<ref name="woalit1">{{cite web |url=http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/literature.html|title=Japanese Culture: Literature|publisher=Windows on Asia |accessdate=2008-11-17}}</ref> และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ ''[[มังโยชู]]'' ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด<ref>{{cite web |url=http://edb.kulib.kyoto-u.ac.jp/exhibit/np/manyo.html|title=万葉集-奈良時代|publisher=Kyoto University Library|accessdate=2008-11-17}}</ref> ในช่วงต้นของ[[ยุคเฮอัง]] มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า ''คะนะ'' ([[ฮิระงะนะ]] และ [[คะตะคะนะ]]) ''[[นิทานคนตัดไม้ไผ่]]'' ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น<ref name=woalit1/> ''[[ตำนานเกนจิ]]'' ที่เขียนโดย[[มุระซะกิ ชิกิบุ]]มักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก<ref>[http://www.taleofgenji.org/ The Tale of Genji]</ref> ระหว่าง[[ยุคเอโดะ]] วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ [[โชนิน]] ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น [[โยะมิฮง]] กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ใน[[สมัยเมจิ]] วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น<ref name="woalit2">{{cite web |url=http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/recentpst.html|title=Japanese Culture: Literature (Recent Past)|publisher=Windows on Asia |accessdate=2008-11-17}}</ref> [[โซเซะกิ นะสึเมะ]]และ[[โองะอิ โมริ]]เป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น<ref name=woalit2/> ตามมาด้วย [[ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ]], [[ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ]], [[คาวาบาตะ ยาสุนาริ]], [[มิชิมะ ยุกิโอะ]] และล่าสุด [[ฮารูกิ มุราคามิ]]<ref name="lit&sport">{{cite web |url=http://www.th.emb-japan.go.jp/th/japan/explorejp/page12-19.pdf|title=สำรวจญี่ปุ่น: ปฏิทินประจำปี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม กีฬา|publisher=สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย|accessdate=2008-11-17}}</ref> ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับ[[รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม]] 2 คน ได้แก่ [[คาวาบาตะ ยาสุนาริ]] (พ.ศ. 2511) <ref>{{cite web |url=http://nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/1968/index.html|title=The Nobel Prize in Literature 1968|publisher=Nobel Foundation|accessdate=2008-11-18}}</ref> และ [[เค็นซะบุโร โอเอะ]] (พ.ศ. 2537) <ref>{{cite web |url=http://nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/1994/oe-bio.html|title=Kenzaburo Oe The Nobel Prize in Literature 1994 |publisher=Nobel Foundation|accessdate=2008-11-18}}</ref> |
|||
=== กีฬา === |
|||
[[ไฟล์:Ryogoku_Kokugikan_Tsuriyane_05212006.jpg|thumb|left|การแข่งขัน[[ซูโม่]]ใน[[เรียวโงกุ โคกุงิกัง]] ใน [[โตเกียว]]]] |
|||
หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา<ref name="websport">{{cite web |url=http://web-japan.org/factsheet/pdf/SPORTS.pdf|title=Japan Fact Sheet: SPORTS |publisher=Web Japan|accessdate=2008-11-19}}</ref> ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น<ref name="websport"/> กีฬาที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ได้แก่ |
|||
* [[ซูโม่]]เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติอันยาวนาน<ref>{{cite web |url=http://www.pbs.org/independentlens/sumoeastandwest/sumo.html |title=Sumo: East and West |publisher=PBS |accessdate=2007-03-10}}</ref> และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น [[ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น]] เช่น [[ยูโด]] [[คาราเต้]] และ[[เคนโด้]] ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากเช่นเดียวกัน |
|||
* [[เบสบอลอาชีพญี่ปุ่น|การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่น]]เริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2479<ref>{{cite book |author=Nagata, Yoichi and Holway, John B. |editor=Pete Palmer |title=Total Baseball |edition=fourth edition |year=1995 |publisher=Viking Press |location=New York |pages=547 |chapter=Japanese Baseball}}</ref> มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบัน[[เบสบอล]]เป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง<ref name="websport"/> นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ [[อิจิโร ซุซุกิ]] และ [[ฮิเดะกิ มัตซุย]] <ref name=lit&sport/> |
|||
* ตั้งแต่มีการก่อตั้ง[[เจลีก|ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น]] ใน พ.ศ. 2535 ฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น<ref>{{cite web |url=http://www.tjf.or.jp/takarabako/PDF/TB09_JCN.pdf |title= Soccer as a Popular Sport: Putting Down Roots in Japan |publisher= The Japan Forum |format = [[PDF]] | accessdate=2007-04-01}}</ref> ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัด[[ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก]] ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถึง พ.ศ. 2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับ[[เกาหลีใต้]]ในการแข่ง[[ฟุตบอลโลก 2002]] ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย สามารถชนะเลิศ[[เอเชียนคัพ]] 3 ครั้ง |
|||
=== อาหาร === |
|||
[[ไฟล์:Breakfast at Tamahan Ryokan, Kyoto.jpg|thumb|อาหารเช้าแบบโรงแรมญี่ปุ่น]] |
|||
ชาวญี่ปุ่นกิน[[ข้าว]]เป็นอาหารหลัก [[อาหารญี่ปุ่น]]ที่มีชื่อเสียงได้แก่[[ซูชิ]] [[เทมปุระ]] [[สุกียากี้]] [[ยากิโทริ]]และ[[โซบะ]]<ref>{{cite web|url=http://www.jnto.go.jp/eng/indepth/history/food/jfood_01.html|title=Traditional Dishes of Japan|publisher=Japan National Tourist Organization|accessdate=2008-11-27}}</ref> อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น[[ทงคัตสึ]] [[ราเม็ง]]และ[[แกงกะหรี่ญี่ปุ่น]]<ref name=webfood>{{cite web|url=http://web-japan.org/factsheet/pdf/JAPANESE_FOOD.pdf|title=Japanese Food Culture|publisher=Web Japan|accessdate=2008-11-27}}</ref> อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก<ref name=webfood/> |
|||
ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่น<ref>{{cite web|url=http://www.jnto.go.jp/eng/indepth/history/food/index.html|title=Japanese Delicacies|publisher=Japan National Tourist Organization|accessdate=2008-11-27}}</ref>และอาหารประจำฤดู<ref>{{cite web|url=http://www.tjf.or.jp/eng/content/japaneseculture/pdf/ge09shun.pdf|title=Seasonal Foods|publisher=The Japan Forum|accessdate=2008-11-27}}</ref> วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือ[[ถั่วเหลือง]] ซึ่งนำมาทำ[[โชยุ]] [[มิโสะ]] [[เต้าหู้]]<ref>[http://www.jref.com/culture/japanese_food.shtml Japanese Food] Japan Reference</ref> [[ถั่วแดง]]ซึ่งมักนำมาทำ[[ขนมญี่ปุ่น|ขนม]] และ[[สาหร่าย]]ชนิดต่าง ๆ เช่นคอมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกิน[[ซะชิมิ]]หรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย<ref>{{cite web|url=http://www.jnto.go.jp/eng/indepth/history/food/jfood_02.html#Seafood|title=Local cuisine of Hokkaido|publisher=Japan National Tourist Organization|accessdate=2008-11-27}}</ref> |
|||
[[ชา]]ในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม<ref>{{cite web|url=http://www.zennoh.or.jp/bu/nousan/tea/dekiru03.htm|title=茶ができるまで|publisher=全国茶生産団体連合会・全国茶主産府県農協連連絡協議会|accessdate=2008-11-27}}</ref> เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้า[[สาเก]] (หรือ''นิฮงชุ'' ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว<ref>{{cite web|url=http://www.sake-world.com/html/brewing-process.html|title=The Sake Brewing Process|accessdate=2008-11-27}}</ref> และ[[โชชู]]ซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/fl20040530x1.html|title=Shochu|publisher=The Japan Times|date=2004-05-30 |accessdate=2008-11-27}}</ref> |
|||
== อ้างอิง == |
|||
<div style="overflow:scroll;height:300px;"> |
|||
{{รายการอ้างอิง|3}} |
|||
{{เริ่มอ้างอิง}} |
|||
* [http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=133 ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย] |
|||
* [http://www.cia.gov/cia/publications/factbook/geos/ja.html ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากเวิลด์แฟกต์บุก เว็บไซต์ซีไอเอ สหรัฐอเมริกา] {{en icon}} |
|||
{{จบอ้างอิง}} |
|||
</div> |
|||
== ดูเพิ่ม == |
|||
* [[ภาษาญี่ปุ่น]] |
|||
* [[พุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น]] |
|||
* [[การ์ตูนญี่ปุ่น]] |
|||
* [[รายชื่อแหล่งมรดกโลกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก#ญี่ปุ่น|มรดกโลกในประเทศญี่ปุ่น]] |
|||
== หนังสืออ่านเพิ่มเติม == |
|||
{{เริ่มอ้างอิง}} |
|||
* Christopher, Robert C., ''The Japanese Mind: the Goliath Explained'', Linden Press/Simon and Schuster, 1983 (ISBN 0-330-28419-3) |
|||
* De Mente, ''The Japanese Have a Word For It'', McGraw-Hill, 1997 (ISBN 0-8442-8316-9) |
|||
* Henshall, ''A History of Japan'', Palgrave Macmillan, 2001 (ISBN 0-312-23370-1) |
|||
* Jansen, ''The Making of Modern Japan'', Belknap, 2000 (ISBN 0-674-00334-9) |
|||
* Johnson, ''Japan: Who Governs?'', W.W. Norton, 1996 (ISBN 0-393-31450-2) |
|||
* Ono et al., ''Shinto: The Kami Way'', Tuttle Publishing, 2004 (ISBN 0-8048-3557-8) |
|||
* Reischauer, ''Japan: The Story of a Nation'', McGraw-Hill, 1989 (ISBN 0-07-557074-2) |
|||
* Sugimoto et al., ''An Introduction to Japanese Society'', Cambridge University Press, 2003 (ISBN 0-521-52925-5) |
|||
* Van Wolferen, ''The Enigma of Japanese Power'', Vintage, 1990 (ISBN 0-679-72802-3) |
|||
* Shinoda, ''Koizumi Diplomacy: Japan’s Kantei Approach to Foreign and Defense Affairs'', University of Washington Press, 2007 (ISBN 0-295-98699-9) |
|||
* Pyle, ''Japan Rising: The Resurgence of Japanese Power and Purpose'', Public Affairs, 2007 (ISBN 1-58648-567-9) |
|||
* Samuels, ''Securing Japan: Tokyo's Grand Strategy and the Future of East Asia'', Cornell University Press, 2008 (ISBN 0-8014-7490-6) |
|||
* Flath, ''The Japanese Economy'', Oxford University Press, 2000 (ISBN 0-19-877503-2) |
|||
* Ito et al., ''Reviving Japan's Economy: Problems and Prescriptions'', MIT Press, 2005 (ISBN 0-262-09040-6) |
|||
* Iwabuchi, ''Recentering Globalization: Popular Culture and Japanese Transnationalism'', Duke University Press, 2002 (ISBN 0-8223-2891-7) |
|||
* Silverberg, ''Erotic Grotesque Nonsense: The Mass Culture of Japanese Modern Times'', University of California Press, 2007 (ISBN 0-520-22273-3) |
|||
* Varley, ''Japanese Culture'', University of Hawaii Press, 2000 (ISBN 0-8248-2152-1) |
|||
* Ikegami, ''Bonds Of Civility: Aesthetic Networks And The Political Origins Of Japanese Culture'', Cambridge University Press, 2005 (ISBN 0-521-60115-0) |
|||
* Stevens, ''Japanese Popular Music: Culture, Authenticity and Power'', Routledge, 2007 (ISBN 0-415-38057-X) |
|||
* Macwilliams, ''Japanese Visual Culture: Explorations in the World of Manga and Anime'', M.E. Sharpe, 2007 (ISBN 0-7656-1602-5) |
|||
{{จบอ้างอิง}} |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
|||
{{sisterlinks|Japan}} |
|||
{{วิกิซอร์ซ|รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น}} |
|||
{{เริ่มอ้างอิง}} |
|||
* [http://www.th.emb-japan.go.jp/th/index.htm ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย] |
|||
* [http://www.thaiembassy.jp/rte3/index.php?option=com_content&view=category&id=31&Itemid=53 ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว] |
|||
* [http://www.kantei.go.jp/foreign/index-e.html สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น] |
|||
* [http://www.kunaicho.go.jp/eindex.html สำนักพระราชวังญี่ปุ่น] |
|||
* [http://www.mofa.go.jp/ กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น] |
|||
* [http://www.shugiin.go.jp/index.nsf/html/index_e.htm สำนักงานรัฐสภาญี่ปุ่น] |
|||
* [http://www.ndl.go.jp/en/index.html National Diet Library (English)] |
|||
* [http://www.nhk.or.jp/english/ NHK Online] |
|||
* [http://home.kyodo.co.jp/ Kyodo News] |
|||
* [http://www.yomiuri.co.jp/dy/ หนังสือพิมพ์โยมิอุริ (ภาษาอังกฤษ)] |
|||
* [http://www.asahi.com/english/index.html หนังสือพิมพ์อาซาฮี (ภาษาอังกฤษ)] |
|||
* [http://www.japantimes.co.jp/ The Japan Times] |
|||
* [http://www.yokosojapan.org/ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น] |
|||
* [https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html CIA World Factbook—''Japan''] |
|||
* [http://tonto.eia.doe.gov/country/country_energy_data.cfm?fips=JA EIA Energy Profile for Japan] |
|||
* [http://www.britannica.com/nations/Japan Encyclopaedia Britannica's Japan portal site] |
|||
* [http://www.guardian.co.uk/japan/0,7368,450622,00.html Guardian Unlimited—''Special Report: Japan''] |
|||
{{จบอ้างอิง}} |
|||
{{เขตการปกครองในญี่ปุ่น}} |
|||
{{เอเชีย}} |
|||
{{ประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุข}} |
|||
{{เอเปก}} |
|||
{{G8}} |
|||
[[หมวดหมู่:ประเทศญี่ปุ่น| ]] |
|||
[[หมวดหมู่:ประเทศในระบบซีวิลลอว์]] |
|||
[[หมวดหมู่:ประเทศที่เป็นเกาะ|ประเทศญี่ปุ่น]] |
|||
[[หมวดหมู่:ทวีปเอเชีย|ญี่ปุ่น]] |
|||
{{Link FA|af}} |
|||
{{Link FA|ar}} |
|||
{{Link FA|en}} |
|||
{{Link FA|vi}} |
|||
[[ace:Jeupun]] |
|||
[[af:Japan]] |
|||
[[als:Japan]] |
|||
[[am:ጃፓን]] |
|||
[[an:Chapón]] |
|||
[[ang:Iapan]] |
|||
[[ar:اليابان]] |
|||
[[arc:ܝܦܢ]] |
|||
[[arz:اليابان]] |
|||
[[as:জাপান]] |
|||
[[ast:Xapón]] |
|||
[[az:Yaponiya]] |
|||
[[ba:Япония]] |
|||
[[bar:Japan]] |
|||
[[bat-smg:Japuonėjė]] |
|||
[[bcl:Hapon]] |
|||
[[be:Японія]] |
|||
[[be-x-old:Японія]] |
|||
[[bg:Япония]] |
|||
[[bn:জাপান]] |
|||
[[bo:རི་པིན།]] |
|||
[[bpy:জাপান]] |
|||
[[br:Japan]] |
|||
[[bs:Japan]] |
|||
[[bug:ᨍᨛᨄ]] |
|||
[[bxr:Жибэн]] |
|||
[[ca:Japó]] |
|||
[[cbk-zam:Japón]] |
|||
[[cdo:Nĭk-buōng]] |
|||
[[ceb:Hapon]] |
|||
[[chr:ᏣᏆᏂ]] |
|||
[[crh:Yaponiya]] |
|||
[[cs:Japonsko]] |
|||
[[csb:Japòńskô]] |
|||
[[cu:Ꙗпѡні́ꙗ]] |
|||
[[cv:Япони]] |
|||
[[cy:Japan]] |
|||
[[da:Japan]] |
|||
[[de:Japan]] |
|||
[[diq:Japonya]] |
|||
[[dsb:Japańska]] |
|||
[[dv:ޖަޕާނު]] |
|||
[[dz:ཇ་པཱན]] |
|||
[[ee:Japan]] |
|||
[[el:Ιαπωνία]] |
|||
[[en:Japan]] |
|||
[[eo:Japanio]] |
|||
[[es:Japón]] |
|||
[[et:Jaapan]] |
|||
[[eu:Japonia]] |
|||
[[ext:Japón]] |
|||
[[fa:ژاپن]] |
|||
[[fi:Japani]] |
|||
[[fo:Japan]] |
|||
[[fr:Japon]] |
|||
[[frp:J·apon]] |
|||
[[fy:Japan]] |
|||
[[ga:An tSeapáin]] |
|||
[[gan:日本]] |
|||
[[gd:Iapan]] |
|||
[[gl:Xapón - 日本]] |
|||
[[gu:જાપાન]] |
|||
[[gv:Yn Çhapaan]] |
|||
[[ha:Japan]] |
|||
[[hak:Ngi̍t-pún]] |
|||
[[haw:Iāpana]] |
|||
[[he:יפן]] |
|||
[[hi:जापान]] |
|||
[[hif:Japan]] |
|||
[[hr:Japan]] |
|||
[[hsb:Japanska]] |
|||
[[ht:Japon]] |
|||
[[hu:Japán]] |
|||
[[hy:Ճապոնիա]] |
|||
[[ia:Japon]] |
|||
[[id:Jepang]] |
|||
[[ie:Japan]] |
|||
[[ilo:Japon]] |
|||
[[io:Japonia]] |
|||
[[is:Japan]] |
|||
[[it:Giappone]] |
|||
[[iu:ᓃᑉᐊᓐ/niipan]] |
|||
[[ja:日本]] |
|||
[[jbo:pongu'e]] |
|||
[[jv:Jepang]] |
|||
[[ka:იაპონია]] |
|||
[[kk:Жапония]] |
|||
[[km:ជប៉ុន]] |
|||
[[kn:ಜಪಾನ್]] |
|||
[[ko:일본]] |
|||
[[ks:जापान]] |
|||
[[ku:Japon]] |
|||
[[kv:Япония]] |
|||
[[kw:Nihon]] |
|||
[[ky:Жапония]] |
|||
[[la:Iaponia]] |
|||
[[lb:Japan]] |
|||
[[li:Japan]] |
|||
[[lij:Giappon]] |
|||
[[lmo:Giapun]] |
|||
[[ln:Zapɔ́]] |
|||
[[lo:ປະເທດຍີ່ປຸ່ນ]] |
|||
[[lt:Japonija]] |
|||
[[lv:Japāna]] |
|||
[[mdf:Япунмастор]] |
|||
[[mg:Japana]] |
|||
[[mhr:Японий]] |
|||
[[mi:Nipono]] |
|||
[[mk:Јапонија]] |
|||
[[ml:ജപ്പാൻ]] |
|||
[[mn:Япон]] |
|||
[[mr:जपान]] |
|||
[[ms:Jepun]] |
|||
[[mwl:Japon]] |
|||
[[my:ဂျပန်နိုင်ငံ]] |
|||
[[na:Djapan]] |
|||
[[nah:Xapon]] |
|||
[[nap:Giappone]] |
|||
[[nds:Japan]] |
|||
[[nds-nl:Japan]] |
|||
[[ne:जापान]] |
|||
[[new:जापान]] |
|||
[[nl:Japan]] |
|||
[[nn:Japan]] |
|||
[[no:Japan]] |
|||
[[nov:Japan]] |
|||
[[nrm:Japon]] |
|||
[[nv:Binaʼadaałtzózí Dinéʼiʼ Bikéyah]] |
|||
[[oc:Japon]] |
|||
[[or:ଜାପାନ]] |
|||
[[os:Япон]] |
|||
[[pam:Hapon]] |
|||
[[pap:Hapon]] |
|||
[[pih:Japan]] |
|||
[[pl:Japonia]] |
|||
[[pms:Giapon]] |
|||
[[pnb:جاپان]] |
|||
[[ps:جاپان]] |
|||
[[pt:Japão]] |
|||
[[qu:Nihun]] |
|||
[[ro:Japonia]] |
|||
[[ru:Япония]] |
|||
[[sa:जापान]] |
|||
[[sah:Дьоппуон]] |
|||
[[sc:Giappone]] |
|||
[[scn:Giappuni]] |
|||
[[sco:Japan]] |
|||
[[sd:جاپان]] |
|||
[[se:Japána]] |
|||
[[sh:Japan]] |
|||
[[si:ජපානය]] |
|||
[[simple:Japan]] |
|||
[[sk:Japonsko]] |
|||
[[sl:Japonska]] |
|||
[[sm:Iapani]] |
|||
[[so:Jabaan]] |
|||
[[sq:Japonia]] |
|||
[[sr:Јапан]] |
|||
[[ss:IJaphani]] |
|||
[[stq:Japan]] |
|||
[[su:Jepang]] |
|||
[[sv:Japan]] |
|||
[[sw:Japani]] |
|||
[[szl:Japůńijo]] |
|||
[[ta:ஜப்பான்]] |
|||
[[te:జపాన్]] |
|||
[[tg:Ҷопон]] |
|||
[[ti:ጃፓን]] |
|||
[[tk:Ýaponiýa]] |
|||
[[tl:Hapon (bansa)]] |
|||
[[tpi:Siapan]] |
|||
[[tr:Japonya]] |
|||
[[tt:Япония]] |
|||
[[ty:Tāpōnē]] |
|||
[[udm:Япония]] |
|||
[[ug:ياپونىيە]] |
|||
[[uk:Японія]] |
|||
[[ur:جاپان]] |
|||
[[uz:Yaponiya]] |
|||
[[vec:Giapòn]] |
|||
[[vi:Nhật Bản]] |
|||
[[vo:Yapän]] |
|||
[[war:Hapon]] |
|||
[[wo:Sapoŋ]] |
|||
[[wuu:日本]] |
|||
[[xal:Японь]] |
|||
[[yi:יאפאן]] |
|||
[[yo:Japan]] |
|||
[[za:Nditbonj]] |
|||
[[zh:日本]] |
|||
[[zh-classical:日本]] |
|||
[[zh-min-nan:Ji̍t-pún]] |
|||
[[zh-yue:日本]] |
|||
[[zu:IJapani]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:29, 24 กุมภาพันธ์ 2553
ญี่ปุ่น 日本国 Nihon-koku / Nippon-koku นิฮงโกะกุ / นิปปงโกะกุ | |
---|---|
เมืองหลวง | โตเกียว |
เมืองใหญ่สุด | โตเกียว (12.58 ล้านคน) พ.ศ. 2548[1] |
ภาษาราชการ | ภาษาญี่ปุ่น |
การปกครอง | ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ |
จักรพรรดิอะกิฮิโตะ | |
ยุกิโอะ ฮะโตะยะมะ | |
การสร้างชาติ | |
0.8% | |
ประชากร | |
• 2008 ประมาณ | 127,288,416[2] (10) |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2007 (ประมาณ) |
• รวม | 4,283,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[3] (3) |
• ต่อหัว | 33,596 ดอลลาร์สหรัฐ[4] (23) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2007 (ประมาณ) |
• รวม | 4,376,705 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[5] (2) |
เอชดีไอ (2548) | 0.953[6] ข้อผิดพลาด: ค่า HDI ไม่ถูกต้อง · 8 |
สกุลเงิน | เยน (¥) (JPY) |
เขตเวลา | UTC+9 (JST) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | ไม่มี |
รหัสโทรศัพท์ | 81 |
รหัส ISO 3166 | JP |
โดเมนบนสุด | .jp |
ญี่ปุ่นเปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับความหมายอื่นดูที่ ญี่ปุ่น (แก้ความกำกวม)
ญี่ปุ่น ญี่ปุ่น: 日本; โรมาจิ: Nihon/Nippon; ทับศัพท์: นิฮง/นิปปง มีชื่อทางการคือประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่น: 日本国; โรมาจิ: Nihon-koku/Nippon-koku; ทับศัพท์: นิฮงโกะกุ/นิปปงโกะกุ เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสก์ เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ จึงทำให้บางครั้งถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย
ญี่ปุ่นมีเนื้อที่กว่า 377,930 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอันดับที่ 61 ของโลก[7] หมู่เกาะญี่ปุ่นประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกาะฮนชู ฮกไกโด คิวชู และ ชิโกกุ ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือประมาณ 128 ล้านคน[8] เมืองหลวงของญี่ปุ่นคือกรุงโตเกียว ซึ่งถ้ารวมบริเวณปริมณฑลเข้าไปด้วยแล้วจะกลายเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 30 ล้านคน
สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน พ.ศ. 2490
ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ โดยมีจีดีพีสูงเป็นอันดับสองของโลก ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จี 8 โออีซีดี และเอเปค และมีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศ ญี่ปุ่นมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี และยังเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี เครื่องจักร และหุ่นยนต์
ชื่อประเทศ
ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้คันจิตัวเดียวกันคือ 日本 คำว่านิปปง มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า นิฮง จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป
สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本)" ตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13[9][10] ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับราชวงศ์สุยของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน[11] ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ[12]
ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน (อังกฤษ: Japan) ยาพัน (เยอรมัน: Japan) [13] ชาปง (ฝรั่งเศส: Japon) [14] ฮาปอง (สเปน: Japón) [15] รวมถึงคำว่าญี่ปุ่นในภาษาไทย ล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่าจีปังกู แต่ในสำเนียงแมนดารินอ่านว่า รื่เปิ่นกั๋ว (จีน: rì bĕn guó; 日本国) หรือย่อ ๆ ว่า รื่เปิ่น (rì bĕn; 日本) [16] ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี (เกาหลี: 일본;日本) [17] และภาษาเวียดนาม (เวียดนาม: Nhật Bản;日本) [18] จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเอง
ประวัติศาสตร์
ยุคโบราณ
สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า เมื่อประมาณ 2900 ปีก่อนพุทธศักราช หลังจากนั้นยุคโจมงก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อนพุทธศักราช ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์[19] มีการพัฒนาวิธีการล่าสัตว์โดยใช้คันธนูและลูกธนู ตลอดจนมีการผลิตภาชนะเครื่องปั้นดินเผาใส่อาหารและเก็บรักษาอาหาร คำว่าโจมงในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าลายเชือกซึ่งมาจากลวดลายเชือกบนภาชนะในยุคนั้นที่ค้นพบในช่วงแรก
ยุคยะโยอิ เริ่มเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นยุคที่ผู้คนเริ่มเรียนรู้วิธีการปลูกข้าว การตีโลหะ ซึ่งได้รับความรู้มาจากผู้อพยพชาวจีนแผ่นดินใหญ่[20] การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น โฮ่วฮั่นชู (後漢書) ในปี 57 ก่อนคริสตกาล [21] ซึ่งเรียกชาวญี่ปุ่นว่า วะ (倭) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 อาณาจักรที่ทรงอำนาจมากที่สุดในญี่ปุ่นคือยะมะไทโคะกุ (邪馬台国) ปกครองโดยราชินีฮิมิโกะ ซึ่งเคยส่งคณะทูตไปยังประเทศจีนผ่านทางเกาหลีด้วย
ยุคเริ่มอารยธรรมญี่ปุ่น
ยุคโคะฮุง ซึ่งตั้งชื่อตามสุสานที่นิยมสร้างขึ้นกันในยุคดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9 จนถึง 12 เป็นยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มมีการปกครองแบบราชวงศ์ ซึ่งศูนย์กลางการปกครองนั้นอยู่บริเวณเขตคันไซ ในยุคนี้พระพุทธศาสนาได้เข้ามาจากคาบสมุทรเกาหลีสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น[22] แต่พระพุทธรูปและพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่นหลังจากนั้นได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก[23] เจ้าชายโชโตะกุทรงส่งคณะราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน ญี่ปุ่นจึงได้รับนวัตกรรมใหม่ ๆ จากแผ่นดินใหญ่มาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังทรงตรารัฐธรรมนูญสิบเจ็ดมาตรา ซึ่งเป็นกฎหมายญี่ปุ่นฉบับแรกอีกด้วย[22] และในที่สุดพระพุทธศาสนาก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นตั้งแต่สมัยอะซึกะ[24]
ยุคนะระ (พ.ศ. 1253-1337) [25] เป็นยุคแรกที่มีการก่อตัวเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็ง มีการปกครองอย่างมีระบบให้เห็นได้อย่างชัดเจน โดยการนำระบอบการปกครองมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ศูนย์กลางการปกครองในขณะนั้นก็คือเฮโจเกียวหรือจังหวัดนะระในปัจจุบัน ในยุคนะระเริ่มพบการเขียนวรรณกรรมเช่นโคจิกิ (พ.ศ. 1255) และนิฮงโชะกิ (พ.ศ. 1263) [26] เมืองหลวงถูกย้ายไปที่นะงะโอกะเกียวเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และถูกย้ายอีกครั้งไปยังเฮอังเกียว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอัง
ระหว่าง พ.ศ. 1337 จนถึง พ.ศ. 1728 ซึ่งเป็นยุคเฮอังนั้น ถือได้ว่าเป็นยุคทองของญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นยุคสมัยที่วัฒนธรรมของญี่ปุ่นเองเริ่มพัฒนาขึ้น สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดมากที่สุดคือ การประดิษฐ์ตัวอักษร ฮิรางานะ ซึ่งทำให้เกิดวรรณกรรมที่แต่งโดยตัวอักษรนี้เป็นจำนวนมาก เช่นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 16 ได้มีการแต่งนวนิยายเรื่องนิทานเกนจิ (源氏物語) ขึ้น ซึ่งเป็นนิยายที่บรรยายเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การปกครองของตระกูลฟุจิวาระ และบทกลอนที่ถูกใช้เป็นเนื้อเพลงของเพลงชาติญี่ปุ่น คิมิงะโยะ ก็ถูกแต่งขึ้นในช่วงนี้เช่นเดียวกัน[27]
ยุคศักดินา
ยุคศักดินาญี่ปุ่นเริ่มต้นจากการที่ผู้ปกครองทางการทหารเริ่มมีอำนาจขึ้น พ.ศ. 1728 หลังจากการพ่ายแพ้ของตระกูลไทระ มินะโมะโตะ โน โยริโตโมะ ได้แต่งตั้งตนเองเป็นโชกุน และสร้างรัฐบาลทหารในเมืองคะมะกุระ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคคะมะกุระซึ่งมีการปกครองแบบศักดินา แต่รัฐบาลคามากุระก็ไม่สามารถปกครองทั้งประเทศได้ เพราะพวกราชวงศ์ยังคงมีอำนาจอยู่ในเขตตะวันตก หลังจากการเสียชีวิตของโชกุนโยริโตโมะ ตระกูลโฮโจได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน รัฐบาลคะมะกุระสามารถต่อต้านการรุกรานของจักรวรรดิมองโกลใน พ.ศ. 1817 และ พ.ศ. 1824 โดยได้รับความช่วยเหลือจากพายุกามิกาเซ่ซึ่งทำให้กองทัพมองโกลประสบความเสียหายอย่างมาก[28]
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคะมะกุระก็อ่อนแอลงจากสงครามครั้งนี้ จนในที่สุดต้องสูญเสียอำนาจให้แก่จักรพรรดิโกไดโกะ ผู้ซึ่งพ่ายแพ้ต่ออาชิกางะ ทากาอุจิในเวลาต่อมาไม่นาน[29] อาชิกางะ ทากาอุจิย้ายรัฐบาลไปตั้งไว้ที่มุโรมะจิ จังหวัดเกียวโต จึงได้ชื่อว่ายุคมุโรมะจิ ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 20 อำนาจของโชกุนเริ่มเสื่อมลงและเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น เพราะบรรดาเจ้าครองแคว้นต่างทำสู้รบเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสงครามที่เรียกว่ายุคเซงโงกุ[29]
ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21 มีพ่อค้าและมิชชันนารีจากโปรตุเกสเดินทางมาถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก (การค้านัมบัน)
สงครามดำรงอยู่หลายสิบปี จนโอดะ โนบุนากะเอาชนะเจ้าครองแคว้นอื่นหลายคนโดยใช้เทคโนโลยีและอาวุธของยุโรปและเกือบจะรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นได้แล้วเมื่อเขาถูกลอบสังหารใน พ.ศ. 2125 โทโยโทมิ ฮิเดโยชิผู้สืบทอดเจตนารมณ์ต่อมาสามารถปราบปรามบ้านเมืองให้สงบลงได้ในพ.ศ. 2133 ฮิเดโยชิรุกรานคาบสมุทรเกาหลีถึง 2 ครั้ง[30] แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนเมื่อเขาเสียชีวิตลงใน พ.ศ. 2141 ญี่ปุ่นก็ถอนทัพ[31]
หลังจากฮิเดโยชิเสียชีวิต โทกุงะวะ อิเอะยะสึแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการให้แก่ลูกชายของฮิเดโยชิ โทโยโทมิ ฮิเดโยริ เพื่อที่จะได้อำนาจทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะสึเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ในสงครามเซะกิงะฮะระใน พ.ศ. 2143 จึงขึ้นเป็นโชกุนใน พ.ศ. 2146 และก่อตั้งรัฐบาลใหม่ที่เมืองเอะโดะ ยุคเอะโดะจึงเริ่มต้นขึ้น รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะได้ใช้วิธีหลายอย่าง เช่น บุเกโชฮัตโต เพื่อควบคุมไดเมียวทั้งหลาย ใน พ.ศ. 2182 รัฐบาลเริ่มนโยบายปิดประเทศและใช้นโยบายนี้อย่างไม่เข้มงวดนักต่อเนื่องถึงประมาณสองร้อยห้าสิบปี ในระหว่างนี้ ญี่ปุ่นศึกษาเทคโนโลยีตะวันตกผ่านการติดต่อกับชาวดัตช์ที่สามารถเข้ามาที่เกาะเดจิมะ (ในจังหวัดนะงะซะกิ) เท่านั้น[32] ความสงบสุขจากการปิดประเทศเป็นเวลานานทำให้ชนที่อยู่ใต้อำนาจปกครองอย่างเช่นชาวเมืองได้มีโอกาสที่จะประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาในทางของตนเอง ในยุคเอะโดะนี้ยังมีการเริ่มต้นการให้ศึกษาประชาชนเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย[33]
แต่ญี่ปุ่นก็ถูกกดดันจากประเทศตะวันตกให้เปิดประเทศอีกครั้ง ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2394 นาวาเอก (พิเศษ) แมทธิว เพอร์รี่ และเรือดำของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาบุกมาถึงญี่ปุ่นเพื่อบังคับให้เปิดประเทศด้วยสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีกับประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ต้องทำสนธิสัญญาแบบเดียวกันกับประเทศตะวันตกอื่น ๆ ซึ่งสนธิสัญญาเหล่านี้ทำให้ญี่ปุ่นประสบปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เพราะการเปิดประเทศและให้สิทธิพิเศษกับชาวต่างชาติทำให้ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากไม่พอใจต่อรัฐบาลเอะโดะ และเกิดกระแสเรียกร้องให้คืนอำนาจอธิปไตยแก่องค์จักรพรรดิ (ซึ่งมักเรียกว่าการปฏิรูปเมจิ) [34] จนในที่สุดรัฐบาลเอะโดะก็หมดอำนาจลง
ยุคใหม่
ในยุคเมจิ รัฐบาลใหม่ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิได้ย้ายฐานอำนาจขององค์จักรพรรดิมายังเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากเอโดะเป็นโตเกียว มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองตามแบบตะวันตก เช่นบังคับใช้รัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2443 และก่อตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยใช้ระบบสองสภา นอกจากนี้ จักรวรรดิญี่ปุ่นยังสนับสนุนการรับเอาวิทยาการจากประเทศตะวันตก[35]และทำให้มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มมีความขัดแย้งทางทหารกับประเทศข้างเคียงเมื่อพยายามขยายอาณาเขต หลังจากที่ได้ชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2437-2438) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2447-2448) ญี่ปุ่นก็ได้อำนาจปกครองไต้หวัน เกาหลี และตอนใต้ของเกาะซาคาลิน[36]
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝ่ายไตรภาคี ผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตต่อไปอีก ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายขยายดินแดนต่อไปโดยการครอบครองแมนจูเรียใน พ.ศ. 2474 และเมื่อถูกนานาชาติประนามในการครอบครองดินแดนนี้ ญี่ปุ่นก็ลาออกจากสันนิบาตชาติในสองปีต่อมา[37] ในปี 1936 ญี่ปุ่นลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากลกับนาซีเยอรมนี และเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะในปี 1941[38]
ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ สงครามมหาเอเชียบูรพา) ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 โดยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และการยาตราทัพเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจากยุทธนาวีแห่งมิดเวย์ (พ.ศ. 2485) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ (ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ตามลำดับ) และการรุกรานของสหภาพโซเวียต (วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2488) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน[39] สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งพลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ
ใน พ.ศ. 2490 ญี่ปุ่นเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งเน้นเรื่องประชาธิปไตยอิสระ การควบคุมญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกใน พ.ศ. 2499[40] และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 1956[41] หลังจากสงครามญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่การเติบโตก็หยุดในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2530 เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังฟองสบู่แตก[42] เศรษฐกิจที่ถดถอยต่อเนื่องยาวนานกว่าสิบปีมีทีท่าว่าจะฟื้นตัวขึ้นในต้นพุทธศตวรรษที่ 26[43] แต่กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินใน พ.ศ. 2551[44]
การเมืองการปกครอง
ประเทศญี่ปุ่นปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข แต่พระจักรพรรดิไม่มีพระราชอำนาจในการบริหารประเทศ โดยมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของชนในรัฐ[45] อำนาจการปกครองส่วนใหญ่ตกอยู่กับนายกรัฐมนตรีและสมาชิกอื่น ๆ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ส่วนอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของชาวญี่ปุ่น[45] พระจักรพรรดิทรงทำหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐในพิธีการทางการทูต พระองค์ปัจจุบันคือจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ส่วนรัชทายาทคือมกุฎราชกุมารนะรุฮิโตะ
องค์กรนิติบัญญัติของญี่ปุ่น คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือที่เรียก "ไดเอ็ต" เป็นระบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร (อังกฤษ: House of Representatives) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และมนตรีสภา (อังกฤษ: House of Councillors) เป็นสภาสูง มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์เป็นต้นไป[46] พรรคเสรีประชาธิปไตยเป็นพรรครัฐบาลมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อตั้งพรรคใน พ.ศ. 2498[47] จนในปี พ.ศ. 2552 พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่นชนะการเลือกตั้ง จึงทำให้พรรคเสรีประชาธิปไตยเสียตำแหน่งพรรครัฐบาลซึ่งครองมายาวนานกว่า 54 ปี[48]
สำหรับอำนาจบริหารนั้น พระจักรพรรดิทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกโดยสมาชิกด้วยกันเองให้เป็นหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีและให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายยุกิโอะ ฮะโตะยะมะ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น[49]
ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางประวัติศาสตร์จากกฎหมายของจีน และมีพัฒนาการเฉพาะตัวในยุคเอโดะผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น ประมวลกฎหมายคุจิกะตะโอะซะดะเมะงากิ (ญี่ปุ่น: 公事方御定書) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษ 2400 เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้ระบบซีวิลลอว์ของยุโรปโดยเฉพาะของฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นต้นแบบ เช่นใน พ.ศ. 2439 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งของตน เรียก "มินโป" (ญี่ปุ่น: 民法) โดยมีประมวลกฎหมายแพ่งของเยอรมันเป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนปัจจุบัน[50]
กฎหมายสูงสุดแห่งรัฐ คือ รัฐธรรมนูญ และบรรดากฎหมายแม่บทของญี่ปุ่นมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ตรา พระจักรพรรดิเป็นผู้ทรงประกาศใช้โดยต้องทรงประทับพระราชลัญจกรเป็นการประกาศใช้ ทั้งนี้ โดยนิตินัยแล้วพระจักรพรรดิไม่ทรงมีพระราชอำนาจในการยับยั้งกฎหมาย ส่วนศาลของญี่ปุ่นนั้นแบ่งเป็นสามชั้นจากต่ำขึ้นไป ดังนี้ ศาลชั้นต้น ประกอบด้วย ศาลชั้นต้นทั่วไป ศาลแขวง และศาลครอบครัว, ศาลอุทธรณ์ และศาลสูงสุด ส่วนกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียก "รปโป" (ญี่ปุ่น: 六法) มีสภาพเป็นประมวลกฎหมายที่สำคัญหกฉบับ
นโยบายต่างประเทศและการทหาร
ญี่ปุ่นรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและทางทหารกับสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นพันธมิตรหลัก โดยมีความร่วมมือทางความมั่นคงระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นเสาหลักของนโยบายต่างประเทศ[51] ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของสหประชาชาติตั้งแต่ปี 1956 ได้เป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวม 9 ครั้ง[52] (ล่าสุดเมื่อปี 2005-2006) [53] และยังเป็นหนึ่งในกลุ่ม G4 ซึ่งมุ่งหวังจะเข้าเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง ญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมาชิกของ จี 8และเอเปค มีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศและกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั่วโลก[52][54] นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) รายใหญ่ของโลก โดยบริจาค 7.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2007[55] จากการสำรวจของบีบีซีพบว่านอกจากประเทศจีนและเกาหลีใต้แล้ว ประเทศส่วนใหญ่มองอิทธิพลของญี่ปุ่นที่มีต่อโลกในเชิงบวก[56]
ญี่ปุ่นมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องสิทธิในดินแดนต่าง ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กับรัสเซียเรื่องเกาะคูริล กับเกาหลีใต้เรื่องหินลีอังคอร์ท (หรือทะเกะชิมะ ในภาษาญี่ปุ่น) กับจีนและไต้หวันเรื่องเกาะเซงกากุ[57] กับจีนเรื่องเขตเศรษฐกิจจำเพาะรอบ ๆ โอะกิโนะโทะริชิมะ[58] เป็นต้น นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังคงมีปัญหากับเกาหลีเหนือกรณีการลักพาตัวชาวญี่ปุ่นและเรื่องการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องเกาะคูริล ในทางกฎหมายแล้วญี่ปุ่นยังคงทำสงครามอยู่กับรัสเซีย เพราะไม่เคยมีการลงนามในข้อตกลงใด ๆ เกี่ยวกับปัญหานี้[59]
มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2489) บัญญัติว่า
1. โดยที่มีความมุ่งประสงค์อย่างแท้จริงในสันติภาพระหว่างชาติโดยมีความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยเป็นพื้นฐาน ชนชาวญี่ปุ่นยอมสละจากสงครามไปตลอดกาลนานโดยให้ถือเป็นสิทธิสูงสุดแห่งชาติ กับทั้งสละจากการคุกคามหรือการใช้กำลังเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างชาติ
2. เพื่อบรรลุความมุ่งประสงค์ในวรรคก่อน จะไม่มีการธำรงไว้ซึ่งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กับทั้งศักยภาพอื่น ๆ ในทางสงคราม ไม่มีการรับรองสิทธิในการเป็นพันธมิตรในสงคราม
สำหรับกองทัพญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม(เดิมชื่อทบวงป้องกันตนเองในปี2005ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงกลาโหมในปีนั้น) และประกอบด้วยกองกำลังป้องกันตนเองทางบก กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล และ กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศ กองกำลังของญี่ปุ่นถูกส่งไปเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในประเทศอิรักใน พ.ศ. 2547-2549 ซึ่งนับเป็นการปฏิบัติการของกองทัพในต่างประเทศครั้งแรกตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่ 2[60] อย่างไรก็ตาม การส่งกองกำลังไปยังอิรักนี้ถูกต่อต้านจากประชาชนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก[61]
ความสัมพันธ์กับประเทศไทย
ประเทศญี่ปุ่นและไทยมีความสัมพันธ์มายาวนานกว่า 600 ปี ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2430[62] ความร่วมมือระหว่างกันของทั้งสองประเทศครอบคลุมทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเติบโตขึ้นจากการขยายตัวกิจการของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยนับแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าเงินเยนแข็งตัวขึ้นในพุทธทศวรรษที่ 2520) การลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยนับเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย (รองจากจีน) [63] และทำให้มีชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก[64] ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย[63] ทั้งสองประเทศมีการทำข้อตกลงทวิภาคีหลายข้อ เช่นข้อตกลงความร่วมมือทางเทคโนโลยี (JTPP: Japan- Thailand Partnership Programme in Technical Cooperation) การจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA:Japan-Thailand Economic Partnership Agreement) [65] เป็นต้น จากการสำรวจความคิดเห็นในกลุ่มประเทศอาเซียน 5 ประเทศที่จัดทำในเดือนเมษายน พ.ศ. 2540 โดยกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น พบว่าคนไทยร้อยละ 98 เห็นว่าญี่ปุ่นคือมิตรประเทศ[62]
การแบ่งเขตการปกครอง
ญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด[66] และ แบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหาร
ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขตย่อยลงไปเป็นเมืองและหมู่บ้าน[67] แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเขตย่อยที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเขตลงได้[68] การรวมเขตการปกครองนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เขตใน พ.ศ. 2542 ให้เหลือ 1,773 เขตใน พ.ศ. 2553[69]
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไป
ฮกไกโด | โทโฮะกุ | คันโต | จูบุ |
---|---|---|---|
1. ฮกไกโด |
2. อะโอะโมะริ |
8. อิบะระกิ |
15. นิอิงะตะ |
คันไซ | จูโงะกุ | ชิโกะกุ | คิวชู และ โอะกินะวะ |
24. มิเอะ |
31. ทตโตะริ |
40. ฟุกุโอะกะ |
ภูมิศาสตร์
ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นหมู่เกาะซึ่งมีจำนวนมากกว่า 3,000 เกาะวางตัวอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของทวีปเอเชีย เกาะที่สำคัญเรียงจากเหนือไปใต้ได้แก่ฮกไกโด ฮนชู ชิโกกุ และคิวชู นอกจากนี้ยังมีหมู่เกาะริวกิวทางตอนใต้ของเกาะคิวชู ซึ่งเกาะทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่าหมู่เกาะญี่ปุ่น ญี่ปุ่นถูกล้อมรอบด้วยทะเลทุกด้าน ได้แก่ทะเลโอค็อตสก์ทางเหนือ ทะเลญี่ปุ่นทางตะวันตก ทะเลจีนตะวันออกทางตะวันตกเฉียงใต้ ทะเลฟิลิปปินส์ทางใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออก พื้นที่ประมาณร้อยละ 70 เป็นภูเขา[70] ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือทำการเพาะปลูกได้ เพราะมีลักษณะสูงชันและมีโอกาสที่จะเกิดดินถล่มจากแผ่นดินไหวหรือฝนที่ตกหนัก ประชากรญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งอย่างหนาแน่น และทำให้เมืองสำคัญในญี่ปุ่นมีประชากรหนาแน่นมาก[71] ใน พ.ศ. 2548 ญี่ปุ่นมีป่าไม้ร้อยละ 66.4 พื้นที่ทางการเกษตรร้อยละ 12.6 อาคารร้อยละ 4.9 พื้นน้ำร้อยละ 3.5 ถนนร้อยละ 3.5 และอื่น ๆ ร้อยละ 9[72]
ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในวงแหวนแห่งไฟ บริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก 3 แผ่น[73] ทำให้เกิดแผ่นดินไหวความรุนแรงต่ำบ่อย ๆ[74] และยังมีแผ่นดินไหวความรุนแรงสูงที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหลายครั้งในศตวรรษที่ผ่านมา[75] เช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิน-อะวะจิ ใน พ.ศ. 2537 และแผ่นดินไหวชูเอะสึจังหวัดนีงาตะ ใน พ.ศ. 2547 เป็นต้น นอกจากนี้ การที่ญี่ปุ่นตั้งอยู่ในบริเวณวงแหวนแห่งไฟ ยังทำให้ญี่ปุ่นมีบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมากทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว[76] ภูเขาฟูจิซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นก็เป็นภูเขาไฟ
หมู่เกาะญี่ปุ่นวางตัวยาวในแนวเหนือใต้ จึงทำให้มีลักษณะภูมิอากาศแตกต่างกันมาก ประเทศญี่ปุ่นสามารถแบ่งเขตภูมิอากาศออกเป็น 6 เขต คือ
- ฮกไกโด: พื้นที่ตอนเหนือสุดของประเทศมีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี แม้จะมีหยาดน้ำฟ้าไม่มาก แต่ในฤดูหนาวก็มีหิมะปกคลุมทั่วทั้งเกาะ
- ทะเลญี่ปุ่น: ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของเกาะฮนชู ลมตะวันตกเฉียงเหนือที่พัดผ่านในช่วงฤดูหนาวทำให้มีหิมะตกมาก ในช่วงฤดูร้อนอากาศมักจะเย็นกว่าฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ว่าบางครั้งจะเกิดปรากฏการณ์เฟห์นที่ทำให้อากาศร้อนมากผิดปกติ[77]
- ที่สูงตอนกลาง: อุณหภูมิระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาวและระหว่างกลางวันและกลางคืนมีความแตกต่างมาก
- ทะเลเซะโตะ: ภูเขาบริเวณจูโงะกุและชิโกะกุช่วยป้องกันบริเวณทะเลเซะโตะจากลมฤดูต่าง ๆ ทำให้บริเวณนี้มีอากาศอบอุ่นและมีฝนตกน้อยตลอดทั้งปี[78]
- ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก: ตั้งอยู่ชายฝั่งมหาสมุทรทางตะวันออกของประเทศ ในฤดูหนาวมีอากาศที่หนาวเย็นแต่ไม่ค่อยมีหิมะตก ในฤดูร้อนมีอากาศร้อนและชื้นเพราะลมตะวันออกเฉียงใต้
- หมู่เกาะตะวันตกเฉียงใต้: หมู่เกาะริวกิวมีอุณหภูมิกึ่งเขตร้อน คืออากาศอุ่นในฤดูหนาวและร้อนในฤดูร้อน มีฝนตกมากและมีไต้ฝุ่นผ่านมาในช่วงเปลี่ยนฤดู
ฤดูฝนหลักเริ่มต้นขึ้นในต้นเดือนพฤษภาคมที่โอะกินะวะ และจึงค่อย ๆไต่ขึ้นไปจนถึงฮกไกโดในปลายเดือนกรกฎาคม บนเกาะฮนชูฤดูฝนจะเริ่มในกลางเดือนของเดือนมิถุนายน มีระยะเวลาประมาณเดือนครึ่ง และในช่วงปลายฤดูร้อนจนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงมักมีไต้ฝุ่นพัดผ่าน โดยเฉลี่ยจะมีไต้ฝุ่นพัดเข้าใกล้ญี่ปุ่นปีละ 11 ลูก[79]
เศรษฐกิจ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการแทรกแซงของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง[80] ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ[81] ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543 [82] สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก[44][83] แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น[84] แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเลคโทรนิคมากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[85]
ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก[86] รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) [86] และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ[87] ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูงและเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี[88]
จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน[89] ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4[89] ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย[90] บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเคดา นินเทนโด นิปปอน สตีล และ เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง[91] ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเคอิมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด[92]
ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเระสึหรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิตและการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน[93] ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท[94] แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้[95][94]
ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6[96] และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6[97]เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ[98][99] ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น
โครงสร้างพื้นฐาน
ใน พ.ศ. 2548 ร้อยละ 50 ของพลังงานที่ใช้ในญี่ปุ่นผลิตจากปิโตรเลียม ร้อยละ 20 จากถ่านหิน ร้อยละ 14 จากก๊าซธรรมชาติ[100] การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์มีปริมาณหนึ่งในสี่ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด[100] ซึ่งญี่ปุ่นต้องการจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในทศวรรษหน้า
ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่นกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบัน รถไฟชินคันเซ็นซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา[101]
การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยมและมีสนามบิน 173 แห่งทั่วประเทศ สนามบินฮาเนดะที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่หนาแน่นที่สุดในเอเชีย[102] สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่สนามบินนาริตะ สนามบินคันไซ และสนามบินนานาชาตินาโงยา แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง[103] สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการ[104]
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก[105] ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตรเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก[106] และจากการสำรวจของโออีซีดีพบว่าใน พ.ศ. 2547 ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรต่อจำนวนประชากรสูงที่สุดในโลก[107] ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหว หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรม สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก[108] เป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด และผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด[109] ญี่ปุ่นใช้ระบบอัตโนมัติในการผลิตมากที่สุดในโลก[110]และเป็นผู้นำในการผลิตและใช้งานหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยมีอัตราการใช้หุ่นยนต์ต่อจำนวนแรงงานคนสูงที่สุดในโลก[110] ญี่ปุ่นยังเป็นผู้ผลิตหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ เช่น QRIO และอาซิโมอีกด้วย
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริดของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียน้อยที่สุด[111][112] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิงชีวภาพ การใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาลง และการออกแบบที่ดีขึ้น ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก[107]และเคยเป็นประเทศผู้ผลิตเซลล์สุริยะและกังหันลมผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก[113] แต่เนื่องจากขาดการสนับสนุนจากรัฐทำให้จำนวนการนำไปใช้จริงน้อยกว่าประเทศแถบยุโรป เช่นเยอรมนี[114]
องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติและโมดูลสำหรับทดลองของญี่ปุ่น (คิโบ) มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศใน พ.ศ. 2552[115]
ประชากร
จากการสำรวจในปี 2005 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127.77 ล้านคน[116] ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่[117] เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุและชาวริวกิว รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบุระกุ[118]
ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 82.07 ปี จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก[119] โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบี้บูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ[120] จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25[120]) ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี 2005 ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด[121]) การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระเงินบำนาญของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น[122]
จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา[123] ศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่นลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียว
ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแม่[124] ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่นสำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ[125]
จำนวนประชากร
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร และ จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัด
รายชื่อเมืองใหญ่เรียงตามจำนวนประชากร 15 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 1 พ.ย. 2552) [126]
ที่ | เมือง | จังหวัด | ประชากร (ลงทะเบียน/คน) |
ประชากร (โดยประมาณ/คน) |
---|---|---|---|---|
1 | โตเกียว (เฉพาะ 23 เขตปกครองพิเศษ) |
โตเกียว | 8,489,653 | 8,806,037 |
2 | โยะโกะฮะมะ | คะนะงะวะ | 3,579,628 | 3,673,094 |
3 | โอซะกะ | โอซะกะ | 2,628,811 | 2,663,096 |
4 | นะโงะยะ | ไอจิ | 2,215,062 | 2,258,767 |
5 | ซัปโปะโระ | ฮกไกโด | 1,880,863 | 1,890,857 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2552) |
6 | โคเบะ | เฮียวโงะ | 1,525,393 | 1,537,515 |
7 | เกียวโตะ | เกียวโตะ | 1,474,811 | 1,466,042 |
8 | ฟุกุโอะกะ | ฟุกุโอะกะ | 1,401,279 | 1,452,530 |
9 | คะวะซะกิ | คะนะงะวะ | 1,327,011 | 1,410,395 |
10 | ไซตะมะ | ไซตะมะ | 1,176,314 | 1,213,348 |
11 | ฮิโระชิมะ | ฮิโระชิมะ | 1,154,391 | 1,171,132 |
12 | เซนได | มิยะงิ | 1,025,098 | 1,034,334 |
13 | คิตะคิวชู | ฟุกุโอะกะ | 993,525 | 983,080 |
14 | จิบะ | จิบะ | 924,319 | 956,161 |
15 | ซะไก | โอซะกะ | 830,966 | 838,177 |
การศึกษา
ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเมจิ [127] ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ [128] การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน[129] โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย[130] โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดยโออีซีดี จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก[131] มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ และ มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้น
การรักษาพยาบาล
คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูงและอัตราการตายของทารกที่ต่ำ[132] รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น[133] ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ[134] ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516[135] แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป[132]
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมงซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกะบะนะ (การจัดดอกไม้) โอะริงะมิ อุกิโยะ-เอะ[136] ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คะบุกิ โน บุนระกุ[136] ระกุโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้ สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะหรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น[137] แอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า อะนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523[138]
ดนตรี
ดนตรีญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอะกินะวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่นบิวะ โคะโตะ ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7[139] และชะมิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอะกินะวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21[139] ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก ดนตรีตะวันตกเริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป[140] ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิคที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอะซะวะ[141] นักไวโอลิน มิโดะริ โกะโต[142] เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟนทั่วไปในญี่ปุ่น[143]
วรรณกรรม
วรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคะจิกิ และ นิฮงโชะกิ[144] และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด[145] ในช่วงต้นของยุคเฮอัง มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คะนะ (ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ) นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น[144] ตำนานเกนจิ ที่เขียนโดยมุระซะกิ ชิกิบุมักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก[146] ระหว่างยุคเอโดะ วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ โชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น โยะมิฮง กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น[147] โซเซะกิ นะสึเมะและโองะอิ โมริเป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น[147] ตามมาด้วย ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ, ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ, คาวาบาตะ ยาสุนาริ, มิชิมะ ยุกิโอะ และล่าสุด ฮารูกิ มุราคามิ[148] ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ คาวาบาตะ ยาสุนาริ (พ.ศ. 2511) [149] และ เค็นซะบุโร โอเอะ (พ.ศ. 2537) [150]
กีฬา
หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา[151] ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น[151] กีฬาที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ได้แก่
- ซูโม่เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติอันยาวนาน[152] และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น เช่น ยูโด คาราเต้ และเคนโด้ ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากเช่นเดียวกัน
- การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2479[153] มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบันเบสบอลเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง[151] นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ อิจิโร ซุซุกิ และ ฮิเดะกิ มัตซุย [148]
- ตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น ใน พ.ศ. 2535 ฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น[154] ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัดฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถึง พ.ศ. 2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ในการแข่งฟุตบอลโลก 2002 ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย สามารถชนะเลิศเอเชียนคัพ 3 ครั้ง
อาหาร
ชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ เทมปุระ สุกียากี้ ยากิโทริและโซบะ[155] อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่นทงคัตสึ ราเม็งและแกงกะหรี่ญี่ปุ่น[156] อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก[156]
ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่น[157]และอาหารประจำฤดู[158] วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ มิโสะ เต้าหู้[159] ถั่วแดงซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่นคอมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย[160]
ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม[161] เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว[162] และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น[163]
อ้างอิง
- ↑ "2-3 Population by Prefecture". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. 2005. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "CIA World Factbook-Japan". CIA. 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Gross domestic product 2007, PPP" (PDF). World Bank. 2008-10-17. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Gross domestic product based on purchasing-power-parity (PPP) per capita GDP". IMF. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Gross domestic product 2007" (PDF). World Bank. 2008-09-10. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ Human Development Report 2007/2008
- ↑ Demographic Yearbook—Table 3: Population by sex, rate of population increase, surface area and density (pdf), United Nations Statistics Division, 2007, สืบค้นเมื่อ 2009-08-26
- ↑ "Rank Order-Population". CIA. 2008-07. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ เช่น 熊谷公男 『大王から天皇へ 日本の歴史03』(講談社、2001) และ 吉田孝 『日本誕生』(岩波新書、1997)
- ↑ เช่น 神野志隆光『「日本」とは何か』(講談社現代新書、2005)
- ↑ เช่น 網野善彦『「日本」とは何か』(講談社、2000)、神野志前掲書
- ↑ 前野みち子. "国号に見る「日本」の自己意識" (PDF).
- ↑ การเขียนคำทับศัพท์ภาษาเยอรมัน
- ↑ Google Dictionary (อังกฤษ-ฝรั่งเศส) (อังกฤษ)
- ↑ Google Dictionary (อังกฤษ-สเปน) (อังกฤษ)
- ↑ Google Dictionary (อังกฤษ-จีน) (อังกฤษ)
- ↑ Google Dictionary (อังกฤษ-เกาหลี) (อังกฤษ)
- ↑ ก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เวียดนามใช้ตัวอักษรจีน
- ↑ The Paleolithic Period / Jomon Period EMuseum, Minnesota State University, Mankato
- ↑ Yayoi and Jomon World Civilizations, Washington State University
- ↑ 後漢書, 會稽海外有東鯷人 分爲二十餘國
- ↑ 22.0 22.1 The Yamato State World Civilizations, Washington State University
- ↑ Delmer M. Brown (ed.), บ.ก. (1993). The Cambridge History of Japan. Cambridge University Press. pp. 140–149.
{{cite book}}
:|editor=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ William Gerald Beasley (1999). The Japanese Experience: A Short History of Japan. University of California Press. p. 42. ISBN 0520225600. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.
- ↑ Dolan, Ronald E. and Worden, Robert L., ed. (1994) "Nara and Heian Periods, A.D. 710-1185" Japan: a country study. Library of Congress, Federal Research Division.
- ↑ Conrad Totman (2002). A History of Japan. Blackwell. pp. 64–79. ISBN 978-1405123594.
- ↑ Conrad Totman (2002). A History of Japan. Blackwell. pp. 122–123. ISBN 978-1405123594.
- ↑ Mongol Invasion 1274-1281 The Age of the Samurai
- ↑ 29.0 29.1 George Sansom (1961). A History of Japan: 1334–1615. Stanford. ISBN 0-8047-0525-9.
- ↑ Toyotomi Hideyoshi World Civilizations, Washington State University
- ↑ Stephen Turnbull (2002). Samurai Invasion: Japan's Korean War. Cassel. p. 227. ISBN 978-0304359486.
- ↑ John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times. Charles E. Tuttle Company. p. 188.
- ↑ "Japan Glossary; Kokugaku". Washington State University. 1999-07-14. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- ↑ John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times. Charles E. Tuttle Company. p. 262-264.
- ↑ John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times. Charles E. Tuttle Company. p. 286-287.
- ↑ Jesse Arnold. "Japan: The Making of a World Superpower (Imperial Japan)". vt.edu/users/jearnol2. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.
- ↑ Katsumi Sugiyama. "Fundamental Issues underlying US-Japan Alliance: 2. Lytton Report and Anglo-Russo-Americana (ARA) Secret Treaty". Defense Research Center.
- ↑ Kelley L. Ross. "The Pearl Harbor Strike Force". friesian.com. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.
- ↑ "Japanese Instrument of Surrender". educationworld.net. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "San Francisco Peace Treaty". Taiwan Document Project. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "United Nations Member States". สหประชาชาติ. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "Japan Fact Sheet: Economy" (PDF). Web Japan. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "Japan scraps zero interest rates". BBC News. 2006-07-14. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ 44.0 44.1 "Japan heads towards recession as GDP shrinks". The Times. 2008-08-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-17.
- ↑ 45.0 45.1 รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น มนตรีสภาแห่งรัฐสภาญี่ปุ่น (1946-11-03)
- ↑ สำรวจญี่ปุ่น: รัฐบาล สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
- ↑ ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ใน พ.ศ. 2536 ที่เกิดรัฐบาลผสมของพรรคฝ่ายค้าน "A History of the Liberal Democratic Party". พรรคเสรีประชาธิปไตยญี่ปุ่น. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.
- ↑ Ian Rowley. "Historic victory for DPJ in Japan's election". Business Week. สืบค้นเมื่อ 2009-09-26.
- ↑ "Prime Minister of Japan and His Cabinet". สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น. สืบค้นเมื่อ 2008-09-23.
- ↑ ""Japanese Civil Code"". Encyclopædia Britannica. 2006. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- ↑ Michael Green. "Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington". Real Clear Politics. สืบค้นเมื่อ 2007-03-28.
- ↑ 52.0 52.1 "ญี่ปุ่น: เส้นทาง 60 ปี ในฐานะประเทศที่มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ The United Nations Security Council The Green Papers Worldwide
- ↑ "นโยบายการต่างประเทศที่สำคัญในปีค.ศ. 2008". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. 2007-08. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Net Official Development Assistance in 2007" (PDF). OECD. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ "Poll: Israel and Iran Share Most Negative Ratings in Global Poll" (PDF). BBC World Service. 2007-03-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ "จีน-ญี่ปุ่น ผลประโยชน์ที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด". International Cooperation Study Center, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ "Okinotorishima: Just the Tip of the Iceberg". Harvard Asia Quarterly. 2005. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ "The World Factbook - Russia: Transnational Issues". CIA. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ "Tokyo says it will bring troops home from Iraq". International Herald Tribune. 2006-06-20. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ "Self-serving utilization of opinion poll data". Asahi.com. 2004-12-17. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ 62.0 62.1 "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ 63.0 63.1 "เศรษฐกิจ". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในต่างแดนมากเป็นอันดับ 7 ของโลก"จำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย". สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ "ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น". กระทรวงการต่างประเทศ. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง, โด (道) เฉพาะฮกไกโด,ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตและโอซะกะซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในอดีต และเค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่น ๆ เมื่อพูดถึงจังหวัดรวม ๆ จะใช้ว่า โทะโดฟุเก็ง (都道府県)
- ↑ มีวิธีเรียกเขตย่อยหลายอย่างได้แก่ คุ(区) ชิ (市) โช (町) และมุระหรือซน (村) ซึ่งเรียกรวมกันว่าชิโจซง
- ↑ "City-merger talks on increase". The Japan Times. 2002-01-26. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ "合併相談コーナー". Ministry of Internal Affairs and Communications. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ "Japan Information—Page 1". WorldInfoZone.com. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- ↑ "Chapter 2 Population: Population Density and Regional Distribution". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Chapter 1 Land and Climate: Land". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ Tectonic Plates
- ↑ 日本付近で発生した主な被害地震(平成8年~平成20年5月) Japan Meteorological Agency(ญี่ปุ่น)
- ↑ 過去の地震災害(1995年以前) Japan Meteorological Agency(ญี่ปุ่น)
- ↑ Attractions: Hot Springs Japan National Tourist Organization
- ↑ "Foehn phenomenon". Matsue Local Meteorological Observatory. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02.(ญี่ปุ่น)
- ↑ "瀬戸内海国立公園:自然環境の概要". Ministry of the Environment. สืบค้นเมื่อ 2008-11-04.(ญี่ปุ่น)
- ↑ 台風の発生数、接近数、上陸数、経路 Japan Meteorological Agency(ญี่ปุ่น)
- ↑ The Japanese Economy Takahashi Ito, pp 3-4.
- ↑ "Japan: Patterns of Development". country-data.com. 1994. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help) - ↑ "World Factbook; Japan—Economy". CIA. 2006-12-19. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- ↑ "That sinking feeling". The Economist. 2008-10-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-1.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "In Japan, Financial Crisis Is Just a Ripple". The New York Times. 2008-09-19. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "Japan's economy 'worst since end of WWII'". CNN. 2009-02-16. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16.
- ↑ 86.0 86.1 "World Economic Outlook Database; country comparisons". ไอเอ็มเอฟ. 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2007-03-14.
- ↑ "NationMaster; Economy Statistics". NationMaster. สืบค้นเมื่อ 2007-03-26.
- ↑ Chapter 6 Manufacturing and Construction, Statistical Handbook of Japan, Ministry of Internal Affairs and Communications
- ↑ 89.0 89.1 "労働力調査(速報)平成19年平均結果の概要" (PDF). Statistic Bureau. สืบค้นเมื่อ 2008-11-01.
- ↑ Summary Statistics Groningen Growth and Development Centre, Sep 2008
- ↑ [1] Forbes Global 2000 Retrieved on 2008-11-02
- ↑ Market data. New York Stock Exchange (2006-01-31). Retrieved on 2007-08-11.
- ↑ "Criss-crossed capitalism". The Economist. 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "Going hybrid". The Economist. 2007-11-29. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02.
- ↑ "Total area and cultivated land area". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ "Total population and agricultural population". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ 農林水産省国際部国際政策課 (2006-05-23). "農林水産物輸出入概況(2005)" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2007-09-13.
- ↑ "Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ 100.0 100.1 Chapter 7 Energy, Statistical Handbook of Japan 2007
- ↑ จนเป็นต้นเหตุสำคัญของอุบัติเหตุรถไฟตกรางที่จังหวัดเฮียวโงะใน พ.ศ. 2548 Japan's train crash: Your reaction BBC News 2005-05-02
- ↑ "Year to date Passenger Traffic". Airports Council International. 2008-08.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Japan's Road to Deep Deficit Is Paved With Public Works". The New York Times. 1997-03-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Outlook Bleak for Saga Airport Profitability". Fukuoka Now. 2008-07-31. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ Science and Innovation: Country Notes, Japan OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, OECD
- ↑ "Japanese led world in filing of patent applications in 2005". The Japan Times. 2007-08-11. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ 107.0 107.1 "Compendium of Patent Statistics" (PDF). โออีซีดี. 2008. สืบค้นเมื่อ 2008-11-26.
- ↑ "World Motor Vehicle Production by Country" (PDF). OICA. 2006. สืบค้นเมื่อ 2007-07-30.
- ↑ iSuppli Corporation supplied forecast rankings for 2007 iSuppli
- ↑ 110.0 110.1 World Robotics 2005 United Nations Economic Commission for Europe. Retrieved on 2008-11-09
- ↑ Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies Union of Concerned Scientists
- ↑ [www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy
- ↑ "太陽光発電技術の現状". 国立環境研究所. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ "Japan's renewable energy drive runs out of steam". The Japan Times. 2007-06-05. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ "Press Release". JAXA. 2008-07-08. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ "Population Census: Total Population". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Population Census: Foreigners". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Sue Sumii". The Economist. 1997-07-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
- ↑ "The World Factbook: Rank order—Life expectancy at birth". CIA. 2008-10-23. สืบค้นเมื่อ 2008-11-5.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 120.0 120.1 "Statistical Handbook of Japan: Chapter 2 Population". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Population Census: Population by Age". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Cloud of population decline may have silver lining". The Japan Times. 2002-09-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-05.
- ↑ 世界各国の宗教 (2000年) อ้างอิงจาก電通総研日本リサーチセンター、世界主要国価値観データブック
- ↑ The World Factbook; Japan-People CIA (2008)
- ↑ Lucien Ellington (2005-09-01). "Japan Digest: Japanese Education". Indiana University. สืบค้นเมื่อ 2006-04-27.
- ↑ "第2章 人口・世帯: 2-3 都市別人口". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. 2010-01-02.
- ↑ Lucien Ellington (2003-12-01). "Beyond the Rhetoric: Essential Questions About Japanese Education". Foreign Policy Research Institute. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ "School Education" (PDF). MEXT. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.
- ↑ Kate Rossmanith (2007-02-05). "Rethinking Japanese education". The University of Sydney. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ Gakureki Shakai
- ↑ OECD’s PISA survey shows some countries making significant gains in learning outcomes, OECD, 04/12/2007. Range of rank on the PISA 2006 science scale
- ↑ "Overview of the Social Insurance Systems". Social Insurance Agency. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Health Insurance: General Characteristics". National Institute of Population and Social Security Research. สืบค้นเมื่อ 2007-03-28.
- ↑ Victor Rodwin. "Health Care in Japan". New York University. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.
- ↑ 136.0 136.1 "Japanese Culture". Windows on Asia. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "A History of Manga". NMP International. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.
- ↑ Leonard Herman, Jer Horwitz, Steve Kent, and Skyler Miller. "The History of Video Games". Gamespot. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
{{cite web}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 139.0 139.1 "Japan Fact Sheet: Music" (PDF). Web Japan. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "J-Pop History". The Observer. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ "Seiji Ozawa (Conductor)". 2007-06-22. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Midori Goto: From prodigy to peace ambassador". 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ なぜか「第9」といったらベートーヴェン、そして年末。
- ↑ 144.0 144.1 "Japanese Culture: Literature". Windows on Asia. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "万葉集-奈良時代". Kyoto University Library. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ The Tale of Genji
- ↑ 147.0 147.1 "Japanese Culture: Literature (Recent Past)". Windows on Asia. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ 148.0 148.1 "สำรวจญี่ปุ่น: ปฏิทินประจำปี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม กีฬา" (PDF). สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "The Nobel Prize in Literature 1968". Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-18.
- ↑ "Kenzaburo Oe The Nobel Prize in Literature 1994". Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-18.
- ↑ 151.0 151.1 151.2 "Japan Fact Sheet: SPORTS" (PDF). Web Japan. สืบค้นเมื่อ 2008-11-19.
- ↑ "Sumo: East and West". PBS. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.
- ↑ Nagata, Yoichi and Holway, John B. (1995). "Japanese Baseball". ใน Pete Palmer (บ.ก.). Total Baseball (fourth edition ed.). New York: Viking Press. p. 547.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ "Soccer as a Popular Sport: Putting Down Roots in Japan" (PDF). The Japan Forum. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ "Traditional Dishes of Japan". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ 156.0 156.1 "Japanese Food Culture" (PDF). Web Japan. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "Japanese Delicacies". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "Seasonal Foods" (PDF). The Japan Forum. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ Japanese Food Japan Reference
- ↑ "Local cuisine of Hokkaido". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "茶ができるまで". 全国茶生産団体連合会・全国茶主産府県農協連連絡協議会. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "The Sake Brewing Process". สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "Shochu". The Japan Times. 2004-05-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
ดูเพิ่ม
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- Christopher, Robert C., The Japanese Mind: the Goliath Explained, Linden Press/Simon and Schuster, 1983 (ISBN 0-330-28419-3)
- De Mente, The Japanese Have a Word For It, McGraw-Hill, 1997 (ISBN 0-8442-8316-9)
- Henshall, A History of Japan, Palgrave Macmillan, 2001 (ISBN 0-312-23370-1)
- Jansen, The Making of Modern Japan, Belknap, 2000 (ISBN 0-674-00334-9)
- Johnson, Japan: Who Governs?, W.W. Norton, 1996 (ISBN 0-393-31450-2)
- Ono et al., Shinto: The Kami Way, Tuttle Publishing, 2004 (ISBN 0-8048-3557-8)
- Reischauer, Japan: The Story of a Nation, McGraw-Hill, 1989 (ISBN 0-07-557074-2)
- Sugimoto et al., An Introduction to Japanese Society, Cambridge University Press, 2003 (ISBN 0-521-52925-5)
- Van Wolferen, The Enigma of Japanese Power, Vintage, 1990 (ISBN 0-679-72802-3)
- Shinoda, Koizumi Diplomacy: Japan’s Kantei Approach to Foreign and Defense Affairs, University of Washington Press, 2007 (ISBN 0-295-98699-9)
- Pyle, Japan Rising: The Resurgence of Japanese Power and Purpose, Public Affairs, 2007 (ISBN 1-58648-567-9)
- Samuels, Securing Japan: Tokyo's Grand Strategy and the Future of East Asia, Cornell University Press, 2008 (ISBN 0-8014-7490-6)
- Flath, The Japanese Economy, Oxford University Press, 2000 (ISBN 0-19-877503-2)
- Ito et al., Reviving Japan's Economy: Problems and Prescriptions, MIT Press, 2005 (ISBN 0-262-09040-6)
- Iwabuchi, Recentering Globalization: Popular Culture and Japanese Transnationalism, Duke University Press, 2002 (ISBN 0-8223-2891-7)
- Silverberg, Erotic Grotesque Nonsense: The Mass Culture of Japanese Modern Times, University of California Press, 2007 (ISBN 0-520-22273-3)
- Varley, Japanese Culture, University of Hawaii Press, 2000 (ISBN 0-8248-2152-1)
- Ikegami, Bonds Of Civility: Aesthetic Networks And The Political Origins Of Japanese Culture, Cambridge University Press, 2005 (ISBN 0-521-60115-0)
- Stevens, Japanese Popular Music: Culture, Authenticity and Power, Routledge, 2007 (ISBN 0-415-38057-X)
- Macwilliams, Japanese Visual Culture: Explorations in the World of Manga and Anime, M.E. Sharpe, 2007 (ISBN 0-7656-1602-5)
แหล่งข้อมูลอื่น
- ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
- ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว
- สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
- สำนักพระราชวังญี่ปุ่น
- กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น
- สำนักงานรัฐสภาญี่ปุ่น
- National Diet Library (English)
- NHK Online
- Kyodo News
- หนังสือพิมพ์โยมิอุริ (ภาษาอังกฤษ)
- หนังสือพิมพ์อาซาฮี (ภาษาอังกฤษ)
- The Japan Times
- องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น
- CIA World Factbook—Japan
- EIA Energy Profile for Japan
- Encyclopaedia Britannica's Japan portal site
- Guardian Unlimited—Special Report: Japan