ข้ามไปเนื้อหา

โตโยต้า คราวน์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โตโยต้า คราวน์
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตโตโยต้า
เริ่มผลิตเมื่อพ.ศ. 2498 – ปัจจุบัน
แหล่งผลิต
  • Japan:
  • Toyota, Aichi (Honsha plant, 1955–1959; Motomachi plant, 1959–ปัจจุบัน; Tsutsumi plant, 2022–ปัจจุบัน)
  • Australia[1]
  • Indonesia:
  • Jakarta (1976–1983; 1987–2000)
  • Philippines:
  • Parañaque (1967–1984; 1989–1997)
  • Santa Rosa, Laguna (1997–1999)
  • China:
  • Tianjin (TFTM) (2005–2020)
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งประเภทหรูหราขนาดกลาง; รถผู้บริหาร (Mid-Size Luxury Car; E)
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้าง
รุ่นที่คล้ายกันเชฟโรเลต อิมพาลา
ฟอร์ด คราวน์ วิกตอเรีย
โฮลเด้น คอมโมเดอร์
ไครสเลอร์ 300ซี
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์1.4-4.6 ลิตร I4, I6, V6, V8
ระยะเหตุการณ์
รุ่นก่อนหน้าไม่มี
รุ่นต่อไปโตโยต้า เครสสิด้า (สำหรับ อเมริกาเหนือ)
เล็กซัส จีเอส (โตโยต้า อริสโต)
โตโยต้า โซอาเรอร์ (ฮาร์ดท็อป 2 ประตู)

โตโยต้า คราวน์ (อังกฤษ: Toyota Crown) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราขนาดกลางของโตโยต้า พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนในประเทศญี่ปุ่น เริ่มต้นนั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นรถแท็กซี่[2] ตลอดช่วงการผลิตของคราวน์นั้น เป็นที่ปรากฏเพียงเล็กน้อยที่มีการใช้คราวน์แบบซีดานเป็นแท็กซี่ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2538 โตโยต้าได้แตกแขนงคราวน์แบบซีดานออกมาสำหรับใช้เป็นรถแท็กซี่โดยเฉพาะ คือ คราวน์ คอมฟอร์ท นอกจากนี้ โตโยต้า คราวน์ยังได้รับการไว้วางใจในกิจการตำรวจทั่วประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย รวมถึงการรับส่งเจ้าหน้าที่รัฐในทุกระดับ

ในประเทศญี่ปุ่น จะสามารถหาซื้อโตโยต้าคราวน์ได้เฉพาะช่องทางของตัวแทนจำหน่ายค้าปลีกของโตโยต้าเท่านั้น คราวน์จัดว่าเป็นรถซีดานที่เก่าแก่ที่สุดของโตโยต้าที่ยังอยู่ในสายการผลิต หากเทียบสถานะและเกียรติภูมิของคราวน์ในบรรดารถญี่ปุ่นแล้ว เป็นรองแต่เพียงคราวน์ มาเจสตา และ เซ็นทูรี เท่านั้น

โตโยต้า คราวน์ถูกใช้เป็นรถรับรองอย่างแพร่หลายในหลากบริษัทของญี่ปุ่น ในบางประเทศ โตโยต้า คราวน์จัดว่าเป็นรถที่มีราคาแพงมาก ดังนั้นเมื่อโตโยต้า เครสสิด้าได้รับการอนุญาตให้ส่งออกในต้นทศวรรษที่ 1980 คราวน์จึงถูกแทนที่ด้วยรถรุ่นดังกล่าว


Crown (クラウン)

ไม่ใช่แค่รถยนต์ของโตโยต้าเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่เป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดในบรรดารถของโตโยต้าอีกด้วย รุ่นแรกเปิดตัวในฐานะรถที่ออกแบบและผลิตในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมดเป็นครั้งแรก และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ได้ครองตำแหน่งรถระดับบนสุดในบรรดารถตลาดมวลชนของโตโยต้ามาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะรถหรู ดังจะเห็นได้จากสโลแกน “สักวันหนึ่งฉันจะได้ครอบครองคราวน์/สักวันหนึ่ง...ฉันจะขับคราวน์” (いつかはクラウン) ของรุ่นที่ 7

Crown ถูกพัฒนาให้เป็นรถยนต์ส่วนบุคคลสำหรับเจ้าของรถตั้งแต่เริ่มแรก และได้สะท้อนภาพลักษณ์ของรถหรูสัญชาติญี่ปุ่นที่ผู้บริโภคต้องการในแต่ละยุคสมัยผ่านแนวคิดของโตโยต้า นอกจากนี้ยังถูกใช้งานเป็นรถประจำตำแหน่งของหน่วยงานราชการ และรถประจำตำแหน่งขององค์กรธุรกิจต่าง ๆ อีกด้วย

ในอีกด้านหนึ่ง ไม่ได้มีเพียงภาพลักษณ์ของความหรูหราเท่านั้น แต่ยังเป็นที่นิยมใช้ในรูปแบบของรถเพื่อการพาณิชย์หรือรถเฉพาะกิจ เช่น แท็กซี่, รถลีมูซีน, รถฝึกหัดขับขี่, รถสายตรวจ และรถพยาบาล ด้วยเหตุผลด้านความน่าเชื่อถือ ความทนทาน และสมรรถนะในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม

รูปแบบตัวถังหลักของ Crown คือซีดาน แต่ในอดีตก็มีรูปแบบอื่น ๆ เช่น ฮาร์ดท็อป, สเตชั่นแวกอน, ไลท์แวน และรถกระบะ

รุ่นที่มียอดขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ Crown คือรุ่นที่ 8 ซึ่งเปิดตัวในปี 1987 (โชวะ 62)


รุ่นย่อยต่าง ๆ

[แก้]

หัวข้อนี้จะกล่าวถึง Crown สายหลักที่มีตัว Royal เป็นรุ่นหลัก สำหรับรุ่นย่อยหรือรุ่นที่เปลี่ยนตรา (รีแบดจ์) โปรดดูบทความแยก

  • Crown Majesta (クラウンマジェスタ) เป็นรุ่นหรูระดับบนที่วางจำหน่ายตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1989 ถึงเดือนมิถุนายน 2018 โดยก่อนปี 2013 ใช้ตัวถังเฉพาะของตนเอง แต่หลังจากปี 2013 เป็นต้นมา (รุ่น S210) ได้เปลี่ยนมาใช้ตัวถังที่ยืดฐานล้อของ Crown Royal และไม่ถือเป็นรุ่นแยกอีกต่อไป
  • Crown Estate (クラウンエステート) เป็นรุ่นสเตชั่นแวกอนของ Crown รุ่นที่ 11 ซึ่งวางจำหน่ายระหว่างปี 1999 - 2007 และ SUV ตัวถังสเตชั่นแวกอนของ Crown รุ่นที่ 16 ที่เปิดตัวในปี 2025
  • Crown Sedan (クラウンセダン) เป็นสายการผลิตที่มีมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 1974 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2018 และกลับมาอีกครั้งในปี 2023 ในฐานะซีดานหรู รุ่นก่อนหน้านั้นใช้ชื่อแยกเพื่อแยกความแตกต่างจากรุ่นฮาร์ดท็อปที่เป็นกระแสหลักในยุคนั้น ส่วนรุ่นปี 2023 เป็นต้นมา ถือเป็นหนึ่งในรุ่นหลักในไลน์อัพของ Crown และมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า "Crown"
  • Toyota XS10 / Crown Comfort / Crown Sedan (トヨタ・XS10) Crown Comfort (ธันวาคม 1995 – พฤษภาคม 2017) เป็นรถพี่น้องของ Toyota Comfort และ Crown Sedan (สิงหาคม 2001 – มิถุนายน 2017) เป็นรุ่นที่เสริมการตกแต่งภายในภายนอกและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ครบครันมากขึ้น ทั้งสองรุ่นถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความทนทานและต้นทุนในการใช้งานสำหรับรถแท็กซี่, รถราชการ แม้จะใช้ชื่อ "Crown" และมีดีไซน์ที่คล้ายคลึงกัน แต่ถือเป็นสายการผลิตที่แยกออกมาต่างหากโดยสิ้นเชิงไม่เกี่ยวข้องกันกับคราวน์สายหลัก
  • Crown Vellfire (クラウンヴェルファイア) เป็นมินิแวนที่ FAW Toyota ประเทศจีนวางจำหน่ายในตลาดจีนระหว่างปี 2021 ถึง 2023 เป็นรุ่นรีแบดจ์ของ Alphard/Vellfire ตามชื่อ
  • Crown Kluger (クラウンクルーガー) เป็น SUV ที่ FAW Toyota เริ่มวางจำหน่ายในตลาดจีนตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา เป็นรุ่นรีแบดจ์ของ Toyota Kluger
  • Crown Crossover (クラウンクロスオーバー) เป็นครอสโอเวอร์ SUV ที่วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2022
  • Crown Sport (クラウンスポーツ) แฮทช์แบ็กที่เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2023

Crown Athlete (クラウンアスリート)

[แก้]

ใน Crown รุ่นที่ 8 และรุ่นที่ 11 ถึง 14 ได้มีการตั้งค่ารุ่นย่อยที่ชื่อว่า "Crown Athlete" ซึ่งเป็นรุ่นที่เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ มีสไตล์แบบสปอร์ต แตกต่างจากรุ่น Royal ที่มุ่งเน้นความหรูหรา โดยมีลักษณะภายนอกแบบรถสปอร์ต, การติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ, การเพิ่มขนาดความจุของเครื่องยนต์ และการพัฒนาในด้านสมรรถนะอื่น ๆ


Toyopet Crown – รุ่นที่ 1 (RS/S10/S20/S30; พ.ศ. 2498-2505)

[แก้]
Toyopet Crown รุ่นที่ 1 (RS/S10/S20/S30)
Toyopet Crown รุ่นแรก
Toyopet Crown 1900 Deluxe RS31
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อJanuary 1955–September 1962
แหล่งผลิต
  • Japan:
  • Koromo plant (now Honsha plant: 1955–1958)
  • Motomachi plant (1959–1962)
ผู้ออกแบบKenya Nakamura
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
รุ่นที่คล้ายกัน
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
  • 1,453 cc R I4 (RS, RS20)
  • 1,897 cc 3R I4 (RS30)
  • 1,491 cc C diesel I4 (CS20)
  • 3,386 cc B I6 (Patrol Car/Ambulance)
  • 3,878 cc F I6 (Patrol Car/Ambulance)
มิติ
ระยะฐานล้อ2,530 mm (99.6 in)
ความยาว4,285 mm (168.7 in)
ความกว้าง1,679 mm (66.1 in)
ความสูง1,524 mm (60.0 in)
น้ำหนัก1,152–1,216 kg (2,540–2,681 lb)

โฉมนี้ ใช้รหัสโมเดลว่า โมเดล RS กับโมเดล S30 เริ่มการผลิตครั้งแรกใน พ.ศ. 2498 โดยในช่วงแรก เครื่องยนต์จะเป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็ก 1.5 ลิตร แต่ต่อมาก็มีเครื่องยนต์รุ่นพิเศษ ขนาด 1.9 ลิตร แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังใช้เครื่องขนาด 1.5 ลิตร เป็นมาตรฐานไปจนจนยุคของโฉมใน พ.ศ. 2505 โดยจุดเด่นของรุ่นนี้มีทั้งช่วงล่างแบบ ดับเบิ้ลวิชโบน (ในช่วงล่างด้านหน้า ส่วนด้านหลังยังคงเป็นแบบแหนบ) และ ใช้เกียร์กึ่งอัตโนมัติ 2 จังหวะในชื่อ Toyoguild

รถรุ่นนี้เริ่มต้นการพัฒนาในปี 1952 (โชวะ 27) โดยมี "ระบบหัวหน้าผู้ดูแลโครงการ" ซึ่งเป็นระบบเฉพาะของโตโยต้าที่เริ่มใช้งานในปี 1953 (โชวะ 28) โดยมีวิศวกรที่ทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการคือ เคนยะ นาคามูระ เป็นหัวหน้าโครงการ แม้จะใช้ชิ้นส่วนของรถอเมริกันเป็นต้นแบบ แต่รถคันนี้ก็ถูกออกแบบและพัฒนาด้วยดีไซน์และเทคโนโลยีของญี่ปุ่นล้วน ๆ โดยไม่ได้ร่วมมือกับผู้ผลิตจากต่างประเทศแต่อย่างใด

การออกแบบภายนอกเป็นผลงานของฝ่ายดีไซน์ภายในของโตโยต้า ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากรถยนต์อเมริกันที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของรถหรูหลังสงครามแปซิฟิก โครงสร้างตัวถังโดดเด่นด้วยประตูแบบเปิดออกสองฝั่ง (suicide door) เพื่อความสะดวกในการขึ้น-ลงจากเบาะหลัง

เครื่องยนต์ที่ใช้คือเครื่องยนต์แบบ R ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง OHV ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 1.5 ลิตร 48 แรงม้า ซึ่งถูกนำมาจากรุ่นโตโยเพ็ท ซูเปอร์ ที่เปิดตัวมาก่อนหน้านั้นในปี 1953 ระบบเกียร์ธรรมดาแบบคอลัมน์ชิฟต์ 3 สปีด (ที่โตโยต้าเรียกว่ารีโมตคอนโทรล) มาพร้อมกับซิงโครไนเซอร์ในเกียร์ 2 และ 3 ความเร็วสูงสุดตามสเปกอยู่ที่ 100 กม./ชม.

แม้จะไม่เข้าเกณฑ์แนวคิด "รถยนต์สำหรับประชาชน" ที่กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมเสนอในปีเดียวกัน เนื่องจากทั้งสเปกเครื่องยนต์และราคาจำหน่าย (1,015,000 เยน) สูงเกินไป แต่มันก็ถือเป็น "สัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม" ตั้งแต่เริ่มเปิดตัว

โครงสร้างแชสซีที่ใช้ไม่ใช่เฟรมพื้นฐานร่วมกับรถบรรทุกแบบเดิม แต่เป็นแชสซีแบบพื้นเตี้ยที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับรถยนต์นั่ง ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังเป็นเพลาทรงตัวแข็งหรือที่เรียกกันว่าคานแข็ง (Rigid Axle) แขวนด้วยแหนบรูปครึ่งวงรี เนื่องจากในยุคนั้นถนนในญี่ปุ่นยังไม่ได้รับการปูยางอย่างทั่วถึง การใช้ระบบกันสะเทือนแบบอิสระจึงแทบไม่มีในรถญี่ปุ่น โตโยต้าเคยพยายามใช้กับรุ่น Toyopet SA ในปี 1947 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะขาดความทนทาน อย่างไรก็ตาม คราวน์สามารถเอาชนะข้อกังวลนี้ได้ด้วยการทดสอบวิ่งระยะยาวจนพัฒนาเป็นระบบกันสะเทือนอิสระที่ทนทานพอสำหรับถนนแย่ ๆ

ด้านหลังยังคงใช้เพลาคงที่ แต่ด้วยผลงานวิจัยของศาสตราจารย์วะตะริ อะสึชิ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว จึงลดจำนวนแผ่นแหนบเหลือเพียง 3 แผ่นเพื่อลดแรงเสียดทานระหว่างแผ่น เพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ พร้อมกับใช้เทคนิคเสริมความแข็งแรงของเหล็กด้วยการ shot peening และติดตั้งโช้กอัพควบคู่กัน ซึ่งต่อมากลายเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรม

ในส่วนของระบบส่งกำลัง คราวน์เป็นรถญี่ปุ่นคันแรกที่ใช้เฟืองไฮพอยด์ (Hypoid gear) เพื่อช่วยให้พื้นรถต่ำลงและลดเสียงรบกวน โตโยต้าจึงนำเข้าเครื่องเจียรเฟืองไฮพอยด์ของบริษัท Gleason จากสหรัฐฯ ภายในปี 1953 เพื่อรองรับการผลิตจำนวนมาก

เพื่อตอบรับกับการผลิตจำนวนมากด้วยระบบปั๊มขึ้นรูป (press forming) อย่างจริงจัง โตโยต้านำเข้าเครื่องปั๊มไฮเทคของบริษัท Danly จากอเมริกา 14 เครื่องไปติดตั้งในโรงงาน Motomachi ซึ่งเครื่องหนึ่งในนั้นยังจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีอุตสาหกรรมโตโยต้าจนถึงปัจจุบัน

ในขณะที่รุ่นคราวน์มุ่งเป้าไปที่รถหรูสำหรับบุคคลทั่วไป ในตลาดรถแท็กซี่และพาณิชย์ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความทนทานของระบบกันสะเทือนอิสระ โตโยต้าจึงมอบหมายให้บริษัท Kanto Auto Works ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ออกแบบและผลิตรุ่น “Toyopet Master” (รถซีดาน) และรุ่นเพื่อการพาณิชย์คือ “Masterline” (ไลท์แวนและปิกอัพ) โดยใช้โครงสร้างแขวนล้อแบบแหนบหลายชั้น ทั้งล้อหน้าและหลังเพื่อความแข็งแกร่งแบบเดียวกับรถบรรทุก แต่ใช้ระบบส่งกำลังเดียวกับคราวน์

อย่างไรก็ตาม เมื่อคราวน์เริ่มถูกนำไปใช้ในรถแท็กซี่และพิสูจน์ได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องความทนทาน ระบบกันสะเทือนอิสระก็ได้รับการยอมรับ ส่งผลให้รุ่น Master ถูกยกเลิกในระยะเวลาอันสั้น ส่วน Masterline ก็เปลี่ยนไปใช้โครงสร้างตัวถังเดียวกับคราวน์รุ่น S20 ในเวลาต่อมา แม่พิมพ์สำหรับปั๊มขึ้นรูปของ Master ที่เหลืออยู่ถูกนำไปใช้ในรุ่น Stout และ Corona รุ่นแรก เพื่อลดการสูญเสียจากการยุติการผลิตอย่างกะทันหัน


ปี 1955 (โชวะ 30)

[แก้]
  • 1 มกราคม – เปิดตัวจำหน่าย
  • 1 ธันวาคม – เพิ่มรุ่น Toyopet Crown Deluxe (RSD) ที่มาพร้อมวิทยุหลอดสุญญากาศและเครื่องทำความร้อน ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกระดับรถหรูในยุคนั้น

ปี 1956 (โชวะ 31)

[แก้]
  • ขับรถจากลอนดอนไปโตเกียว ระยะทางรวมประมาณ 50,000 กม. ได้สำเร็จ

ปี 1957 (โชวะ 32)

[แก้]
  • เข้าร่วมการแข่งขัน Round Australia Trial (ชื่อทางการคือ Mobilgas Trial) และสามารถเข้าเส้นชัยได้ โดยได้อันดับรวมที่ 47 และรางวัลอันดับ 3 ในกลุ่มต่างประเทศ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตของโตโยต้า

ปี 1958 (โชวะ 33)

[แก้]
  • ตุลาคม – มีการไมเนอร์เชนจ์ใหญ่ เปลี่ยนรหัสรุ่นจาก RS เป็น RS20 และปรับดีไซน์ภายนอกครั้งใหญ่ (facelift ครั้งแรกของคราวน์) พร้อมติดตั้งระบบ overdrive
  • ตุลาคม 1959 – เพิ่มรุ่นเครื่องดีเซล C รุ่น CS20 ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งเชิงพาณิชย์เครื่องดีเซลรุ่นแรกของญี่ปุ่น แต่ผลิตในจำนวนน้อยและเลิกผลิตในเดือนมีนาคม 1961

ปี 1960 (โชวะ 35)

[แก้]
  • ตุลาคม – ไมเนอร์เชนจ์อีกครั้ง จากการเปลี่ยนมาตรฐานรถยนต์ขนาดเล็กในญี่ปุ่น (จากขนาด 4,300×1,600×2,000 มม. และเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี เป็น 4,700×1,700×2,000 มม. และไม่เกิน 2,000 ซีซี) รหัสรุ่นเปลี่ยนเป็น RS21 เพิ่มรุ่น 1900 Deluxe (RS31D) ที่ใช้เครื่องยนต์ 3R ขนาด 1.9 ลิตร และเปิดตัวรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 2 จังหวะที่เรียกว่า Toyoglide ล้อเปลี่ยนจาก 15 นิ้วเป็น 13 นิ้ว และรูปแบบน็อตล้อเปลี่ยนจาก 6 รู 139.7 มม. เป็น 5 รู 114.3 มม.

ปี 1961 (โชวะ 36)

[แก้]
  • มีนาคม – เพิ่มรุ่น 1900 Standard (RS31) และยกเลิกรุ่น 1500 ทั้งหมด รวมถึงรุ่นดีเซล โดยในความเป็นจริงแล้ว รุ่น Corona รุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวในเวลาใกล้เคียงกันและใช้เครื่องยนต์ R 1.5 ลิตร ได้รับบทบาทแทนรุ่น 1500 ของคราวน์

สเปครถส่งออก

[แก้]

ตุลาคม 1957 – เริ่มส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท Toyota Motor Sales, U.S.A., Inc. (TMS) ซึ่งก่อตั้งโดยโตโยต้า มอเตอร์ อินดัสทรี และโตโยต้า มอเตอร์ เซลส์ เป็นรถส่งออกสู่สหรัฐฯ คันแรกของโตโยต้า และเป็นพวงมาลัยซ้าย

เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรมีแรงไม่พออย่างชัดเจน ไม่สามารถขับขึ้นทางลาดของทางด่วนระหว่างรัฐที่เริ่มแพร่หลายได้อย่างราบรื่น แม้จะเปลี่ยนเป็นเครื่อง 1.9 ลิตรในภายหลัง แต่ก็ยังมีปัญหาเครื่องร้อนเกินในความเร็วสูงต่อเนื่อง และโครงสร้างแชสซีก็มีปัญหาเรื่องความมั่นคง

ผู้ใช้ร้องเรียนว่า "เช้า ๆ สตาร์ทรถไม่ได้เพราะแบตหมด" ระบบไฟไม่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ราคายังแข่งขันไม่ได้ เพราะแพงกว่ารถอเมริกันขนาดฟูลไซส์รุ่นพื้นฐาน 6 สูบ หรือแม้แต่รถขนาดคอมแพกต์ของ AMC Rambler ที่ใหญ่กว่าคราวน์ แต่ถูกกว่า

ด้วยช่องว่างด้านเทคโนโลยีที่ยังห่างไกลจากรถอเมริกันในขณะนั้น จึงถูกล้อเลียนว่า “TOYPET (ของเล่น)” แทน TOYOPET ทำให้ในปี 1960 โตโยต้าต้องระงับการส่งออกไปสหรัฐฯ ชั่วคราว

แม้จะก่อตั้งเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายไว้แล้ว แต่เมื่อไม่มีสินค้าหลักเหลือ จึงต้องใช้ Land Cruiser เป็นตัวแทนจนกว่าจะสามารถส่งออกคราวน์รุ่นปรับปรุงใหม่และรุ่น Tiara ได้อีกครั้ง


ยอดการจดทะเบียนรถใหม่ของคราวน์รุ่นแรกจนถึงเดือนสุดท้ายของการผลิต:

[แก้]

153,528 คัน

แกลอรี่รุ่นแรก

[แก้]
1955 Toyopet Crown
1955 Toyopet Crown 
1957 Toyopet Crown
1957 Toyopet Crown 
1958 Toyopet Crown
1958 Toyopet Crown 
1960 Toyopet Crown
1960 Toyopet Crown 
1961 Toyopet Crown
1961 Toyopet Crown 
1962 Toyopet Crown
1962 Toyopet Crown 
Toyopet Masterline (rear)
Toyopet Masterline (rear) 
1962 Toyopet Crown 1900 3R I4 (RS30)
1962 Toyopet Crown 1900 3R I4 (RS30) 

Toyopet Crown – รุ่นที่ 2 (S40; พ.ศ. 2505-2510)

[แก้]
Toyopet Crown รุ่นที่ 2 (S40)
Crown Sedan MS45
4-door sedan Crown S40
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ
  • October 1962–September 1967
  • February 1967–unknown (Australia)[3]
แหล่งผลิต
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
รุ่นที่คล้ายกันToyopet Masterline
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 3-speed manual
  • 4-speed manual
  • 2-speed Toyoglide automatic
มิติ
ระยะฐานล้อ2,690 mm (105.9 in)
ความยาว
  • 4,610 mm (181.5 in)
  • 4,688 mm (184.6 in) (wagon)
ความกว้าง
  • 1,695 mm (66.7 in)
  • 1,670 mm (65.7 in) (wagon)
ความสูง1,460 mm (57.5 in)
น้ำหนัก
  • 1,265 kg (2,789 lb)
  • 1,354 kg (2,985 lb) (wagon)

โฉมนี้ ใช้รหัสโมเดลว่า โมเดล S40 เริ่มผลิตครั้งแรกใน พ.ศ. 2505 โดยในช่วงแรกจะเป็นเครื่องยนต์มาตรฐาน 4 สูบ แต่ตั้งแต่ พ.ศ. 2508 ก็เริ่มมีการผลิตเครื่องยนต์คราวน์รุ่น M ซึ่งมี 6 สูบ แต่ในโฉมนี้ คราวน์เริ่มมีการผลิตรถแบบ Wagon ซึ่งก็จะผลิตคู่กับคราวน์แบบซีดานต่อไป

โฉมนี้ คราวน์มีความกว้าง ยาว และความดึงดูดใจลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะใน พ.ศ. 2507 ก็เริ่มมีการผลิตรุ่น Crown Eight ใช้พลังจากเครื่องยนต์ V8 2.6 ลิตร ระบบเกียร์อัตโนมัติในรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาต่อมา เป็นแบบอัตโนมัติทั้งระบบ โดยยังคงใช้ชื่อเรียกจากรุ่นที่แล้ว

ตัวถังที่ใหญ่ขึ้นตามมาตรฐานรถยนต์ขนาดเล็กใหม่

ตามมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ขนาดเล็ก ตัวถังของรุ่นนี้จึงยาวและกว้างกว่ารุ่นก่อน โดยการออกแบบภายนอกได้รับอิทธิพลอย่างมากจากรถยนต์อเมริกันในยุคนั้น ใช้แนวทางที่เรียกว่า “Flat Deck Style” ซึ่งมี Ford Falcon ปี 1960 เป็นต้นแบบโดยตรง จุดเด่นคือ ไฟถอยหลังที่รวมเข้ากับไฟท้ายในดีไซน์ “ตาเศร้า” และกระจังหน้า–แถบตกแต่งด้านท้ายที่ทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์ (duralumin) โดยใช้ตัว “T” ซึ่งเป็นอักษรย่อของ Toyota เป็นแรงบันดาลใจ

ตรา "มงกุฎ" ที่กระจังหน้า

ตราสัญลักษณ์ "มงกุฎ" ที่ติดตั้งที่กระจังหน้าของรุ่นนี้ ได้กลายเป็นดีไซน์มาตรฐานที่ใช้ต่อเนื่องมายาวนานจนถึงรุ่นที่ 11 (รุ่นที่ 12 เป็นต้นไป มีการปรับแต่งบางส่วน)

พัฒนาเพื่อรองรับ “ยุคทางด่วน”

ในด้านสมรรถนะ มีการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อให้รองรับ “ยุคของทางด่วน” ที่เริ่มต้นในขณะนั้น โดยโครงสร้างตัวถังเปลี่ยนจากแบบ Ladder Frame ต่ำของรุ่นแรก มาเป็นเฟรมแบบ X ที่มีความแข็งแรงมากกว่า ซึ่งเป็นเลย์เอาต์ที่ General Motors นำมาใช้ใน Cadillac ปี 1957 และใช้กับ Pontiac และ Chevrolet ในปีถัดมา (1958) ก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นเฟรมแบบ Perimeter ในช่วงกลางทศวรรษ 1960

สไตล์ภายนอกที่คล้าย Ford และการใช้เฟรมแบบ X นี้ บ่งบอกถึงอิทธิพลจากรถยนต์อเมริกันที่ยังคงชัดเจน

เครื่องยนต์

ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง OHV รหัส 3R (ขนาด 1.9 ลิตร) ต่อไป แต่ห้องเครื่องได้รับการออกแบบไว้แต่แรกให้สามารถติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงได้ง่าย รุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบ M (ซึ่งเป็น SOHC รุ่นแรกของ Toyota ด้วย) เริ่มวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 1965

รุ่นตัวถังและเกียร์

นอกจากรุ่น Sedan (RS40/RS41) แล้ว ยังมี Wagon ที่เรียกว่า “Custom” (รหัส RS46G) ซึ่งมีระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติ Toyoglide ทั้งใน Sedan และ Custom

Custom ใช้ตัวถังร่วมกับ Masterline S40 Van แต่ตกแต่งภายในเทียบเท่ารถเก๋ง พร้อมเบาะเสริมแบบ Jump Seat พับเก็บได้สำหรับผู้โดยสาร 2 คนในห้องสัมภาระ

การแข่งขันและการผลิตในต่างประเทศ

ในรายการ Japan Grand Prix ครั้งที่ 1 นักแข่ง Hiroaki Taga ได้คว้าชัยในรุ่นของเขา

ในเกาหลีใต้ บริษัทรถยนต์ Shinjin (ปัจจุบันคือ GM Korea) ได้ประกอบรถรุ่นนี้แบบ Knock-Down ซึ่งการผลิตโดย Shinjin ดำเนินต่อไปจนถึงรุ่น “ปลาวาฬ (Kujira) Crown”

พรีเซนเตอร์โฆษณา

เริ่มจากรุ่นนี้ นักแสดงชื่อดัง Sou Yamamura ได้รับเลือกเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา ซึ่งดำรงตำแหน่งนี้อย่างยาวนานจนถึงรุ่นที่ 6 ในปี 1983 (ยกเว้นช่วงเปิดตัวรุ่นที่ 4)


ไทม์ไลน์ของรุ่นนี้:

[แก้]
  • 21 กันยายน 1962 – เปิดตัว
  • 1 ตุลาคม 1962 – เริ่มวางจำหน่าย
  • กันยายน 1963 – ปรับโฉมเล็ก: กระจังหน้าขนาดใหญ่ขึ้น, ไฟถอยเปลี่ยนเป็นทรงสี่เหลี่ยมแยกจากไฟท้าย, เกียร์ธรรมดาเป็นแบบ Full Synchromesh, Toyoglide เปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
  • เมษายน 1964 – เปิดตัวรุ่นหรู “Crown Eight” (รหัส VG10): ขยายขนาดตัวถังรอบด้าน, ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 รุ่นแรกของญี่ปุ่น
  • กรกฎาคม 1965 – ปรับโฉมอีกครั้ง: ไฟเลี้ยวหน้าเปลี่ยนไปฝังในกันชน, ไฟท้ายเปลี่ยนจากทรงกลมสีแดงล้วนเป็นชุดไฟแนวนอน, เพิ่มรุ่น “RS40-B” (ต่อมาเรียกว่า “Owner Special”) ที่เน้นลูกค้ารายบุคคลด้วยอุปกรณ์ที่เรียบง่ายกว่ารุ่น Deluxe
  • พฤศจิกายน 1965 – เพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ 6 สูบ SOHC M (รุ่น MS40): มีทั้งรุ่น Deluxe และรุ่นสปอร์ต “Crown S” ที่ติดตั้งดิสก์เบรกหน้า, คาร์บูเรเตอร์คู่, เกียร์พื้น, และวัดรอบ โดยเครื่องยนต์ M-B ในรุ่นนี้ให้พละกำลัง 125 PS เทียบกับรุ่นปกติที่มี 105 PS
  • มีนาคม 1966 – เพิ่มเครื่องยนต์ 6 สูบในรุ่น Custom, Standard, และ Owner Special
  • พฤศจิกายน 1966 – เพิ่มรุ่น “Super Deluxe” ที่เป็นเกรดสูงสุด มาพร้อมอุปกรณ์อย่างกระจกไฟฟ้า
  • กุมภาพันธ์ 1967 – เริ่มการผลิตในประเทศออสเตรเลียโดย Australian Motor Industries
  • กันยายน 1967 – ยุติการผลิตเมื่อมีการเปลี่ยนโฉมเป็นรุ่น MS5#/RS5# โดยมียอดจดทะเบียนสะสมก่อนยุติที่ประเทศญี่ปุ่นประมาณ 250,000 คัน
S40 Toyopet Crown Sedan
S40 Toyopet Crown Sedan 
S40 Toyopet Crown Wagon
S40 Toyopet Crown Wagon 
Toyopet Masterline coupe utility (pick up)
Toyopet Masterline coupe utility (pick up) 

Crown Eight (G10)

[แก้]
โตโยต้า คราวน์ Eight (G10)
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อเมษายน พ.ศ. 2507 – กรกฎาคม พ.ศ. 2510
แหล่งผลิตJapan: Yokosuka (Kanto Auto Works)[4]
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง4-door sedan
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์2.6L (2599cc) V V8
ระบบเกียร์3-speed automatic column
มิติ
ระยะฐานล้อ2,750 mm (108 in)
ความยาว4,720 mm (186 in)
ความกว้าง1,845 mm (72.6 in)
ความสูง1,460 mm (57 in)
น้ำหนัก1,375 kg (3,031 lb)
ระยะเหตุการณ์
รุ่นต่อไปโตโยต้า เซ็นจูรี

คราวน์เอท (CROWN EIGHT) คือ รถยนต์นั่งหรูขนาดใหญ่ที่โตโยต้า มอเตอร์ ผลิตระหว่างปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) ถึง 1967 (พ.ศ. 2510)

นี่คือรถยนต์นั่งที่ผลิตในญี่ปุ่นคันแรกที่ติดตั้งเครื่องยนต์แบบ V8 และความสำเร็จของรุ่นนี้เอง ได้นำไปสู่การพัฒนา Toyota Century ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510)


ภาพรวม

[แก้]

Toyota Crown ซึ่งเปิดตัวในปี ค.ศ. 1955 (พ.ศ. 2498) ได้ครองตลาดรถยนต์ส่วนบุคคล รวมถึงรถแท็กซี่และรถเช่าอย่างแพร่หลายในช่วงต้นทศวรรษ 1960 แต่สำหรับรถยนต์ราชการหรือรถสำหรับ VIP ในหน่วยงานราชการและบริษัทใหญ่ ยังเป็นรถยนต์ฟูลไซซ์ที่นำเข้าจากอเมริกาเป็นหลัก

โตโยต้าจึงมุ่งเจาะตลาดดังกล่าว โดยในงาน All Japan Motor Show (โตเกียวมอเตอร์โชว์) ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506) ได้จัดแสดงรถซีดานขนาดใหญ่ที่พัฒนาขึ้นจาก Crown รุ่น RS40 เป็นครั้งแรก และในวันที่ 20 เมษายน ปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) ก็ได้วางจำหน่ายในชื่อ "Crown Eight" นับเป็นรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 (3-Number Car) คันแรกของโตโยต้า

รหัสรุ่นของ Crown Eight คือ VG10 ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าเป็นคนละโมเดลกับ Crown ทั่วไปโดยสิ้นเชิง ราคา ณ หน้าร้านในโตเกียวอยู่ที่ 1.65 ล้านเยน โดยตั้งเป้าการผลิตเบื้องต้นไว้ที่ 500 คันต่อปี

แม้ว่า Prince Gloria Grand รุ่นเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงขนาด 2.5 ลิตรจากบริษัท Prince Motors จะได้เป็นรถประจำตำแหน่งของราชวงศ์ญี่ปุ่นและสำนักงานราชวังหลวง แต่ Crown Eight ก็ถูกนำไปใช้เป็นรถประจำตำแหน่งของ นายกรัฐมนตรี Sato Eisaku ในช่วงเวลานั้น ซึ่งถือเป็นผลงานที่โดดเด่นและทัดเทียมกัน

ในปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) ได้มีการปรับโฉมเล็กน้อยพร้อมกับ Crown ทั่วไป และมีการเพิ่มรุ่นพื้นฐานอย่าง Special Grade และรุ่นเกียร์ธรรมดา 4 สปีดแบบคันเกียร์บนพื้น

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) โตโยต้าได้หยุดการผลิตและจำหน่าย Crown Eight โดยมี Century เข้ามารับช่วงต่อ ยอดผลิตรวมอยู่ที่ 3,834 คัน

หลังจากนั้น ในตระกูล Crown ไม่มีการใช้เครื่องยนต์ V8 อีกเลย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) ซึ่งเป็นช่วงการปรับโฉมของ Crown รุ่นที่ 8 ที่ได้มีการติดตั้งเครื่องยนต์ 1UZ-FE ขนาด 3,968 ซีซี ซึ่งเป็น V8 อีกครั้ง


โครงสร้าง

[แก้]

จุดเด่นที่สุดของรถรุ่นนี้คือ การเป็นรถยนต์นั่งที่ผลิตในญี่ปุ่นคันแรกที่ใช้เครื่องยนต์ V8 แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (OHV ขนาด 2,599 ซีซี ให้กำลัง 115 แรงม้า) โดยเครื่องยนต์นี้ผลิตจากอะลูมิเนียมล้วน

โครงสร้างตัวถังก็ถือว่าโดดเด่น โดยแม้จะใช้การออกแบบและโครงสร้างพื้นฐานร่วมกับ RS40 (ใช้โครงสร้างแบบกึ่งโมโนค็อกผสานกับซับเฟรม) แต่ตัวรถมีขนาดใหญ่กว่า โดยมีความยาวรวมเพิ่มขึ้น 120 มม. เป็น 4,720 มม. (RS40 = 4,610 มม.) และความกว้างเพิ่มขึ้น 150 มม. เป็น 1,845 มม. (RS40 = 1,695 มม.)

เมื่อเทียบกับ Crown รุ่นปัจจุบัน (ข้อมูล ณ ตุลาคม 2022) แม้ Crown Crossover รุ่น SH35 จะกว้างถึง 1,840 มม. แต่ก็ยังน้อยกว่า Crown Eight ซึ่งถือเป็น Crown ที่มีความกว้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม Crown Sport ที่วางจำหน่ายในปี 2023 จะมีความกว้างถึง 1,880 มม. และ Crown Sedan ที่จะตามมาภายหลังจะกว้างถึง 1,890 มม. จึงจะเป็นรุ่นที่ทำลายสถิติความกว้างเดิมของ Crown Eight ในที่สุด

ในขณะที่คู่แข่งในประเทศอย่าง Nissan Cedric Special (เปิดตัว ก.พ. 1963) และ Prince Grand Gloria (เปิดตัว พ.ค. 1963) ใช้โครงสร้างตัวถังเดิม หรือแค่ยืดฐานล้อเล็กน้อยพร้อมเพิ่มขนาดเครื่องยนต์เป็น 2.5–2.6 ลิตร แต่ Crown Eight นั้นโดดเด่นด้วยสัดส่วนและพื้นที่ภายในแบบรถหรูขนาดใหญ่ที่แท้จริง จนมีคำกล่าวว่า “สามารถเอนเบาะลงมาเล่นไพ่นกกระจอกได้เลย” แสดงถึงความกว้างขวางที่เหนือชั้น


อุปกรณ์และระบบต่าง ๆ

[แก้]

Crown Eight ยังมาพร้อมอุปกรณ์สุดหรูในยุคนั้น เช่น:

  • เกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด Toyoglide
  • พวงมาลัยเพาเวอร์
  • กระจกไฟฟ้า
  • ระบบล็อคประตูด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า
  • ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ (Conlight)
  • ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control) – นี่เป็นรถญี่ปุ่นคันแรกที่ติดตั้งระบบนี้
  • หน้าต่างสามเหลี่ยมหน้าและหลังแบบ เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า

ระบบ ล็อคประตูด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ติดตั้งใน Crown Eight ไม่ใช่แบบ Central Lock ที่รู้จักในภายหลัง แต่เป็นระบบที่ทำให้เปิดประตูได้โดยใช้แรงน้อยมาก โดยตัวกลอนประตูจะทำงานผ่านแม่เหล็กไฟฟ้า และมือจับประตูจะเป็นเพียงสวิตช์ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ระบบนี้มีข้อเสียสำคัญคือ หากแบตเตอรี่หมด ระบบจะไม่ทำงาน ทำให้เปิดประตูไม่ได้ และด้วยเหตุนี้เอง ระบบดังกล่าวจึง ไม่ได้สืบทอดต่อในรุ่น Century ที่ตามมา


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

[แก้]

ในช่วงที่ Crown Eight วางขายอยู่นั้น คุณ Yamaguchi Noboru ประธานบริษัท Aichi Toyota (ดีลเลอร์ของโตโยต้ามาตั้งแต่ก่อตั้ง) ซึ่งยังเป็นเจ้าของม้าแข่งด้วย ได้ตั้งชื่อม้าแข่งเพศเมียตัวหนึ่งว่า “Crown Eight” และยื่นคำขอต่อ สมาคมแข่งม้ากลางแห่งญี่ปุ่น (JRA)

แต่คำขอถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า “ห้ามใช้ชื่อที่เหมือนกับสินค้า” ทำให้เขาต้องเปลี่ยนชื่อม้าเป็น Eight Crown แทน

ต่อมา Eight Crown ได้คว้าแชมป์ในรายการ Hanshin 3-Year-Old Stakes และ Takarazuka Kinen และยังเป็นแม่พันธุ์ให้กำเนิดม้าแข่งชื่อดังอย่าง Naoki ผู้ชนะ Takarazuka Kinen เช่นกัน

Toyopet Crown – รุ่นที่ 3 (S50; พ.ศ. 2510-2514)

[แก้]
Toyopet Crown รุ่นที่ 3 (S50)
Crown S50 Coupe
Crown S50 Pickup
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อSeptember 1967–February 1971
แหล่งผลิต
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 3-speed manual (optional O/D)
  • 4-speed manual
  • 2-speed automatic
  • 3-speed automatic
มิติ
ระยะฐานล้อ2,690 mm (105.9 in)[7]
ความยาว
  • 4,665 mm (183.7 in) sedan
  • 4,585 mm (180.5 in) hardtop
  • 4,690 mm (184.6 in) wagon
ความกว้าง1,690 mm (66.5 in)
ความสูง
  • 1,445 mm (56.9 in) sedan
  • 1,465 mm (57.7 in) wagon
น้ำหนัก1,305–1,410 kg (2,877–3,109 lb)

โฉมนี้ ใช้รหัสโมเดลว่า S50 โดยโฉมนี้เป็นโฉมที่คราวน์เริ่มมีการผลิตตัวถังแบบ Pick-up (ซึ่งมีใช้กับโฉมที่ 3 เพียงโฉมเดียว) กับ Hardtop Coupe 2 ประตู ซึ่งเป็นโฉมที่คราวน์เปลี่ยนไปไม่มากนักจากโฉมก่อน แต่เพิ่มรายละเอียดเข้าไปในรถบ้าง ซึ่งรถที่คราวน์ผลิตส่งออก จะใช้รถรุ่น 2M ขนาด 2.3 ลิตร โดยจุดเด่นที่เพิ่มมาในรุ่นนี้มีอาทิเช่น พวงมาลัยพาวเวอร์,กระจกอัดซ้อนนิรภัย,กระจกไฟฟ้าและดิสก์เบรกล้อหน้

รุ่นนี้มีดีไซน์ที่ต่ำและยาวขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน มาพร้อมแนวคิด “ความงามแบบญี่ปุ่น”「日本の美」 และเป็นรถรุ่นแรกที่ถูกออกแบบจาก Design Dome ซึ่งเป็นศูนย์ออกแบบของ Toyota ที่เพิ่งสร้างเสร็จในปีก่อนหน้านั้น นับตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป โครงสร้างเฟรมแบบ Perimeter Frame ต่อมากลายเป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดมายาวนานใน Toyota Crown ก็ได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก (โดยโครงสร้างแบบ Perimeter Frame นั้นเพิ่งเริ่มนิยมใช้โดย GM ในช่วงก่อนหน้าไม่นาน) ด้วยโครงสร้างนี้ พื้นรถจึงเตี้ยลง ส่งผลให้การอยู่อาศัยภายในรถสะดวกสบายยิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับกระจกโค้ง นอกจากนี้ยังมีการใช้วัสดุเก็บเสียงในหลายจุดเพื่อเพิ่มความเงียบในห้องโดยสาร และใช้จุดเด่นนี้เป็นจุดขายหลักในการโฆษณาอีกด้วย

ในรุ่นก่อนหน้านี้ รุ่น Masterline ได้ถูกยกเลิก และนับตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป รถเพื่อการพาณิชย์ (เช่น แวน และรถกระบะ) ก็ได้รับการใช้ชื่อ “Crown” เช่นเดียวกับรุ่นโดยสาร แม้ว่ารุ่น “แวน” และ “คัสตอม” (รุ่นสเตชั่นแวกอน) จะใช้ตัวถังร่วมกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในส่วนของภายนอก-ภายใน, อุปกรณ์ต่าง ๆ, อัตราทดเฟืองท้าย และแม้แต่ประตูท้าย โดยหน้าต่างหลังของทั้งสองรุ่นสามารถเลื่อนขึ้นลงได้ แต่ในรุ่นแวน ประตูหลังเปิดแบบพับลงด้านล่างเหมือนรถกระบะ ในขณะที่รุ่นคัสตอมใช้แบบบานเปิดด้านข้างโดยมีบานพับอยู่ทางขวา นอกจากนี้ ในห้องบรรทุกสัมภาระยังมีเบาะแบบพับเก็บ (Jump Seat) ที่สามารถกางออกได้ ทำให้รองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 8 คน

ในส่วนของรุ่นย่อย รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ตระกูล M ประกอบด้วย “Crown S”, “Super Deluxe”, “Deluxe”, “Owner Deluxe”, และ “Standard” ส่วนรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 5R มี “Owner Special” และ “Standard” ทำให้โครงสร้างหลักของไลน์อัพกลายเป็นรถ 6 สูบทั้งหมด ในรุ่น Super Deluxe จะมีอุปกรณ์หรูหรา เช่น ระบบเปิดฝากระโปรงท้ายด้วยไฟฟ้า, วิทยุ AM/FM แบบเลือกคลื่นอัตโนมัติ, นาฬิกาเสียงส้อม (Tuning Fork Clock), ไฟอ่านหนังสือเฉพาะสำหรับเบาะหลัง และกระจกหน้าลามิเนตพร้อมการเคลือบกันแสงจ้า และเพื่อความปลอดภัย ยังติดตั้งหมอนรองศีรษะอีกด้วย

รุ่น Owner Deluxe ซึ่งเป็นรุ่นที่เพิ่มขึ้นใหม่ ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไปที่ซื้อใช้เอง (ไม่ใช่รถราชการหรือบริษัท) โดยให้ภายนอกและภายใน รวมถึงอุปกรณ์เทียบเท่ารุ่น Deluxe แต่ตั้งราคาขายไว้เพียง 880,000 เยน (รับรถที่โชว์รูมโตเกียว/โอซาก้า) ซึ่งถือว่าราคาถูกมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานรถหรูในยุคนั้น

ในด้านกลยุทธ์การตลาด Toyota ต้องการสลัดภาพลักษณ์เดิม ๆ ของ Crown ที่เน้นใช้ในหน่วยงานหรือบริษัท ให้กลายเป็นรถสำหรับผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น จึงได้ทำแคมเปญโฆษณาที่มุ่งเป้าสู่ผู้ใช้รายบุคคล และเมื่อข้อบังคับเรื่องสีรถถูกยกเลิกในปี 1965 ก็ได้เปิดตัวแคมเปญ “Crown สีขาว” ซึ่งใช้คำโปรยว่า “Crown สีขาว” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความหรูหราและความล้ำสมัย โดยเฉพาะการเปิดตัวรุ่น 2 ประตูฮาร์ดท็อป ซึ่งเป็นครั้งแรกในกลุ่มรถระดับนี้ และเป็นครั้งแรกของ Crown ที่มีตัวถังแบบนี้ ถือเป็นรุ่นเรือธงในการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในขณะนั้น


เหตุการณ์สำคัญ:

  • 4 กันยายน 1967 – ประกาศเปิดตัวรุ่นใหม่
  • 13 กันยายน 1967 – เริ่มวางจำหน่าย นับตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป ป้ายทะเบียนด้านหลังของรุ่นโดยสาร (รวมถึงรุ่นฮาร์ดท็อปที่ออกภายหลัง) จะอยู่บนกันชน ขณะที่รุ่นเพื่อการพาณิชย์และแวกอนยังคงอยู่ที่ตัวถัง
  • ตุลาคม 1968 – เพิ่มรุ่นตัวถัง 2 ประตูฮาร์ดท็อป ซึ่งเป็นครั้งแรกในคลาส โดยเน้นรูปทรงของไฟหน้าแบบสี่เหลี่ยมคู่ รุ่นย่อยประกอบด้วย “Hardtop” ซึ่งใช้เครื่องยนต์ M แบบคาร์บูเรเตอร์เดี่ยว และ “Hardtop SL” ซึ่งเป็นรุ่นสปอร์ตใช้เครื่อง M-B คาร์บูเรเตอร์คู่ โดยรุ่น SL นี้มาแทนที่รุ่น “Crown S” ที่ถูกยกเลิก และยังมีตัวเลือกหลังคาหนัง (Leather Top) เป็นออปชั่นเสริม
  • กันยายน 1969 – มีการไมเนอร์เชนจ์ โดยปรับเปลี่ยนทั้งภายนอกและภายใน และเพิ่มรุ่น “Super Deluxe” ให้กับตัวถังฮาร์ดท็อปด้วย รุ่น Super Deluxe แบบซีดานยังได้ยกเลิกหน้าต่างสามเหลี่ยมตรงเบาะหน้า (Vent Window)

ยอดจดทะเบียนรถใหม่รวมของรุ่นที่ 3 จนถึงเดือนสุดท้ายก่อนเลิกผลิตในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 277,641 คัน

Crown S50 Hardtop
Crown S50 Hardtop 
Crown S50 Utility Pick-up
Crown S50 Utility Pick-up 
Crown S50 Station Wagon
Crown S50 Station Wagon 
1969 Custom Wagon, showing side hinged tailgate
1969 Custom Wagon, showing side hinged tailgate 
1969 Crown Double Cabin
1969 Crown Double Cabin 

รุ่นที่ 4 (S60/S70; พ.ศ. 2514-2517)

[แก้]
รุ่นที่ 4 (S60/S70)

ชื่อเล่นญี่ปุ่น: クジラ คุจิระ (วาฬ)

ชื่อเล่นไทย: ปลากระโห้
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อFebruary 1971–September 1974[8]
แหล่งผลิต
  • Japan
  • Australia
  • New Zealand
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
  • 1994 cc 5R I4[9] (RS60/66V)
  • 1988 cc M I6[9] (MS60/62/66V/70)
  • 2253 cc 2M I6 (MS64/67V)
  • 2563 cc 4M I6[9] (MS65/68V/75)
ระบบเกียร์
มิติ
ระยะฐานล้อ2,690 mm (105.9 in)
ความยาว4,680 mm (184.3 in)
ความกว้าง1,690 mm (66.5 in)
ความสูง1,420 mm (55.9 in)
น้ำหนัก1,290–1,360 kg (2,844–2,998 lb)

โฉมนี้ ใช้รหัสโมเดลว่า S60 กับ S70 เริ่มผลิตใน พ.ศ. 2514 เริ่มมีการผลิตรถทริมแบบ Super Saloon ซึ่งเป็นโฉมสุดท้ายของคราวน์ ที่มีขายใน สหรัฐอเมริกา แต่ก็เป็นโฉมแรกที่คราวน์ ผลิตในยี่ห้อรถชื่อ "โตโยต้า" เพราะก่อนหน้านี้ โตโยต้าไม่ได้ใช้ชื่อนี้ แต่ใช้ชื่อยี่ห้อผลิตภัณฑ์รถว่า "โตโยเพ็ท" (Toyopet) (กล่าวอีกอย่างว่า โฉม 1-3 มีชื่อว่า โตโยเพ็ท คราวน์ (Toyota Crown) พอถึงโฉมที่ 4 เป็นต้นมา จึงจะมีชื่อว่า โตโยต้า คราวน์) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ไฟหน้าจะเป็นวงกลม 2 ดวงต่อข้าง ยกเว้นรถ Hardtop ที่ขายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น จะมีไฟหน้าเป็นสี่เหลี่ยม โดยจุดเด่นในรุ่นนี้ที่เพิ่มเข้ามาได้แก่ ระบบเกียร์แบบ 3 สปีดควบคุมด้วยไฟฟ้า (EAT) , เป็นรถญี่ปุ่นรุ่นแรกๆที่มีระบบควมคุมเสถียรภาพการทรงตัวในล้อหลัง (rear wheel ESC) และยังถือเป็นรุ่นแรกหัวฉีดน้ำมันแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EFI)

ตัวถังมีรูปทรงโค้งมนที่เรียกว่า “Spindle Shape (ทรงแกนหมุน)” ทำให้ได้รับฉายาที่ญี่ปุ่นว่า “ปลาวาฬ”

จุดเด่นของดีไซน์ที่ล้ำสมัยและแหวกแนว (ออกแบบโดย Toru Nagisa) ได้แก่ การตัดกระจกสามเหลี่ยมออก ใช้ผิวโค้งมากขึ้น และกันชนสีเดียวกับตัวรถ (Colored Bumper) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งได้รับการตอบรับดีในช่วงแรกที่เปิดตัว อย่างไรก็ตาม การออกแบบที่บีบส่วนหน้าของตัวถังทำให้การระบายอากาศเข้าสู่ห้องเครื่องยนต์ไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการโอเวอร์ฮีตบ่อยครั้งในช่วงฤดูร้อน อีกทั้งรูปร่างส่วนหน้าที่แหลมยังทำให้การกะระยะลำบาก ส่งผลให้มีเสียงวิจารณ์ตามมาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาเหล่านี้ทำให้ยอดขายของ Cedric/Gloria ซึ่งเปลี่ยนโฉมในช่วงเวลาเดียวกัน แซงหน้าคราวน์ได้ และมักมีการกล่าวถึงรุ่นนี้ว่าเป็น “ผลงานที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ของคราวน์” อย่างไรก็ตาม ดีไซน์ “Spindle Shape” ที่เป็นเอกลักษณ์และฉายา “ปลาวาฬ” ก็ยังได้รับความนิยมอย่างเหนียวแน่นมาจนถึงปัจจุบัน

ตัวถังมีทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ ซีดาน 4 ประตู, ฮาร์ดท็อป 2 ประตู, คัสตอม (วากอน) (รหัสตัวถัง ฮาร์ดท็อปเป็น S7# ซีรีส์, รุ่นอื่นเป็น S6# ซีรีส์) ในรุ่นนี้ ได้เพิ่มเกรด “Super Saloon” เป็นระดับสูงสุดทั้งในซีดานและฮาร์ดท็อป ส่วนเกรดอื่นยังคงต่อเนื่องจากรุ่นก่อน ได้แก่ “Super Deluxe”, “Deluxe” (ใช้กับทั้งซีดานและฮาร์ดท็อป), “Owner Deluxe” (เฉพาะซีดาน), “SL” (ในช่วงแรกมีเฉพาะฮาร์ดท็อป แต่เพิ่มในซีดานช่วงไมเนอร์เชนจ์), และ “Hardtop” และยังมีเกรด “Deluxe” สำหรับรุ่นแวนด้วย

ในด้านอุปกรณ์ มีการติดตั้ง ESC ล้อหลัง (เทียบเท่า ABS ในปัจจุบัน) และเกียร์อัตโนมัติควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (EAT) เป็นออปชั่นในรุ่น SL รวมทั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ (Auto Drive) ก็มีให้เลือกในรุ่น SL, Super Saloon และ Super Deluxe สำหรับลูกค้า VIP ยังมีเบาะหลังแบบแยกปรับเอนได้ด้วยระบบไฟฟ้า (เมื่อเลือกออปชั่นนี้ เบาะหลังจะเปลี่ยนจากแบบ 3 ที่นั่งเป็น 2 ที่นั่ง)

นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการติดตั้งระบบ Idling Stop โดยมาในชื่อ EASS (Engine Automatic Stop and Start System) ซึ่งมีเป็นออปชั่นสำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา

และที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในประวัติศาสตร์ของคราวน์รุ่นนี้คือ ชื่อสีตัวถังใช้ชื่อภาษาญี่ปุ่นแบบเดียวกับ Toyota Century เช่น “墨花 (โบกุคะ: สีดำ)”, “白鳳 (ฮะคุโฮ: สีขาว)”, “荒磯 (อะไรอิโซะ: สีน้ำเงิน)”

โลโก้ ‘クラウン (CROWN)’ ที่ใช้ในโฆษณาและสื่อต่าง ๆ เป็นตัวอักษรคาตาคานะ ได้เริ่มใช้ตั้งแต่รุ่นนี้และใช้ต่อเนื่องจนถึงรุ่นที่ 8 (รหัส S13#) และยังเป็นรุ่นแรกที่ใช้ตราสัญลักษณ์คราวน์บนเสา C-pillar ซึ่งใช้ต่อเนื่องไปจนถึงรุ่นที่ 14 (ยุติการผลิตในปี 2018)

ในละครโทรทัศน์ “素敵な選TAXI (Suteki na Sentaxi)” ได้มีการใช้รุ่นซีดานที่ผ่านไมเนอร์เชนจ์ของคราวน์รุ่นนี้เป็นรถ ‘เลือกแท็กซี่’ ประจำเรื่อง


ช่วงเวลาเปิดตัวและการเปลี่ยนแปลงหลัก:

  • 16 กุมภาพันธ์ 1971 - วางจำหน่ายครั้งแรก พร้อมคำโฆษณา “Elegance Crown - โลกกำลังจับตามอง” มีการย้ายป้ายทะเบียนหลังของรถพาณิชย์และวากอนไปติดตั้งบนกันชน
  • พฤษภาคม 1971 - เปิดตัว “2600 Super Saloon” ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.6 ลิตร (รหัส 4M) ยกระดับความหรูหราของรุ่นคราวน์ ถือเป็นรถนั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของซีรีส์ที่ขึ้นทะเบียน 3 หมายเลข (ยกเว้น Crown Eight)
  • ตุลาคม 1972 - เพิ่มรุ่น “2600 Super Deluxe” และ “2600 Deluxe”
  • กุมภาพันธ์ 1973 - ไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนกันชนที่เคยฝังอยู่ในตัวถังเป็นกันชนโครเมียมขนาดใหญ่ สำหรับซีดาน เปลี่ยนรูปแบบไฟท้าย (จากเดิมเบรกและไฟท้ายแยกกัน มาเป็นแบบรวมกัน) เพิ่มเกียร์ธรรมดา 5 สปีดในรุ่นซีดาน SL และฮาร์ดท็อปทุกรุ่น พร้อมสโลแกนโฆษณาใหม่ว่า “คราวน์รุ่นใหม่
  • มกราคม 1974 - เพิ่มรุ่นที่ติดตั้งระบบหัวฉีด EFI (Electronic Fuel Injection) ให้กับ “Super Saloon” และ “SL”

ยอดจดทะเบียนสะสมของรุ่นที่ 4 จนถึงเดือนก่อนหยุดการผลิตในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 287,970 คัน

รุ่นที่ 5 (S80/S90/S100; พ.ศ. 2517-2522)

[แก้]
รุ่นที่ 5 (S80/S90/S100)
4-door hardtop 2000 Super Saloon Extra 1978
4-door hardtop 2000 Super Saloon Extra Rear 1978
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อOctober 1974–August 1979[8]
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 4/5-speed manual
  • 3/4-speed automatic
มิติ
ระยะฐานล้อ2,690 mm (105.9 in)
ความยาว
  • 4,765 mm (187.6 in) (Royal Saloon)
  • 4,690 mm (184.6 in)
ความกว้าง1,690 mm (66.5 in)
ความสูง1,440 mm (56.7 in)
น้ำหนัก1,470–1,520 kg (3,241–3,351 lb)

สไตล์การออกแบบของคราวน์รุ่นก่อนหน้านี้ที่เน้นเส้นโค้งซึ่งไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย ได้ถูกปรับใหม่ให้เน้นเส้นตรงเพื่อสื่อถึงความหนักแน่นและหรูหรายิ่งขึ้น พร้อมกับสโลแกนใหม่ว่า “คราวน์อันงดงามของญี่ปุ่น” (รุ่นปี 1974) 「美しい日本のクラウン」 และ “คราวน์รุ่นใหม่อันงดงามของญี่ปุ่น” (รุ่นปี 1976)「美しい日本の新しいクラウン」ที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์แบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้นไปอีก ตัวถังมีให้เลือกหลายแบบเหมือนเดิม ได้แก่ ซีดาน 4 ประตู, ฮาร์ดท็อป 2 ประตู, วากอน โดยมีการเพิ่มรุ่นใหม่คือ “ฮาร์ดท็อป 4 ประตูแบบมีเสา (Pillared Hardtop)” เข้ามาอีกด้วย ซึ่งมีดีไซน์คล้ายรุ่นฮาร์ดท็อป 2 ประตู แต่คงไว้ซึ่งเสากลางเพื่อเพิ่มความปลอดภัย

ตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป ซีดานถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถสำหรับลูกค้าองค์กร ส่วนฮาร์ดท็อป 4 ประตูแบบมีเสา และฮาร์ดท็อป 2 ประตูจะมุ่งเป้าสู่ผู้ใช้ทั่วไป และในรุ่นเครื่องยนต์ 2.6 ลิตร ยังมีการใช้ชื่อเกรด “Royal Saloon (รอยัลซาลูน)” เป็นครั้งแรกอีกด้วย

เช่นเดียวกับรถญี่ปุ่นรุ่นอื่น ๆ ในยุคนั้น คราวน์รุ่นนี้ต้องเผชิญกับปัญหาการควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวด (ในช่วงแรก ตัวถังฮาร์ดท็อปใช้รหัสรุ่น S9# และรุ่นอื่น ๆ ใช้ S8# แต่เมื่อมีการปรับให้ผ่านมาตรฐานการควบคุมไอเสีย ตัวถังทั้งหมดก็ถูกรวมเป็นรหัสรุ่น S10# โดยไม่แบ่งตามประเภทตัวถังอีกต่อไป) มีการติดตั้งอุปกรณ์ใหม่หลายรายการ เช่น ดิสก์เบรก 4 ล้อในรุ่น 2600 Royal Saloon, พวงมาลัยเพาเวอร์แปรผันตามความเร็ว และระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดพร้อมโอเวอร์ไดรฟ์ (เป็นครั้งแรกของโลก) นอกจากนี้ ระบบ ESC (ABS) ซึ่งเริ่มมีในรุ่นก่อนหน้านี้ ก็ถูกออกแบบใหม่ให้การทำงานนุ่มนวลยิ่งขึ้น

สำหรับรุ่น "Standard" ที่ใช้เป็นแท็กซี่ ได้รับการปรับให้เหมาะกับการติดตั้งมิเตอร์ขนาดใหญ่ในขณะนั้น โดยมีช่องสำหรับติดตั้งเครื่องบันทึกเวลา (Tachograph) อยู่ด้านซ้ายของมาตรวัดความเร็ว มีเครื่องปรับอากาศแบบแขวนเป็นอุปกรณ์เสริม และโลโก้อักษรอังกฤษ “CROWN” ที่ใช้ในแค็ตตาล็อกและโฆษณานั้น ก็ใช้แบบเดียวกันเรื่อยมาจนถึงรุ่น S170

ไทม์ไลน์การเปิดตัวและปรับเปลี่ยนต่าง ๆ มีดังนี้:

  • 25 ตุลาคม 1974 – เปิดตัวรุ่นซีดาน โดยมีการย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนหลังจากกลางกันชนมาไว้บนตัวถัง และย้ายฝาถังน้ำมันจากกึ่งกลางไฟท้ายมาไว้ที่ด้านข้างตัวถัง ซีดานยังมีหน้ากระจังหน้าต่างกันระหว่างรุ่น Super Saloon ขึ้นไป และ Super Deluxe ลงมาเหมือนกับรุ่นก่อน
  • พฤศจิกายน 1974 – เปิดตัวรุ่นฮาร์ดท็อป 2 ประตู, ฮาร์ดท็อป 4 ประตู, วากอน และแวน
  • พฤษภาคม 1975 – รุ่นเครื่องยนต์ 2600 ซีซี ผ่านมาตรฐานควบคุมไอเสียปี 1975
  • ธันวาคม 1975 – รุ่นเครื่องยนต์ 2000 ซีซี ผ่านมาตรฐานควบคุมไอเสียปี 1975 รถเกียร์ธรรมดาแบบคอพวงมาลัย (ยกเว้นรุ่น Standard) เปลี่ยนจาก 3 สปีดเป็น 4 สปีด
  • มิถุนายน 1976 – รถที่ใช้เครื่องยนต์ M-EU ผ่านมาตรฐานควบคุมไอเสียปี 1976 และเปลี่ยนรหัสรุ่นเป็น S10#
  • พฤศจิกายน 1976 – ปรับโฉมเล็ก (Minorchange) เปลี่ยนกระจังหน้าและไฟท้าย นาฬิกาดิจิทัลเปลี่ยนจากแบบกลองหมุนเป็นหลอดเรืองแสง (Fluorescent Display) เบรกมือในรุ่นเกียร์อัตโนมัติเปลี่ยนเป็นแบบใช้เท้าเหยียบ เปิดตัวรุ่น "Super Saloon Extra" พร้อมชุดแต่งภายนอกพิเศษเพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการความหรูหรายิ่งขึ้น และเพิ่มเกรดสูงสุด "Royal Saloon" ในรุ่นฮาร์ดท็อป 4 ประตู
  • ตุลาคม 1977 – เพิ่มเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตรในรุ่นซีดาน
  • พฤศจิกายน 1977 – รถที่ใช้เครื่อง M-EU ผ่านมาตรฐานควบคุมไอเสียปี 1978 รุ่นที่มีระบบ EFI (หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์) ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดพร้อมโอเวอร์ไดรฟ์
  • กุมภาพันธ์ 1978 – ปรับโฉมอีกครั้ง ย้ายไฟหรี่จากข้างไฟเลี้ยวไปอยู่ข้างไฟหน้า ส่วนหน้าของรุ่นฮาร์ดท็อป 4 ประตูเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ซีดานมีหน้ากระจังหน้าที่แตกต่างกันตามขนาดเครื่องยนต์มากกว่าตามเกรด รุ่นเกียร์คอพวงมาลัย (เช่น Royal Saloon และ Super Saloon Extra) ใช้เบาะ Lounge Seat รุ่นฮาร์ดท็อปมีรุ่น "Deluxe Custom Edition" เพิ่มเข้ามา โดยใช้พื้นฐานจากรุ่น Deluxe แล้วเพิ่มอุปกรณ์อย่างมาตรวัดรอบ, เบาะลายตาราง, พวงมาลัยและหัวเกียร์ลายไม้, ล้ออลูมิเนียม ฯลฯ รุ่น 2600 ซีซี มีตัวเลือก EFI ด้วยเครื่องยนต์ 4M-EU และรุ่นฮาร์ดท็อป 2 ประตูเพิ่มเกรด Royal Saloon
  • มีนาคม 1979 – รุ่น 2600 ซีซี เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ 4M-EU ทั้งหมด รถน้ำมันและ LPG ทุกรุ่น (ยกเว้นแวน) ผ่านมาตรฐานควบคุมไอเสียปี 1978

ยอดจดทะเบียนสะสมจนในประเทศญี่ปุ่นถึงเดือนก่อนการยุติการจำหน่ายคราวน์รุ่นที่ 5 อยู่ที่ 404,699 คัน

S80 series Crown Sedan
S80 series Crown Sedan 
S80 series Crown Hardtop Super Saloon
S80 series Crown Hardtop Super Saloon 
S90 series Crown coupé
S90 series Crown coupé 
S80 series Crown station wagon
S80 series Crown station wagon 

รุ่นที่ 6 (S110; พ.ศ. 2522-2526)

[แก้]
รุ่นที่ 6 (S110)

鬼クラ•โอนิคุระ•คราวน์อสูร

RS11#/GS11#/MS11#/LS11#
Hardtop 2000 Super Saloon (1981), Japan
2-door hardtop, Japan
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อSeptember 1979–August 1983
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 3/4-speed automatic
  • 3/4/5-speed manual
มิติ
ระยะฐานล้อ2,690 mm (105.9 in)
ความยาว
  • 4,860 mm (191.3 in) (Royal Saloon)
  • 4,690 mm (184.6 in)
ความกว้าง
  • 1,715 mm (67.5 in) (Royal Saloon)
  • 1,690 mm (66.5 in)
ความสูง1,410 mm (55.5 in)
น้ำหนัก1,500–1,610 kg (3,307–3,549 lb)

สโลแกนโฆษณา ได้แก่ “กลิ่นอายแห่งญี่ปุ่น”, “Crown บอกเล่าความเป็นตัวคุณ” (รุ่นปี 1979), และ “นิดๆ ก็ภูมิใจได้” (รุ่นปี 1981) รูปลักษณ์ภายนอกถูกออกแบบให้ดูเรียบตรงมากขึ้นและมีภาพลักษณ์ที่ดูสไตลิชมากขึ้น รถรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 2800 ซีซี ได้ติดตั้งกันชนสีเดียวกับตัวรถ (แบบดูดซับแรงกระแทก) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รุ่นที่ 4 รหัส S6# และกลายเป็นจุดเด่นด้านการออกแบบ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ล้ำสมัยหลายอย่าง เช่น เบาะคนขับปรับไฟฟ้า, คอมพิวเตอร์ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Computer), และเครื่องเสียงพร้อมระบบปรับจูนอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งยังมีตัวเลือกสีทูโทนที่เรียกว่า “โทนนิ่ง” ให้เลือกด้วย เป็น Crown รุ่นสุดท้ายที่มีตัวถัง coupe หรือ 2-door hardtop

ด้วยหน้าตาดุดันของด้านหน้ารถ ทำให้รถรุ่นนี้ถูกเรียกเล่นๆ อย่างเป็นที่รักว่า “โอนิ-คุระ” (鬼クラ, แปลว่า Crown อสูร)

โคมไฟหน้าในรุ่นแรกๆ มีความแตกต่างกันไป: รุ่นฮาร์ดท็อปใช้โคมไฟหน้ารูปทรงไม่สมมาตรแบบ 2 ดวง, รุ่นซีดาน (ยกเว้นรุ่นมาตรฐาน) และวากอนใช้โคมสี่เหลี่ยมแบบ 4 ดวง, ส่วนรุ่นซีดานมาตรฐานและรถตู้ใช้โคมไฟทรงกลมแบบ 4 ดวง สำหรับรุ่นฮาร์ดท็อป 2 ประตูนั้น ได้ยุติการผลิตในเจเนอเรชันนี้ นอกจากนี้ รุ่นฮาร์ดท็อป 2 ประตูยังมีตัวเลือกพิเศษแบบ “Landau Top” ที่เป็นการหุ้มหนังส่วนหลังของหลังคาอีกด้วย

  • 18 กันยายน 1979 – เปิดตัววางจำหน่าย การออกแบบกระจังหน้าในช่วงปลายของรุ่นก่อนหน้าถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยมีการแยกแยะระหว่างรุ่น Super Saloon กับรุ่นที่ต่ำกว่า Super Deluxe อย่างชัดเจน (เฉพาะในรุ่นซีดาน) ส่วนรุ่นฮาร์ดท็อปยังไม่มีการแบ่งแยกนี้
  • มิถุนายน 1980 – รุ่นฮาร์ดท็อปมีตัวเลือกติดตั้งหลังคากระจกพร้อมม่านบังแดดแบบเลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งโตโยต้าเรียกว่า “มูนรูฟ”
  • ตุลาคม 1980 – เพิ่มเครื่องยนต์เทอร์โบแบบ SOHC (รหัส M-TEU) นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบล็อกกระจกไฟฟ้า และรถในหมวด 5 หมายเลข (ยกเว้นรุ่น STD) ก็ได้เปลี่ยนกันชนให้มีขนาดใหญ่ขึ้นในส่วนมุม สำหรับรุ่น Royal Saloon ได้ติดตั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติควบคุมแยกซ้าย-ขวาแบบไมโครคอมพิวเตอร์ (สำหรับซีดานและฮาร์ดท็อป 4 ประตูที่มีเบาะ Lounge และเกียร์คอลัมน์) นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 25 ปีของ Station Wagon ที่ติดตั้งกระจกไฟฟ้าและยางเรเดียล จำนวนจำกัด 200 คัน
  • สิงหาคม 1981 – มีการปรับโฉมเล็กน้อย โดยเปลี่ยนดีไซน์กระจังหน้าและไฟท้าย รุ่นฮาร์ดท็อปทุกรุ่นและรุ่นซีดาน/วากอนที่เป็นเกรดกลางขึ้นไปจะเปลี่ยนเป็นโคมไฟหน้ารูปทรงไม่สมมาตรแบบ 2 ดวงพร้อมไฟตัดหมอก กระจังหน้าถูกแยกตามขนาดเครื่องยนต์แทนการแยกตามเกรด รวมถึงรุ่นฮาร์ดท็อปก็มีการแยกตามเครื่องยนต์เช่นกัน มีการเพิ่มเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร DOHC (รหัส 5M-GEU) พร้อมเกียร์อัตโนมัติควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (ECT) และเครื่องยนต์เบสิก 2.0 ลิตร เปลี่ยนเป็นรหัส 1G-EU ส่วนเครื่องยนต์ 5M-EU สำหรับรุ่น 2.8 ลิตร, M-U/M-P (LPG), และ 5R-U (LPG) ยังคงมีให้เลือกเช่นเดิม
  • สิงหาคม 1982 – เพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.4 ลิตร โดยรุ่นเกียร์อัตโนมัติใช้เครื่อง 2L-TE แบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนเกียร์ธรรมดาใช้เครื่อง 2L-T แบบกระจายกำลัง ในช่วงปลายโมเดล มีการออก “Eclair” รุ่นพิเศษของฮาร์ดท็อป Super Edition ซึ่งมาพร้อมกระจกสีบรอนซ์, มาตรวัดแสดงผลแบบอิเล็กทรอนิกส์ (เฉพาะรุ่นที่ใช้เครื่อง 1G-EU), เบาะและแผงประตูเฉพาะรุ่น, ล้ออัลลอย, คิ้วข้างสีพิเศษ และสัญลักษณ์เฉพาะตรงแผงควอเตอร์

ยอดจดทะเบียนสะสมของ Crown รุ่นที่ 6 นี้จนถึงเดือนสุดท้ายก่อนยุติการจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่น อยู่ที่ 326,891 คัน

Crown Sedan 2.0 Standard (Taxi, Japan)
Crown Sedan 2.0 Standard (Taxi, Japan) 
S110 series Crown hardtop coupé
S110 series Crown hardtop coupé 
S110 series Crown 4-door hardtop Super Saloon
S110 series Crown 4-door hardtop Super Saloon 
S110 Crown Station Wagon
S110 Crown Station Wagon 
MS112 Crown Interior
MS112 Crown Interior 

รุ่นที่ 7 (S120; พ.ศ. 2526-2530)

[แก้]
รุ่นที่ 7 (S120)
4-door hardtop 2000 Royal Saloon Supercharged
Sedan 3000 Royal Saloon G
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ1983–1987
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
มิติ
ระยะฐานล้อ2,720 mm (107.1 in)
ความยาว
  • 4,860 mm (191.3 in) (Royal Saloon)
  • 4,690 mm (184.6 in)
ความกว้าง
  • 1,720 mm (67.7 in) (Royal Saloon)
  • 1,695 mm (66.7 in)
ความสูง1,400–1,515 mm (55.1–59.6 in)
น้ำหนัก1,410–1,875 kg (3,109–4,134 lb)

คราวน์รุ่นที่ 7 มีสโลแกนชื่อดังเมื่อครั้งเปิดตัวในญี่ปุ่นว่า "สักวันหนึ่ง...ฉันจะขับคราวน์" (いつかはクラウン)

รูปแบบตัวถัง มีการยกเลิกรุ่น 2 ประตูฮาร์ดท็อป เหลือเพียง 3 รูปแบบคือ 4 ประตูฮาร์ดท็อป, 4 ประตูซีดาน, และแวกอน/แวน

ทั้งรุ่นซีดานและ 4 ประตูฮาร์ดท็อปได้รับการออกแบบให้ดูหรูหรามากขึ้นจากรุ่นก่อน (S11#) โดยเน้นเส้นโค้ง และมีจุดเด่นคือการตกแต่งบริเวณเสา C ด้วยพลาสติกซึ่งเรียกว่า "Crystal Pillar"

รุ่น 4 ประตูฮาร์ดท็อปใช้กระจกมองข้างที่ติดบนประตู ในขณะที่รุ่นซีดานใช้กระจกมองข้างบนแก้มหน้า (fender mirror)


เนื่องจากข้อกำหนดของรถยนต์ขนาดเล็กมีการเปลี่ยนแปลง

(จาก: ช่วงหน้าไม่เกิน 0.8 ม. + ระยะฐานล้อไม่เกิน 2.7 ม. + ช่วงหลังไม่เกิน 1.2 ม. → เป็น: ความยาวรวมไม่เกิน 4.7 ม.)

ทำให้ตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป ฐานล้อ (wheelbase) ถูกขยาย

ทั้งรุ่น 4 ประตูฮาร์ดท็อปและซีดานมี รุ่นย่อยระดับสูงสุดชื่อ "Royal Saloon G" (ใช้เครื่องยนต์ 5M-GEU ขนาด 2.8 ลิตร รหัสรุ่น MS123)

แม้แต่รุ่น 5 หมายเลข (5-Number หมายถึงขนาดเครื่องต่ำกว่าหรือเท่ากับ 2.0 ลิตร) ก็มีรุ่น "Royal Saloon" ที่ใช้เครื่องยนต์ 1G-GEU ขนาด 2.0 ลิตรเช่นกัน

ทั้ง 3 รุ่นนี้ใช้ช่วงล่างหลังแบบ อิสระ (Independent Suspension) แบบ เซมิ-เทรลลิ่งอาร์ม

นอกจากนี้ Royal Saloon ขนาด 2.0 ลิตร ยังมีแพ็กเกจเสริมชื่อ "S Package" ที่มาพร้อมช่วงล่างแบบสปอร์ตอีกด้วย


รุ่นพิเศษ (Limited Edition):

  • รุ่น "Éclair" จากรุ่นก่อนหน้ายังคงมีให้เลือกในช่วงต้นของรุ่นนี้
  • รุ่น "Athlete" ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่มาพร้อมกับช่วงล่างแบบเดียวกับ S Package และติดตั้งสปอยเลอร์หน้าถูกเปิดตัวด้วย และยังมีต่อเนื่องหลังไมเนอร์เชนจ์ (ใช้เครื่อง 1G-GZEU)
  • รถรุ่นสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์แบบใช้ LPG ก็มีรุ่นระดับสูงสุดชื่อ "Super Deluxe" เพิ่มเข้ามา

ตลาดต่างประเทศ:

รุ่นที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่สุดของตัวถังซีดานยังคงส่งออกเช่นเดิม และในรุ่นนี้ได้เริ่มมีการส่งออกรุ่น ฮาร์ดท็อป ไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง (Gulf region) ด้วย


ไทม์ไลน์ของการผลิตและการเปลี่ยนแปลง:

  • 31 สิงหาคม 1983 – วางจำหน่าย รุ่นซีดานมีการออกแบบไฟท้ายที่ต่างจากรุ่น Super Deluxe ลงไป โดยคล้ายกับเวอร์ชันส่งออกมากขึ้น
  • สิงหาคม 1984 – ปรับปรุงเล็กน้อย รุ่น 3 หมายเลข (เครื่องยนต์ใหญ่) เช่น Royal Saloon G และ Royal Saloon เปลี่ยนมาใช้เครื่อง 6M-GEU ขนาด 3.0 ลิตร (รหัส MS125) รุ่นดีเซลเพิ่มเครื่องยนต์ 2L-THE สำหรับเกียร์อัตโนมัติ กระจกมองข้างเปลี่ยนเป็นแบบพับมือ พร้อมเพิ่มพื้นที่โครเมียมด้านหน้าแบบเดียวกับ Mark II
  • กันยายน 1985 – ไมเนอร์เชนจ์ เพิ่มรุ่น "2000 Royal Saloon Supercharger" ที่ใช้เครื่องยนต์ 1G-GZEU (กลายเป็นรถยนต์โดยสารญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ติดตั้งซูเปอร์ชาร์จเจอร์) ทำให้รุ่นที่ใช้เครื่อง M-TEU (SOHC Turbo) ถูกยกเลิก ปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายในและภายนอก รุ่นฮาร์ดท็อป 4 ประตูเปลี่ยนกระจกมองข้างเป็นแบบพับไฟฟ้า รถ 5 หมายเลขติดตั้งไฟตัดหมอกไว้ในกระจังหน้า รุ่นฮาร์ดท็อป 3 หมายเลขย้าย ตราโลโก้ “มงกุฎ” จากบนสุดของกระจังมาที่ตรงกลาง รุ่นฮาร์ดท็อปเพิ่มรุ่น "Super Select" รุ่นแวกอนเพิ่มรุ่น "Super Saloon Extra"

ยอดขายรวมจนถึงเดือนก่อนสิ้นสุดการผลิตของรุ่นที่ 7 อยู่ที่ 539,485 คัน

Toyota Crown Standard sedan with round headlights
S120 series Crown hardtop Super Saloon Extra
Rear of a 1984 Crown Royal Saloon 2.8i (Australia)

รุ่นที่ 8 (S130; พ.ศ. 2530-2534)

[แก้]
รุ่นที่ 8 (S130) ชื่อเล่น: いつクラ อิทสึคุระ
4-door hardtop 4000 Royal Saloon G (facelift 1989)
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 4-speed manual
  • 5-speed manual
  • 4-speed automatic
มิติ
ระยะฐานล้อ2,730 mm (107.5 in)
ความยาว
  • 4,690 mm (184.6 in) (narrow-body)
  • 4,800 mm (189.0 in) (wide-body)
  • 4,860 mm (191.3 in) (Royal Saloon G)
ความกว้าง
  • 1,695 mm (66.7 in) (narrow-body)
  • 1,720–1,750 mm (67.7–68.9 in) (wide-body)
ความสูง
  • 1,400–1,450 mm (55.1–57.1 in) (sedan/hardtop)
  • 1,515–1,550 mm (59.6–61.0 in) (wagon/van)
น้ำหนัก1,330–1,690 kg (2,932–3,726 lb)
ระยะเหตุการณ์
รุ่นต่อไปToyota Crown Majesta (for Royal Saloon G)

บอดี้ฮาร์ดท็อปผลิตตั้งแต่ปี: 1987-1991

บอดี้ซีดานผลิตตั้งแต่ปี: 1987-1995

คำโฆษณา (Catchphrase) สำหรับ Toyota Crown รุ่นปี 1987 คือ “เติมเต็มความพึงพอใจ กับคราวน์ใหม่” ส่วนรุ่นปี 1989 คือ “สักวันหนึ่งต้องได้คราวน์... ความปรารถนานั้น บัดนี้ถึงเวลาแล้ว” ซึ่งคำโฆษณาของรุ่นปี 1989 ทำให้เกิดคำเรียกย่อว่า “อิทสึคุระ” (いつクラ) มาจาก “อิทสึกะวะคราวน์” (いつかはクラウン – สักวันหนึ่งต้องได้คราวน์)

ในรุ่น 4 ประตูฮาร์ดท็อป มีรุ่นที่ใช้ตัวถังกว้างพิเศษ (WideBody) สำหรับป้ายทะเบียนแบบ 3 หมายเลขเท่านั้น ซึ่งนอกจากกันชนแล้ว ยังรวมถึงประตูและบังโคลนที่ออกแบบเฉพาะสำหรับรถรุ่นนี้ด้วย รูปทรงโดยรวมยังคงอิงจากรุ่นก่อนที่เน้นเส้นตรง แต่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น แผงตกแต่งตรงเสา C (Crystal Pillar) ถูกถอดออก และใช้เส้นโค้งผสมผสานอย่างชาญฉลาด

สำหรับรุ่นฮาร์ดท็อปที่เน้นผู้ใช้ทั่วไป จะใช้กระจกมองข้างที่ประตูเป็นมาตรฐาน ส่วนรุ่นซีดานสำหรับลูกค้าองค์กรจะใช้กระจกมองข้างที่แก้ม (fender mirror)

ด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์ รถรุ่นนี้มีการติดตั้งช่วงล่างแบบถุงลม (Air Suspension) ในรุ่น Royal Saloon G, ระบบควบคุมการลื่นไถล (Traction Control) และระบบนำทางผ่านหน้าจอ Electro Multi Vision ที่ใช้ข้อมูลจากแผ่น CD-ROM

ระดับรุ่น (Grade)

  • 4 ประตูฮาร์ดท็อป: Royal Saloon G, Royal Saloon, Super Saloon Extra, Super Select, Super Edition
  • ซีดาน: Royal Saloon G, Royal Saloon, Super Saloon Extra, Super Saloon, Super Deluxe, Deluxe, Standard
  • สเตชั่นแวกอน: Royal Saloon, Super Saloon Extra, Super Deluxe
  • มีรุ่นพิเศษที่ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรซูเปอร์ชาร์จ เช่น “2000 Royal Saloon Supercharger”

ดีไซน์แผงหน้าปัด (คอนโซลหน้า) มี 2 แบบคือ “Personal” และ “Formal” โดยแบบ Personal ใช้ในฮาร์ดท็อป ส่วนแบบ Formal ใช้ในซีดานและฮาร์ดท็อปรุ่นคันเกียร์แบบคอลัม (เกียร์คอ)

ล้อมีทั้งหมด 6 แบบ โดย 2 แบบบนสุดเป็นล้ออัลลอย ส่วนที่เหลือเป็นล้อเหล็ก รุ่น Wide Body ใช้ล้ออัลลอย 15 นิ้วทุกรุ่น, Royal Saloon (แบบ 5 หมายเลขและซีดาน) ใช้ล้ออัลลอย 14 นิ้ว, รุ่นอื่นใช้ล้อเหล็ก 14 นิ้ว (แต่สามารถเลือกอัลลอยเป็นออปชั่นได้)

ตราสัญลักษณ์บนกระจังหน้าและด้านหลังแสดงความจุเครื่องยนต์ เช่น “V8” สำหรับ 4.0 ลิตร, “3.0” และ “2.5” ส่วนรุ่น 2.0 ลิตรจะไม่มีติดตรา

การส่งออก รุ่นซีดานเป็นหลัก เน้นตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยรุ่น Royal Saloon เป็นที่นิยม และมีการส่งออกรุ่น 4 ประตูฮาร์ดท็อป 3000 Royal Saloon ไปยังฮ่องกง สิงคโปร์ และบางส่วนของตะวันออกกลาง โดยรุ่นที่พบในประเทศไทยส่วนมากจะเป็นบอดี้ซีดานรุ่นรหัส MS132/133 (ต่างกันที่ช่วงล่างคานแข็งกับอิสระ) ซึ่งเป็นรุ่นย่อยสำหรับส่งออกเท่านั้นและเคยจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยโตโยต้าประเทศไทย รถรหัสนี้ไม่มีจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิด รถที่พบในประเทศไทยเป็นรุ่นที่ถูกตัดอ๊อปชั่นออกหลายสิบรายการจากรถเวอร์ชั่นญี่ปุ่นต้นฉบับ และสำหรับรุ่น big facelift ที่พบในไทยจะเป็น JZS133 วิธีสังเกตว่าเป็นรถไทยคือกระจังหน้าจะเป็นโลโก้โตโยต้าสามห่วง ไม่ใช่มงกุฎแบบญี่ปุ่นต้นฉบับ ถูกนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยโตโยต้าประเทศไทยเช่นกัน

ยอดขาย ช่วงที่เศรษฐกิจฟองสบู่บูม ทำให้ยอดขายรายเดือนบางช่วงแซงหน้ารุ่น Corolla ได้ และยอดขายต่อปีในปี 1988–1990 อยู่ในอันดับ 3 ของรถญี่ปุ่น รองจาก Corolla และ Mark II โดยในปี 1990 มียอดขายสูงสุดตลอดกาลที่ 239,858 คัน โดยรุ่นฮาร์ดท็อปเป็นที่นิยมมากที่สุด


ไทม์ไลน์

  • 1 ก.ย. 1987: เปิดตัวและเริ่มขาย โตเกียวโตโยเป็ตเคยจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว แต่เริ่มขายผ่านโตเกียวโตโยต้าเช่นกัน
  • พ.ค. 1988: รุ่นพิเศษ Super Select Supercharger (ฮาร์ดท็อป 5 หมายเลข)
  • ก.ย. 1988: ปรับโฉมเล็กน้อย เครื่อง 1G-E เปลี่ยนเป็น 1G-FE (ยกเว้นรุ่นแวน), ปรับปรุง 1G-GE และ 1G-GZE ให้แรงขึ้น, เพิ่มระบบล็อกเกียร์อัตโนมัติ
  • ก.พ. 1989: รุ่นพิเศษ “Athlete”
  • ส.ค. 1989: ไมเนอร์เชนจ์ ปรับกระจังหน้า ไฟตัดหมอก ไฟท้าย กันชน พวงมาลัย เพิ่มถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ (ออปชั่น)
    • เปิดตัว 4000 Royal Saloon G (UZS131) เครื่อง 1UZ-FE V8 เป็นครั้งแรกในคราวน์
    • รุ่น 2000 Royal Saloon Wide Body Supercharger เปิดตัว
    • เครื่อง 3.0 L 7M-GE ใช้น้ำมันพรีเมียม
    • รุ่น LPG 6 สูบ เปลี่ยนเป็น 1G-GP
    • เพิ่มรุ่น Athlete L พร้อมช่วงล่างแข็งพิเศษ ยาง Potenza ระบบช่วงล่าง TEMS ใหม่
  • ส.ค. 1990: รุ่น 2500 Royal Saloon (เครื่อง 1JZ-GE) แทนที่รุ่น 2000 Royal Saloon (1G-GE)
  • พ.ค. 1991: รุ่น 2.5 ลิตร Royal Spec Super Select
  • ส.ค. 1991: เพิ่มรุ่น 2.0 ลิตรใน Royal Spec Super Select
  • ต.ค. 1991: ฮาร์ดท็อปเปลี่ยนโฉมใหม่เป็นเจเนอเรชันที่ 9
  • ต.ค. 1991: ซีดาน, แวกอน, แวน ปรับโฉม กระจังหน้าเปลี่ยนสไตล์คล้าย S14#
    • เครื่อง 1UZ-FE V8 เลิกใช้, เปลี่ยนจาก 7M-GE เป็น 2JZ-GE
    • พวงมาลัยใช้ร่วมกับ S14#
    • โลโก้ Toyota ขนาดเล็กติดที่ด้านขวาหลังชื่อรุ่น
  • ส.ค. 1993: แก้กระจังหน้าสำหรับรุ่น 3 หมายเลขของซีดานและแวกอน
  • ธ.ค. 1995: ยกเลิกการผลิตซีดาน, แวกอนไมเนอร์เชนจ์
    • ถุงลมคนขับและ ABS เป็นมาตรฐาน
    • ที่นั่งแถว 3 เฉพาะรุ่น Royal Saloon
    • Rear Cooler กลายเป็นออปชั่น
    • Super Saloon Extra เปลี่ยนชื่อเป็น Royal Extra
    • เกียร์คอลัมน์ยกเลิก ใช้เฉพาะเกียร์คันพื้น
  • ก.ย. 1996: แวกอนรุ่น 2.5 ลิตร VVT-i
  • เม.ย. 1997: แวกอนปรับโฉม กระจังหน้าใหม่ ถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสารมาตรฐาน
  • 15 ธ.ค. 1999: แวกอน/แวนยุติการขาย หลังเปิดตัวรุ่นใหม่ “Crown Estate” (แวนรวมกับ Caldina Van)
    • ยอดขายสะสมก่อนยุติการขาย: 144,170 คัน

รุ่นที่ 9 (S140; พ.ศ. 2534-2538)

[แก้]
รุ่นที่ 9 (S140)
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อOctober 1991–November 1995
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง4-door pillared hardtop sedan
โครงสร้างFront-engine, rear-wheel-drive
รุ่นที่คล้ายกัน
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 4-speed automatic
  • 5-speed automatic
มิติ
ระยะฐานล้อ2,730 mm (107.5 in)
ความยาว
  • 4,800 mm (189.0 in) (Royal Saloon)
  • 4,690 mm (184.6 in)
ความกว้าง
  • 1,750 mm (68.9 in) (Royal Saloon)
  • 1,695 mm (66.7 in)
ความสูง1,440 mm (56.7 in)
น้ำหนัก1,620 kg (3,571 lb)

สโลแกนของรุ่นนี้คือ "ทุกสิ่ง...เพื่อคราวน์ (すべては、クラウン。)" ตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป รถคราวน์ทุกรุ่นจะมีขนาดตัวถังเป็นหมายเลข 3 ทั้งหมด (3-Number Size) ตั้งแต่รุ่นนี้เช่นกัน รุ่น 4 ประตูฮาร์ดท็อปจะถูกเรียกว่า "Royal Series" และมีรุ่นใหม่ "Royal Touring (ロイヤルツーリング)" ซึ่งมาแทนรุ่น Athlete L เป็นเกรดสปอร์ต โดยติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด

ในขณะเดียวกัน ก็ได้มีการเปิดตัว "Crown Majesta (クラウンマジェスタ)" ซึ่งเป็นรุ่นระดับบนสุดที่พัฒนามาจากรุ่น 4000 Royal Saloon G ของรุ่นก่อน และถือเป็นคราวน์รุ่นแรกที่ใช้โครงสร้างแบบโมโนค็อก (Monocoque Body) สำหรับถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับยังคงเป็นอุปกรณ์เสริมในรุ่นฮาร์ดท็อป แต่ในรุ่น Majesta จะมีติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน

Royal Series ยังคงใช้โครงสร้างตัวถังแบบเฟรมเต็ม (Full-Frame) เช่นเดิม ส่วนรุ่น Sedan และ Wagon/Van ยังคงใช้โครงสร้างเดิมจากรุ่น 130 ที่ได้รับการปรับปรุงเล็กน้อยและยังคงผลิตต่อไป โดยคราวน์รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นเดียวที่ไม่มี Sedan แบบมีกรอบกระจกหน้าต่าง

ตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการติดตั้งตราสัญลักษณ์รุ่นไว้ที่บังโคลนหน้าอีกต่อไป โดยรุ่นย่อยที่มีได้แก่

  • Royal Saloon G
  • Royal Saloon
  • Royal Touring
  • Super Saloon Extra
  • Super Select

ส่วนรุ่นราคาย่อมเยาที่มีในรุ่นก่อนอย่าง "Super Edition" ถูกยกเลิกไป

รุ่นแรกของ Royal Series ได้รับเสียงวิจารณ์ด้านลบจากดีไซน์ที่ดูไม่โดดเด่นเท่ารุ่นก่อน จนถูกตีตราว่าเป็น “ผลงานล้มเหลว” นับตั้งแต่รุ่น S6#/7 เมื่อหลายปีก่อน และยังต้องเผชิญกับยอดขายที่ตกเป็นรองคู่แข่งอย่าง Cedric/Gloria รุ่น Y32 ที่เปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน

ในช่วงหลัง รถรุ่นนี้เริ่มกลายเป็นของหายากในญี่ปุ่น เนื่องจากถูกแยกชิ้นส่วนตามนโยบายลดภาษีรถอีโคคาร์ (Eco-Car Tax Reduction) และการส่งออกรถมือสองไปต่างประเทศ


ไทม์ไลน์:

  • 11 ตุลาคม 1991 – เปิดตัว
  • 28 ตุลาคม 1991 – เริ่มวางจำหน่าย โดยตำแหน่งป้ายทะเบียนด้านหลังถูกย้ายมาไว้ตรงกลางกันชน แทนตำแหน่งดั้งเดิมในรุ่นก่อน
  • ตุลาคม 1992 – ปรับปรุงเล็กน้อย เช่น แผงกลางลายไม้ถูกติดตั้งในทุกรุ่น, กระจังหน้ามีสีโครเมียมที่สว่างขึ้น, มือจับประตูเป็นโครเมียม
  • สิงหาคม 1993 – ปรับโฉมครั้งใหญ่ โดยดีไซน์ด้านหลังได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นก่อนหน้า (130 series รุ่นปรับปรุง) พร้อมย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนกลับไปไว้ตรงกลางด้านท้ายรถ กระจังหน้าเปลี่ยนจากแนวนอนเป็นลายตาราง และสัญลักษณ์มงกุฎกลับมาที่เสา C ช่วยให้ยอดขายฟื้นตัวได้สำเร็จ
  • เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.4 ลิตร เปลี่ยนจากรุ่น 2L-THE เป็น 2L-TE
  • ธันวาคม 1993 – รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 1G-FE กลับมาอีกครั้ง พร้อมเพิ่มรุ่นย่อยราคาประหยัด "Super Select Royal Extra"

ยอดจดทะเบียนรถใหม่สะสมของคราวน์รุ่นที่ 9 (รวม Majesta) ในประเทศญี่ปุ่นก่อนหยุดผลิต อยู่ที่ 370,921 คัน

รุ่นที่ 10 (S150; พ.ศ. 2538-2542)

[แก้]
รุ่นที่ 10 (S150)
Toyota Crown Hardtop Royal Saloon (Japan)
Pre-facelift Toyota Crown Sedan Royal Saloon G (JZS155, Thailand)
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ
  • 1995–1999 (Hardtop)
  • 1995–2001 (Sedan)
แหล่งผลิตJapan: Toyota, Aichi (Motomachi plant)
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้าง
รุ่นที่คล้ายกัน
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 4-speed automatic
  • 5-speed manual
  • 5-speed automatic
มิติ
ระยะฐานล้อ2,780 mm (109.4 in)
ความยาว
  • 1,760 mm (69.3 in)
  • 1,695 mm (66.7 in) (2.0 L)
ความกว้าง
  • 1,760 mm (69.3 in)
  • 1,695 mm (66.7 in) (2.0 L)
ความสูง
  • 1,760 mm (69.3 in)
  • 1,695 mm (66.7 in) (2.0 L)
น้ำหนัก
  • 1,760 mm (69.3 in)
  • 1,695 mm (66.7 in) (2.0 L)

คำโปรยโฆษณาคือ “งดงาม วิ่งได้ดี มงกุฎแห่งญี่ปุ่น” (美しく、走る。日本のクラウン。)

ตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป ซีรีส์ Royal ก็ได้ใช้ตัวถังแบบฟูลโมโนค็อก (Full Monocoque Body) ด้วย ซึ่งส่งผลให้มีน้ำหนักเบาลงมากกว่า 100 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เป็นรุ่นที่มีการเปลี่ยนทิศทางชัดเจนจากแนวอนุรักษ์นิยมเดิม มาให้ความสำคัญกับสมรรถนะการขับขี่มากขึ้น รุ่นเครื่องยนต์ 3 ลิตร ใช้เครื่องยนต์ 2JZ-GE พร้อมระบบ VVT-i รถเปิดตัวในปี 1995 และเริ่มมี model facelift ในปี 1997 รุ่นนี้เป็นที่น่าเสียดายว่าถูกตัดอุปกรณ์ตู้เย็นที่ท้ายรถออกไป

S150 มีทั้งหมด 3 รูปแบบตัวถัง ได้แก่ รุ่นฮาร์ดท็อป, รุ่นมาเจสต้า (สำหรับลูกค้าทั่วไปและอื่นๆ) และรุ่นซีดาน (สำหรับลูกค้าทั่วไป, ลูกค้าองค์กร, รถราชการ, แท็กซี่ และอื่นๆ) มีไลน์อัพแบบครบถ้วน รวมถึงรุ่น Royal Saloon G – Standard เพื่อลดต้นทุน ระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่เคยมีในรุ่น Royal Saloon G ถูกยกเลิกไป และใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Majesta ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวกับ Mark II รุ่น 90 ทั้ง 3 รูปแบบตัวถังเปิดตัวพร้อมกันในปี 1995 แต่มักมีความเข้าใจผิดว่ารุ่นฮาร์ดท็อปเป็นรุ่น facelift ซึ่งไม่เป็นความจริง

S150 นี้ถือเป็นคราวน์รุ่นสุดท้ายที่ยังคงมีตัวถังแบบ Hardtop กระจกเปลือย, บอดี้ซีดานถือเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีกระจกแก้ม (fender mirror) จากโรงงาน และ Toyota Crown Comfort แท็กซี่เป็นรุ่นที่สืบทอดงานออกแบบต่อจาก S150 บอดี้ซีดานซึ่งมีคนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าคือรุ่นเดียวกัน

รุ่นย่อยที่เป็นเกรดสูงสุดสำหรับบอดี้ฮาร์ดท็อปและซีดานคือ Royal Saloon "G" ในญี่ปุ่นโดยมีอุปกรณ์ไฟฟ้าล้ำสมัยเต็มคันที่ไม่ด้อยไปกว่ารุ่นมาเจสต้า

ในส่วนรถรุ่นส่งออกส่วนใหญ่มักเป็นรุ่นซีดาน แต่ก็มีการส่งออกรุ่นฮาร์ดท็อปในจำนวนน้อยไปยังบางประเทศในเอเชีย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน ไทย เวียดนาม และภูมิภาคตะวันออกกลาง

รหัสโมเดลของรถซีรี่ส์ S150 ได้แก่ GS151 GS151H JZS151 JZS153 JZS155 JZS157 LS151 LS151H UZS151 UZS155 UZS157 แตกต่างกันไปตามเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน ซึ่งรหัสโมเดลนั้นไม่ได้เป็นการระบุบอดี้ตัวรถโดยตรงและยังมีการใช้ผิดกันอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างเช่น JZS155 นั้นเป็นรหัสที่มีทั้ง 3 บอดี้ เนื่องจากทั้ง ฮาร์ดท็อป ซีดาน และมาเจสต้า ล้วนมีรุ่นย่อยที่ใช้เครื่องยนต์ 2JZ ขับเคลื่อนแบบ RWD ทั้งสิ้น เช่น ในการหาอะไหล่บอดี้รถยนต์การระบุแค่เลข JZS155 เพื่อค้นหาจึงเสี่ยงต่อการได้ชิ้นส่วนไม่ตรงบอดี้ที่ใช้อยู่เป็นอย่างมาก แต่ชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารสามารถใช้ร่วมกันได้กว่า 90%


S150 รุ่นที่ปรากฎในประเทศไทย

สัดส่วนของ S150 ในไทยที่พบเจอได้มากที่สุดจะเป็นรถเวอร์ชั่นส่งออกที่นำเข้ามาโดยโตโยต้าประเทศไทย โดยบอดี้ซีดานจะเป็นรหัส JZS155 สีน้ำเงินรุ่นย่อย Royal Saloon และบอดี้ฮาร์ดท็อปรหัส GS151, JZS155 รุ่นย่อย Royal Extra, Royal Saloon รถเวอร์ชั่นส่งออกนั้นถูกตัดอ๊อปชั่นลูกเล่นออกหลายสิบรายการจากรถเวอร์ชั่นญี่ปุ่น

จุดสังเกตของรถเวอร์ชั่นส่งออก

  • กระจังหน้าเป็นโลโก้ Toyota ไม่ใช่มงกุฎ
  • ท้ายรถฝั่งขวามีเสาอากาศวิทยุ (รุ่นซีดาน)
  • เพลทท้ายรถมีคำว่า 3.0 TWIN CAM 24 และคำว่า TOYOTA
  • แผงบังแดดภายในรถมีภาษาอาหรับและภาษาอื่นๆ ปนอยู่
  • label ตามตัวถังจุดต่างๆ ในรถมีภาษาอาหรับและภาษาอื่นๆ ปนอยู่
  • เรือนไมล์มีความเร็วสูงสุดเกินกว่า 180 กม./ชม.
  • กุญแจรถเป็นแบบไขธรรมดา เป็นโลโก้ Toyota ไม่ใช่มงกุฎ ไม่ได้เป็นแบบรีโมท
  • พวงมาลัยซ้าย (สำหรับางประเทศ)
  • กระจกมองข้างจะอยู่ที่ประตูตามปกติเท่านั้น (รุ่นซีดาน)
  • เบาะผู้โดยสารตอนหน้ามักจะเป็นแบบปรับมือ แต่อีก 3 เบาะในรถเป็นไฟฟ้า


ส่วนตัวรถจากผู้นำเข้าอิสระนั้นมีจำนวนน้อยกว่ามาก และบอดี้มาเจสต้าจะมาจากผู้นำเข้าอิสระเท่านั้น

ตัวอย่างอุปกรณ์ที่รถเวอร์ชั่นส่งออกขาดหายไปเมื่อเทียบกับรุ่นบนสุดของรถเวอร์ชั่นญี่ปุ่น
พวงมาลัยปรับระดับแบบไฟฟ้า Cruise Control พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น (facelift) หน้าจอสัมผัส EMV
ไฟหน้าซีน่อนแบบปรับระดับได้ ระบบนำทาง GPS ผ่านจอ EMV ลำโพงพรีเมี่ยม 7 ตำแหน่ง + amp เครื่องเล่น CD 12 แผ่นที่ท้ายรถ
เบาะผู้โดยสารตอนหน้าแบบไฟฟ้า 4 ปุ่ม พร้อม ottoman แบบเปิดแหย่เท้าทะลุจากเบาะหลังได้ (รุ่นซีดาน) เบาะหลังแบบนวดได้ (รุ่นซีดาน) ระบบแอร์ตอนหลังแบบ auto Head-up Display (รุ่นมาเจสต้า)
Traction Control VSC ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบเลี้ยว 4 ล้อ (รุ่นมาเจสต้า)
โช้คปรับสูง-ต่ำด้วยไฟฟ้า (รุ่นมาเจสต้า) ปุ่ม shift lock ที่เกียร์ เกียร์แบบขั้นบันได (facelift) เรือนไมล์ดิจิตอล
กระจกแก้มที่ฝากระโปรง (รุ่นซีดาน) กล่องคอนโซลกลางลายไม้ (facelift) ช่องจุดบุหรี่ในกล่องคอนโซลกลาง เรือนไมล์เข็มแบบ optitron
ปุ่มสำหรับปรับระดับแสงที่เรือนไมล์ กระจกมองข้างแบบไล่ฝ้าได้ ล้อแม็กแบบปัดเงาพร้อมฝา กุญแจรีโมท โลโก้มงกุฎ
หัวเกียร์และพวงมาลัยหุ้มหนังแบบเย็บ พวงมาลัยลายไม้ ผ้าคลุมเบาะลูกไม้ (option) ถังขยะฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า (option)
เกียร์อัตโนมัติแบบ 5 AT (facelift) เสากะระยะแบบหนีบใต้ไฟหน้า (option) เสากะระยะแบบไฟฟ้าฝังในกันชนหน้า (option) เสากะระยะแบบไฟฟ้าฝังในกันชนหลัง (option)
ที่พักขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (option) ผ้าผ่านลูกไม้สำหรับกระจกบานหลังแบบ manual (option) ผ้าผ่านลูกไม้สำหรับกระจกบานหลังแบบเปิดด้วยไฟฟ้า (option) กันสาดประตู (option)
โทรศัพท์ภายในรถยนต์ (option) ไฟเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลังกรอบโครเมี่ยมแบบปรับหมุนองศาได้ ถุงลมนิรภัย 4 ใบ ที่เบาะและด้านข้าง กระจังหน้าโลโก้มงกุฎ
หมอนอิงเสริมด้านข้างเสา C สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (option) กล้อง blind corner monitor แบบฝังในกันชน ซ้าย-ขวา ทำงานร่วมกับจอ EMV (option) หลังคามูนรูฟ (รุ่นฮาร์ดท็อป/มาเจสต้า) ไฟสัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารตอนหน้า
เพลทท้ายโลโก้สีทอง (option) โลโก้เสา C ของรุ่นซีดาน จะมีคำว่า "SEDAN" สลักอยู่ (facelift) ไฟหน้ามุมเป็นสีขาว และไฟเลี้ยวสีส้มย้ายมาอยู่ที่แก้มข้าง (รุ่นซีดาน facelift)

ตัวอย่างรายการที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับรุ่น Facelift ปี 1997 เป็นต้นไปของเวอร์ชั่นญี่ปุ่น

โครงสร้างตัวถังแบบ GOA Traction Control (TRC) VSC หน้าจอ EMV ขนาดใหญ่ขึ้น
ลายไม้เปลี่ยนเป็นสีอ่อน พวงมาลัยลายไม้ เรือนไมล์เข็มแบบ optitron ไฟหน้าซีน่อนแบบปรับระดับได้
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ไฟหน้ามุมเป็นสีขาว และไฟเลี้ยวสีส้มย้ายมาอยู่ที่แก้มข้าง (รุ่นซีดาน) กล่องคอนโซลกลางลายไม้ (รุ่นฮาร์ดท็อปและซีดาน) กล่องคอนโซลกลางดีไซน์ใหม่ (รุ่นมาเจสต้า)
ช่องไฟจุดบุหรี่ในกล่องคอนโซลกลาง โลโก้เสา C ของรุ่นซีดาน จะมีคำว่า "SEDAN" สลักอยู่ กล้อง blind corner monitor แบบฝังในกันชน ซ้าย-ขวา ทำงานร่วมกับจอ EMV (option เฉพาะรุ่นฮาร์ดท็อป/มาเจสต้า) เกียร์แบบขั้นบันได
ไฟสัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารตอนหน้า ถุงลมนิรภัย 4 ใบ ที่เบาะและด้านข้าง


รุ่นย่อยหลักของบอดี้ฮาร์ดท็อป ได้แก่

  • Royal Saloon G
  • Royal Saloon
  • Royal Touring (มีรุ่น 5AT)
  • Royal Extra

รุ่นฮาร์ดท็อปแบบ 4 ประตู ซึ่งเป็นรุ่นหลักนั้นมีการจัดเรียงเกรดใหม่ โดยรุ่นราคาประหยัดทั้งหมดถูกรวมไว้ในชื่อเดียวว่า “Royal Extra”

ในเดือนเมษายน ปี 1999 รุ่นฮาร์ดท็อปมีการเปิดตัวรุ่นพิเศษ “Anniversary Package” ซึ่งเป็นรุ่นฉลองยอดขายสะสมในประเทศครบ 4 ล้านคัน นับตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายในเดือนมกราคมปี 1955[10]

อุปกรณ์พิเศษที่ติดตั้งมาในรุ่น Anniversary ได้แก่:

  • ล้ออัลลอยปัดเงาแบบพิเศษ
  • แผงคอนโซลลายไม้พร้อมโลโก้พิเศษ
  • พวงกุญแจหนังแท้พร้อมโลโก้
  • ไฟหน้าแบบซีนอนพร้อมระบบปรับระดับอัตโนมัติ
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
  • พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนังแท้

รุ่นย่อยหลักของบอดี้ซีดาน ได้แก่

  • Royal Saloon G (3000 VVT-i)
  • Royal Saloon (3000 VVT-i / 2500 / 2400 Turbo Diesel)
  • Super Saloon Extra (3No.) 2500/ 2000
  • Super Saloon Extra Four (4WD)
  • Super Saloon Extra (5No.) 2000
  • Super Deluxe 2000 / 2400 Turbo Diesel

นอกจากนี้บอดี้ซีดานยังมีรุ่น standard ซึ่งเป็นรุ่นล่างสุดสำหรับองค์กร, รถราชการ, แท็กซี่ และอื่นๆ โดยเป็น trim ต่ำที่สุด ล้อกระทะ, กระจกด้านหลังแบบมือหมุน, หน้าปัดไม่มีวัดรอบ ถือเป็นคราวน์รุ่นท้ายๆ ที่มีตัวล่างขนาดนี้ให้เลือกซื้อ

รุ่นย่อยหลักของบอดี้มาเจสต้า ได้แก่

  • C Type (V8 4000)
  • C Type i-Four (V8 4000 4WD)
  • F Type (V8 4000)
  • A Type (3000 VVT-i)
  • E Type (3000 VVT-i)

มาเจสต้าถือเป็นรุ่นย่อยระดับบนสุดใน S150 มีขนาดมิติตัวถังที่ใหญ่สุด เทคโนโลยีอัดแน่นมากที่สุด มีระบบเลี้ยว 4 ล้อ (4WS), ช่วงล่างปรับสูง-ต่ำได้, มี Head-up Display ยิงข้อมูลขึ้นกระจกทั้งความเร็วและบอกทิศทางที่ต้องเลี้ยวร่วมกับระบบนำทาง GPS ในจอ EMV เป็นต้น

ราคาของรถแต่ละรุ่นเมื่อครั้งเปิดตัวที่ญี่ปุ่น[11]

บอดี้ฮาร์ดท็อป

ปี เกรด รหัสโมเดล ขนาดเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ราคา (หน่วย: JPY/1995-1998)
1995/08 Royal Extra E-JZS151 2491cc 4AT 9.0km/L 2,950,000
1995/08 Royal Extra E-GS151H 1988cc 4AT 9.6km/L 2,750,000
1995/08 Royal Extra KD-LS151H 2446cc 4AT - 2,930,000
1995/08 Royal Saloon KD-LS151H 2446cc 4AT - 3,280,000
1995/08 Royal Touring E-JZS151 2491cc 4AT 9.0km/L 3,200,000
1995/08 Royal Saloon E-JZS151 2491cc 4AT 9.0km/L 3,300,000
1995/08 Royal Saloon G E-JZS155 2997cc 4AT 9.8km/L 4,100,000
1995/08 Royal Saloon G พร้อมจอ EMV E-JZS155 2997cc 4AT 9.4km/L 4,320,000
1995/08 Royal Saloon G พร้อมจอ EMV และชุดระบบนำทาง GPS E-JZS155 2997cc 4AT 9.4km/L 4,500,000
1995/08 Royal Saloon E-JZS155 2997cc 4AT 9.8km/L 3,650,000
1995/08 Royal Touring E-JZS155 2997cc 5AT 9.8km/L 3,550,000
1998/01 Royal Touring S Selection E-JZS151 2491cc 4AT 10.2km/L 3,280,000
1998/04 Royal Extra Limited E-JZS151 2491cc 4AT 10.2km/L 3,070,000
1998/04 Royal Extra Limited (4WD) E-JZS153 2491cc 4AT 8.5km/L 3,470,000
1998/04 Royal Extra Limited E-GS151H 1988cc 4AT 9.8km/L 2,860,000
1998/08 Super Saloon Extra (5No.) GF-GS151 1988cc 4AT 11.2km/L 2,750,000
1998/08 Super Saloon Extra Royal S Package (5No.) GF-GS151 1988cc 4AT 11.2km/L 2,870,000
1998/08 Royal Saloon Four (4WD) E-JZS153 2491cc 4AT 8.5km/L 3,780,000
1998/08 Super Saloon Extra Four (4WD) E-JZS153 2491cc 4AT 8.5km/L 3,390,000
1998/08 Royal Extra Limited (4WD) E-JZS153 2491cc 4AT 8.5km/L 3,440,000
1999/04 Royal Extra Limited Anniversary Package GF-JZS151 2491cc 4AT 10.2km/L 3,100,000
1999/04 Royal Extra Limited Four Anniversary Package (4WD) GF-JZS153 2491cc 4AT 8.5km/L 3,470,000
1999/04 Royal Extra Limited Anniversary Package GF-GS151H 1988cc 4AT 11.2km/L 2,920,000
1999/04 Royal Saloon Anniversary Package GF-JZS151 2491cc 4AT 10.2km/L 3,390,000
1999/04 Royal Saloon Anniversary Package GF-JZS155 2997cc 4AT 9.4km/L 3,810,000
1999/04 Royal Saloon Four Anniversary Package GF-JZS157 2997cc 4AT 7.9km/L 3,940,000

บอดี้ซีดาน

ปี เกรด รหัสโมเดล ขนาดเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ราคา (หน่วย: JPY/1995)
1995/12 Super Saloon Extra Royal S Package (3No.) E-GS151H 1988cc 4AT 9.6km/L 2,890,000
1995/12 Royal Saloon E-JZS155 2997cc 4AT 9.4km/L 3,690,000
1995/12 Royal Saloon E-JZS151 2491cc 4AT 9.0km/L 3,380,000
1995/12 Super Saloon Extra E-JZS151 2491cc 4AT 9.0km/L 2,990,000
1995/12 Super Deluxe KD-LS151 2446cc 4AT - 2,630,000
1995/12 Super Saloon Extra (3No.) E-GS151H 1988cc 4AT 9.6km/L 2,790,000
1995/12 Royal Saloon (3No.) KD-LS151H 2446cc 4AT - 3,360,000
1995/12 Royal Saloon G E-JZS155 2997cc 4AT 9.4km/L 4,030,000
1995/12 Super Saloon Extra Royal S Package E-GS151 1988cc 4AT 9.6km/L 2,810,000
1995/12 Super Deluxe E-GS151 1988cc 4AT 9.6km/L 2,410,000
1995/12 Super Deluxe E-GS151 1988cc 5MT 11km/L 2,315,000
1995/12 Super Saloon Extra Four (4WD) E-JZS153 2491cc 4AT 7.8km/L 3,370,000
1995/12 Super Saloon Extra E-GS151 1988cc 4AT 9.6km/L 2,690,000


บอดี้มาเจสต้า

ปี เกรด รหัสโมเดล ขนาดเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ราคา (หน่วย: JPY/1995-1998)
1995/08 A Type E-JZS155 2997cc (2JZ-GE) 4AT 9.0km/L 4,200,000
1995/08 F Type E-UZS157 3968cc (1UZ-FE V8) 4AT 8.0km/L 4,540,000
1995/08 C Type พร้อมจอ EMV และชุดระบบนำทาง GPS E-UZS151 3968cc (1UZ-FE V8) 4AT 8.0km/L 5,320,000
1995/08 C Type E-UZS151 3968cc (1UZ-FE V8) 4AT 8.0km/L 4,920,000
1995/08 C Type i-Four (4WD) E-UZS155 3968cc (1UZ-FE V8) 4AT 7.3km/L 5,850,000
1996/05 E Type E-JZS155 2997cc (2JZ-GE) 4AT 9.0km/L 3,980,000
1998/10 Owner's Edition GF-UZS157 3968cc (1UZ-FE V8) 5AT - 4,880,000

ไทม์ไลน์:

[แก้]
  • 31 สิงหาคม 1995 – เริ่มวางจำหน่าย
  • ธันวาคม 1995 – เปลี่ยนโฉมใหม่เต็มรูปแบบของรุ่นซีดาน / เพิ่มระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นครั้งแรกของ Crown
  • กันยายน 1996 – เพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 1JZ-GE พร้อมระบบ VVT-i
  • สิงหาคม 1997 – มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เพิ่มระบบความปลอดภัยตัวถัง GOA, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง SRS, และระบบควบคุมการทรงตัว VSC
    • โฆษณาทางทีวีในขณะนั้นมีนักแสดง Tadanobu Asano ร่วมแสดง
    • อุปกรณ์เสริมมีหน้าจอ 7 นิ้วแบบกว้าง “Electro Multi Vision”, ไฟหน้าดิสชาร์จแบบ Multi Reflector (เฉพาะ Royal Touring และรุ่นพิเศษของ Royal Saloon), มาตรวัด Optitron ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ Crown
    • รุ่น Royal Touring ยังมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว, คันเกียร์แบบเกท, และกระจังหน้าแบบสปอร์ต
    • เครื่องยนต์ 1G-FE เพิ่มแรงม้าขึ้นเป็น 140 PS
  • สิงหาคม 1998 – ปรับปรุงบางส่วน เครื่องยนต์ 1G-FE เปลี่ยนเป็น VVT-i เพิ่มแรงม้าเป็น 160 PS, รุ่น 3.0 ลิตรมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือกด้วย
    • ระบบนำทาง CD-NAVI แบบ Electro Multi Vision เป็นออปชั่นจากโรงงาน
    • หลังจากรุ่น S17# เปิดตัวในเดือนกันยายน 1999 ระบบนำทางแบบ DVD-NAVI ก็มีให้เลือกเป็นออปชั่นแบบติดตั้งโดยดีลเลอร์ (แค่เปลี่ยนคอมพิวเตอร์นำทาง) สำหรับรุ่น S15#
    • โฆษณาทีวีช่วงนี้มี Akiko Suwanai เป็นผู้ร่วมแสดง
  • กันยายน 1999 – ยุติการผลิตรุ่นฮาร์ดท็อป เนื่องจากการเปลี่ยนโฉมใหม่
    • รุ่นซีดานยังคงผลิตต่อไป
  • สิงหาคม 2001 – ยุติการผลิตและจำหน่ายรุ่นซีดาน
    • จำนวนการจดทะเบียนรถใหม่สะสมจนถึงเดือนก่อนยุติการผลิตอยู่ที่ 503,430 คัน

รุ่นที่ 11 (S170; พ.ศ. 2542-2546)

[แก้]
รุ่นที่ 11 (S170)
Royal Saloon (2001) facelift
Athlete V (2001) facelift
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ
  • 1999–2003 (Sedan)
  • 1999–2007 (Wagon)
แหล่งผลิตJapan: Toyota, Aichi (Motomachi plant)
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
โครงสร้าง
รุ่นที่คล้ายกันToyota Crown Majesta (S170)
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 4-speed automatic
  • 5-speed automatic
มิติ
ระยะฐานล้อ2,780 mm (109.4 in)
ความยาว
  • 4,820 mm (189.8 in)
  • 4,690 mm (184.6 in) (2.0 L)
ความกว้าง
  • 1,765 mm (69.5 in)
  • 1,695 mm (66.7 in) (2.0 L)
ความสูง1,465 mm (57.7 in)

สโลแกนของรุ่นนี้คือ "มุ่งสู่ศตวรรษที่ 21 ไปกับคราวน์คันนี้" 「21世紀へ。このクラウンで行く。」

เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของตัวถัง จึงยกเลิกตัวถังแบบฮาร์ดท็อป 4 ประตูที่มีเสา B ซึ่งใช้มาตั้งแต่รุ่นที่ 5 และเปลี่ยนมาเป็นแบบซีดาน 4 ประตูที่มีกรอบหน้าต่างแทน โดยรหัสตัวถัง "S16#" ไม่ได้ถูกใช้ เนื่องจากเคยใช้กับ Aristo เจเนอเรชันที่ 2 แล้ว จึงข้ามไปใช้รหัส "S17#" จากรุ่นก่อนที่เป็น "S15#"

ชื่อ "Athlete" ซึ่งเป็นรุ่นตกแต่งแนวสปอร์ต ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่รุ่น S13# และรุ่นที่ติดตั้งเทอร์โบก็กลับมาอีกครั้งในรอบ 14 ปีนับตั้งแต่รุ่น S12# การมาของ Athlete ทำให้รุ่น Royal Touring ที่มีมาสองเจเนอเรชันต้องยกเลิกไป โดยรุ่นย่อยของ Royal ได้แก่ "Royal Saloon G", "Royal Saloon", และ "Royal Extra" ขณะที่ซีรีส์ Athlete ได้แก่ "Athlete G", "Athlete V", และ "Athlete" โดย Athlete V ใช้เครื่องยนต์ 1JZ-GTE DOHC เทอร์โบ 2.5 ลิตร ให้กำลัง 280 แรงม้า แรงบิด 38.5 กก.-ม. ซึ่งใช้ร่วมกับ Toyota Soarer

ในส่วนของไฟหน้า รุ่น Royal ใช้เลนส์แบบมีลายตัดกับรีเฟลกเตอร์แบบเดิม ขณะที่ไฟหน้าแบบปล่อยแสงความเข้มสูง (Discharge Headlamp) จะมีในรุ่น Athlete รถดีเซลและรุ่นเกียร์ธรรมดาทั้งหมด (รวมถึงที่ใช้ในหน่วยงานราชการและตำรวจ) ยุติการผลิตในเจเนอเรชันนี้

รุ่นสเตชันแวกอนได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อเป็น "Crown Estate" ซึ่งจำหน่ายตั้งแต่ธันวาคม 1999 ถึงมิถุนายน 2007

ในเดือนสิงหาคม 2001 มีการเปิดตัวรุ่น "Crown Mild Hybrid" ซึ่งใช้ระบบไฟฟ้า 42 โวลต์

มีการส่งออกรถพวงมาลัยขวาอย่างเป็นทางการไปยังหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดย Crown Sedan รุ่นก่อน (S15#) ยังมีจำหน่ายต่อถึงเดือนสิงหาคม 2001

ในประเทศไทย Toyota Crown S170 ส่วนมากที่พบเจอจะเป็นรถที่เคยถูกนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยโตโยต้าประเทศไทย รหัส JZS175 รุ่นย่อย Royal Saloon ธรรมดา จุดสังเกตรถยนต์เวอร์ชั่นส่งออกให้ดูที่กระจังหน้าจะเป็นโลโก้สามห่วง ไม่ใช่โลโก้มงกุฎ รถเวอร์ชั่นส่งออกเป็นรถที่ถูกตัดอ๊อปชั่นออกนับสิบรายการจากรถเวอร์ชั่นญี่ปุ่นต้นฉบับ และมีส่วนน้อยที่ถูกนำเข้ามาโดยผู้นำเข้าอิสระ รถกลุ่มหลังนี้จะเป็นรถเวอร์ชั่นญี่ปุ่นต้นฉบับโดยตรง


ไทม์ไลน์ของรุ่นนี้

1999 (ปีเฮเซที่ 11)

  • วันที่ 24 กันยายน: เปิดตัวจำหน่าย

2000 (ปีเฮเซที่ 12)

  • วันที่ 3 เมษายน: เพิ่มรุ่น “2.0 Royal Extra” (ใช้เครื่องยนต์ 1G-FE)
  • วันที่ 10 พฤษภาคม: เปิดตัวรุ่นพิเศษ “Royal Extra Limited” ซึ่งมีฟีเจอร์เสริมเช่น กระจกหน้ามีแถบกรองแสงด้านบน, เบาะคนขับปรับไฟฟ้า, และพวงมาลัยหุ้มหนัง
  • สิงหาคม: ทุกรุ่น (ยกเว้น Athlete V) ผ่านการรับรองเป็นรถปล่อยมลพิษต่ำ 25% จากกระทรวงที่ดินฯ รุ่น 2.0L ของ Royal Extra Limited ก็ถูกเพิ่มเข้ามาเช่นกัน

2001 (ปีเฮเซที่ 13)

  • มกราคม: รุ่นพิเศษ “Royal Saloon Premium 21” เปิดตัว มาพร้อมกับระบบนำทางเสียง DVD, เบาะหลังแยกพับไฟฟ้าแบบ 40/60
  • สิงหาคม: มีการไมเนอร์เชนจ์ทั้งภายนอกและภายใน รุ่น 3.0 Royal Saloon ได้ระบบไฮบริดอ่อน (Mild Hybrid System - THS-M) ผ่านการรับรองรถปล่อยมลพิษต่ำระดับ 50% และเป็นรถรักษ์สิ่งแวดล้อมระดับพิเศษจาก 8 จังหวัดหลัก ขยายตัวเลือกเครื่องยนต์เป็น 2.5L แบบฉีดตรง (Direct Injection) Royal ได้รับการติดตั้งไฟหน้าแบบ Discharge Athlete มีตัวเลือกออปชันล้ออัลลอย 17 นิ้วพร้อมยางแก้มเตี้ย 45 ไฟท้ายเปลี่ยนเป็นแบบกลมสามดวง สีของชายล่างข้างตัวถังและด้านหลังเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเดียวกับตัวรถทั้ง Royal และ Athlete เพิ่มสีดำในรุ่น Athlete รุ่นพิเศษ "Athlete VX" ที่พัฒนาโดย Yamaha Motor พร้อมช่วงล่าง X-REAS และเครื่องยนต์ 300 แรงม้า วางจำหน่ายแบบจำนวนจำกัด

2002 (ปีเฮเซที่ 14)

  • วันที่ 17 มกราคม: เปิดตัวรุ่นพิเศษ “Royal Saloon Premium” พร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้วแบบเดียวกับ Crown Majesta
  • วันที่ 7 สิงหาคม: วางจำหน่ายรุ่นพิเศษ “Royal Extra Limited” อีกครั้ง

2003

  • วันที่ 7 มกราคม: Royal Saloon Premium ได้รับการปรับปรุงเล็กน้อย เช่น กระจกกรองแสง Privacy Glass และขยายเครื่องยนต์เป็น 2.5L, 3.0L และรุ่น Hybrid
  • วันที่ 25 เมษายน: Royal Extra Limited ได้รับการปรับปรุงเพิ่มล้ออัลลอย 15 นิ้ว และม่านหลังไฟฟ้า รุ่น 2.5L มาพร้อมไฟหน้า Discharge

เกี่ยวกับรุ่น Athlete V ที่ใช้เครื่อง 1JZ-GTE

เนื่องจากเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังกำลังสูง จึงมีผู้ที่นำไปดัดแปลงติดตั้งเกียร์ธรรมดาเพื่อเน้นสมรรถนะการขับขี่แบบสปอร์ต

ยอดจดทะเบียนสะสมก่อนหยุดผลิตรุ่นที่ 11 ในประเทศญี่ปุ่น

รวมทั้งสิ้น 351,888 คัน

แกลอรี่ S170

[แก้]
1999–2001 Crown Royal Saloon (JZS175, Japan)
1999–2001 Crown Royal Saloon (JZS175, Japan) 
1999–2001 Crown Athlete V (JZS171, Japan)
1999–2001 Crown Athlete V (JZS171, Japan) 
1999–2001 Crown Athlete V (JZS171, Japan)
1999–2001 Crown Athlete V (JZS171, Japan) 
1999–2001 Crown Estate Athlete (JZS171W, Japan)
1999–2001 Crown Estate Athlete (JZS171W, Japan) 
1999–2001 Crown Estate Athlete (JZS171W, Japan)
1999–2001 Crown Estate Athlete (JZS171W, Japan) 
2001–2003 Crown Royal Extra Limited (GS171, Japan)
2001–2003 Crown Royal Extra Limited (GS171, Japan) 
2001–2003 Crown Royal Extra Limited (GS171, Japan)
2001–2003 Crown Royal Extra Limited (GS171, Japan) 
2001–2003 Crown Royal Saloon (JZS175, Japan)
2001–2003 Crown Royal Saloon (JZS175, Japan) 
2001–2003 Crown Athlete V (JZS171, Japan)
2001–2003 Crown Athlete V (JZS171, Japan) 
2001–2003 Crown Athlete V (JZS171, Japan)
2001–2003 Crown Athlete V (JZS171, Japan) 
2001–2003 Crown Estate Athlete (JZS171W, Japan)
2001–2003 Crown Estate Athlete (JZS171W, Japan) 
2001–2003 Crown Estate Athlete (JZS171W, Japan)
2001–2003 Crown Estate Athlete (JZS171W, Japan) 
Toyota Crown (S170) in Tokyo Metropolitan Police Department service
Toyota Crown (S170) in Tokyo Metropolitan Police Department service 
ภายใน
ภายใน 

รุ่นที่ 12 (S180; พ.ศ. 2546-2551)

[แก้]
รุ่นที่ 12 (S180) "Zero Crown"
Royal Saloon G (2003)
Saitama Prefectural Police S180
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ
แหล่งผลิต
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง4-door sedan
โครงสร้าง
แพลตฟอร์มToyota N platform
รุ่นที่คล้ายกัน
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 5-speed automatic
  • 6-speed automatic
มิติ
ระยะฐานล้อ2,850 mm (112.2 in)
ความยาว4,855 mm (191.1 in)
ความกว้าง1,780 mm (70.1 in)
ความสูง1,470 mm (57.9 in)
น้ำหนัก1,620–1,700 kg (3,571.5–3,747.9 lb)

"ZERO CROWN ~ รถที่เคยเป็นจุดหมาย ปัจจุบันกลายเป็นจุดเริ่มต้น ~" (รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์) และ

"รถคันนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด มีเพียงวิวัฒนาการที่ไม่รู้จบเท่านั้น ZERO CROWN บทที่ 2" (รุ่นไมเนอร์เชนจ์)

จากสโลแกนในโฆษณานี้เอง ที่ทำให้รุ่นนี้ถูกเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า "เซโร่คราวน์" (Zero Crown)

ชิ้นส่วนสำคัญอย่างแพลตฟอร์ม, เครื่องยนต์, และระบบกันสะเทือนถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยแพลตฟอร์มใช้แพลตฟอร์มใหม่ที่ชื่อว่า N Platform, เครื่องยนต์เปลี่ยนจากแบบเรียง 6 สูบที่ใช้มาอย่างยาวนาน เป็นเครื่องยนต์ V6 รุ่น GR ที่มีประสิทธิภาพด้านความเงียบและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในรุ่นย่อยท็อปเกรด Royal Saloon G มีการติดตั้งลำโพงระดับไฮเอนด์ Mark Levinson มาให้จากโรงงาน

ระบบเกียร์ในรุ่น 2.5 ลิตร ใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ส่วนรุ่น 3.0 ลิตร มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบ Sequential Shift

แพลตฟอร์ม N นี้ ยังถูกนำไปใช้กับ Mark X, Crown Majesta, และ Lexus GS (รหัส S19#) อีกด้วย

ดีไซน์ภายนอกเน้นความสปอร์ตและโฉบเฉี่ยว ช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์เดิมที่ดูอนุรักษ์นิยมของ Crown ไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงแบบตัวอักษรของตราสัญลักษณ์ (Emblem) ก็มีการปรับเปลี่ยนใหม่

ยอดขายเป้าหมายต่อเดือน รวมทั้งรุ่น Royal และ Athlete ตั้งไว้ที่ 5,000 คัน

ในประเทศไทย Toyota Crown S180 ส่วนมากที่พบเจอจะเป็นรถที่เคยถูกนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยโตโยต้าประเทศไทย รหัส GRS180 รุ่นย่อย Royal Saloon ธรรมดา จุดสังเกตรถยนต์เวอร์ชั่นส่งออกให้ดูที่กระจังหน้าและพวงมาลัยจะเป็นโลโก้สามห่วง ไม่ใช่โลโก้มงกุฎ รถเวอร์ชั่นส่งออกเป็นรถที่ถูกตัดอ๊อปชั่นออกนับสิบรายการจากรถเวอร์ชั่นญี่ปุ่นต้นฉบับ และมีส่วนน้อยที่ถูกนำเข้ามาโดยผู้นำเข้าอิสระ รถกลุ่มหลังนี้จะเป็นรถเวอร์ชั่นญี่ปุ่นต้นฉบับโดยตรง คาดว่า Toyota Crown S180 เป็น Crown รุ่นสุดท้ายที่โตโยต้าประเทศไทยนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และรุ่น S200 หลังจากนี้ไปหากพบเจอในประเทศไทยนั้นจะถือเป็นรถจากผู้นำเข้าอิสระซึ่งเป็นรถเวอร์ชั่นญี่ปุ่นโดยสมบูรณ์


ไทม์ไลน์ของรุ่นนี้:

[แก้]
  • 22 ธันวาคม 2003 – เริ่มวางจำหน่าย
  • 26 สิงหาคม 2004 – เพิ่มรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อในเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร
  • 24 ธันวาคม 2004 – เปิดตัวรุ่นพิเศษฉลอง 50 ปี Toyota Crown
  • 4 ตุลาคม 2005 – มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ โดยมีการเปลี่ยนดีไซน์ไฟหน้า (รมควัน), กระจังหน้า และไฟท้ายในรุ่น Royal และ Athlete

ด้านเครื่องยนต์ รุ่น Athlete เปลี่ยนไปใช้เครื่อง 3.5 ลิตร 2GR-FSE แบบเดียวกับ Lexus GS มีกำลัง 315 แรงม้า

รุ่น 3.0 ลิตร จะมีเฉพาะในสาย Royal เท่านั้น

รุ่น 2.5 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหลังเปลี่ยนมาใช้เกียร์ 6 สปีด

ในรุ่น “2.5 Athlete Four” มีการเพิ่ม แพ็กเกจ G ที่มาพร้อมอุปกรณ์หรูหรา เช่น เบาะหนังแท้เป็นมาตรฐาน

เครื่องเสียงแบบติดรถรองรับแผ่น MP3 และระบบนำทางถูกอัปเกรดเป็นแบบ HDD

และในปีเดียวกันนี้ เริ่มมีการผลิตในประเทศจีนภายใต้ชื่อว่า "皇冠" (Crown)

แกลอรี่ S180

[แก้]
2003–2005 Crown Royal Saloon (Japan)
2003–2005 Crown Royal Saloon (Japan) 
2005–2008 Crown Royal Saloon (Japan)
2005–2008 Crown Royal Saloon (Japan) 
2005–2008 Crown Royal Saloon (Japan)
2005–2008 Crown Royal Saloon (Japan) 
2005–2008 Crown Athlete (Japan)
2005–2008 Crown Athlete (Japan) 
Interior
Interior 
Crown S180 in China
Crown S180 in China 

รุ่นที่ 13 (S200; พ.ศ. 2551-2555)

[แก้]
รุ่นที่ 13 (S200)
Toyota Crown Royal Saloon G (GRS202, Japan; pre-facelift)
S200 Metropolitan Police, Japan
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ
แหล่งผลิต
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง4-door sedan
โครงสร้าง
แพลตฟอร์มToyota N platform
รุ่นที่คล้ายกันToyota Crown Majesta (S200)
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 6-speed automatic
  • 8-speed automatic
  • eCVT automatic (hybrid)
มิติ
ระยะฐานล้อ2,850 mm (112.2 in)
ความยาว4,870 mm (191.7 in)
ความกว้าง1,795 mm (70.7 in)
ความสูง1,470 mm (57.9 in)
น้ำหนัก
  • 1,792 kg (3,951 lb)
  • 1,863 kg (4,107 lb) (For TRD)

คำโฆษณาคือ “ก้าวข้ามแบรนด์เดิม” 「超えてゆく、ブランド。」โดยตั้งเป้ายอดขายรายเดือนรวมทั้ง 3 ซีรีส์ไว้ที่ 5,500 คัน ซึ่งในจำนวนนั้น 800 คันเป็นรุ่นไฮบริด เดิมทีที่เรียกว่า “Royal Series” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Royal Saloon Series” เนื่องจากยกเลิกรุ่นย่อยราคาประหยัด “Royal Extra” ไปแล้ว รหัสรุ่นใช้ S20# เนื่องจากรหัส S19# ถูกใช้โดย Lexus GS ไปแล้ว

รูปลักษณ์ภายนอกยังคงยึดแนวทางของรุ่นก่อนหน้า (รหัส 18#) แต่ปรับให้โฉบเฉี่ยวมากขึ้นด้วยเส้นโค้งที่เฉียบคม ตำแหน่งโลโก้ด้านหลังเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ใช้ตั้งแต่รุ่นที่ 6 ถึงรุ่นที่ 12 โดยชื่อ CROWN อยู่ด้านขวาและชื่อเกรดอยู่ด้านซ้าย มาเป็นแบบใหม่ตั้งแต่รุ่นที่ 13 ที่ชื่อเกรดอยู่ขวาและ CROWN อยู่ซ้าย ไฟหน้าซีนอนถูกเปลี่ยนเป็นแบบโปรเจคเตอร์ กันชนหลังและท่อไอเสียถูกออกแบบให้รวมเป็นชิ้นเดียวกัน

ในรุ่นไฮบริดมีการติดตั้ง “Fine Graphic Meter” ซึ่งเป็นมาตรวัดแบบ Glass Cockpit ใช้จอ LCD ทั้งชุดเป็นครั้งแรกของโลก รุ่น Royal Saloon ที่ใช้เครื่องยนต์ 4GR-FSE (2.5 ลิตร) มีรุ่นย่อย “K Package” สำหรับแท็กซี่ส่วนบุคคลในโตเกียว (จำหน่ายเฉพาะในเครือ Tokyo Toyopet) ซึ่งไม่มีกระจกหลังแบบกรองแสงเพื่อความเป็นส่วนตัว และยังมี “H Package” สำหรับรถรับจ้างพิเศษ (ไฮเออร์) ที่ติดตั้งเบาะหลังแบบปรับไฟฟ้าและเบาะผู้โดยสารพร้อมที่พักเท้า


ไทม์ไลน์ของรุ่นนี้:

  • 18 กุมภาพันธ์ 2008 – เริ่มวางจำหน่าย
  • 6 พฤษภาคม 2008 – วางจำหน่ายรุ่น “ไฮบริด” โดยมีทั้งรุ่นมาตรฐาน (พร้อมเบาะหนังและสปอยเลอร์หลัง) และรุ่น “Hybrid Standard Package” ที่ตัดอุปกรณ์บางอย่างออก ดีไซน์ภายนอกอิงจากรุ่น Athlete
  • เมษายน 2009 – นำเสนอรุ่น S200 ซึ่งใช้ตัวถัง Majesta ในงาน Auto Shanghai 2009 สำหรับตลาดจีน โดยจะผลิตในประเทศจีนต่อเนื่องจากรุ่น 180 เดิม แต่รุ่นฐานล้อสั้นจะไม่มีการผลิตหรือจำหน่ายในจีน
  • 6 เมษายน 2009 – ฉลองยอดขายรวมในประเทศครบ 5 ล้านคัน โดยเพิ่มรุ่นพิเศษ “Anniversary Edition” และ “Special Edition” ให้กับ Royal Saloon และ Athlete
  • 16 มิถุนายน 2009 – เปิดตัว “Special Edition” รุ่นประหยัดจาก “Hybrid Standard Package” โดยลดอุปกรณ์หลายรายการ ทำให้ราคาลดลงถึง 790,000 เยน (เริ่มจำหน่าย 1 กรกฎาคม)
  • 8 กุมภาพันธ์ 2010 – ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมปรับปรุงอัตราสิ้นเปลืองของรุ่น 2.5 ลิตร 2WD ให้ผ่านมาตรฐานประหยัดน้ำมันปี 2010 +15% ได้รับสิทธิ์ลดภาษีตาม “มาตรการส่งเสริมรถประหยัดพลังงาน” รุ่น 2.5 ลิตรเปลี่ยนมาใช้แก๊สโซฮอล์ธรรมดาแทนพรีเมียมและลดแรงม้า/แรงบิดลง
    • เพิ่มรุ่น “Special Package” และ “Special Navi Package” ที่มาพร้อมอุปกรณ์เน้นความคุ้มค่า
    • เปิดตัวรุ่นพิเศษ “Crown Athlete +M Supercharger” ดัดแปลงโดย Modellista (จากรุ่น 3.5 Athlete และ G Package)
    • ดีไซน์ของรุ่นไฮบริดเปลี่ยนจาก Athlete เป็น Royal Saloon และยกเลิก “Hybrid Standard Package”
    • เพิ่มรุ่น “Hybrid L Package” และ “Hybrid G Package” (เทียบเท่า Hybrid รุ่นเดิม) พร้อมปรับชื่อรุ่นเดิมเป็น “Hybrid (Base)” ซึ่งเป็นรุ่นประหยัดจริงๆ ไม่มีเบาะไฟฟ้า ใช้ Optitron Meter แทน Fine Graphic Meter
  • ตุลาคม 2010 – เปิดตัว “2.5 Athlete/2.5 Athlete i-Four Leather Selection” รุ่นพิเศษพร้อมเบาะหนังและซันรูฟไฟฟ้า
  • 20 ธันวาคม 2010 – ฉลอง 55 ปี ด้วยรุ่นพิเศษ “Anniversary Edition” ครอบคลุม 7 เกรด (Royal Saloon 4 รุ่น, Athlete 2 รุ่น, Hybrid 1 รุ่น) พร้อมเบาะหนังแท้ ดีไซน์กันชนเฉพาะรุ่น และกุญแจ Smart Key สีพิเศษ
    • รุ่น “2.5 Athlete/2.5 Athlete i-Four” มีรุ่นย่อยพร้อมซันรูฟ “Moonroof Package” จำหน่ายแบบจำกัดเวลา
    • “Hybrid Anniversary Edition” เป็นรุ่นประหยัด เพิ่มเพียงเบาะไฟฟ้า ไม่ต่างจากรุ่นธรรมดามากนัก
  • 1 พฤศจิกายน 2011 – ปรับรายละเอียดภายในของรุ่น “Anniversary Edition” โดยเพิ่มเบาะหนังทูโทน (Royal Saloon: Shell × Ivory, Athlete: Dark Brown × Black) และแผงลายไม้ French Poplar
  • 2 เมษายน 2012 – เปิดตัว “Premium Edition” สำหรับ Royal Saloon 4 รุ่น และ Athlete 2 รุ่น (รวม 6 รุ่น) พร้อมอุปกรณ์หรูหรา เช่น ระบบปรับตำแหน่งเบาะ+พวงมาลัย+กระจก, ม่านหลังไฟฟ้า, ระบบประตูดูด, กระจกมองข้างปรับตามตำแหน่งถอยหลัง
    • หน้ากระจังและไฟหน้าดีไซน์เฉพาะ, เบาะหนังแท้ (เฉพาะ Athlete), แผงลายไม้ French Poplar (เลือก Olive Wood ได้ใน Athlete)

ยอดจดทะเบียนสะสมของรุ่นที่ 13 จนถึงเดือนก่อนเลิกขายในประเทศญี่ปุ่น: 210,567 คัน

เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาดความจุ ประเภท Inner diameter x stroke (mm) Maximum output ( kW ( PS )/ rpm ) Maximum torque ( Nm ( kgm )/rpm)
4GR-FSE type (2008 model) 2,499 cc V6 DOHC D-4 24 valve 83.0×77.0 158 kW (215 PS) /6,400 260 N⋅m (26.5 kg⋅m) /3,800
4GR-FSE type (2010 model) 149 kW (203 PS) /6,400 243 N⋅m (24.8 kg⋅m) /4,800
3GR-FSE type 2,994 cc 87.5×83.0 188 kW (256 PS) /6,200 314 N⋅m (32.0 kg⋅m) /3,600
2GR-FSE type 3,456 cc V6 DOHC D-4S 24 valve 94.0×83.0 232 kW (315 PS) /6,400 377 N⋅m (38.4 kg⋅m) /4,800
2GR-FSE type V6 DOHC D-4S 24 valve + hybrid 218 kW (296 PS) /6,400 368 N⋅m (37.5 kg⋅m) /4,800
1KM type - AC synchronous motor 147 kW (200 PS) 275 N⋅m (28.0 kg⋅m)

แกลอรี่ S200

[แก้]
Crown Royal Saloon (Japan; pre-facelift)
Crown Royal Saloon (Japan; pre-facelift) 
Crown Athlete (Japan; pre-facelift)
Crown Athlete (Japan; pre-facelift) 
Crown Athlete (Japan; pre-facelift)
Crown Athlete (Japan; pre-facelift) 
Crown Hybrid (Japan; pre-facelift)
Crown Hybrid (Japan; pre-facelift) 
Crown Hybrid (Japan; pre-facelift)
Crown Hybrid (Japan; pre-facelift) 
Crown Royal Saloon (Japan; facelift)
Crown Royal Saloon (Japan; facelift) 
Crown Royal Saloon (Japan; facelift)
Crown Royal Saloon (Japan; facelift) 
Crown Athlete (Japan; facelift)
Crown Athlete (Japan; facelift) 
Crown Athlete (Japan; facelift)
Crown Athlete (Japan; facelift) 
Crown Hybrid (Japan; facelift)
Crown Hybrid (Japan; facelift) 
Interior
Interior 
Crown S200 (2009–2012) in China
Crown S200 (2009–2012) in China 
Crown Sport S200 (2011–2012) in China
Crown Sport S200 (2011–2012) in China 
Crown S200 facelift (2012–2015) in China
Crown S200 facelift (2012–2015) in China 
Crown S200 facelift (2012–2015) in China
Crown S200 facelift (2012–2015) in China 

รุ่นที่ 14 (S210; พ.ศ. 2555-2561)

[แก้]
รุ่นที่ 14 "CROWN Re BORN"
S210 Athlete G "ReBORN PINK"
S210 Chiba Police, Japan
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ
  • December 2012 – June 2018 (Japan)
  • March 2015 – May 2020 (China)
แหล่งผลิต
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง4-door sedan
โครงสร้าง
แพลตฟอร์มToyota N platform
รุ่นที่คล้ายกันToyota Crown Majesta (S210)
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบเกียร์
  • 6-speed automatic
  • 8-speed automatic
  • eCVT automatic (hybrid)
มิติ
ระยะฐานล้อ
  • 2,850 mm (112.2 in)
  • 2,925 mm (115.2 in) (China)[17]
ความยาว
  • 4,885 mm (192.3 in)
  • 4,970 mm (195.7 in) (China)[17]
ความกว้าง
  • 1,800 mm (70.9 in)
  • 1,805 mm (71.1 in) (China)
ความสูง
  • 1,495 mm (58.9 in)
  • 1,480 mm (58.3 in) (China)
น้ำหนัก
  • 1,825–1,995 kg (4,023.4–4,398.2 lb)
  • 1,660–1,690 kg (3,659.7–3,725.8 lb) (China)

สโลแกนของรุ่นนี้คือ “CROWN Re BORN” โดยยังคงมีแยกเป็น 2 ซีรีส์เช่นเดิมจากรุ่นก่อน คือ:

  • ซีรีส์ Royal: มีการตั้งชื่อกลับมาเป็น "Royal Series" เนื่องจากมีรุ่นราคาย่อมเยาชื่อว่า "Royal" เพิ่มเข้ามา พร้อมกับยกเลิกรุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ทำให้รุ่นสูงสุดในซีรีส์นี้คือ "Royal Saloon G" ใช้เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร
  • ซีรีส์ Athlete: รุ่น 3.5 ลิตรที่ยังคงไว้ ได้รับการอัปเกรดเกียร์อัตโนมัติ Super ECT จาก 6 สปีดเป็น 8 สปีด พร้อมพายเดิลชิฟต์และระบบเบลิฟฟิง (blipping)

ไฮบริด ที่เคยเป็นซีรีส์แยกในรุ่นก่อนหน้า ถูกผนวกรวมเข้ากับทั้ง Royal และ Athlete โดยใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กลงจาก 3.5 ลิตร V6 มาเป็น 2.5 ลิตร 4 สูบเรียง รุ่น 2AR-FSE พร้อมระบบฉีดตรง D-4S ใหม่ ที่พัฒนาจากรุ่นใน Camry โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ให้สมรรถนะใกล้เคียงเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 ลิตร แต่ประหยัดน้ำมันมากขึ้นจาก 14.0 กม./ลิตร เป็น 23.2 กม./ลิตร (ตามมาตรฐาน JC08)

ราคาจำหน่ายก็ถูกลงอย่างมาก จากช่วงราคาเดิม 5.4–6.2 ล้านเยน เหลือ 4.1–5.43 ล้านเยน

การออกแบบภายนอก ใช้แพลตฟอร์มเดิม ปรับเฉพาะหน้ารถใหม่โดยติดตั้งกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อถึงกันกับกันชน:

  • ซีรีส์ Royal มีการออกแบบให้สื่อถึง “มงกุฎ” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ
  • ซีรีส์ Athlete เพิ่มลวดลายฟ้าผ่าให้ดูสปอร์ตมากขึ้น และมีไฟหน้า LED ในทั้งสองซีรีส์

ภายในรถ มาพร้อมระบบใหม่ “Toyota Multi Operation Touch” ที่ควบคุมได้ทั้งแอร์ ฮีตเตอร์เบาะหน้า และ Drive Mode Select แถมยังมีระบบต้อนรับผู้ขับเมื่อเปิดประตู พร้อมพวงมาลัยแบบมีฮีตเตอร์ในรถไฮบริด

ระบบความปลอดภัย ใหม่หลายรายการ เช่น:

  • ระบบ Pre-Crash ที่ลดความเร็วได้สูงสุด 30 กม./ชม.
  • เซ็นเซอร์กันชนอัจฉริยะ (ICS)
  • ระบบควบคุมการออกตัวผิดพลาด (DSC)
  • Adaptive High Beam และฝากระโปรง Pop-up ลดแรงกระแทกศีรษะคนเดินเท้า

เบรกมือแบบเหยียบ ถูกเปลี่ยนให้สามารถ “ปลด” ด้วยเท้าได้เช่นกัน


Crown สีชมพู ได้เปิดตัวในงานแถลงข่าวพร้อมภาพบนเว็บไซต์หลัก โดยสีชมพูนี้ได้แรงบันดาลใจจาก "ประตูไปที่ไหนก็ได้" ของโดราเอมอน

วางขายอย่างเป็นทางการวันที่ 25 ธันวาคม 2012 ส่วนรุ่นไฮบริดเริ่มผลิตปลายเดือนมกราคม 2013

จากนั้น ในวันที่ 26 กรกฎาคม ได้ประกาศว่ารับจองสีชมพูพิเศษนี้ระหว่างวันที่ 1–30 กันยายน 2013 และในวันที่ 30 สิงหาคม ได้เปิดตัวรุ่นพิเศษ “Athlete G ‘ReBORN PINK’” ทั้งแบบขับล้อหลังและขับสี่ล้อ (i-Four)

จุดเด่นของรุ่น ReBORN PINK:

  • ภายในใช้เบาะหนังสีขาว พื้นสีดำ มีคอนทราสต์ชัด
  • ออกแบบโดย Terry Ito
  • เข็มมาตรวัด, ปุ่มสตาร์ท, พวงมาลัย และกุญแจใช้สีชมพู
  • สีตัวถังชื่อว่า “Momotarou” (โค้ดสี 3T4)

Crown Majesta รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 6) เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน 2013 ใช้ฐานจาก Royal แต่เพิ่มระยะฐานล้อ ยกระดับให้เป็นซีรีส์แยกเป็นทางการ


ยอดจอง ReBORN PINK ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2013 อยู่ที่ประมาณ 650 คัน โดยในจำนวนนั้นกว่า 90% เป็นรุ่นไฮบริด


วันที่ 9 กรกฎาคม 2014 เปิดตัวระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฮบริดเต็มเวลา (Hybrid AWD) ครั้งแรกของ Toyota ด้วยระบบโอนกำลัง Torsen LSD และเกียร์ใหม่ โดยมีทั้งในรุ่น Royal และ Athlete รวม 6 รุ่นย่อย

เปิดตัวรุ่นพิเศษ “Black Style” ด้วยพื้นฐานจาก Royal Saloon และ Athlete S:

  • Royal: กระจังหน้าสีดำ, ขอบเมทัลลิกรมดำ, ภายในสีดำ
  • Athlete: กระจังหน้าเปียโนแบล็ก, ล้อ 18 นิ้วชุบโครเมียมพิเศษ, เบาะ Terra Rossa (เป็นออปชั่น)

เมษายน 2015 เปิดตัวรุ่นพิเศษฉลอง 60 ปี “空色 edition” (สีฟ้า) และ “若草色 edition” (สีเขียว):

  • ใช้สีตัวถังพิเศษ (8V7 และ 6W5)
  • เบาะหนังสีขาว ตกแต่งภายในด้วยสีสอดคล้องกับสีภายนอก
  • ติดตั้งอุปกรณ์เสริมอย่าง Rain-sensing wiper และฝากระโปรงท้ายปิดอัตโนมัติ

ตุลาคม 2015 มีการไมเนอร์เชนจ์:

  • Athlete: กระจังหน้า 3 มิติแบบใหม่, LED Bi-Beam, ไฟท้ายรูปวงแหวนใหญ่ขึ้น
  • เพิ่มสีใหม่ 12 สี โดยใช้ชื่อแบบญี่ปุ่น เช่น “สีฟ้าท้องฟ้า”, “สีแดงอัคเนย์”, “สีน้ำตาลวอลนัท” ฯลฯ พร้อมแพ็คเกจ "Japan Color Selection"
  • เปิดตัวเครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร (8AR-FTS) แทน 2.5 ลิตรในบางรุ่น

แกลอรี่ S210

[แก้]
Crown Hybrid Royal Saloon (Japan; pre-facelift)
Crown Hybrid Royal Saloon (Japan; pre-facelift) 
Crown Hybrid Athlete ReBORN Pink (Japan; pre-facelift)
Crown Hybrid Athlete ReBORN Pink (Japan; pre-facelift) 
Crown Athlete (Japan; pre-facelift)
Crown Athlete (Japan; pre-facelift) 
Crown Hybrid Royal Saloon (Japan; facelift)
Crown Hybrid Royal Saloon (Japan; facelift) 
Crown Hybrid Athlete (Japan; facelift)
Crown Hybrid Athlete (Japan; facelift) 
Crown Athlete (Japan; facelift)
Crown Athlete (Japan; facelift) 
Interior
Interior 
Crown front (China)
Crown front (China) 
Crown rear (China)
Crown rear (China) 

รุ่นที่ 15 (S220; พ.ศ. 2561-2565)

[แก้]
โตโยต้า คราวน์ รุ่นที่ 15 (S220)

โฉมนี้ใช้รหัส S220 มีตัวถังให้เลือกแค่ตัวถังซีดาน พัฒนามาจากรถต้นแบบ Toyota Crown Concept ในปี 2017 โดยใช้โครงสร้าง TNGA รุ่นนี้มีความยาวตัวถัง 4,910 มม.และกว้าง 1,800 มม. วางจำหน่ายเมือวันที่ 26 มิถุนายน ปี 2018 หลังจากการเปิดตัว โตโยต้า เซ็นจูรี รุ่นที่ 3 เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ All NEW Toyota Crown ถือเป็น generation ที่ 15 ของตระกูล โดยฉีกดีไซน์จากเดิมไปค่อนข้างมาก ด้วยการหันมาเน้นความสปอร์ต พร้อมชูโรงรหัส RS ส่วนขุมพลังมีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ ทั้งเบนซิน เทอร์โบ และ เบนซิน Hybrid ระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้คือ Toyota Safety Sense 2.0 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่นย่อย ซึ่งประกอบด้วยระบบป้องกันการชนด้านหน้าพร้อมตรวจจับคนเดินถนน, Dynamic Radar Cruise Control, ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน Lane Tracing Assist เป็นต้น ควบรวมระบบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งระบบเบรกอัตโนมัติ ที่สามารถตรวจจับคนได้ทั้งเวลากลางวัน – กลางคืน และจักรยานในเวลากลางวัน พร้อมระบบเบรกอัตโนมัติระหว่างถอยหลัง เมื่อตรวจพบส่งกีดขวางทั้งยานพาหนะและคนเดินถนน และระบบ Toyota T-Connect.

ตามรายงานจากสื่อญี่ปุ่น BestCarweb ระบุว่า Toyota Crown รุ่นปัจจุบัน ได้หยุดรับคำสั่งซื้อรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ในญี่ปุ่นแล้ว และรุ่น Hybrid คาดว่าจะยุติการขายในเดือนเมษายนนี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับรุ่นใหม่ สื่อญี่ปุ่นคาดว่า Toyota Crown รุ่นใหม่ จะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 นี้ นอกจากตัวถัง Sedan แล้ว ยังคาดว่าจะมีรุ่นตัวถัง Crossover-SUV รวมไปถึงการเพิ่มเติมในรุ่นตัวถัง Coupe และ Wagon ตามมา พร้อมแนบภาพเรนเดอร์ออกมาให้ชมอีกด้วย Toyota Crown รุ่นใหม่ จะเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์ม TNGA-K แบบเดียวกับ Toyota Harrier และ Toyota Camry ส่งผลให้จะมีฐานล้อที่ยาวขึ้น และพื้นที่ห้องโดยสารที่มากขึ้น สื่อญี่ปุ่นเปิดเผยว่าขุมพลังเดิมที่ใช้เคื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร ในรุ่นก่อน จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ 2.4 ลิตร ของ Lexus NX จับคู่เกียร์ Direct Shift-CVT 8 สปีด ในรุ่นท็อปรองรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุดมากว่า 275 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร

[แก้]

รุ่นที่ 16 (S230 Series; พ.ศ. 2565-ปัจจุบัน)

[แก้]
รุ่นที่ 16
Crossover (S235)
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อ
  • พ.ศ. 2565 (Crossover; ที่จะเริ่ม)
รุ่นปี2023 (อเมริกาเหนือ; Crossover)
แหล่งผลิตญี่ปุ่น: Toyota, Aichi (Motomachi plant and Tsutsumi plant)
ผู้ออกแบบ
  • Mitsunori Miyazaki (project chief designer)
  • Toyokazu Nishihama and Yukiko Yano (ภายนอก)
  • Shunsuke Tanaka and Koji Yamaguchi (ภายใน)
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง
  • 4-ประตู รถเก๋งท้ายสั้น (Crown Crossover)
โครงสร้าง
แพลตฟอร์ม
รุ่นที่คล้ายกัน
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
มอเตอร์ไฟฟ้า
รายการ
  • 2x permanent magnet synchronous:
  • 88 kW (118 hp; 120 PS) 3NM + 40 kW (54 hp; 54 PS) 4NM (2.5 L)
  • 61 kW (82 hp; 83 PS) 1ZM + 59 kW (79 hp; 80 PS) 1YM (2.4 L turbo)
กำลัง
รายการ
  • 137 kW (184 hp; 186 PS) (A25A-FXS, gasoline engine only); 172 kW (231 hp; 234 PS) (A25A-FXS, combined system output)
  • 200 kW (268 hp; 272 PS) (T24A-FTS, gasoline engine only); 257 kW (345 hp; 349 PS) (T24A-FTS, combined system output)
ระบบเกียร์
  • 8-สปีด eDirect Shift-CVT (2.5 L)
  • 6-สปีด "Direct Shift-6AT" automatic + eAxle (2.4 L เทอร์โบ)
มิติ
ระยะฐานล้อ
  • 2,850 mm (112.2 in) (Crossover)
ความยาว
  • 4,930 mm (194.1 in) (Crossover)
ความกว้าง
  • 1,840 mm (72.4 in) (Crossover)
ความสูง
  • 1,540 mm (60.6 in) (Crossover)
น้ำหนัก
  • 1,750–1,920 kg (3,858–4,233 lb) (Crossover)
ระยะเหตุการณ์
รุ่นก่อนหน้าToyota Avalon (อเมริกาเหนือ)

หลังจากที่มีภาพสิทธิบัตรหลุดออกมาก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมิถุนายน 2022 ของรุ่นพลิกโฉมของรถซีดานหรูเรือธงของ Toyota ที่มีประวัติยาวนานที่สุดของค่าย ด้วยระยะเวลาทำตลาดนานถึง 70 ปี ผ่านมาแล้วกว่า 16 เจเนอเรชั่น อีกทั้งยังเป็น Toyota รุ่นแรกที่ถูกส่งออกไปจำหน่ายยังทวีปอเมริกาเหนือ

โดยครั้งนี้ Toyota ได้ตัดสินใจเปลี่ยนจากตัวถังซีดานอนุรักษนิยมมาเป็น SUV ยกสูงท้ายลาด สไตล์ Fastback ที่มีคู่แข่งในตลาดเป็นรถหรูจากค่ายเยอรมันทั้งหลาย เช่น Mercedes-Benz GLE BMW X6 เป็นต้น โดยมีกำหนดการเปิดตัวในช่วงฤดูร้อน ปี 2023 ในฐานะรุ่น MY2024 โดย Toyota ได้เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นการในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 อย่างไรก็ตาม Toyota ได้เคยนำชื่อรุ่น Crown ไปใช้กับตัวถังอื่นที่ไม่ใช่รถซีดานมาก่อนหน้านี้ โดยทำตลาดในประเทศจีน กับตัวถัง SUV บนพื้นฐานของ Toyota Highlander โดยใช้ชื่อว่า Crown Kluger และรถตู้ยอดนิยมอย่าง Vellfire ภายใต้ชื่อ Crown Vellfire

สำหรับภาพสิทธิบัตรที่หลุดมาก่อนหน้านี้เผยให้เห็นถึงสัดส่วนตัวถังที่มีความยาว 4,930 มิลลิเมตร กว้าง 1,840 มิลลิเมตร สูง 1,540 มิลลิเมตร และความยาวฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร โดย Crown ใหม่นี้จะถูกสร้างขึ้นบน TNGA-K Platform (เครื่องวางหน้าตามขวาง) ที่รองรับระบบขับเคลื่อนทั้งแบบ 2 ล้อหลังและ 4 ล้อ และแน่นอนว่าจะมีทั้งขุมพลังแบบ Full hybrid และ Plug-in hybrid ให้เลือก

โฉมนี้ใช้รหัส S235 Toyota Crown เปิดตัวครั้งแรกในปี 1955 ในฐานะที่เป็นรถยนต์นั่งแบบ Mass production รุ่นแรกของ Toyota จวบจนถึงปัจจุบันก็นับเป็นเวลารวมกว่า 67 ปี แล้วที่ชื่อ Crown เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ครั้งนี้แนวคิด “innovation and limit-pushing” ก็ได้ถูกถ่ายทอดมายัง Crown รุ่นใหม่เหมือนเดิม แต่เนื่องด้วยความต้องการของตลาดผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การวางจำหน่างเพียงแค่ตัวถัง 4 ประตูซีดาน คงจะไม่เหมาะสมอีกต่อไปแล้ว คราวนี้ Toyota จึงเปิดตัว Toyota Crown ทีเดียวถึง 4 ตัวถัง ได้แก่

  • ตัวถัง Crossover (ซีดานท้ายสั้น: Fastback sedan)
  • ตัวถัง Sedan
  • ตัวถัง Sport และ Estate (ทรงรถเอสยูวี: SUV)

Crossover (S235; 2022)

[แก้]

2.4-liter Turbo Hybrid System

เครื่องยนต์เบนซิน 4สูบ รหัส T24A-FTS ขนาด 2.4 ลิตร 2,393 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 87.5มม. x 99.5 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 11.0:1 ฉีดน้ำมันตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ด้วยเทคโนโลยี D-4ST พ่วงระบบอัดอากาศ Turbo Charger Single twin-scroll ให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 460 นิวตันเมตร ที่ 2,000-3,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับระบบไฮบริด eAxle electric powertrain 83 แรงม้า แรงบิด 292 นิวตันเมตร

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 350 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบ bipolar nickel-hydrogen ขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four Advanced พร้อมระบบเกียร์ Direct Shift-CVT 8 สปีด

2.5-liter Series Parallel Hybrid System

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส A25A-FXS ขนาด 2.5 ลิตร 2,487 ซีซี. VVT-iE กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 87.5 x 103.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 14.0:1 ให้กำลังสูงสุด 186 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ที่ 3,800–5,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 119.6 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT แบตเตอรี่ bi-polar nickel-hydrogen ขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four

Toyota Crown รุ่นที่ 16 ตัวถัง Crossover ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานงานวิศวกรรม TNGA-K Platform มีน้ำหนักเบา มีความแข็งแรง และ ถูกพัฒนาให้ตำแหน่งการนั่ง(hip point) สูงขึ้นจากรุ่นเดิม ซึ่งส่วนหนี่งเป็นอานิสงส์มาจากการใช้ล้อที่มีขนาดใหญ่ถึง 21 นิ้ว ส่งผลให้การขึ้นลงรถทำได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มทัศนวิสัยให้ดีขึ้นอีกด้วย และด้วยความที่มิติตัวถังของรถเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความกว้าง ความยาว และความสูงทำให้พื้นที่ใช้สอยภายในรถ รวมทั้งพื้นที่เหนือศีรษะ(Headroom)ทั้งด้านหน้า และด้านหลังมีมากขึ้น เพื่อให้ผู้โดยสารไม่ว่าจะโดยสารบนเบาะตำแหน่งใด ก็จะได้รับความสบายแบบ first-class อย่างเท่าเทียมกัน

Sport (S236; 2023)

[แก้]
รุ่นที่ 16
Sport (S236)
โตโยต้า คราวน์ สปอร์ต (S236)
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อพ.ศ. 2566 (ที่จะเริ่ม)
แหล่งผลิตญี่ปุ่นToyota, Aichi (Motomachi plant and Tsutsumi plant)
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง5-ประตู SUV
โครงสร้างวางขวาง Front-engine, four-wheel-drive (E-Four)
แพลตฟอร์มTNGA: GA-K
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
มอเตอร์ไฟฟ้า
รายการ
ระบบเกียร์
  • eCVT (2.5 L)
  • 6-speed "Direct Shift-6AT" automatic + "eAxle" (2.4 L turbo)
ระบบขับเคลื่อนรถไฮบริด
มิติ
ระยะฐานล้อ2,770 mm (109.1 in)
ความยาว4,710 mm (185.4 in)
ความกว้าง1,880 mm (74.0 in)
ความสูง1,560 mm (61.4 in)

Sedan (S230/S232; 2023)

[แก้]
รุ่นที่ 16
Sedan (S230)
ภาพรวม
เริ่มผลิตเมื่อพฤศจิกายน พ.ศ.2566 – ปัจจุบัน
แหล่งผลิตญี่ปุ่น: Toyota, Aichi (Motomachi plant)
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง4-ประตู รถเก๋ง (Sedan)
โครงสร้างเครื่องวางหน้าตามยาว, ขับเคลื่อนล้อหลัง
แพลตฟอร์มTNGA: GA-L
รุ่นที่คล้ายกันToyota Mirai (JPD20)
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
ระบบขับเคลื่อนรถไฮบริดPower-split (2.5 L)
แบตเตอรี่Ah nickel–metal hydride
มิติ
ระยะฐานล้อ3,000 mm (118.1 in)
ความยาว5,030 mm (198.0 in)
ความกว้าง1,890 mm (74.4 in)
ความสูง1,470 mm (57.9 in)

Estate/Signia (S238; 2023)

[แก้]
รุ่นที่ 16
Estate/Signia (S238)
โตโยต้า คราวน์ ซิกเนีย (S238)
ภาพรวม
เรียกอีกชื่อโตโยต้า คราวน์ ซิกเนีย (สหรัฐฯ)
เริ่มผลิตเมื่อพ.ศ. 2567 (ที่จะเริ่ม)
รุ่นปีพ.ศ. 2568 (อเมริกาเหนือ)
แหล่งผลิตญี่ปุ่น: Toyota, Aichi (Tsutsumi plant)
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถัง5-door เอสยูวี
โครงสร้างTransverse Front-engine, four-wheel-drive (E-Four)
แพลตฟอร์มTNGA: GA-K
รุ่นที่คล้ายกัน
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์
มอเตอร์ไฟฟ้า
รายการ
กำลัง
รายการ
  • 2.5 L:
  • 137 kW (184 hp; 186 PS) (gasoline engine only)
  • 88 kW (118 hp; 120 PS) (3NM motor)
  • 40 kW (54 hp; 54 PS) (4NM motor)
  • 172 kW (231 hp; 234 PS) (combined system output)
  • 2.4 L turbo:
  • 200 kW (268 hp; 272 PS) (gasoline engine only)
  • 61 kW (82 hp; 83 PS) (1ZM motor)
  • 59 kW (79 hp; 80 PS) (1YM motor)
  • 257 kW (345 hp; 349 PS) (combined system output)
ระบบเกียร์
  • eCVT (2.5 L)
  • 6-speed "Direct Shift-6AT" automatic + "eAxle" (2.4 L turbo)
ระบบขับเคลื่อนรถไฮบริด
แบตเตอรี่Ah nickel–metal hydride
มิติ
ระยะฐานล้อ2,850 mm (112.2 in)
ความยาว4,930 mm (194.1 in)
ความกว้าง1,880 mm (74.0 in)
ความสูง1,620 mm (63.8 in)

ชื่อที่ใช้กับรุ่นอื่นๆ

[แก้]

Toyota Crown จะไม่ได้มีเพียงแต่ในรูปแบบของรถยนต์ 4 ประตู สำหรับชาวจีนเท่านั้น แต่มีการขยายมายังพิกัดรถยนต์ SUV ในชื่อ Toyota Crown Kluger ซึ่งเป็นการนำ Highlander XSE เวอร์ชันสหรัฐฯ มาเปลี่ยนชื่อใหม่ พร้อมทั้งปรับปรุงหน้าตาให้แตกต่างจากเดิมในบางส่วน

Toyota Crown Kluger เปลี่ยนโลโก้กระจังหน้าสามห่วงของค่าย ไปเป็นโลโก้มงกุฎของ Toyota Crown ซึ่งรวมไปถึงโลโก้ดุมล้อด้วย แต่โลโก้ฝาท้ายยังเป็นของสามห่วงเช่นเคย กันชนหน้าปรับช่องลมด้านล่างใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เสริมด้วยขอบสีเงิน ส่วนกันชนหลังมีการปรับชายล่างเล็กน้อยให้เข้ากับกันชนหน้า ห้องโดยสารยกทุกสิ่งอย่างมาจาก Highlander XSE รวมไปถึงหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงโลโก้บนพวงมาลัยจากสามห่วงเป็นมงกุฏ ส่วนขุมพลังระบุแค่ว่ามีเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา และ Hybrid THS II โดยอย่างหลังทั้งระบบให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ e-FOUR

platform ที่ใช้เป็นแบบ TNGA-K สำหรับการเปิดตัวของ Toyota Crown Kluger มีขึ้นที่ประเทศจีน ในงาน Auto Shanghai 2021 ซึ่งจัดตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน และจะทำตลาดที่นั่นเท่านั้น โดยเริ่มออกจำหน่ายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ พร้อมวางตำแหน่งทางการตลาดวางให้เป็น flagship SUV ของ FAW Toyota

อ้างอิง

[แก้]
  1. Toyota Australia - Timeline Retrieved on 28 March 2012
  2. "Toyopet Crown - the car which laid the foundation of today's prosperity". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-04. สืบค้นเมื่อ 2007-09-17.
  3. "Overview of Overseas Production Affiliates: Oceania". Toyota. 2012. สืบค้นเมื่อ 2014-07-11.
  4. 4.0 4.1 Shioji, Hiromi (1995). "'Itaku' Automotive Production: An Aspect of the Development of Full-Line and Wide-Selection Production by Toyota in the 1960s". Kyoto University Economic Review. Kyoto University. 65 (1): 26–27. ISSN 0023-6055. JSTOR 43217480.
  5. "Toyota Crown S40". Unique Cars and Parts. สืบค้นเมื่อ 2013-11-28.
  6. Chambers, Cliff (2011-11-11). "Toyota Crown (1964-88) Buyers Guide". Trade Unique Cars.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ AR71
  8. 8.0 8.1 Toyota Vehicle Identification Manual. Japan: Toyota Motor Corporation - Overseas Parts Department. 1984. Catalog No.97913-84.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 Quattroruote: Tutte le Auto del Mondo 74/75 (ภาษาอิตาลี). Milano: Editoriale Domus S.p.A. 1974. p. 846.
  10. "クラウン(1999年4月~1999年9月) ロイヤルサルーン アニバーサリーパッケージ| トヨタ自動車のクルマ情報サイト". toyota.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-04-13.
  11. CORPORATION, TOYOTA MOTOR. "クラウン(1995年8月~1999年9月)| トヨタ自動車のクルマ情報サイト‐GAZOO". GAZOO.com (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-04-14.
  12. "International Cooperation". Faw.com. 2002-08-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-06-30. สืบค้นเมื่อ 2010-07-25.
  13. "Affiliates (Toyota wholly-owned subsidiaries)-Toyota Motor East Japan, Inc". Toyota. 2012. สืบค้นเมื่อ 2014-07-15.
  14. "Motomachi Plant". Toyota. 2012. สืบค้นเมื่อ 2014-02-14.
  15. "Japanese Production Sites" (Press release). Japan: Toyota. 2015-03-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-18.
  16. "丰田皇冠正式停产,一个时代终结,曾经对标奥迪A6" [Toyota Crown officially discontinued production, the end of an era, once bettered Audi A6]. Sina Motors (ภาษาจีน). China. 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-08-01.
  17. 17.0 17.1 de Feijter, Tycho (2015-02-10). "New Toyota Crown is Ready for the Chinese car market". CarNewsChina. China. สืบค้นเมื่อ 2022-02-15.
  18. Chan, Mick (2022-07-15). "2023 Toyota Crown unveiled as new series of models – no more sedan; four bodystyles, two hybrid engines". Paul Tan. Malaysia: Driven Communications. สืบค้นเมื่อ 2022-07-16.

http://auto-news-4u.blogspot.com/2013/01/toyota-crown-2013-14.html