จักรพรรดิเซิร์กซีสที่ 1
| จักรพรรดิเซิร์กซีสที่ 1 𐎧𐏁𐎹𐎠𐎼𐏁𐎠 | |
|---|---|
| ครองราชย์ | ตุลาคม 486 – สิงหาคม 465 ปีก่อน ค.ศ. |
| ก่อนหน้า | ดาไรอัสมหาราช |
| ถัดไป | อาร์ตาเซิร์กซีสที่ 1 |
| ประสูติ | ป. 518 ปีก่อน ค.ศ. |
| สวรรคต | 4-8[1][ต้องการเลขหน้า] สิงหาคม 465 ปีก่อน ค.ศ. (ประมาณ 53 พรรษา) |
| ฝังพระศพ | แนฆเชโรสแทม |
| คู่อภิเษก | อาเมสตริส |
| พระราชบุตร | |
| ราชวงศ์ | อะคีเมนิด |
| พระราชบิดา | ดาไรอัสมหาราช |
| พระราชมารดา | Atossa |
| ศาสนา | ศาสนาอินโด-อิเรเนียน |
| เซิร์กซีส (Xašayaruša/Ḫašayaruša)[2] ในไฮเออโรกลีฟอียิปต์ | ||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เซิร์กซีสที่ 1 (อังกฤษ: Xerxes I; เปอร์เซียเก่า: 𐎧𐏁𐎹𐎠𐎼𐏁𐎠 Xšayār̥šā, สัทอักษรสากล: [xaʃajaruʃa] หรือ Khshayārsha;[3] กรีกโบราณ: Ξέρξης Xérxēs, สัทอักษรสากล: [ˈkserksɛːs]; ป. 518 – สิงหาคม 465 ปีก่อน ค.ศ.) โดยทั่วไปรู้จักกันในพระนาม เซิร์กซีสมหาราช (Xerxes the Great)[4] เป็นผู้นำเปอร์เซียที่ครองราชย์เป็นพระราชาธิราชองค์ที่ 4 แห่งจักรวรรดิอะคีเมนิดใน 486 ปีก่อน ค.ศ. จนกระทั่งถูกลอบปลงพระชนม์ใน 465 ปีก่อน ค.ศ. พระองค์เป็นพระราชโอรสในดาไรอัสมหาราชกับ Atossa พระราชธิดาในพระเจ้าไซรัสมหาราช
ในประวัติศาสตร์ตะวันตก เซิร์กซีสเป็นที่รู้จักดีจากการรุกรานกรีซใน 480 ปีก่อน ค.ศ. ที่จบลงด้วยฝ่ายเปอร์เซียพ่ายแพ้ ดาไรอัสทรงระบุเซิร์กซีสเป็นผู้สืบทอดเหนืออาร์โตบาซัน พระเชษฐา และสืบทอดจักรวรรดิขนาดใหญ่ที่มีหลายเชื้อชาติหลังพระราชบิดาสวรรคต พระองค์ทรงรวบรวมอำนาจด้วยการปราบปรามกบฏในอียิปต์และบาบิโลน และรื้อฟื้นการรณรงค์ของพระราชบิดาใหม่เพื่อพิชิตกรีซและลงโทษเอเธนส์กับพันธมิตรฐานทำการแทรกแซงในกบฏไอโอเนีย ใน 480 ปีก่อน ค.ศ. เซิร์กซีสทรงคุมกองทัพใหญ่ด้วยตัวพระองค์เองและข้ามเฮลเลสพอนต์เข้าสู่ยุโรป พระองค์ได้รับชัยชนะที่เทอร์มอพิลีและอาร์เตมีเซียมแล้วเข้ายึดและทำลายเอเธนส์ กองทัพของพระองค์เข้าควบคุมกรีซแผ่นดินใหญ่ตอนเหนือของคอคอดคอรินท์จนกระทั่งพ่ายแพ้ในยุทธนาวีที่ซาลามิส ด้วยความกลัวว่าฝ่ายกรีกอาจทำให้พระองค์ติดกับในยุโรป เซิร์กซีสจึงถอยทัพพร้อมกับกองทัพส่วนใหญ่กลับไปยังเอเชีย ทิ้งให้มาร์โดนีอุสทำการทัพต่อ มาร์โดนีอุสพ่ายแพ้ที่Plataeaในปีถัดมา ทำให้การรุกรานของเปอร์เซียสิ้นสุดลง
หลังเสด็จกลับเปอร์เซีย เซิร์กซีสทรงอุทิศตัวพระองค์ให้กับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งหลายโครงการยังค้างคาในสมัยพระราชบิดา พระองค์ทรงดูแลการก่อสร้างประตูแห่งมวลประชาชาติ, อาเพอดาเนอ และ Tachara ที่เปร์เซโปลิสให้แล้วเสร็จ และทรงดำเนินการก่อสร้างพระราชวังดาไรอัสที่ซูซาต่อ พระองค์ยังคงรักษาเส้นทางสายเปอร์เซียที่พระราชบิดาสร้างไว้ ใน 465 ปีก่อน ค.ศ. เซิร์กซีสกับดาไรอัส รัชทายาท ถูกลอบปลงพระชนม์โดย Artabanus ผู้บัญชาการองครักษ์หลวง พระองค์ได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดยพระโอรสองค์ที่สาม ซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นอาร์ตาเซิร์กซีสที่ 1
รากศัพท์
[แก้]Xérxēs (Ξέρξης) เป็นคำทับศัพท์ภาษากรีกและละติน (Xerxes, Xerses) จากภาษาเปอร์เซียเก่า Xšaya-ṛšā ("ปกครองเหนือบรรดาวีรบุรุษ") ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วนแรกว่า xšaya หมายถึง "การปกครอง" และส่วนที่สอง ṛšā แปลว่า "วีรบุรุษ, มนุษย์"[5] พระนามเซิร์กซีสเป็นที่รู้จักกันในภาษาแอกแคดว่า Ḫi-ši-ʾ-ar-šá และแอราเมอิกว่า ḥšyʾrš[6] เซิร์กซีสจะกลายเป็นพระนามยอดนิยมในบรรดาผู้ปกครองจักรวรรดิอะคีเมนิด[5]
พระชนม์ชีพช่วงต้น
[แก้]พระราชบิดามารดากับพระราชสมภพ
[แก้]พระราชบิดาของเซิร์กซีสคือดาไรอัสมหาราช (ค. 522–486 ปีก่อน ค.ศ.) พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของจักรวรรดิอะคีเมนิด แม้ว่าพระองค์เองจะไม่ใช่สมาชิกเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าไซรัสมหาราช ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิก็ตาม[7][8] พระราชมารดาของเซิร์กซีสคือ Atossa พระราชธิดาในพระเจ้าไซรัส[9] ดาไรอัสกับ Atossa สมรสใน 522 ปีก่อน ค.ศ.[10] และเซิร์กซีสเสด็จพระราชสมภพประมาณ 518 ปีก่อน ค.ศ.[11]
การเลี้ยงดูและการศึกษา
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
โครงการก่อสร้าง
[แก้]
หลังจากความผิดพลาดทางการทหารในกรีซ เซิร์กซีสจึงเสด็จกลับเปอร์เซียและควบคุมดูแลการก่อสร้างในโครงการก่อสร้างจำนวนมากที่พระราชบิดายังสร้างไม่แล้วเสร็จที่เมืองซูซาและเปร์เซโปลิส เซิร์กซีสทรงดูแลการก่อสร้างประตูแห่งมวลประชาชาติและหอเสาร้อยต้นที่เปร์เซโปลิส ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและโอ่อ่าตระการตาที่สุดในพระราชวัง เซิร์กซีสทรงดูแลการก่อสร้างอาเพอดาเนอ Tachara (พระราชวังของดาไรอัส) และคลังสมบัติ ซึ่งดาไรอัสทรงริเริ่มทั้งหมดให้แล้วเสร็จ รวมถึงการสร้างพระราชวังของพระองค์เองซึ่งมีขนาดใหญ่ของพระราชบิดาสองเท่า รสนิยมทางสถาปัตยกรรมของพระองค์คล้ายคลึงกับดาไรอัส แม้จะมีขนาดใหญ่กว่ามากก็ตาม[12] พระองค์ใช้อิฐเคลือบสีสันสดใสปูไว้ด้านนอกอาเพอดาเนอ[13] พระองค์ยังรักษาเส้นทางสายเปอร์เซียที่พระราชบิดาสร้างขึ้นและทำประตูซูซาแห่งแล้วเสร็จ และสร้างพระราชวังที่ซูซา[14]
สวรรคตและผู้สืบทอด
[แก้]
ในเดือนสิงหาคม 465 ปีก่อน ค.ศ. อาจอยู่ในช่วงวันที่ 4 ถึง 8 สิงหาคม[1][ต้องการเลขหน้า] Artabanus ผู้บัญชาการองครักษ์หลวงและเจ้าหน้าที่ที่ทรงอำนาจที่สุดในราชสำนักเปอร์เซีย ได้ลอบสังหารเซิร์กซีสด้วยความช่วยเหลือจากขันที Aspamitres[15] แม้ว่า Artabanus แห่ง Hyrcania มีชื่อเดียวกันกับพระปิตุลาที่มีชื่อเสียงของเซิร์กซีส การก้าวขึ้นสู่ความโดดเด่นของเขาเป็นผลมาจากความนิยมในศาสนสถานของราชสำนักและแผนการร้ายในฮาเร็ม เขาแต่งตั้งบุตรชายทั้งเจ็ดให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ และมีแผนที่จะโค่นราชบัลลังก์อะคีเมนิด[16]
นักประวัติศาสตร์กรีกให้ข้อมูลเหตุการณ์ต่างกัน Ctesias รายงานว่า (ใน Persica 20) Artabanus กล่าวหามกุฎราชกุมารดาไรอัส พระราชโอรสองค์โตของเซิร์กซีส ในข้อหาฆาตกรรมและชักชวนอาร์ตาเซิร์กซีส พระราชโอรสอีกองค์ของเซิร์กซีส ให้แก้แค้นการสังหารพระราชบิดาโดยการสังหารดาไรอัส แต่ตามบันทึกของอริสโตเติล (ใน Politics 5.1311b) Artabanus ได้สังหารดาไรอัสก่อนแล้วจึงสังหารเซิร์กซีส หลังจากที่อาร์ตาเซิร์กซีสพบการฆาตกรรม พระองค์ก็สังหาร Artabanus และบุตรชายของเขา[17] ผู้เข้าร่วมในแผนการร้ายเหล่านี้คือนายพล Megabyzus ซึ่งการตัดสินใจเปลี่ยนฝ่ายของเขาน่าจะช่วยรักษาราชวงศ์อะคีเมนิดไม่ให้สูญเสียอำนาจควบคุมบัลลังก์เปอร์เซีย[18]
ศาสนา
[แก้]ในขณะที่ยังไม่มีความเห็นโดยทั่วไปในงานวิชาการว่าเซิร์กซีสและบรรพบุรุษของพระองค์ได้รับอิทธิพลจากศาสนาโซโรอัสเตอร์หรือไม่[19] เป็นที่ยืนยันกันดีว่าเซิร์กซีสเป็นผู้ศรัทธาในพระอหุระมาซดะอย่างมั่นคง ซึ่งพระองค์เห็นว่าพระอหุระเป็นเทพเจ้าสูงสุด[19] อย่างไรก็ตาม ผู้นับถือธรรมเนียมศาสนา(อินโด-)อิเรเนียนก็นับถือพระอหุระมาซดะด้วย[19][20] ในเรื่องการปฏิบัติต่อศาสนาอื่น เซิร์กซีสปฏิบัติตามนโยบายเดียวกันกับผู้ปกครององค์ก่อนหน้าของพระองค์ นั่นคือ ขอความช่วยเหลือจากนักวิชาการศาสนาท้องถิ่น ทำการบูชายัญต่อเทพเจ้าท้องถิ่น และทำลายวิหารในเมืองและประเทศต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย[21]
คำตอบรับ
[แก้]การนำเสนอจักรพรรดิเซิร์กซีสในแหล่งข้อมูลกรีกและโรมันส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงลบ ซึ่งกำหนดโทนการพรรณนาถึงพระองค์ในธรรมเนียมตะวันตกในเวลาต่อมา เซิร์กซีสเป็นตัวละครหลักในบทละคร The Persians ของ Aeschylus ซึ่งแสดงครั้งแรกในกรุงเอเธนส์เมื่อ 472 ปีก่อน ค.ศ. เพียงเจ็ดปีหลังจากที่พระองค์ทรงบุกรุกรานกรีซ บทละครนำเสนอเซิร์กซีสในลักษณะเหมือนผู้หญิง และความพยายามที่จะยึดครองทั้งเอเชียและยุโรปอย่างโอหังของพระองค์ นำไปสู่ความพินาศของทั้งตัวพระองค์เองและอาณาจักรของพระองค์[22]
Histories ของเฮอรอโดทัสที่เขียนขึ้นภายหลังในศตวรรษที่ 5 ก่อน ค.ศ. มีศูนย์กลางอยู่ที่สงครามเปอร์เซีย โดยมีเซิร์กซีสเป็นบุคคลสำคัญ ข้อมูลบางส่วนของเฮอรอโดทัสเป็นข้อมูลเท็จ[23][24] Pierre Briant กล่าวหาเขาว่านำเสนอภาพลักษณ์ของชาวเปอร์เซียแบบเหมารวมและลำเอียง[25] Richard Stoneman ถือว่าการพรรณนาถึงเซิร์กซีสของเขานั้นมีความละเอียดอ่อนและน่าเศร้า เมื่อเทียบกับการถูกใส่ร้ายป้ายสีที่พระองค์ได้รับจากอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์มาเกโดนีอา (ค. 336–323 ปีก่อน ค.ศ.)[26]
เซิร์กซีสถูกระบุเข้ากับพระเจ้าอาหสุเอรัสในหนังสือเอสเธอร์จากพระคัมภีร์[27] ในขณะที่นักวิชาการบางคนอย่าง Eduard Schwartz, วิลเลียม เรนีย์ ฮาร์เปอร์ และไมเคิล วี. ฟ็อกซ์ มองเรื่องนี้เป็นโรแมนติกอิงประวัติศาสตร์[28][29] อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับความเห็นพ้องกันว่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ใดเป็นพื้นฐานของเรื่องราวนี้[30][31][32][33]
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ Xerxes of de Hoogmoed (1919) โดย Louis Couperus นักเขียนชาวดัตช์ กล่าวถึงสงครามเปอร์เซียในมุมมองของเซิร์กซีส แม้ว่าเรื่องราวจะเป็นเรื่องแต่ง แต่ Couperus ได้อ้างอิงการศึกษาของเฮอรอโดทัสอย่างกว้างขวาง Arrogance: The Conquests of Xerxes นิยายแปลภาษาอังกฤษโดย Frederick H. Martens ปรากฏขึ้นใน ค.ศ. 1930[34][35]

ความหลงใหลในสปาร์ตาโบราณของคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุทธการที่เทอร์มอพิลี นำไปสู่การพรรณนาถึงเซิร์กซีสในผลงานวัฒนธรรมสมัยนิยม David Farrar รับบทเป็นเผด็จการผู้โหดร้าย คลั่งอำนาจ และผู้บัญชาการที่ไร้ความสามารถในภาพยนตร์ The 300 Spartans (1962) พระองค์ยังมีบทบาทโดดเด่นในนวนิยายภาพเรื่อง 300 และ Xerxes: The Fall of the House of Darius and the Rise of Alexander โดยแฟรงก์ มิลเลอร์ รวมถึงภาพยนตร์ดัดแปลงเรื่อง 300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลก (2007) และภาคต่อ 300 มหาศึกกำเนิดอาณาจักร (2014) ซึ่งโรดรีกู ซานโตรู นักแสดงชาวบราซิล รับบทเป็นชายร่างยักษ์ที่มีลักษณะทางเพศแบบแอนโดรจีนี และอ้างตัวว่าเป็นเทวกษัตริย์ (god-king) การพรรณนาเช่นนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิหร่าน[36] Ken Davitian รับบทเซิร์กซีสใน ขุนศึกพิศดารสะท้านโลก ภาพยนตร์ล้อเลียนจาก 300 ภาคแรกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันแบบเด็กเรียน (sophomoric humour) และจงใจใส่สิ่งที่ผิดยุคเข้าไป

อ้างอิง
[แก้]- 1 2 Stoneman 2015.
- ↑ Jürgen von Beckerath (1999). Handbuch der ägyptischen Königsnamen. Mainz: Von Zabern. ISBN 3-8053-2310-7, pp. 220–221
- ↑ Littman, R. J.. "The Religious Policy of Xerxes and the 'Book of Esther'". The Jewish Quarterly Review, January 1975, New Series, Vol. 65, No. 3, footnote 2, accessed 30 December 2022
- ↑ Carey, Brian Todd; Allfree, Joshua; Cairns, John (19 January 2006). Warfare in the Ancient World. Pen and Sword. ISBN 1848846304.
- 1 2 Marciak 2017, p. 80; Schmitt 2000
- ↑ Schmitt 2000.
- ↑ Llewellyn-Jones 2017, p. 70.
- ↑ Waters 1996, pp. 11, 18.
- ↑ Briant 2002, p. 132.
- ↑ Briant 2002, p. 520.
- ↑ Stoneman 2015, p. 1.
- ↑ Ghirshman, Iran, p. 172
- ↑ Fergusson, James. A History of Architecture in All Countries, from the Earliest Times to the Present Day: 1. Ancient architecture. 2. Christian architecture. xxxi, 634 p. front., illus. p. 211.
- ↑ Herodotus VII.11
- ↑ Stoneman 2015, pp. 195–209.
- ↑ Iran-e-Bastan/Pirnia book 1 p. 873
- ↑ Dandamayev
- ↑ History of Persian Empire, Olmstead pp. 289/90
- 1 2 3 Malandra 2005.
- ↑ Boyce 1984, pp. 684–687.
- ↑ Briant 2002, p. 549.
- ↑ Hall 1993, p. 118-127.
- ↑ Briant 2002, p. 57.
- ↑ Radner 2013, p. 454.
- ↑ Briant 2002, pp. 158, 516.
- ↑ Stoneman 2015, p. 2.
- ↑ Stoneman 2015, p. 9.
- ↑ Fox, Michael V. (2010). Character and ideology in the book of Esther. Eugene, OR: Wipf and Stock. p. 145. ISBN 9781608994953.
- ↑ Kalimi, Isaac (2023). The Book of Esther between Judaism and Christianity. Cambridge University Press. p. 130. ISBN 9781009266123.
- ↑ "Book of Esther | Summary & Facts". 8 August 2023.
- ↑ McCullough, W. S. (28 July 2011) [15 December 1984]. "Ahasureus". Encyclopædia Iranica. สืบค้นเมื่อ 3 April 2020.
There may be some factual nucleus behind the Esther narrative, but the book in its present form displays such inaccuracies and inconsistencies that it must be described as a piece of historical fiction.
- ↑ Meyers, Carol (2007). Barton, John; Muddiman, John (บ.ก.). The Oxford Bible Commentary (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. p. 325. ISBN 9780199277186.
Like the Joseph story in Genesis and the book of Daniel, it is a fictional piece of prose writing involving the interaction between foreigners and Hebrews/Jews.
- ↑ Hirsch, Emil G.; Dyneley Prince, John; Schechter, Solomon (1906). Singer, Isidor; Adler, Cyrus (บ.ก.). "Esther". Jewish Encyclopedia. สืบค้นเมื่อ 25 April 2020.
The vast majority of modern expositors have reached the conclusion that the book is a piece of pure fiction, although some writers qualify their criticism by an attempt to treat it as a historical romance.
- ↑ "Xerxes, of De hoogmoed". www.bibliotheek.nl. สืบค้นเมื่อ 27 April 2020.
- ↑ Classe, O.; AC02468681, Anonymus (2000). Encyclopedia of Literary Translation Into English: A–L (ภาษาอังกฤษ). Taylor & Francis. ISBN 978-1-884964-36-7.
- ↑ Boucher, Geoff. "Frank Miller returns to the '300' battlefield with 'Xerxes': 'I make no apologies whatsoever'". The Los Angeles Times. 1 June 2010. Retrieved 14 May 2010.
บรรณานุกรม
[แก้]สมัยโบราณ
[แก้]
The Sixth Book, Entitled Erato in History of Herodotus.
The Seventh Book, Entitled Polymnia in History of Herodotus.
ข้อมูลสมัยใหม่
[แก้]- Barkworth, Peter R. (1993). "The Organization of Xerxes' Army". Iranica Antiqua. 27: 149–167. doi:10.2143/ia.27.0.2002126.
- Boardman, John (1988). The Cambridge Ancient History. Vol. V. Cambridge University Press. ISBN 0-521-22804-2.
- Boyce, Mary. "Achaemenid Religion". Encyclopaedia Iranica, Vol. 1. Routledge & Kegan Paul.
- Boyce, Mary (1979). Zoroastrians: Their Religious Beliefs and Practices. Psychology Press. pp. 1–252. ISBN 9780415239028.
- Boyce, Mary (1984). "Ahura Mazdā". Encyclopaedia Iranica, Vol. I, Fasc. 7. pp. 684–687.
- Bridges, Emma (2014). Imagining Xerxes: Ancient Perspectives on a Persian King. Bloomsbury. ISBN 978-1472511379
- Briant, Pierre (2002). From Cyrus to Alexander: A History of the Persian Empire. Eisenbrauns. pp. 1–1196. ISBN 9781575061207.
- Brosius, Maria (2000). "Women i. In Pre-Islamic Persia". Encyclopaedia Iranica. London et al.
- Dandamayev, M.A. (1999). "Artabanus". Encyclopædia Iranica. Routledge & Kegan Pau. สืบค้นเมื่อ 25 February 2009.
- Dandamayev, Muhammad A. (2000). "Achaemenid taxation". Encyclopaedia Iranica.
- Dandamayev, Muhammad A. (1989). A Political History of the Achaemenid Empire. BRILL. ISBN 978-9004091726.
- Dandamayev, Muhammad A. (1993). "Xerxes and the Esagila Temple in Babylon". Bulletin of the Asia Institute. 7: 41–45. JSTOR 24048423.
- Dandamayev, Muhammad A. (1990). "Cambyses II". Encyclopaedia Iranica, Vol. IV, Fasc. 7. pp. 726–729.
- Dandamayev, Muhammad A. (1983). "Achaemenes". Encyclopaedia Iranica, Vol. I, Fasc. 4. p. 414.
- Frye, Richard N. (1963). The Heritage of Persia. Weidenfeld and Nicolson. p. 301. ISBN 0-297-16727-8.
- Deloucas, Andrew Alberto Nicolas (2016). Balancing Power and Space: a Spatial Analysis of the Akītu Festival in Babylon after 626 BCE (Master's thesis). Universiteit Leiden. hdl:1887/42888.
- Gershevitch, Ilya; Bayne Fisher, William; A. Boyle, J. (1985). The Cambridge history of Iran. Vol. 2. Cambridge University Press. ISBN 0-521-20091-1.
- Hall, Edith (1993). "Asia Unmanned: Images of Victory in Classical Athens". ใน Rich, John; Shipley, Graham (บ.ก.). War and Society in the Greek World. Routledge. pp. 108–133.
- Klinkott, Hilmar (2023). Xerxes. Der Großkönig in Griechenland. Kohlhammer. ISBN 978-3-17-040114-3.
- Llewellyn-Jones, Lloyd (2017). "The Achaemenid Empire". ใน Daryaee, Touraj (บ.ก.). King of the Seven Climes: A History of the Ancient Iranian World (3000 BCE - 651 CE). UCI Jordan Center for Persian Studies. pp. 1–236. ISBN 9780692864401.
- Macgregor Morris, Ian (2022). "Xerxes: Ideology and Practice". ใน Konecny, Andreas; Sekunda, Nicholas (บ.ก.). The Battle of Plataiai 479 BC. Phoibos Verlag. pp. 13–69. ISBN 9783851612714.
- Malandra, William W. (2005). "Zoroastrianism i. Historical review up to the Arab conquest". Encyclopaedia Iranica.
- Macaulay, G.C. (2004). The Histories. Spark Educational Publishing. ISBN 1-59308-102-2.
- Marciak, Michał (2017). Sophene, Gordyene, and Adiabene: Three Regna Minora of Northern Mesopotamia Between East and West. Brill. ISBN 9789004350724.
- McCullough, W.S. "Ahasuerus". Encyclopaedia Iranica, Vol. 1. Routledge & Kegan Paul.
- Schmeja, H. (1975). "Dareios, Xerxes, Artaxerxes. Drei persische Königsnamen in griechischer Deutung (Zu Herodot 6,98,3)". Die Sprache. 21: 184–188.
- Radner, Karen (2013). "Assyria and the Medes". ใน Potts, Daniel T. (บ.ก.). The Oxford Handbook of Ancient Iran. Oxford University Press. ISBN 978-0199733309.
- Sancisi-Weerdenburg, Heleen (2002). "The Personality of Xerxes, King of Kings". Brill's Companion to Herodotus. BRILL. pp. 579–590. doi:10.1163/9789004217584_026. ISBN 9789004217584.
- Schmitt, Rüdiger. "Achaemenid dynasty". Encyclopaedia Iranica, Vol. 3. Routledge & Kegan Paul.
- Schmitt, Rüdiger. "Atossa". Encyclopaedia Iranica, Vol. 3. Routledge & Kegan Paul.
- Schmitt, Rüdiger (2000). "Xerxes i. The Name". Encyclopaedia Iranica.
- Shabani, Reza (2007). Khshayarsha (Xerxes). What do I know about Iran? No. 75 (ภาษาเปอร์เซีย). Cultural Research Bureau. p. 120. ISBN 978-964-379-109-4.
- Shahbazi, A. Sh. "Darius I the Great". Encyclopaedia Iranica, Vol. 7. Routledge & Kegan Paul.
- Stoneman, Richard (2015). Xerxes: A Persian Life. Yale University Press. ISBN 978-0300180077.
- Olmstead, A.T. (1979) [1948]. History of the Persian Empire. University of Chicago Press. ISBN 978-0226497648.
- van Rookhuijzen, Jan Zacharias (2017). "How not to Appease Athena: A Reconsideration of Xerxes' Purported Visit to the Troad (Hdt. 7.42–43)". Klio. 99 (2): 464–484. doi:10.1515/klio-2017-0033. S2CID 199060163.
- Waerzeggers, Caroline; Seire, Maarja (2018). Xerxes and Babylonia: The Cuneiform Evidence (PDF). Peeters Publishers. ISBN 978-90-429-3670-6. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-09.
- Waters, Matt (1996). "Darius and the Achaemenid Line". Ancient History Bulletin. London. 10: 11–18.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]
. สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911 (11 ed.). 1911.
| ก่อนหน้า | จักรพรรดิเซิร์กซีสที่ 1 | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| จักรพรรดิดาไรอัสมหาราช | กษัตริย์เปอร์เซีย (486 ปีก่อนคริสตกาล - 465 ปีก่อนคริสตกาล) |
จักรพรรดิอาร์ตาเซิร์กซีสที่ 1 | ||
| จักรพรรดิดาไรอัสมหาราช | ฟาโรห์แห่งอียิปต์ (486 ปีก่อนคริสตกาล - 465 ปีก่อนคริสตกาล) |
จักรพรรดิอาร์ตาเซิร์กซีสที่ 1 |
- บทความวิกิพีเดียที่ต้องการอ้างอิงหมายเลขหน้าตั้งแต่มิถุนายน 2025
- หน้าที่มีสัทอักษรสากลภาษากรีกโบราณ
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 26
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 79
- พระมหากษัตริย์เปอร์เซีย
- มหาราชแห่งประเทศอิหร่าน
- จักรวรรดิเปอร์เซีย
- ฟาโรห์ยุคราชวงศ์อาร์เคเมนิด
- บุคคลในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล
- ราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ดแห่งอียิปต์
- บทความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ที่ยังไม่สมบูรณ์