ข้ามไปเนื้อหา

จักรพรรดิเซิร์กซีสที่ 1

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จักรพรรดิเซิร์กซีสที่ 1
𐎧𐏁𐎹𐎠𐎼𐏁𐎠
ภาพนูนต่ำบนหินของจักรพรรดิเซิร์กซีสที่ 1 จากเปร์เซโปลิส เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของอิหร่าน
ครองราชย์ตุลาคม 486 – สิงหาคม 465 ปีก่อน ค.ศ.
ก่อนหน้าดาไรอัสมหาราช
ถัดไปอาร์ตาเซิร์กซีสที่ 1
ประสูติป.518 ปีก่อน ค.ศ.
สวรรคต4-8[1][ต้องการเลขหน้า] สิงหาคม 465 ปีก่อน ค.ศ. (ประมาณ 53 พรรษา)
ฝังพระศพแนฆเชโรสแทม
คู่อภิเษกอาเมสตริส
พระราชบุตร
ราชวงศ์อะคีเมนิด
พระราชบิดาดาไรอัสมหาราช
พระราชมารดาAtossa
ศาสนาศาสนาอินโด-อิเรเนียน
<
xASAi i ArwSAA
>
เซิร์กซีส (Xašayaruša/Ḫašayaruša)[2]
ในไฮเออโรกลีฟอียิปต์

เซิร์กซีสที่ 1 (อังกฤษ: Xerxes I; เปอร์เซียเก่า: 𐎧𐏁𐎹𐎠𐎼𐏁𐎠 Xšayār̥šā, สัทอักษรสากล: [xaʃajaruʃa] หรือ Khshayārsha;[3] กรีกโบราณ: Ξέρξης Xérxēs, สัทอักษรสากล: [ˈkserksɛːs]; ป.518 – สิงหาคม 465 ปีก่อน ค.ศ.) โดยทั่วไปรู้จักกันในพระนาม เซิร์กซีสมหาราช (Xerxes the Great)[4] เป็นผู้นำเปอร์เซียที่ครองราชย์เป็นพระราชาธิราชองค์ที่ 4 แห่งจักรวรรดิอะคีเมนิดใน 486 ปีก่อน ค.ศ. จนกระทั่งถูกลอบปลงพระชนม์ใน 465 ปีก่อน ค.ศ. พระองค์เป็นพระราชโอรสในดาไรอัสมหาราชกับ Atossa พระราชธิดาในพระเจ้าไซรัสมหาราช

ในประวัติศาสตร์ตะวันตก เซิร์กซีสเป็นที่รู้จักดีจากการรุกรานกรีซใน 480 ปีก่อน ค.ศ. ที่จบลงด้วยฝ่ายเปอร์เซียพ่ายแพ้ ดาไรอัสทรงระบุเซิร์กซีสเป็นผู้สืบทอดเหนืออาร์โตบาซัน พระเชษฐา และสืบทอดจักรวรรดิขนาดใหญ่ที่มีหลายเชื้อชาติหลังพระราชบิดาสวรรคต พระองค์ทรงรวบรวมอำนาจด้วยการปราบปรามกบฏในอียิปต์และบาบิโลน และรื้อฟื้นการรณรงค์ของพระราชบิดาใหม่เพื่อพิชิตกรีซและลงโทษเอเธนส์กับพันธมิตรฐานทำการแทรกแซงในกบฏไอโอเนีย ใน 480 ปีก่อน ค.ศ. เซิร์กซีสทรงคุมกองทัพใหญ่ด้วยตัวพระองค์เองและข้ามเฮลเลสพอนต์เข้าสู่ยุโรป พระองค์ได้รับชัยชนะที่เทอร์มอพิลีและอาร์เตมีเซียมแล้วเข้ายึดและทำลายเอเธนส์ กองทัพของพระองค์เข้าควบคุมกรีซแผ่นดินใหญ่ตอนเหนือของคอคอดคอรินท์จนกระทั่งพ่ายแพ้ในยุทธนาวีที่ซาลามิส ด้วยความกลัวว่าฝ่ายกรีกอาจทำให้พระองค์ติดกับในยุโรป เซิร์กซีสจึงถอยทัพพร้อมกับกองทัพส่วนใหญ่กลับไปยังเอเชีย ทิ้งให้มาร์โดนีอุสทำการทัพต่อ มาร์โดนีอุสพ่ายแพ้ที่Plataeaในปีถัดมา ทำให้การรุกรานของเปอร์เซียสิ้นสุดลง

หลังเสด็จกลับเปอร์เซีย เซิร์กซีสทรงอุทิศตัวพระองค์ให้กับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งหลายโครงการยังค้างคาในสมัยพระราชบิดา พระองค์ทรงดูแลการก่อสร้างประตูแห่งมวลประชาชาติ, อาเพอดาเนอ และ Tachara ที่เปร์เซโปลิสให้แล้วเสร็จ และทรงดำเนินการก่อสร้างพระราชวังดาไรอัสที่ซูซาต่อ พระองค์ยังคงรักษาเส้นทางสายเปอร์เซียที่พระราชบิดาสร้างไว้ ใน 465 ปีก่อน ค.ศ. เซิร์กซีสกับดาไรอัส รัชทายาท ถูกลอบปลงพระชนม์โดย Artabanus ผู้บัญชาการองครักษ์หลวง พระองค์ได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดยพระโอรสองค์ที่สาม ซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นอาร์ตาเซิร์กซีสที่ 1

รากศัพท์

[แก้]

Xérxēs (Ξέρξης) เป็นคำทับศัพท์ภาษากรีกและละติน (Xerxes, Xerses) จากภาษาเปอร์เซียเก่า Xšaya-ṛšā ("ปกครองเหนือบรรดาวีรบุรุษ") ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วนแรกว่า xšaya หมายถึง "การปกครอง" และส่วนที่สอง ṛšā แปลว่า "วีรบุรุษ, มนุษย์"[5] พระนามเซิร์กซีสเป็นที่รู้จักกันในภาษาแอกแคดว่า Ḫi-ši-ʾ-ar-šá และแอราเมอิกว่า ḥšyʾrš[6] เซิร์กซีสจะกลายเป็นพระนามยอดนิยมในบรรดาผู้ปกครองจักรวรรดิอะคีเมนิด[5]

พระชนม์ชีพช่วงต้น

[แก้]

พระราชบิดามารดากับพระราชสมภพ

[แก้]

พระราชบิดาของเซิร์กซีสคือดาไรอัสมหาราช (ค.522–486 ปีก่อน ค.ศ.) พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของจักรวรรดิอะคีเมนิด แม้ว่าพระองค์เองจะไม่ใช่สมาชิกเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าไซรัสมหาราช ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิก็ตาม[7][8] พระราชมารดาของเซิร์กซีสคือ Atossa พระราชธิดาในพระเจ้าไซรัส[9] ดาไรอัสกับ Atossa สมรสใน 522 ปีก่อน ค.ศ.[10] และเซิร์กซีสเสด็จพระราชสมภพประมาณ 518 ปีก่อน ค.ศ.[11]

การเลี้ยงดูและการศึกษา

[แก้]

โครงการก่อสร้าง

[แก้]
ที่บรรจุพระศพเจาะด้วยหินที่แนฆเชโรสแทมทางเหนือของเปร์เซโปลิส คัดลอกจากของดาไรอัส โดยทั่วไปคาดว่าเป็นของเซิร์กซีส

หลังจากความผิดพลาดทางการทหารในกรีซ เซิร์กซีสจึงเสด็จกลับเปอร์เซียและควบคุมดูแลการก่อสร้างในโครงการก่อสร้างจำนวนมากที่พระราชบิดายังสร้างไม่แล้วเสร็จที่เมืองซูซาและเปร์เซโปลิส เซิร์กซีสทรงดูแลการก่อสร้างประตูแห่งมวลประชาชาติและหอเสาร้อยต้นที่เปร์เซโปลิส ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและโอ่อ่าตระการตาที่สุดในพระราชวัง เซิร์กซีสทรงดูแลการก่อสร้างอาเพอดาเนอ Tachara (พระราชวังของดาไรอัส) และคลังสมบัติ ซึ่งดาไรอัสทรงริเริ่มทั้งหมดให้แล้วเสร็จ รวมถึงการสร้างพระราชวังของพระองค์เองซึ่งมีขนาดใหญ่ของพระราชบิดาสองเท่า รสนิยมทางสถาปัตยกรรมของพระองค์คล้ายคลึงกับดาไรอัส แม้จะมีขนาดใหญ่กว่ามากก็ตาม[12] พระองค์ใช้อิฐเคลือบสีสันสดใสปูไว้ด้านนอกอาเพอดาเนอ[13] พระองค์ยังรักษาเส้นทางสายเปอร์เซียที่พระราชบิดาสร้างขึ้นและทำประตูซูซาแห่งแล้วเสร็จ และสร้างพระราชวังที่ซูซา[14]

สวรรคตและผู้สืบทอด

[แก้]
ข้อความอักษรลิ่มนี้ระบุการฆาตกรรมเซิร์กซีสที่ 1 โดยพระราชโอรส จากบาบิโลน ประเทศอิรัก. พิพิธภัณฑ์บริติช

ในเดือนสิงหาคม 465 ปีก่อน ค.ศ. อาจอยู่ในช่วงวันที่ 4 ถึง 8 สิงหาคม[1][ต้องการเลขหน้า] Artabanus ผู้บัญชาการองครักษ์หลวงและเจ้าหน้าที่ที่ทรงอำนาจที่สุดในราชสำนักเปอร์เซีย ได้ลอบสังหารเซิร์กซีสด้วยความช่วยเหลือจากขันที Aspamitres[15] แม้ว่า Artabanus แห่ง Hyrcania มีชื่อเดียวกันกับพระปิตุลาที่มีชื่อเสียงของเซิร์กซีส การก้าวขึ้นสู่ความโดดเด่นของเขาเป็นผลมาจากความนิยมในศาสนสถานของราชสำนักและแผนการร้ายในฮาเร็ม เขาแต่งตั้งบุตรชายทั้งเจ็ดให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ และมีแผนที่จะโค่นราชบัลลังก์อะคีเมนิด[16]

นักประวัติศาสตร์กรีกให้ข้อมูลเหตุการณ์ต่างกัน Ctesias รายงานว่า (ใน Persica 20) Artabanus กล่าวหามกุฎราชกุมารดาไรอัส พระราชโอรสองค์โตของเซิร์กซีส ในข้อหาฆาตกรรมและชักชวนอาร์ตาเซิร์กซีส พระราชโอรสอีกองค์ของเซิร์กซีส ให้แก้แค้นการสังหารพระราชบิดาโดยการสังหารดาไรอัส แต่ตามบันทึกของอริสโตเติล (ใน Politics 5.1311b) Artabanus ได้สังหารดาไรอัสก่อนแล้วจึงสังหารเซิร์กซีส หลังจากที่อาร์ตาเซิร์กซีสพบการฆาตกรรม พระองค์ก็สังหาร Artabanus และบุตรชายของเขา[17] ผู้เข้าร่วมในแผนการร้ายเหล่านี้คือนายพล Megabyzus ซึ่งการตัดสินใจเปลี่ยนฝ่ายของเขาน่าจะช่วยรักษาราชวงศ์อะคีเมนิดไม่ให้สูญเสียอำนาจควบคุมบัลลังก์เปอร์เซีย[18]

ศาสนา

[แก้]

ในขณะที่ยังไม่มีความเห็นโดยทั่วไปในงานวิชาการว่าเซิร์กซีสและบรรพบุรุษของพระองค์ได้รับอิทธิพลจากศาสนาโซโรอัสเตอร์หรือไม่[19] เป็นที่ยืนยันกันดีว่าเซิร์กซีสเป็นผู้ศรัทธาในพระอหุระมาซดะอย่างมั่นคง ซึ่งพระองค์เห็นว่าพระอหุระเป็นเทพเจ้าสูงสุด[19] อย่างไรก็ตาม ผู้นับถือธรรมเนียมศาสนา(อินโด-)อิเรเนียนก็นับถือพระอหุระมาซดะด้วย[19][20] ในเรื่องการปฏิบัติต่อศาสนาอื่น เซิร์กซีสปฏิบัติตามนโยบายเดียวกันกับผู้ปกครององค์ก่อนหน้าของพระองค์ นั่นคือ ขอความช่วยเหลือจากนักวิชาการศาสนาท้องถิ่น ทำการบูชายัญต่อเทพเจ้าท้องถิ่น และทำลายวิหารในเมืองและประเทศต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย[21]

คำตอบรับ

[แก้]
จารึกสามภาษาของเซิร์กซีสที่วาน (ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี)

การนำเสนอจักรพรรดิเซิร์กซีสในแหล่งข้อมูลกรีกและโรมันส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงลบ ซึ่งกำหนดโทนการพรรณนาถึงพระองค์ในธรรมเนียมตะวันตกในเวลาต่อมา เซิร์กซีสเป็นตัวละครหลักในบทละคร The Persians ของ Aeschylus ซึ่งแสดงครั้งแรกในกรุงเอเธนส์เมื่อ 472 ปีก่อน ค.ศ. เพียงเจ็ดปีหลังจากที่พระองค์ทรงบุกรุกรานกรีซ บทละครนำเสนอเซิร์กซีสในลักษณะเหมือนผู้หญิง และความพยายามที่จะยึดครองทั้งเอเชียและยุโรปอย่างโอหังของพระองค์ นำไปสู่ความพินาศของทั้งตัวพระองค์เองและอาณาจักรของพระองค์[22]

Histories ของเฮอรอโดทัสที่เขียนขึ้นภายหลังในศตวรรษที่ 5 ก่อน ค.ศ. มีศูนย์กลางอยู่ที่สงครามเปอร์เซีย โดยมีเซิร์กซีสเป็นบุคคลสำคัญ ข้อมูลบางส่วนของเฮอรอโดทัสเป็นข้อมูลเท็จ[23][24] Pierre Briant กล่าวหาเขาว่านำเสนอภาพลักษณ์ของชาวเปอร์เซียแบบเหมารวมและลำเอียง[25] Richard Stoneman ถือว่าการพรรณนาถึงเซิร์กซีสของเขานั้นมีความละเอียดอ่อนและน่าเศร้า เมื่อเทียบกับการถูกใส่ร้ายป้ายสีที่พระองค์ได้รับจากอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์มาเกโดนีอา (ค.336–323 ปีก่อน ค.ศ.)[26]

เซิร์กซีสถูกระบุเข้ากับพระเจ้าอาหสุเอรัสในหนังสือเอสเธอร์จากพระคัมภีร์[27] ในขณะที่นักวิชาการบางคนอย่าง Eduard Schwartz, วิลเลียม เรนีย์ ฮาร์เปอร์ และไมเคิล วี. ฟ็อกซ์ มองเรื่องนี้เป็นโรแมนติกอิงประวัติศาสตร์[28][29] อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับความเห็นพ้องกันว่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ใดเป็นพื้นฐานของเรื่องราวนี้[30][31][32][33]

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ Xerxes of de Hoogmoed (1919) โดย Louis Couperus นักเขียนชาวดัตช์ กล่าวถึงสงครามเปอร์เซียในมุมมองของเซิร์กซีส แม้ว่าเรื่องราวจะเป็นเรื่องแต่ง แต่ Couperus ได้อ้างอิงการศึกษาของเฮอรอโดทัสอย่างกว้างขวาง Arrogance: The Conquests of Xerxes นิยายแปลภาษาอังกฤษโดย Frederick H. Martens ปรากฏขึ้นใน ค.ศ. 1930[34][35]

กษัตริย์เปอร์เซียในหนังสือเอสเธอร์โดยทั่วไปคาดว่าเป็นเซิร์กซีส

ความหลงใหลในสปาร์ตาโบราณของคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุทธการที่เทอร์มอพิลี นำไปสู่การพรรณนาถึงเซิร์กซีสในผลงานวัฒนธรรมสมัยนิยม David Farrar รับบทเป็นเผด็จการผู้โหดร้าย คลั่งอำนาจ และผู้บัญชาการที่ไร้ความสามารถในภาพยนตร์ The 300 Spartans (1962) พระองค์ยังมีบทบาทโดดเด่นในนวนิยายภาพเรื่อง 300 และ Xerxes: The Fall of the House of Darius and the Rise of Alexander โดยแฟรงก์ มิลเลอร์ รวมถึงภาพยนตร์ดัดแปลงเรื่อง 300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลก (2007) และภาคต่อ 300 มหาศึกกำเนิดอาณาจักร (2014) ซึ่งโรดรีกู ซานโตรู นักแสดงชาวบราซิล รับบทเป็นชายร่างยักษ์ที่มีลักษณะทางเพศแบบแอนโดรจีนี และอ้างตัวว่าเป็นเทวกษัตริย์ (god-king) การพรรณนาเช่นนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิหร่าน[36] Ken Davitian รับบทเซิร์กซีสใน ขุนศึกพิศดารสะท้านโลก ภาพยนตร์ล้อเลียนจาก 300 ภาคแรกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันแบบเด็กเรียน (sophomoric humour) และจงใจใส่สิ่งที่ผิดยุคเข้าไป

เซิร์กซีส (อาหสุเอรัส) โดย Ernest Normand, ค.ศ. 1888 (รายละเอียด)

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 Stoneman 2015.
  2. Jürgen von Beckerath (1999). Handbuch der ägyptischen Königsnamen. Mainz: Von Zabern. ISBN 3-8053-2310-7, pp. 220–221
  3. Littman, R. J.. "The Religious Policy of Xerxes and the 'Book of Esther'". The Jewish Quarterly Review, January 1975, New Series, Vol. 65, No. 3, footnote 2, accessed 30 December 2022
  4. Carey, Brian Todd; Allfree, Joshua; Cairns, John (19 January 2006). Warfare in the Ancient World. Pen and Sword. ISBN 1848846304.
  5. 1 2 Marciak 2017, p. 80; Schmitt 2000
  6. Schmitt 2000.
  7. Llewellyn-Jones 2017, p. 70.
  8. Waters 1996, pp. 11, 18.
  9. Briant 2002, p. 132.
  10. Briant 2002, p. 520.
  11. Stoneman 2015, p. 1.
  12. Ghirshman, Iran, p. 172
  13. Fergusson, James. A History of Architecture in All Countries, from the Earliest Times to the Present Day: 1. Ancient architecture. 2. Christian architecture. xxxi, 634 p. front., illus. p. 211.
  14. Herodotus VII.11
  15. Stoneman 2015, pp. 195–209.
  16. Iran-e-Bastan/Pirnia book 1 p. 873
  17. Dandamayev
  18. History of Persian Empire, Olmstead pp. 289/90
  19. 1 2 3 Malandra 2005.
  20. Boyce 1984, pp. 684–687.
  21. Briant 2002, p. 549.
  22. Hall 1993, p. 118-127.
  23. Briant 2002, p. 57.
  24. Radner 2013, p. 454.
  25. Briant 2002, pp. 158, 516.
  26. Stoneman 2015, p. 2.
  27. Stoneman 2015, p. 9.
  28. Fox, Michael V. (2010). Character and ideology in the book of Esther. Eugene, OR: Wipf and Stock. p. 145. ISBN 9781608994953.
  29. Kalimi, Isaac (2023). The Book of Esther between Judaism and Christianity. Cambridge University Press. p. 130. ISBN 9781009266123.
  30. "Book of Esther | Summary & Facts". 8 August 2023.
  31. McCullough, W. S. (28 July 2011) [15 December 1984]. "Ahasureus". Encyclopædia Iranica. สืบค้นเมื่อ 3 April 2020. There may be some factual nucleus behind the Esther narrative, but the book in its present form displays such inaccuracies and inconsistencies that it must be described as a piece of historical fiction.
  32. Meyers, Carol (2007). Barton, John; Muddiman, John (บ.ก.). The Oxford Bible Commentary (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. p. 325. ISBN 9780199277186. Like the Joseph story in Genesis and the book of Daniel, it is a fictional piece of prose writing involving the interaction between foreigners and Hebrews/Jews.
  33. Hirsch, Emil G.; Dyneley Prince, John; Schechter, Solomon (1906). Singer, Isidor; Adler, Cyrus (บ.ก.). "Esther". Jewish Encyclopedia. สืบค้นเมื่อ 25 April 2020. The vast majority of modern expositors have reached the conclusion that the book is a piece of pure fiction, although some writers qualify their criticism by an attempt to treat it as a historical romance.
  34. "Xerxes, of De hoogmoed". www.bibliotheek.nl. สืบค้นเมื่อ 27 April 2020.
  35. Classe, O.; AC02468681, Anonymus (2000). Encyclopedia of Literary Translation Into English: A–L (ภาษาอังกฤษ). Taylor & Francis. ISBN 978-1-884964-36-7.
  36. Boucher, Geoff. "Frank Miller returns to the '300' battlefield with 'Xerxes': 'I make no apologies whatsoever'". The Los Angeles Times. 1 June 2010. Retrieved 14 May 2010.

บรรณานุกรม

[แก้]

สมัยโบราณ

[แก้]

ข้อมูลสมัยใหม่

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ก่อนหน้า จักรพรรดิเซิร์กซีสที่ 1 ถัดไป
จักรพรรดิดาไรอัสมหาราช กษัตริย์เปอร์เซีย
(486 ปีก่อนคริสตกาล - 465 ปีก่อนคริสตกาล)
จักรพรรดิอาร์ตาเซิร์กซีสที่ 1
จักรพรรดิดาไรอัสมหาราช ฟาโรห์แห่งอียิปต์
(486 ปีก่อนคริสตกาล - 465 ปีก่อนคริสตกาล)
จักรพรรดิอาร์ตาเซิร์กซีสที่ 1