จักรพรรดิเฉียนหลง
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
| เฉียนหลง | |||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| จักรพรรดิราชวงศ์ชิง | |||||||||||||||||
| ครองราชย์ | 18 ตุลาคม ค.ศ. 1735 - 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1796 (60 ปี 124 วัน) | ||||||||||||||||
| ก่อนหน้า | จักรพรรดิยงเจิ้ง | ||||||||||||||||
| ถัดไป | จักรพรรดิเจียชิ่ง | ||||||||||||||||
| พระราชสมภพ | 25 กันยายน 1711 พระราชวังต้องห้าม หงลี่ | ||||||||||||||||
| สวรรคต | 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1799 (87 ปี) พระราชวังต้องห้าม | ||||||||||||||||
| จักรพรรดินี | จักรพรรดินีเซี่ยวเสียนฉุน จักรพรรดินีจี้ จักรพรรดินีเซี่ยวอี๋ฉุน | ||||||||||||||||
| |||||||||||||||||
| ราชวงศ์ | ชิง | ||||||||||||||||
| พระราชบิดา | จักรพรรดิยงเจิ้ง | ||||||||||||||||
| พระราชมารดา | จักรพรรดินีเซี่ยวเชิ่งเซี่ยน | ||||||||||||||||
| ช่วงเวลา | ![]() | ||||||||||||||||
| เหตุการณ์สำคัญ | จัดทำสารานุกรม คู่เฉวียนซู่ | ||||||||||||||||
จักรพรรดิเฉียนหลง (จีน: 乾隆皇帝; พินอิน: Qiánlóng huángdì) ฮกเกี้ยนว่า เขียนหลง[1] (หมิ่นหนาน: Kiân-liông) เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 5 ของราชวงศ์ชิง เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. 2254 (ค.ศ. 1711) มีพระนามเดิมว่าหงลี่ (弘曆) เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิยงเจิ้ง และเป็นพระราชนัดดาองค์โปรดของจักรพรรดิคังซี เพราะมีความเฉลียวฉลาดมาแต่ยังเด็ก จักรพรรดิเฉียนหลงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2278 (ค.ศ. 1735) ขณะมีพระชนมายุได้ 24 พรรษา และใช้ชื่อศักราชว่า เฉียนหลง
จักรพรรดิเฉียนหลงได้สร้างความเจริญมากมายให้กับประเทศจีน โดยเฉพาะการจัดทำสารานุกรม ซื่อคู่เฉวียนซู ขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2316 (ค.ศ. 1773) - พ.ศ. 2325 (ค.ศ. 1782) ถือเป็นมรดกโลกที่สำคัญชิ้นหนึ่ง
รัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงมีเรื่องราวที่เป็นสีสัน เล่าขาน เป็นตำนานต่าง ๆ มากมาย ทั้งเรื่องที่ลือกันว่าแท้ที่จริงแล้วมิได้เป็นพระโอรสของจักรพรรดิหย่งเจิ้น หรือเรื่องราวที่ชอบแปลงตนเองเป็นสามัญชนท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ จนได้ฉายาว่า "จักรพรรดิเจ้าสำราญ" ส่วนเรื่องคำกล่าวที่ว่าจักรพรรดินีเซี่ยวเชิ่งเซี่ยนซึ่งเป็นพระราชมารดาของจักรพรรดิเฉียนหลงไม่โปรดเซียงเฟย์ ถึงขั้นสั่งประหาร ก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เพราะสมเด็จพระพันปีหลวงเสด็จสู่สวรรคาลัยไปก่อนเซียงเฟย์ถึง 11 ปี ฉะนั้น สมเด็จพระพันปีหลวงจึงมาสั่งประหารไม่ได้แน่นอน
จักรพรรดิเฉียนหลงมีคนสนิทที่ทรงใกล้ชิดอยู่คนหนึ่งชื่อเหอเชิน ที่มักคอยเอาอกเอาใจอยู่ตลอด และมักชวนจักรพรรดิเฉียนหลงเสเพลอยู่เสมอ ๆ จักรพรรดิเฉียนหลงโปรดเหอเชินมากถึงขนาดยกพระธิดาองค์หนึ่งคือ เจ้าหญิงกู้หลุนเหอเซี่ยว ให้เป็นคู่หมั้นของลูกชายเหอเชินตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เหอเชินเหิมเกริม กระทำการทุจริตต่าง ๆ นานา ยิ่งโดยเฉพาะในปลายรัชสมัยมีการจับจ่ายใช้เงินทองจำนวนมากเพื่อความสำราญของคนในพระราชวัง กล่าวว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของความอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ของราชวงศ์ชิงด้วย หลังจากรัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงแล้ว
จักรพรรดิเฉียนหลงมีพระโอรสที่ปรีชาสามารถมากคือเจ้าชายหย่งฉี พระราชโอรสองค์ที่ 5 ซึ่งประสูติแต่ยฺหวีกุ้ยเฟย์ (愉貴妃) เจ้าชายหย่งฉีเป็นผู้ที่ปรีชาสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นความหวังว่าจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ แต่กลับสิ้นพระชนม์เสียก่อนตั้งแต่ยังหนุ่ม
ในปี พ.ศ. 2338 (ค.ศ. 1795) ปีที่ 60 ที่ทรงครองราชย์จักรพรรดิเฉียนหลงได้สละราชสมบัติให้พระโอรสที่ชื่อ หย่งเยี๋ยน พระราชโอรสลำดับที่ 15 ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเจียชิ่ง ด้วยไม่ปรารถนาจะครองราชย์ยาวนานเกินกว่าจักรพรรดิคังซีผู้เป็นพระอัยกา (ปู่) อย่างไรก็ตามแม้จะสละราชบัลลังก์แล้วแต่อำนาจที่แท้จริงยังคงอยู่กับพระองค์ โดยทรงขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นพระเจ้าหลวง (太上皇帝)
ในปี พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) จักรพรรดิเฉียนหลงเสด็จสวรรคตจักรพรรดิเจี่ยชิ่งจึงได้ครองราชย์อย่างแท้จริงและพระองค์ก็เริ่มกำจัดเหอเชินทันทีและบังคับให้เขาฆ่าตัวตายหลังสิ้นสุดยุคของจักรพรรดิเฉียนหลงแล้วจักรพรรดิองค์ต่อ ๆ มาของราชวงศ์ชิงต่างไม่มีองค์ไหนมีความสามารถโดดเด่น ทำให้ราชวงศ์ชิงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และประเทศจีนเริ่มถูกต่างชาติเข้าแทรกแซงยึดครอง
ตลอดยุคสมัยที่ยาวนานกว่า 60 ปี ของจักรพรรดิเฉียนหลงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีสีสันจนเลื่องลือมาถึงปัจจุบันมีวรรณกรรมมากมายที่บอกเล่าถึงยุคสมัยของพระองค์ รวมทั้งภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์ ที่จัดสร้างหลายครั้งหลายหนกล่าวถึงเนื้อหาต่าง ๆ เช่น เรื่องที่เล่าลือกันว่า พระองค์แท้ที่จริงมิใช่พระโอรสของจักรพรรดิยงเจิ้ง แต่เป็นบุตรชายของอำมาตย์คนหนึ่ง เมื่อพระมเหสีของจักรพรรดิยงเจิ้งให้ประสูติกาลบุตรออกมาเป็นบุตรสาว จึงสลับลูกกันกับอำมาตย์ผู้นี้ ดังที่ปรากฏในเรื่อง จอมใจจอมยุทธ์ แต่เรื่องนี้คงเป็นได้แค่เรื่องแต่งเพราะจักรพรรดิเฉียนหลงเองก็ทรงมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกับจักรพรรดิยงเจิ้งมาก จึงไม่ควรยึดเป็นความจริงและ เรื่องราวในรัชสมัยพระองค์ยังถูกนำมาแสดงเป็นภาพยนตร์เรื่อง องค์หญิงกำมะลอ ซึ่งเป็นเรื่องขององค์หญิงหวนจู ซึ่งดัดแปลงมาจากพระธิดาบุญธรรมขององค์จักรพรรดิมาเป็นองค์หญิงหวนจู
พระราชประวัติช่วงต้น
[แก้]จักรพรรดิเฉียงหลง ทรงมีพระนามเดิมว่า หงลี่ เป็นองค์ชายที่สี่ของจักรพรรดิย่งเจิ้งและจักรพรรดินีเซี่ยวเชิ่งเซี่ยน[2] ผู้เป็นพระราชมารดาของพระองค์ องค์ชายหงหลี่ได้รับการยกย่องจากทั้งจักรพรรดิคังซี ผู้เป็นพระอัยกา และจักรพรรดิย่งเจิ้ง ผู้เป็นพระราชบิดา นักประวัติศาสตร์บางคนได้โต้แย้งว่าเหตุผลหลักที่จักรพรรดิคังซีได้ทรงแต่งตั้งจักรพรรดิย่งเจิ้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิเป็นเพราะหงลี่เป็นพระราชนัดดาคนโปรดของพระองค์[3]
ภายหลังจากพระราชบิดาได้เสด็จขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 1722 หงลี่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ชินอ๋อง (องค์ชายขั้นหนึ่ง) ภายใต้พระนามว่า องค์ชายเป่าแห่งขั้นที่หนึ่ง (和碩寶親王; Héshuò Bǎo Qīnwáng) เช่นเดียวกับพระปิตุลาหลายพระองค์ของพระองค์ หงลี่ได้เข้าสู่การแก่งแย่งชิงบังลังก์กับหงฉือ พระราชอนุชาต่างพระมารดา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางในราชสำนัก รวมทั้งองค์ชายยฺหวิ่นซื่อ เป็นเวลาหลายปีที่จักรพรรดิย่งเจิ้งไม่ได้แต่งตั้งพระราชโอรสองค์ใดองค์หนึ่งให้เป็นรัชทายาท แต่ขุนนางคาดการณ์ว่าพระองค์ทรงโปรดปรานหงลี่ หงลี่ได้เดินทางไปตรวจราชการทางภาคใต้ และเป็นนักเจรจาต่อรองและผู้บังคับใช้กฎหมายที่เก่งกาจ นอกจากนี้ พระองค์ยังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในบางครั้งเมื่อพระราชบิดาทรงไม่อยู่ในเมืองหลวง[4]
การขึ้นครองราชสมบัติ
[แก้]การชึ้นครองราชย์ของหงลี่นั้นได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนที่พระองค์จะได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการในราชสำนัก เมื่อจักรพรรดิย่งเจิ้งเสด็จสวรรคต หงลี่ในวัยเยาว์เป็นพระราชนัดดาองค์โปรดของจักรพรรดิคังซี และเป็นพระราชโอรสองค์โปรดของจักรพรรดิย่งเจิ้ง จักรพรรดิย่งเจิ้งได้มอบหมายพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายประการให้แก่หงลี่ในขณะที่หงลียังทรงพระเยาว์และทรงให้หงลี่ได้เข้าร่วมในการอภิปรายยุทธศาสตร์ทางทหารที่สำคัญในราชสำนัก ด้วยความหวังที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการแก่งแย่งชิงราชบังลังก์ จักรพรรดิย่งเจิ่งทรงได้เขียนพระนามของผู้ที่พระองค์ทรงเลือกผู้สืบราชสันตติวงศ์ลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง และบรรจุลงในกล่องปิดผนึกที่ถูกวางไว้ด้านหลังแผ่นจารึกเหนือราชบังลังก์ในพระตำหนักเฉียนชิง พระนามในกล่องนี้จะถูกเปิดเผยต่อสมาชิกราชวงศ์คนอื่น ๆ ต่อหน้าเหล่าเสนาบดีระดับอาวุโสทุกคนก็ต่อเมื่อจักรพรรดิย่งเจิ้งทรงสวรรคตเท่านั้น เมื่อจักรพรรดิย่งเจิ่ยเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหันในปี ค.ศ. 1735 พระราชโองการพินัยกรรมจึงถูกนำมาอ่านต่อหน้าท้องพระโรงราชสำนักชิง หลังจากนั้น หงลี่ก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่ หงลี่ทรงได้ประกาศใช้ชื่อยุคสมัยว่า "เฉียนหลง" ซึ่งแปลว่า "พระศิริรุ่งโรจน์"
ในปี ค.ศ. 1739 หงซี(พระราชโอรสของอดีตรัชทายาทยฺหวิ่นเหริงที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง) ได้วางแผนก่อรัฐประหารร่วมกับเหล่าองค์ชายห้าองค์เพื่อโค่นล้มเฉียงหลงและแต่งตั้งตนเองขึ้นมาเป็นจักรพรรดิแทน[5] พวกเขาได้วางแผนที่จะก่อรัฐประหารในช่วงการล่าสัตว์ของจักรพรรดิในพระราชอุทยานล่าสัตว์มู่หลาน[6] หงซีได้รับการสถาปนาเป็นจักรพรรดิ แต่แผนการนี้ได้ถูกเปิดเผยโดยองค์ชายหงผู่ และเหล่าองค์ชายได้ถูกจับกุม[7] ฝ่ายกบฎถูกสอบสวน[8] เหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดที่มีชื่อเสียงถูกจองจำคุก[9][10] ในขณะที่ผู้กระทำความผิดผู้สมรู้ร่วมคิดถูกปลดออกจากตำแหน่งหรือลดตำแหน่ง[11][12] ในปี ค.ศ. 1778 จักรพรรดิเฉียนหลงทรงได้คืนพระนามเดิมให้แก่ยฺหวิ่นซื่อ อิ้นถัง และหงซี และทรงอนุญาติให้บันทึกชื่อลูกหลานของพวกเขาไว้ในลำดับวงศ์ตระกูล อย่างไรก็ตามจักรพรรดิไม่ได้เพิกถอนพระราชกฤษฏีกาที่เพิกถอนยศฐาบรรดาศักดิ์ขององค์ชายเหล่านั้น ในปี ค.ศ. 1783 เมื่อมีการมอบหมายให้บันทึกประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ได้รับคำสั่งให้เน้นย้ำบทบาทของจักรพรรดิในการปราบปรามกบฎ และกล่าวถึงว่า "หงซีและคนอื่น ๆ ต่างต้องการแย่งชิงราชบังลังก์"[13]
สงครามชายแดน
[แก้]จักรพรรดิเฉียนหลงทรงเป็นผู้นำทางทหารที่ประสบความสำเร็จ ทันทีหลังจากทรงขึ้นครองราชน์ พระองค์ทรงส่งกองทัพไปปราบปรามกบฎเผ่าแม้ว พระองค์ทรงขยายอาณาเขตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิชิงอย่างมากผ่านทางสิบการทัพใหญ่ จักรวรรดิชิงขยายตัวเป็นสองเท่าของรัฐหมิงก่อนหน้านี้ โดยผนวกพื้นที่อันกว้างใหญ่ของเอเชียภายในเข้าไว้ในอาณาเขตของตน[14] นักวิชาการบางคนมองว่าการขยายอาณาเขตของราชวงศ์ชิงมีลักษณะเป็นอาณานิคม[15][16][17]
ภายใต้รัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง รัฐข่านซุงการ์ที่ตั้งอยู่ในซุงฮาเรียได้พ่ายแพ้ต่อรัฐชิง ซึ่งจุดไคลแมตซ์ของสงครามซุงการ์-ชิง ต่อมาารัฐชิงได้พิชิตรัฐโอเอซิสเตอร์กิกที่อยู่ใกล้เคียงในแอ่งทาริม อันเป็นผลพวงจากความขัดแย้งดังกล่าว[18] ภูมิภาคทั้งสองของซุงฮาเรียและแอ่งทาริม ซึ่งในอดีตจะเชื่อมต่อกันและถูกเปลี่ยนชื่อเป็นซินเจียง ในขณะที่ทางตะวันตก อีหลีได้ถูกพิชิตและวางทหารกองรักษาการณ์เอาไว้
การผนวกซินเจียงเข้ากับจักรพรรดิชิงเป็นผลจากความพ่ายแพ้และการทำลายล้างครั้งสุดท้ายของชาวซุงการ์ (ซูงการ์) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรของชนเผ่ามองโกลตะวันตก ต่อมาจักรพรรดิทรงมีพระราชโองการทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวซุงการ์ ตามที่เว่ย หยวน นักวิชาการแห่งราชวงศ์ได้ระบุว่า ประมาณ 40% ของชาวซุงการ์ 600,000 คน ได้เสียชีวิตจากไข้ทรพิษ ประมาณ 20% ได้หลบหนีไปยังจักรวรรดิรัสเซียและชนเผ่าชาวคาซัค และประมาณ 30 % ถูกสังหารโดยกองทัพชิง[19][20] ในสิ่งที่ไมเคิล เอ็ดมันด์ คลาร์ก ได้กล่าวบรรยายไว้ว่า เป็น"การทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ที่ไม่เพียงแต่รัฐซุงการ์เท่านั้น แต่รวมทั้งชาวซุงการ์ในฐานะประชาชน"[21] นักประวัติศาสตร์นามว่า ปีเตอร์ เพอร์ดู ได้โต้แย้งว่า การทำลายล้างชาวซุงการ์เป็นผลมาจากนโยบายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ชัดเจนซึ่งได้ริเริ่มโดยจักรพรรดิเฉียนหลง[22]
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวซุงการ์ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการสังหารหมู่ชาวทิเบตจินฉวนของราชวงศ์ชิงใน ค.ศ. 1776 ซึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงเช่นกัน เมื่อกองทัพที่ได้รับชัยชนะได้กลับมายังกรุงปักกิ่ง ได้มีการขับร้องเพลงสรรเสริญเพื่อเป็นเป็นเกียรติแก่พวกเขา บทเพลงสรรเสริญฉบับชาวแมนจูได้รับการบันทึกโดยคณะเยสุอิตอามิโอต์ และถูกส่งไปยังกรุงปารีส[23]
จักรวรรดิชิงได้ว่าจ้างจ้าวอี้และเจียง หย่งจือที่สำนักงานจดหมายเหตุทางทหาร ในฐานะสมาชิกของวิทยาลัยฮั่นหลิน เพื่อรวบรวมผลงานเกี่ยวกับการทัพซุงการ เช่น กลยุทธ์เพื่อความสงบสุขของซุงการ์(กลยุทธ์ซุงการ์ผิงติ้ง)[24] บทกวีที่ยกย่องการพิชิตและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมองโกลซุงการ์ของชิงที่เขียนโดยจ้าว[25][26] ผู้ที่เขียนเรื่อง Yanpu zaji ในรูปแบบ"บันทึกพู่กัน" ที่บันทึกงบประมาณรายจ่ายทางการทหารในรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง[27] จักรพรรดิเฉียนหลงได้รับการยกย่องจากจ้าวอี้ว่า เป็นแหล่งที่มาของ "สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 18"[28]
กบฎมองโกลชาวคัลคาภายใต้การนำขององค์ชายชินกุนจาฟ ร่วมกับผู้นำชาวซุงการ์ อามูร์ซานา และนำการกบฎต่อต้านจักรวรรดิชิงในช่วงเวลาเดียวกับที่ชาวซุงการ์ปกครอง กองทัพชิงได้ปราบปรามกบฎและสังหารชินกุนจาฟและราชวงศ์ทั้งหมด
ตลอดช่วงเวลานี้ การแทรกแซงของชาวมองโกลในทิเบตยังคงดำเนินต่อไป และการเผยแพร่ศาสนาพุทธแบบทิเบตในมองโกลเลียก็เกิดขึ้นเช่นกัน หลังจากเหตุการณ์จลาจลลาซาในปี ค.ศ. 1750 จักรพรรดิเฉียนหลงได้ส่งกองทัพเข้าสู่ทิเบตและสถาปนาองค์ทะไลดามะขึ้นเป็นประมุขแห่งทิเบตได้อย่างมั่นคง โดยมีชาวชิงอาศัยอยู่และตั้งกองทหารรักษาการณ์ เพื่อรักษาอำนาจของราชวงศ์ชิงไว้ ในพื้นที่ห่างไกลออกไป การรบทางทหารต่อต้านชาวเนปาลและชาวกูรข่าบีบให้จักรพรรดิต้องตกอยู่ภาวะชะงักงันซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องยอมอ่อนข้อ
เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1751 กบฏชาวทิเบตที่ได้เข้าร่วมในเหตุการณ์จลาจลที่ลาซาในปี ค.ศ. 1750 เพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิง ได้ถูกประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อพันมีด(หลิงฉือ) โดยแม่ทัพชาวแมนจูนามว่า บันดี คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกบฏทิเบต เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1728 ในรัชสมัยของจักรพรรดิหย่งเจิ้ง บิดาของพระองค์ ผู้นำกบฏชาวทิเบต 6 คน และ Blo-bzan-bkra-sis ผู้นำชาวกบฏทิเบตล้วนถูกประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อพันมีด ผู้นำกบฏทิเบตที่เหลือถูกรัดคอและตัดศีรษะ และศีรษะของพวกเขาถูกนำไปเสียบประจานต่อหน้าประชาชนชาวทิเบต ราชวงศ์ชิงได้ยึดทรัพย์สินของกบฏและเนรเทศกบฏทิเบตคนอื่น ๆ[29] แม่ทัพชาวแมนจูบันดีได้ส่งรายงานถึงจักรพรรดิเฉียนหลง เมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1751 เกี่ยวกับวิธีที่พระองค์ดำเนินการสังหารหมู่และประหารชีวิตกบฏชาวทิเบต กบฏชาวทิเบตที่มีนามว่า dBan-rgyas (Wang-chieh), Padma-sku-rje-c'os-a['el (Pa-t'e-ma-ku-erh-chi-ch'un-p'i-lo) และ Tarqan Yasor (Ta-erh-han Ya-hsün) ถูกประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อพันมีดจากการทำร้ายข้าราชการชั้นสูง(อันบัม) ชาวแมนจูด้วยลูกธนู คันธนู และปืนลูกซองสำหรับยิงนก(Fowling piece) ในเหตุการณ์จลาจลที่ลาซา เมื่อพวกเขาบุกโจมตีจวนที่อัมบันชาวแมนจูอาศัยอยู่ (Labdon และ Fucin) อาศัยอยู่ กบฏชาวทิเบตที่มีนามว่า Sacan Hasiha (Ch'e-ch'en-ha-shih-ha) ถูกประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อพันมีดจากสังหารบุคคลหลายราย กบฏชาวทิเบตนามว่า Ch'ui-mu-cha-t'e และ Rab-brtan (A-la-pu-tan) ถูกประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อพันมีดจากการปล้นสะดมเงินทองและจุดไฟเผาในช่วงการโจมตีอัมบัน กบฏชาวทิเบตที่มีนามว่า Blo-bzan-bkra-sis, the mgron-gner ถูกประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อพันมีด เนื่องด้วยเป็นผู้นำของกลุ่มกบฏที่นำการโจมตีที่ทำการปล้นสะดมเงินและสังหารอัมบันชาวแมนจู กบฏชาวกบฎทิเบตสองคนที่เสียชีวิตไปแล้วก่อนการประหารชีวิตได้ถูกตัดศีรษะ คนหนึ่งเสียชีวิตในคุก นามว่า Lag-mgon-po (La-k'o-kun-pu) และอีกคนได้่ฆ่าตัวตายเพราะกลัวโทษประหาร นามว่า Pei-lung-sha-k'o-pa บันดีได้ตัดสินโทษด้วยการรัดคอจนตายแก่เหล่าผู้ติดตามกบฏหลายคน และ bKra-sis-rab-brtan (Cha-shih-la-pu-tan) ผู้ส่งสาร เขาได้สั่งตัดหัว Man-chin Te-shih-nai และ rDson-dpon dBan-rgyal (Ts'eng-pen Wang-cha-lo และ P'yag-mdsod-pa Lha-skyabs (Shang-cho-t'e-pa La-cha-pu) จากการที่นำการโจมตีจวนโดยเป็นคนแรกที่เหยียบขึ้นบันไดไปยังชั้นถัดไปและวางเพลิงและถือฟางเพื่อเติมไฟ นอกจากนี้ยังสังหารคนไปหลายคนตามคำสั่งของผู้นำกบฎ[30]
ในปี ค.ศ. 1762 จักรพรรดิเฉียนหลงเกือบจะทำสงครามกับอาหมัด ชาห์ ดูร์รานี่ เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์อัฟกัน เนื่องจากการขยายอำนาจของจีนในราชวงศ์ชิงในเอเชียกลาง ในขณะที่กองทัพของจักรวรรดิชิงและดูร์รานีได้ถูกส่งเข้าประชิดชายแดนในเอเชียกลาง สงครามก็ไม่ได้เกิดขึ้น หนึ่งปีต่อมา ดูร์รานีได้ส่งทูตไปปักกิ่งเพื่อมอบม้าอันงดงามสี่ตัวให้กับเฉียนหลง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหัวข้อของภาพวาดชุด "ม้าอัฟกันสี่ตัว" อย่างไรก็ตาม ทูตชาวอัฟกันไม่สามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้กับเฉียนหลงได้ภายหลังจากได้ปฏิเสธที่จะกระทำด้วยโค่วโถว ต่อมาเฉียนหลงได้ปฏิเสธที่จะเข้าแทรกแซงด้วยการสังหารสุลต่านแห่งบาดัคชานของจักรวรรดิดูร์รานี ซึ่งเป็นข้าราชบริพารของราชวงศ์ชิงจีน[31][32]
จักรพรรดิเฉียนหลงทรงตอบรับคำร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากข้าราชบริพารจากรัฐฉานเพื่อต่อต้านการโจมตีของกองกำลังพม่า แต่สงครามจีน-พม่าได้จบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในตอนแรกพระองค์ทรงเชื่อว่าจะมีชัยชนะชนเผ่าป่าเถื่อนนั้นง่ายดาย จึงส่งไปได้เพียงแค่กองทัพธงเขียวที่ประจำการอยู่ในมณฑลยูนหนาน ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนพม่า การรุกรานของราชวงศ์ชิงได้เกิดขึ้น ในขณะที่กองทัพพม่าส่วนใหญ่กำลังเคลื่อนพลในการรุกรานราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาของไทยครั้งล่าสุด อย่างไรก็ตาม กองทัพพม่าที่ผ่านศึกการรบมาอย่างโชกโชนสามารถเอาชนะการรุกรานถึงสองครั้งแรกใน ค.ศ. 1765-66 และ ค.ศ. 1766-67 ที่ชายแดนไว้ได้ ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ได้ยกระดับเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการซ้อมรบทางทหารทั่วประเทศในทั้งสองประเทศ การบุกครองครั้งที่สาม (ค.ศ. 1767-1768) นำโดยชนชาติชาวแมนจู ซึ่งเกือบจะประสบความสำเร็จ โดยบุกเข้าไปในพม่าตอนกลางได้ภายในเวลาไม่กี่วันจากกรุงอังวะ ซึ่งเป็นเมืองหลวง อย่างไรก็ตาม กองทัพแมนจูทางตอนเหนือของจีนไม่สามารถรับมือกับ"ภูมิประเทศเขตร้อนชื้นที่ไม่คุ้นเคยและโรคระบาดร้ายแรง" ได้ จึงถูกขับไล่กลับไปพร้อมกับความสูญเสียอย่างหนัก หลังจากวิกฤตกาณ์ครั้งนี้ พระเจ้ามังระได้รับสั่งให้เคลื่อนกำลังทหารจากอยุธยาไปยังแนวรบจีนอีกครั้ง การบุกครองครั้งที่สี่และขนาดใหญ่ที่สุดได้หยุดชะงักที่ชายแดน เมื่อกองทัพชิงได้ถูกโอบล้อมอย่างสมบูรณ์ ผู้บัญชาการภาคสนามของทั้งสองฝ่ายจึงได้บรรลุข้อตกลงสงบศึกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1769 กองทัพชิงได้จัดกำลังทหารจำนวนมากในพื้นที่ชายแดนยูนหนานเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ เพื่อพยายามก่อสงครามอีกครั้ง พร้อมกับประกาศห้ามการค้าระหว่างประเทศเป็นเวลาสองทศวรรษ เมื่อพม่าและจีนได้กลับมามีความสัมพันธ์ทางการฑูตอีกครั้งใน ค.ศ. 1790 รัฐบาลชิงได้ถือเอาการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการยอมจำนนของพม่าฝ่ายเดียว และอ้างว่าได้รับชัยชนะ จักรพรรดิเฉียนหลงทรงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อพันมีดแก่แม่ทัพชาวแมนจูนามว่า เอ้อเอ๋อร์เติงเอ๋อ หลังจากที่แม่ทัพของพระองค์นามว่า เหมิงรุ่ย ได้พ่ายแพ้ในยุทธการที่เม-มโหย่ในสงครามจีน-พม่าใน ค.ศ. 1768 เพราะเอ้อเอ๋อร์เติงเอ๋อไม่สามารถช่วยเหลือแก่เหมิงรุ่ยที่กำลังถูกโอบล้อมได้ เมื่อเขาไม่ได้เข้ารวมพล
สถานการณ์ในเวียดนามก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1787 จักรพรรดิเลเจียวโท้ง (Lê Chiêu Thống, 黎昭統) ผู้ปกครองคนสุดท้ายของราชวงศ์เลของเวียดนาม ได้หลบหนีออกจากเวียดนามและร้องขออย่างเป็นทางการให้กอบกู้ราชบังลังก์ที่เมืองทังลอง(ฮานอยในปัจจุบัน) จักรพรรดิเฉียนหลงทรงเห็บชอบและส่งกองทัพขนาดใหญ่เข้าไปในเวียดนามเพื่อขับไล่พวกเต็ยเซิน(กลุ่มกบฎที่ยึดครองเวียดนามทั้งหมด) เมืองหลวงคือทังลองได้ถูกพิชิตใน ค.ศ. 1788 แต่ไม่กี่เดือนต่อมา กองทัพชิงก็ได้พ่ายแพ้ และการบุกครองกลายเป็นความพ่ายแพ้ เนื่องจากการโจมตีแบบกระทันหันในช่วงเทศกาลวันตรุษ(วันปีใหม่ของเวียดนาม) โดยเหงียนเหวะ หนึ่งในสามพี่น้องตระกูลเต็ยเซินที่มีความสามารถมากที่สุด จักรวรรดิชิงจึงไม่สนับสนุนจักรพรรดิเลเจียวโท้งอีกต่อไปและราชวงศ์ของเขาถูกคุมขังอยู่ในเวียดนาม ราชวงศ์ชิงก็ไม่ได้เข้าแทรกแซงเวียดนามอีกเป็นเวลา 90 ปี
แม้จะมีอุปสรรคทางตอนใต้ แต่การขยายกำลังทหารของจักรพรรดิเฉียนหลงโดยรวมแล้วกลับทำให้พื้นที่ของจักรวรรดิชิงอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่แล้วเกือบสองเท่า และรวบรวมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ชาวฮั่นจำนวนมากเข้าด้วยกัน เช่น ชาวอุยกูร์ คาซัค คีร์กีซ ออลูกูญ่า(Evenks) และมองโกล นับเป็นภารกิจที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล เงินทุนในคลังหลวงเกือบทั้งหมดถูกนำไปใช้ในภารกิจทางทหาร แม้ว่าสงครามจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น กองทัพชิงเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัดและเผชิญกับศัตรูได้ยากลำบาก การรบกับชาวเขาจินฉวนใช้เวลา 2-3 ปี ในตอนแรกกองทัพชิงถูกโจมตีอย่างหนัก แม้ว่าเยว่ จงฉี (ลูกหลานของเยว่ เฟย) จะเข้าควบคุมสถานการณ์ในภายหลัง การต่อสู้กับชาวซุงการ์เป็นไปอย่างดุเดือดและสร้างความสูญเสียอย่างหนักให้กับทั้งสองฝ่าย
การกบฏของชาวอุชในปี พ.ศ. 2308 โดยชาวมุสลิมอุยกูร์ต่อชาวแมนจู เกิดขึ้นหลังจากผู้หญิงชาวอุยกูร์ถูกข่มขืนโดยคนรับใช้และบุตรชายของซูเฉิง ข้าราชการชาวแมนจู กล่าวกันว่าชาวมุสลิมอุชต้องการนอนบนหนังของ [ซูเฉิงและบุตรชาย] และกินเนื้อของพวกเขามานานแล้ว เนื่องจากการข่มขืนผู้หญิงมุสลิมอุยกูร์เป็นเวลาหลายเดือนโดยซูเฉิง เจ้าหน้าที่ชาวแมนจูและบุตรชายของเขา จักรพรรดิเฉียนหลงแห่งแมนจูได้รับสั่งให้สังหารหมู่กบฏชาวอุยกูร์ไปทั่วเมือง กองกำลังชิงได้จับเด็กและสตรีชาวอุยกูร์ไปเป็นทาส และสังหารชายชาวอุยกูร์ ทหารแมนจูและข้าราชการแมนจูได้มีเพศสัมพันธ์หรือข่มขืนสตรีอุยกูร์เป็นประจำ ทำให้เกิดความเกลียดชังและความโกรธแค้นต่อการปกครองของชาวแมนจูในหมู่ชาวมุสลิมอุยกูร์อย่างมาก การบุกครองโดยจาฮังกิร์ โคจา ได้เกิดขึ้นโดยข้าราชการชาวแมนจูคนหนึ่งนามว่า บินจิง ซึ่งได้ข่มขืนบุตรสาวชาวมุสลิมแห่งโคคานอัคซากัล ตั้งแต่ ค.ศ. 1818 ถึง 1820 ราชวงศ์ชิงได้พยายามปกปิดการข่มขืนสตรีชาวอุยกูร์โดยชาวแมนจู เพื่อป้องกันไม่ให้ความโกรธแค้นต่อการปกครองของพวกเขาแพร่กระจายไปในหมู่ชาวอุยกูร์
เมื่อสงครามชายแดนได้สิ้นสุดลง กองทัพชิงได้อ่อนแอลงอย่างมาก นอกจากนี้ระบบทางทหารที่ผ่อนปรนมากขึ้นแล้ว เหล่าขุนศึกต่างก็พอใจกับวิถีชีวิตของตนเอง เนื่องจากสงครามได้เกิดขึ้นแล้ว เหล่าขุนศึกจึงไม่มองเห็นถึงเหตุผลที่จะต้องฝึกฝนกองทัพอีกต่อไป ส่งผลให้กองทัพเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วในช่วงปลายรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กองทัพชิงไม่สามารถปราบปรามกบฎดอกบัวขาวได้ ซึ่งได้เริ่มต้นในช่วงปลายรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงและต่อเนื่องมาจนถึงรัชสมัยจักรพรรดิเจียชิ่ง
ความสำเร็จทางวัฒนธรรม
[แก้]จักรพรรดิเฉียนหลงก็เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของพระองค์ ทรงให้ความสำคัญกับบทบาททางวัฒนธรรมของพระองค์อย่างจริงจัง ประการแรก พระองค์ทรงทำงานเพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาวแมนจู ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นรากฐานของศีลธรรมของชาวแมนจู และด้วยเหตุนี้จึงทรงเป็นรากฐานของอำนาจราชวงศ์ พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการให้รวบรวมลำดับวงศ์ตระกูล ประวัติศาสตร์ และคู่มือพิธีกรรมในภาษาแมนจู และในปี ค.ศ. 1747 ทรงมีพระบรมราชโองการอย่างลับๆ ให้รวบรวมประมวลกฎหมายชามาน ซึ่งต่อมาได้ตีพิมพ์ในหอสมุดสมบัติทั้งสี่ฉบับสมบูรณ์(ซือกู่เฉวียนชู่) พระองค์ทรงตอกย้ำความยิ่งใหญ่ทางวัฒนธรรมและศาสนาของราชวงศ์ในเอเชียกลาง โดยทรงมีพระราชโองการให้สร้างแบบจำลองพระราชวังโปตาลาของทิเบต วัดผู่โถวจงเฉิง ขึ้นบนพื้นที่ของพระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิในเฉิงเต๋อ เพื่อนำเสนอพระองค์ในเชิงพุทธศาสนาเพื่อเอาใจชาวมองโกลและชาวทิเบต พระองค์ทรงสั่งให้สร้างทางกา หรือภาพเขียนศักดิ์สิทธิ์ โดยวาดภาพพระองค์ในฐานะพระมัญชุศรีช พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา เขายังเป็นกวีและนักเขียนเรียงความอีกด้วย ผลงานรวมเล่มของเขาซึ่งตีพิมพ์เป็นสิบชุดระหว่างปี ค.ศ. 1749 ถึง 1800 ประกอบด้วยบทกวีมากกว่า 40,000 บท และร้อยแก้ว 1,300 บท ซึ่งหากเขาแต่งทั้งหมด จะทำให้เขาเป็นนักเขียนที่มีผลงานมากที่สุดคนหนึ่งตลอดกาล
จักรพรรดิเฉียนหลงทรงเป็นผู้อุปถัมภ์หลักและ “ผู้รักษาและฟื้นฟู” วัฒนธรรมขงจื๊อคนสำคัญ พระองค์ทรงกระหายการสะสมอย่างไม่รู้จักพอ จึงทรงครอบครอง “ของสะสมส่วนตัวอันยิ่งใหญ่” ของจีนไว้มากมายด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามที่จำเป็น และ “ทรงนำสมบัติเหล่านั้นกลับคืนสู่คลังสมบัติของจักรพรรดิ” พระองค์ทรงจัดตั้งทีมที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมเพื่อช่วยค้นหาของสะสมของครอบครัวพ่อค้าที่ต้องการขายหรือทายาทที่หมดความสนใจ บางครั้งพระองค์ทรงกดดันหรือบังคับให้ข้าราชการผู้มั่งคั่งมอบของมีค่า โดยเสนอที่จะแก้ตัวหากพวกเขามอบ “ของกำนัล” บางอย่างให้ หลายครั้งพระองค์ตรัสว่าภาพวาดจะปลอดภัยจากการโจรกรรมหรือไฟไหม้ได้ก็ต่อเมื่อนำเข้าไปในพระราชวังต้องห้าม
คอลเลกชันงานศิลปะจำนวนมหาศาลของจักรพรรดิได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพระองค์อย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงนำจิตรกรรมภูมิทัศน์ติดตัวไปด้วยในระหว่างการเดินทางเพื่อเปรียบเทียบกับทิวทัศน์จริง หรือเพื่อนำไปแขวนไว้ในห้องพิเศษในพระราชวังที่พระองค์ประทับ เพื่อจะจารึกไว้ในทุกครั้งที่เสด็จเยือน พระองค์ยังทรงเพิ่มจารึกบทกวีลงในภาพวาดของสะสมของจักรพรรดิอย่างสม่ำเสมอ ตามแบบอย่างของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่งและจิตรกรผู้รอบรู้แห่งราชวงศ์หมิง จารึกเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของผลงาน และเป็นสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดถึงบทบาทอันชอบธรรมของพระองค์ในฐานะจักรพรรดิ จารึกอีกประเภทหนึ่งที่ทรงอุทิศแด่จักรพรรดิเฉียนหลงโดยเฉพาะ เผยให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติอันเป็นเอกลักษณ์ในการจัดการกับงานศิลปะที่พระองค์ดูเหมือนจะทรงพัฒนาขึ้นเพื่อพระองค์เอง ในบางโอกาส พระองค์ได้ทรงพินิจพิเคราะห์ภาพวาดหรืองานเขียนอักษรวิจิตรจำนวนหนึ่งที่มีความหมายพิเศษสำหรับพระองค์ โดยจารึกแต่ละภาพเป็นประจำ โดยส่วนใหญ่มีบันทึกส่วนตัวเกี่ยวกับสถานการณ์การชื่นชมผลงานเหล่านั้น ซึ่งเปรียบเสมือนบันทึกประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักรพรรดิเฉียนหลงทรงประดิษฐานผลงานอักษรวิจิตรสามชิ้นไว้ในหอสามสิ่งหายาก (ซานซีถัง) ซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ภายในหอบ่มเพาะพลังจิต ได้แก่ ผลงาน "Timely Clearing After Snowfall" ของหวัง ซีจือ จากราชวงศ์จิ้น “Mid-Autumn” โดย Wang Xianzhi บุตรชายของเขา และ “Letter to Boyuan” โดยหวัง ซุน
หยกหลายพันชิ้นในคอลเลกชันของจักรพรรดิส่วนใหญ่มีอายุย้อนไปถึงรัชสมัยของพระองค์ จักรพรรดิยังทรงสนพระทัยเป็นพิเศษในการสะสมสำริดโบราณ กระจกสำริด และตราประทับ นอกเหนือจากเครื่องปั้นดินเผา [เซรามิกและศิลปะประยุกต์ เช่น การเคลือบ งานโลหะ และงานเคลือบแล็กเกอร์ ซึ่งเฟื่องฟูในรัชสมัยของพระองค์ คอลเลกชันส่วนใหญ่ของพระองค์อยู่ในมูลนิธิเพอร์ซิวัลเดวิดในลอนดอน พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ตและพิพิธภัณฑ์บริติชยังมีคอลเลกชันงานศิลปะจากยุคเฉียนหลงอีกด้วย
หนึ่งในโครงการอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการรวบรวมทีมนักวิชาการเพื่อรวบรวม เรียบเรียง และพิมพ์คอลเล็กชันปรัชญา ประวัติศาสตร์ และวรรณกรรมจีนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ห้องสมุดแห่งนี้รู้จักกันในชื่อ คลังสมบัติทั้งสี่ (หรือ ซือกู่เฉวียนชู่) ได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่ม 36,000 เล่ม ประกอบด้วยผลงานที่สมบูรณ์ประมาณ 3,450 ชิ้น และมีพนักงานคัดลอกมากถึง 15,000 คน ห้องสมุดแห่งนี้เก็บรักษาหนังสือไว้มากมาย แต่ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาและปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง จึงต้อง "ตรวจสอบห้องสมุดเอกชนอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อรวบรวมรายชื่อผลงานในอดีตประมาณหนึ่งหมื่นหนึ่งพันชิ้น ซึ่งประมาณหนึ่งในสามได้รับการคัดเลือกเพื่อตีพิมพ์ ผลงานที่ไม่ได้รวมอยู่ในห้องสมุดนี้ถูกสรุป หรือในหลายกรณี ถูกกำหนดให้ทำลาย"
การเผาหนังสือและการแก้ไขข้อความ
[แก้]มีงานเขียนราว 2,300 ชิ้นที่ถูกขึ้นบัญชีให้ปิดบังทั้งหมด และอีก 350 ชิ้นที่ถูกขึ้นบัญชีให้ปิดบังบางส่วน จุดประสงค์คือการทำลายงานเขียนที่ต่อต้านราชวงศ์ชิงหรือเป็นกบฏ ดูหมิ่นราชวงศ์ "อนารยชน" ในอดีต หรือที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนหรือการป้องกันประเทศ การแก้ไขห้องสมุดสมบัติทั้งสี่ฉบับสมบูรณ์เสร็จสมบูรณ์ภายในเวลาประมาณสิบปี ในช่วงเวลาสิบปีนี้ มีหนังสือจำนวน 3,100 เล่ม (หรือหลายเล่ม) ถูกเผาหรือสั่งห้ามพิมพ์ ในบรรดาหนังสือที่ถูกจัดอยู่ในห้องสมุดสมบัติทั้งสี่ฉบับสมบูรณ์ หลายเล่มถูกลบและแก้ไข หนังสือที่ตีพิมพ์ในสมัยราชวงศ์หมิงได้รับความเสียหายมากที่สุด
ผู้มีอำนาจจะตัดสินความเป็นกลางของตัวละครตัวใดตัวหนึ่งหรือประโยคตัวใดตัวหนึ่ง หากผู้มีอำนาจได้ให้การตัดสินว่าคำพูดหรือประโยคเหล่านี้ได้ดูหมิ่นหรือเยาะเย้ยผู้ปกครอง การข่มเหงก็จะเริ่มต้นขึ้น ในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง มีคดีการสอบสวนวรรณกรรม 53 คดี ซึ่งส่งผลให้เหยื่อถูกประหารชีวิตโดยการตัดศรีษะหรือการเฉือนเนื้อพันมีด (หลิงฉือ) หรือถูกทำให้พิการ (หากศพของพวกเขาได้ตายไปแล้ว)
ผลงานวรรณกรรม
[แก้]ในปี ค.ศ. 1743 ภายหลังจากที่พระองค์ทรงเสด็จเยือนมุกเด็น (ปัจจุบันคือเฉิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง) เป็นครั้งแรก จักรพรรดิเฉียนหลงทรงใช้ภาษาจีนประพันธ์ "[บทกวีสรรเสริญมุกเด็น" (Shengjing fu/Mukden-i fujurun bithe) ซึ่งเป็นบทกวีคลาสสิก เพื่อสรรเสริญมุกเด็น ซึ่งในขณะนั้นใช้เป็นคำเรียกทั่วไปของสิ่งที่ต่อมาเรียกว่าแมนจูเรีย โดยบรรยายถึงความงดงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของแมนจูเรีย พระองค์ทรงพรรณนาถึงภูเขาและสัตว์ป่า เพื่อยืนยันความเชื่อของพระองค์ว่าราชวงศ์จะคงอยู่ต่อไป ต่อมาจึงมีการแปลภาษาแมนจู ในปี ค.ศ. 1748 พระองค์ทรงรับสั่งให้พิมพ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 100 ปี ทั้งภาษาจีนและแมนจู โดยใช้รูปแบบและแบบแมนจูแท้ๆ ก่อนยุคฉิน ซึ่งต้องประดิษฐ์ขึ้นเองและไม่สามารถอ่านได้
ภาษา
[แก้]ในวัยพระเยาว์ จักรพรรดิเฉียนหลงทรงได้รับการสั่งสอนภาษาแมนจู ภาษาจีน และภาษามองโกเลีย และได้รับการสอนภาษาทิเบต และทรงพูดภาษาชากาทาย (ภาษาทือร์กีหรือภาษาอุยกูร์สมัยใหม่) อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงห่วงใยยิ่งกว่าบรรพบุรุษในการอนุรักษ์และส่งเสริมภาษาแมนจูในหมู่สาวกของพระองค์ โดยทรงประกาศว่า "รากฐานของชาวแมนจูคือภาษา" พระองค์ทรงมอบหมายให้จัดทำพจนานุกรมแมนจูฉบับใหม่ และทรงสั่งการจัดทำพจนานุกรมเพนตากลอต (Pentaglot Dictionary) ซึ่งให้คำศัพท์ที่เทียบเท่ากับภาษาแมนจูในภาษามองโกเลีย ทิเบต และภาษาเตอร์กิช และทรงแปลคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเป็นภาษาแมนจู ซึ่งถือเป็น "ภาษาประจำชาติ" พระองค์ทรงสั่งการให้กำจัดคำยืมจากภาษาจีน และแทนที่ด้วยคำแปลแบบแคลก ซึ่งถูกบรรจุลงในพจนานุกรมแมนจูฉบับใหม่ การแปลผลงานภาษาจีนของแมนจูในรัชสมัยของพระองค์มีความแตกต่างจากหนังสือแมนจูที่เชื่อกันว่าเป็นหนังสือของจักรพรรดิคังซีในรัชสมัยของพระองค์ ซึ่งเป็นเพียงตำราภาษาจีนที่เขียนด้วยอักษรแมนจู
จักรพรรดิเฉียนหลงทรงมอบหมายให้ทำ Qin ding Xiyu Tongwen Zhi (欽定西域同文志; "พจนานุกรมภูมิภาคตะวันตกของจักรวรรดิ") ซึ่งเป็นพจนานุกรมชื่อทางภูมิศาสตร์ในซินเจียง ในภาษาชนเผ่ามองโกลหว่าล่า แมนจู จีน ทิเบต และตุรกี (อุยกูร์สมัยใหม่)
ศาสนาพุทธแบบทิเบต
[แก้]จักรพรรดิเฉียนหลงทรงแสดงความศรัทธาส่วนพระองค์ในพุทธศาสนาแบบทิเบต โดยยึดถือประเพณีของผู้ปกครองชาวแมนจูที่เชื่อมโยงกับพระโพธิสัตว์มัญชุศรี พระองค์ยังคงอุปถัมภ์ศิลปะพุทธศาสนาแบบทิเบต และทรงสั่งให้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นภาษาแมนจู บันทึกราชสำนักและแหล่งข้อมูลภาษาทิเบตยืนยันถึงความมุ่งมั่นส่วนพระองค์ พระองค์ทรงเรียนรู้การอ่านภาษาทิเบตและศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนาอย่างขยันขันแข็ง ความเชื่อของพระองค์สะท้อนให้เห็นในภาพพระบรมศพของพระองค์ ซึ่งอาจเป็นการแสดงออกถึงความเป็นส่วนตัวและความเป็นส่วนตัวที่สุดของจักรพรรดิ พระองค์ทรงสนับสนุนให้นิกายหมวกเหลือง (นิกายเกลุกของชาวพุทธทิเบต) "รักษาสันติภาพในหมู่ชาวมองโกล" เนื่องจากชาวมองโกลเป็นสาวกขององค์ทะไลลามะและพระแป็นเช็นลามะแห่งนิกายหมวกเหลือง พระองค์ยังตรัสอีกว่า "เพียงเพราะนโยบายของเราในการแผ่ความรักใคร่ต่อผู้ที่อ่อนแอ" ที่ทำให้พระองค์อุปถัมภ์นิกายหมวกเหลือง
ในปี ค.ศ. 1744 พระองค์ได้เปลี่ยนวังแห่งสันติภาพและความกลมเกลียว (วังยงเหอ) ให้เป็นวัดพุทธทิเบตสำหรับชาวมองโกล เพื่ออธิบายเหตุผลเชิงปฏิบัติในการสนับสนุน "หมวกเหลือง" ชาวพุทธทิเบต และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวจีนฮั่น พระองค์จึงทรงให้สลักศิลาจารึก "ลามะซัว" ในภาษาทิเบต มองโกล แมนจู และจีน ซึ่งระบุว่า "ด้วยการอุปถัมภ์นิกายหมวกเหลือง เราธำรงไว้ซึ่งสันติภาพในหมู่ชาวมองโกล นี่เป็นภารกิจสำคัญที่เราต้องปกป้อง (ศาสนา) นี้ (ในการทำเช่นนี้) เราไม่ได้แสดงอคติใดๆ และเราไม่ต้องการยกย่องนักบวชทิเบต (เช่นเดียวกับที่เคยทำในสมัยราชวงศ์หยวน)"
Mark Elliott ได้ให้ข้อสรุปว่าการกระทำเหล่านี้ส่งผลดีทางการเมือง แต่ "สอดคล้องกับศรัทธาส่วนพระองค์ของพระองค์ได้อย่างลงตัว"
กฏหมายต่อต้านศาสนาอิสลาม
[แก้]นโยบายของราชวงศ์ชิงเกี่ยวกับชาวมุสลิมและศาสนาอิสลามได้รับการเปลี่ยนแปลงในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซี หย่งเจิ้ง และเฉียนหลง ขณะที่จักรพรรดิคังซีทรงประกาศว่าชาวมุสลิมและชาวฮั่นมีความเท่าเทียมกัน พระราชนัดดาของพระองค์ จักรพรรดิเฉียนหลง กลับทรงสนับสนุนคำแนะนำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่ราชวงศ์ฮั่นต่อการปฏิบัติต่อชาวมุสลิม จักรพรรดิคังซีตรัสว่าชาวมุสลิมและชาวฮั่นมีความเท่าเทียมกันเมื่อประชาชนเรียกร้องให้ปฏิบัติต่อชาวมุสลิมต่างกัน จักรพรรดิหย่งเจิ้งทรงมีความเห็นว่า "ศาสนาอิสลามเป็นเรื่องโง่เขลา แต่พระองค์รู้สึกว่ามันไม่ใช่ภัยคุกคาม" เมื่อผู้พิพากษาในมณฑลซานตงยื่นคำร้องต่อพระองค์เพื่อทำลายมัสยิดและสั่งห้ามศาสนาอิสลาม ต่อมาจักรพรรดิหย่งเจิ้งได้ไล่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งออกเนื่องจากเรียกร้องให้ลงโทษชาวมุสลิมอย่างรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม
นโยบายนี้เปลี่ยนไปในรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง เฉินหงโหมว ข้าราชการราชวงศ์ชิง กล่าวว่าชาวมุสลิมจำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายและระเบียบโดยการลงโทษที่รุนแรงขึ้นและกล่าวโทษผู้นำมุสลิมสำหรับพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายของชาวมุสลิมในจดหมายถึงคณะกรรมการลงโทษที่เรียกว่า พันธสัญญาเพื่อสั่งสอนและตักเตือนชาวมุสลิม ซึ่งเขาเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1751 แม้ว่าคณะกรรมการลงโทษจะไม่ได้ดำเนินการใดๆ แต่ในปี ค.ศ. 1762 ข้าหลวงใหญ่แห่งมณฑลส่านซี-กานซู่ได้ดำเนินการตามคำแนะนำของเขาและลงโทษอาชญากรชาวมุสลิมอย่างรุนแรงมากกว่าชาวจีนฮั่น เขายังดำเนินนโยบายที่การกระทำผิดกฎหมายของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในมัสยิดจะส่งผลให้อิหม่ามของพวกเขาต้องถูกลงโทษและต้องรับผิดชอบต่อการกระทำเหล่านั้น นโยบายต่อต้านมุสลิมเหล่านี้โดยผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับการรับรองจากจักรพรรดิเฉียนหลง
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นกับชาวมุสลิมจีน เช่น การที่ชาวฮุยได้นำลัทธิศูฟีที่เรียกว่า “นาคชบันดี” เข้ามาสู่ศาสนา ทำให้จักรพรรดิเฉียนหลงมีท่าทีแข็งกร้าวต่อชาวมุสลิม ซึ่งต่างจากปู่และบิดาของพระองค์ ส่งผลให้ชาวฮุยและโลกอิสลามจากตะวันตกมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ลัทธินาคชบันดียะห์ได้แผ่ขยายมายังชาวฮุยทางตะวันออก เมื่อนักวิชาการชาวหุยในซูโจวได้เปลี่ยนมานับถือนาคชบันดียะห์โดยมุฮัมมัด ยูซุฟ โคจา อาฟัก โคจา บุตรชายของมุฮัมมัด ยูซุฟ ได้เผยแพร่ลัทธินาคชบันดีในหมู่ชาวมุสลิมจีน เช่น ชาวมุสลิมทิเบต ซาลาร์ ฮุย และกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมอื่นๆ ในเหอโจว กานซู (ปัจจุบันคือหลินเซีย) และซีหนิงในชิงไห่และหลานโจว หม่า ไล้จี๋ เป็นผู้นำของลัทธิเหล่านี้ และได้ศึกษาด้วยตนเองในโลกอิสลามที่เมืองบูคาราเพื่อศึกษาลัทธิซูฟี เยเมน และที่เมกกะ ซึ่งท่านได้รับการสอนโดยมุวลานา มัคดัม สิ่งนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงในหมู่ชาวมุสลิมจีน ในการโต้เถียงกันเรื่องการละศีลอดในช่วงรอมฎอน มาไลจีกล่าวว่าก่อนละหมาดในมัสยิด ควรละศีลอด ไม่ใช่ละศีลอดในทางกลับกัน ซึ่งนำไปสู่การที่เขาได้ผู้เปลี่ยนมานับถือนัคชบันดีจำนวนมากจากซาลาร์หุยและเติร์ก เรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลในปี ค.ศ. 1731 เมื่อชาวมุสลิมที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับวิธีการละศีลอดรอมฎอนได้ยื่นฟ้อง ฝ่ายโจทก์ชาวมุสลิมได้รับคำสั่งจากศาลให้แก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับการถือศีลอดรอมฎอน ข้อพิพาทไม่ได้รับการแก้ไขและยังคงดำเนินต่อไป และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นด้วยข้อพิพาทอื่นๆ เช่น วิธีการปฏิบัติซิกรในศาสนาซูฟี การร้องเพลงญะฮ์รี (เสียงร้อง) ตามที่สอนโดยมา หมิงซิน ซูฟีอีกคนหนึ่งที่ศึกษาในดินแดนอิสลามตะวันตก เช่น บุคอรอ หรือคูฟี (เงียบ) เช่นเดียวกับที่มา ไลจี สอน ซาบิด นัคชบันดียะห์ในเยเมนได้สอนมา หมิงซิน เป็นเวลาสองทศวรรษ[33] พวกเขาสอนการซิกิรฺด้วยวาจา หม่า หมิงซิน ยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมุสลิมตะวันออกกลาง ขบวนการฟื้นฟูในหมู่ชาวมุสลิม เช่น ชาวซาอุดีอาระเบียที่เป็นพันธมิตรกับมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ การฟื้นฟูทัจดิยฺครั้งนี้มีอิทธิพลต่อหม่า หมิงซิน ในเยเมน
ขณะที่หม่าหมิงซินอยู่ในเยเมนและอยู่ห่างจากจีน ดินแดนมุสลิมในเอเชียตอนในทั้งหมดถูกราชวงศ์ชิง “นอกรีต” ยึดครอง ทำให้สถานการณ์และมุมมองของเขายิ่งมีความสำคัญมากขึ้น หม่า ไหลจือ และหม่า หมิงซิน ได้ฟ้องร้องกันในศาลอีกครั้ง แต่ครั้งที่สองนี้ ราชวงศ์ชิงได้ตัดสินให้ฝ่ายซิคร์ (Silentist Khafiyya) ของหม่า ไหลจือ ชนะ และยกสถานะเป็นนิกายออร์โธดอกซ์ ในขณะที่ประณามฝ่ายอฺยาห์รียะฮ์ (Aloudist Jahriyya) ของหม่า หมิงซิน ว่านอกรีต หม่า หมิงซิน เพิกเฉยต่อคำสั่งและยังคงชักชวนให้เปลี่ยนศาสนาในมณฑลส่านซี หนิงเซี่ย และซินเจียง โดยเดินทางจากเหอโจวไปยังกว่างชวนในปี ค.ศ. 1769 หลังจากถูกขับไล่และสั่งห้ามไม่ให้เข้าเขตซุนหัว ชาวเติร์กซาลาร์ในซุนหัวยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของเขาแม้หลังจากที่ราชวงศ์ชิงสั่งห้ามเขาออกจากที่นั่น และเขายังคงมีคดีความและปัญหาทางกฎหมายกับคอฟิยยะและหม่า ไหลจือ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราชวงศ์ชิงให้การสนับสนุนคอฟิยยะฮ์
การสู้รบอันดุเดือดที่ขุนนางราชวงศ์ชิงและผู้ติดตามคาฟิยะห์ถูกสังหารหมู่หนึ่งร้อยคนจากการจู่โจมของจักรพรรดิญะห์รียะฮ์ ซึ่งนำโดยซู สี่สิบสาม ผู้สนับสนุนหม่าหมิงซินในปี ค.ศ. 1781 ส่งผลให้หม่าหมิงซินประกาศเป็นกบฏและถูกคุมขังในหลานโจว ราชวงศ์ชิงได้ประหารชีวิตหม่าหมิงซินหลังจากที่ผู้ติดตามติดอาวุธของซู สี่สิบสามเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขา ต่อมาเกิดการกบฏของจักรพรรดิญะห์รียะฮ์ขึ้นทั่วภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนหลังจากที่หม่าหมิงซินถูกประหารชีวิต ชาวแมนจูในปักกิ่งจึงส่งอากุย เลขาธิการใหญ่ของแมนจู พร้อมกองพันหนึ่งไปสังหารหัวหน้าเผ่าจะห์รียะฮ์ และเนรเทศผู้ติดตามนิกายซูฟีไปยังพื้นที่ชายแดน
3 ปีหลังจากนั้น เทียนหวู่ได้เป็นผู้นำการกบฏของราชวงศ์จารียะฮ์อีกครั้ง ซึ่งถูกปราบปรามโดยราชวงศ์ชิง และหม่าต้าเทียน ผู้นำลำดับที่ 3 ของราชวงศ์จารียะฮ์ ถูกราชวงศ์ชิงเนรเทศไปยังแมนจูเรียในปี พ.ศ. 2361 และเสียชีวิต
ความขัดแย้งที่สะสมอย่างต่อเนื่องระหว่างชาวมุสลิมและราชสำนักชิงนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบในศตวรรษที่ 19 โดยมีการก่อกบฏของชาวมุสลิมต่อต้านราชวงศ์ชิงในภาคใต้และภาคเหนือของจีน การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของชาวแมนจูที่มีต่อชาวมุสลิม จากการที่ยอมรับชาวมุสลิมและถือว่าพวกเขาเท่าเทียมกับชาวจีนฮั่นก่อนคริสต์ศักราช 1760 ไปสู่ความรุนแรงระหว่างรัฐชิงและชาวมุสลิมหลังคริสต์ศักราช 1760 เป็นผลมาจากการมีส่วนร่วมอย่างก้าวหน้าของราชวงศ์ชิงในความขัดแย้งระหว่างญะฮ์รียะฮ์และคาฟียะฮ์ของนิกายซูฟี ทำให้ราชวงศ์ชิงไม่สามารถรักษาวาทกรรมเรื่องความเท่าเทียมกันของชาวมุสลิมไว้ได้อีกต่อไป ราชสำนักแมนจูภายใต้การนำของเฉียนหลงเริ่มอนุมัติและบังคับใช้กฎหมายต่อต้านชาวมุสลิมของเฉินหงโหมว ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาของตน และความรุนแรงโดยรัฐชิง ความรุนแรงระหว่างชุมชนระหว่างญะฮ์รียะฮ์และคาฟียะฮ์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการขยายตัวครั้งใหญ่ของญะฮ์รียะฮ์
นโยบายของเฉินหงโหมวถูกบังคับใช้เป็นกฎหมายในปี ค.ศ. 1762 โดยคณะกรรมการลงโทษของรัฐบาลชิงและจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง นำไปสู่ความตึงเครียดอย่างรุนแรงกับชาวมุสลิม ทางการรัฐได้รับมอบหมายให้รับรายงานพฤติกรรมอาชญากรรมของชาวมุสลิมทั้งหมดจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และพฤติกรรมอาชญากรรมทั้งหมดของชาวมุสลิมต้องรายงานโดยผู้นำชาวมุสลิมต่อเจ้าหน้าที่ชิงภายใต้กฎหมายเหล่านี้ ส่งผลให้มีรายงานต่อต้านชาวมุสลิมจำนวนมากที่ยื่นต่อสำนักงานต่างๆ ในราชวงศ์ชิง เนื่องจากศาลชิงได้รับข้อมูลว่าชาวมุสลิมมีพฤติกรรมรุนแรงโดยกำเนิด และโจรชาวมุสลิมกำลังก่ออาชญากรรม โดยรายงานแล้วรายงานเล่าโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และอาชญากรรมของชาวมุสลิมก็ถูกบันทึกในศาลอย่างล้นหลาม ราชวงศ์ชิงยิ่งต่อต้านชาวมุสลิมมากขึ้นหลังจากได้รับรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมอาชญากรรมเหล่านี้ และเริ่มออกกฎหมายต่อต้านชาวมุสลิมมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ หากพบอาวุธใดๆ ในกลุ่มชาวมุสลิมตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ชาวมุสลิมเหล่านั้นทั้งหมดจะถูกศาลชิงตัดสินว่าเป็นอาชญากร
ราชสำนักชิงแมนจูของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์แมนจูในช่วงทศวรรษ 1770 ได้กำหนดประเภทอาชญากรรมใหม่ คือ การทะเลาะวิวาท (dou'ou) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะมาตรการต่อต้านมุสลิมเพื่อจับกุมชาวมุสลิม ส่งผลให้แม้แต่ชาวมุสลิมที่ไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์ญะห์รียะฮ์ (Jahriyah) ก็ยังร่วมมือกับราชวงศ์ญะห์รียะฮ์เพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิง และทำให้ราชสำนักชิงยิ่งต่อต้านมุสลิมมากขึ้นไปอีก โดยหวั่นเกรงการก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์ชิงของชาวมุสลิม นำไปสู่การประหารชีวิตหม่าหมิงซินในปี 1781 ความรุนแรงและกบฏยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากขาดข้อมูลข่าวสารของราชวงศ์ชิง เจ้าหน้าที่ราชวงศ์ชิงผู้ได้รับมอบหมายให้ยุติความรุนแรงระหว่างราชวงศ์ญะห์รียะฮ์และคาฟียะฮ์ ถูกเข้าใจผิดคิดว่าคนที่เขากำลังพูดคุยด้วยคือคาฟียะฮ์ ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขาคือราชวงศ์ญะห์รียะฮ์ และเขาบอกพวกเขาว่าราชวงศ์ชิงจะสังหารหมู่สาวกราชวงศ์ญะห์รียะฮ์ทั้งหมด เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เขาถูกกลุ่มญะห์รียะฮ์ลอบสังหาร ซึ่งนำไปสู่การที่ราชวงศ์ชิงส่งข้าหลวงใหญ่ชาวแมนจูนามว่า Agui ยกทัพไปปราบปรามกลุ่มญะห์รียะฮ์อย่างเต็มรูปแบบ
ชัยชนะทางทหารของราชวงศ์ชิงเหนือราชวงศ์จาห์รียะฮ์ยิ่งทำให้ราชวงศ์จาห์รียะฮ์โกรธแค้นมากขึ้นไปอีก ข้าราชการได้สังหารหมู่ชาวมุสลิมที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูของรัฐเพื่อกดดันราชสำนักชิง จนนำไปสู่การเพิ่มจำนวนสมาชิกราชวงศ์จาห์รียะฮ์ และนำไปสู่การก่อกบฏในปี ค.ศ. 1784 โดยเทียนหวู่
จักรพรรดิเฉียนหลงทรงซักถามเสนาบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ทรงงุนงงว่าชาวมุสลิมจากหลายภูมิภาครวมตัวกันก่อกบฏได้อย่างไร พระองค์ทรงถามว่าการสืบสวนพฤติกรรมของชาวมุสลิมโดยหลี่ซื่อเหยาได้รั่วไหลออกมา นำไปสู่การก่อกบฏยุยงปลุกปั่นความรุนแรง โดยบอกกับชาวมุสลิมว่ารัฐบาลจะกำจัดพวกเขาหรือไม่ พระองค์จึงทรงครุ่นคิดว่าคงไม่มีสาเหตุใดเลย และทรงซักถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเพราะเหตุใด เพื่อแก้ไขปัญหาการก่อกบฏในปี ค.ศ. 1784 ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนถูกยึดครองโดยกองทัพชิงเป็นเวลา 50 ปี จนกระทั่งกบฏไท่ผิงทางตอนใต้ของจีนบีบให้ราชวงศ์ชิงต้องย้ายพวกเขาออกจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ส่งผลให้เกิดการก่อกบฏของชาวมุสลิมครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1860 และ 1870 ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ อันเนื่องมาจากความรุนแรงที่ทวีความรุนแรงขึ้น
คำถามที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกี่ยวกับฮาลาลในศาสนาอิสลามที่ชาวพุทธมองโกลมีในศตวรรษที่ 18 เกิดจากสาเหตุต่างๆ เหล่านี้ เช่น ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนที่อยู่ติดกับมองโกเลียถูกเสริมกำลังทหาร รัฐบาลชิงประกาศอย่างเป็นทางการว่าชาวมุสลิมต่อต้านราชวงศ์ชิง และศาสนาอิสลามที่รุนแรงและฟื้นฟูกำลังเข้ามาในประเทศจีน[34]
เด็กและสตรีชาวมุสลิมหุยกว่า 1,000 คนจากนิกายซูฟีจาฮ์ริยาในมณฑลกานซูทางตะวันออก ถูกสังหารหมู่โดยนายพลนามว่า หลี่ ซื่อเหยา แห่งราชวงศ์ชิง ระหว่างการลุกฮือในปี ค.ศ. 1784 โดยจางเหวินชิงและเทียนหวู่ ชาวมุสลิมหุยจาฮ์ริยา 3 ปีหลังจากการก่อกบฏในช่วงต้นปี ค.ศ. 1781 โดยสมาชิกชาวซูฟีจาฮ์ริยา เมื่อราชวงศ์ชิงประหารชีวิตหม่าหมิงซิน ผู้นำนิกายซูฟีจาฮ์ริยา รัฐบาลชิงภายใต้การนำของเฉียนหลงได้ออกคำสั่งให้กำจัด “คำสอนใหม่” ของซูฟีจาฮ์ริยา และห้ามมิให้ชาวมุสลิมรับเด็กที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมเป็นบุตรบุญธรรม เปลี่ยนผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมให้เป็นมุสลิม และห้ามมิให้มีการสร้างมัสยิดใหม่ ชาวมุสลิม “คำสอนเก่า” ของซูฟีคาฟีบางคนยังคงรับราชการในกองทัพชิงเพื่อต่อสู้กับชาวมุสลิม “คำสอนใหม่” ของซูฟีจาฮ์ริยา แม้ว่ากฎหมายที่ห้ามมิให้พวกเขาเผยแพร่ศาสนาเหล่านั้นจะมีผลบังคับใช้กับพวกเขาด้วย[35] หลี่ชื่อเหยาเป็นสมาชิกของราชวงศ์ชิงแปดชาติและมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ชิง
ศาสนาคริสต์
[แก้]การกดขี่ข่มเหงชาวคริสเตียนมีมาตั้งแต่ในช่วงรัชสมัยจักรพรรดิยงเจิ้ง พอมาถึงรัชสมัยจักรพรรรดิเฉียงหลงก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก
พระราชวัง
[แก้]จักรพรรดิเฉียนหลงทรงเป็นผู้รับสั่งให้สร้างขึ้น พระองค์ทรงต่อเติมพระราชวังที่รู้จักกันในชื่อ “สวนแห่งแสงสว่างอันสมบูรณ์” (หรือ “หยวนหมิงหยวน” ปัจจุบันเรียกว่า “พระราชวังฤดูร้อนเดิม”) บนเนินเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ซึ่งเดิมทีทรงสร้างโดยพระราชบิดา ต่อมาทรงสร้างพระราชวังใหม่สองหลัง คือ “สวนแห่งฤดูใบไม้ผลินิรันดร์”(ฉางชุนหยวน) และ “สวนฤดูใบไม้ผลิอันสง่างาม”(ฉี่ชุนหยวน) ต่อมาพระราชวังฤดูร้อนเก่า มีเนื้อที่จำนวน 860 ตารางเอเคอร์ (350 เฮกตาร์) ซึ่งใหญ่กว่าพระราชวังต้องห้ามถึงห้าเท่า เพื่อเฉลิมฉลองพระชนมายุ 60 พรรษาของพระมารดา จักรพรรดินีฉงชิ่ง พระพันปีหลวง จักรพรรดิเฉียนหลงทรงมีรับสั่งให้ขุดลอกทะเลสาบที่ “สวนแห่งระลอกคลื่นใส” (หรือ “ชิงอี้หยวน” ปัจจุบันเรียกว่า “พระราชวังฤดูร้อน”) ตั้งชื่อทะเลสาบแห่งนี้ว่า “ทะเลสาบคุนหมิง” และบูรณะพระราชวังริมฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ
สไตล์ยุโรป
[แก้]สำหรับพระราชวังฤดูร้อนเก่า จักรพรรดิเฉียนหลงทรงมอบหมายให้จูเซปเป กัสตีโยเน นักบวชเยซูอิตชาวอิตาลี ก่อสร้างซีหยางโหลว หรือคฤหาสน์แบบตะวันตก เพื่อสนองรสนิยมในการสร้างสรรค์สิ่งก่อสร้างและวัตถุโบราณอันแปลกตา พระองค์ยังทรงมอบหมายให้มิเชล เบอนัวต์ นักบวชเยซูอิตชาวฝรั่งเศส ออกแบบระบบน้ำและน้ำพุแบบตั้งเวลา พร้อมด้วยเครื่องจักรและท่อใต้ดิน เพื่อความบันเทิงของราชวงศ์ ฌอง เดนิส อัตตีเรต์ นักบวชเยซูอิตชาวฝรั่งเศส ยังเป็นจิตรกรประจำพระองค์ด้วย ฌอง-ดามัสซีน ซัลลุสตี ยังเป็นจิตรกรประจำราชสำนักด้วย พระองค์ร่วมในการออกแบบภาพพิมพ์ทองแดงสมรภูมิรบ ร่วมกับกัสตีโยเนและอิกเนเชียส ซิเชลบาร์ต
สถาปัตยกรรมแบบอื่น ๆ
[แก้]ในรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง หอคอยมัสยิคเอหมินได้ถูกสร้างขึ้นในเมืองทูร์ฟานเพื่อรำลึกถึงเอหมิน โคจา ผู้นำชาวอุยกูร์จากทูร์ฟานที่ยอมเป็นข้ารับใช้ของจักรวรรดิชิงเพื่อขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์ชิงในการต่อสู้กับชาวซุงการ์
ทายาทของราชวงศ์หมิง
[แก้]ในปี ค.ศ. 1725 จักรพรรดิหย่งเจิ้งได้พระราชทานบรรดาศักดิ์โหวในการสืบตระกูลให้แก่ผู้สืบเชื้อสายของจู จื้อเหลียน ผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์หมิง จูยังได้รับเงินจากรัฐบาลชิงให้ประกอบพิธีกรรม ณ สุสานราชวงศ์หมิง และแต่งตั้งธงขาวธรรมดาของจีนให้เข้าร่วมในแปดธง จูได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ "ท่าวโหวแห่งความสง่างามอันยาวนาน" ในปี ค.ศ. 1750 หลังจากสิ้นพระชนม์ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์นี้สืบทอดต่อกันมา 12 ชั่วอายุคนในราชวงศ์จนกระทั่งสิ้นราชวงศ์ชิง อย่างไรก็ตาม เป็นที่ถกเถียงกันว่าแท้จริงแล้ว จู จื้อเหลียนไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เลย
ระบบกองธง
[แก้]จักรพรรดิเฉียนหลงทรงก่อตั้งนโยบาย “การทำให้เป็นชาวแมนจู” ในระบบแปดกองธง ซึ่งเป็นระบบการทหารและสังคมพื้นฐานของราชวงศ์ ในช่วงต้นยุคราชวงศ์ชิง พระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อและหวังไท่จี๋ได้จำแนกอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของชาวแมนจูและชาวฮั่นภายในระบบแปดธงตามวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภาษา แทนที่จะจำแนกตามเชื้อสายหรือลำดับวงศ์ตระกูล ชาวฮั่นเป็นส่วนสำคัญของระบบแปดธง จักรพรรดิเฉียนหลงได้เปลี่ยนนิยามนี้ให้เป็นคำว่า “เชื้อสาย” และทรงปลดกำลังพลชาวฮั่นจำนวนมาก พร้อมกระตุ้นให้ชาวแมนจูปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ภาษา และทักษะการต่อสู้ของตน จักรพรรดิได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับอัตลักษณ์ของชาวฮั่นธงโดยกล่าวว่าพวกเขาควรได้รับการมองว่ามีวัฒนธรรมเดียวกันและมีเชื้อสายบรรพบุรุษเดียวกันกับพลเรือนชาวฮั่น ในทางกลับกัน พระองค์ทรงเน้นย้ำด้านการต่อสู้ของวัฒนธรรมแมนจูและสถาปนาการล่าของจักรพรรดิประจำปีขึ้นใหม่ ซึ่งเริ่มต้นโดยปู่ของพระองค์ โดยนำกองทหารจากชาวแมนจูและมองโกลไปยังพื้นที่ล่าสัตว์มู่หลานทุกฤดูใบไม้ร่วงเพื่อทดสอบและพัฒนาทักษะของพวกเขา
ทัศนะของจักรพรรดิเฉียนหลงที่มีต่อชาวฮั่นในสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้นแตกต่างจากทัศนะของพระอัยกา โดยทรงเห็นว่าความจงรักภักดีในตัวเองเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด พระองค์ทรงสนับสนุนชีวประวัติที่พรรณนาถึงชาวฮั่นในสมัยราชวงศ์ฮั่นที่แปรพักตร์จากราชวงศ์หมิงไปสู่ราชวงศ์ชิงในฐานะผู้ทรยศและยกย่องผู้ภักดีต่อราชวงศ์หมิง รายชื่อและการละเว้นรายชื่อผู้ทรยศของจักรพรรดิเฉียนหลงบางส่วนนั้นมีลักษณะทางการเมือง การกระทำบางอย่างเหล่านี้รวมถึงหลี่หย่งฟาง (เพราะไม่ชอบหลี่ซื่อเหยา ลูกหลานของหลี่หย่งฟาง) และการขับไล่หม่าหมิงเป่ย (เพราะกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของหม่าสงเจิน บุตรชาย)
การระบุตัวตนและการใช้แทนกันได้ระหว่าง "ชาวแมนจู" และ "ชาวธง" (ฉีเหริน) เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 17 ชาวธงถูกแบ่งแยกออกจากพลเรือน (Chinese: Minren, Manchu: Irgen; or Chinese: Hanren, Manchu: Nikan) และคำว่า "ชาวธง" เริ่มมีความหมายเหมือนกับคำว่า "แมนจู" ในความเข้าใจทั่วไป จักรพรรดิเฉียนหลงทรงเรียกชาวธงทุกคนว่าแมนจู และกฎหมายของราชวงศ์ชิงไม่ได้กล่าวถึง "แมนจู" แต่กล่าวถึง "ชาวธง"
ราชวงศ์ชิงได้ย้ายกลุ่มผู้ถือธงชาวจีนฮั่นจำนวนมากเข้าสู่ธงแมนจู ทำให้เชื้อชาติของพวกเขาเปลี่ยนจากชาวจีนฮั่นเป็นชาวแมนจู ผู้ถือธงชาวจีนฮั่นที่มีพื้นเพเป็นไท่หนี่ (台尼堪) และฟู่ซีหนี่ (抚顺尼堪) ถูกย้ายเข้าสู่ธงแมนจูในปี ค.ศ. 1740 ตามพระบัญชาของจักรพรรดิเฉียนหลง ระหว่างปี ค.ศ. 1618 ถึง 1629 ชาวฮั่นจากเหลียวตง ซึ่งต่อมากลายเป็นฟู่ซีหนี่และไท่หนี่ ได้แปรพักตร์ไปอยู่กับชาวแมนจู (Jurchens)[84] ตระกูลแมนจูที่มีเชื้อสายจีนฮั่นเหล่านี้ยังคงใช้นามสกุลฮั่นดั้งเดิมของตน และถูกระบุว่ามีเชื้อสายฮั่นในรายชื่อตระกูลแมนจูของราชวงศ์ชิง[36][37][38][39]
มาตราการต่อต้านอาวุธปืน
[แก้]จักรพรรดิเฉียนหลงทรงมีพระบรมราชโองการให้ชาวโซลอนหยุดใช้ปืนไรเฟิลและฝึกยิงธนูแบบดั้งเดิมแทน จักรพรรดิทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ออกเหรียญเงินสำหรับปืนที่ส่งมอบให้แก่รัฐบาล[40]
อัตลักษณ์ทางการเมืองและนโยบายชายแดนของจีน
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การตั้งถิ่นฐานของชาวฮั่น
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
พระบรมวงศานุวงศ์
[แก้]- พระราชบิดา: จักรพรรดิยงเจิ้ง
- พระราชมารดา: จักรพรรดินีเซี่ยวเซิ่งเซี่ยน
พระภรรยาเจ้าและพระภรรยา
[แก้]พระภรรยาเจ้า
[แก้]พระอัครมเหสี (皇后)
[แก้]| พระบรมสาลิสลักษณ์ | พระนาม/พระราชอิสริยยศ | พระราชบุตร | พระราชสกุลเดิม |
|---|---|---|---|
| จักรพรรดินีเซี่ยวเสียนฉุน (孝賢純皇后)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชโอรส
พระราชธิดา
|
สกุลฟู่ฉา (富察) | |
| จักรพรรดินีจี้ (繼皇后)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชโอรส
พระราชธิดา
|
สกุลน่ารา (那拉氏) | |
| จักรพรรดินีเซี่ยวอี๋ฉุน (孝儀纯皇后)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
รัชศกเจียชิ่ง
|
พระราชโอรส
พระราชธิดา
|
สกุลเว่ยเจีย (魏佳) |
หวงกุ้ยเฟย (皇貴妃)
[แก้]| พระบรมสาลิสลักษณ์ | พระนาม/พระราชอิสริยยศ | พระราชบุตร | พระราชสกุลเดิม |
|---|---|---|---|
| ฮุ่ยเสียนหวงกุ้ยเฟย (慧賢皇貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลเกาเจีย (高佳) | ||
| เจ๋อหมิ่นหวงกุ้ยเฟย(哲憫皇貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชโอรส
พระราชธิดา
|
สกุลฟู่ฉา (富察) | |
| ฉุนฮุ่ยหวงกุ้ยเฟย (純惠皇貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชโอรส
พระราชธิดา
|
สกุลซู (蘇) | |
| ซูเจียหวงกุ้ยเฟย (淑嘉皇貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชโอรส
|
สกุลจินเจีย (金佳) | |
| ชิ่งกงหวงกุ้ยเฟย (慶恭皇貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
รัชศกเจียชิ่ง
|
หมายเหตุ ทรงเป็นแม่เลี้ยงของจักรพรรดิเจียชิ่ง | สกุลลู่ (陸) |
กุ้ยเฟย (貴妃)
[แก้]| พระบรมสาลิสลักษณ์ | พระนาม/พระราชอิสริยยศ | พระราชบุตร | พระราชสกุลเดิม |
|---|---|---|---|
| อวี๋กุ้ยเฟย (愉貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชโอรส
|
สกุลเคอหลี่เย่เท่อ (珂里葉特) | |
| หวั่นกุ้ยเฟย (婉貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
รัชศกเจียชิ่ง
|
สกุลเฉิน (陳) | ||
| ซินกุ้ยเฟย (忻貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชธิดา
|
สกุลไต้เจีย (戴佳) | |
| สวินกุ้ยเฟย (循貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
รัชศกเจียชิ่ง
|
สกุลอีเอ่อร์เกินเจวี๋ยหลัว (伊爾根覺羅) | ||
| อิ่งกุ้ยเฟย(穎貴妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
รัชศกเจียชิ่ง
|
หมายเหตุ ทรงเป็นแม่เลี้ยงขององค์หญิงเจ็ดกู้หลุนเหอชิ่ง (固倫和靜公主,1756–1775) | สกุลปาหลิน(巴鄰氏) |
เฟย (妃)
[แก้]| พระบรมสาลิสลักษณ์ | พระนาม/พระราชอิสริยยศ | พระราชบุตร | พระราชสกุลเดิม |
|---|---|---|---|
| ซูเฟย (舒妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชโอรส
|
สกุลเย่เฮ่อน่ารา (葉赫那拉) | |
| อวี้เฟย (豫妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลปั๋วเอ่อร์จี้จี๋เท่อ (博爾濟吉特) | ||
| หรงเฟย (香妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
หมายเหตุ ทรงเป็นแม่เลี้ยงขององค์หญิงสิบกู้หลุนเหอเซี่ยว(固倫和孝公主,1775–1823) | สกุลเหอจัว (和卓) | |
| จิ้นเฟย (晉妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
รัชศกเต้ากวง
|
สกุลฟู่ฉา (富察) | ||
| ตุนเฟย (惇妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
พระราชธิดา
|
สกุลหวาง (汪) | |
| ฟางเฟย (芳妃)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
รัชศกเจียชิ่ง
|
สกุลเฉิน (陳) |
ผิน (嬪)
[แก้]| พระบรมสาลิสลักษณ์ | พระนาม/พระราชอิสริยยศ | พระราชสกุลเดิม |
|---|---|---|
| อี๋ผิน (儀嬪)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกยงเจิ้ง
รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลหวง (黃) | |
| อี๋ผิน (怡嬪)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลไป๋ (柏) | |
| สวินผิน (恂嬪)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลฮั่วซั่วเท่อ (霍碩特) | |
| กงผิน (恭嬪)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลหลิน (林) | |
| เซิ่นผิน (慎嬪)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลไป้เอ่อร์ก๋าซือ (拜爾噶斯) | |
| เฉิงผิน (誠嬪)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลหนิ่วฮู่ลู่ (鈕祜祿) |
พระภรรยา
[แก้]กุ้ยเหริน (貴人)
[แก้]| ภาพเหมือน | พระนาม/พระอิสริยยศ | สกุลเดิม |
|---|---|---|
| ซุ่นกุ้ยเหริน (順貴人)
ฐานันดรศักดิ์ รัชศกเฉียนหลง
|
สกุลหนิ่วฮู่ลู่ (鈕祜祿) | |
| เอ้อกุ้ยเหริน (鄂貴人) | สกุลซีหลินเจวี๋ยหลัว (西林覺羅) | |
| โซ่วกุ้ยเหริน (壽貴人) | สกุลไป๋ (柏) | |
| รุ่ยกุ้ยเหริน (瑞貴人) | สกุลสั่วชั่วลั่ว (索綽絡) | |
| ลู่กุ้ยเหริน (祿貴人) | สกุลลู่ (陸) | |
| ไป๋กุ้ยเหริน (白貴人) | สกุลไป๋ (白) | |
| อู่กุ้ยเหริน (武貴人) | สกุลอู่ (武) | |
| จินกุ้ยเหริน (金貴人) | สกุลจิน (金) | |
| เซิ่นกุ้ยเหริน (慎貴人) | สกุลอู่ (武) | |
| ซินกุ้ยเหริน (新貴人) | ||
| ฝูกุ้ยเหริน (福貴人) | ||
| ซิ่วกุ้ยเหริน (秀貴人) | ||
| น่ากุ้ยเหริน (那貴人) |
ฉางไจ้ (常在)
[แก้]| พระนาม/พระอิสริยยศ | สกุลเดิม |
|---|---|
| ขุยฉางไจ้ (揆常在) | สกุลขุย (揆) |
| หนิงฉางไจ้ (寧常在) | |
| ผิงฉางไจ้ (平常在) | |
| จางฉางไจ้ (張常在) | สกุลจาง (張) |
ตาอิ้ง (答應)
[แก้]| พระนาม/พระอิสริยยศ |
|---|
| เสียงตาอิ้ง (祥答應) |
| หลานตาอิ้ง (蘭答應) |
พระราชบุตร
[แก้]พระราชโอรส
[แก้]| ลำดับ | พระนาม | ช่วงชีวิต | พระราชมารดา | พระชายา | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|---|---|
| 1 | องค์ชายใหญ่หย่งหวง (永璜) |
1728-1750 | เจ๋อหมิ่นหวงกุ้ยเฟย สกุลฟู่ฉา | พระชายาเอก
พระชายารอง
|
ติ้งอันชินอ๋อง
(定安親王) สถาปนาหลังสิ้นพระชนม์ |
| 2 | องค์ชายรองหย่งเหลียน (永璉) | 1730-1738 | จักรพรรดินีเซี่ยวเสียนฉุน สกุลฟู่ฉา | รัชทายาทตวนฮุ่ย (端慧皇太子) | |
| 3 | องค์ชายสามหย่งจาง (永璋) | 1735-1760 | ฉุนฮุ่ยหวงกุ้ยเฟย สกุลซู | พระชายาเอก
พระชายารอง
|
สุนจวิ้นอ๋อง
(循郡王) สถาปนาหลังสิ้นพระชนม์ |
| 4 | องค์ชายสี่หย่งเฉิง (永珹) | 1739-1777 | ซูเจียหวงกุ้ยเฟย สกุลจินเจีย | พระชายาเอก
พระชายารอง
|
หลิ่วตวนชินอ๋อง (履端親王,1763-1777) |
| 5 | องค์ชายห้าหย่งฉี (永琪) | 1741-1766 | อวี๋กุ้ยเฟย สกุลเคอหลี่เย่เท่อ | พระชายาเอก
|
หรงฉุนชินอ๋อง (榮純親王,1765-1766) |
| 6 | องค์ชายหกหย่งหรง (永瑢) | 1744-1790 | ฉุนฮุ่ยหวงกุ้ยเฟย สกุลซู | พระชายาเอก
พระชายารอง
|
จื้อจวงชินอ๋อง (質莊親王,1759-1790) |
| 7 | องค์ชายเจ็ดหย่งสง (永琮) | 1746-1747 | จักรพรรดินีเซี่ยวเสียนฉุน สกุลฟู่ฉ่า | เจ๋อชินอ๋อง
(哲親王) สถาปนาหลังสิ้นพระชนม์ | |
| 8 | องค์ชายแปดหย่งเสวียน (永璇) | 1746-1832 | ซูเจียหวงกุ้ยเฟย สกุลจินเจีย | พระชายาเอก
พระชายารอง
|
อี๋เซิ่นชินอ๋อง
(儀慎親王,1779-1832) |
| 9 | องค์ชายเก้าหย่งหยู (永瑜) | 1748-1749 | ซูเจียหวงกุ้ยเฟย สกุลจินเจีย | สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ | |
| 10 | องค์ชายสิบ (ไม่ปรากฏพระนาม) | 1751-1753 | ซูเฟย สกุลเย่เฮ่อน่ารา | สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ | |
| 11 | องค์ชายสิบเอ็ดหย่งซิง (永瑆) | 1752-1823 | ซูเจียหวงกุ้ยเฟย สกุลจินเจีย | พระชายาเอก
พระชายารอง
|
เฉิงเจ๋อชินอ๋อง (成哲親王,1789-1823) |
| 12 | องค์ชายสิบสองหย่งจี (永璂) | 1752-1776 | จักรพรรดินีจี้ สกุลน่ารา | พระชายาเอก
|
เป้ยเล่อ (貝勒) |
| 13 | องค์ชายสิบสามหย่งจิ่ง (永璟) | 1755-1757 | จักรพรรดินีจี้ สกุลน่ารา | สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ | |
| 14 | องค์ชายสิบสี่หย่งลู่ (永璐) | 1757-1760 | จักรพรรดินีเซี่ยวอี๋ฉุน สกุลเว่ยเจีย | สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ | |
| 15 | องค์ชายสิบห้าหย่งเหยียน (永琰) |
1760-1820 | จักรพรรดินีเซี่ยวอี๋ฉุน สกุลเว่ยเจีย | พระชายาเอก
พระชายารอง
|
เจียชินอ๋อง
(嘉親王) ภายหลังเป็นจักรพรรดิเจียชิ่ง |
| 16 | องค์ชายสิบหก (ไม่ปรากฏพระนาม) | 1763-1765 | จักรพรรดินีเซี่ยวอี๋ฉุน สกุลเว่ยเจีย | สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ | |
| 17 | องค์ชายสิบเจ็ดหย่งหลิน (永璘) | 1766-1820 | จักรพรรดินีเซี่ยวอี๋ฉุน สกุลเว่ยเจีย | พระชายาเอก
พระชายารอง
|
ชิ่งซีชินอ๋อง
(慶僖親王,1789-1820) |
พระราชธิดา
[แก้]| ลำดับ | พระนาม | ช่วงชีวิต | พระสวามี | พระราชมารดา |
|---|---|---|---|---|
| 1 | องค์หญิงใหญ่ (ไม่ปรากฏพระนาม) | 1728-1729 | จักรพรรดินีเซี่ยวเสียนฉุน สกุลฟู่ฉา | |
| 2 | องค์หญิงรอง (ไม่ปรากฏพระนาม) | 1731-1732 | เจ๋อหมิ่นหวงกุ้ยเฟย สกุลฟู่ฉา | |
| 3 | องค์หญิงสามกู้หลุนเหอจิ้ง (固倫和敬公主) |
1731-1792 | ซู่ปู้เถิงปาเอ่อร์จัว สกุลเคอเอ่อร์ชิน ปั๋วเอ่อร์จี้จี๋(色布腾巴尔珠尔 科爾沁博爾濟錦氏) |
จักรพรรดินีเซี่ยวเสียนฉุน สกุลฟู่ฉา |
| 4 | องค์หญิงสี่เหอซั่วเหอเจีย (和碩和嘉公主) | 1745-1767 | ฝูหรงอัน สกุล ฟู่ฉา (福隆安 富察氏) | ฉุนฮุ่ยหวงกุ้ยเฟย สกุลซู |
| 5 | องค์หญิงห้า (ไม่ปรากฏพระนาม) | 1753-1755 | จักรพรรดินีจี้ สกุลน่ารา | |
| 6 | องค์หญิงหก (ไม่ปรากฏพระนาม) | 1755-1758 | ซินกุ้ยเฟย สกุลไต้เจีย | |
| 7 | องค์หญิงเจ็ดกู้หลุนเหอจิ้ง (固倫和靜公主) |
1756-1775 | ลาวั่งตัวเอ่อร์จี้ สกุลปั๋วเอ่อร์จี้จี๋เท่อ(拉旺多尔济 博尔济吉特氏) | จักรพรรดินีเซี่ยวอี๋ฉุน สกุลเว่ยเจีย |
| 8 | องค์หญิงแปด (ไม่ปรากฏพระนาม) | 1758-1767 | ซินกุ้ยเฟย สกุลไต้เจีย | |
| 9 | องค์หญิงเก้าเหอซั่วเหอเค่อ (和碩和恪公主) | 1758-1780 | เหอหลานไท่ สกุลอูหย่า(|札蘭泰 烏雅氏) | จักรพรรดินีเซี่ยวอี๋ฉุน สกุลเว่ยเจีย |
| 10 | 1775-1823 | เฟิงเซินอินเต๋อ สกุลหนิ่วฮู่ลู่(豐紳殷德 鈕祜祿氏) | ตุนเฟย สกุลหวัง |
พระราชธิดาบุญธรรม
[แก้]| พระนาม | ช่วงชีวิต | พระสวามี | ผู้ให้กำเนิด |
|---|---|---|---|
| องค์หญิงเหอซั่วเหอหว่าน (和碩和婉公主) | 1734-1760 | เต๋อเลอเค่อ สกุลปั๋วเอ่อร์จี้จี๋เท่อ(德勒克 博爾濟吉特氏) | พระธิดาของเหอกงชินอ๋อง |
พงศาวลี
[แก้]| หฺวัง ไท่จี๋ (1592–1643) | |||||||||||||||||||
| จักรพรรดิชุ่นจื้อ (1638–1661) | |||||||||||||||||||
| จักรพรรดินีเซี่ยวจฺวังเหวิน พระบรมอัยยิกาเจ้า (1613–1688) | |||||||||||||||||||
| จักรพรรดิคังซี (1654–1722) | |||||||||||||||||||
| Tulai (1606–1658) | |||||||||||||||||||
| จักรพรรดินีเซี่ยวคังจาง (1638–1663) | |||||||||||||||||||
| Lady Aisin Gioro | |||||||||||||||||||
| จักรพรรดิยงเจิ้ง (1678–1735) | |||||||||||||||||||
| Esen | |||||||||||||||||||
| Weiwu | |||||||||||||||||||
| จักรพรรดินีเซี่ยวกงเหริน (1660–1723) | |||||||||||||||||||
| Lady Saiheli | |||||||||||||||||||
| จักรพรรดิเฉียนหลง (1711–1799) | |||||||||||||||||||
| Eyiteng | |||||||||||||||||||
| Wulu | |||||||||||||||||||
| Lady Long | |||||||||||||||||||
| Lingzhu (1664–1754) | |||||||||||||||||||
| Lady Qiao | |||||||||||||||||||
| จักรพรรดินีเซี่ยวเชิ่งเซี่ยน (1692–1777) | |||||||||||||||||||
| Wugong | |||||||||||||||||||
| Lady Peng | |||||||||||||||||||
พระสาทิสลักษณ์ที่ยังคงเหลืออยู่
[แก้]ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- เชิงอรรถ
- ↑ พระราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) ตั้งแต่ จ.ศ. 1129 ถึง 1182 เป็นเวลา 53 ปี, หน้า 68
- ↑ "6.7: Qing Dynasty: Yongzheng". Humanities LibreTexts (ภาษาอังกฤษ). 15 January 2021. สืบค้นเมื่อ 10 July 2025.
- ↑ "The story of the Qianlong emperor's collection". Paul Fraser Collectibles (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 10 July 2025.
- ↑ Foster, Fiona; College, Tidewater Community. "Qing Dynasty: Qianlong" (ภาษาอังกฤษ).
{{cite journal}}: Cite journal ต้องการ|journal=(help) - ↑ Hua, Bin (2018). 大清高宗純皇帝乾隆. 千華駐科技出版有限公司.
- ↑ Hui/惠, Huanzhang/焕章 (2004). 汉光武帝刘秀百谜/中国帝王百谜系列/ "Enigma of the Emperor Guang of Han Liu Xiubai/100 Secrets of the Chinese Emperors". Shaanxi: 陕西旅游出版社. p. 30.
- ↑ Gao, Yang (2001). 三春爭及初春景/Fight in the spring scenery. 生活・讀書・新知三联书店. p. 686.
- ↑ Dong (董), Yiqiu (一秋) (2003). 10 great writers of China. Cao Xueqin / 中国十大文豪曹雪芹. Beijing Book Co. Inc.
- ↑ "Qianlong Reign|The Palace Museum". en.dpm.org.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 April 2021. สืบค้นเมื่อ 13 February 2021.
- ↑ 《高宗純皇帝實錄》. Vol. 106.
- ↑ Chen (陈), Jiexian (捷先) (2010). "Real Qianlong". 遠流出版. p. 62.
- ↑ Feng, Jingzhi. The art of weaving in the Qing. Chunfeng Cultural Press. p. 1065.
- ↑ 《高宗純皇帝實錄》. Vol. 1048.
- ↑ Millward, James A. (2024). "How 'Chinese Dynasties' Periodization Works with the 'Tribute System' and 'Sinicization' to Erase Diversity and Euphemize Colonialism in Historiography of China". The Historical Journal. 67: 151–160. doi:10.1017/S0018246X2300050X.
- ↑ Millward 2024
- ↑ Teng, Emma Jinhua (2006). Taiwan’s Imagined Geography, Chinese Colonial Travel Writing and Pictures, 1683–1895. Harvard University Press.
- ↑ Schluessel, Eric (2020). Land of Strangers, The Civilizing Project in Qing Central Asia. Columbia University Press. ISBN 9780231197557.
- ↑ Perdue, Peter C. (2005). China Marches West: The Qing Conquest of Central Eurasia. Cambridge, Mass.; London, England: Belknap Press of Harvard University Press. ISBN 978-0-674-01684-2.
- ↑ Wei Yuan (1848). 聖武記 [Sheng Wu Ji]. Military history of the Qing Dynasty, vol.4. (ภาษาจีน).
計數十萬戶中,先痘死者十之四,繼竄入俄羅斯哈薩克者十之二,卒殲於大兵者十之三。["Among the 100,000 households, 4 out of 10 died from the first pox, 2 out of 10 went into Russia Kazakh, and 3 out of 10 died in the army."]
- ↑ Perdue 2005, p. 287.
- ↑ Clarke 2004, p. 37.
- ↑ Perdue 2005, p. 287.
- ↑ "Manchu hymn chanted at the occasion of the victory over the Jinchuan Rebels". Manchu Studies Group. 18 December 2012. สืบค้นเมื่อ 19 February 2013.
- ↑ Man-Cheong, Iona (2004). Class of 1761. Stanford University Press. p. 180. ISBN 978-0-80476-713-2. สืบค้นเมื่อ 24 April 2014.
- ↑ Schmidt, J. D. (2013). Harmony Garden: The Life, Literary Criticism, and Poetry of Yuan Mei (1716-1798). Routledge. p. 444. ISBN 978-1-13686-225-0. สืบค้นเมื่อ 24 April 2014.
- ↑ Schmidt, J. D. (2013). Harmony Garden: The Life, Literary Criticism, and Poetry of Yuan Mei (1716-1798). Routledge. p. 444. ISBN 978-1-13686-225-0. สืบค้นเมื่อ 24 April 2014.
- ↑ Theobald, Ulrich (2013). War Finance and Logistics in Late Imperial China: A Study of the Second Jinchuan Campaign (1771–1776). Leiden: Brill. p. 32. ISBN 978-9-00425-567-8. สืบค้นเมื่อ 24 April 2014.
- ↑ Chang, Michael G. (2007). A Court on Horseback: Imperial Touring & the Construction of Qing Rule, 1680–1785. Harvard East Asian monographs. Vol. 287 (Illustrated ed.). Harvard University Asia Center. p. 435. ISBN 978-0-67402-454-0. สืบค้นเมื่อ 24 April 2014.
- ↑ Petech 1972, p. 207.
- ↑ Petech 1972, p. 256.
- ↑ Millward 2007.
- ↑ Mosca, Matthew W. (2013). From Frontier Policy to Foreign Policy: The Question of India and the Transformation of Geopolitics in Qing China. Stanford, CA: Stanford University Press. ISBN 978-0-80478-538-9.
- ↑ Elverskog 2010, pp. 246–247.
- ↑ Elverskog 2010, pp. 250–251.
- ↑ LIPMAN, JONATHAN N. (1997). "4 / Strategies of Resistance Integration by Violence". Familiar Strangers: A History of Muslims in Northwest China. University of Washington Press. pp. 112–114. ISBN 0-295-97644-6.
- ↑ "我姓阎,满族正黄旗,请问我的满姓可能是什么". Baidu (ภาษาจีน). 1 February 2009.
- ↑ "满族姓氏寻根大全·满族老姓全录" [A complete collection of Manchu surnames]. 51cto.com (ภาษาจีน).
- ↑ "简明满族姓氏全录(四)" [The Complete List of Concise Manchu Surnames (4)]. Sohu.com (ภาษาจีน). 14 October 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 April 2019.
- ↑ ""闫"姓一支的来历" [The origin of the family name "Yan"]. Sina.cn (ภาษาจีน). 16 December 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 July 2019.
- ↑ Porter, David (9 March 2013). "Gun Control, Qing Style". Manchu Studies Group.
- บรรณานุกรม
- จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) ตั้งแต่ จ.ศ. 1129 ถึง 1182 เป็นเวลา 53 ปี. กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2552. 576 หน้า. ISBN 978-611-7146-02-2
| ก่อนหน้า | จักรพรรดิเฉียนหลง | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| จักรพรรดิยงเจิ้ง | จักรพรรดิจีน (พ.ศ. 2278 - 2339) |
จักรพรรดิเจียชิ่ง |















