ราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์

ราว 1725 ปีก่อนคริสตกาล–ราว 1650 ปีก่อนคริสตกาล
ส่วนที่แรเงาสีส้ม หมายถึง ดินแดนที่อาจจะอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์ ตามข้อมูลของรีฮอล์ต[1]
ส่วนที่แรเงาสีส้ม หมายถึง ดินแดนที่อาจจะอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์ ตามข้อมูลของรีฮอล์ต[1]
เมืองหลวงอวาริส
ภาษาทั่วไปภาษาอียิปต์
ศาสนา
ศาสนาอียิปต์โบราณ
การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ยุคประวัติศาสตร์ยุคสัมฤทธิ์
• ก่อตั้ง
ราว 1725 ปีก่อนคริสตกาล
• สิ้นสุด
ราว 1650 ปีก่อนคริสตกาล
ก่อนหน้า
ถัดไป
ราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่สิบสามแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่สิบห้าแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่สิบหกแห่งอียิปต์
ราชวงศ์อไบดอส

ราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์ เป็นกลุ่มของผู้ปกครองแห่งอียิปต์โบราณที่ปกครองในสมัยช่วงระหว่างกลางครั้งที่สองเหนือบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ โดยปกครองอยู่ประมาณระหว่าง 75 (ประมาณ 1725 – 1650 ปีก่อนคริสตกาล) ถึง 155 ปี (ประมาณ 1805 – 1650 ปีก่อนคริสตกาล) ขึ้นอยู่กับนักวิชาแต่ละคน และเมืองอวาริสน่าจะเป็นเมืองหลวงประจำราชวงศ์[1] ราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์ปรากฏอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับราชวงศ์ที่สิบสาม ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมมฟิส[ต้องการอ้างอิง] ผู้ปกครองที่ได้รับการยืนยันแล้วบางพระองค์ของราชวงศ์ที่สิบสี่นั้น (เสนอความเห็นโดยคิม รีฮอล์ต) จะถูกระบุโดยนักไอยคุปต์วิทยาว่ามีเชื้อสายชาวคานาอัน (คนกลุ่มเซมิติก) เนื่องจากที่มาของพระนามของผู้ปกครองและเจ้าชายบางพระองค์ เช่น อิปกู (มาจากภาษากลุ่มเซมิติกตะวันตก แปลว่า "ความสง่างาม"), ยากบิม ("ia-ak-bi-im" ซึ่งเป็นพระนามจากภาษาอะมอไรต์), กาเรห์ (มาจากภาษาเซมิติกตะวันตก แปลว่า "คนหัวล้าน") หรือ ยาคุบ-ฮาร์[1] พระนามที่เกี่ยวข้องกับนิวเบียก็ถูกบันทึกไว้ในสองพระนามเช่นกัน คือ เนเฮซี (แปลว่า "ชาวนูเบีย") และพระนางตาติ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองในราชวงศ์ไม่ได้ถูกเรียกว่า "ผู้ปกครองต่างดินแดน" หรือ "กษัตริย์ผู้เลี้ยงแกะ" ตามในบันทึกพระนามแห่งตูริน[2]

ลำดับตามเวลา[แก้]

ในบางครั้งราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์อาจจะจัดรวมเข้ากับราชวงศ์ที่สิบเอ็ด, สิบสอง และสิบสาม ในช่วงเวลาของสมัยราชอาณาจักรกลางของอียิปต์ ถึงแม้ว่าราชวงศ์ที่สิบสี่จะอยู่จะคาบเกี่ยวบางส่วนกับราชวงศ์ที่สิบสาม และราชวงศ์ที่สิบห้า ในช่วงใดช่วงหนึ่งหรือทั้งสองช่วงเป็นอย่างน้อย โดยทั่วไปแล้ว ราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์จะถูกจัดกลุ่มช่วงเวลาเดียวกันกับราชวงศ์ที่สิบสาม, สิบห้า, สิบหก และสิบเจ็ด ในช่วงเวลาของสมัยช่วงระหว่างกลางครั้งที่สอง

ปรากฏช่องว่างเพียงพอในการศึกษาเกี่ยวกับราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในเรื่องของตำแหน่งตามลำดับเวลา และอาจจะแตกต่างกันไปมากถึง 75 ปีขึ้นอยู่กัผู้ที่ศึกษา คิม รีฮอล์ต นักไอยคุปต์วิทยาได้เสนอความเห็นว่าว่าราชวงศ์ที่สิบสี่นั้นได้สถาปนาขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ที่สิบสอง ราวประมาณ 1805 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ช่วงระหว่างหรือหลังการปกครองของฟาโรห์โซเบคเนเฟรูไม่นาน เขาเชื่อว่าชาวคานาอันในท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ฝั่งตะวันออกได้ประกาศอิสรภาพของพวกเขาและขัดขวางความพยายามที่เป็นไปได้จากฟาโรห์แห่งเมมฟิสจากราชวงศ์ที่สิบสาม เพื่อกอบกู้พื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำกลับมาอยู่ในอำนาจ จากข้อมูลของรีฮอล์ต ราชวงศ์ที่สิบสี่เริ่มปกครองตั้งแต่ 1805 ปีก่อนคริสตกาล จนกระทั่งล่มสลายภายใต้ราชวงศ์ที่สิบห้าแห่งอียิปต์ที่ปกครองโดยชาวฮิกซอส เมื่อราว 1650 ปีก่อนคริสตกาล รวมเป็นระยะเวลา 155 ปี

แต่ข้อสมมติฐานดังกล่าวถูกโต้แย้งโดยนักไอยคุปต์วิทยาบางคน เช่น มันเฟรด เบียตัค, ดาฟนา เบน-ทอร์ และเจมส์ และซูซาน อัลเลน ซึ่งได้โต้แย้งว่า ราชวงศ์ที่สิบสี่ไม่สามารถถูกสถาปนาขึ้นก่อนช่วงกลางของราชวงศ์ที่สิบสามหรือประมาณ 1720 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากรัชสมัยของฟาโรห์โซเบคโฮเทปที่ 4[3][4] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาโต้แย้งว่า หลักฐานจากชั้นต่างๆ ที่ค้นพบตราประทับจากช่วงราชวงศ์ที่สิบสี่นั้น สรุปได้ว่าราชวงศ์ที่สิบสี่นั้นอยู่ร่วมสมัยกับราชวงศ์ที่สิบสามเท่านั้นในช่วงครึ่งศตวรรษหลังจากนั้น กล่าวคือ หลังจากช่วง 1700 ปีก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ มันเฟรด เบียตัค ยังระบุช่วงเวลาของจารึกและอนุสาวรีย์ของฟาโรห์เนเฮซี ซึ่งอาจจะเป็นผู้ปกครองพระองค์ที่สองของราชวงศ์ที่สิบสี่ โดยย้อนไปจนถึงประมาณ 1700 ปีก่อนคริสตกาลอีกด้วย[5]

ภายหลังจากรัชสมัยอันสั้นอย่างยิ่งของฟาโรห์เนเฮซีนั้น นักวิชาการส่วนใหญ่รวมถึง มันเฟรด เบียตัค และคิม รีฮอล์ต เห็นพ้องต้องกันว่าบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ได้รับผลกระทบจากความอดอยากที่ยืดเยื้อและโรคระบาดอาจจะกินเวลาจนถึงช่วงราชวงศ์ที่สิบสี่ล่มสลาย[1][6] ความอดอยากแบบเดียวกันนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อราชวงศ์ที่สิบสาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงและฟาโรห์ที่ขึ้นมาปกครองเป็นช่วงเวลาสั้นๆ จำนวนมากในช่วง 50 ปีหลังจากจากสถาปนาราชวงศ์ที่สิบสี่ในช่วงระหว่าง 1700 จนถึง 1650 ปีก่อนคริสตกาล สถานภาพที่อ่อนแอของทั้งสองราชวงศ์อาจจะอธิบายได้ในบางส่วนว่าเหตุใดพวกเขาจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ปกครองชาวฮิกซอสที่ขึ้นมามีอำนาจใหม่อย่างรวดเร็วในราว 1650 ปีก่อนคริสตกาล[1]

ศูนย์กลางอำนาจการปกครอง[แก้]

มาเนโธได้ระบุว่า ราชวงศ์ที่สิบสี่มีฟาโรห์ปกครองจำนวนมากถึง 76 พระองค์ ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองโซอิสมากกว่าที่จะเป็นเมืองอวาริส แต่อย่างไรก็ตาม คิม รีฮอล์ต นักไอยคุปต์วิทยาตั้งข้อสังเกตว่า ในบันทึกพระนามแห่งตูรินได้กล่าวถึงฟาโรห์เพียงจำนวนประมาณ 56 พระองค์เท่านั้น และไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะบันทึกฟาโรห์ได้มากกว่า 70 พระองค์ และรีฮอล์ตยังชี้ให้เห็นถึง การขุดค้นที่เมืองอวาริส ซึ่งเผยให้เห็นการมีอยู่ของพระราชวังขนาดใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่ถึงสมัยช่วงระหว่างกลางครั้งที่สอง และลานแห่งหนึ่งมีรูปสลักของฟาโรหฺหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีขนาดใหญ่กว่าสองเท่า และมีลักษณะที่ไม่ใช่แบบพื้นเมืองอียิปต์ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ รีฮอล์ต และนักไอยคุปต์วิทยาส่วนใหญ่มีความเห็นร่วมกันว่า เมืองอวาริสเป็นศูนย์กลางทางอำนาจของราชวงศ์ที่สิบสี่แทนที่จะเป็นเมืองโซอิส[1]

พระราชอาณาจักรและความสัมพันธ์กับต่างแดน[แก้]

ไม่ทราบขอบเขตพระราชอาณาจักรที่ชัดเจนของราชวงศ์ที่สิบสี่ เนื่องจากความขาดหลักฐานอย่างอนุสรณ์สถานโดยทั่วไป ในการศึกษาสมัยช่วงระหว่างกลางครั้งที่สอง คิม รีฮอล์ตได้สรุปว่าดินแดนที่ควบคุมโดยตรงโดยราชวงศ์ที่ราชวงศ์ที่สิบสี่อย่างกว้างจะกินอาณาเขตทั้งในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ โดยมีพรมแดนตั้งอยู่ใกล้กับเมืองอธริบิสในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำฝั่งตะวันตก และเมืองบูบาสทิสในทางทิศตะวันออก[1]

ตราประทับที่เกี่ยวข้องราชวงศ์ที่สิบสี่นั้นถูกค้นพบในบริเวณอียิปต์กลางและอียิปต์บน ซึ่งเป็นอาณาเขตของราชวงศ์ที่สิบสามทั้งหมด และไกลออกไปทางตอนใต้ถึงเมืองดุนกูลา ไกลจากแก่งน้ำตกที่สามของแม่น้ำไนล์ ในทางเหนือ มีการพบตราประทับในทางตอนใต้ของลิแวนต์ โดยส่วนใหญ่อยู่ตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กระทั่งไกลออกไปทางเหนือถึงเทล คาบรี (ทางตอนเหนือของอิสราเอลในปัจจุบันใกล้ชายแดนเลบานอน)[1] ซึ่งบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของการค้าสำคัญที่ดำเนินการระหว่างราชวงศ์ที่สิบสาม นครรัฐคานาอัน และนิวเบีย[1] โดยรีฮอล์ตได้เสนอความเห็นที่ว่า ฟาโรห์เชชิ ซึ่งเขาเห็นว่าพระองค์เป็นผู้ปกครองจากราชวงศ์ที่สิบสี่ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงชาวนิวเบียพระนามว่า ตาติ เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรคุช[1]

ผู้ปกครอง[แก้]

ลำดับผู้ปกครองของราชวงศ์นี้ได้ถูกกำหนดตามบันทึกพระนามแห่งตูริน ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ยกเว้นสำหรับผู้ปกครองห้าพระองค์แรกซึ่งระบุไว้ด้านล่าง[1] พระนามของผู้ปกครองดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้ในบันทึกพระนามแห่งตูริน (ยกเว้นเพียงพระนามเดียว) และรีฮอล์ตได้เสนอความเห็นที่ว่า ผู้ปกครองห้าพระองค์ดังก่างอาจจะถูกกล่าวในส่วนที่เสียหายของบันทึกพระนาม โดยเอกสารต้นฉบับเป็นการคัดลอกบันทึกพระนามอีกแห่งหนึ่งในช่วงสมัยรามเสส[1] รีฮอล์ตได้ระบุฟาโรห์ห้าพระองค์แรกจากการแบ่งกลุ่มของตราประทับ อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปของเขายังเป็นที่ถกเถียงกันในการศึกษาของเบ็น-ทอร์เกี่ยวกับชั้นหิน ซึ่งมีการค้นพบตราประทับของฟาโรห์ห้าพระองค์แรก เบ็น ทอร์ได้สรุปว่ารัชสมัยของฟาโรห์เชชิ อัมมู และยากบิมได้เริ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของราชวงศ์ที่สิบห้าแห่งอียิปต์ และไม่ร่วมสมัยกับราชวงศ์ที่สิบสาม ตามคำกล่าวของเบ็น ทอร์ ฟาโรห์เหล่านี้น่าจะเป็นข้าหลวงที่รองมาจากฟาโรห์ชาวฮิกซอสที่เข้าปกครองเหนือดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์[3]

ฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์ (ยังเป็นที่ถกเถียง)
พระนาม รูปภาพ รัชสมัย คำอธิบาย
ยากบิม เซคาเอนเร 1805 ปีก่อนคริสตกาล – 1780 ปีก่อนคริสตกาล หรือหลัง 1650 ปีก่อนคริสตกาล มีการโต้แย้งในตำแหน่งตามลำดับเวลา อาจเป็นข้าหลวงของราชวงศ์ที่สิบห้า
ยา'อัมมู นุบวอเซอร์เร 1780 ปีก่อนคริสตกาล – 1770 ปีก่อนคริสตกาล มีการโต้แย้งในตำแหน่งตามลำดับเวลา
กาเรห์ คาวอเซอร์เร 1770 ปีก่อนคริสตกาล – 1760 ปีก่อนคริสตกาล มีการโต้แย้งในตำแหน่งตามลำดับเวลา
'อัมมู อาโฮเทปเร 1760 – 1745 ปีก่อนคริสตกาล หรือหลัง 1650 ปีก่อนคริสตกาล มีการโต้แย้งในตำแหน่งตามลำดับเวลา อาจเป็นข้าหลวงของราชวงศ์ที่สิบห้า
เชชิ มาอาอิบเร 1745 ปีก่อนคริสตกาล – 1705 ปีก่อนคริสตกาล หรือหลัง 1650 ปีก่อนคริสตกาล ปรากฏหลักฐานเป็นตราประทับแมลงสคารับจำนวนมากว่า 300 ชิ้น พระองค์อาจจะทรงอภิเษกสมรสกับพระนางตาติ ซึ่งมาจากราชอาณาจักรคุช และมีการโต้แย้งในตำแหน่งตามลำดับเวลา อาจเป็นข้าหลวงของราชวงศ์ที่สิบห้า

ผู้ปกครองต่อไปนี้ไม่ได้เป็นที่ถกเถียง ซึ่งอ้างอิงมาจากบันทึกพระนามแห่งตูริน และผู้ปกครองบางพระองค์ในจำนวนนี้ ก็ยืนยันมาจากแหล่งข้อมูลร่วมสมัยเช่นกัน:

ฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์ (ไม่เป็นที่ถกเถียง)
พระนาม รูปภาพ รัชสมัย คำอธิบาย
เนเฮซิ อาอาเซเร 1705 ปีก่อนคริสตกาล ทรงเป็นฟาโรห์ที่ปรากฏหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุดในบรรดาฟาโรห์ในราชวงศ์ โดยปรากฏพระนามของพระองค์บนอนุสาวรีย์สองแห่งที่เมืองอวาริส ซึ่งพระนามของพระองค์ แปลว่า "ชาวนิวเบีย"[7]
คาเคเรวเร 1705 ปีก่อนคริสตกาล -
เนบเอฟอาวเร 1704 ปีก่อนคริสตกาล ในบันทึกพระนามแห่งตูรินได้ระบุว่า พระองค์ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน กับอีก 15 วัน
เซเฮบเร ในบันทึกพระนามแห่งตูรินได้ระบุว่า พระองค์ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 3 ปี [สูญหาย] เดือน กับอีก 1 วัน
เมอร์ดเจฟาเร สิ้นสุดเมื่อ 1699 ปีก่อนคริสตกาล ค้นพบหลักฐานยืนยันเป็นจารึกศิลาเพียงชิ้นเดียวจากซาฟต์ อัล-ฮินนาในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ[8]
เซวัดต์คาเรที่ 3 ในบันทึกพระนามแห่งตูรินได้ระบุว่า พระองค์ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 1 ปี
เนบดเจฟาเร สิ้นสุดเมื่อ 1694 ปีก่อนคริสตกาล -
เวบเอนเร สิ้นสุดเมื่อ 1693 ปีก่อนคริสตกาล -
ไม่ทราบ พระนามสูญหายไปจากบันทึกพระนามแห่งตูริน
[...]ดเจฟาเร -
[...]เวบเอนเร สิ้นสุดเมื่อ 1690 ปีก่อนคริสตกาล -
อาวอิเรที่ 2 -
เฮอร์อิบเร -
เนบเซนเร ค้นพบหลักฐานยืนยันเป็นแจกันที่ปรากฏพระนามครองพระราชบัลลังก์ของพระองค์ พระองค์ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 5 เดือนเป็นอย่างน้อย
ไม่ทราบ พระนามสูญหายไปจากบันทึกพระนามแห่งตูริน
[...]เร
เซเคเปอร์เอนเร ทรงเป็นหนึ่งในฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบสี่ที่ไม่เป็นข้อถกเถียง ซึ่งเป็นที่ทราบจากแหล่งข้อมูลร่วมสมัย (รวมถึงฟาโรห์เนเฮซิ, ฟาโรห์เนบเซนเร และฟาโรห์เมอร์ดเจฟาเร)
ดเจดเคเรวเร -
ซาอังค์อิบเรที่ 2 -
เนเฟอร์ตุม[...]เร -
เซคเอม[...]เร -
คาเคมูเร -
เนเฟอร์อิบเร -
อิ[...]เร -
คาคาเร -
อาคาเร -
ฮาปุ[...] เซเมนเอนเร -
อนาติ ดเจดคาเร -
บับนุม [...]คาเร -
ไม่ทราบ 8 บรรทัดได้สูญหายไปจากบันทึกพระนามแห่งตูริน
เซเนเฟอร์...เร -
เมน[...]เร -
ดเจด[...]เร -
ไม่ทราบ 3 บรรทัดได้สูญหายไปจากบันทึกพระนามแห่งตูริน
อิงค์ [...] -
'อ[...] -
อะโพฟิสที่ 1 (?) -
ไม่ทราบ 5 บรรทัดได้สูญหายไปจากบันทึกพระนามแห่งตูริน

และสุดท้ายนี้ ผู้ปกครองอีกหลายพระองค์ที่ได้รับการยืนยันจากวัตถุโบราณร่วมสมัยที่ไม่ปรากฏพระนามในบันทึกพระนามแห่งตูริน ซึ่งอาจจะมีอายุย้อนถึงช่วงราชวงศ์ที่สิบสี่[1] หรือราชวงศ์ที่สิบห้า[9] ตัวตนและตำแหน่งตามลำดับเวลายังไม่แน่ชัด:

อาจจะเป็นฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบสี่แห่งอียิปต์ (ยังไม่แน่ชัด)
พระนาม รูปภาพ หลักฐานยืนยัน
นูยา ค้นพบตราประทับสคารับจำนวน 1 ชิ้น
เชเนห์ ค้นพบตราประทับสคารับจำนวน 3 ชิ้น
เชนเชค ค้นพบตราประทับสคารับจำนวน 1 ชิ้น
วาซาด ค้นพบตราประทับสคารับจำนวน 5 ชิ้น
คามูเร ค้นพบตราประทับสคารับจำนวน 2 ชิ้น
ยาคาเรบ ค้นพบตราประทับสคารับจำนวน 2 ชิ้น
เมอร์วอเซอร์เร ยากุบ-ฮาร์ ค้นพบตราประทับสคารับจำนวน 27 ชิ้น

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 Kim Ryholt, The Political Situation in Egypt during the Second Intermediate Period, Museum Tusculanum Press, (1997)
  2. Ilin-Tomich, Alexander (2016). "Second Intermediate Period". UCLA Encyclopedia of Egyptology: 3.
  3. 3.0 3.1 Bulletin of the American Schools of Oriental Research (BASOR) 315, 1999, pp.47-73.
  4. Janine Bourriau, "The Second Intermediate Period (c.1650-1550 BC)" in Ian Shaw (ed.) The Oxford History of Ancient Egypt, Oxford University Press, 2000. pp.192 & 194
  5. Bourriau, "The Second Intermediate Period," pp.178-179, 181
  6. Manfred Bietak, "Egypt and Canaan During the Middle Bronze Age," BASOR, 281 (1991), pp. 21-72, esp. p. 38, available online
  7. Darrell D. Baker, The Encyclopedia of the Pharaohs: Volume I - Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300–1069 BC, Stacey International, ISBN 978-1-905299-37-9, 2008, p. 277
  8. Kenneth Kitchen: Ramesside Inscriptions, Blackwell Publishing 1993, ISBN 0631184279, p.546
  9. Daphna Ben-Tor: Scarabs, Chronology, and Interconnections: Egypt and Palestine in the Second Intermediate Period, Volume 27 of Orbis biblicus et orientalis / Series archaeologica: Series archaeologica, Academic Press Fribourg 2007, ISBN 978-3-7278-1593-5, excerpts available online

บรรณานุกรม[แก้]

  • K.S.B. Ryholt (1998). The Political Situation in Egypt During the Second Intermediate Period, C1800-1550 BC. Museum Tusculanum Press. ISBN 8772894210.
  • K.A. Kitchen (1993). Ramesside Inscriptions. Blackwell Publishing. ISBN 0631184279.