ท้องสนามหลวง
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ท้องสนามหลวง | |
---|---|
ทุ่งพระเมรุ | |
ทิวทัศน์ของท้องสนามหลวงในปี 2544 พื้นหลังเห็นวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง | |
ประเภท | สนาม |
ที่ตั้ง | แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 13°45′18″N 100°29′35″E / 13.75500°N 100.49306°E |
พื้นที่ | 3,023 ตารางวา |
ก่อตั้ง | พ.ศ. 2327 |
ผู้ก่อตั้ง | พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช |
เจ้าของ | พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ผู้ดำเนินการ | กรุงเทพมหานคร |
เวลาให้บริการ | ทุกวัน 05.00–22.00 น. |
สถานะ | เปิดให้บริการ |
พืช | มะขาม |
ชื่อที่ขึ้นทะเบียน | ทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง) |
ขึ้นเมื่อ | 13 ธันวาคม พ.ศ. 2520 |
เป็นส่วนหนึ่งของ | โบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร |
เลขอ้างอิง | 0000017 |
ท้องสนามหลวง หรือ สนามหลวง เป็นสนามขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงคล เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ 74 ไร่ 63 ตารางวา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานใน พ.ศ. 2520[1][2]
ประวัติ
[แก้]ทุ่งพระเมรุ
[แก้]ท้องสนามหลวง เดิมเรียกว่า ทุ่งพระเมรุ เนื่องจากใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2398 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกจาก “ทุ่งพระเมรุ” เป็น “ท้องสนามหลวง” ดังปรากฏในประกาศว่า “ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่งแลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า ‘ทุ่งพระเมรุ’ นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า ‘ท้องสนามหลวง’”[3]
ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นต้นมา ได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น เป็นที่ตั้งพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ทำนาที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้ปรากฏแก่นานาประเทศว่า เมืองไทยบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร มีไร่นาไปจนใกล้ ๆ พระบรมมหาราชวัง และไทยเอาใจใส่ในการสะสมเสบียงอาหารไว้เป็นกำลังของบ้านเมืองด้วย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พิธีพิรุณศาสตร์มีกำแพงแล้วล้อมรอบบริเวณ ข้างในสร้างหอพระพุทธรูปสำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระสำหรับพิธี สำหรับการพิธีมีพลับพลาที่ทำการพระราชพิธี มีหอดักลมลงที่พลับพลาสำหรับทอดพระเนตรการทำนา ข้างพลับพลามีโรงละครสำหรับเล่นบวงสรวง ด้านเหนือมีพลับพลาน้อยสร้างบนกำแพงแก้วสำหรับประทับทอดพระเนตรการทำนาในท้องทุ่ง นอกกำแพงแก้วยังมีฉางสำหรับใส่ข้าวที่ได้จากการปลูกข้าว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหลวงจากเดิม และรื้อพลับพลาต่าง ๆ ที่สร้างในรัชกาลก่อน ๆ เพราะหมดความจำเป็นที่จะต้องทำนา และได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การฉลองพระนครครบ 100 ปี งานฉลองเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปใน พ.ศ. 2440 ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ และใช้เป็นสนามแข่งม้า สนามกอล์ฟ
ตลาดนัดสนามหลวง
[แก้]ตลาดนัดสนามหลวงเกิดขึ้นหลังจากที่ประเทศไทย เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ประชาชนหาซื้อข้าวของเครื่องใช้กันลำบาก รวมถึงเกษตรกรก็เดือดร้อน จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี จึงส่งเสริมให้จัดตั้งตลาดนัดในทุกจังหวัด โดยตลาดนัดสนามหลวงเปิดครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2491 ปีต่อมาทางการต้องใช้พื้นที่สนามหลวงจึงย้ายตลาดนัดไปอยู่ในพระราชอุทยานสราญรมย์ ซึ่งได้รับความนิยมสูง แต่ถูกร้องเรียนเรื่องกลิ่นและการจัดการไม่ถูกสุขลักษณะ จึงย้ายออกจากพระราชอุทยานสราญรมย์มาด้านนอก ด้านถนนราชินี บริเวณคลองหลอด เมื่อ พ.ศ. 2500 แต่ปรากฏว่าได้ปลูกเพิงสร้างแคร่จนเป็นภาพไม่งดงาม จึงได้ย้ายกลับมายังสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. 2501
จนกระทั่งกรุงเทพมหานครได้เตรียมใช้พื้นที่สนามหลวงจัดงานพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี จึงได้ปิดตลาดนัดสนามหลวงตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา แล้วย้ายตลาดนัดมายังสวนจตุจักรจนถึงปัจจุบัน[4]
ร่วมสมัย
[แก้]ปัจจุบันได้มีการใช้ท้องสนามหลวงเป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ ของประเทศ เช่น พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี, พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม 2530, พระราชพิธีกาญจนาภิเษก พ.ศ. 2539 รวมทั้งงานพระเมรุมาศและพระเมรุของพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงในการก่อสร้างพระเมรุกลางเมืองมาแล้ว 6 ครั้ง ดังนี้
- พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พ.ศ. 2463 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
- พ.ศ. 2463 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
- พ.ศ. 2465 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
- พ.ศ. 2466 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย
- พ.ศ. 2468 สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงในการก่อสร้างพระเมรุกลางเมืองมาแล้ว 4 ครั้ง ดังนี้
- พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พ.ศ. 2471 สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
- พ.ศ. 2472 สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
- พ.ศ. 2473 สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ได้มีการใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงในการก่อสร้างพระเมรุกลางเมือง 1 ครั้ง ดังนี้
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีการใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงในการก่อสร้างพระเมรุกลางเมืองมาแล้ว 6 ครั้ง ดังนี้[5]
- พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
- พ.ศ. 2499 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
- พ.ศ. 2528 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
- พ.ศ. 2539 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
- พ.ศ. 2551 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
- พ.ศ. 2555 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการใช้พิ้นที่ท้องสนามหลวงในการก่อสร้างพระเมรุกลางเมืองมาแล้ว 1 ครั้ง ดังนี้
ท้องสนามหลวงยังใช้เป็นที่ประกอบกิจกรรมของสาธารณชน เช่น รวมถึงใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางกีฬาการละเล่นต่าง ๆ เช่น ฟุตบอล หรือ เล่นว่าว และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป ในอดีตใช้เป็นที่การปราศรัยใหญ่ในการหาเสียงเลือกตั้งในแต่ละครั้ง หรือการชุมนุมทางการเมืองต่าง ๆ ที่เรียกว่า "ไฮด์ปาร์ก" ซึ่งได้ชื่อมาจากสวนไฮด์ปาร์กในกรุงลอนดอน
หลังการปรับปรุง พ.ศ. 2553–54
[แก้]ในปี พ.ศ. 2553 กรุงเทพมหานครได้ทำการปรับปรุงภูมิทัศน์ของสนามหลวง จากเดิมที่เคยเสื่อมโทรมให้ดีขึ้น แล้วเสร็จในปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2554[6]เปิดใช้พื้นที่อย่างเป็นทางการ วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554 และไม่อนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางการเมืองใด ๆ เหมือนในอดีต เพื่อสงวนไว้สำหรับประกอบพระราชพิธีเท่านั้น[7] พร้อมขอความร่วมมือให้ช่วยในการรักษาความสะอาดไม่ทิ้งขยะลงพื้น หากพบผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ในกรณีที่ไม่สามารถชำระค่าปรับได้ ต้องบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการเก็บขยะจำนวน 100 ชิ้น แทนการเสียค่าปรับ ซึ่งมีพระราชบัญญัติโบราณสถานคุ้มครอง และกำหนดโทษผู้ใดฝ่าฝืนหรือบุกรุกมีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 1 ล้านบาท โดยทางกรุงเทพมหานคร อนุญาตให้ประชาชนเข้าไปใช้พื้นที่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ และสันทนาการตามปกติ แต่ห้ามนำสินค้าเข้าไปจำหน่าย จอดรถหรืออาศัยเป็นที่หลับนอน ซึ่งสามารถเข้าใช้พื้นที่ได้ ระหว่างเวลา 05.00–22.00 น. นอกจากนี้ประชาชนยังสามารถสัญจรผ่านถนนเส้นกลาง ซึ่งเชื่อมระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปยังศาลฎีกาได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเบื้องต้นได้ทำการติดตั้งรั้วชั่วคราว เพื่อป้องกันการบุกรุก และเพื่อคงความสวยงามของสนามหลวง ซึ่งผู้ที่ต้องการขอใช้พื้นที่สามารถทำเรื่องขอพื้นที่จากกรุงเทพมหานคร แต่ทางกรุงเทพมหานครจะไม่ให้ใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงเป็นที่ชุมนุมหรือจัดกิจกรรมทางการเมือง นอกจากนั้นกรุงเทพมหานครได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเหตุการณ์รักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่สนามหลวงเป็นหน่วยงานของราชการสังกัดกรุงเทพมหานครดูแลความสงบเรียบร้อยภายในท้องสนามหลวง[ต้องการอ้างอิง]
ในการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 ท้องสนามหลวงถูกใช้เป็นที่ชุมนุมของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมระหว่างวันที่ 19–20 กันยายน พ.ศ. 2563 และเป็นที่ฝังหมุดคณะราษฎรหมุดที่ 2 ซึ่งแกนนำถูกตั้งข้อหาทำลายโบราณสถาน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2567 ท้องสนามหลวงเป็น 1 ใน 4 สถานที่ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระโคตมพุทธเจ้า และพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก ได้แก่พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ที่รัฐบาลไทยอัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย มาประดิษฐานที่ประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยเป็นแห่งแรกที่มีการประดิษฐาน และเป็นจุดหลักประจำภาคกลาง ซึ่งในการนี้ได้มีการสร้างมณฑปขึ้นใหม่เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุในครั้งนี้[8] โดยเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม ก่อนอัญเชิญไปประดิษฐานต่อที่ภาคเหนือ ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่[9]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน" (PDF). Royal Thai Government Gazette. 94 (126): 5036. 13 ธันวาคม 1977. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 16 กรกฎาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2020.
- ↑ โสภิตา สว่างเลิศกุล (21 ตุลาคม 2017). "ทุ่งพระเมรุ". โพสต์ทูเดย์.
- ↑ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี (พ.ศ. 2310-2381) และพระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. 2526. OCLC 1281273754.
- ↑ ""ตลาดนัด" มาจากไหน? ย้อนรอยตลาดนัดในกรุงเทพฯ ถึงตำนานตลาดนัดสนามหลวง". ศิลปวัฒนธรรม. 14 มกราคม 2024.
- ↑ 5.0 5.1 วลัยลักษณ์ ทรงศิริ (5 มกราคม 2018). "สนามไชย-ทุ่งพระเมรุ-ท้องสนามหลวง". มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์.
- ↑ "กทม.เดินเครื่องปรับภูมิทัศน์สนามหลวงแล้ว". สำนักข่าวเจ้าพระยา. 2 กุมภาพันธ์ 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 กรกฎาคม 2012.
- ↑ "กทม.จัดระเบียบสนามหลวงห้ามใช้ชุมนุมทางการเมือง". ไทยพีบีเอส. 9 สิงหาคม 2011.
- ↑ "วธ.บวงสรวงมณฑป 'พระบรมสารีริกธาตุ' ท้องสนามหลวง รับเสด็จจากอินเดีย 23 ก.พ." มติชน. 7 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2024.
- ↑ "เปิดสักการะพระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ 24 ก.พ.-3 มี.ค." ไทยพีบีเอส. 22 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.
อ่านเพิ่มเติม
[แก้]- ประวัติสนามหลวง เก็บถาวร 29 พฤษภาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]