ข้ามไปเนื้อหา

วัดเทพธิดารามวรวิหาร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

13°45′12″N 100°30′16″E / 13.75333°N 100.50444°E / 13.75333; 100.50444

วัดเทพธิดารามวรวิหาร
ทางเข้าด้านหน้าวัด
แผนที่
ที่ตั้งแขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ประเภทพระอารามหลวงชั้นตรี
นิกายมหานิกาย
เจ้าอาวาสพระธรรมวชิรคณี (แผ่ว ปรกกฺโม)
ชื่อที่ขึ้นทะเบียนวัดเทพธิดาราม
ขึ้นเมื่อ13 ธันวาคม พ.ศ. 2520
เป็นส่วนหนึ่งของรายชื่อโบราณสถานในกรุงเทพมหานคร (เขตพระนคร)
เลขอ้างอิง0000019
หมายเหตุการเข้าชมพระอุโบสถ พระวิหาร และศาลาการเปรียญนั้นต้องขออนุญาตจากทางวัดเสียก่อน
icon สถานีย่อยพระพุทธศาสนา

วัดเทพธิดารามวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ที่ริมถนนมหาไชย ใกล้วัดราชนัดดารามวรวิหาร วัดเทพธิดารามวรวิหาร เดิมชื่อ วัดบ้านพระยาไกรสวนหลวง สันนิษฐานว่า เรียกตามบริเวณที่สร้าง ที่เป็นสวนไร่นา และคงเป็นที่ของพระยาไกรเพชรรัตนสงคราม เจ้านายหรือขุนนาง

วัดเทพธิดารามวรวิหารเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดฯ ให้สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชทานแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาองค์ใหญ่ใน รัชกาลที่ 3 สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2379 เสร็จในปี พ.ศ. 2382

สิ่งสำคัญในวัดนี้คือ พระปรางค์ทิศทั้งสี่ เป็นฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ 3 บุษบกที่รองรับพระประธาน ภายในโบสถ์ ที่ประดิษฐ์อย่างสวยงามและที่ผนังพระอุโบสถมีภาพเขียนเป็นรูปพุ่มข้าวบิณฑ์ แบบอย่างในรัชกาลที่ 3

วัดนี้เคยเป็นที่พำนักของสุนทรภู่กวีเอกแห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่าง พ.ศ. 2383 - 2385 เมื่อคราวบวชเป็นพระภิกษุ ปัจจุบันยังมีกุฏิหลังหนึ่ง เรียกว่า "บ้านกวี" เปิดเป็น พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่

ศิลปกรรม

[แก้]

พระอุโบสถ

[แก้]
พระอุโบสถ

พระอุโบสถ มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะจีน เนื่องจากในช่วงนั้นมีการติดต่อค้าขายกับจีน อิทธิพลของจีนจึงเข้ามามีบทบาทในการสร้างสรรค์ศิลปกรรม รูปแบบสถาปัตยกรรมจึงเป็นอาคารแบบไม่มีช่อฟ้า ใบระกา รอบอาคารมีระเบียงโดยรอบ มีเสาพาไล และเสาเฉลียงรอบทั้งอาคาร รูปแบบเสารับน้ำหนักเป็นเสาทรงเหลี่ยมทึบขนาดใหญ่ ไม่มีการประดับบัวหัวเสา ไม่มีคันทวยรับน้ำหนักชายคา หลังคามีจำนวน 2 ซ้อน มีตับหลังคา 3 ตับ มีหลังคากันสาดโดยรอบอาคาร ภายในมีเสาร่วมในเป็นเสาทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ ซุ้มประตูหน้าต่างประดับปูนปั้นลวดลายอย่างเทศจำพวกลายพรรณพฤกษา จิตรกรรมภายในเขียนเป็นลายแผง พื้นหลังใช้สีน้ำเงินและเขียนลายดอกก้านแย่งจำพวกดอกโบตั๋นเต็มพื้นที่ มีลายดอกขนาดใหญ่ตรงกลางเป็นทรงพุ่มคล้ายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มีลายดอกและใบล้อมรอบอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมในลักษณะต่อเนื่องกันตลอดทั้งผนัง[1] โดยรอบอาคารมีการประดับประติมากรรมที่เป็นตุ๊กตาจีนสลักหิน มีทั้งรูปคนและสัตว์ ตุ๊กตารูปคนบางตัวมีลักษณะท่าทางและการแต่งกายแบบจีน บางตัวแต่งกายแบบไทย ลักษณะพิเศษที่วัดแห่งนี้คือมีรูปสลักผู้หญิงในลักษณะต่าง ๆ เป็นส่วนมาก

หน้าบันพระอุโบสถ

[แก้]
หน้าบันพระอุโบสถ

หน้าบันพระอุโบสถเป็นรูปแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เป็นงานก่ออิฐถือปูนทั้งหมด ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ลวดลายเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบ หน้าบันพระอุโบสถแบ่งเป็น 2 ตับ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มวัดที่รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาขึ้น รูปแบบเดียวกับหน้าบันพระอุโบสถวัดราชโอรสาราม, วัดนางนอง, วัดเศวตฉัตร พื้นหลังหน้าบันเป็นพื้นสีขาวประดับลวดลายด้วยกระเบื้องเคลือบลวดลายจีนกึ่งลายไทย หน้าบันตับบนตรงกลางเป็นกรอบวงกลมตั้งอยู่บนแท่น ภายในเป็นรูปดอกไม้บานเต็มกรอบ ด้านข้างกรอบวงกลมประดับด้วยพญาหงส์ฟ้าทืี่มีลักษณะคล้ายนกยูง หันหน้าเข้าหากรอบวงหลมข้างละตัว ปากหงส์คาบดอกไม้ หางของหงส์บาวลงมาตามกรอบหน้าบันสมมาตรกันทั้ง 2 ข้าง พื้นหลังเป็นช่อดอกไม้ กรอบหน้าบันผูกลายเป็นผ้าห้อยลักษณะแบบโบ โค้งต่อเนื่องกัน สลับกับช่อดอกไม้ ลายกรอบหน้าบันด้านนอกสุดทำเป็นลายประจับยามก้ามปู แนวด้านล่างทำเป็นรูปทิวทัศน์ หน้าบันตับล่างทำเป็นรูปทิวทัศน์เช่นกัน มีนก และค้างคาว กระจายเต็มพื้นที่ โดยด้านบนทำเป็นลายผ้าห้อยลักษณะแบบลายเฟื่องอุบะ[2]

พระพุทธเทววิลาส

[แก้]
พระพุทธเทววิลาส

ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กประดิษฐานบนบุษบก ชาวบ้านเรียก "หลวงพ่อขาว" เนื่องจากสลักด้วยศิลาขาวบริสุทธิ์ หน้าตักกว้าง 14 นิ้ว สูง 20 นิ้ว รัชกาลที่ 9 ทรงถวายพระนามว่า พระพุทธเทววิลาส เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร เดิมประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง เมื่อครั้งสร้างวัดเทพธิดารามแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหลวงพ่อขาวจากพระบรมมหาราชวังมาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ พุทธลักษณะของพระพุทธเทววิลาสมีพระพักตร์กลมป้อม พระโอษฐ์เล็ก แย้มสรวลเล็กน้อย มีพระพักตร์อน่างหุ่น ทำนิ้วพระหัตถ์เสมอกัน โดยพระพุทธรูปที่มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธเทววิลาสอีกองค์คือพระประธานในพระวิหาร วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร ส่วนบุษบกที่เป็นฐานพระพุทธเทววิลาสเป็นบุษบกอีกหลังหนึ่งที่มีความงดงามมาก ลักษณะเป็นบุษบกที่มีเรือนยอดทรงปราสาท ส่วนฐานประดับพลแบกที่เป็นครุฑหนึ่งชั้นและเทพพนมหนึ่งชั้น มีการต่อฐานออกด้านข้างเพื่อเป็นฐานของฉัตรในลักษณะอ่อนโค้งแบบท้องสำเภา มีแถวครุฑพนมมือหนึ่งแถว ด้านข้างของบุษบกประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทรทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิ์[3]

พระวิหาร

[แก้]
พระวิหาร

พระวิหาร ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของพระอุโบสถมีกำแพงกั้น มีขนาดใกล้เคียงกับศาลาการเปรียญโดยมีขนาดเล็กกว่าพระอุโบสถเล็กน้อย เป็นงานสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เช่นเดียวกัน ตัวอาคารมีระเบียงโดยรอบ มีเสาพาไล และเสาเฉลียงรอบทั้งอาคาร รูปแบบเสารับน้ำหนักเป็นเสาทรงเหลี่ยมทึบขนาดใหญ่ ไม่มีการประดับบัวหัวเสา ไม่มีคันทวยรับน้ำหนักชายคา หลังคามีจำนวน 2 ซ้อน มีตับหลังคา 3 ตับ มีหลังคากันสาดโดยรอบอาคาร ซุ้มประตูหน้าต่างประดับปูนปั้นลวดลายอย่างเทศจำพวกลายพรรณพฤกษา ผังของพระวิหารมีลักษณะพิเศษคือ มีการสร้างเจดีย์ทรงเครื่องล้อมรอบทั้งพระวิหารจำนวน 14 องค์ และล้อมด้วยกำแพงแก้วอีกชั้นหนึ่ง ผนังภายในพระวิหารมีพื้นหลังเป็นสีแดงมีการเขียนเป็นจิตรกรรมเป็นรูปดอกไม้ร่วง และรูปหงส์บินร่อนลงด้านล่างปากคาบดอกไม้แบบจีนจำพวกดอกโบตั๋น โดยทำลายซ้ำกับเต็มผนังเหมือนกับการพิมพ์ลายลงไป ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย ปางมารวิชัย[4]

หน้าบันพระวิหาร

[แก้]
หน้าบันพระวิหาร

หน้าบันพระวิหารเป็นรูปแบบหน้าบันแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือเป็นงานก่ออิฐถือปูนทั้งหมด ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ลวดลายเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบ ทำลักษณะคล้ายหน้าบันพระอุโบสถคือ ทำเป็นหน้าบัน 2 ตับ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวและสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ หน้าบันตับบนมีพื้นหลังสีขาว มีองค์ประกอบหลักคือ ลายท่อนพวงมาลัยสลับลายเฟื่องอุบะล้อมรอบกรอบหน้าบัน ตรงกลางทำเป็นรูปพญาหงส์ตัวเดียวยืนกางปีกหันหน้าไปทางทิศเหนือ พื้นที่ว่างประดับด้วยลวดลายดอกไม้ ก้อนเมฆ ด้านล่างของหน้าบันตับบนทำเป็นลายทิวทัศน์พวกต้นไม้ ใบไม้ หน้าบันตับล่างทำเป็นลายท่อนพวงมาลัยสลับลายเฟื่องอุบะ พื้นที่ว่างประดับด้วยลายพรรณพฤกษา ลายเมฆ และลายนกบิน[4]

ประติมากรรมภิกษุณี 52 รูป

[แก้]
ประติมากรรมภิกษุณี 52 รูป

ภายในพระวิหาร เบื้องหน้าพระประธานมีการประดิษฐานประติมากรรม พระอริยสาวิกาหรือหมู่พระภิกษุณี ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ โดยมีพระนางประชาบดีโคตมีเป็นประธาน ตั้งบนฐานชุกชีที่แยกกับฐานชุกชีพระประธาน โดยประติมากรรมแสดงลักษณะถึงการมาประชุมพร้อมกัน และมีการแสดงท่าทางของภิกษุณีที่เหมือนจริงแต่งต่างกันไป โดยมีอริยาบถนั่ง 49 องค์ ยืน 3 องค์ ส่วนใหญ่ทำท่าพนมมือ แต่บางองค์ทำอริยาบถอื่นๆ เช่น ประสานพระหัตถ์ไว้ที่หน้าตักบ้าง วางพระหัตถ์ไว้ที่พระชานุบ้าง พระหัตถ์อยู่ในท่าถือตาลปัตรบ้าง พระหัตถ์ถือลูกประคำบ้าง หรือกำลังยกพระหัตถ์ขึ้นในลักษณะของการคิดบ้าง เป็นต้น โดยการสร้างประติมากรรมภิกษุณีเช่นนี้ถือเป็นงานสร้างสรรค์แบบใหม่ที่เกิดในรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นที่แรกและมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย[5]

ศาลาการเปรียญ

[แก้]
ศาลาการเปรียญ

ศาลาการเปรียญ ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระอุโบสถมีกำแพงกั้น มีขนาดใกล้เคียงกับพระวิหารโดยมีขนาดเล็กกว่าพระอุโบสถเล็กน้อย เป็นงานสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เช่นเดียวกัน ตัวอาคารไม่มีระเบียงล้อมรอบ มีเพียงมุขด้านหน้า - หลัง ไม่มีเสาพาไลโดยรอบ มีเพียงเสามุขด้านหน้า - หลัง ฝั่งละ 4 ต้น โดยเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมทึบตันขนาดใหญ่ ไม่มีการประดับบัวหัวเสา ไม่มีคันทวยรับน้ำหนักชายคา ซึ่งนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 หลังคามีจำนวน 2 ซ้อน มีตับหลังคา 3 ตับ ซุ้มประตูหน้าต่างประดับปูนปั้นลวดลายอย่างเทศจำพวกลายพรรณพฤกษา แต่มีลวดลายที่น้อยกว่าลายปูนปั้นซุ้มประตู - หน้าต่าง ของพระอุโบสถและพระวิหาร ภายในศาลาการเปรียญไม่มีการเขียนจิตรกรรม มีเสาร่วมในเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมทึบตันเช่นเดียวกับเสามุข มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานในซุ้มจรนำทรงบรรพแถลง[6]

หน้าบันศาลาการเปรียญ

[แก้]
หน้าบันศาลาการเปรียญ

หน้าบันศาลาการเปรียญ มีลักษณะและขนาดเหมือนกับหน้าบันพระวิหารเกือบทุกประการ เป็นรูปแบบหน้าบันแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือเป็นงานก่ออิฐถือปูนทั้งหมด ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ลวดลายเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบ ทำลักษณะคล้ายหน้าบันพระอุโบสถคือ ทำเป็นหน้าบัน 2 ตับ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวและสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ หน้าบันตับบนมีพื้นหลังสีขาว มีองค์ประกอบหลักคือ ลายท่อนพวงมาลัยสลับลายเฟื่องอุบะล้อมรอบกรอบหน้าบัน ตรงกลางทำเป็นรูปพญาหงส์ตัวเดียวยืนกางปีกหันหน้าไปทางทิศใต้ พื้นที่ว่างประดับด้วยลวดลายดอกไม้ ก้อนเมฆ ด้านล่างของหน้าบันตับบนทำเป็นลายทิวทัศน์พวกต้นไม้ ใบไม้ หน้าบันตับล่างทำเป็นลายท่อนพวงมาลัยสลับลายเฟื่องอุบะ พื้นที่ว่างประดับด้วยลายพรรณพฤกษา ลายเมฆ และลายนกบิน[4]

เจดีย์ทรงปรางค์มุมพระอุโบสถ

[แก้]
เจดีย์ทรงปรางค์มุมพระอุโบสถ

ตั้งอยู่ที่มุมกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ เป็นเจดีย์ทรงปรางค์ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างศิลปะประเพณีนิยมที่สร้างตามคติดั้งเดิมคือการสร้างเจดีย์ทรงปรางค์ไว้ที่มุมทั้ง 4 ซึ่งแทนถึงทวีปทั้ง 4 โดยมีพระอุโบสถตั้งอยู่ตรงกลางแทนศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งน่าจะมีต้นแบบมาจากผังพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ที่ใช้เจดีย์ทรงปรางค์ที่มุมทั้ง 4 แทนคติทวีปทั้ง 4 เช่นเดียวกัน รูปแบบของเจดีย์ทั้ง 4มีระเบียบแบบแผนเดียวกับเจดีย์ทรงปรางค์ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ทั่วไป โดยมีส่วนที่แตกต่างคือส่วนฐานล่างสุดอยู่ในผังแปดเหลี่ยมยกสูง มีระเบียงล้อมและแบ่งเป็นห้องๆ ทำเป็นช่องวงโค้งแบบอาคารตะวันตก ถัดขึ้นไปเป็นส่วนฐานของเจดีย์เป็นฐานเขียง 1 ฐาน และชุดฐานสิงห์ 2 ฐาน ส่วนเรือนธาตุมีซุ้มจรนำ ประดิษฐานรูปเทวดาถือพระขรรค์และอสูรถือกระบอง ซึ่งหมายถึงท้าวจตุโลกบาลที่ดูแลทิศทั้ง 4 ถัดขึ้นไปเป็นชั้นเชิงบาตรประดับประติมากรรมอสูรแบก ถัดขึ้นไปเป็นชั้นซ้อนจำนวน 5 ชั้น ประดับกลีบขนุน มีลักษณะเป็นแท่งตั้งตรง ไม่เป็นพุ่ม ซึ่งเป็นลักษณะยอดปรางค์ของเจดีย์ทรงปรางค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ส่วนยอดบนสุดประดับนภศูล องค์เจดีย์นับตั้งแต่ชุดฐานสิงห์ถึงยอดประดับกระเบื้องเคลือบทั้งองค์[7]

พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่

[แก้]
พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่

พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ตั้งอยู่ในเขตสังฆาวาสบริเวณหมู่กุฏิคณะ 7 ลักษณะคล้ายเรือนทรงไทย ปลูกเป็นหลังยาว ๆ แล้วกั้นฝาประจันแบ่งเป็นห้อง ๆ ตกแต่งด้วยศิลปะแบบผสมผสานทั้งไทย จีน และฝรั่ง ซึ่งได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี 2537 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ บางจุดมีระบบ AR (Augmented Reality) หรือการถ่ายภาพเสมือนจริง แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ห้อง ห้องแรกชื่อ แรงบันดาลใจไม่รู้จบ จัดแสดงเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตและผลงานของสุนทรภู่ในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 4 ภายในห้องมีรูปหล่อครึ่งตัวของ สุนทรภู่ เมื่อครั้งที่ท่านยังบวชเป็นพระภิกษุ ประดิษฐานไว้เป็นอนุสรณ์ ห้องที่ 2 ชื่อ มณีปัญญา ด้วยนิสัยรักการเรียนรู้ ช่างสังเกต ชอบเดินทางและรับฟังเรื่องราวแปลกใหม่ ด้วยใจเปิดกว้าง ท่ามกลางยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในสังคมหลายด้าน ห้องมณีปัญญาจึงสะท้อนเรื่องราวทางสังคมผ่านงานวรรณกรรมของสุนทรภู่ในหลากหลายมิติ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ทดลองเรียบเรียงบทร้อยกรองคำประพันธ์ของสุนทรภู่ มาให้ได้ท้าทายความสามารถของผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วย ห้องที่ 3 ชื่อ ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ จัดแสดงเครื่องอัฐบริขาร รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของ สุนทรภู่ เมื่อครั้งที่ท่านบวชเป็นพระภิกษุ เช่น บาตร ตาลปัตร ตะเกียง เตียง โต๊ะ ตู้ไม้ต่าง ๆ เพื่อจำลองบรรยากาศย้อนไปเมื่อสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา[8]

หอไตร

[แก้]
หอไตร

หอไตรตั้งอยู่ในเขตสังฆาวาสบริเวณทิศใต้ของวัด โดยตั้งอยู่บนกำแพงของเขตสังฆาวาส เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนสูง กว้าง 6.50 เมตร สูง 10 เมตร มีเครื่องหลังคาแบบไทยประเพณี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางส์ หน้าบันแบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าบันชั้นบนเป็นงานแกะสลักไม้ปิดทองประดับกระจกรูปลายพรรณพฤกษา หน้าบันชั้นล่างเป็นงานก่ออิฐถือปูนไม่ประดับลวดลายแต่มีการประดับจานกระเบื้องลายจีน 5 ใบ ชั้น 2 มีระเบียงรอบอาคาร มีหลังคากันสาดคลุมโดยรอบ บานประตู-หน้าต่างทำเป็นลายรดน้ำ ซุ้มประตู-หน้าต่างประดับปูนปั้นเป็นลวดลายอย่างเทศ ภายในเก็บรักษาพระคัมภีร์ใบลาน จารึกพระไตรปิฎกและคัมภีร์อื่น ๆ มีตู้พระไตรปิฎกทรงโบราณ กว้าง 1.75 เมตร ยาว 1.70 เมตร สูง 2 เมตร ขาตู้เป็นลักษณะเท้าสิงห์[9]


รูปภาพ

[แก้]

ลำดับเจ้าอาวาส

[แก้]

ลำดับเจ้าอาวาส และผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดเทพธิดารามวรวิหาร เท่าที่พบข้อมูล[10][11][12]

ลำดับที่ รายนาม เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ หมายเหตุ
1 พระปัญญาคัมภีรเถร พ.ศ. 2382 พ.ศ. 2385 เจ้าอาวาส
2 พระญาณปริยัติ (บุญ) ป.ธ.8 พ.ศ. 2386 พ.ศ. 2389 เจ้าอาวาส
3 พระธรรมเจดีย์ (สิงห์ สงฺโฆ) พ.ศ. 2389 พ.ศ. 2408 เจ้าอาวาส
4 พระสุนทรสมาจารย์ (เข้ม) พ.ศ. 2408 พ.ศ. 2410 เจ้าอาวาส
5 พระสุธรรมธีรคุณ (ทัด) พ.ศ. 2410 พ.ศ. 2430 เจ้าอาวาส
6 พระสุนทรศีลาจารย์ (เลิศ) พ.ศ. 2430 พ.ศ. 2434 เจ้าอาวาส
7 พระสุนทรสมาจารย์ (สวน) พ.ศ. 2434 พ.ศ. 2457 เจ้าอาวาส, มรณภาพ
8 พระครูธรรมรังษี (พัน กิจฺจกโร) พ.ศ. 2457 พ.ศ. 2458 ผู้รั้ง
พ.ศ. 2458 พ.ศ. 2469 เจ้าอาวาส, มรณภาพ
ว่าง พระสมุห์ไสว ธมฺมสาโร พ.ศ. 2469 พ.ศ. 2469 ผู้รั้ง, ภายหลังเป็นพระเมธีธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดบ้านกร่าง
9 พระมงคลธรรมรังษี (ปาน อินฺทโชโต) ป.ธ.3 พ.ศ. 2469 พ.ศ. 2509 เจ้าอาวาส, มรณภาพ
10 พระวิสุทธิวงศาจารย์ (พลอย ญาณสํวโร) ป.ธ. 9 พ.ศ. 2511 พ.ศ. 2547 เจ้าอาวาส, มรณภาพ
11 พระธรรมวชิรคณี (แผ่ว ปรกฺกโม) ป.ธ.9 พ.ศ. 2548 - เจ้าอาวาส, ปัจจุบัน

อ้างอิง

[แก้]
  1. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 283-285
  2. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 285-287
  3. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 289-291
  4. 1 2 3 ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 292
  5. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 293-294
  6. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 294
  7. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 288-289
  8. พรหมสาขา ณ สกลนคร, วิรินทร์. "Thai PBS พาเที่ยว | เที่ยวพิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ดูผลงาน ชีวิต และความเป็นอยู่ของครูกวีศรีรัตนโกสินทร์ @ วัดเทพธิดารามวรวิหาร".
  9. "อันซีน"วัดเทพธิดาราม"…งดงาม"หอไตร" มรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-31. สืบค้นเมื่อ 2018-02-02.
  10. พระสุนทรกิจโกศล. (2510). รำพันพิลาปของสุนทรภู่ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระมงคลธรรมรังษี. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร.
  11. พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2525). ประเพณี พิธีพจน์ อนุสรณ์ พระเมธีธรรมสาร วันพระราชทานเพลิงศพ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม.
  12. จันทร์ ไพจิตร. (2547). ประมวลพิธีมงคลของไทย อนุสรณ์พระวิสุทธิวงศาจารย์ (พลอย ญาณสํวโร). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช.