วัดเทพธิดารามวรวิหาร
13°45′12″N 100°30′16″E / 13.75333°N 100.50444°E
| วัดเทพธิดารามวรวิหาร | |
|---|---|
ทางเข้าด้านหน้าวัด | |
![]() | |
| ที่ตั้ง | แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร |
| ประเภท | พระอารามหลวงชั้นตรี |
| นิกาย | มหานิกาย |
| เจ้าอาวาส | พระธรรมวชิรคณี (แผ่ว ปรกกฺโม) |
| ชื่อที่ขึ้นทะเบียน | วัดเทพธิดาราม |
| ขึ้นเมื่อ | 13 ธันวาคม พ.ศ. 2520 |
| เป็นส่วนหนึ่งของ | รายชื่อโบราณสถานในกรุงเทพมหานคร (เขตพระนคร) |
| เลขอ้างอิง | 0000019 |
| หมายเหตุ | การเข้าชมพระอุโบสถ พระวิหาร และศาลาการเปรียญนั้นต้องขออนุญาตจากทางวัดเสียก่อน |
วัดเทพธิดารามวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ที่ริมถนนมหาไชย ใกล้วัดราชนัดดารามวรวิหาร วัดเทพธิดารามวรวิหาร เดิมชื่อ วัดบ้านพระยาไกรสวนหลวง สันนิษฐานว่า เรียกตามบริเวณที่สร้าง ที่เป็นสวนไร่นา และคงเป็นที่ของพระยาไกรเพชรรัตนสงคราม เจ้านายหรือขุนนาง
วัดเทพธิดารามวรวิหารเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดฯ ให้สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชทานแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาองค์ใหญ่ใน รัชกาลที่ 3 สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2379 เสร็จในปี พ.ศ. 2382
สิ่งสำคัญในวัดนี้คือ พระปรางค์ทิศทั้งสี่ เป็นฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ 3 บุษบกที่รองรับพระประธาน ภายในโบสถ์ ที่ประดิษฐ์อย่างสวยงามและที่ผนังพระอุโบสถมีภาพเขียนเป็นรูปพุ่มข้าวบิณฑ์ แบบอย่างในรัชกาลที่ 3
วัดนี้เคยเป็นที่พำนักของสุนทรภู่กวีเอกแห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่าง พ.ศ. 2383 - 2385 เมื่อคราวบวชเป็นพระภิกษุ ปัจจุบันยังมีกุฏิหลังหนึ่ง เรียกว่า "บ้านกวี" เปิดเป็น พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่
ศิลปกรรม
[แก้]พระอุโบสถ
[แก้]
พระอุโบสถ มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะจีน เนื่องจากในช่วงนั้นมีการติดต่อค้าขายกับจีน อิทธิพลของจีนจึงเข้ามามีบทบาทในการสร้างสรรค์ศิลปกรรม รูปแบบสถาปัตยกรรมจึงเป็นอาคารแบบไม่มีช่อฟ้า ใบระกา รอบอาคารมีระเบียงโดยรอบ มีเสาพาไล และเสาเฉลียงรอบทั้งอาคาร รูปแบบเสารับน้ำหนักเป็นเสาทรงเหลี่ยมทึบขนาดใหญ่ ไม่มีการประดับบัวหัวเสา ไม่มีคันทวยรับน้ำหนักชายคา หลังคามีจำนวน 2 ซ้อน มีตับหลังคา 3 ตับ มีหลังคากันสาดโดยรอบอาคาร ภายในมีเสาร่วมในเป็นเสาทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ ซุ้มประตูหน้าต่างประดับปูนปั้นลวดลายอย่างเทศจำพวกลายพรรณพฤกษา จิตรกรรมภายในเขียนเป็นลายแผง พื้นหลังใช้สีน้ำเงินและเขียนลายดอกก้านแย่งจำพวกดอกโบตั๋นเต็มพื้นที่ มีลายดอกขนาดใหญ่ตรงกลางเป็นทรงพุ่มคล้ายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มีลายดอกและใบล้อมรอบอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมในลักษณะต่อเนื่องกันตลอดทั้งผนัง[1] โดยรอบอาคารมีการประดับประติมากรรมที่เป็นตุ๊กตาจีนสลักหิน มีทั้งรูปคนและสัตว์ ตุ๊กตารูปคนบางตัวมีลักษณะท่าทางและการแต่งกายแบบจีน บางตัวแต่งกายแบบไทย ลักษณะพิเศษที่วัดแห่งนี้คือมีรูปสลักผู้หญิงในลักษณะต่าง ๆ เป็นส่วนมาก
หน้าบันพระอุโบสถ
[แก้]
หน้าบันพระอุโบสถเป็นรูปแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เป็นงานก่ออิฐถือปูนทั้งหมด ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ลวดลายเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบ หน้าบันพระอุโบสถแบ่งเป็น 2 ตับ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มวัดที่รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาขึ้น รูปแบบเดียวกับหน้าบันพระอุโบสถวัดราชโอรสาราม, วัดนางนอง, วัดเศวตฉัตร พื้นหลังหน้าบันเป็นพื้นสีขาวประดับลวดลายด้วยกระเบื้องเคลือบลวดลายจีนกึ่งลายไทย หน้าบันตับบนตรงกลางเป็นกรอบวงกลมตั้งอยู่บนแท่น ภายในเป็นรูปดอกไม้บานเต็มกรอบ ด้านข้างกรอบวงกลมประดับด้วยพญาหงส์ฟ้าทืี่มีลักษณะคล้ายนกยูง หันหน้าเข้าหากรอบวงหลมข้างละตัว ปากหงส์คาบดอกไม้ หางของหงส์บาวลงมาตามกรอบหน้าบันสมมาตรกันทั้ง 2 ข้าง พื้นหลังเป็นช่อดอกไม้ กรอบหน้าบันผูกลายเป็นผ้าห้อยลักษณะแบบโบ โค้งต่อเนื่องกัน สลับกับช่อดอกไม้ ลายกรอบหน้าบันด้านนอกสุดทำเป็นลายประจับยามก้ามปู แนวด้านล่างทำเป็นรูปทิวทัศน์ หน้าบันตับล่างทำเป็นรูปทิวทัศน์เช่นกัน มีนก และค้างคาว กระจายเต็มพื้นที่ โดยด้านบนทำเป็นลายผ้าห้อยลักษณะแบบลายเฟื่องอุบะ[2]
พระพุทธเทววิลาส
[แก้]
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กประดิษฐานบนบุษบก ชาวบ้านเรียก "หลวงพ่อขาว" เนื่องจากสลักด้วยศิลาขาวบริสุทธิ์ หน้าตักกว้าง 14 นิ้ว สูง 20 นิ้ว รัชกาลที่ 9 ทรงถวายพระนามว่า พระพุทธเทววิลาส เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร เดิมประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง เมื่อครั้งสร้างวัดเทพธิดารามแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหลวงพ่อขาวจากพระบรมมหาราชวังมาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ พุทธลักษณะของพระพุทธเทววิลาสมีพระพักตร์กลมป้อม พระโอษฐ์เล็ก แย้มสรวลเล็กน้อย มีพระพักตร์อน่างหุ่น ทำนิ้วพระหัตถ์เสมอกัน โดยพระพุทธรูปที่มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธเทววิลาสอีกองค์คือพระประธานในพระวิหาร วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร ส่วนบุษบกที่เป็นฐานพระพุทธเทววิลาสเป็นบุษบกอีกหลังหนึ่งที่มีความงดงามมาก ลักษณะเป็นบุษบกที่มีเรือนยอดทรงปราสาท ส่วนฐานประดับพลแบกที่เป็นครุฑหนึ่งชั้นและเทพพนมหนึ่งชั้น มีการต่อฐานออกด้านข้างเพื่อเป็นฐานของฉัตรในลักษณะอ่อนโค้งแบบท้องสำเภา มีแถวครุฑพนมมือหนึ่งแถว ด้านข้างของบุษบกประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทรทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิ์[3]
พระวิหาร
[แก้]
พระวิหาร ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของพระอุโบสถมีกำแพงกั้น มีขนาดใกล้เคียงกับศาลาการเปรียญโดยมีขนาดเล็กกว่าพระอุโบสถเล็กน้อย เป็นงานสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เช่นเดียวกัน ตัวอาคารมีระเบียงโดยรอบ มีเสาพาไล และเสาเฉลียงรอบทั้งอาคาร รูปแบบเสารับน้ำหนักเป็นเสาทรงเหลี่ยมทึบขนาดใหญ่ ไม่มีการประดับบัวหัวเสา ไม่มีคันทวยรับน้ำหนักชายคา หลังคามีจำนวน 2 ซ้อน มีตับหลังคา 3 ตับ มีหลังคากันสาดโดยรอบอาคาร ซุ้มประตูหน้าต่างประดับปูนปั้นลวดลายอย่างเทศจำพวกลายพรรณพฤกษา ผังของพระวิหารมีลักษณะพิเศษคือ มีการสร้างเจดีย์ทรงเครื่องล้อมรอบทั้งพระวิหารจำนวน 14 องค์ และล้อมด้วยกำแพงแก้วอีกชั้นหนึ่ง ผนังภายในพระวิหารมีพื้นหลังเป็นสีแดงมีการเขียนเป็นจิตรกรรมเป็นรูปดอกไม้ร่วง และรูปหงส์บินร่อนลงด้านล่างปากคาบดอกไม้แบบจีนจำพวกดอกโบตั๋น โดยทำลายซ้ำกับเต็มผนังเหมือนกับการพิมพ์ลายลงไป ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย ปางมารวิชัย[4]
หน้าบันพระวิหาร
[แก้]
หน้าบันพระวิหารเป็นรูปแบบหน้าบันแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือเป็นงานก่ออิฐถือปูนทั้งหมด ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ลวดลายเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบ ทำลักษณะคล้ายหน้าบันพระอุโบสถคือ ทำเป็นหน้าบัน 2 ตับ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวและสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ หน้าบันตับบนมีพื้นหลังสีขาว มีองค์ประกอบหลักคือ ลายท่อนพวงมาลัยสลับลายเฟื่องอุบะล้อมรอบกรอบหน้าบัน ตรงกลางทำเป็นรูปพญาหงส์ตัวเดียวยืนกางปีกหันหน้าไปทางทิศเหนือ พื้นที่ว่างประดับด้วยลวดลายดอกไม้ ก้อนเมฆ ด้านล่างของหน้าบันตับบนทำเป็นลายทิวทัศน์พวกต้นไม้ ใบไม้ หน้าบันตับล่างทำเป็นลายท่อนพวงมาลัยสลับลายเฟื่องอุบะ พื้นที่ว่างประดับด้วยลายพรรณพฤกษา ลายเมฆ และลายนกบิน[4]
ประติมากรรมภิกษุณี 52 รูป
[แก้]
ภายในพระวิหาร เบื้องหน้าพระประธานมีการประดิษฐานประติมากรรม พระอริยสาวิกาหรือหมู่พระภิกษุณี ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ โดยมีพระนางประชาบดีโคตมีเป็นประธาน ตั้งบนฐานชุกชีที่แยกกับฐานชุกชีพระประธาน โดยประติมากรรมแสดงลักษณะถึงการมาประชุมพร้อมกัน และมีการแสดงท่าทางของภิกษุณีที่เหมือนจริงแต่งต่างกันไป โดยมีอริยาบถนั่ง 49 องค์ ยืน 3 องค์ ส่วนใหญ่ทำท่าพนมมือ แต่บางองค์ทำอริยาบถอื่นๆ เช่น ประสานพระหัตถ์ไว้ที่หน้าตักบ้าง วางพระหัตถ์ไว้ที่พระชานุบ้าง พระหัตถ์อยู่ในท่าถือตาลปัตรบ้าง พระหัตถ์ถือลูกประคำบ้าง หรือกำลังยกพระหัตถ์ขึ้นในลักษณะของการคิดบ้าง เป็นต้น โดยการสร้างประติมากรรมภิกษุณีเช่นนี้ถือเป็นงานสร้างสรรค์แบบใหม่ที่เกิดในรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นที่แรกและมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย[5]
ศาลาการเปรียญ
[แก้]
ศาลาการเปรียญ ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระอุโบสถมีกำแพงกั้น มีขนาดใกล้เคียงกับพระวิหารโดยมีขนาดเล็กกว่าพระอุโบสถเล็กน้อย เป็นงานสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เช่นเดียวกัน ตัวอาคารไม่มีระเบียงล้อมรอบ มีเพียงมุขด้านหน้า - หลัง ไม่มีเสาพาไลโดยรอบ มีเพียงเสามุขด้านหน้า - หลัง ฝั่งละ 4 ต้น โดยเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมทึบตันขนาดใหญ่ ไม่มีการประดับบัวหัวเสา ไม่มีคันทวยรับน้ำหนักชายคา ซึ่งนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 หลังคามีจำนวน 2 ซ้อน มีตับหลังคา 3 ตับ ซุ้มประตูหน้าต่างประดับปูนปั้นลวดลายอย่างเทศจำพวกลายพรรณพฤกษา แต่มีลวดลายที่น้อยกว่าลายปูนปั้นซุ้มประตู - หน้าต่าง ของพระอุโบสถและพระวิหาร ภายในศาลาการเปรียญไม่มีการเขียนจิตรกรรม มีเสาร่วมในเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมทึบตันเช่นเดียวกับเสามุข มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานในซุ้มจรนำทรงบรรพแถลง[6]
หน้าบันศาลาการเปรียญ
[แก้]
หน้าบันศาลาการเปรียญ มีลักษณะและขนาดเหมือนกับหน้าบันพระวิหารเกือบทุกประการ เป็นรูปแบบหน้าบันแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือเป็นงานก่ออิฐถือปูนทั้งหมด ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ลวดลายเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบ ทำลักษณะคล้ายหน้าบันพระอุโบสถคือ ทำเป็นหน้าบัน 2 ตับ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวและสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ หน้าบันตับบนมีพื้นหลังสีขาว มีองค์ประกอบหลักคือ ลายท่อนพวงมาลัยสลับลายเฟื่องอุบะล้อมรอบกรอบหน้าบัน ตรงกลางทำเป็นรูปพญาหงส์ตัวเดียวยืนกางปีกหันหน้าไปทางทิศใต้ พื้นที่ว่างประดับด้วยลวดลายดอกไม้ ก้อนเมฆ ด้านล่างของหน้าบันตับบนทำเป็นลายทิวทัศน์พวกต้นไม้ ใบไม้ หน้าบันตับล่างทำเป็นลายท่อนพวงมาลัยสลับลายเฟื่องอุบะ พื้นที่ว่างประดับด้วยลายพรรณพฤกษา ลายเมฆ และลายนกบิน[4]
เจดีย์ทรงปรางค์มุมพระอุโบสถ
[แก้]
ตั้งอยู่ที่มุมกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ เป็นเจดีย์ทรงปรางค์ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างศิลปะประเพณีนิยมที่สร้างตามคติดั้งเดิมคือการสร้างเจดีย์ทรงปรางค์ไว้ที่มุมทั้ง 4 ซึ่งแทนถึงทวีปทั้ง 4 โดยมีพระอุโบสถตั้งอยู่ตรงกลางแทนศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งน่าจะมีต้นแบบมาจากผังพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ที่ใช้เจดีย์ทรงปรางค์ที่มุมทั้ง 4 แทนคติทวีปทั้ง 4 เช่นเดียวกัน รูปแบบของเจดีย์ทั้ง 4มีระเบียบแบบแผนเดียวกับเจดีย์ทรงปรางค์ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ทั่วไป โดยมีส่วนที่แตกต่างคือส่วนฐานล่างสุดอยู่ในผังแปดเหลี่ยมยกสูง มีระเบียงล้อมและแบ่งเป็นห้องๆ ทำเป็นช่องวงโค้งแบบอาคารตะวันตก ถัดขึ้นไปเป็นส่วนฐานของเจดีย์เป็นฐานเขียง 1 ฐาน และชุดฐานสิงห์ 2 ฐาน ส่วนเรือนธาตุมีซุ้มจรนำ ประดิษฐานรูปเทวดาถือพระขรรค์และอสูรถือกระบอง ซึ่งหมายถึงท้าวจตุโลกบาลที่ดูแลทิศทั้ง 4 ถัดขึ้นไปเป็นชั้นเชิงบาตรประดับประติมากรรมอสูรแบก ถัดขึ้นไปเป็นชั้นซ้อนจำนวน 5 ชั้น ประดับกลีบขนุน มีลักษณะเป็นแท่งตั้งตรง ไม่เป็นพุ่ม ซึ่งเป็นลักษณะยอดปรางค์ของเจดีย์ทรงปรางค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ส่วนยอดบนสุดประดับนภศูล องค์เจดีย์นับตั้งแต่ชุดฐานสิงห์ถึงยอดประดับกระเบื้องเคลือบทั้งองค์[7]
พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่
[แก้]
พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ตั้งอยู่ในเขตสังฆาวาสบริเวณหมู่กุฏิคณะ 7 ลักษณะคล้ายเรือนทรงไทย ปลูกเป็นหลังยาว ๆ แล้วกั้นฝาประจันแบ่งเป็นห้อง ๆ ตกแต่งด้วยศิลปะแบบผสมผสานทั้งไทย จีน และฝรั่ง ซึ่งได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี 2537 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ บางจุดมีระบบ AR (Augmented Reality) หรือการถ่ายภาพเสมือนจริง แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ห้อง ห้องแรกชื่อ แรงบันดาลใจไม่รู้จบ จัดแสดงเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตและผลงานของสุนทรภู่ในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 4 ภายในห้องมีรูปหล่อครึ่งตัวของ สุนทรภู่ เมื่อครั้งที่ท่านยังบวชเป็นพระภิกษุ ประดิษฐานไว้เป็นอนุสรณ์ ห้องที่ 2 ชื่อ มณีปัญญา ด้วยนิสัยรักการเรียนรู้ ช่างสังเกต ชอบเดินทางและรับฟังเรื่องราวแปลกใหม่ ด้วยใจเปิดกว้าง ท่ามกลางยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในสังคมหลายด้าน ห้องมณีปัญญาจึงสะท้อนเรื่องราวทางสังคมผ่านงานวรรณกรรมของสุนทรภู่ในหลากหลายมิติ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ทดลองเรียบเรียงบทร้อยกรองคำประพันธ์ของสุนทรภู่ มาให้ได้ท้าทายความสามารถของผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วย ห้องที่ 3 ชื่อ ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ จัดแสดงเครื่องอัฐบริขาร รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของ สุนทรภู่ เมื่อครั้งที่ท่านบวชเป็นพระภิกษุ เช่น บาตร ตาลปัตร ตะเกียง เตียง โต๊ะ ตู้ไม้ต่าง ๆ เพื่อจำลองบรรยากาศย้อนไปเมื่อสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา[8]
หอไตร
[แก้]
หอไตรตั้งอยู่ในเขตสังฆาวาสบริเวณทิศใต้ของวัด โดยตั้งอยู่บนกำแพงของเขตสังฆาวาส เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนสูง กว้าง 6.50 เมตร สูง 10 เมตร มีเครื่องหลังคาแบบไทยประเพณี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางส์ หน้าบันแบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าบันชั้นบนเป็นงานแกะสลักไม้ปิดทองประดับกระจกรูปลายพรรณพฤกษา หน้าบันชั้นล่างเป็นงานก่ออิฐถือปูนไม่ประดับลวดลายแต่มีการประดับจานกระเบื้องลายจีน 5 ใบ ชั้น 2 มีระเบียงรอบอาคาร มีหลังคากันสาดคลุมโดยรอบ บานประตู-หน้าต่างทำเป็นลายรดน้ำ ซุ้มประตู-หน้าต่างประดับปูนปั้นเป็นลวดลายอย่างเทศ ภายในเก็บรักษาพระคัมภีร์ใบลาน จารึกพระไตรปิฎกและคัมภีร์อื่น ๆ มีตู้พระไตรปิฎกทรงโบราณ กว้าง 1.75 เมตร ยาว 1.70 เมตร สูง 2 เมตร ขาตู้เป็นลักษณะเท้าสิงห์[9]
รูปภาพ
[แก้]- ภายในพระอุโบสถ
- ภายในพระวิหาร
- ภายในศาลาการเปรียญ
- พระประธานในพระวิหาร
- บรรยากาศภายในกุฏิสุนทรภู่
- พระบรมสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ 3 และพระสาทิสลักษณ์กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
- รูปหล่อสุนทรภู่เมื่อครั้งบวชเป็นพระภิกษุ
ลำดับเจ้าอาวาส
[แก้]ลำดับเจ้าอาวาส และผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดเทพธิดารามวรวิหาร เท่าที่พบข้อมูล[10][11][12]
| ลำดับที่ | รายนาม | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ | หมายเหตุ |
| 1 | พระปัญญาคัมภีรเถร | พ.ศ. 2382 | พ.ศ. 2385 | เจ้าอาวาส |
| 2 | พระญาณปริยัติ (บุญ) ป.ธ.8 | พ.ศ. 2386 | พ.ศ. 2389 | เจ้าอาวาส |
| 3 | พระธรรมเจดีย์ (สิงห์ สงฺโฆ) | พ.ศ. 2389 | พ.ศ. 2408 | เจ้าอาวาส |
| 4 | พระสุนทรสมาจารย์ (เข้ม) | พ.ศ. 2408 | พ.ศ. 2410 | เจ้าอาวาส |
| 5 | พระสุธรรมธีรคุณ (ทัด) | พ.ศ. 2410 | พ.ศ. 2430 | เจ้าอาวาส |
| 6 | พระสุนทรศีลาจารย์ (เลิศ) | พ.ศ. 2430 | พ.ศ. 2434 | เจ้าอาวาส |
| 7 | พระสุนทรสมาจารย์ (สวน) | พ.ศ. 2434 | พ.ศ. 2457 | เจ้าอาวาส, มรณภาพ |
| 8 | พระครูธรรมรังษี (พัน กิจฺจกโร) | พ.ศ. 2457 | พ.ศ. 2458 | ผู้รั้ง |
| พ.ศ. 2458 | พ.ศ. 2469 | เจ้าอาวาส, มรณภาพ | ||
| ว่าง | พระสมุห์ไสว ธมฺมสาโร | พ.ศ. 2469 | พ.ศ. 2469 | ผู้รั้ง, ภายหลังเป็นพระเมธีธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดบ้านกร่าง |
| 9 | พระมงคลธรรมรังษี (ปาน อินฺทโชโต) ป.ธ.3 | พ.ศ. 2469 | พ.ศ. 2509 | เจ้าอาวาส, มรณภาพ |
| 10 | พระวิสุทธิวงศาจารย์ (พลอย ญาณสํวโร) ป.ธ. 9 | พ.ศ. 2511 | พ.ศ. 2547 | เจ้าอาวาส, มรณภาพ |
| 11 | พระธรรมวชิรคณี (แผ่ว ปรกฺกโม) ป.ธ.9 | พ.ศ. 2548 | - | เจ้าอาวาส, ปัจจุบัน |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 283-285
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 285-287
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 289-291
- 1 2 3 ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 292
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 293-294
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 294
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 288-289
- ↑ พรหมสาขา ณ สกลนคร, วิรินทร์. "Thai PBS พาเที่ยว | เที่ยวพิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ดูผลงาน ชีวิต และความเป็นอยู่ของครูกวีศรีรัตนโกสินทร์ @ วัดเทพธิดารามวรวิหาร".
- ↑ "อันซีน"วัดเทพธิดาราม"…งดงาม"หอไตร" มรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-31. สืบค้นเมื่อ 2018-02-02.
- ↑ พระสุนทรกิจโกศล. (2510). รำพันพิลาปของสุนทรภู่ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระมงคลธรรมรังษี. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร.
- ↑ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2525). ประเพณี พิธีพจน์ อนุสรณ์ พระเมธีธรรมสาร วันพระราชทานเพลิงศพ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม.
- ↑ จันทร์ ไพจิตร. (2547). ประมวลพิธีมงคลของไทย อนุสรณ์พระวิสุทธิวงศาจารย์ (พลอย ญาณสํวโร). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช.
- เที่ยว “วัดเทพธิดาราม” ชมความงามศิลปะสมัย ร.3 เก็บถาวร 2005-04-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 มีนาคม 2548 15:28 น.
- วัดเทพธิดาราม วรวิหาร dhammathai.org
