วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
| วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร | |
|---|---|
วัดบวรนิเวศวิหาร | |
![]() | |
| ชื่อสามัญ | วัดบวรนิเวศวิหาร |
| ที่ตั้ง | ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร |
| ประเภท | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร[1] |
| นิกาย | เถรวาท ธรรมยุติกนิกาย |
| พระประธาน | พระพุทธชินสีห์ พระสุวรรณเขต พระศรีศาสดา |
| เจ้าอาวาส | พระพรหมวชิรรังษี (จิรพล อธิจิตฺโต) |
| ความพิเศษ | วัดประจำรัชกาลที่ 6 [ต้องการอ้างอิง] และรัชกาลที่ 9 [ต้องการอ้างอิง] |
| เว็บไซต์ | https://www.facebook.com/WatBovoranivesVihara |
| หมายเหตุ | |
| ชื่อที่ขึ้นทะเบียน | วัดบวรนิเวศวิหาร |
| ขึ้นเมื่อ | 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 |
| เป็นส่วนหนึ่งของ | โบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร |
| เลขอ้างอิง | 0000041 |
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร (เดิมชื่อว่า วัดใหม่) เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บริเวณริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ ในแขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย สถาปนาขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว[2]
พระอารามแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกถึง 4 พระองค์ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของสงฆ์สายฝ่ายธรรมยุติกนิกายแห่งแรกในประเทศไทย[3] นอกจากนี้ วัดบวรนิเวศวิหารยังเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อีกด้วย[4][5]
พระประธานในพระอารามนี้มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากวัดอื่นทั่วไป โดยมีพระประธานทั้งหมด 2 องค์ ซึ่งล้วนเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ พระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก โดยอัญเชิญมาทั้งองค์เมื่อราว พ.ศ. 2373[6] ส่วนพระสุวรรณเขต หรือที่รู้จักกันในนาม "พระโต" หรือ "หลวงพ่อเพชร" เป็นพระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่เบื้องหลังพระพุทธชินสีห์ ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพได้อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี[7]
ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงผนวชและประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร โปรดเกล้าฯ ให้ประติมากรของกรมศิลปากรปั้นหุ่นและสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร โดยเสด็จพระราชดำเนินหล่อพระพุทธรูปเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2499 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระพุทธนราวันตบพิตร"[8][9]
ประวัติ
[แก้]วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3)แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็สวรรคตเสียก่อน ถึงปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 6)โปรดให้รวมวัดรังษีสุทธาวาสเข้าหาวัดบวรนิเวศวิหาร[10]
ศิลปกรรม
[แก้]พระอุโบสถ
[แก้]
สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เดิมอาจมีแนวคิดที่จะสร้างขึ้นเป็นพระอุโบสถจตุรมุขแบบพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส แต่ในการก่อสร้างจริงอาจมีการปรับเปลี่ยนผังอาคารบ่อยครั้งจนเป็นอาคารแบบตรีมุขดังในปัจจุบัน[11] โดยงานช่างที่แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องมาจากศิลปกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือ การมีเสาพาไลเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่รับน้ำหนักหลังคาไม่มีคันทวยและบัวหัวเสา หน้าบันเป็นงานก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายกระเบื้องเคลือบลวดลายอย่างเทศ[11] ต่อมาได้มีการบูรณะแต่งเติมโดยรัชกาลที่ 4 ขณะทรงผนวชและเสด็จมาครองวัด ศิลปกรรมที่เพิ่มเติมในพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 4 คือ การประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์เป็นลวดลายดอกไม้แบบตะวันตกและประดับตราพระราชลัญจกรคือรูปพระมุงกุฏและพระขรรค์บนหน้าบันทั้ง 3 ด้าน และสร้างมุขลดเพิ่มที่ด้านหน้าเป็นมุขโถงมีการทำเสาเป็นเสาหินอ่อนสั่งทำจากประเทศอิตาลี แกะสลักบัวหัวเสาเป็นลวดลายใบอะแคนทัสมีชื่อเรียกทางศิลปกรรมไทยว่า "ลายใบผักกาดเทศ"[11] ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นงานปูนปั้นลงรักปิดทองประดับกระจกประดับลวดลายดอกไม้ใบไม้อย่างเทศ การประดิษฐานใบเสมาเป็นเสมาบนแท่นประดิษฐานติดกับผนังพระอุโบสถ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถเป็นฝีมือขรัวอินโข่ง
พระพุทธชินสีห์และพระสุวรรณเขต
[แก้]
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์เป็นประธาน คือ พระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพอัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระประธานองค์แรกตั้งอยู่เบื้องหลังและพระพุทธชินสีห์ ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพอัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก โดยตั้งไว้ ณ มุขหลังพระอุโบสถ ก่อนจะย้ายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถเบื้องหน้าพระสุวรรณเขตโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะยังทรงผนวช ใต้ฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธชินสีห์เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเคยผนวช ณ วัดแห่งนี้ พุทธลักษณะของพระพุทธชินสีห์จัดอยู่ในศิลปะสุโขทัย หมวดพระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ พระพักตร์ทรงไข่ค่อนข้างกลม ขมวดพระเกษาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก สังฆาฏิเป็นเส้นเล็กยาวจรดพระนาภีปลายแยกออกเป็นสองชายและม้วนเข้าหากันคล้ายเขี้ยวตะขาบ นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน ส่วนพุทธลักษณะของพระสุวรรณเขต เป็นพระพุทธรูปสำริด ลักษณะพระพักตร์ทรงเหลี่ยม เคร่งขรึม พระขนง พระเนตร พระโอษฐ์ และสังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ เป็นลักษณะของพระพุทธรูปศิลปะอยุธยา สกุลช่างเพชรบุรี[11]
ภาพศิลปกรรมอื่น ๆ ในพระอุโบสถ
[แก้]- ภายในพระอุโบสถ
- หน้าบันพระอุโบสถ
- หัวเสามุขลดพระอุโบสถแกะสลักลวดลายใบอะแคนทัส
- จิตรกรรมภายในพระอุโบสถ ฝีมือ ขรัวอินโข่ง
- ใบสีมาพระอุโบสถ
เจดีย์ประธาน
[แก้]
เริ่มสร้างโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพแต่เสร็จเพียงแค่ฐานพระองค์ได้ทิวงคตลงก่อนจึงได้สร้างต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังสมัยรัตนโกสินทร์ที่ได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ทรงระฆังศิลปะอยุธยาเป็นต้นแบบให้กับเจดีย์ทรงระฆังที่จะสร้างขึ้นตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 4[11] ลักษณะองค์เจดีย์มีการยกฐานสูงมีลานประทักษิณ 2 ชั้น แต่ละชั้นมีกำแพงแก้วล้อมรอบ บริเวณมุมของฐานประทักษิณชั้นแรกสร้างเป็นศาลาทรงจีน บริเวณมุมของฐานประทักษิณชั้นที่สองสร้างเป็นเจดีย์ประจำมุมเป็นรูปทรงแบบ "มณฑปยอดปรางค์"[11] องค์เจดีย์ประธานและเจดีย์ประจำมุมหุ้มกระเบื้องสีทอง บริเวณลานประทักษิณชั้นที่สองด้านทิศเหนือของเจดีย์ประธานประดิษฐาน พระไพรีพินาศ และในทางขึ้นลานประทักษิณชั้นที่ 2 ด้านทิศตะวันออกมีมณฑปยอดปรางค์ภายในประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประติมากรรมซุ้มทางเข้าเจดีย์ประธาน
[แก้]บริเวณเหนือซุ้มทางเข้าเจดีย์ประธานมีรูปประติมากรรมลอยตัวรูปช้าง สิงโต นกอินทรี และม้า ซึ่งแทนความหมายของศูนย์กลางจักรวาลที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงโดยศูนย์กลางคือสยามประเทศ โดย
- ช้าง - แทนถึงดินแดนล้านช้างและล้านนา ตั้งอยู่บนซุ้มทิศตะวันออกเฉียงเหนือ[11]
ภาพศิลปกรรมอื่น ๆ บนเจดีย์ประธาน
[แก้]- พระไพรีพินาศ
- พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 บนลานประทักษิณชั้นที่ 2
- ประติมากรรมช้าง
- ประติมากรรมสิงโต
- ประติมากรรมอินทรี
- ประติมากรรมม้า
- มณฑปยอดปรางค์ประจำมุมเจดีย์ประธาน
วิหารพระศรีศาสดา
[แก้]
ตัวอาคารเป็นงานศิลปกรรมที่สืบทอดมาจากศิลปกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 โดยมีส่วนเพิ่มเติมที่เป็นอิทธิพลศิลปะตะวันตก ตัวอาคารมีเสาพาไลทึบทรงสี่เหลี่ยมล้อมรอบ ไม่มีคันทวยและบัวหัวเสา หน้าบันก่ออิฐถือปูนแบบเก๋งจีนผสมทรงวิลันดาที่มีการประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์แบบลวดลายตะวันตกคือทำเป็นรูปกิงก้านของดอกไม้ใบไม้ กลางหน้าบันประดับพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4 ขนาบด้วยฉัตร 7 ชั้น ล้อมรอบด้วยลวดลายปูนปั้นดอกโบตั๋นพร้อมด้วยก้านและใบที่มีขนาดใหญ่และมีสีแตกต่างกัน ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นงานผสมผสานระหว่างศิลปะไทยประเพณีคือโครงเป็นกรอบซุ้มโค้งแบบซุ้มเรือนแก้วและมียอดซุ้มเหมือนยอดทรงปราสาทและประดับลายอย่างเทศคือบัวหัวเสาทำเป็นลายใบอะแคนทัส ส่วนกลางซุ้มประดับพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4
ภายในพระวิหารประดิษฐานพระศรีศาสดาซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านทิศใต้ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ต่อมาเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ได้อัญเชิญพระศรีศาสดาจากเมืองพิษณุโลกมาไว้ที่วัด เนื่องจากเห็นว่าวิหารที่ประดิษฐานพระศรีศาสดาอยู่เดิมนั้นชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค)ทราบเรื่อง จึงให้อัญเชิญพระศรีศาสดาจากวัดบางอ้อยช้างมาไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลี ต่อมาพุทธศักราช 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่ามีการชะลอพระศรีศาสดามายังกรุงเทพมหานคร จึงมีพระราชดำริว่าพระศรีศาสดานั้นสร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินสีห์ ซึ่งเมื่อครั้งอยู่ ณ เมืองพิษณุโลกก็เคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดเดียวกันมาก่อน พระศรีศาสดาก็ควรประดิษฐานอยู่ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหารเช่นเดียวกับพระพุทธชินสีห์ เสมือนเป็นพระพุทธรูปผู้พิทักษ์พระพุทธชินสีห์ แต่ยังมิได้สร้างสถานที่ประดิษฐานจึงโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังมุขหน้าพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวรารามไปพลางก่อน ครั้นสร้างพระวิหารพระศาสดาจวนแล้วเสร็จจึงโปรดให้อัญเชิญพระศรีศาสดามาประดิษฐาน เมื่อพุทธศักราช 2407 นอกจากนี้ภายในพระวิหารยังประดิษฐานพระพุทธไสยาซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางปรินิพพานซึ่งอัญเชิญมาจากวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย[11]
ศาลาการเปรียญ
[แก้]
ตั้งอยู่ในเขตพุทธาวาสด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ประธาน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสร้างขึ้นพร้อมพระอุโบสถและหอพระไตรปิฎก ลักษณะอาคารเป็นอาคารแบบพระราชนิยม ก่ออิฐถือปูนยกฐานสูงเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย มีท้องไม้ยกสูง ไม่มีระเบียงโดยรอบ เป็นอาคารทึบ มีทางเข้า 3 ด้าน คือทางทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก มีเสาร่วมใน เสาร่วมในเป็นเสาทรงเหลี่ยมไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน ทำเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปดอกพุดตาน กับลายพรรณพฤกษาลวดลายอย่างเทศ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัย และมีพระพุทธรูปยืนด้านข้างขนาดเล็กอีก 2 องค์[12]
หอพระไตรปิฎก
[แก้]
ตั้งอยู่ในเขตพุทธาวาสทางด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ประธาน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสร้างขึ้นพร้อมพระอุโบสถและศาลาการเปรียญ ต่อมาเมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 ครองราชสมบัติ ทรงโปรดฯ ให้นำพระไตรปิฎกฉบับพระราชวังบวรสถานมงคลมาประดิษฐานในหอพระไตรปิฎกหลังนี้ และยังเก็บคัมภีร์ใบลานอื่นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะอาคารเป็นอาคารแบบพระราชนิยม ก่ออิฐถือปูนยกฐานสูงเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย มีท้องไม้ยกสูง มีระเบียงโดยรอบ มีเสาพาไลล้อมรอบอาคาร เสาพาไลเป็นเสาทรงเหลี่ยมไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน ทำเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปดอกพุดตาน กับลายพรรณพฤกษาลวดลายอย่างเทศ ซุ้มประตูหน้าต่างทำลวดลายเป็นปูนปั้นลงรักปิดทองลวดลายอย่างเทศประกอบด้วยลวดลายพรรณพฤกษาผสมรูปศาสตราวุธจำพวก หอก ศรีศูล[13]
การเรียกชื่อวัด
[แก้]การเรียกชื่อวัดที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมาจากคำนิวิจฉัยของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในขณะที่การเรียกชื่อว่าวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จะใช้สำหรับลงในเอกสารในการแต่งตั้งสมณศักดิ์ของพระสงฆ์เท่านั้น[14]
ลำดับเจ้าอาวาส
[แก้]นับตั้งแต่ใช้ชื่อวัดว่าวัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามแห่งนี้มีเจ้าอาวาสมาแล้วทั้งสิ้น 8 พระองค์/รูป[15] ได้แก่
| ลำดับที่ | รูป | รายนาม | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ |
| 1 | พระวชิรญาณเถร (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) | พ.ศ. 2380 | พ.ศ. 2394 | |
| 2 | สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ | พ.ศ. 2394 | พ.ศ. 2435 | |
| 3 | สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส | พ.ศ. 2435 | พ.ศ. 2464 | |
| 4 | สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ | พ.ศ. 2464 | พ.ศ. 2501 | |
| 5 | พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) | พ.ศ. 2501 | พ.ศ. 2504 | |
| 6 | สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร | พ.ศ. 2504 | พ.ศ. 2556 | |
| 7 | สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) | พ.ศ. 2558 | พ.ศ. 2565 | |
| 8 | พระพรหมวชิรรังษี (จิรพล อธิจิตฺโต) | พ.ศ. 2566 | ปัจจุบัน |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงธรรมการ แผนกกรมสังฆการี เรื่อง จัดระเบียบพระอารามหลวง เก็บถาวร 2011-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๓๒, ตอน ๐ ก, ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๘, หน้า ๒๘๔
- ↑ ประวัติวัดบวรนิเวศวิหาร – Wat Bowonniwet Vihara, https://watbowon.org/ .สืบค้นเมื่อ 09/07/2561
- ↑ "ประวัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-22. สืบค้นเมื่อ 4 December 2023.
- ↑ บุนนาค, โรม. "วัดประจำรัชกาล" คำที่เรียกขานกันไปเอง! กษัตริย์ที่ไม่เคยสร้างวัดก็มีวัดประจำรัชกาล!!". สำนักพิมพ์ผู้จัดการ. สืบค้นเมื่อ 4 December 2023.
- ↑ "เปิดประวัติ "วัดประจำรัชกาล" 1-10 แห่งราชวงศ์จักรี ศูนย์รวมจิตใจของคนไทย". คมชัดลึก. สืบค้นเมื่อ 4 December 2023.
- ↑ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร - กรุงเทพมหานคร : เว็บไซต์ธรรมะไทย, dhammathai.org .สืบค้นเมื่อ 09/01/2561
- ↑ วัดบวรนิเวศวิหาร เก็บถาวร 2017-07-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, http://www.watbowon.com/ เก็บถาวร 2017-06-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน .สืบค้นเมื่อ 09/07/2561
- ↑ วัดบวรนิเวศวิหาร, ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร สมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์, กรุงเทพฯ : วัดบวรนิเวศวิหาร, 2503, หน้า 119-120
- ↑ สุดยอดในประวัติศาสตร์ "พระ" สำคัญในรัชกาลที่๙ "พระพุทธนราวันตบพิธ" มวลสารจากเส้นพระเจ้า(พระเกศา)และจีวรตอนทรงผนวช
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความกระทรวงธรรมการ แผนกสังฆการี เรื่อง รวมวัดรังษีสุทธาวาศเข้าหาวัดบวรนิเวศวิหาร, เล่ม ๓๒, ตอน ๐ ง, ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘, หน้า ๓๖๖
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.
- ↑ คู่เทียม, บุศยารัตน์. "ย้อนอดีต...วัดบวรนิเวศวิหาร" (PDF).
- ↑ ชลทิช สว่างจิตร, การศึกษาภาพจิตรกรรมในหอไตร วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ( กรณีศึกษาเฉพาะจิตรกรรมระหว่างช่องหน้าต่าง ), (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2535), 12-13. link : https://sure.su.ac.th/xmlui/bitstream/handle/123456789/2273/fulltext.pdf?sequence=1&isAllowed=y
- ↑
- ↑ วัดบวรนิเวศวิหาร, กรุงเทพฯ:มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2546, หน้า 13-32
