ข้ามไปเนื้อหา

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
วัดบวรนิเวศวิหาร
แผนที่
ชื่อสามัญวัดบวรนิเวศวิหาร
ที่ตั้งต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ประเภทพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร[1]
นิกายเถรวาท ธรรมยุติกนิกาย
พระประธานพระพุทธชินสีห์ พระสุวรรณเขต พระศรีศาสดา
เจ้าอาวาสพระพรหมวชิรรังษี (จิรพล อธิจิตฺโต)
ความพิเศษวัดประจำรัชกาลที่ 6 [ต้องการอ้างอิง] และรัชกาลที่ 9 [ต้องการอ้างอิง]
เว็บไซต์https://www.facebook.com/WatBovoranivesVihara
หมายเหตุ
ชื่อที่ขึ้นทะเบียนวัดบวรนิเวศวิหาร
ขึ้นเมื่อ22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492
เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร
เลขอ้างอิง0000041
icon สถานีย่อยพระพุทธศาสนา

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร (เดิมชื่อว่า วัดใหม่) เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บริเวณริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ ในแขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย สถาปนาขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว[2]

พระอารามแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกถึง 4 พระองค์ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของสงฆ์สายฝ่ายธรรมยุติกนิกายแห่งแรกในประเทศไทย[3] นอกจากนี้ วัดบวรนิเวศวิหารยังเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อีกด้วย[4][5]

พระประธานในพระอารามนี้มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากวัดอื่นทั่วไป โดยมีพระประธานทั้งหมด 2 องค์ ซึ่งล้วนเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ พระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก โดยอัญเชิญมาทั้งองค์เมื่อราว พ.ศ. 2373[6] ส่วนพระสุวรรณเขต หรือที่รู้จักกันในนาม "พระโต" หรือ "หลวงพ่อเพชร" เป็นพระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่เบื้องหลังพระพุทธชินสีห์ ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพได้อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี[7]

ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงผนวชและประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร โปรดเกล้าฯ ให้ประติมากรของกรมศิลปากรปั้นหุ่นและสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร โดยเสด็จพระราชดำเนินหล่อพระพุทธรูปเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2499 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระพุทธนราวันตบพิตร"[8][9]

ประวัติ

[แก้]

วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3)แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็สวรรคตเสียก่อน ถึงปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 6)โปรดให้รวมวัดรังษีสุทธาวาสเข้าหาวัดบวรนิเวศวิหาร[10]

ศิลปกรรม

[แก้]

พระอุโบสถ

[แก้]
พระอุโบสถ

สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เดิมอาจมีแนวคิดที่จะสร้างขึ้นเป็นพระอุโบสถจตุรมุขแบบพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส แต่ในการก่อสร้างจริงอาจมีการปรับเปลี่ยนผังอาคารบ่อยครั้งจนเป็นอาคารแบบตรีมุขดังในปัจจุบัน[11] โดยงานช่างที่แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องมาจากศิลปกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือ การมีเสาพาไลเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่รับน้ำหนักหลังคาไม่มีคันทวยและบัวหัวเสา หน้าบันเป็นงานก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายกระเบื้องเคลือบลวดลายอย่างเทศ[11] ต่อมาได้มีการบูรณะแต่งเติมโดยรัชกาลที่ 4 ขณะทรงผนวชและเสด็จมาครองวัด ศิลปกรรมที่เพิ่มเติมในพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 4 คือ การประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์เป็นลวดลายดอกไม้แบบตะวันตกและประดับตราพระราชลัญจกรคือรูปพระมุงกุฏและพระขรรค์บนหน้าบันทั้ง 3 ด้าน และสร้างมุขลดเพิ่มที่ด้านหน้าเป็นมุขโถงมีการทำเสาเป็นเสาหินอ่อนสั่งทำจากประเทศอิตาลี แกะสลักบัวหัวเสาเป็นลวดลายใบอะแคนทัสมีชื่อเรียกทางศิลปกรรมไทยว่า "ลายใบผักกาดเทศ"[11] ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นงานปูนปั้นลงรักปิดทองประดับกระจกประดับลวดลายดอกไม้ใบไม้อย่างเทศ การประดิษฐานใบเสมาเป็นเสมาบนแท่นประดิษฐานติดกับผนังพระอุโบสถ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถเป็นฝีมือขรัวอินโข่ง

พระพุทธชินสีห์และพระสุวรรณเขต

[แก้]
พระพุทธชินสีห์ (หน้า) และพระสุวรรณเขต (หลัง)

ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์เป็นประธาน คือ พระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพอัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระประธานองค์แรกตั้งอยู่เบื้องหลังและพระพุทธชินสีห์ ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพอัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก โดยตั้งไว้ ณ มุขหลังพระอุโบสถ ก่อนจะย้ายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถเบื้องหน้าพระสุวรรณเขตโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะยังทรงผนวช ใต้ฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธชินสีห์เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเคยผนวช ณ วัดแห่งนี้ พุทธลักษณะของพระพุทธชินสีห์จัดอยู่ในศิลปะสุโขทัย หมวดพระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ พระพักตร์ทรงไข่ค่อนข้างกลม ขมวดพระเกษาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก สังฆาฏิเป็นเส้นเล็กยาวจรดพระนาภีปลายแยกออกเป็นสองชายและม้วนเข้าหากันคล้ายเขี้ยวตะขาบ นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน ส่วนพุทธลักษณะของพระสุวรรณเขต เป็นพระพุทธรูปสำริด ลักษณะพระพักตร์ทรงเหลี่ยม เคร่งขรึม พระขนง พระเนตร พระโอษฐ์ และสังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ เป็นลักษณะของพระพุทธรูปศิลปะอยุธยา สกุลช่างเพชรบุรี[11]

ภาพศิลปกรรมอื่น ๆ ในพระอุโบสถ

[แก้]

เจดีย์ประธาน

[แก้]
เจดีย์ประธาน

เริ่มสร้างโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพแต่เสร็จเพียงแค่ฐานพระองค์ได้ทิวงคตลงก่อนจึงได้สร้างต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังสมัยรัตนโกสินทร์ที่ได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ทรงระฆังศิลปะอยุธยาเป็นต้นแบบให้กับเจดีย์ทรงระฆังที่จะสร้างขึ้นตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 4[11] ลักษณะองค์เจดีย์มีการยกฐานสูงมีลานประทักษิณ 2 ชั้น แต่ละชั้นมีกำแพงแก้วล้อมรอบ บริเวณมุมของฐานประทักษิณชั้นแรกสร้างเป็นศาลาทรงจีน บริเวณมุมของฐานประทักษิณชั้นที่สองสร้างเป็นเจดีย์ประจำมุมเป็นรูปทรงแบบ "มณฑปยอดปรางค์"[11] องค์เจดีย์ประธานและเจดีย์ประจำมุมหุ้มกระเบื้องสีทอง บริเวณลานประทักษิณชั้นที่สองด้านทิศเหนือของเจดีย์ประธานประดิษฐาน พระไพรีพินาศ และในทางขึ้นลานประทักษิณชั้นที่ 2 ด้านทิศตะวันออกมีมณฑปยอดปรางค์ภายในประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประติมากรรมซุ้มทางเข้าเจดีย์ประธาน

[แก้]

บริเวณเหนือซุ้มทางเข้าเจดีย์ประธานมีรูปประติมากรรมลอยตัวรูปช้าง สิงโต นกอินทรี และม้า ซึ่งแทนความหมายของศูนย์กลางจักรวาลที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงโดยศูนย์กลางคือสยามประเทศ โดย

  • ช้าง - แทนถึงดินแดนล้านช้างและล้านนา ตั้งอยู่บนซุ้มทิศตะวันออกเฉียงเหนือ[11]
  • สิงโต - แทนสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่บนซุ้มทิศตะวันออกเฉียงใต้[11]
  • นกอินทรี - แทนสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่บนซุ้มทิศตะวันตกเฉียงเหนือ[11]
  • ม้า - แทนจักรวรรดิฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนซุ้มทิศตะวันตกเฉียงใต้[11]

ภาพศิลปกรรมอื่น ๆ บนเจดีย์ประธาน

[แก้]

วิหารพระศรีศาสดา

[แก้]
พระศรีศาสดา

ตัวอาคารเป็นงานศิลปกรรมที่สืบทอดมาจากศิลปกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 โดยมีส่วนเพิ่มเติมที่เป็นอิทธิพลศิลปะตะวันตก ตัวอาคารมีเสาพาไลทึบทรงสี่เหลี่ยมล้อมรอบ ไม่มีคันทวยและบัวหัวเสา หน้าบันก่ออิฐถือปูนแบบเก๋งจีนผสมทรงวิลันดาที่มีการประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์แบบลวดลายตะวันตกคือทำเป็นรูปกิงก้านของดอกไม้ใบไม้ กลางหน้าบันประดับพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4 ขนาบด้วยฉัตร 7 ชั้น ล้อมรอบด้วยลวดลายปูนปั้นดอกโบตั๋นพร้อมด้วยก้านและใบที่มีขนาดใหญ่และมีสีแตกต่างกัน ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นงานผสมผสานระหว่างศิลปะไทยประเพณีคือโครงเป็นกรอบซุ้มโค้งแบบซุ้มเรือนแก้วและมียอดซุ้มเหมือนยอดทรงปราสาทและประดับลายอย่างเทศคือบัวหัวเสาทำเป็นลายใบอะแคนทัส ส่วนกลางซุ้มประดับพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4

ภายในพระวิหารประดิษฐานพระศรีศาสดาซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านทิศใต้ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ต่อมาเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ได้อัญเชิญพระศรีศาสดาจากเมืองพิษณุโลกมาไว้ที่วัด เนื่องจากเห็นว่าวิหารที่ประดิษฐานพระศรีศาสดาอยู่เดิมนั้นชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค)ทราบเรื่อง จึงให้อัญเชิญพระศรีศาสดาจากวัดบางอ้อยช้างมาไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลี ต่อมาพุทธศักราช 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่ามีการชะลอพระศรีศาสดามายังกรุงเทพมหานคร จึงมีพระราชดำริว่าพระศรีศาสดานั้นสร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินสีห์ ซึ่งเมื่อครั้งอยู่ ณ เมืองพิษณุโลกก็เคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดเดียวกันมาก่อน พระศรีศาสดาก็ควรประดิษฐานอยู่ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหารเช่นเดียวกับพระพุทธชินสีห์ เสมือนเป็นพระพุทธรูปผู้พิทักษ์พระพุทธชินสีห์ แต่ยังมิได้สร้างสถานที่ประดิษฐานจึงโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังมุขหน้าพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวรารามไปพลางก่อน ครั้นสร้างพระวิหารพระศาสดาจวนแล้วเสร็จจึงโปรดให้อัญเชิญพระศรีศาสดามาประดิษฐาน เมื่อพุทธศักราช 2407 นอกจากนี้ภายในพระวิหารยังประดิษฐานพระพุทธไสยาซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางปรินิพพานซึ่งอัญเชิญมาจากวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย[11]

ศาลาการเปรียญ

[แก้]
ศาลาการเปรียญ

ตั้งอยู่ในเขตพุทธาวาสด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ประธาน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสร้างขึ้นพร้อมพระอุโบสถและหอพระไตรปิฎก ลักษณะอาคารเป็นอาคารแบบพระราชนิยม ก่ออิฐถือปูนยกฐานสูงเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย มีท้องไม้ยกสูง ไม่มีระเบียงโดยรอบ เป็นอาคารทึบ มีทางเข้า 3 ด้าน คือทางทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก มีเสาร่วมใน เสาร่วมในเป็นเสาทรงเหลี่ยมไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน ทำเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปดอกพุดตาน กับลายพรรณพฤกษาลวดลายอย่างเทศ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัย และมีพระพุทธรูปยืนด้านข้างขนาดเล็กอีก 2 องค์[12]

หอพระไตรปิฎก

[แก้]
หอพระไตรปิฎก

ตั้งอยู่ในเขตพุทธาวาสทางด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ประธาน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสร้างขึ้นพร้อมพระอุโบสถและศาลาการเปรียญ ต่อมาเมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 ครองราชสมบัติ ทรงโปรดฯ ให้นำพระไตรปิฎกฉบับพระราชวังบวรสถานมงคลมาประดิษฐานในหอพระไตรปิฎกหลังนี้ และยังเก็บคัมภีร์ใบลานอื่นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะอาคารเป็นอาคารแบบพระราชนิยม ก่ออิฐถือปูนยกฐานสูงเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย มีท้องไม้ยกสูง มีระเบียงโดยรอบ มีเสาพาไลล้อมรอบอาคาร เสาพาไลเป็นเสาทรงเหลี่ยมไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน ทำเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปดอกพุดตาน กับลายพรรณพฤกษาลวดลายอย่างเทศ ซุ้มประตูหน้าต่างทำลวดลายเป็นปูนปั้นลงรักปิดทองลวดลายอย่างเทศประกอบด้วยลวดลายพรรณพฤกษาผสมรูปศาสตราวุธจำพวก หอก ศรีศูล[13]

การเรียกชื่อวัด

[แก้]

การเรียกชื่อวัดที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมาจากคำนิวิจฉัยของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในขณะที่การเรียกชื่อว่าวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จะใช้สำหรับลงในเอกสารในการแต่งตั้งสมณศักดิ์ของพระสงฆ์เท่านั้น[14]

ลำดับเจ้าอาวาส

[แก้]

นับตั้งแต่ใช้ชื่อวัดว่าวัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามแห่งนี้มีเจ้าอาวาสมาแล้วทั้งสิ้น 8 พระองค์/รูป[15] ได้แก่

ลำดับที่รูปรายนามเริ่มวาระสิ้นสุดวาระ
1พระวชิรญาณเถร
(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
พ.ศ. 2380พ.ศ. 2394
2สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์พ.ศ. 2394พ.ศ. 2435
3สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสพ.ศ. 2435พ.ศ. 2464
4สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์พ.ศ. 2464พ.ศ. 2501
5พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)พ.ศ. 2501พ.ศ. 2504
6สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวรพ.ศ. 2504พ.ศ. 2556
7สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)พ.ศ. 2558พ.ศ. 2565
8พระพรหมวชิรรังษี (จิรพล อธิจิตฺโต)พ.ศ. 2566ปัจจุบัน

อ้างอิง

[แก้]
  1. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงธรรมการ แผนกกรมสังฆการี เรื่อง จัดระเบียบพระอารามหลวง เก็บถาวร 2011-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๓๒, ตอน ๐ ก, ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๘, หน้า ๒๘๔
  2. ประวัติวัดบวรนิเวศวิหาร – Wat Bowonniwet Vihara, https://watbowon.org/ .สืบค้นเมื่อ 09/07/2561
  3. "ประวัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-22. สืบค้นเมื่อ 4 December 2023.
  4. บุนนาค, โรม. "วัดประจำรัชกาล" คำที่เรียกขานกันไปเอง! กษัตริย์ที่ไม่เคยสร้างวัดก็มีวัดประจำรัชกาล!!". สำนักพิมพ์ผู้จัดการ. สืบค้นเมื่อ 4 December 2023.
  5. "เปิดประวัติ "วัดประจำรัชกาล" 1-10 แห่งราชวงศ์จักรี ศูนย์รวมจิตใจของคนไทย". คมชัดลึก. สืบค้นเมื่อ 4 December 2023.
  6. วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร - กรุงเทพมหานคร : เว็บไซต์ธรรมะไทย, dhammathai.org .สืบค้นเมื่อ 09/01/2561
  7. วัดบวรนิเวศวิหาร เก็บถาวร 2017-07-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, http://www.watbowon.com/ เก็บถาวร 2017-06-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน .สืบค้นเมื่อ 09/07/2561
  8. วัดบวรนิเวศวิหาร, ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร สมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์, กรุงเทพฯ : วัดบวรนิเวศวิหาร, 2503, หน้า 119-120
  9. สุดยอดในประวัติศาสตร์ "พระ" สำคัญในรัชกาลที่๙ "พระพุทธนราวันตบพิธ" มวลสารจากเส้นพระเจ้า(พระเกศา)และจีวรตอนทรงผนวช
  10. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความกระทรวงธรรมการ แผนกสังฆการี เรื่อง รวมวัดรังษีสุทธาวาศเข้าหาวัดบวรนิเวศวิหาร, เล่ม ๓๒, ตอน ๐ ง, ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘, หน้า ๓๖๖
  11. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.
  12. คู่เทียม, บุศยารัตน์. "ย้อนอดีต...วัดบวรนิเวศวิหาร" (PDF).
  13. ชลทิช สว่างจิตร, การศึกษาภาพจิตรกรรมในหอไตร วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ( กรณีศึกษาเฉพาะจิตรกรรมระหว่างช่องหน้าต่าง ), (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2535), 12-13. link : https://sure.su.ac.th/xmlui/bitstream/handle/123456789/2273/fulltext.pdf?sequence=1&isAllowed=y
  14. วัดบวรนิเวศวิหาร, กรุงเทพฯ:มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2546, หน้า 13-32