ข้ามไปเนื้อหา

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
แผนที่
ชื่อสามัญวัดราชบพิธ
ที่ตั้ง2 ถนนเฟื่องนคร แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
ประเภทพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร
นิกายธรรมยุติกนิกาย
พระประธานพระพุทธอังคีรส
พระพุทธรูปสำคัญพระนิรันตราย (จำลอง)
เจ้าอาวาสสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร)
ความพิเศษวัดประจำรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9
เวลาทำการทุกวัน 8.00-13.30
จุดสนใจสักการะพระพุทธอังคีรส
กิจกรรม30 พ.ค. : งานบำเพ็ญพระราชกุศล วันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 7
25 ส.ค. : งานอุทิศส่วนกุศล ให้อดีตเจ้าอาวาส
วันเข้าพรรษา: ตักบาตรดอกไม้
หมายเหตุ
ชื่อที่ขึ้นทะเบียนวัดราชบพิธ
ขึ้นเมื่อ22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492
เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร
เลขอ้างอิง0000007
icon สถานีย่อยพระพุทธศาสนา

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร[1] ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412 มีพิธีก่อพระฤกษ์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2412 (ตรงกับปี พ.ศ. 2413 หากนับวันขึ้นปีใหม่ โดยใช้ วันที่ 1 มกราคม ซึ่งเปลี่ยนแปลงจาก การขึ้นปีใหม่ ในวันที่ 1 เมษายน เมื่อปี พ.ศ. 2484)

โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก คือ ลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบตกแต่งอย่างตะวันตก

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม” หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง และมีมหาสีมาอันเป็นเสาศิลาจำหลักยอดเป็นรูปเสมาธรรมจักร 8 เสา ตั้งเป็นสีมาที่กำแพง 8 ทิศ “ราชบพิธ” หมายถึง พระอารามที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสร้าง บพิธ คำนี้มาจากภาษาบาลีคือ ปวิธะ ที่แปลว่าสร้าง ส่วน “สถิตมหาสีมาราม” หมายถึง พระอารามซึ่งมีสีมากว้างใหญ่ เป็นมหาสีมาล้อมรอบอาณาเขตของวัด

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามเป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง ตามโบราณราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล

ในภายหลัง มีการบรรจุพระบรมราชสรีรางคารของพระมหากษัตริย์ไทยอีก 2 พระองค์ที่วัดนี้ คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ดังนั้นเมื่อยึดความสำคัญของวัดประจำรัชกาลด้วยวัดที่มีการบรรจุพระบรมราชสรีรางคารในสมัยหลัง จึงถือว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามเป็นวัดประจำ 3 รัชกาล คือรัชกาลที่ 5, รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9

นอกจากนี้ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามยังเป็นวัดสำคัญที่พระสันตะปาปาสองพระองค์เคยเสด็จเยือนในคราวเสด็จเยือนประเทศไทย ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2527 และสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร)

ศิลปกรรม

[แก้]

พระอุโบสถ

[แก้]
พระอุโบสถ

พระอุโบสถจัดเป็นงานศิลปกรรมแบบไทยประเพณี ตั้งอยู่บนฐานไพทีเดียวกับเจดีย์ประธานและพระวิหารเป็นรูปแบบชุดฐานสิงห์ 1 ฐาน หันหน้าไปทางทิศเหนือ มีชั้นประทักษิณที่มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ฐานพระอุโบสถเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย รองรับถึงส่วนพาไลของอาคาร มีพนักและซี่กรงล้อมรอบ หลังคาเป็นแบบไทยประเพณี เป็นเครื่องไม้ประดับเครื่องลำยอง ได้แก่ ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง มีหลังคาซ้อนชั้น 2 ซ้อน มีตับหลังคา 4 ตับ หลังคา 2 ตับล่างเป็นหลังคาพาไลคลุมด้านข้างของอาคาร มีมุขลดทรงโถงด้านหน้า เสาพาไลและเสามุขเป็นเสาย่อมุมไม้สิบสอง มีการประดับลวดลายที่ครีบเสาเป็นปูนปั้นลายกระจังตลอดแนวเสา ประดับกระจก มีการประดับบัวหัวเสาเป็นรูปบัวแวงซ้อนกัน 2 ชั้น ตัวผนังอาคารด้านนอกมีการทำเสาอิงลักษณะเดียวกับเสามุข และเสาพาไล มีคันทวยรองรับชายคา บริเวณมุขด้านหน้ามีการประดับสาหร่าย-รวงผึ้งระหว่างเสา หน้าบันพระอุโบสถเป็นงานไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก หน้าบันหลักแกะสลักเป็นลวดลายพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วยลายประธานกลางหน้าบันเป็นรูปพระจุลมงกุฎประดิษฐานอยู่เหนือพานรองรับ ซ้าย-ขวาประดิษฐานพระแสงขรรค์อยู่เหนือช้าง 7 ช้าง ขนาบข้างด้วยฉัตร 7 ชั้นที่มีราชสีห์และคชสีห์ประคอง ล้อมด้วยลายกระหนกเปลวเต็มพื้นที่ ส่วนหน้าบันของมุขโถงด้านหน้าเป็นงานแกะสลักไม้ปิดทองประดับกระจก ทำเป็นลวดลายพระนารายณ์ทรงครุฑล้อมด้วยลาดลายกระหนกเปลวเต็มพื้นที่ ผนังภายนอกของพระอุโบสถรวมถึงเสามีการประดับที่พิเศษกว่าวัดอื่น ๆ คือ ประดับด้วยกระเบื้องเบญจรงค์ ทั้งหมดเป็นลายเทพพนมในกรอบทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ตามประวัติกล่าวว่าพระอาจารย์แดงจากวัดหงส์รัตนารามเป็นผู้ออกแบบลวดลายแล้วส่งไปทำที่เมืองจีน ซุ้มประตู-หน้าต่างของพระอุโบสถทำเป็นซุ้มทรงปราสาทยอดทั้งหมด บานประตู-หน้าต่างเป็นงานประดับมุกเป็นลวดลายชุดเครื่องราชอิสริยาภรณ์[2]

ภายในพระอุโบสถ

[แก้]
ภายในพระอุโบสถ

งานศิลปกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของงานออกแบบ คือ การตกแต่งภายในของพระอุโบสถเป็นการตกแต่งแบบตะวันตก บรรยากาศเหมือนภายในโบสถ์ของคริสตศาสนาในศิลปะแบบโกธิก ส่วนเพดานทำเป็นวงโค้งประดับลวดลายใบไม้ ดอกไม้ แบบตะวันตก พื้นผนังเป็นสีเขียวตัดกับลาดลายสีทอง มีงานประดับตกแต่งที่ประยุกต์ศิลปะไทยลงไปด้วย ตามประวัติกล่าวว่า ผนังระหว่างช่อหน้าต่างเดิม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ให้ทำภาพโมเสกพระราชประวัติของพระองค์ แต่ยังมิได้ทำ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทำโมกเสกพระราชประวัติตามพระราชประสงค์เดิมของพระราชบิดา แต่ก็ยังมิได้ทำ จึงทรงออกแบบใหม่เป็นลายที่ปรากฏในปัจจุบัน เป็นงานออกแบบโดยใช้สัญลักษณ์แทนภาพเล่าเรื่อง โดยมีพื้นสีเขียวอยู่ในกรอบลวดลายแบบตะวันตก ปิดทอง ตรงกลางเป็นรูป "อุณาโลม" และอักษร "จ" สลับกันอย่างละช่อง ผนังเหนือช่องหน้าต่างที่ตกแต่งเป็นศิลปะแบบโกธิกนั้นเคยมีงานจิตรกรรมเขียนเรื่องพุทธประวัติ ฝีพระหัตถ์ของหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย แต่เมื่อครั้งการปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการลบภาพออกและปรับเป็นสีพื้นเขียนลายดอกไม้ร่วงทั้งผนังแบบปัจจุบัน[3]

พระพุทธอังคีรส

[แก้]
พระพุทธอังคีรส

พระพุทธอังคีรสเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อนจากประเทศอิตาลี พระนาม "พระพุทธอังคีรส" แปลว่ามีรัศมีซ่านออกจากพระวรกาย[4] หล่อขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กะไหล่ทองคำเนื้อแปดหนัก 180 บาท เป็นทองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เมื่อยังทรงพระเยาว์ เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงนำไปประดิษฐานที่พระปฐมเจดีย์ แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2415[5]

ที่ฐานพุทธบัลลังก์กะไหล่ทองเนื้อหกหนัก 48 บาท ภายในบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีสุลาลัย และสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร[4] ซึ่งราชสกุลต่างๆ ที่มีส่วนแห่งพระบรมอัฐิ พระอัฐิ เก็บรักษาไว้และเชิญมาถวายแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ เจ้าอาวาสในขณะนั้น จึงโปรดให้บรรจุลงใต้ฐานพระพุทธอังคีรส นอกจากนี้ยังมีพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[6] พระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

อนึ่ง เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) เสด็จลงทรงเป็นประธานในพิธีบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นส่วนที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทรงเก็บรักษาไว้ถวายสักการบูชา ต่อมาได้ตกทอดเป็นพระมรดกมาสู่หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล พระนัดดา ผู้เป็นพระโอรสใน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ และได้ทรงอัญเชิญมาถวายแด่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) จึงโปรดให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) ปฏิบัติกรณียกิจแทนพระองค์ในการเชิญพระผอบศิลาบรรจุพระบรมอัฐิเข้าประดิษฐานในคูหาบนฐานพุทธบัลลังก์ ลงในฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธอังคีรส พระประธานพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

ในวันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ถวาย เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ แด่พระพุทธอังคีรส เนื่องในศุภมงคลสมัย 150 ปี แห่งการสถาปนาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

พุทธลักษณะของพระพุทธอังคีรส เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ประทับเหนือฐานสิงห์ ที่มีบัวหงายมีลายกลีบบัวรองรับส่วนฐาน พระพักตร์ค่อนข้างกลม ขมวดพระเกศาเล็ก ไม่มีอุษณีษะ พระรัศมีเป็นเปลว พระรัศมีมีขนาดใหญ่ พระกรรณสั้นเมือนมนุษย์ทั่วไป ครองจีวรห่มเฉียงมีรอยพับซ้อนกันแบบธรรมชาติ สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่เหมือนผ้าสังฆาฏิจริงยาวจรดพระนาภี[7]

หลักสีมา

[แก้]
หลักสีมา

วัดราชบพิธมีกำแพงวัดล้อมรอบทั้งเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส ไม่รวมสุสานหลวง โดยตำแหน่งของเสากำแพงที่ตรงกับทิศทั้งแปดนั้นเป็นหลักสีมาของวัด โดยทำเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมตันทั้งต้นสลักจากหินอ่อน ส่วนโคนฝังลงไปในดิน มีส่วนยอดเป็นสีมาทรงสี่เหลี่ยม มีฐานสิงห์รองรับส่วนยอดคล้ายยอดของหัวเม็ดทรงมัณฑ์ มีการแกะสลักลวดลายธรรมจักรที่ด้านข้างของสีมา และมีข้อความจารึกประกาศเขตพันธสีมาทั้งพระอาราม จึงเป็นที่มาของชื่อสร้อยนามวัดที่ต่อท้ายว่า มหาสีมาราม[8] โดยหลักสีมาลักษณะนี้เป็นรูปแบบที่สืบทอดมาจากหลักสีมาในสมัยรัชกาลที่ 4 และการกำหนดหลักสีมาแบบมหาสีมานี้คล้ายกับมหาสีมาของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร โดยการวางสีมาแบบมหาสีมานี้ทำให้สามารถทำสังฆกรรมได้ทั่วบริเวณของวัดภายในเขตมหาสีมา นอกเหนือจากพระอุโบสถ

พระวิหาร

[แก้]
พระวิหาร

พระวิหาร ตั้งอยู่บนฐานไพทีเดียวกับเจดีย์ประธานและพระอุโบสถเป็นรูปแบบชุดฐานสิงห์ 1 ฐาน หันหน้าไปทางทิศใต้ อยู่ในผังแกนเดียวกับพระอุโบสถและเจดีย์ประธาน มีชั้นประทักษิณที่มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ภายนอกเป็นศิลปะไทยประเพณีที่มีลักษณะและขนาดเท่ากับพระอุโบสถทุกประการ คือ มีฐานเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย รองรับถึงส่วนพาไลของอาคาร มีพนักและซี่กรงล้อมรอบ หลังคาเป็นแบบไทยประเพณี เป็นเครื่องไม้ประดับเครื่องลำยอง ได้แก่ ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง มีหลังคาซ้อนชั้น 2 ซ้อน มีตับหลังคา 4 ตับ หลังคา 2 ตับล่างเป็นหลังคาพาไลคลุมด้านข้างของอาคาร มีมุขลดทรงโถงด้านหน้า เสาพาไลและเสามุขเป็นเสาย่อมุมไม้สิบสอง มีการประดับลวดลายที่ครีบเสาเป็นปูนปั้นลายกระจังตลอดแนวเสา ประดับกระจก มีการประดับบัวหัวเสาเป็นรูปบัวแวงซ้อนกัน 2 ชั้น ตัวผนังอาคารด้านนอกมีการทำเสาอิงลักษณะเดียวกับเสามุข และเสาพาไล มีคันทวยรองรับชายคา บริเวณมุขด้านหน้ามีการประดับสาหร่าย-รวงผึ้งระหว่างเสา หน้าบันเป็นงานไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกเหมือนพระอุโบสถ คือ หน้าบันหลักแกะสลักเป็นลวดลายพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วยลายประธานกลางหน้าบันเป็นรูปพระจุลมงกุฎประดิษฐานอยู่เหนือพานรองรับ ซ้าย-ขวาประดิษฐานพระแสงขรรค์อยู่เหนือช้าง 7 ช้าง ขนาบข้างด้วยฉัตร 7 ชั้นที่มีราชสีห์และคชสีห์ประคอง ล้อมด้วยลายกระหนกเปลวเต็มพื้นที่ ส่วนหน้าบันของมุขโถงด้านหน้าเป็นงานแกะสลักไม้ปิดทองประดับกระจก ทำเป็นลวดลายพระนารายณ์ทรงครุฑล้อมด้วยลาดลายกระหนกเปลวเต็มพื้นที่ ผนังภายนอกของพระวิหารประดับด้วยกระเบื้องเบญจรงค์ ทั้งหมดเป็นลายเทพพนมในกรอบทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ภายในมีการตกแต่งแบบเดียวกับพระอุโบสถคือเป็นการตกแต่งแบบศิลปะโกธิก แต่พื้นผนังตกแต่งเป็นสีชมพู บานประตู-หน้าต่างเป็นงานแกะสลักไม้ลงสีรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ลงสีเหมือนจริง และด้านหลังของพระพุทธประทีปวโรทัยและพระพุทธอังคีรสน้อยพระประธานในพระวิหารเป็นตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่ 3 หลัง ลักษณะแบบศิลปะตะวันตก สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์[9]

พระพุทธประทีปวโรทัยและพระพุทธอังคีรสน้อย

[แก้]
พระพุทธประทีปวโรทัย (บน) และพระพุทธอังคีรสน้อย (ล่าง)

พระพุทธประทีปวโรทัยเป็นพระประธานในพระวิหาร เบื้องหน้าประดิษฐานพระพุทธอังคีรสจำลอง ถวายพระนามว่า พระพุทธอังคีรสน้อย มีการถวายสัปตปฎลเศวตฉัตรกางกั้นเหนือพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์ ซึ่งเคยเป็นฉัตรที่เคยกางกั้นพระบรมโกศสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จมายกฉัตรเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2540 สำหรับพระพุทธประทีปวโรทัยเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นใหม่โดยคุณหญิงประเทียบ ชลทรัพย์ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่บิดามารดาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2503 พุทธลักษณะของพระพุทธประทีปวโรทัยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธสิหิงห์องค์ที่ประดิษฐานภายในพระที่นั่งพุทธไธสวรรค์ ในพระราชวังบวรสถานมงคล คือเป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านนาผสมสุโขทัย พระพักตร์กลม รัศมีเป็นเปลว สังฆาฏิยาวจรดพระนาภี แต่ต่างกันที่การแสดงปางที่พระพุทธสิหิงห์เป็นปางสมาธิ แต่พระพุทธประทีปวโรทัยเป็นปางมารวิชัย ส่วนพระพุทธอังคีรสน้อย มีลักษณะเหมือนกับพระพุทธอังคีรสทุกประการ คือ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ประทับเหนือฐานสิงห์ ที่มีบัวหงายมีลายกลีบบัวรองรับส่วนฐาน พระพักตร์ค่อนข้างกลม ขมวดพระเกศาเล็ก ไม่มีอุษณีษะ พระรัศมีเป็นเปลว พระรัศมีมีขนาดใหญ่ พระกรรณสั้นเมือนมนุษย์ทั่วไป ครองจีวรห่มเฉียงมีรอยพับซ้อนกันแบบธรรมชาติ สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่เหมือนผ้าสังฆาฏิจริงยาวจรดพระนาภี เพียงแต่พระพุทธอังคีรสน้อยมีขนาดที่ย่อส่วนลงมา[10]

เจดีย์ประธาน

[แก้]
เจดีย์ประธาน

เจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรงระฆังที่มีรูปแบบเดียวกับเจดีย์ทรงระฆังที่เป็นพระราชนิยมในรัชกาลที่ 4 ที่ถ่ายแบบมาจากเจดีย์ประธาน วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นเจดีย์ทรงระฆังศิลปะอยุธยา มีลักษณะคือ ส่วนฐานชั้นล่างสุดเป็นฐานไพทีที่ยังเป็นชั้นประทักษิณของพระอุโบสถและพระวิหารอีกด้วย ถัดขึ้นมาเป็นฐานประทักษิณขององค์เจดีย์เป็นชุดฐานที่รองรับส่วนระเบียงคดและเป็นฐานชุดเดียวกับฐานของพระอุโบสถและวิหารด้วย เป็นรูปแบบฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย ประดับด้วยหินอ่อน ถัดไปเป็นส่วนฐานขององค์เจดีย์เป็นฐานเขียงรองรับฐานบัวคว่ำ-บัวหงายที่ขยายส่วนท้องไม้ให้สูงขึ้นเพื่อเจาะเป็นช่องซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูป มีทั้งหมด 14 ซุ้ม ใกล้เคียงกับรูปแบบของพระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงายอีกหนึ่งชั้น รองรับส่วนมาลัยเถา 3 ชั้น ซึ่งเป็นลักษณะของเจดีย์ทรงระฆังแบบอยุธยา เหนือมาลัยเถาทำเป็นชั้นบัวลูกแก้วอกไก่แทนการทำบัวปากระฆังแบบเดิมที่มักทำเป็นลายกลีบบัวคว่ำ-บัวหงาย ถัดขึ้นไปเป็นส่วนองค์ระฆัง มีบัลลังก์อยู่ในผังสี่เหลี่ยม บริเวณก้านฉัตรมีเสาหานล้อมรอบ อันเป็นรูปแบบเฉพาะอีกประการของเจดีย์ทรงระฆังสมัยอยุธยา ถัดขึ้นไปเป็นบัวฝาละมี ปล้องไฉน ปลี และประดับส่วนยอดด้วยเม็นน้ำค้าง ส่วนของเม็ดน้ำค้างนี้เดิมเป็นลูกแก้วที่ข้างในเคลือบปรอท ต่อมาเปลี่ยนเป็นกระเบื้องสีขาวทาทองแทน และได้มีการบูรณะลูกแก้วและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุโดยทำเป็นลูกแก้วกลมครอบผอบ โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในผอบลูกแก้วนี้ขึ้นประดิษฐานบนยอดเจดีย์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายม 2528 ภายนอกของเจดีย์ตกแต่งด้วยงานกระเบื้องเบญจรงค์ทั้งองค์ตั้งแต่ส่วนฐานถึงยอด เขียนเป็นลายแผงที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนและสี่เหลี่ยมจตุรัส เช่น ลายเทพพนม ลายดอกไม้ ทั้งแบบไทยประเพณีและแบบตะวันตก สีพื้นเป็นสีเหลืองทอง[11]

พระวิหารทิศ

[แก้]
พระวิหารทิศ

พระวิหารทิศเป็นอาคารที่ก่อยื่นมาจากระเบียงคดในทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเพื่อให้สมมาตรกับพระอุโบสถและพระวิหารที่อยู่ทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงกล่าวถึงพระวิหารทิศว่า "พระระเบียงนั้นสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่พักสำหรับผู้ที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นในคราวที่มาประชุมไหว้พระและทำบุญ สำหรับขนาดเล็กจะมีคดอยู่สี่มุม ตรงกลางทำเป็นช่องทางเข้า สำหรับขนาดกลาง ส่วนที่ขาดกลางนั้นจะทำเป็นประตูแทรกเข้า เรียกตามภาษาฮินดูว่า โคปุระ ส่วนที่มีขนาดใหญ่ส่วนที่เป็นโคปุระจะทำเป็นวิหาร เรียกว่า วิหารทิศ หรือ ธรรมศาลา สุดแล้วแต่จะเรียก" ในความหมายที่พระองค์ทรงกล่าวคือ วิหารทิศน่าจะมีที่มาจาก โคปุระ เพื่อเป็นทางเดินเขาภายในระเบียงคดและเป็นส่วนหนึ่งของที่พักสำหรับผู้ที่มายังสถานที่นี้ รูปแบบศิลปกรรมของวิหารทิศทั้งสองหลังเหมือนกันทุกประการ จัดเป็นงานศิลปกรรมอย่างไทยประเพณีเหมือนพระอุโบสถและพระวิหาร เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า และส่วนประดับตกแต่งที่แตกต่างออกไปเช่นบานประตูทำเป็นรูปเชี่ยวกางจีนแต่แต่งกายแบบไทย หน้าบันมุขลดทำเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ หน้าบันหลักเป็นไม้แกะสลักรูปปราสาทอยู่เหนือช้างสามเศียรยืนอยู่บนแท่น น่าจะหมายถึงเวชยันต์ปราสาทของพระอินทร์[12]

สุสานหลวง

[แก้]

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารมีสุสานหลวงตั้งอยู่นอกเขตกำแพงมหาสีมาของวัดด้านทิศตะวันตก ติดกับถนนอัษฎางค์ ริมคลองคูเมืองเดิม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นที่บรรจุพระอัฐิ (กระดูก) และพระสรีรางคาร (เถ้ากระดูก) ไว้นั้นเพื่อเป็นพระบรมราชูทิศพระราชกุศลแก่พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชเทวี พระราชเทวี เจ้าจอมมารดา พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระองค์ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมต่าง ๆ กันทั้งพระเจดีย์ พระปรางค์ วิหารแบบไทย แบบขอม (ศิลปะปรางค์ลพบุรี) และแบบโกธิค โดยตั้งอยู่ในสวนซึ่งมีต้นลั่นทมและพุ่มพรรณไม้ต่าง ๆ ปลูกไว้อย่างสวยงาม อนุสาวรีย์ที่สำคัญคือ เจดีย์สีทอง 4 องค์ เรียงลำดับจากเหนือไปใต้ ซึ่งมีชื่อสอดคล้องกันดังนี้

  1. สุนันทานุสาวรีย์ บรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ บรมราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ โสภางคทัศนียลักษณ์ อัครวรราชกุมารี พระราชธิดา
  2. รังษีวัฒนา บรรจุพระสรีรางคารพระราชโอรส พระราชธิดาอันประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และพระราชนัดดา เช่น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก รวมทั้ง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ด้วย
  3. เสาวภาประดิษฐาน บรรจุพระสรีรางคารพระราชโอรส พระราชธิดาอันประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระราชนัดดา เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรมพระนครปฐมบรมขัตติยานี มหาธีรราชธิดา
  4. สุขุมาลนฤมิตร์ บรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต และพระนัดดา

นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์ที่สำคัญอื่น ๆ ประดิษฐานอยู่ในสุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามด้วย เช่น

  1. อนุสาวรีย์รูปปรางค์ 3 ยอด บรรจุพระสรีรางคารพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา และพระประยูรญาติ พระโอรสและพระธิดา รวมทั้งสมาชิกสายราชสกุลยุคล
  2. อนุสาวรีย์พระราชชายาเจ้าดารารัศมี บรรจุพระสรีรางคารเจ้าดารารัศมี พระราชชายา และพระราชธิดา
  3. อนุสาวรีย์เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ หรือ "วิหารน้อย" บรรจุสรีรางคารเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (เจ้าคุณจอมมารดาแพ ในรัชกาลที่ 5) และพระธิดา รวมทั้งเจ้าจอมมารดาโหมด ในรัชกาลที่ 5 และพระโอรส พระธิดา ตลอดจนสมาชิกสายราชสกุลอาภากร และราชสกุลสุริยง

สุสานหลวงในปัจจุบันมีจำนวนอนุสาวรีย์ทั้งหมด 34 องค์ และมีการจัดตั้งกองทุนสุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารขึ้นมาดูแลรักษาสุสานหลวงให้มีความงดงามเพื่อชนรุ่นหลังได้เข้าชมต่อไป

ลำดับเจ้าอาวาส

[แก้]
ลำดับที่รายนามเริ่มวาระสิ้นสุดวาระ
1พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์พ.ศ. 2412พ.ศ. 2444
2สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์พ.ศ. 2444พ.ศ. 2480
3พระศาสนโศภน (ภา ภาณโก)พ.ศ. 2480พ.ศ. 2489
4สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณพ.ศ. 2489พ.ศ. 2531
5สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร)พ.ศ. 2531พ.ศ. 2551
6สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร)พ.ศ. 2551อยู่ในตำแหน่ง

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้]

สมุดภาพ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงธรรมการ แผนกกรมสังฆการี เรื่อง จัดระเบียบพระอารามหลวง เก็บถาวร 2011-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๓๒, ตอน ๐ ก, ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๘, หน้า 289
  2. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 414-418
  3. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 418-420
  4. 1 2 แผ่นพับประวัติวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
  5. วัลลภ คล่องพิทยาพงษ์,เส้นทางบุญ ๙ วัด ๙ รัชกาล,หน้า 173
  6. ราชกิจจานุเบกษา, กำหนดการ ที่ ๙/๒๔๙๒ บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๒, เล่ม ๖๖, ตอน๓๔ ง, ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๒, หน้า ๒๙๓๑
  7. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 421
  8. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 409-410
  9. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 423-426
  10. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 426
  11. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 410-412
  12. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 426-427
  13. พระบรมราชโองการ ประกาศ เรื่อง ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธอังคีรส

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

13°44′55″N 100°29′53″E / 13.748702°N 100.497952°E / 13.748702; 100.497952