โจโฉ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Cao Cao)
โจโฉ (เฉา เชา)
ภาพโจโฉจาก สมุดภาพไตรภูมิ (三才圖會) ซึ่งเผยแพร่ในราชวงศ์หมิงเมื่อ ค.ศ. 1609
วุยอ๋อง (魏王 เว่ยหวาง)
รัชกาลค.ศ. 216 – 15 มีนาคม ค.ศ. 220
ถัดไปโจผี
วุยก๋ง (魏公 เว่ย์กง)
วาระค.ศ. 213–216
อัครมหาเสนาบดี (丞相 เฉิงเซี่ยง)
วาระค.ศ. 208 – 15 มีนาคม ค.ศ. 220
ถัดไปโจผี
จักรพรรดิพระเจ้าเหี้ยนเต้
เจ้ากรมโยธา (司空 ซือคง)
วาระค.ศ. 196–208
จักรพรรดิพระเจ้าเหี้ยนเต้
พระราชสมภพค.ศ. 155
อำเภอเฉียว รัฐเพ่ย์ จักรวรรดิฮั่น
สวรรคต15 มีนาคม ค.ศ. 220 (64–65 ปี)
ลั่วหยาง จักรวรรดิฮั่น
ฝังพระศพ11 เมษายน ค.ศ. 220
สุสานหลวงของโจโฉ
คู่อภิเษก
พระราชบุตร
รายละเอียด
พระนามเต็ม
ชื่อสกุล: เฉา/โจ (曹)
ชื่อตัว: เชา/โฉ (操)
ชื่อรอง: เมิ่งเต๋อ (孟德)
ชื่อเล่น: อาหมาน (阿瞞), จี๋ลี่ (吉利)
พระสมัญญานาม
  • พระเจ้าอู่ (武王)
  • จักรพรรดิอู่ (武帝)
พระอารามนาม
ไท่จู่ (太祖)
พระราชบิดาโจโก๋
พระราชมารดาติงชื่อ
ศาสนาลัทธิขงจื๊อ

โจโฉ (จีน: 曹操; พินอิน: Cáo Cāo) (เกี่ยวกับเสียงนี้ การออกเสียง ค.ศ. 155 – 15 มีนาคม ค.ศ. 220)[1] หรือชื่อในภาษาจีนกลางว่า เฉา เชา มีชื่อรองว่า เมิ่งเต๋อ (จีน: 孟德) เป็นรัฐบุรุษ ขุนศึก และกวีชาวจีน เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งได้เถลิงอำนาจในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น ในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในยุคสามก๊ก โจโฉได้วางรากฐานซึ่งได้ทำให้เกิดรัฐวุยก๊กขึ้นในเวลาต่อมา และได้รับการยกย่องภายหลังมรณกรรมในฐานะเป็น "จักรพรรดิอู่แห่งวุยก๊ก" แม้ว่าเขาจะไม่เคยประกาศตนเองอย่างเป็นทางการว่าเป็นจักรพรรดิจีน หรือโอรสสวรรค์ วรรณกรรมสมัยหลังมักพรรณาว่า โจโฉเป็นทรราชโหดร้ายไร้เมตตา แต่โจโฉก็ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ปกครองที่ปราดเปรื่อง เป็นอัจฉริยบุคคลด้านการทหาร มีบารมีหาที่เปรียบมิได้ ปฏิบัติต่อผู้ใต้บัญชาดุจครอบครัวของตัว[ต้องการอ้างอิง]

ในช่วงที่ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกล่มสลาย โจโฉสามารถควบคุมท้องที่ส่วนใหญ่ในภาคเหนือของจีนซึ่งมีประชากรมากที่สุด ทั้งยังฟื้นฟูความเรียบร้อยและเศรษฐกิจเป็นผลสำเร็จในฐานะอัครมหาเสนาบดี แต่การที่โจโฉเชิดพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น โดยตนเองบัญชาราชการแผ่นดินเบ็ดเสร็จอยู่เบื้องหลังพระองค์นั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก การต่อต้านโดยตรงนั้นมาจากขุนศึกเล่าปี่กับซุนกวนซึ่งโจโฉมิอาจปราบลงได้

โจโฉยังมีความสามารถด้านกวีนิพนธ์ อักษรวิจิตร และศิลปะการต่อสู้ ทั้งได้ฝากงานเขียนมากมายในด้านการทหารเอาไว้ ซึ่งรวมถึงอรรถาธิบาย ซุนจื่อปิงฝ่า โจโฉยังเป็นที่จดจำในฐานะผู้ปกครองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของจักรวรรดิจีน

ประวัติ[แก้]

ช่วงชีวิตตอนต้น[แก้]

โจโฉเกิดที่เจากุ๋น (เฉียวเซี่ยน) ราชรัฐไพก๊ก (เพ่ย์กํ๋ว; ปัจจุบันคือเมืองปั๋วโจว มณฑลอานฮุย) ในปี ค.ศ. 155[2] บิดาของโจโฉคือโจโก๋ (เฉา ซง) เป็นบุตรบุญธรรมของโจเท้ง (เฉา เถิง) ผู้ซึ่งกลายเป็นขันทีคนโปรดของพระเจ้าฮวนเต้ (ฮั่นหฺวันตี้) ในบางบันทึกประวัติศาสตร์ รวมถึงชีวประวัติเฉาหมัน (เฉาหมันจฺวั้น) อ้างว่า ชื่อตระกูลแต่เดิมของโจโก๋คือแฮหัว (เซี่ยโหว) และเขาเป็นญาติของแฮหัวตุ้น (เซี่ยโหว ตุน)

โจโฉเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเขาในช่วงวัยหนุ่ม ตามชีวประวัติเฉาหมันได้กล่าวว่า อาของโจโฉมักจะฟ้องกับโจโก๋ว่า โจโฉชอบออกไปเที่ยวล่าสัตว์และเล่นดนตรีกับอ้วนเสี้ยว (ยฺเหวียน เช่า) สหายของเขา จนถูกบิดาต่อว่า เพื่อเป็นการแก้เผ็ด โจโฉจึงแสร้งทำเป็นลมชักต่อหน้าอาของเขา จนต้องรีบแจ้นไปตามโจโก๋ เมื่อโจโก๋รีบมาหาบุตรชายของตน โจโฉก็ทำตัวตามปกติ เมื่อถูกบิดาถาม โจโฉบอกว่า "ข้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แต่ท่านอาคงจะเกลียดข้าที่มักจะชอบนำเรื่องของข้าไปบอกท่านอยู่เรื่อยเลย" หลังจากนั้นโจโก๋ก็ไม่สนใจน้องชายที่มาฟ้องเรื่องของโจโฉอีกเลย และด้วยเหตุนี้ โจโฉจึงกลายเป็นคนโอ้อวดและยืนกรานในการงานที่ดื้อดึงของเขา

ในช่วงเวลานั้น มีชายผู้หนึ่งนามว่าเขาเฉียว (สฺวี่ เช่า) ชาวเมืองยีหลำ (หรู่หนาน) มีชื่อเสียงจากความสามารถของเขาทางด้านศาสตร์โหงวเฮ้งคือการมองลักษณะบนใบหน้าของบุคคลเพื่อประเมินศักยภาพและพรสวรรค์ของบุคคลคนนั้น โจโฉได้ไปเยี่ยมเขาด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับการดูโหงวเฮ้งของตนเพื่อประเมินความสามารถที่จะช่วยเหลือในอาชีพการเมือง ในตอนแรกเขาเฉียวปฏิเสธที่บอกกล่าว อย่างไรก็ตาม ก็ถูกซักถามอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดเขาก็ยอมบอกว่า "ในยามสงบสุข ท่านจะเป็นขุนนางที่มีความสามารถมาก ในยามกลียุค ท่านจะเป็นบุรุษที่มีความโหดเหี้ยมไร้เมตตา"[3] โจโฉก็หัวเราะชอบใจและเดินจากไป ความคิดเห็นเหล่านี้มีสองแบบในบันทึกทางประวัติศาสตร์ฉบับอื่น ๆ ที่ไม่เป็นทางการ

การรับราชการช่วงต้นและกบฏโพกผ้าเหลือง (ค.ศ. 175-188)[แก้]

เมื่ออายุได้ 20 ปี โจโฉได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองทหารรักษานครในลกเอี๋ยง (ลั่วหยัง) ในช่วงที่รับตำแหน่ง เขาได้นำกระบองหลากสีมาปักไว้ด้านนอกสำนักงานของเขา และออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ลงโทษเฆี่ยนตีผู้ละเมิดกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงยศตำแหน่งฐานะใด ๆ ลุงของเกียนสิด (เจี่ยน ชั่ว) หนึ่งในขันทีที่ทรงอิทธิพลและมีอำนาจมากที่สุดภายใต้อำนาจของพระเจ้าเลนเต้ (หลิงตี้) ถูกจับกุมเพราะเดินเตร่ในเมืองซึ่งเป็นช่วงห้ามออกนอกจากเคหสถานตอนกลางคืนโดยทหารของโจโฉและถูกโบยเฆี่ยนตี สิ่งนี้ได้ทำให้เกียนสิดและผู้มีอำนาจระดับสูงคนอื่น ๆ รีบส่งเสริมให้โจโฉได้เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการแห่งอำเภอตุนขิว (ตุ้นชิว) ในขณะที่ได้ทำการย้ายเขาออกจากเมืองหลวง โจโฉยังคงอยู่ในตำแหน่งนี้มานานกว่าหนึ่งปี จนกระทั่งถูกปลดออกจากตำแหน่งใน ค.ศ. 178 เนื่องจากครอบครัวของเขาที่อยู่ห่างไกลมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจักรพรรดินีซ่ง พระมเหสีคนแรกของพระเจ้าเลนเต้ซึ่งเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติ ราวปี ค.ศ. 180 โจโฉได้กลับมายังราชสำนักในฐานะที่ปรึกษา (議郎) และนำเสนอบันทึกสองฉบับเพื่อต่อต้านอิทธิพลของขันทีในราชสำนักและการทุจริตในการปกครองในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง โดยมีผลที่จำกัด

เมื่อกบฏโพกผ้าเหลืองก่อการในปี ค.ศ. 184 โจโฉได้ถูกเรียกตัวกลับมาที่ลกเอี๋ยงและแต่งตั้งให้เป็นนายกองทหารม้า (騎都尉 ฉีตูเว่ย์) และถูกส่งไปยังเมืองเองฉวน (อิ่งชวน) ในมณฑลอิจิ๋ว (อวี้โจว) เพื่อเข้าปราบปรามพวกกบฏ โจโฉประสบความสำเร็จในการปราบกบฏและถูกส่งไปเป็นเสนาบดี (相 เซียง) ของราชรัฐเจลำ (จี่หนัน) เพื่อขัดขวางการขยายอิทธิพลของกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือที่นั่น ที่เจลำ โจโฉได้ประกาศบังคับสั่งห้ามลัทธินอกรีตอย่างจริงจัง ทำลายศาลเจ้า และให้การสนับสนุนลัทธิขงจื๊อ โจโฉถูกตระกูลชั้นนำในท้องถิ่นไม่พอใจในการกระทำดังกล่าว จึงลาออกโดยอ้างว่าป่วยในราวปี ค.ศ. 187 ด้วยความกลัวว่าจะทำให้ครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตราย โจโฉได้รับเสนอตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองแห่งเมืองตงกุ๋น (東郡 ตงจฺวิ้น) แต่โจโฉปฏิเสธและเดินทางกลับบ้านที่ไพก๊ก ในช่วงเวลานั้น หวัง เฟิน (王芬) ได้พยายามชักชวนโจโฉให้เข้าร่วมในการก่อรัฐประหารเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ของพระเจ้าเลนเต้ โดยผลตอบแทนคือจะแต่งตั้งตำแหน่งยศศักดิ์ให้เป็นเหอเฟยโหฺว แต่โจโฉปฏิเสธ แผนลับได้ล้มเหลวและหวัง เฟินก็ต้องปลิดชีพตนเอง

แนวร่วมพันธมิตรต่อต้านตั๋งโต๊ะ (ค.ศ. 189-191)[แก้]

สรุปเหตุการณ์ที่สำคัญในช่วงชีวิตของโจโฉ
ค.ศ. 155 เกิดที่อำเภอเจากุ๋น
180s นำกองทหารเข้าปราบปรามกบฏโพกผ้าเหลืองที่เมืองเองฉวน
190 เข้าร่วมกับแนวร่วมพันธมิตรต่อต้านต่งจั่ว.
196 รับเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้มาประทับที่นครฮูโต๋
200 เอาชนะในยุทธการที่กัวต๋อ
208 พ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง
213 ได้รับสถาปนาเป็นวุยก๋ง และได้รับพระราชทานสิบเมืองให้ปกครอง
216 ได้รับตำแหน่งยศศักดิ์เป็นวุยอ๋อง
220 เสียชีวิตในลกเอี๋ยง
ได้รับพระราชสมัญญานามภายหลังมรกรรมในฐานะจักรพรรดิอู่

ภายหลังจากออกจากราชการเป็นเวลาสิบแปดเดือน โจโฉได้กลับมายังเมืองหลวงลกเอี๋ยงในปี ค.ศ. 188 ปีนั้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกองผู้จัดการทัพ (典軍校尉 เตี่ยวจวินเซี่ยวเว่ยย์) หัวหน้าที่สี่ในแปดของกองทัพแห่งราชอุทยานตะวันตก ซึ่งเป็นกองทัพจักรวรรดิที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ ประสิทธิภาพของกองทัพใหม่นี้ไม่เคยถูกทำการทดสอบ เนื่องจากได้ถูกยุบยกเลิกไปในปีถัดมา

ในปี ค.ศ. 189 พระเจ้าเลนเต้สวรรคตและพระราชบุตรองค์โต (จักรพรรดิฮั่นเช่า) สืบทอดราชบัลลังก์ แม้ว่าอำนาจรัฐส่วนใหญ่จะถูกควบคุมโดยโฮเฮาและที่ปรึกษาของพระนาง พี่ชายของโฮเฮาและแม่ทัพใหญ่นามว่า โฮจิ๋น(เหอจิ้น) ได้วางแผนร่วมกับอ้วนเสี้ยว ในการกำจัดสิบขันที (กลุ่มขันทีที่มีอิทธิพลในราชสำนัก) โฮจิ๋นได้เรียกตั๋งโต๊ะ (ต่งจั๋ว) ขุนพลที่ช่ำชองของมณฑลเลียงจิ๋ว (เหลียงโจว) ให้นำกองทัพเข้าสู่ลกเอี๋ยงเพื่อกดดันโฮเฮาให้มอบอำนาจ ด้วยข้อกล่าวหาที่อาจหาญของ "ความชั่วช้า" ของตั๋งโต๊ะ แต่ก่อนที่ตั๋งโต๊ะจะเดินทางมาถึง โฮจิ๋นก็ถูกลอบสังหารโดยขันทีและลกเอี๋ยงตกอยู่ในท่ามกลางความโกลาหล ในขณะที่การต่อสู้กับขันทีภายใต้การสนับสนุนของอ้วนเสี้ยว กองทัพของตั๋งโต๊ะได้กำจัดฝ่ายค้านภายในบริเวณพระราชวังอย่างง่ายดาย ภายหลังจากที่เขาได้ปลดจักรพรรดิฮั่นเช่าลงจากราชบัลลังก์ ต่งจั่วได้สถาปนาให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ (ฮั่นเซี่ยนตี้) ขึ้นครองราชบัลลังก์ในฐานะหุ่นเชิด เนื่องจากเขามองว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้มีความสามารถและชาญฉลาดมากกว่าจักรพรรดิฮั่นเช่า

ภายหลังจากได้ปฏิเสธข้อเสนอในการแต่งตั้งของตั๋งโต๊ะ โจโฉได้ออกจากลกเอี๋ยงมายังตันลิว (เฉินหลิว ทางตะวันออกของไคเฟิง มณฑลเหอหนานในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโจโฉ) ซึ่งเขาได้จัดตั้งกองทัพขึ้นมา ในปีต่อมา เหล่าขุนศึกภูมิภาคได้ก่อตั้งพันธมิตรทางทหารภายใต้การนำโดยอ้วนเสี้ยวเพื่อต่อต้านตั๋งโต๊ะ โจโฉได้เข้าร่วมด้วย กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่ร่วมต่อสู้อย่างแข็งขันของแนวร่วมพันธมิตร แม้ว่าเหล่าขุนศึกจะเข้าปลดปล่อยเมืองหลวงลกเอี๋ยงได้แล้ว ราชสำนักของตั๋งโต๊ะได้อพยพไปยังตะวันตกสู่เตียงฮัน (ฉางอัน) ที่เป็นเมืองหลวงเก่า โดยพาพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปด้วย แนวร่วมพันธมิตรได้ล่มสลายภายหลังจากปราศจากความเคลื่อนไหวมาเป็นเวลาหลายเดือน และจีนได้เข้าสู่สงครามกลางเมือง ในขณะที่ตั๋งโต๊ะถูกสังหารโดยลิโป้ (ลฺหวี่ ปู้) ใน ค.ศ. 192

ขยายดินแดน(ค.ศ. 191-199)[แก้]

แผนที่ได้แสดงให้เห็นถึงขุนศึกคนสำคัญของราชวงศ์ฮั่นในช่วงต้น ค.ศ. 190 รวมทั้งเฉาเชา

การพิชิตมณฑลกุนจิ๋ว (ค.ศ. 191-195)[แก้]

โจโฉยังคงขยายอำนาจของตนโดยการทำสงครามระยะสั้นและระดับภูมิภาค ใน ค.ศ. 191 โจโฉได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองของเมืองตองกุ๋น (ตงจวิ้น) ในตันลิว สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นภายหลังจากที่เขาได้ประสบความสำเร็จในการปราบหัวหน้าโจรนามว่า ไป๋ เร่า และอ้วนเสี้ยวได้แต่งตั้งให้โจโฉเป็นเจ้าเมืองเข้ามาแทนที่หวัง หง ซึ่งไร้ความสามารถ เขาได้ขจัดซ่องโจร และเมื่อข้าหลวงมณฑลของกุนจิ๋ว (เหยี่ยนโจว) เล่าต้าย (หลิว ไต้) ได้เสียชีวิตลงในปีถัดมา โจโฉได้รับเชิญจากเปาสิ้นและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ให้เป็นเจ้ามณฑลของกุนจิ่ว และจัดการกับการก่อการกำเริบของโจกโพกผ้าเหลืองในเฉงจิ๋ว (ชิงโจว) ซึ่งเข้าโจมตีกุนจิ๋ว แม้ว่าจะพบความปราชัยหลายครั้ง โจโฉก็สามารถปราบกบฏได้ภายในสิ้นปี ค.ศ. 192 โดยผ่านทางการเจรจากับพวกเขา และได้รับทหารเพิ่มเติมจำนวนสามหมื่นนายเข้าสู่กองทัพ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 193 โจโฉและอ้วนเสี้ยวรบกับอ้วนสุด (ยฺเหวียน ซู่) ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของอ้วนเสี้ยวในการรบหลายครั้ง เช่น ที่เฟิงชิว ซึ่งได้ขับไล่เขาไปที่แม่น้ำห้วย

โจโก๋ (เฉา ซง) บิดาของเฉาเชาถูกสังหารในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 193 โดยเตียวคี (จาง ไข่) ทหารของโตเกี๋ยม(เถา เชียน) เจ้ามณฑลแห่งชีจิ๋ว (สฺวีโจว) (ผู้อ้างว่าตนบริสุทธิ์ และผู้สังหารโจโก๋นั้นเดิมเป็นโจร) ด้วยความโกรธแค้น โจโฉได้ทำการสังหารหมู่พลเรือนหลายพันคนในชีจิ๋วในช่วงการทัพลงทัณฑ์สองครั้งใน ค.ศ. 193 และ ค.ศ. 194 เพื่อล้างแค้นให้กับบิดาของเขา เนื่องจากเขาได้นำกองทัพของเขาจำนวนมากมาย มายังชีจิ๋วเพื่อเอาชนะโตเกี๋ยม ดินแดนส่วนใหญ่ของเขาจึงไร้การป้องกัน เจ้าหน้าที่นายทหารที่ไม่พอใจจำนวนหนึ่งนำโดยตันก๋ง (เฉิน กง) และเตียวเถียว (จาง เชา) ได้ร่วมมือวางแผนก่อกบฏ พวกเขาได้โน้มน้าวให้เตียวเมา (จาง เหมี่ยว; พี่ชายของเตียวเถียว) ขึ้นมาเป็นผู้นำของพวกตนและขอให้ลิโป้เข้ามาเป็นการเสริมกำลัง ตันก๋งเชิญลิโป้ให้มาเป็นข้าหลวงมณฑลคนใหม่แห่งกุนจิ๋ว ลิโป้ได้ตอบรับคำเชิญนี้และนำกองกำลังทหารเข้าไปในมณฑล นับตั้งแต่กองทัพโจโฉไม่อยู่ ผู้บัญชาการท้องถิ่นหลายคนต่างคิดว่าการต่อสู้รบครั้งนี้จะต้องพ่ายแพ้และยอมจำนนต่อลิโป้ทันทีเมื่อเขาเดินทางมาถึง แต่อย่างไรก็ตาม มีเพียงสามอำเภอ ได้แก่ เอียนเสีย (เจวี้ยนเฉิง) ตองไฮ (ตงอา) และฮวนกวน (ฟ่านเซี่ยน) ยังคงจงรักภักดีต่อโจโฉ เมื่อโจโฉเดินทางกลับมาถึง เขาได้รวบรวมกองกำลังของเขาไว้ที่เอียนเสีย

ตลอดช่วงปี ค.ศ. 194 และ ค.ศ. 195 โจโฉและลิโป้ได้ต่อสู้รบกันหลายครั้งเพื่อแย่งชิงการควบคุมกุนจิ๋ว แม้ว่าในตอนแรกลิโป้จะทำได้ดีในถือครองปักเอี้ยง (ผู่หยาง) โจโฉก็เอาชนะเกือบทั้งหมดด้านนอกของปักเอี้ยง ชัยชนะที่เด็ดขาดของโจโฉเกิดขึ้นในการรบใกล้กับตงหมิง ลิโป้และตันก๋งได้นำกองทัพขนาดใหญ่เข้าโจมตีกองทัพของโจโฉ ในช่วงเวลานั้น โจโฉก็ได้ออกไปพร้อมกองกำลังขนาดเล็กเพื่อเก็บเกี่ยวข้าว เมื่อเห็นลิโป้และตันก๋งเข้ามาใกล้ โจโฉก็ได้ซ่อนกองกำลังของเขาไว้ในป่าและแนวหลังเขื่อน จากนั้นเขาก็ส่งกองกำลังขนาดเล็กเข้าไปประจัญหน้ากับกองทัพของลิโป้ เมื่อกองกำลังทั้งสองได้รับมอบหมาย เขาได้ออกคำสั่งให้กองกำลังทหารที่ซ่อนตัวอยู่ให้เข้าโจมตีทันที กองทัพของลิโป้ถูกทำลายล้างจากการโจมตีครั้งนี้และทหารของเขาจำนวนมากได้หลบหนีไป

ลิโป้และตันก๋งต่างหลบหนีออกจากการสู้รบครั้งนั้น เนื่องจากชีจิ๋วในตอนนี้ได้อยู่ภายใต้บัญชาการของเล่าปี่ (หลิว เป้ย) และเล่าปี่เคยเป็นศัตรูของโจโฉมาก่อน พวกเขาจึงได้มาหลบหนีไปยังชีจิ๋วเพื่อความปลอดภัย โจโฉตัดสินใจที่จะไม่ไล่ล่าตามหาพวกเขา แต่กลับไปริเริ่มกวาดล้างผู้จงรักภักดีของลิโป้ในกุนจิ๋ว รวมทั้งการเข้ายึดครองดินแดนเหล่านั้น สิบแปดเดือนหลังการก่อกบฏได้เริ่มต้นขึ้น โจโฉได้ปราบเตียวเมาและครอบครัว และเข้ายึดครองกุนจิ๋วกลับคืนมาภายในช่วงปลายปี ค.ศ. 195

ช่วยเหลือจักรพรรดิ (ค.ศ. 196)[แก้]

โจโฉได้ย้ายกองบัญชาการของเขาในช่วงต้น ค.ศ. 196 จากปักเอี้ยงไปยังนครฮูโต๋ (許 สฺวี่, ปัจจุบันคือ สฺวี่ชาง) ซึ่งเขาได้สร้างดินแดนอาณานิคมเกษตรกรรมทางทหารสำหรับการตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพและจัดหาเสบียงอาหารมาให้แก่กองทัพของเขา

ราวประมาณเดือนสิงหาคม ค.ศ. 196 พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จกลับสู่ลกเอี๋ยงภายใต้การคุ้มกันของเอียวฮองและ ตังสิน โจโฉเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 196 และโน้มน้าวให้พระองค์ย้ายเมืองหลวงไปยังนครฮูโต๋ตามคำแนะนำของ ซุนฮกและที่ปรึกษาคนอื่น ๆ เนื่องจากนครลกเอี๋ยงได้ถูกทำลายเสียหายโดยสงครามและเตียงฮันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมทางทหารของโจโฉ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีโยธาธิการ (ภายหลังจากได้เจรจากับอ้วนเสี้ยว ผู้บังคับบัญชาในนามของเขา) และเจ้ากรมข้าทาสบริวาร (司隸 ซือลี่) ได้รับพระราชอำนาจในเพียงนามในการควบคุมมณฑลราชธานี (ซือลี่) นอกจากนี้เขายังได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ (大將軍 ต้าเจียงจฺวิน) และอู่ผิงโหฺว (武平侯) แม้ว่าทั้งสองตำแหน่งยศศักดิ์นี้ได้ถูกนำไปใช้จริงได้เพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางคนได้มองว่า จักรพรรดิเป็นหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของโจโฉ แต่โจโฉได้ยึดมั่นตามกฏเกณฑ์ส่วนบุคคลที่เข้มงวดจนกระทั่งเขาเสียชีวิต ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการแย่งชิงราชบัลลังก์ เมื่อที่ปรึกษาของเขาได้กระซิบมาบอกเขาว่า ให้โค่นล้มราชวงศ์ฮั่นและเริ่มต้นราชวงศ์ใหม่ด้วยตัวท่านเอง แต่เขาได้ตอบกลับว่า "หากฟ้าสวรรค์ได้มอบชะตาลิขิตเช่นนี้ให้กับข้า ข้าขอเป็นแบบอย่างจิวบุนอ๋อง (โจฺวเหวินหวัง) ก็พอ"

เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับอ้วนเสี้ยว ซึ่งกลายเป็นขุนศึกที่ทรงอำนาจมากที่สุดในแผ่นดินจีน เมื่อเขาได้รวบรวมสี่มณฑลทางตอนเหนือของจีนเข้าด้วยกัน โจโฉพยายามเจรจาเกลี้ยมกล่อมว่าจะแต่งตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นรัฐมนตรีโยธาธิการ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ได้ส่งผลตรงกันข้าม เนื่องจากอ้วนเสี้ยวเชื่อว่าโจโฉต้องการที่จะทำให้ตนได้รับความอับอาย เนื่องจากตำแหน่งรัฐมนตรีโยธาธิการนั้นเป็นตำแหน่งที่ต่ำกว่าแม่ทัพใหญ่ที่โจโฉดำรงตำแหน่งอยู่ ดังนั้นจึงปฏิเสธข้อเสนอในการรับตำแหน่งนี้ เพื่อเป็นการปลอบใจแก่อ้วนเสี้ยว โจโฉได้เสนอตำแหน่งของตนเองให้กับเขา ในขณะที่เขาจะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีโยธาธิการเอง แม้ว่าสิ่งนี้จะแก้ไขข้อขัดแย้งได้ชั่วคราว แต่ก็เป็นตัวเร่งกระตุ้นก่อให้เกิดยุทธการที่กัวต๋อในเวลาต่อมา

การต่อสู้รบกับเตียวสิ้ว อ้วนสุด และลิโป้ (ค.ศ. 197-198)[แก้]

เล่าเปียวเป็นขุมอำนาจในสมัยนั้น ซึ่งครองมณฑลเกงจิ๋วเอาไว้ทั้งหมด เกงจิ๋วมีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด แต่ที่เติบโตขึ้นมาได้เพราะมีผู้อพยพจำนวนมากที่ลี้ภัยจากสงครามทางเหนือและอพยพลงทางใต้ ดังนั้นเล่าเปียวจึงถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อโจโฉ เตียวสิ้วซึ่งบัญชาการในดินแดนของเล่าเปียวบนชายแดนติดกับอาณาเขตของโจโฉ ดังนั้นโจโฉต้องการที่จะโจมตีเขา ในช่วงต้นปี ค.ศ. 197 เตียวสิ้วได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ แต่กลับเข้าโจมตีค่ายทหารของโจโฉในตอนกลางคืน (ยุทธการที่อ้วนเซีย) ซึ่งได้คร่าชีวิตทหารจำนวนมาก รวมทั้งโจงั่งบุตรชายของเฉาเชา และโจโฉจึงต้องหลบหนีไป

ภายหลังจากใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการฟื้นฟู โจโฉได้หันความสนใจไปที่อ้วนสุดซึ่งได้ประกาศสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต๋องซือ (จ้งชื่อ) ขึ้นมา ในนามของของการฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น โจโฉและขุนศึกคนอื่น ๆ ได้จัดตั้งแนวร่วมพันธมิตรต่อต้านอ้วนสุด และโจโฉได้เข้ายึดครองดินแดนทั้งหมดของอ้วนสุดจากทางตอนเหนือของแม่น้ำห้วย (ไหฺว) ในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 197 ในขณะที่ดินแดนที่เหลืออยู่ของอ้วนสุดได้ประสบภัยแล้งและการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีทำให้อำนาจของเขาลดลงไปอีก

ต่อมาใน ค.ศ. 197 โจโฉได้กลับไปทางใต้เพื่อเข้าโจมตีเล่าเปียวและเตียวสิ้วอีกครั้ง ครั้งนี้ โจโฉประสบความสำเร็จอย่างมากและทำให้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อกองทัพของพวกเขา โจโฉได้เข้าโจมตีเตียวสิ้วอีกครั้งใน ค.ศ. 198 ซึ่งนำไปสู่ยุทธการที่หรางเฉิงและเอาชนะอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ต้องถอนกำลังออกจากการสู้รบในครั้งนี้เพราะเขาได้รับข่าวว่า อ้วนเสี้ยวกำลังวางแผนที่จะกรีฑาทัพไปยังนครฮูโต๋ แม้ว่าในภายหลังจะถูกพบว่าข่าวนั้นไม่เป็นความจริงก็ตาม

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 198 โจโฉได้ส่งไปปลุกระดมขุนศึกตะวันตกเพื่อเข้าโจมตีเตียงฮัน ซึ่งยังถูกควบคุมโดยลิฉุย ผู้สืบทอดอำนาจต่อจากตั๋งโต๊ะ ตวยอุย (段煨 ตฺวั้น เวย์) หนึ่งในขุนพลผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของลิฉุยได้ก่อกบฏและสังหารลิฉุยพร้อมกับครอบครัวของเขาในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 198 ตวนอุยได้ส่งมอบศีรษะของลิฉุยไปยังนครฮูโต๋ (เพื่อหลักฐานยืนยันในการยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ)

ในขณะเดียวกัน ลิโป้ก็กำเริบเสิบสานมากขึ้น เขาขับไล่เล่าปี่ (ซึ่งหลบหนีไปอยู่กับโจโฉ) ออกจากดินแดนของเขาเองอีกครั้งและร่วมมือกับอ้วนสุด เนื่องจากเตียวสิ้วพร้อมกับกองทัพของเขาเพิ่งจะถูกบดขยี้ เขาไม่ได้เป็นภัยคุกคามในทางใต้อีกต่อไป ดังนั้นโจโฉจึงไปทางตะวันออกเพื่อเข้าปราบปรามลิโป้

การพิชิตชีจิ๋วและอิจิ๋ว (ค.ศ. 199)[แก้]

โจโฉได้เอาชนะลิโป้ในการต่อสู้รบหลายครั้งและในที่สุดก็โอบล้อมไว้ได้ที่แห้ฝือ (เซี่ยพี) ลิโป้ได้พยายามที่จะตีฝ่าออกไปแต่ทำไม่สำเร็จ ในที่สุดเจ้าหน้าที่นายทหารและทหารของเขาจำนวนมากได้แปรพักตร์ให้กับโจโฉ บางคนถูกลักพาตัวโดยผู้ทรยศ ลิโป้ริ่มรู้สึกท้อแท้และยอมจำนนต่อโจโฉ ซึ่งได้ประหารชีวิตเขา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 199 การกำจัดลิโป้ทำให้โจโฉได้ควบคุมมณฑลชีจิ๋วอย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อลิโป้ได้จากไปแล้ว โจโฉได้เริ่มทำปราบปรามอ้วนสุด เขาส่งเล่าปี่และจูเหลง (จู หลิง) ไปทางใต้เพื่อเข้าโจมตีอ้วนสุด แต่อ้วนสุดเสียชีวิตในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 199 ก่อนที่เล่าปี่และคนอื่น ๆ ได้เดินทางมาถึง ซึ่งหมายความว่า โจโฉก็ไร้ซึ่งคู่ปรับที่สำคัญในภูมิภาคแม่น้ำห้วย (ชีจิ๋วและอิจิ๋ว) อีกต่อไป ในขณะเดียวกัน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 199 อ้วนเสี้ยวได้จบศึกกับกองซุนจ้านในยุทธการที่อี้จิง และวางแผนที่จะเคลื่อนทัพไปทางใต้เพื่อเอาชนะโจโฉ เมื่อเห็นดังนั้น โจโฉได้เริ่มเตรียมความพร้อมการป้องกัน โดยตั้งใจที่จะยืนหยัดที่กัวต๋อ ตามคำแนะนำของกาเซี่ยง เตียวสิ้วยอมสวามิภักด์ต่อโจโฉและกองทัพของเขาได้ถูกรวมเข้ากับกองทัพของโจโฉ ภายหลังจากที่พวกเขาได้ปฏิเสธทูตของอ้วนเสี้ยวเพื่อขอให้มาเป็นพันธมิตรกัน

รวบรวมทางตอนเหนือของจีน(ค.ศ. 200-207)[แก้]

การทรยศและความพ่ายแพ้ของเล่าปี่[แก้]

ใกล้สิ้นปี ค.ศ. 199 เล่าปี่ทรยศโจโฉและสังหารกีเหมาผู้บัญชาการทหารของโจโฉในมณฑลชีจิ๋ว อ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของมณฑล โจโฉต้องการที่จะเข้าโจมตีเล่าปี่อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้กลายเป็นสงครามสองด้าน ในขณะที่บางคนในราชสำนักกังวลว่าอ้วนเสี้ยวจะเข้าโจมตีพวกเขาในไม่ช้า ถ้าหากกองทัพหลักจะเคลื่อนทัพไปทางตะวันออก กุยแกให้ความมั่นใจกับโจโฉว่า อ้วนเสี้ยวจะตอบสนองที่ล่าช้า และโจโฉสามารถจัดการเล่าปี่ได้ หากเขาจัดการได้อย่างรวดเร็ว ตามคำแนะนำของกุยแก โจโฉเข้าโจมตีเล่าปี่และเอาชนะได้อย่างเด็ดขาดในชีจิ๋ว จับกุมกวนอูพร้อมกับสมาชิกครอบครัวของเล่าปี่เมื่อต้นปี ค.ศ. 200 ส่วนเล่าปี่หลบหนีไปอาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยว ซึ่งได้ส่งเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกองทัพของเขาเพื่อเข้าโจมตีโจโฉ การจู่โจมครั้งนี้ถูกหยุดยั้งโดยอิกิ๋มในยุทธการที่ท่าข้ามตู้ชื่อในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 200 เป็นเครื่องหมายของการปะทุของการเปิดฉากสงครามระหว่างโจโฉและอ้วนเสี้ยว

สงครามกับตระกูลอ้วน[แก้]

การพิชิตดินแดนของโจโฉมาจากตระกูลอ้วน ตั้งแต่ ค.ศ. 200–207

การทัพกัวต๋อ[แก้]

ใน ค.ศ. 200 อ้วนเสี้ยวกรีฑาทัพไปทางใต้สู่นครฮูโต๋เพื่อหมายจะให้ความช่วยเหลือแก่จักรพรรดิ เขาได้รวบรวมกองทหารจำนวนมากกว่า 110,000 นาย รวมทั้งทหารม้าหนัก 10,000 นาย ในขณะที่โจโฉรวบรวมกองทหารมาได้ประมาณ 40,000 นาย ซึ่งส่วนมากเขาได้รวมกองกำลังไว้ที่กัวต๋อซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์บนแม่น้ำฮองโห (หฺวางเหอ) กองทัพของโจโฉขับไล่การโจมตีของอ้วนเสี้ยวหลายครั้งและได้รับชับชนะทางยุทธวิธีที่ท่าข้ามตู้ชื่อ (กุมภาพันธ์) แปะเบ๊ (มีนาคม-พฤษภาคม) และท่าข้ามเหยียน (พฤษภาคม-สิงหาคม) กองทัพทั้งสองฝ่ายได้หยุดชะงักลงในยุทธการที่กัวต๋อ(กันยายน-พฤศจิกายน) เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่รุกคือต่อไปได้มากนัก การขาดแคลนกำลังคนของโจโฉทำให้เขาไม่สามารถโจมตีอย่างมีนัยสำคัญ และความภาคภูมิใจของอ้วนเสี้ยวได้บีบบังคับให้เขาต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังของโจโฉอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าเขาจะได้เปรียบทางด้านกำลังคนอย่างท่วมท้น แต่อ้วนเสี้ยวก็ไม่สามารถใช้ทรัยากรของเขาได้อย่างเต็มที่ เนื่อ เนื่องจากความเป็นผู้นำที่ลังเลเอาแน่นอนไม่ได้และตำแหน่งฐานะของเฉาเชา

นอกจากนั้นท่ามกลางสมรภูมิกัวต๋อ ยังมีสองแนวรบที่เกิดขึ้น: แนวรบด้านตะวันออกด้วยกองทัพของอ้วนเสี้ยวภายใต้การนำโดยอ้วนถำ เข้าปะทะกับกองทัพของโจโฉภายใต้การนำโดยจงป้า ซึ่งเป็นสงครามด้านหนึ่งเพื่อสนับสนุนแก่โจโฉ เนื่องจากความเป็นผู้นำที่ต่ำต้อยของอ้วนถำ ไม่คู่ควรกับความรู้ท้องถิ่นของจงป้าและกลยุทธ์แบบเข้าปะทะแล้วหนีของเขา ด้านแนวรบด้านตะวันตก โกกันหลานชายอ้วนเสี้ยวเข้าโจมตีกองทัพของโจโฉได้ดีกว่า และบีบบังคับให้เสริมกำลังหลายครั้งจากค่ายหลักของโจโฉเพื่อรักษาแนวรบด้านตะวันตก เล่าปี่ซึ่งเป็นแขกในกองทัพอ้วนเสี้ยว ได้ให้คำแนะนำในการยุยงปลุกปั่นการก่อกบฏในดินแดนของโจโฉ เนื่องจากผู้ติดตามของอ้วนเสี้ยวจำนวนมากอยู่ในดินแดนของโจโฉ กลยุทธ์นี้ได้ประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่ทักษะทางการทูตของหมันทองช่วยเหลือในการแก้ไขความขัดแย้งแทบจะในทันที หมันทองได้ถูกวางตัวในฐานะเจ้าหน้าที่ด้วยเหตุผลเฉพาะกิจนี้ เนื่องจากโจโฉได้มองเห็นถึงความเป็นไปได้ของการก่อการกำเริบก่อนการสู้รบ โจโฉเข้าตีโฉบฉวบทำลายคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวที่หมู่บ้านกู้ชื่อ ทำให้อ้วนเสี้ยวต้องตั้งคลังเสบียงฉุกเฉินที่อัวเจ๋า ในที่สุดในเดือนที่ 10 เขาฮิวซึ่งเป็นผู้แปรพักตร์จากกองทัพอ้วนเสี้ยว ได้แจ้งบอกแก่โจโฉถึงที่ตั้งของคลังเสบียงแห่งใหม่ของอ้วนเสี้ยว โจโฉทำลายภาวะจนมุมโดยการส่งกองกำลังพิเศษไปที่อัวเจ๋า เพื่อทำการเผาเสบียงทั้งหมดของกองทัพอ้วนเสี้ยว ซึ่งทำให้เกิดเสียขวัญอย่างมาก อ้วนเสี้ยวได้เข้าโจมตีเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งประสบความสูญเสียและล้มเหลวในท้ายที่สุดในกัวต๋อ และเช้าวันรุ่งขึ้น โจโฉได้เปิดฉากการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวในการทำลายล้างต่อกองทัพข้าศึกที่กำลังล่าถอย ซึ่งทำให้ได้รับชัยชนะที่เด็ดขาดและดูเหมือนว่าจะเป็นชัยชนะที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ในการรายงานต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉอ้างว่าได้สังหารทหารจำนวนมากว่า 70,000 นายของกองทัพที่มีจำนวนเท่าเดิม 110,000 นายของอ้วนเสี้ยว ภายหลังเขาได้ออกคำสั่งให้นำทหารข้าศึกส่วนใหญ่ที่ถูกจับกุมมาได้ให้ทำการฝังทั้งเป็น ไม่กี่เดือนต่อมา ในเดือนพฤษภาคม หรือ มิถุนายน ค.ศ. 201 โจโฉได้เอาชนะอ้วนเสี้ยวอีกครั้งในยุทธการที่ซองเต๋ง ซึ่งได้กำจัดกองกำลังสุดท้ายในเวลาต่อมา ทางใต้ของแม่น้ำฮองโห

พิชิตดินแดนเหนือ[แก้]

อ้วนเสี้ยวล้มป่วยได้ไม่นานหลังจากประสบความปราชัย และเสียชีวิตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 202 ซึ่งทิ้งไว้เหลือแค่บุตรสามคน และไม่ได้มีการแต่งตั้งทายาทผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ แม้จะดูเหมือนว่าเขาจะเอ็นดูต่ออ้วนซงบุตรชายคนเล็กสุดท้องของเขา (ซึ่งควบคุมมณฑลกิจิ๋ว) ในฐานะทายาทของเขา อ้วนถำ บุตรชายคนโต (ผู้ว่าราชการมณฑลแห่งมณฑลเฉงจิ๋ว) ได้ท้าทายเขา และทั้งสองพี่น้องได้เข้าสู่สงครามแย่งชิงการสืบทอด ในขณะที่พวกเขาได้ต่อสู้รบกับโจโฉ โจโฉใช้ความขัดแย้งภายในตระกูลอ้วนเพื่อผลประโยชน์ของเขา และในช่วงยุทธการที่ลิหยง (ตุลาคม ค.ศ. 202 – มิถุนายน ค.ศ. 203) เขาได้ขับไล่พวกอ้วนกลับไปยังฐานที่มั่นของพวกเขาที่เงียบกุ๋น (ภายใต้การควบคุมของอ้วนซง) จากนั้นเขาก็ได้ถอนกำลัง รวบรวมดินแดนของเขาที่ได้รับมาแทนที่จะเข้าพิชิตดินแดนเอาไว้ทั้งหมด อาจเป็นไปได้ว่า ฝ่ายค้านในราชสำนักในนครสวี ต้องการหันเหความสนใจของเขา เมื่อคลายความกดดันจากโจโฉแบบชั่วคราว ความบาดหมางระหว่างพี่น้องก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น อ้วนซงโอบล้อมฐานที่มั่นของอ้วนภำที่เพงงวนก๋วน (平原 ผิงหยาง) ได้บีบบังคับในภายหลังซึ่งได้ลงเอยด้วยการสมรสพันธมิตรกับโจโฉ มณฑลกิจิ๋วได้ตกเป็นของโจโฉในฤดูร้อน ค.ศ. 204 ภายหลังจากโอบล้อมเงียบกุ๋นเป็นเวลาห้าเดือน โจโฉได้แสดงความเคารพหลุมฝังศพของอ้วนเสี้ยว ภายหลังจากการพิชิตเงียบกุ๋นมาได้ ซึ่งได้ร้องไห้อย่างขมขื่นสำหรับเพื่อนเก่าแก่ของเขาต่อหน้าผู้ติดตามของเขาและได้มอบของขวัญปลอบโยนแก่ครอบครัวของอ้วนเสี้ยวและเงินบำนาญจากรัฐบาล อ้วนซงหลบหนีไปทางเหนือเข้าหากับบุตรชายคนที่สาม ผู้ว่าราชการมณฑลอ้วนฮีแห่งมณฑลอิวจิ๋ว ในขณะที่โกกันผู้ว่าราชการมณฑลแห่งเป๊งจิ๋วแปรพักตร์เข้าด้วยโจโฉ ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ค.ศ. 205 โจโฉได้หันไปเข้าโจมตีอ้วนถำที่ไม่จงรักภักดี เอาชนะและสังหารเขาในยุทธการที่ลำพี้ และพิชิตมณฑลเฉงจิ๋วไว้ได้ โกกันได้ก่อการกบฎใน ค.ศ. 205 แต่ในปี ค.ศ. 206 โจโฉได้เอาชนะและสังหารเขา ได้รวมผนวกดินแดนมณฑลเป๊งจิ๋วเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

โจโฉได้แสร้งทำเป็นว่า ได้มีอำนาจเหนือดินแดนทางตอนเหนือของจีนเอาไว้ทั้งหมด ได้ประสบความทุกข์ทรมานจากการก่อกำเริบในท่ามกลางทหารของตน อ้วนซงและอ้วนฮีหลบหนีไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าชนเผ่าออหวน หัวหน้าชนเผ่าออหวนนามว่าเป๊กตุ้นให้ความช่วยเหลือแก่สองพี่น้องอ้วน และเริ่มเข้าโจมตีดินแดนของโจโฉ ใน ค.ศ. 207 โจโฉนำการทัพที่กล้าหาญในการออกนอกเขตชายแดนของจีนเพื่อทำลายล้างตระกูลอ้วนให้สิ้นไป เขาได้ต่อสู้รบกับพันธมิตรของหัวหน้าชนเผ่าออหวนในยุทธการที่เขาเป๊กลงสาน แม้ว่าจะมีกองกำลังจำนวนมากและเด็ดเดี่ยว โจโฉก็ได้รับชัยชนะ เนื่องจากได้สร้างระบบการขนส่งเสบียงอันชาญฉลาดโดยการขุดคลองสองแห่งขึ้นมาใหม่ และโจมตีขนาบข้างข้าศึก สังหารเป๊กตุ้นและบีบบังคับให้พี่น้องอ้วนต้องหลบหนีอีกครั้ง คราวนี้ พวกเขาได้ไปหากองซุนของเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กองซุนของกลับสั่งให้ประชีวิตพวกเขา และส่งมอบศีรษะของพวกเขาไปให้แก่โจโฉ ทำให้เขาได้รับอำนาจการควบคุมในนามเหนือมณฑลอิวจิ๋ว ในขณะเดียวกัน ชนเผ่าตอนเหนือซึ่งตอนนี้ได้เกิดความหวาดกลัวต่อโจโฉ ส่วนมากของชนเผ่าออหวนที่เหลือได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา พร้อมกับเซียนเปย์และซฺยงหนู

การทัพผาแดงและทางใต้ (ค.ศ. 208-210)[แก้]

ยึดครองเกงจิ๋วเป็นการชั่วคราว (ค.ศ. 208)[แก้]

แผนที่ของการทัพผาแดง แสดงให้เห็นถึงการไล่ล่าติดตามเล่าปี่ของโจโฉ ยุทธการที่เตียงปัน เซ็กเพ็ก (ผาแดง) การล่าถอยของโจโฉและกังเหลง

ภายหลังความปราชัยของอ้วนเสี้ยวที่กัวต๋อใน ค.ศ. 200 โจโฉบีบบังคับให้เล่าปี่หลบหนีไปหาเล่าเปียวผู้ว่าราชการมณฑลแห่งเกงจิ๋ว แล้วไปประจำการอยู่ชายแดนเหนือในอำเภอซินเอี๋ยเพื่อป้องกันโจโฉไว้ที่อ่าว การโจมตีของเโจโฉในช่วงแรกต่อเล่าปี่ได้ถูกขับไล่ในช่วงยุทธการที่ทุ่งพกบ๋อง (ค.ศ. 200) ภายหลังจากเสร็จสิ้นในการพิชิตภาคเหนือของจีนใน ค.ศ. 207 โจโฉก็หันเหความสนใจไปที่มณฑลเกงจิ๋วอย่างเต็มที่ ซึ่งที่นั้นได้เกิดข้อพิพาทเรื่องทายาทผู้สืบทอดขึ้น ภายหลังจากเล่าเปียวเสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 208 ทายาทที่ได้รับเลือกจากหลิวเปียวคือเล่าจ๋อง ลูกชายคนเล็กของเขา แต่ลูกชายคนโตของเขาคือเล่ากี๋ท้าทายเขาจากตำแหน่งผู่ว่าราชการมณฑล ในขณะที่ซุนกวนเข้าโจมตีดินแดนทางตะวันออกของเกงจิ๋ว เล่าปี่คาดหวังที่จะแย่งชิงเกงจิ๋วด้วยตัวเขาเองและโจโฉได้เคลื่อนทัพเพื่อบุกเกงจิ๋วจากทางเหนือด้วยกองทัพที่รวมตัวกันอย่างเร่งรีบในเดือนกันยายน การกระทำของโจโฉได้ปรากฏแล้วว่าเด็ดขาด เล่าจ๋องยอมจำนนต่อเขาโดยปราศจากต่อสู้ขัดขืน ในขณะที่เล่าปี่หลบหนีไปทางใต้ แต่เกิดความล่าช้าเพราะมีผู้อพยพจำนวนมาก กองกำลังทหารระดับชั้นนำจำนวน 5,000 นายของโจโฉได้ติดตามไล่ล่าเล่าปี่เพื่อหมายจะจับกุมและเอาชนะเขาได้ในยุทธการที่เตียงปัน ซึ่งเข้ายึดขบวนสัมภาระและขบวนผู้อพยพ ส่วนเล่าปี่เองหลบหนีไปทางตะวันออกได้อย่างหวุดหวิดพร้อมกับสหายผู้ร่วมเดินทางจำนวนหนึ่งได้เข้าสมทบกับเล่ากี๋ที่แฮเค้า และส่งจูกัดเหลียงเพื่อเจรจาเพื่อเป็นพันธมิตรกับซุนกวน ซึ่งในที่สุดก็ยอมตกลงที่จะเข้าร่วมกองกำลัง โจโฉได้ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแม่น้ำแยงซีโดยยึดฐานทัพเรือกังเหลง และออกคำสั่งให้กองทัพส่วนใหญ่ให้แล่นเรือไปตามแม่น้ำสู่เซ็กเพ็ก (ผาแดง) ในขณะที่กองทัพที่เหลือได้กรีฑาทัพทางบก เพื่อเอาชนะพันธมิตรที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว

ยุทธการที่เซ็กเพ็ก[แก้]

ในยุทธการที่เซ็กเพ็ก (ผาแดง) ในช่วงฤดูหนาว ค.ศ. 208 กองทัพของโจโฉพ่ายแพ้ให้กับทัพพันธมิตรของเล่าปี่และซุนกวน (ซึ่งต่อมาได้สถาปนาจ๊กก๊กและง่อก๊กตามลำดับ กลายเป็นคู่ปรับคนสำคัญของเขาในการรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง) แม้ว่าจะมีกองทัพจำนวนมากมาย กองทัพทางเหนือก็ต้องหมดเรี่ยวแรงจากการเดินทัพ มีแนวโน้มว่าจะเจ็บป่วยในสภาพอากาศทางใต้ที่ไม่คุ้นชิน และเกิดอาการเมาเรือบนกองเรือแม่น้ำ(ซึ่งพวกเขาได้พยายามแก้ไขปัญหานี้โดยการผูกติดเรือเข้าด้วยกัน) ในขณะที่ฝ่ายซุนกวนโดยเฉพาะอย่างทหารที่ยังคงมีความสดใหม่และมีประสบการณ์ในการทำสงครามทางแม่น้ำ แม่ทัพฝ่ายพันธมิตร อุยกายแสร้งสวามิภักดิ์แก่ฝ่ายเหนือ แต่ได้ใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่เรือของฝ่ายโจโฉถูกล่ามโซ่ติดเข้าไว้ด้วยกันเพื่อทำลายพวกเขาด้วยเรือติดไฟ ในขณะเดียวกัน การโจมตีด้วยการยกพลขึ้นบกของฝ่ายพันธมิตรภายใต้การนำโดยจิวยี่บนเส้นทางสู่กองทัพทางบกของโจโฉที่ฮัวหลิม (烏林 อูหลิน)

ตลอดช่วง ค.ศ. 209 และ ค.ศ. 210 ผู้บัญชาการทหารของโจโฉได้มีส่วนร่วมในความพยายามป้องกันฝ่ายซุนกวน ในยุทธการที่กังเหลงและอิเหลง ผู้บัญชาการทหารของโจโฉในภาคเหนือของเกงจิ๋ว (เช่น โจหยิน) ได้ต่อสู้รบกับซุนกวน พวกเขาได้ประสบความสำเร็จแบบผสม และโจโฉสามารถรักษาอาณาเขตบางส่วนไว้ในทางเหนือของมณฑล ในเวลาเดียวกัน พวกเขาได้หยุดยั้งการโจมตีที่หับป๋าและปราบปรามการก่อจลาจลในหลู่ซึ่งกองกำลังของซุนกวนได้พยายามให้ความช่วยเหลือ ป้องกันไม่ให้ซุนกวนจากการมุ่งเข้าโจมตีที่ฉิวฉุน อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารของโจโฉในทางใต้ของจเกงจิ๋ว ได้ถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของกองกำลังของโจโฉ ซึ่งได้ยอมสวามิภักดิ์แก่เล่าปี่ ในช่วงแรก เล่ากี๋ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาในฐานะผู้ตรวจการแห่งมณฑลเกงจิ๋ว แต่กลับเสียชีวิตลงใน ค.ศ. 209 ภายหลังจากนั้นซุนกวนได้แต่งตั้งให้เล่าปี่เป็นผู้ว่าราชการแห่งมณฑลเกงจิ๋ว และให้เข้าพิธีวิวาท์กับซุนฮูหยิน น้องสาวของตนเพื่อประสานสัมพันธ์ความเป็นพันธมิตรร่วมกัน

การทัพในตะวันตกเฉียงเหนือ (ค.ศ. 211-220) และถึงแก่อสัญกรรม[แก้]

  ดินแดนของโจโฉใน ค.ศ. 206
  ดินแดนทีถูกพิชิตโดยโจโฉ ค.ศ. 207–215
  ขุนศึกคนอื่น ๆ

ในค.ศ. 211 สถานการณ์ในทางใต้เริ่มมีเสถียรภาพและโจโฉได้ตัดสินใจที่จะบดขยี้ศัตรูที่เหลืออยู่ในภาคเหนือ ไปทางตะวันตกของเตียงฮัน(ในเมืองจั่วผิงอี้) ในเมืองฮันต๋งบนแม่น้ำฮั่นซุย ในภาคเหนือของมณฑลเอ๊กจิ๋ว เตียวฬ่อซึ่งปกครองที่นั่นในการก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์ฮั่น ดำเนินการปกครองรัฐตามระบอบของตนเอง โจโฉส่งจงฮิวพร้อมทั้งกองทัพเพื่อบีบบังคับให้เตียวฬ่อยอมสวามิภักดิ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ได้รบกวนขุนศึกจำนวนหนึ่งในหุบเขาแม่น้ำอุยโห และมณฑลเลียงจิ๋วที่กว้างขวาง ซึ่งถูกรวบรวมภายใต้กำมือของหันซุยและม้าเฉียวเพื่อต้านทานโจโฉ ซึ่งเชื่อว่าการกรีฑาทัพเข้าโจมตีเตียวฬ่อของเขานั้น มีเป้าหมายมาที่พวกเขาโดยตรง โจโฉนำกองทัพด้วยตนเองในการต่อสู้รบกับพันธมิตรกลุ่มนี้ และเอาชนะด้วยกลอุบายต่อกองทัพฝ่ายกบฏในแต่ละรอบในยุทธการที่ด่านตงก๋วน พันธมิตรได้แตกแยกกันและผู้นำหลายคนถูกสังหาร โจโฉใช้เวลาหนึ่งหรือสองเดือนถัดมาในการไล่ล่าผู้นำบางคน ซึ่งมีหลายคนได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา เขาได้ทิ้งแฮหัวเอี๋ยนเพื่อสะสางงานในภูมิภาคและเดินทางกลับบ้านใน ค.ศ. 212 ใน ค.ศ. 213 เขาได้เปิดฉากการบุกครองในดินแดนของซุนกวนโดยข้ามแม่น้ำห้วย แต่กลับพ่ายแพ้ในยุทธการที่ยี่สู ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการควบคุมทางใต้ของซุนกวน

ใน ค.ศ. 213 โจโฉได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งยศศักดิ์เป็น "วุยก๋ง" (魏公 เว่ยกง) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เก้าขั้นและสิบหัวเมืองให้เขาได้ปกครอง เป็นที่รู้จักกันคือวุย (เว่ย์) ในปีเดียวกัน เขาได้กรีฑาทัพทางใต้และเข้าโจมตียี่สู ขุนพลของซุนกวนนามว่าลิบองหยุดยั้งการโจมตีได้ประมาณเดือนหนึ่ง และโจโฉก็ต้องล่าถอยไปในที่สุด ใน ค.ศ. 215 โจโฉเคลื่อนทัพและเข้ายึดครองฮันต๋ง ใน ค.ศ. 216 โจโฉได้รับเลื่อนตำแหน่งยศศักดิ์ในฐานะอ๋องศักดินา-"วุยอ๋อง"(魏王 เว่ย์หวัง) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โจโฉ เล่าปี่ และซุนกวนยังคงรวบรวมอำนาจไว้ในภูมิภาคของตนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผ่านสงครามหลายครั้ง จีนได้ถูกแบ่งออกเป็นสามอำนาจ ได้แก่ วุย จ๊ก และง่อ ซึ่งได้ต่อสู้ในสมรภูมิอย่างเป็นระยะๆ โดยปราศจากการเสียสมดุลอย่างเห็นได้ชัดเจนในการสนับสนุนของใครก็ตาม ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือกองกำลังของเล่าปี่สามารถเข้ายึดครองฮันต๋งมาจากกองทัพของโจโฉ ภายหลังจากการทัพที่ใช้เวลาสามวัน

จิตรกรรมฝาผนังของสุสานในลกเอี๋ยงซึ่งอยู่ในช่วงสมัยวุยก๊ก(ค.ศ. 220-266) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชายที่นั่งอยู่ซึ่งสวมฮั่นฝู ซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวที่ทำมาจากผ้าไหม

ใน ค.ศ. 220 โจโฉได้ถึงแก่อสัญกรรมลงในลกเอี๋ยง ขณะมีอายุ 66 ปี โดยไม่สามารถรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งภายใต้การปกครองของเขา ซึ่งถูกสันนิษฐานว่า "ป่วยเป็นโรคปวดศีรษะ" เขาได้สั่งเสียไว้ว่า ให้ฝังศพไว้ใกล้กับสุสานแห่งซีเหมินเป้าในเย่ว์ โดยปราศจากสมบัติต่าง ๆ ได้แก่ ทองและอัญมนีหยก และสั่งให้ทหารของตนที่คอยประจำการในชายแดน ให้ประจำตำแหน่งอยู่ในที่ของพวกเขาและไม่อนุญาตให้พวกเขาได้เข้าร่วมพิธีศพตามคำพูดของเขาว่า "ประเทศยังไม่มั่นคง"

โจผีลูกชายคนโตของโจโฉได้สืบทอดตำแหน่งต่อบิดา ภายในหนึ่งปี โจผีได้บีบบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้สละราชบัลลังก์และประกาศตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิองค์แรกของรัฐวุยก๊ก โจโฉได้รับพระราชสมัญญานามภายหลังมรณกรรมว่า ไทลอฮูฮองเต้ (魏太祖武皇帝)

สุสานหลวงโจโฉ[แก้]

ในวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ทางการจีนประกาศว่าได้ขุดค้นพบสุสานที่เชื่อว่าน่าจะเป็นของโจโฉ ที่เมืองอันหยาง มณฑลเหอหนาน ตอนกลางของประเทศจีน โดยสุสานมีอาณาบริเวณ 740 ตารางเมตร มีโครงกระดูกของชายที่น่าจะเสียชีวิตในอายุราว 60 ปี ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นโจโฉ และโครงกระดูกของผู้หญิงอีก 2 ซึ่งน่าจะเป็นมเหสี และป้ายศิลาจารึกพระนามของโจโฉ[4]

พระราชวงศ์[แก้]

  • พระราชบิดา โจโก๋
  • พระปิตุลา โจเต๊ก
  • พระมเหสี
    • เต็งฮูหยิน
    • เล่าชี
    • เล่าฮูหยิน
    • พระนางเปียนซี (武宣卞皇后) พระมารดาของ โจผี และ โจเซี่ย
    • พระมเหสีหลิง (丁夫人
    • พระมเหสีหลิว (劉夫人)
    • พระมเหสีอัน (環夫人)
    • พระมเหสีหลู (杜夫人)
    • พระมเหสีฉิน (秦夫人)
    • พระมเหสีซิน(尹夫人)
    • พระมเหสีหวัง (王昭儀)
    • พระสนมซุน (孫姬)
    • พระสนมหลี่ (李姬)
    • พระสนมโซว (周姬)
    • พระสนมเล่า (劉姬)
    • พระสนมซ่ง (宋姬)
    • พระสนมโซว (趙姬)
    • พระสนมเฉิน (陳妾)

พระราชโอรส[แก้]

พระราชธิดา[แก้]

ความนิยมในรูปแบบอื่น ๆ[แก้]

ภาพยนตร์[แก้]

  • ในภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ของจีน สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกร กำกับโดย แดเนียล ลี และ สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ กำกับโดยจอห์น วู โจโฉได้มีบทบาทสำคัญในเรื่อง
    • ในภาพยนตร์เรื่อง สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกร โจโฉรับบทโดยหลิวสงเหยิน ในภาพยนตร์เรื่องนี้ โจโฉได้ปรากฏตัวครั้งเดียวในศึกทุ่งเตียงปัน ขณะที่มองจูล่งที่กำลังฝ่าทัพของตนเพื่อช่วยเหลือลูกชายของเล่าปี่อย่างชื่นชม
    • ในภาพยนตร์เรื่อง สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ โจโฉรับบทโดยจางเฟิงอี้ โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ โจโฉปรากฏตัวครั้งแรกในตอนที่ขอพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ในการปราบปรามเล่าปี่และซุนกวน โจโฉได้นำทัพไปรบกับพันธมิตรเล่า-ซุนที่ผาแดง แต่พ่ายแพ้ จึงล่าถอยหนี ระหว่างทางถูกทหารข้าศึกล้อมจะจับตัวทุกเส้นทาง แต่ในเส้นทางถอยหนีสุดท้าย แม่ทัพกวนอูได้ไว้ชีวิตให้กลับไป เพราะสำนึกในบุญคุณที่โจโฉเคยรับอุปการะเลี้ยงเลี้ยงดูไว้เป็นอย่างดี
  • ในภาพยนตร์เรื่อง สามก๊ก ตอน โจโฉ มหาอุปราชผู้หวังครองแผ่นดิน ซึ่งเคอ จุ้นสงได้รับบทนี้ และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กล่าวถึงชีวประวัติของโจโฉตั้งแต่ต้นจนถึงตอนเสียชีวิต
  • ภาพยนตร์เรื่อง โจโฉ The Assassins (铜雀台) นำแสดงโดย โจว เหวินฟะ ซึ่งรับบทเป็นโจโฉ และมีเนื้อหาในช่วงเหตุการณ์ที่ พระเจ้าเหี้ยนเต้กับนางฮกเฮาคิดกำจัดโจโฉ

ละครโทรทัศน์[แก้]

  • สามก๊ก ฉบับละครโทรทัศน์ ของประเทศจีน ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเชิดชูและยกย่องวรรณกรรมอมตะของจีนเรื่องสามก๊ก ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการถ่ายทอดเรื่องราวของโจโฉตั้งแต่รับราชการเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยจนกระทั่งเสียชีวิต โดย เปากั๊วอัน นักแสดงชาวจีนที่รับบทโจโฉ
  • สามก๊ก (ละครโทรทัศน์ชุดใหม่) เป็นละครที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2553 มีการถ่ายทอดเรื่องราวของโจโฉตั้งแต่รับราชการและคิดฆ่าตั๋งโต๊ะไปจนถึงเสียชีวิต แสดงโดยเฉินเจี้ยนปิน

การ์ตูนไทย[แก้]

  • ในการ์ตูน สามก๊ก มหาสนุก ผลงานการ์ตูนสามก๊กของสุชาติ พรหมรุ่งโรจน์ ได้มีการกล่าวถึงโจโฉด้วยเช่นกัน โดยโจโฉในสามก๊กมหาสนุกมีลักษณะรูปร่างเตี้ย และมักชอบพูดว่า "ความคิดอันสูงส่งมักตรงกันเสมอ"

วิดีโอเกม[แก้]

  • โจโฉเป็นตัวละครในเกมซีรีส์ Dynasty Warriors โดยจัดเป็นหัวหน้าแห่งวุยก๊ก และปรากฏในทุกๆเกมของซีรีส์ อาทิ Dynasty Warriors 1 ถึง Dynasty Warriors 8 ในเกมทุกซีรีส์ที่กล่าวมา ฝ่ายโจโฉจะเป็นฝ่ายสีน้ำเงิน
  • โจโฉเป็นตัวละครในเกมซีรีส์ Romance of the Three Kingdoms ซึ่งสามารถเล่นบงการตัวละครโจโฉได้ สามารถอยู่ในตำแหน่งต่างกันออกไปได้ อาทิ เจ้าเมือง ผู้ครองแคว้น ไปตลอดจนถึงฮ่องเต้ ซึ่งฝ่ายโจโฉมักปรากฏเป็นสีฝ่ายน้ำเงิน ในตัวเกมนั้น โจโฉถือว่ามีความสามารถสูงกว่าตัวละครอื่นๆอย่างมาก ทั้งในด้านการรบ มนุษย์สัมพันธ์ ความรู้ และกลยุทธ์ต่างๆ

อ้างอิง[แก้]

  • หนังสือ คุยเฟื่องเรื่องสามก๊ก โดย โกวิท ตั้งตรงจิตร, พ.ศ. 2550 สำนักพิมพ์ชมรมเด็ก
  1. de Crespigny, Rafe (2007). A biographical dictionary of Later Han to the Three Kingdoms (23–220 AD). Brill. pp. 35, 38. ISBN 978-90-04-15605-0.
  2. de Crespigny (2010), p. 35
  3. (治世之能臣,乱世之奸雄。) ตันซิ่ว. จดหมายเหตุสามก๊ก, เล่ม 1, ชีวประวัติโจโฉ.
  4. "จีนขุดพบสุสาน'โจโฉ'อายุ 2 พันปี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-04-03. สืบค้นเมื่อ 2009-12-28.

ดูเพิ่ม[แก้]

ก่อนหน้า โจโฉ ถัดไป
สถาปนาตำแหน่งใหม่ วุยอ๋อง (เว่ย์หวัง)
(ค.ศ. 216 – 220)
โจผี
ว่าง
ดำรงตำแหน่งล่าสุด
ตั๋งโต๊ะ
(ในฐานะอัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐ)
อัครมหาเสนาบดี
แห่งราชวงศ์ฮั่น

(ค.ศ. 208 – 220)
โจผี