ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศญี่ปุ่น"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขขั้นสูงด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 92: | บรรทัด 92: | ||
'''ญี่ปุ่น''' ({{ญี่ปุ่น|日本|Nihon/Nippon|นิฮง/นิปปง}}) ชื่ออย่างเป็นทางการ '''ประเทศญี่ปุ่น''' ({{ญี่ปุ่น|日本国|Nihon-koku/Nippon-koku|นิฮงโกกุ/นิปปงโกกุ}}) เป็น[[รัฐเอกราช]]หมู่เกาะใน[[เอเชียตะวันออก]] ตั้งอยู่ใน[[มหาสมุทรแปซิฟิก]]นอกฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เอเชีย ทางตะวันตกติดกับ[[คาบสมุทรเกาหลี]]และ[[ประเทศจีน]] โดยมี[[ทะเลญี่ปุ่น]]กั้น ส่วนทางทิศเหนือติดกับ[[ประเทศรัสเซีย]] มี[[ทะเลโอค็อตสค์]]เป็นเส้นแบ่งแดน |
'''ญี่ปุ่น''' ({{ญี่ปุ่น|日本|Nihon/Nippon|นิฮง/นิปปง}}) ชื่ออย่างเป็นทางการ '''ประเทศญี่ปุ่น''' ({{ญี่ปุ่น|日本国|Nihon-koku/Nippon-koku|นิฮงโกกุ/นิปปงโกกุ}}) เป็น[[รัฐเอกราช]]หมู่เกาะใน[[เอเชียตะวันออก]] ตั้งอยู่ใน[[มหาสมุทรแปซิฟิก]]นอกฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เอเชีย ทางตะวันตกติดกับ[[คาบสมุทรเกาหลี]]และ[[ประเทศจีน]] โดยมี[[ทะเลญี่ปุ่น]]กั้น ส่วนทางทิศเหนือติดกับ[[ประเทศรัสเซีย]] มี[[ทะเลโอค็อตสค์]]เป็นเส้นแบ่งแดน |
||
ตัวอักษร[[คันจิ]]ของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า ''"ถิ่นกำเนิดของ[[ดวงอาทิตย์]]"'' จึงมีชื่อเรียกว่า ''"ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย"'' ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะ[[กรวยภูเขาไฟสลับชั้น]]ซึ่งมีเกาะประมาณ [[รายชื่อเกาะของประเทศญี่ปุ่น|6,852 เกาะ]] ครอบคลุมพื้นที่ 377,975 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณ[[วงแหวนไฟ]] เกาะที่ใหญ่สุดคือ เกาะ[[ฮนชู]] [[ฮกไกโด]] [[คีวชู]] และ[[เกาะชิโกกุ|ชิโกกุ]] ซึ่งคิดเป็นพื้นที่แผ่นดินประมาณร้อยละ 97 ของประเทศ และมักเรียกว่าเป็นหมู่เกาะเหย้า (home islands) ประเทศแบ่งเป็น 47 [[จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น|จังหวัด]]ใน 8 [[ภูมิภาคของญี่ปุ่น|ภูมิภาค]] โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และ[[จังหวัดโอกินาวะ|โอกินาวะ]]เป็นจังหวัดใต้สุด ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมเมืองมากที่สุด<ref>https://www.statista.com/statistics/270086/urbanization-in-japan/</ref><ref>https://data.worldbank.org/indicator/SP.URB.TOTL.IN.ZS?locations=JP</ref> ด้วยประชากร 127 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็น[[รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร|อันดับ 11 ของโลก]] ประมาณ 14 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุง[[โตเกียว]]<ref>https://www.toukei.metro.tokyo.lg.jp/jsuikei/js-index.htm</ref> เมืองหลวงของประเทศ และหากนับรวมใน[[เขตอภิมหานครโตเกียว|เขตมหานครโตเกียว]]ทั้งหมดจะมีประชากรกว่า 38 ล้านคน<ref>https://worldpopulationreview.com/world-cities/tokyo-population</ref> ซึ่งเป็นมหานครที่มีประชากรมากที่สุดในโลก<ref>https://www.nationsonline.org/oneworld/bigcities.htm</ref> เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ [[โยโกฮามะ]], [[โอซากะ]], [[นาโงยะ]], [[ซัปโปโระ]], [[ฟูกูโอกะ (เมือง)|ฟูกูโอกะ]], [[โคเบะ]] และ [[เกียวโต]] |
ตัวอักษร[[คันจิ]]ของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า ''"ถิ่นกำเนิดของ[[ดวงอาทิตย์]]"'' จึงมีชื่อเรียกว่า ''"ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย"'' ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะ[[กรวยภูเขาไฟสลับชั้น]]ซึ่งมีเกาะประมาณ [[รายชื่อเกาะของประเทศญี่ปุ่น|6,852 เกาะ]] ครอบคลุมพื้นที่ 377,975 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณ[[วงแหวนไฟ]] เกาะที่ใหญ่สุดคือ เกาะ[[ฮนชู]] [[ฮกไกโด]] [[คีวชู]] และ[[เกาะชิโกกุ|ชิโกกุ]] ซึ่งคิดเป็นพื้นที่แผ่นดินประมาณร้อยละ 97 ของประเทศ และมักเรียกว่าเป็นหมู่เกาะเหย้า (home islands) ประเทศแบ่งเป็น 47 [[จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น|จังหวัด]]ใน 8 [[ภูมิภาคของญี่ปุ่น|ภูมิภาค]] โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และ[[จังหวัดโอกินาวะ|โอกินาวะ]]เป็นจังหวัดใต้สุด ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมเมืองมากที่สุด<ref>{{Cite web|title=Japan - Urbanization rate|url=https://www.statista.com/statistics/270086/urbanization-in-japan/|website=Statista|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|title=Urban population (% of total population) - Japan {{!}} Data|url=https://data.worldbank.org/indicator/SP.URB.TOTL.IN.ZS?locations=JP|website=data.worldbank.org}}</ref> ด้วยประชากร 127 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็น[[รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร|อันดับ 11 ของโลก]] ประมาณ 14 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุง[[โตเกียว]]<ref>{{Cite web|title=東京都の人口(推計)トップページ|url=https://www.toukei.metro.tokyo.lg.jp/jsuikei/js-index.htm|website=www.toukei.metro.tokyo.lg.jp}}</ref> เมืองหลวงของประเทศ และหากนับรวมใน[[เขตอภิมหานครโตเกียว|เขตมหานครโตเกียว]]ทั้งหมดจะมีประชากรกว่า 38 ล้านคน<ref>{{Cite web|title=Tokyo Population 2021 (Demographics, Maps, Graphs)|url=https://worldpopulationreview.com/world-cities/tokyo-population|website=worldpopulationreview.com}}</ref> ซึ่งเป็นมหานครที่มีประชากรมากที่สุดในโลก<ref>{{Cite web|title=The Most Populated Cities of the World. World Megacities - Nations Online Project|url=https://www.nationsonline.org/oneworld/bigcities.htm|website=www.nationsonline.org}}</ref> เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ [[โยโกฮามะ]], [[โอซากะ]], [[นาโงยะ]], [[ซัปโปโระ]], [[ฟูกูโอกะ (เมือง)|ฟูกูโอกะ]], [[โคเบะ]] และ [[เกียวโต]] |
||
การวิจัยทางโบราณคดีระบุว่ามีมนุษย์อาศัยในญี่ปุ่นปัจจุบันครั้งแรกตั้งแต่[[ยุคหินเก่า]] การกล่าวถึงญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกปรากฏในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่น[[ภาษาญี่ปุ่น|ภาษา]] การปกครองและวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดใน[[เอเชียตะวันออก]] |
การวิจัยทางโบราณคดีระบุว่ามีมนุษย์อาศัยในญี่ปุ่นปัจจุบันครั้งแรกตั้งแต่[[ยุคหินเก่า]] การกล่าวถึงญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกปรากฏในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่น[[ภาษาญี่ปุ่น|ภาษา]] การปกครองและวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดใน[[เอเชียตะวันออก]] |
||
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง ค.ศ. 1868 ญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหาร[[ระบบเจ้าขุนมูลนาย|เจ้าขุนมูลนาย]][[โชกุน]]ซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธย[[จักรพรรดิญี่ปุ่น|จักรพรรดิ]] และการครอบงำของนักรบ[[ซะมุไร]] ประเทศเข้าสู่[[ซะโกะกุ|ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยว]]อันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติใน ค.ศ. 1853 เมื่อกองเรือสหรัฐ[[บะกุมะสึ|บังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก]] หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ ราชสำนักจักรวรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนใน ค.ศ. 1868 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจาก[[โชชู]]และซัตสึมะ และมีการสถาปนา[[จักรวรรดิญี่ปุ่น]] ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชัยชนะใน[[สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง]] [[สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น]]และ[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]ทำให้ญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยานิยมเพิ่มขึ้น [[สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง]]ปี 2480 ขยายเป็นบางส่วนของ[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]ในปี 2484 ซึ่งญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญใน[[ฝ่ายอักษะ]] ก่อนจะยุติในปี 2488 โดยความพ่ายแพ้ใน[[สงครามแปซิฟิก]]และ[[การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ|การทิ้งระเบิดปรมาณู]]ของ[[ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง|ฝ่ายสัมพันธมิตร]]นำไปสู่[[การยอมจำนนของญี่ปุ่น]] และตกอยู่ภายใต้[[การยึดครองญี่ปุ่น|การยึดครอง]]เป็นเวลา 7 ปี และมีการตรา[[รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|รัฐธรรมนูญฉบับใหม่]]ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2490 ซึ่งนำไปสู่เงื่อนไขการธำรงระบอบ[[ประชาธิปไตย]]แบบ[[รัฐสภาญี่ปุ่น|รัฐสภา]]และ[[ราชาธิปไตย]]ภายใต้รัฐรรมนูญ โดยมีจักรพรรดิเป็น[[ประมุขแห่งรัฐ]]และสภานิติบัญญัติจากการเลือกตั้ง เรียกว่า [[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ญี่ปุ่น)|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] นับแต่นั้นเป็นต้นมา<ref>https://japan.kantei.go.jp/constitution_and_government_of_japan/constitution_e.html</ref><ref>https://www.cfr.org/japan-constitution/japans-postwar-constitution</ref><ref>https://www.jstor.org/stable/1950193</ref> |
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง ค.ศ. 1868 ญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหาร[[ระบบเจ้าขุนมูลนาย|เจ้าขุนมูลนาย]][[โชกุน]]ซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธย[[จักรพรรดิญี่ปุ่น|จักรพรรดิ]] และการครอบงำของนักรบ[[ซะมุไร]] ประเทศเข้าสู่[[ซะโกะกุ|ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยว]]อันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติใน ค.ศ. 1853 เมื่อกองเรือสหรัฐ[[บะกุมะสึ|บังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก]] หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ ราชสำนักจักรวรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนใน ค.ศ. 1868 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจาก[[โชชู]]และซัตสึมะ และมีการสถาปนา[[จักรวรรดิญี่ปุ่น]] ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชัยชนะใน[[สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง]] [[สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น]]และ[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]ทำให้ญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยานิยมเพิ่มขึ้น [[สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง]]ปี 2480 ขยายเป็นบางส่วนของ[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]ในปี 2484 ซึ่งญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญใน[[ฝ่ายอักษะ]] ก่อนจะยุติในปี 2488 โดยความพ่ายแพ้ใน[[สงครามแปซิฟิก]]และ[[การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ|การทิ้งระเบิดปรมาณู]]ของ[[ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง|ฝ่ายสัมพันธมิตร]]นำไปสู่[[การยอมจำนนของญี่ปุ่น]] และตกอยู่ภายใต้[[การยึดครองญี่ปุ่น|การยึดครอง]]เป็นเวลา 7 ปี และมีการตรา[[รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|รัฐธรรมนูญฉบับใหม่]]ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2490 ซึ่งนำไปสู่เงื่อนไขการธำรงระบอบ[[ประชาธิปไตย]]แบบ[[รัฐสภาญี่ปุ่น|รัฐสภา]]และ[[ราชาธิปไตย]]ภายใต้รัฐรรมนูญ โดยมีจักรพรรดิเป็น[[ประมุขแห่งรัฐ]]และสภานิติบัญญัติจากการเลือกตั้ง เรียกว่า [[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ญี่ปุ่น)|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] นับแต่นั้นเป็นต้นมา<ref>{{Cite web|title=THE CONSTITUTION OF JAPAN|url=https://japan.kantei.go.jp/constitution_and_government_of_japan/constitution_e.html|website=japan.kantei.go.jp}}</ref><ref>https://www.cfr.org/japan-constitution/japans-postwar-constitution</ref><ref>{{Cite journal|last=Quigley|first=Harold S.|date=1947|title=Japan's Constitutions: 1890 and 1947|url=https://www.jstor.org/stable/1950193|journal=The American Political Science Review|volume=41|issue=5|pages=865–874|doi=10.2307/1950193|issn=0003-0554}}</ref> |
||
ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิก[[สหประชาชาติ]] [[OECD]] [[จี7]] [[จี8]] และ[[จี20]] และถือเป็น[[มหาอำนาจ]]<ref>{{cite web|url=http://www.the-american-interest.com/2015/01/04/the-seven-great-powers/|title=The Seven Great Powers|publisher=American-Interest|accessdate=July 1, 2015}}</ref><ref name="Balance of Power">{{cite book|author1=T. V. Paul|author2=James J. Wirtz|author3=Michel Fortmann|title=Balance of Power|publisher=State University of New York Press, 2005|year=2005|location=United States of America|pages=59, 282|isbn=0-7914-6401-6|url=https://www.google.com/books?id=9jy28vBqscQC&pg=PA59&dq="Great+power"}} ''Accordingly, the great powers after the Cold War are Britain, China, France, Germany, Japan, Russia, and the United States'' p.59</ref><ref name="Joshua Baron">{{cite book|last1=Baron|first1=Joshua|title=Great Power Peace and American Primacy: The Origins and Future of a New International Order|date=January 22, 2014|publisher=Palgrave Macmillan|location=United States|isbn=1-137-29948-7}}</ref> ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็น[[รายการประเทศเรียงตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (ราคาตลาด)|อันดับ 3 ของโลกตามจีดีพีราคาตลาด]] และอันดับ 4 ของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ และยังเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลก ญี่ปุ่นมีกำลังแรงงานทักษะสูงและถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรมี[[การศึกษาของญี่ปุ่น|การศึกษา]]สูงที่สุดของโลก แม้ประเทศญี่ปุ่น[[มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|สละสิทธิประกาศสงคราม]] แต่ยังมี[[กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น|กองทหารสมัยใหม่]]และมีงบกองทัพมากเป็นอันดับ 8 ของโลก<ref>{{cite web|url=http://www.sipri.org/research/armaments/milex/resultoutput/15majorspenders|title=SIPRI Yearbook 2012–15 countries with the highest military expenditure in 2011|publisher=Sipri.org|accessdate=April 27, 2013|url-status=dead|archiveurl=https://web.archive.org/web/20100328104327/http://www.sipri.org/research/armaments/milex/resultoutput/15majorspenders|archivedate=March 28, 2010|df=mdy-all}}</ref> ซึ่งใช้สำหรับป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ ญี่ปุ่นเป็น[[ประเทศพัฒนาแล้ว]]ที่มีมาตรฐานการครองชีพและ[[ดัชนีการพัฒนามนุษย์]]สูง และเป็นประเทศที่ประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูงที่สุดในโลก และยังเป็นผู้นำระดับโลกใน[[อุตสาหกรรมยานยนต์]]และ[[อิเล็กทรอนิกส์]] มีส่วนสำคัญในด้าน[[วิทยาศาสตร์]]และ[[เทคโนโลยี]] [[วัฒนธรรมญี่ปุ่น]]ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น [[อาหารญี่ปุ่น|อาหาร]], ศิลปะ, ดนตรี [[วัฒนธรรมประชานิยม]] รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น [[ภาพยนตร์ญี่ปุ่น|ภาพยนตร์]], [[มังงะ]], [[อนิเมะ]], และ[[วิดีโอเกม]]<ref>https://www.japan.travel/en/au/experience/culture/</ref><ref>https://theculturetrip.com/asia/japan/articles/13-reasons-why-japan-is-the-worlds-most-unique-country/</ref><ref>https://www.jef.or.jp/journal/pdf/cover%20story%201_0403.pdf</ref> |
ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิก[[สหประชาชาติ]] [[OECD]] [[จี7]] [[จี8]] และ[[จี20]] และถือเป็น[[มหาอำนาจ]]<ref>{{cite web|url=http://www.the-american-interest.com/2015/01/04/the-seven-great-powers/|title=The Seven Great Powers|publisher=American-Interest|accessdate=July 1, 2015}}</ref><ref name="Balance of Power">{{cite book|author1=T. V. Paul|author2=James J. Wirtz|author3=Michel Fortmann|title=Balance of Power|publisher=State University of New York Press, 2005|year=2005|location=United States of America|pages=59, 282|isbn=0-7914-6401-6|url=https://www.google.com/books?id=9jy28vBqscQC&pg=PA59&dq="Great+power"}} ''Accordingly, the great powers after the Cold War are Britain, China, France, Germany, Japan, Russia, and the United States'' p.59</ref><ref name="Joshua Baron">{{cite book|last1=Baron|first1=Joshua|title=Great Power Peace and American Primacy: The Origins and Future of a New International Order|date=January 22, 2014|publisher=Palgrave Macmillan|location=United States|isbn=1-137-29948-7}}</ref> ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็น[[รายการประเทศเรียงตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (ราคาตลาด)|อันดับ 3 ของโลกตามจีดีพีราคาตลาด]] และอันดับ 4 ของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ และยังเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลก ญี่ปุ่นมีกำลังแรงงานทักษะสูงและถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรมี[[การศึกษาของญี่ปุ่น|การศึกษา]]สูงที่สุดของโลก แม้ประเทศญี่ปุ่น[[มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|สละสิทธิประกาศสงคราม]] แต่ยังมี[[กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น|กองทหารสมัยใหม่]]และมีงบกองทัพมากเป็นอันดับ 8 ของโลก<ref>{{cite web|url=http://www.sipri.org/research/armaments/milex/resultoutput/15majorspenders|title=SIPRI Yearbook 2012–15 countries with the highest military expenditure in 2011|publisher=Sipri.org|accessdate=April 27, 2013|url-status=dead|archiveurl=https://web.archive.org/web/20100328104327/http://www.sipri.org/research/armaments/milex/resultoutput/15majorspenders|archivedate=March 28, 2010|df=mdy-all}}</ref> ซึ่งใช้สำหรับป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ ญี่ปุ่นเป็น[[ประเทศพัฒนาแล้ว]]ที่มีมาตรฐานการครองชีพและ[[ดัชนีการพัฒนามนุษย์]]สูง และเป็นประเทศที่ประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูงที่สุดในโลก และยังเป็นผู้นำระดับโลกใน[[อุตสาหกรรมยานยนต์]]และ[[อิเล็กทรอนิกส์]] มีส่วนสำคัญในด้าน[[วิทยาศาสตร์]]และ[[เทคโนโลยี]] [[วัฒนธรรมญี่ปุ่น]]ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น [[อาหารญี่ปุ่น|อาหาร]], ศิลปะ, ดนตรี [[วัฒนธรรมประชานิยม]] รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น [[ภาพยนตร์ญี่ปุ่น|ภาพยนตร์]], [[มังงะ]], [[อนิเมะ]], และ[[วิดีโอเกม]]<ref>{{Cite web|title=Japanese Culture {{!}} Japan Tradition {{!}} Japan Travel {{!}} JNTO|url=https://www.japan.travel/en/au/experience/culture/|website=Japan National Tourism Organization (JNTO)|language=en-au}}</ref><ref>https://theculturetrip.com/asia/japan/articles/13-reasons-why-japan-is-the-worlds-most-unique-country/</ref><ref>https://www.jef.or.jp/journal/pdf/cover%20story%201_0403.pdf</ref> |
||
== ชื่อประเทศ == |
== ชื่อประเทศ == |
||
บรรทัด 133: | บรรทัด 133: | ||
ในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายสิ่งแวดล้อมถูกรัฐบาลและบริษัทอุตสาหกรรมลดความสำคัญ ผลทำให้มี[[สี่โรคสิ่งแวดล้อมใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น|มลภาวะสิ่งแวดล้อม]]แพร่หลายในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อสนองต่อความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงริเริ่มกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหลายฉบับในปี 2513<ref>{{cite web|script-title=ja:日本の大気汚染の歴史 |url=http://www.erca.go.jp/taiki/history/ko_syousyu.html |publisher=Environmental Restoration and Conservation Agency |accessdate=March 2, 2014 |language=ja|url-status=dead |archiveurl=https://web.archive.org/web/20110501085231/http://www.erca.go.jp/taiki/history/ko_syousyu.html |archivedate=May 1, 2011}}</ref> วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ<ref>{{cite web|last=Sekiyama|first=Takeshi|title=Japan's international cooperation for energy efficiency and conservation in Asian region|url=http://nice.erina.or.jp/en/pdf/C-SEKIYAMA.pdf|archiveurl=https://web.archive.org/web/20080216005103/http://nice.erina.or.jp/en/pdf/C-SEKIYAMA.pdf|archivedate=February 16, 2008|publisher=Energy Conservation Center|accessdate=January 16, 2011}}</ref> ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้แก่ มลภาวะทางอากาศในเมือง การจัดการขยะ ยูโทรฟิเคชันน้ำ การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การจัดการเคมีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์<ref>{{cite web|title=Environmental Performance Review of Japan|url=http://www.oecd.org/dataoecd/0/17/2110905.pdf|publisher=[[Organisation for Economic Co-operation and Development|OECD]]|accessdate=January 16, 2011}}</ref> |
ในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายสิ่งแวดล้อมถูกรัฐบาลและบริษัทอุตสาหกรรมลดความสำคัญ ผลทำให้มี[[สี่โรคสิ่งแวดล้อมใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น|มลภาวะสิ่งแวดล้อม]]แพร่หลายในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อสนองต่อความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงริเริ่มกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหลายฉบับในปี 2513<ref>{{cite web|script-title=ja:日本の大気汚染の歴史 |url=http://www.erca.go.jp/taiki/history/ko_syousyu.html |publisher=Environmental Restoration and Conservation Agency |accessdate=March 2, 2014 |language=ja|url-status=dead |archiveurl=https://web.archive.org/web/20110501085231/http://www.erca.go.jp/taiki/history/ko_syousyu.html |archivedate=May 1, 2011}}</ref> วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ<ref>{{cite web|last=Sekiyama|first=Takeshi|title=Japan's international cooperation for energy efficiency and conservation in Asian region|url=http://nice.erina.or.jp/en/pdf/C-SEKIYAMA.pdf|archiveurl=https://web.archive.org/web/20080216005103/http://nice.erina.or.jp/en/pdf/C-SEKIYAMA.pdf|archivedate=February 16, 2008|publisher=Energy Conservation Center|accessdate=January 16, 2011}}</ref> ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้แก่ มลภาวะทางอากาศในเมือง การจัดการขยะ ยูโทรฟิเคชันน้ำ การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การจัดการเคมีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์<ref>{{cite web|title=Environmental Performance Review of Japan|url=http://www.oecd.org/dataoecd/0/17/2110905.pdf|publisher=[[Organisation for Economic Co-operation and Development|OECD]]|accessdate=January 16, 2011}}</ref> |
||
ประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในอันดับที่ 20 ในดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อมปี 2561 ซึ่งวัดความผูกมัดของประเทศต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม<ref>https://epi.yale.edu/epi-country-report/JPN</ref> ในฐานะเจ้าภาพและผู้ลงนาม[[พิธีสารเกียวโต]]ปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อผูกพันตามสนธิสัญญาในการลดการปล่อย[[คาร์บอนไดออกไซด์]] และใช้วิธีการเพิ่มเติมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ<ref>{{cite news |url=https://www.reuters.com/article/idUST191967 |title=Japan sees extra emission cuts to 2020 goal – minister |date=June 24, 2009 |agency=Reuters}}</ref> ในปี 2563 รัฐบาลมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 22 แห่ง ภายหลังการปิดกองเรือนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นหลังจาก[[ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง|ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะ]]ในปี 2554 ญี่ปุ่นเป็นประเทศปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก<ref>https://features.japantimes.co.jp/climate-crisis-2030/</ref> รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2593<ref>https://www.ecowatch.com/japan-carbon-neutral-2648499409.html</ref> ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ได้แก่ [[มลพิษทางอากาศ]]ในเมือง ([[ตัวกระตุ้นอันตราย|NOx]], อนุภาคแขวนลอย และสารพิษ) การจัดการของเสีย การทำให้น้ำขาดออกซิเจน การอนุรักษ์ธรรมชาติ [[การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ]] และการจัดการ[[สารเคมี]] |
ประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในอันดับที่ 20 ในดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อมปี 2561 ซึ่งวัดความผูกมัดของประเทศต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม<ref>{{Cite web|title=Environmental Performance Index|url=https://epi.yale.edu/epi-country-report/JPN|website=epi.yale.edu}}</ref> ในฐานะเจ้าภาพและผู้ลงนาม[[พิธีสารเกียวโต]]ปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อผูกพันตามสนธิสัญญาในการลดการปล่อย[[คาร์บอนไดออกไซด์]] และใช้วิธีการเพิ่มเติมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ<ref>{{cite news |url=https://www.reuters.com/article/idUST191967 |title=Japan sees extra emission cuts to 2020 goal – minister |date=June 24, 2009 |agency=Reuters}}</ref> ในปี 2563 รัฐบาลมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 22 แห่ง ภายหลังการปิดกองเรือนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นหลังจาก[[ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง|ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะ]]ในปี 2554 ญี่ปุ่นเป็นประเทศปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก<ref>{{Cite web|title=Japan 2030: Tackling climate issues is key to the next decade|url=https://features.japantimes.co.jp/climate-crisis-2030/|website=Deep reads from The Japan Times|language=en-US}}</ref> รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2593<ref>{{Cite web|date=2020-10-26|title=Japan Targets Carbon Neutrality by 2050|url=https://www.ecowatch.com/japan-carbon-neutral-2648499409.html|website=EcoWatch|language=en-US}}</ref> ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ได้แก่ [[มลพิษทางอากาศ]]ในเมือง ([[ตัวกระตุ้นอันตราย|NOx]], อนุภาคแขวนลอย และสารพิษ) การจัดการของเสีย การทำให้น้ำขาดออกซิเจน การอนุรักษ์ธรรมชาติ [[การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ]] และการจัดการ[[สารเคมี]] |
||
== ประวัติศาสตร์ == |
== ประวัติศาสตร์ == |
||
บรรทัด 175: | บรรทัด 175: | ||
ปี 2490 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|รัฐธรรมนูญฉบับใหม่]]ซึ่งเน้นวัตร[[ประชาธิปไตยเสรีนิยม]] [[การยึดครองญี่ปุ่น]]ของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนาม[[สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก]]ในปี 2499<ref>{{cite web|url=http://www.taiwandocuments.org/sanfrancisco01.htm|title=San Francisco Peace Treaty|publisher=Taiwan Document Project|accessdate=2008-11-22}}</ref> และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิก[[สหประชาชาติ]]ในปี 2499<ref>{{cite web|url=http://www.un.org/News/Press/docs/2006/org1469.doc.htm|title=United Nations Member States|publisher=[[สหประชาชาติ]]|accessdate=2008-11-22}}</ref> หลังสงคราม ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จนถูกประเทศจีนแซงในปี 2553 แต่การเติบโตดังกล่าวหยุดในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย<ref name="webeco">{{cite web |url=http://web-japan.org/factsheet/pdf/ECONOMY.pdf|title=Japan Fact Sheet: Economy|publisher=Web Japan|accessdate=2008-11-22|archive-url=https://web.archive.org/web/20081203013012/http://web-japan.org/factsheet/pdf/ECONOMY.pdf|archive-date=2008-12-03}}</ref> ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเติบโตทางบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป<ref>{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/business/5178822.stm |title=Japan scraps zero interest rates |publisher=BBC News |date=July 14, 2006 |accessdate=December 28, 2006}}</ref> วันที่ 11 มีนาคม 2554 ประเทศญี่ปุ่นประสบ[[แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554|แผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ]] ซึ่งยังส่งผลให้เกิด[[ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง|ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิ]]<ref>Fackler, Martin; Drew, Kevin (March 11, 2011). "Devastation as Tsunami Crashes Into Japan". ''The New York Times''.</ref> |
ปี 2490 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น|รัฐธรรมนูญฉบับใหม่]]ซึ่งเน้นวัตร[[ประชาธิปไตยเสรีนิยม]] [[การยึดครองญี่ปุ่น]]ของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนาม[[สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก]]ในปี 2499<ref>{{cite web|url=http://www.taiwandocuments.org/sanfrancisco01.htm|title=San Francisco Peace Treaty|publisher=Taiwan Document Project|accessdate=2008-11-22}}</ref> และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิก[[สหประชาชาติ]]ในปี 2499<ref>{{cite web|url=http://www.un.org/News/Press/docs/2006/org1469.doc.htm|title=United Nations Member States|publisher=[[สหประชาชาติ]]|accessdate=2008-11-22}}</ref> หลังสงคราม ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จนถูกประเทศจีนแซงในปี 2553 แต่การเติบโตดังกล่าวหยุดในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย<ref name="webeco">{{cite web |url=http://web-japan.org/factsheet/pdf/ECONOMY.pdf|title=Japan Fact Sheet: Economy|publisher=Web Japan|accessdate=2008-11-22|archive-url=https://web.archive.org/web/20081203013012/http://web-japan.org/factsheet/pdf/ECONOMY.pdf|archive-date=2008-12-03}}</ref> ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเติบโตทางบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป<ref>{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/business/5178822.stm |title=Japan scraps zero interest rates |publisher=BBC News |date=July 14, 2006 |accessdate=December 28, 2006}}</ref> วันที่ 11 มีนาคม 2554 ประเทศญี่ปุ่นประสบ[[แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554|แผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ]] ซึ่งยังส่งผลให้เกิด[[ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง|ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิ]]<ref>Fackler, Martin; Drew, Kevin (March 11, 2011). "Devastation as Tsunami Crashes Into Japan". ''The New York Times''.</ref> |
||
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อ[[การเปลี่ยนรัชกาลในประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2562|สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะทรงสละราชสมบัติ]]ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของ[[ยุคเฮเซ]] [[สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ]]พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อ และเป็นการเริ่มต้น[[ยุคเรวะ]]อย่างเป็นทางการ<ref>https://asia.nikkei.com/Spotlight/Japan-s-Reiwa-era/Japan-s-emperor-thanks-country-prays-for-peace-before-abdication</ref> |
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อ[[การเปลี่ยนรัชกาลในประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2562|สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะทรงสละราชสมบัติ]]ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของ[[ยุคเฮเซ]] [[สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ]]พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อ และเป็นการเริ่มต้น[[ยุคเรวะ]]อย่างเป็นทางการ<ref>{{Cite web|title=Japan's emperor thanks country, prays for peace before abdication|url=https://asia.nikkei.com/Spotlight/Japan-s-Reiwa-era/Japan-s-emperor-thanks-country-prays-for-peace-before-abdication|website=Nikkei Asia|language=en-GB}}</ref> |
||
== การเมือง == |
== การเมือง == |
||
บรรทัด 284: | บรรทัด 284: | ||
ประเทศญี่ปุ่นต่อสู้การควบคุมหมู่เกาะคูริลใต้ (ได้แก่ กลุ่มอิโตะโระฟุ คุนะชิริ ชิโตะคัง และฮะโบะมะอิ) ของ[[ประเทศรัสเซีย]] ซึ่ง[[สหภาพโซเวียต]]ยึดครองในปี 2488 ประเทศญี่ปุ่นรับรู้การยืนยันของประเทศเกาหลีใต้เกี่ยวกับ[[หินลีอังคอร์ท]] (หรือ "ทะเกะชิมะ" ในภาษาญี่ปุ่น) แต่ไม่ยอมรับ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับ[[ประเทศจีน]]และ[[ประเทศไต้หวัน]]เหนือ[[หมู่เกาะเซ็งกะกุ]] และกับประเทศจีนเหนือสถานภาพของ[[โอะกิโนะโทะริชิมะ]] |
ประเทศญี่ปุ่นต่อสู้การควบคุมหมู่เกาะคูริลใต้ (ได้แก่ กลุ่มอิโตะโระฟุ คุนะชิริ ชิโตะคัง และฮะโบะมะอิ) ของ[[ประเทศรัสเซีย]] ซึ่ง[[สหภาพโซเวียต]]ยึดครองในปี 2488 ประเทศญี่ปุ่นรับรู้การยืนยันของประเทศเกาหลีใต้เกี่ยวกับ[[หินลีอังคอร์ท]] (หรือ "ทะเกะชิมะ" ในภาษาญี่ปุ่น) แต่ไม่ยอมรับ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับ[[ประเทศจีน]]และ[[ประเทศไต้หวัน]]เหนือ[[หมู่เกาะเซ็งกะกุ]] และกับประเทศจีนเหนือสถานภาพของ[[โอะกิโนะโทะริชิมะ]] |
||
ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ในอดีตมีความตึงเครียดเนื่องจากการปฏิบัติต่อชาวเกาหลีของญี่ปุ่นในช่วงการปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยเฉพาะการใช้ผู้หญิงเป็นที่ระบายทางเพศ<ref>http://yris.yira.org/essays/3523</ref> ในปี 2558 ญี่ปุ่นออกคำขอโทษอย่างเป็นทางการ และมอบเงินให้กับผู้หญิงทุกคนที่ตกเป็นเหยือความรุนแรงในเหตุการณ์ดังกล่าวที่ยังมีชีวิตอยู่<ref>https://www.bbc.com/news/world-asia-35188135</ref> ณ ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าเพลงเกาหลี (K-pop) ละครโทรทัศน์ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สำคัญของเกาหลีใต้<ref>https://oxfordre.com/communication/view/10.1093/acrefore/9780190228613.001.0001/acrefore-9780190228613-e-715</ref><ref>http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20190814000566</ref> |
ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ในอดีตมีความตึงเครียดเนื่องจากการปฏิบัติต่อชาวเกาหลีของญี่ปุ่นในช่วงการปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยเฉพาะการใช้ผู้หญิงเป็นที่ระบายทางเพศ<ref>{{Cite web|last=Wei|first=Yi|date=2019-10-15|title=Japanese Colonial Ideology in Korea (1905-1945)|url=http://yris.yira.org/essays/3523|website=The Yale Review of International Studies|language=en-US}}</ref> ในปี 2558 ญี่ปุ่นออกคำขอโทษอย่างเป็นทางการ และมอบเงินให้กับผู้หญิงทุกคนที่ตกเป็นเหยือความรุนแรงในเหตุการณ์ดังกล่าวที่ยังมีชีวิตอยู่<ref>{{Cite news|date=2015-12-28|title=Japan and South Korea agree WW2 'comfort women' deal|language=en-GB|work=BBC News|url=https://www.bbc.com/news/world-asia-35188135|access-date=2022-01-05}}</ref> ณ ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าเพลงเกาหลี (K-pop) ละครโทรทัศน์ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สำคัญของเกาหลีใต้<ref>{{Cite web|last=Ju|first=Hyejung|date=2018-07-30|title=The Korean Wave and Korean Dramas|url=https://oxfordre.com/communication/view/10.1093/acrefore/9780190228613.001.0001/acrefore-9780190228613-e-715|website=Oxford Research Encyclopedia of Communication|language=en|doi=10.1093/acrefore/9780190228613.001.0001/acrefore-9780190228613-e-715}}</ref><ref>{{Cite web|last=Min-sik|first=Yoon|date=2019-08-14|title=[Anniversary Special] 21 years after ‘Japanese invasion,’ Korean pop culture stronger than ever|url=http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20190814000566|website=The Korea Herald|language=en}}</ref> |
||
=== การบังคับใช้กฎหมาย === |
=== การบังคับใช้กฎหมาย === |
||
การรักษาความปลอดภัยภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นดูแลโดยกรมตำรวจประจำจังหวัดเป็นหลัก ภายใต้การกำกับดูแลของ[[สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ญี่ปุ่น)|สำนักงานตำรวจแห่งชาติ]]<ref>https://www.courts.go.jp/saiban/qa/qa_keizi/index.html</ref> ในฐานะที่เป็นหน่วยงานประสานงานกลางของกรมตำรวจประจำจังหวัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติบริหารงานโดยคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ<ref> |
การรักษาความปลอดภัยภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นดูแลโดยกรมตำรวจประจำจังหวัดเป็นหลัก ภายใต้การกำกับดูแลของ[[สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ญี่ปุ่น)|สำนักงานตำรวจแห่งชาติ]]<ref>{{Cite web|title=裁判手続 刑事事件Q&A {{!}} 裁判所|url=https://www.courts.go.jp/saiban/qa/qa_keizi/index.html|website=www.courts.go.jp}}</ref> ในฐานะที่เป็นหน่วยงานประสานงานกลางของกรมตำรวจประจำจังหวัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติบริหารงานโดยคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ<ref>{{Citation|title=The Japanese Police State|url=http://dx.doi.org/10.5040/9781472553577.ch-006|work=The Japanese Police State : The Tokkô in interwar Japan|publisher=Bloomsbury Academic|access-date=2022-01-05}}</ref> หน่วยจู่โจมพิเศษประกอบด้วยหน่วยยุทธวิธีต่อต้านการก่อการร้ายระดับชาติที่ร่วมมือกับหน่วยต่อต้านอาวุธปืนระดับอาณาเขตและหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของเอ็นบีซี หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่นปกป้องน่านน้ำอาณาเขตรอบ ๆ ญี่ปุ่น และใช้มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการลักลอบนำเข้า อาชญากรรมสิ่งแวดล้อมทางทะเล การรุกล้ำ [[การละเมิดลิขสิทธิ์]] เรือสอดแนม เรือประมงต่างประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาต<ref>https://www.kaiho.mlit.go.jp/e/image/15_b%20of%20jcg.pdf</ref> |
||
กฎหมายควบคุมอาวุธปืนและดาบควบคุมความเป็นเจ้าของปืน ดาบ และอาวุธอื่น ๆ ของพลเรือนอย่างเคร่งครัด<ref>https://www.japantimes.co.jp/news/2008/11/29/national/diet-tightens-laws-on-knives-guns/ |
กฎหมายควบคุมอาวุธปืนและดาบควบคุมความเป็นเจ้าของปืน ดาบ และอาวุธอื่น ๆ ของพลเรือนอย่างเคร่งครัด<ref>{{Cite web|last=Author|first=No|date=2008-11-29|title=Diet tightens laws on knives, guns|url=https://www.japantimes.co.jp/news/2008/11/29/national/diet-tightens-laws-on-knives-guns/|website=The Japan Times|language=en-US}}</ref> ตามรายงานของ[[สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ]] ในบรรดาประเทศสมาชิกของ[[สหประชาชาติ|องค์การสหประชาชาติ]]ที่รายงานสถิติในปี 2561 อัตราอุบัติการณ์ของอาชญากรรมรุนแรง เช่น การฆาตกรรม การลักพาตัว ความรุนแรงทางเพศ และการโจรกรรมนั้นต่ำมากในญี่ปุ่น<ref>{{Cite web|title=Homicide rate {{!}} dataUNODC|url=https://dataunodc.un.org/content/data/homicide/homicide-rate|website=dataunodc.un.org}}</ref> |
||
== กองทัพ == |
== กองทัพ == |
||
บรรทัด 322: | บรรทัด 322: | ||
ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6<ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69a.htm|title=Total area and cultivated land area|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07|archive-url=https://web.archive.org/web/20090201120229/http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69a.htm|archive-date=2009-02-01}}</ref> และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6<ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69c.htm|title=Total population and agricultural population|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07|archive-url=https://web.archive.org/web/20090201121447/http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69c.htm|archive-date=2009-02-01}}</ref>เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ<ref>{{cite web|last=農林水産省国際部国際政策課|title=農林水産物輸出入概況(2005)|date=2006-05-23|url=http://www.maff.go.jp/toukei/sokuhou/data/yusyutugai2005/yusyutugai2005.pdf|format=PDF|accessdate=2007-09-13|archive-url=https://web.archive.org/web/20070929125138/http://www.maff.go.jp/toukei/sokuhou/data/yusyutugai2005/yusyutugai2005.pdf|archive-date=2007-09-29}}</ref><ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_5/76.htm|archive-url=https://web.archive.org/web/20090201115202/http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_5/76.htm|archive-date=2009-02-01|title=Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07}}</ref> ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น |
ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6<ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69a.htm|title=Total area and cultivated land area|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07|archive-url=https://web.archive.org/web/20090201120229/http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69a.htm|archive-date=2009-02-01}}</ref> และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6<ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69c.htm|title=Total population and agricultural population|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07|archive-url=https://web.archive.org/web/20090201121447/http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_1/69c.htm|archive-date=2009-02-01}}</ref>เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ<ref>{{cite web|last=農林水産省国際部国際政策課|title=農林水産物輸出入概況(2005)|date=2006-05-23|url=http://www.maff.go.jp/toukei/sokuhou/data/yusyutugai2005/yusyutugai2005.pdf|format=PDF|accessdate=2007-09-13|archive-url=https://web.archive.org/web/20070929125138/http://www.maff.go.jp/toukei/sokuhou/data/yusyutugai2005/yusyutugai2005.pdf|archive-date=2007-09-29}}</ref><ref>{{cite web |url=http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_5/76.htm|archive-url=https://web.archive.org/web/20090201115202/http://www.maff.go.jp/toukei/abstract/2_5/76.htm|archive-date=2009-02-01|title=Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)|publisher=Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries|accessdate=2008-11-07}}</ref> ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น |
||
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 190 ประเทศในดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจปี 2562<ref>https://www.doingbusiness.org/en/rankings</ref> ญี่ปุ่นมีภาคส่วนสหกรณ์ขนาดใหญ่ รวมถึงสหกรณ์ผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดและสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปี 2561 ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่สูงในด้านความสามารถในการแข่งขันและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ อยู่ในอันดับ 6 ในรายงานการแข่งขันระดับโลกสำหรับปี 2558-2559 |
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 190 ประเทศในดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจปี 2562<ref>{{Cite web|title=Rankings|url=https://www.doingbusiness.org/en/rankings|website=World Bank|language=en}}</ref> ญี่ปุ่นมีภาคส่วนสหกรณ์ขนาดใหญ่ รวมถึงสหกรณ์ผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดและสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปี 2561 ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่สูงในด้านความสามารถในการแข่งขันและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ อยู่ในอันดับ 6 ในรายงานการแข่งขันระดับโลกสำหรับปี 2558-2559 |
||
=== เกษตรกรรม และประมง === |
=== เกษตรกรรม และประมง === |
||
[[ไฟล์:Rice Paddies In Aizu, Japan.JPG|thumb|นาข้าวใน[[จังหวัดฟูกูชิมะ]]]] |
[[ไฟล์:Rice Paddies In Aizu, Japan.JPG|thumb|นาข้าวใน[[จังหวัดฟูกูชิมะ]]]] |
||
ภาคการเกษตรของญี่ปุ่นมีสัดส่วนประมาณ 1.2% ของจีดีพีทั้งหมด ณ ปี 2561 จากการสำรวจพบว่าที่ดินของญี่ปุ่นเพียง 11.5% เท่านั้นที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเนื่องจากขาดที่ดินทำกิน จึงมีการใช้ระบบระเบียงเพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็ก<ref>https://ourworld.unu.edu/en/the-people-who-sustain-japans-historic-terraced-rice-fields</ref> ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตพืชผลต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุดในโลกโดยมีอัตราการพึ่งตนเองทางการเกษตรประมาณ 50% ณ ปี 2561 ภาคเกษตรกรรมขนาดเล็กของญี่ปุ่นได้รับเงินอุดหนุนและได้รับการคุ้มครองอย่างสูง<ref>https:// |
ภาคการเกษตรของญี่ปุ่นมีสัดส่วนประมาณ 1.2% ของจีดีพีทั้งหมด ณ ปี 2561 จากการสำรวจพบว่าที่ดินของญี่ปุ่นเพียง 11.5% เท่านั้นที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเนื่องจากขาดที่ดินทำกิน จึงมีการใช้ระบบระเบียงเพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็ก<ref>{{Cite web|title=Urbanites Help Sustain Japan’s Historic Rice Paddy Terraces - Our World|url=https://ourworld.unu.edu/en/the-people-who-sustain-japans-historic-terraced-rice-fields|website=ourworld.unu.edu}}</ref> ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตพืชผลต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุดในโลกโดยมีอัตราการพึ่งตนเองทางการเกษตรประมาณ 50% ณ ปี 2561 ภาคเกษตรกรรมขนาดเล็กของญี่ปุ่นได้รับเงินอุดหนุนและได้รับการคุ้มครองอย่างสูง<ref>{{Cite journal|last=Chen|first=Hungyen|date=2018-07-03|title=The spatial patterns in long-term temporal trends of three major crops’ yields in Japan|url=https://doi.org/10.1080/1343943X.2018.1459752|journal=Plant Production Science|volume=21|issue=3|pages=177–185|doi=10.1080/1343943X.2018.1459752|issn=1343-943X}}</ref> มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการทำฟาร์มเนื่องจากเกษตรกรมักเป็นผู้สูงวัยและมีความยากลำบากในการหาผู้สืบทอด |
||
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 7 ของโลกในด้านปริมาณปลาที่จับได้คิดเป็น 3,167,610 ตันในปี 2559 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 4,000,000 ตันต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นแหล่งประมงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและคิดเป็นเกือบ 15% ของจำนวนสัตว์น้ำที่จับได้ทั่วโลก<ref>https://www.fao.org/3/i9540en/i9540en.pdf</ref> ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าการทำประมงของญี่ปุ่นทำให้ปริมาณปลาของโลกลดลง เช่น [[ปลาทูน่า]] ญี่ปุ่นยังจุดชนวนความขัดแย้งดังกล่าวด้วยการสนับสนุน[[การล่าวาฬในญี่ปุ่น|การล่าวาฬ]]อย่างถูกกฎหมาย<ref>https://www.bbc.com/news/world-asia-48821797</ref> |
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 7 ของโลกในด้านปริมาณปลาที่จับได้คิดเป็น 3,167,610 ตันในปี 2559 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 4,000,000 ตันต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นแหล่งประมงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและคิดเป็นเกือบ 15% ของจำนวนสัตว์น้ำที่จับได้ทั่วโลก<ref>https://www.fao.org/3/i9540en/i9540en.pdf</ref> ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าการทำประมงของญี่ปุ่นทำให้ปริมาณปลาของโลกลดลง เช่น [[ปลาทูน่า]] ญี่ปุ่นยังจุดชนวนความขัดแย้งดังกล่าวด้วยการสนับสนุน[[การล่าวาฬในญี่ปุ่น|การล่าวาฬ]]อย่างถูกกฎหมาย<ref>{{Cite news|date=2019-07-01|title=Japan resumes commercial whaling after 30 years|language=en-GB|work=BBC News|url=https://www.bbc.com/news/world-asia-48821797|access-date=2022-01-05}}</ref> |
||
=== การท่องเที่ยว === |
=== การท่องเที่ยว === |
||
รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญ ๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี |
รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญ ๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี |
||
ญี่ปุ่นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 31.9 ล้านคนในปี 2562<ref>https://statistics.jnto.go.jp/en/graph/ |
ญี่ปุ่นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 31.9 ล้านคนในปี 2562<ref>{{Cite web|title=Data list {{!}} Japan Tourism Statistics|url=https://statistics.jnto.go.jp/en/graph/|website=Japan Tourism Statistics {{!}} 日本の観光統計データ|language=en}}</ref> อยู่ในอันดับที่ 11 ของโลกในปี 2562 ในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า<ref>{{Cite web|title=UNWTO World Tourism Barometer and Statistical Annex, August/September 2020|url=https://www.e-unwto.org/doi/epdf/10.18111/wtobarometereng.2020.18.1.5|website=www.e-unwto.org|language=en|doi=10.18111/wtobarometereng.2020.18.1.5}}</ref> และตามรายงานความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวปี 2560 จัดอันดับญี่ปุ่นเป็นอันดับ 4 จาก 141 ประเทศซึ่งสูงที่สุดในเอเชีย |
||
=== อุตสาหกรรมการผลิต === |
=== อุตสาหกรรมการผลิต === |
||
[[ไฟล์:2017 Toyota Camry TRD.jpg|thumb|รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผลิตโดยโตโยต้า ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก]] |
[[ไฟล์:2017 Toyota Camry TRD.jpg|thumb|รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผลิตโดยโตโยต้า ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก]] |
||
ญี่ปุ่นมีศักยภาพทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเป็นที่ตั้งของ "ผู้ผลิตยานยนต์ เครื่องมือกล เหล็กกล้าและโลหะรายใหญ่ที่สุดและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด"<ref>https://www.cia.gov/the-world-factbook/countries/japan/</ref> ภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นคิดเป็นประมาณ 27.5% ของจีดีพี<ref> |
ญี่ปุ่นมีศักยภาพทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเป็นที่ตั้งของ "ผู้ผลิตยานยนต์ เครื่องมือกล เหล็กกล้าและโลหะรายใหญ่ที่สุดและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด"<ref>https://www.cia.gov/the-world-factbook/countries/japan/</ref> ภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นคิดเป็นประมาณ 27.5% ของจีดีพี<ref>{{Citation|title=Japan|date=2021-12-14|url=https://www.cia.gov/the-world-factbook/countries/japan/|work=The World Factbook|publisher=Central Intelligence Agency|language=en|access-date=2022-01-05}}</ref> การส่งออกของประเทศสูงเป็นอันดับสามของโลก ณ ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก ณ ปี 2562 และเป็นที่ตั้งของ[[โตโยต้า]] บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก<ref>{{Cite web|title=Is time running out for Japan's car industry?|url=https://www.autocar.co.uk/car-news/features/time-running-out-japans-car-industry|website=Autocar|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|title=Production Statistics {{!}} www.oica.net|url=https://www.oica.net/category/production-statistics/|website=www.oica.net}}</ref> อีกทั้งยังเป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลก อุตสาหกรรมต่อเรือของญี่ปุ่นเผชิญกับการแข่งขันจากเกาหลีใต้และจีน รัฐบาลออกนโยบายในปี 2563 ตั้งเป้าหมายให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางการส่งออกที่เพิ่มกำไร |
||
=== วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี === |
=== วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี === |
||
[[ไฟล์:Honda ASIMO Walking Stairs.JPG|thumb|right|หุ่นยนต์[[อาซิโม]]ของ[[ฮอนด้า]]]] |
[[ไฟล์:Honda ASIMO Walking Stairs.JPG|thumb|right|หุ่นยนต์[[อาซิโม]]ของ[[ฮอนด้า]]]] |
||
[[ไฟล์:Kibo PM and ELM-PS.jpg|thumb|left|[[โมดูลห้องทดลองของญี่ปุ่น|โมดูลคิโบ]]ของ[[องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น]]]] |
[[ไฟล์:Kibo PM and ELM-PS.jpg|thumb|left|[[โมดูลห้องทดลองของญี่ปุ่น|โมดูลคิโบ]]ของ[[องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น]]]] |
||
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก<ref name=techno>[http://www.oecd.org/dataoecd/17/62/41559228.pdf Science and Innovation: Country Notes, Japan] OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, [[OECD]]</ref> ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอ[[สิทธิบัตร]]เป็นอันดับ 3 ของโลก<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nb20070811a6.html|title=Japanese led world in filing of patent applications in 2005|publisher=The Japan Times|date=2007-08-11|accessdate=2008-11-07|archive-url=https://web.archive.org/web/20090224073852/http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nb20070811a6.html|archive-date=2009-02-24}}</ref>ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่[[อิเล็กทรอนิกส์]] [[รถยนต์]] เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด [[สารเคมี]] [[สารกึ่งตัวนำ]] และ[[เหล็ก]] เป็นต้น |
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก<ref name=techno>[http://www.oecd.org/dataoecd/17/62/41559228.pdf Science and Innovation: Country Notes, Japan] OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, [[OECD]]</ref> ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอ[[สิทธิบัตร]]เป็นอันดับ 3 ของโลก<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nb20070811a6.html|title=Japanese led world in filing of patent applications in 2005|publisher=The Japan Times|date=2007-08-11|accessdate=2008-11-07|archive-url=https://web.archive.org/web/20090224073852/http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nb20070811a6.html|archive-date=2009-02-24}}</ref> ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่[[อิเล็กทรอนิกส์]] [[รถยนต์]] [[เครื่องจักร]] วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด [[สารเคมี]] [[สารกึ่งตัวนำ]] และ[[เหล็ก]] เป็นต้น และเป็นผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด |
||
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา<ref>{{Cite web|url=http://www.hybridcars.com/history/history-of-hybrid-vehicles.html|archive-url=https://web.archive.org/web/20121030191414/http://www.hybridcars.com/history/history-of-hybrid-vehicles.html|archive-date=2012-10-30|title=History of Hybrid Vehicles|date=2011-06-13|work=HybridCars.com}}</ref> ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย<ref>[http://www.ucsusa.org/assets/documents/clean_vehicles/autorank_brochure_2007.pdf Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies] Union of Concerned Scientists</ref><ref>[www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy</ref> ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้าน[[เซลล์เชื้อเพลิง]]เป็นอันดับหนึ่งของโลก<ref name=oecdpa>{{Cite report|url=https://www.oecd.org/innovation/inno/31968247.pdf |title=Innovation in Fuel Cell Technologies in Japan: Development and Commercialization of Polymer Electrolyte Fuel Cells |author=Akira Maeda |date=November 28, 2003 |publisher=OECD/CSTP/TIP Energy Focus Group}}</ref> |
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจาก[[ประเทศเยอรมนี|เยอรมนี]] [[ประเทศอังกฤษ|อังกฤษ]] และสหรัฐอเมริกา<ref>{{Cite web|url=http://www.hybridcars.com/history/history-of-hybrid-vehicles.html|archive-url=https://web.archive.org/web/20121030191414/http://www.hybridcars.com/history/history-of-hybrid-vehicles.html|archive-date=2012-10-30|title=History of Hybrid Vehicles|date=2011-06-13|work=HybridCars.com}}</ref> ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย<ref>[http://www.ucsusa.org/assets/documents/clean_vehicles/autorank_brochure_2007.pdf Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies] Union of Concerned Scientists</ref><ref>[www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy</ref> ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้าน[[เซลล์เชื้อเพลิง]]เป็นอันดับหนึ่งของโลก<ref name=oecdpa>{{Cite report|url=https://www.oecd.org/innovation/inno/31968247.pdf |title=Innovation in Fuel Cell Technologies in Japan: Development and Commercialization of Polymer Electrolyte Fuel Cells |author=Akira Maeda |date=November 28, 2003 |publisher=OECD/CSTP/TIP Energy Focus Group}}</ref> |
||
[[องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น]]เป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทาง[[ดาราศาสตร์]]และ[[จักรวาลวิทยา]]ของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้าง[[สถานีอวกาศนานาชาติ]]และ[[โมดูลห้องทดลองของญี่ปุ่น|โมดูลคิโบ]] มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วย[[กระสวยอวกาศ]]ใน พ.ศ. 2552<ref>{{cite web|url=http://www.jaxa.jp/press/2008/07/20080708_15a2ja_j.html|title=Press Release|publisher=JAXA|date=2008-07-08|accessdate=2008-11-16}}</ref> |
[[องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น]]เป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทาง[[ดาราศาสตร์]]และ[[จักรวาลวิทยา]]ของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้าง[[สถานีอวกาศนานาชาติ]]และ[[โมดูลห้องทดลองของญี่ปุ่น|โมดูลคิโบ]] มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วย[[กระสวยอวกาศ]]ใน พ.ศ. 2552<ref>{{cite web|url=http://www.jaxa.jp/press/2008/07/20080708_15a2ja_j.html|title=Press Release|publisher=JAXA|date=2008-07-08|accessdate=2008-11-16}}</ref> นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีโครงการสำคัญมากมายรวมถึง[[การสำรวจอวกาศ]] และการสร้างฐานบน[[ดวงจันทร์]]เพื่อส่งมนุษย์ไปสำรวจและทำภารกิจในปี 2573<ref>{{Cite web|last=published|first=Elizabeth Howell|date=2019-04-07|title=Can Robots Build a Moon Base for Astronauts? Japan Hopes to Find Out.|url=https://www.space.com/japan-robots-build-moon-base.html|website=Space.com|language=en}}</ref> [[เซลีนี (ยานอวกาศ)|ยานอวกาซเซลีนี]] เปิดตัวใน พ.ศ. 2550 ถือเป็นยานอวกาศลำที่สองของญี่ปุ่นที่ส่งขึ้นสู่ดวงจันทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดและวิวัฒนาการของดวงจันทร์<ref>{{Cite news|date=2009-06-11|title=Japanese probe crashes into Moon|language=en-GB|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/8094863.stm|access-date=2022-01-05}}</ref> |
||
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในชาติผู้นำของโลกในด้านการผลิต[[หุ่นยนต์]] โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 55% ของจำนวนการผลิตทั่วโลก<ref>{{Cite web|last=IFR|title=Why Japan leads industrial robot production|url=https://ifr.org/post/why-japan-leads-industrial-robot-production|website=IFR International Federation of Robotics|language=en}}</ref> ญี่ปุ่นมีจำนวน[[การวิจัย|นักวิจัย]]ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก คิดเป็นสัดส่วน 14 คนต่อพนักงาน 1,000 คน<ref>{{Cite web|title=Science,technology and innovation : Researchers by sex, per million inhabitants, per thousand labour force, per thousand total employment (FTE and HC)|url=http://data.uis.unesco.org/index.aspx?queryid=64|website=data.uis.unesco.org}}</ref> ญี่ปุ่นยังมีตลาดวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลัก สร้างรายได้ให้แก่ประเทศสูงถึง 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในจำนวนนี้เป็นรายได้จากเกมมือถือสูงถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์<ref>{{Cite web|last=NuttBloggerJune 19|first=Christian|last2=2015|date=2015-06-19|title=Japan's game market hits record high as consoles decline and mobile gr|url=https://www.gamedeveloper.com/business/japan-s-game-market-hits-record-high-as-consoles-decline-and-mobile-grows|website=Game Developer|language=en}}</ref> |
|||
== โครงสร้างพื้นฐาน == |
== โครงสร้างพื้นฐาน == |
||
บรรทัด 361: | บรรทัด 363: | ||
=== พลังงาน === |
=== พลังงาน === |
||
[[ไฟล์:Kashiwazaki Kariwa-April 2011.jpg|thumb|โรงไฟฟ้านิวเคลียร์คาชิวาซากิ-คาริวะ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปิดตัวลง 21 เดือนหลังจากเกิดแผ่นดินไหวในปี 2550<ref name=mycle>[http://www.greens-efa.org/cms/topics/dokbin/206/206749.pdf The European Parliament's Greens-EFA Group – The World Nuclear Industry Status Report 2007] {{webarchive|url=https://web.archive.org/web/20080625044818/http://www.greens-efa.org/cms/topics/dokbin/206/206749.pdf |date=2008-06-25 }} p. 23.</ref>]] |
[[ไฟล์:Kashiwazaki Kariwa-April 2011.jpg|thumb|โรงไฟฟ้านิวเคลียร์คาชิวาซากิ-คาริวะ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปิดตัวลง 21 เดือนหลังจากเกิดแผ่นดินไหวในปี 2550<ref name=mycle>[http://www.greens-efa.org/cms/topics/dokbin/206/206749.pdf The European Parliament's Greens-EFA Group – The World Nuclear Industry Status Report 2007] {{webarchive|url=https://web.archive.org/web/20080625044818/http://www.greens-efa.org/cms/topics/dokbin/206/206749.pdf |date=2008-06-25 }} p. 23.</ref>]] |
||
ณ ปี 2560 พลังงาน 39% ในญี่ปุ่นผลิตจาก[[ปิโตรเลียม]] 25% จาก[[ถ่านหิน]] 23% จาก[[แก๊สธรรมชาติ|ก๊าซธรรมชาติ]] 3.5% จาก[[พลังงานน้ำ]] และ 1.5% จาก[[พลังงานนิวเคลียร์]] พลังงานนิวเคลียร์ลดลงจากร้อยละ 11.2 ในปี 2553 รัฐบาลเคยมีแผนว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2555 [[โรงไฟฟ้านิวเคลียร์]]ทั้งหมดของประเทศต้องปิดตัว<ref>https://www.reuters.com/article/us-nuclear-japan-idUSBRE84405820120505</ref> เนื่องจากการคัดค้านของสาธารณชนอย่างต่อเนื่องหลังจาก[[ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง|ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ]] ในเดือนมีนาคม 2554 แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงพยายามโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนให้กลับมาให้บริการ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เซนไดเริ่มเปิดใหม่ในปี 2558 และตั้งแต่นั้นมาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกหลายแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการใหม่<ref>https://www.bbc.co.uk/news/av/world-asia-33858628</ref> ญี่ปุ่นขาดเงินสำรองภายในประเทศจำนวนมากและต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าอย่างหนัก ประเทศจึงมุ่งหวังที่จะกระจายแหล่งที่มาและรักษาระดับพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ<ref>https://www.hindawi.com/journals/jen/2017/4107614/</ref> และรัฐบาลยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ที่จะยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2570 |
ณ ปี 2560 พลังงาน 39% ในญี่ปุ่นผลิตจาก[[ปิโตรเลียม]] 25% จาก[[ถ่านหิน]] 23% จาก[[แก๊สธรรมชาติ|ก๊าซธรรมชาติ]] 3.5% จาก[[พลังงานน้ำ]] และ 1.5% จาก[[พลังงานนิวเคลียร์]] พลังงานนิวเคลียร์ลดลงจากร้อยละ 11.2 ในปี 2553 รัฐบาลเคยมีแผนว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2555 [[โรงไฟฟ้านิวเคลียร์]]ทั้งหมดของประเทศต้องปิดตัว<ref>{{Cite news|date=2012-05-05|title=Japan nuclear power-free as last reactor shuts|language=en|work=Reuters|url=https://www.reuters.com/article/us-nuclear-japan-idUSBRE84405820120505|access-date=2022-01-05}}</ref> เนื่องจากการคัดค้านของสาธารณชนอย่างต่อเนื่องหลังจาก[[ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง|ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ]] ในเดือนมีนาคม 2554 แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงพยายามโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนให้กลับมาให้บริการ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เซนไดเริ่มเปิดใหม่ในปี 2558 และตั้งแต่นั้นมาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกหลายแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการใหม่<ref>{{Cite news|title=Nuclear power restarted in Japan|language=en-GB|work=BBC News|url=https://www.bbc.co.uk/news/av/world-asia-33858628|access-date=2022-01-05}}</ref> ญี่ปุ่นขาดเงินสำรองภายในประเทศจำนวนมากและต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าอย่างหนัก ประเทศจึงมุ่งหวังที่จะกระจายแหล่งที่มาและรักษาระดับพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ<ref>{{Cite journal|last=Kucharski|first=Jeffrey B.|last2=Unesaki|first2=Hironobu|date=2017-06-12|title=Japan’s 2014 Strategic Energy Plan: A Planned Energy System Transition|url=https://www.hindawi.com/journals/jen/2017/4107614/|journal=Journal of Energy|language=en|volume=2017|pages=e4107614|doi=10.1155/2017/4107614|issn=2356-735X}}</ref> และรัฐบาลยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ที่จะยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2570 |
||
ความรับผิดชอบต่อ[[พลังงานน้ำ]]และ[[สุขาภิบาล]]เป็นหน้าที่ของ[[กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ]]ที่รับผิดชอบด้านการจัดหาน้ำสำหรับใช้ในบ้านเรือน, กระทรวงสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบคุณภาพน้ำโดยรอบและรักษาสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารที่รับผิดชอบการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ[[สาธารณูปโภค|ระบบสาธารณูปโภค]] การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุงนั้นเป็นสากลในญี่ปุ่น ประมาณ 98% ของประชากรได้รับ[[น้ำประปา]]จากสาธารณูปโภค และน้ำประปาหลายแห่งในที่สาธารณะสามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย<ref>http://www.jwwa.or.jp/jigyou/kaigai_file/2017WaterSupplyInJapan.pdf</ref> |
ความรับผิดชอบต่อ[[พลังงานน้ำ]]และ[[สุขาภิบาล]]เป็นหน้าที่ของ[[กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ]]ที่รับผิดชอบด้านการจัดหาน้ำสำหรับใช้ในบ้านเรือน, กระทรวงสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบคุณภาพน้ำโดยรอบและรักษาสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารที่รับผิดชอบการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ[[สาธารณูปโภค|ระบบสาธารณูปโภค]] การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุงนั้นเป็นสากลในญี่ปุ่น ประมาณ 98% ของประชากรได้รับ[[น้ำประปา]]จากสาธารณูปโภค และน้ำประปาหลายแห่งในที่สาธารณะสามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย<ref>http://www.jwwa.or.jp/jigyou/kaigai_file/2017WaterSupplyInJapan.pdf</ref> |
||
บรรทัด 369: | บรรทัด 371: | ||
จากข้อมูลในปี 2563 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 125.7 ล้านคน คนที่ถือสัญชาติญี่ปุ่นมีประมาณ 123 ล้านคน<ref>https://www.stat.go.jp/english/data/jinsui/tsuki/index.html</ref> ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/06.htm|title=Population Census: Foreigners|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่น[[ชาวไอนุ]]และ[[ชาวรีวกีว]] รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่า[[บุระกุ]]<ref>{{cite web|url=http://www.economist.com/obituary/displaystory.cfm?story_id=E1_VJRPNJ|title=Sue Sumii|publisher=The Economist|date=1997-07-03|accessdate=2008-11-06}}</ref> กรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศมีประชากรกว่า 14 ล้านคน (ปี 2564) เป็นส่วนหนึ่งของ[[เขตอภิมหานครโตเกียว]] ซึ่งเป็นเขตมหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากร 38,140,000 คน (ปี 2559)<ref>https://www.un.org/en/development/desa/population/publications/pdf/urbanization/the_worlds_cities_in_2016_data_booklet.pdf</ref> |
จากข้อมูลในปี 2563 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 125.7 ล้านคน คนที่ถือสัญชาติญี่ปุ่นมีประมาณ 123 ล้านคน<ref>https://www.stat.go.jp/english/data/jinsui/tsuki/index.html</ref> ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/06.htm|title=Population Census: Foreigners|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่น[[ชาวไอนุ]]และ[[ชาวรีวกีว]] รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่า[[บุระกุ]]<ref>{{cite web|url=http://www.economist.com/obituary/displaystory.cfm?story_id=E1_VJRPNJ|title=Sue Sumii|publisher=The Economist|date=1997-07-03|accessdate=2008-11-06}}</ref> กรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศมีประชากรกว่า 14 ล้านคน (ปี 2564) เป็นส่วนหนึ่งของ[[เขตอภิมหานครโตเกียว]] ซึ่งเป็นเขตมหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากร 38,140,000 คน (ปี 2559)<ref>https://www.un.org/en/development/desa/population/publications/pdf/urbanization/the_worlds_cities_in_2016_data_booklet.pdf</ref> |
||
ณ ปี 2562 ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 84 ปี<ref>https://data.worldbank.org/indicator/SP.DYN.LE00.IN?locations=JP&most_recent_value_desc=true</ref> จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก<ref>{{cite web |url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2102rank.html |title=The World Factbook: Rank order—Life expectancy at birth |publisher=[[CIA]] |date=2008-10-23|accessdate=2008-11-05}}</ref> โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบีบูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ<ref name=pop>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c02cont.htm|title=Statistical Handbook of Japan: Chapter 2 Population|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications|archive-url=https://web.archive.org/web/20130630184930/http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c02cont.htm|archive-date=2013-06-30}}</ref> ประชากรวัยทำงานส่วนมากในปัจจุบันไม่นิยมแต่งงาน และไม่มีบุตร<ref>https://www.theatlantic.com/business/archive/2017/07/japan-mystery-low-birth-rate/534291/</ref><ref>https://www.japantimes.co.jp/opinion/2019/11/19/commentary/japan-commentary/economic-challenge-japans-aging-crisis/</ref> จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25)<ref name=pop/> ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด)<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/02.htm|title=Population Census: Population by Age|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระ[[wikt:บำนาญ|เงินบำนาญ]]ของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nn20020924b1.html|title=Cloud of population decline may have silver lining|editor=Tetsushi Kajimoto|publisher=The Japan Times|date=2002-09-24|accessdate=2008-11-05|archive-url=https://web.archive.org/web/20081224092852/http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nn20020924b1.html|archive-date=2008-12-24}}</ref> เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับปรับปรุงของญี่ปุ่น เพื่อปกป้องสิทธิของแรงงานต่างชาติเพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางภาคส่วน<ref>https://web.archive.org/web/20190702124120/https://www.rethinktokyo.com/2019/03/27/new-immigration-visa-rules-japan-foreign-workers</ref> |
ณ ปี 2562 ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 84 ปี<ref>{{Cite web|title=Life expectancy at birth, total (years) - Japan {{!}} Data|url=https://data.worldbank.org/indicator/SP.DYN.LE00.IN?locations=JP&most_recent_value_desc=true|website=data.worldbank.org}}</ref> จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก<ref>{{cite web |url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2102rank.html |title=The World Factbook: Rank order—Life expectancy at birth |publisher=[[CIA]] |date=2008-10-23|accessdate=2008-11-05}}</ref> โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบีบูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ<ref name=pop>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c02cont.htm|title=Statistical Handbook of Japan: Chapter 2 Population|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications|archive-url=https://web.archive.org/web/20130630184930/http://www.stat.go.jp/english/data/handbook/c02cont.htm|archive-date=2013-06-30}}</ref> ประชากรวัยทำงานส่วนมากในปัจจุบันไม่นิยมแต่งงาน และไม่มีบุตร<ref>{{Cite web|last=Semuels|first=Alana|date=2017-07-20|title=The Mystery of Why Japanese People Are Having So Few Babies|url=https://www.theatlantic.com/business/archive/2017/07/japan-mystery-low-birth-rate/534291/|website=The Atlantic|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|last=Walia|first=Simran|date=2019-11-19|title=The economic challenge of Japan's aging crisis|url=https://www.japantimes.co.jp/opinion/2019/11/19/commentary/japan-commentary/economic-challenge-japans-aging-crisis/|website=The Japan Times|language=en-US}}</ref> จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25)<ref name=pop/> ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด)<ref>{{cite web|url=http://www.stat.go.jp/english/data/kokusei/2005/kihon1/00/02.htm|title=Population Census: Population by Age|publisher=Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications}}</ref> การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระ[[wikt:บำนาญ|เงินบำนาญ]]ของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น<ref>{{cite web|url=http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nn20020924b1.html|title=Cloud of population decline may have silver lining|editor=Tetsushi Kajimoto|publisher=The Japan Times|date=2002-09-24|accessdate=2008-11-05|archive-url=https://web.archive.org/web/20081224092852/http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/nn20020924b1.html|archive-date=2008-12-24}}</ref> เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับปรับปรุงของญี่ปุ่น เพื่อปกป้องสิทธิของแรงงานต่างชาติเพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางภาคส่วน<ref>{{Cite web|date=2019-07-02|title=New immigration rules to stir up Japan’s regional rentals scene — if they work {{!}} REthink Tokyo|url=https://web.archive.org/web/20190702124120/https://www.rethinktokyo.com/2019/03/27/new-immigration-visa-rules-japan-foreign-workers|website=web.archive.org}}</ref> |
||
=== จำนวนประชากร === |
=== จำนวนประชากร === |
||
บรรทัด 381: | บรรทัด 383: | ||
[[ไฟล์:Itsukushima_Shrine_Torii_Gate_(13890465459).jpg|right|thumb|220px|[[โทริอิ]]ของ[[ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ]]ซึ่งเป็นศาลเจ้าลัทธิชินโต]] |
[[ไฟล์:Itsukushima_Shrine_Torii_Gate_(13890465459).jpg|right|thumb|220px|[[โทริอิ]]ของ[[ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ]]ซึ่งเป็นศาลเจ้าลัทธิชินโต]] |
||
{{บทความหลัก|ศาสนาในประเทศญี่ปุ่น}} |
{{บทความหลัก|ศาสนาในประเทศญี่ปุ่น}} |
||
รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นกำหนดให้ประชาชนมีอิสระในการนับถือศาสนา<ref>https://books.google.co.th/books?id=ffeE989AWrAC&pg=PA132&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false</ref> จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตน[[การไม่มีศาสนา|ไม่มีศาสนา]]<ref>[http://www2.ttcn.ne.jp/~honkawa/9460.html 世界各国の宗教 (2000年)] อ้างอิงจาก電通総研日本リサーチセンター、''世界主要国価値観データブック''</ref> ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้า[[ชินโต]]เพื่อทำพิธี[[ชิจิ-โกะ-ซัน]] แต่งงานใน[[โบสถ์ (คริสต์ศาสนา)|โบสถ์คริสต์]]และฉลองใน[[วันคริสต์มาส]] จัดงานศพแบบ[[พุทธ]] และบูชาบรรพบุรุษแบบ[[ขงจื๊อ]] นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และ[[โอมชินริเกียว|ลัทธิโอมชินริเกียว]] |
รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นกำหนดให้ประชาชนมีอิสระในการนับถือศาสนา<ref>{{Cite book|last=Inoue|first=Kyoko|url=https://books.google.co.th/books?id=ffeE989AWrAC&pg=PA132&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=MacArthur's Japanese Constitution|last2=Inoue|first2=oko|date=1991-02|publisher=University of Chicago Press|isbn=978-0-226-38391-0|language=en}}</ref> จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตน[[การไม่มีศาสนา|ไม่มีศาสนา]]<ref>[http://www2.ttcn.ne.jp/~honkawa/9460.html 世界各国の宗教 (2000年)] อ้างอิงจาก電通総研日本リサーチセンター、''世界主要国価値観データブック''</ref> ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้า[[ชินโต]]เพื่อทำพิธี[[ชิจิ-โกะ-ซัน]] แต่งงานใน[[โบสถ์ (คริสต์ศาสนา)|โบสถ์คริสต์]]และฉลองใน[[วันคริสต์มาส]] จัดงานศพแบบ[[พุทธ]] และบูชาบรรพบุรุษแบบ[[ขงจื๊อ]] นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และ[[โอมชินริเกียว|ลัทธิโอมชินริเกียว]] |
||
[[ศาสนาคริสต์]]เผยแพร่สู่ญี่ปุ่นครั้งแรกโดยสมาชิก[[คณะเยสุอิต|นิกายเยซุอิต]]เริ่มต้นใน พ.ศ. 2092 ในปัจจุบันประชากร 1% ถึง 1.5% เป็น[[คริสต์ศาสนิกชน|คริสเตียน]]<ref>https://www.christianitytoday.com/news/2018/may/japan-unesco-hidden-christian-persecution-world-heritage.html</ref> ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ธรรมเนียมตะวันตกแต่เดิมเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ (รวมถึงงานแต่งงานแบบตะวันตก [[วันวาเลนไทน์]] และ[[คริสต์มาส]]) ได้กลายเป็นที่นิยมในฐานะธรรมเนียมปฏิบัติทางโลกในหมู่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก<ref>https://www.bunka.go.jp/tokei_hakusho_shuppan/hakusho_nenjihokokusho/shukyo_nenkan/pdf/r01nenkan.pdf#page=49</ref><ref>Kato, Mariko (February 24, 2009). "Christianity's long history in the margins". ''The Japan Times''.</ref> |
[[ศาสนาคริสต์]]เผยแพร่สู่ญี่ปุ่นครั้งแรกโดยสมาชิก[[คณะเยสุอิต|นิกายเยซุอิต]]เริ่มต้นใน พ.ศ. 2092 ในปัจจุบันประชากร 1% ถึง 1.5% เป็น[[คริสต์ศาสนิกชน|คริสเตียน]]<ref>https://www.christianitytoday.com/news/2018/may/japan-unesco-hidden-christian-persecution-world-heritage.html</ref> ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ธรรมเนียมตะวันตกแต่เดิมเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ (รวมถึงงานแต่งงานแบบตะวันตก [[วันวาเลนไทน์]] และ[[คริสต์มาส]]) ได้กลายเป็นที่นิยมในฐานะธรรมเนียมปฏิบัติทางโลกในหมู่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก<ref>https://www.bunka.go.jp/tokei_hakusho_shuppan/hakusho_nenjihokokusho/shukyo_nenkan/pdf/r01nenkan.pdf#page=49</ref><ref>Kato, Mariko (February 24, 2009). "Christianity's long history in the margins". ''The Japan Times''.</ref> |
||
บรรทัด 390: | บรรทัด 392: | ||
ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้[[ภาษาญี่ปุ่น]]เป็น[[ภาษาแม่|ภาษาทางการ]]<ref>[https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html#People The World Factbook; Japan-People] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20181226010157/https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html%20#People |date=2018-12-26 }} CIA (2008)</ref> ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่น[[สำเนียงคันไซ]] โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ<ref>{{cite web |url=http://www.indiana.edu/~japan/digest5.html |archiveurl=https://web.archive.org/web/20060427225148/http://www.indiana.edu/~japan/digest5.html |archivedate=2006-04-27 |title=Japan Digest: Japanese Education |date=2005-09-01 |author=Lucien Ellington |publisher=Indiana University |accessdate=2006-04-27 |url-status=live }}</ref> |
ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้[[ภาษาญี่ปุ่น]]เป็น[[ภาษาแม่|ภาษาทางการ]]<ref>[https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html#People The World Factbook; Japan-People] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20181226010157/https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html%20#People |date=2018-12-26 }} CIA (2008)</ref> ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่น[[สำเนียงคันไซ]] โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ<ref>{{cite web |url=http://www.indiana.edu/~japan/digest5.html |archiveurl=https://web.archive.org/web/20060427225148/http://www.indiana.edu/~japan/digest5.html |archivedate=2006-04-27 |title=Japan Digest: Japanese Education |date=2005-09-01 |author=Lucien Ellington |publisher=Indiana University |accessdate=2006-04-27 |url-status=live }}</ref> |
||
ภาษาเขียนของญี่ปุ่นจะใช้ตัวอักษร[[คันจิ]] ([[อักษรจีน]]) และ[[คานะ]] รวมทั้ง[[อักษรละติน|อักษรโรมัน]]และตัว[[ตัวเลขอาหรับ|เลขอารบิก]]<ref>http://web.mit.edu/jpnet/articles/JapaneseLanguage.html</ref> การสอนภาษาอังกฤษมีผลบังคับใช้ในทุกโรงเรียนประถมศึกษาของญี่ปุ่นในปี 2563<ref>https://www.japantimes.co.jp/opinion/2020/01/21/commentary/japan-commentary/japan-going-wrong-way-english-education-reform/</ref> นอกจากภาษาญี่ปุ่น ภาษาริวกิว (อามามิ คุนิงามิ โอะกินะวะ มิยาโกะ ยาเอยามะ โยนากุนิ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษาญี่ปุ่นยังถูกพูดในกลุ่มหมู่เกาะริวกิวอีกด้วย แม้มีเด็กไม่กี่คนที่ได้เรียนรู้ภาษาเหล่านี้ แต่รัฐบาลท้องถิ่นพยายามเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาษาดั้งเดิม<ref> |
ภาษาเขียนของญี่ปุ่นจะใช้ตัวอักษร[[คันจิ]] ([[อักษรจีน]]) และ[[คานะ]] รวมทั้ง[[อักษรละติน|อักษรโรมัน]]และตัว[[ตัวเลขอาหรับ|เลขอารบิก]]<ref>{{Cite web|title=The Japanese Language|url=http://web.mit.edu/jpnet/articles/JapaneseLanguage.html|website=web.mit.edu}}</ref> การสอนภาษาอังกฤษมีผลบังคับใช้ในทุกโรงเรียนประถมศึกษาของญี่ปุ่นในปี 2563<ref>{{Cite web|last=Sawa|first=Takamitsu|date=2020-01-21|title=Japan going the wrong way in English-education reform|url=https://www.japantimes.co.jp/opinion/2020/01/21/commentary/japan-commentary/japan-going-wrong-way-english-education-reform/|website=The Japan Times|language=en-US}}</ref> นอกจากภาษาญี่ปุ่น ภาษาริวกิว (อามามิ คุนิงามิ โอะกินะวะ มิยาโกะ ยาเอยามะ โยนากุนิ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษาญี่ปุ่นยังถูกพูดในกลุ่มหมู่เกาะริวกิวอีกด้วย แม้มีเด็กไม่กี่คนที่ได้เรียนรู้ภาษาเหล่านี้ แต่รัฐบาลท้องถิ่นพยายามเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาษาดั้งเดิม<ref>{{Cite book|url=https://www.worldcat.org/oclc/952246912|title=Self-determinable Development of Small Islands|date=2016|others=Masahide Ishihara, Eiichi Hoshino, Yōko Fujita|isbn=978-981-10-0132-1|location=Singapore|oclc=952246912}}</ref> ปัญหาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ การตายของ[[ภาษาไอนุ]] ซึ่งเป็นภาษาที่แยกออกมาต่างหากโดยเหลือเจ้าของภาษาเพียงไม่กี่คนในปี 2557<ref>{{Cite book|url=https://www.worldcat.org/oclc/871305374|title=The Oxford handbook of the archaeology and anthropology of hunter-gatherers|date=2014|others=Vicki Cummings, Peter Jordan, Marek Zvelebil|isbn=978-0-19-955122-4|edition=First edition|location=Oxford|oclc=871305374}}</ref> |
||
</ref> ปัญหาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ การตายของ[[ภาษาไอนุ]] ซึ่งเป็นภาษาที่แยกออกมาต่างหากโดยเหลือเจ้าของภาษาเพียงไม่กี่คนในปี 2557<ref>Fujita-Round, Sachiyo; Maher, John (2017). "Language Policy and Education in Japan". In McCarty, T; May, S (eds.). ''Language Policy and Political Issues in Education''. Springer. pp. 1–15. doi:10.1007/978-3-319-02320-5_36-2. ISBN <bdi>978-3-319-02320-5</bdi>.</ref> |
|||
=== การศึกษา === |
=== การศึกษา === |
||
บรรทัด 404: | บรรทัด 404: | ||
คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูง<ref>{{cite book|last1=Britnell|first1=Mark|title=In Search of the Perfect Health System|date=2015|publisher=Palgrave|location=London|isbn=978-1-137-49661-4|page=5}}</ref> และอัตราการตายของทารกที่ต่ำ รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น<ref>{{cite web |url=http://www.sia.go.jp/e/ss.html|title=Overview of the Social Insurance Systems|publisher=Social Insurance Agency|accessdate=2008-11-23}}</ref> ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ<ref>{{cite web |url=http://www.ipss.go.jp/s-info/e/Jasos/Health.html |title=Health Insurance: General Characteristics |publisher=National Institute of Population and Social Security Research |accessdate=2007-03-28}}</ref> ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516<ref>{{cite web |url=http://www.nyu.edu/projects/rodwin/lessons.html |author=Victor Rodwin|title=Health Care in Japan |publisher=New York University |accessdate=2007-03-10}}</ref> แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป<ref>{{Cite book|title=Democracy in Occupied Japan: The U.S. Occupation and Japanese Politics and Society|editor1=Mark E. Caprio|editor2=Yoneyuki Sugita|publisher=Routledge|date=2009-10-13|isbn=978-0415415897|pages=172}}</ref> |
คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูง<ref>{{cite book|last1=Britnell|first1=Mark|title=In Search of the Perfect Health System|date=2015|publisher=Palgrave|location=London|isbn=978-1-137-49661-4|page=5}}</ref> และอัตราการตายของทารกที่ต่ำ รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น<ref>{{cite web |url=http://www.sia.go.jp/e/ss.html|title=Overview of the Social Insurance Systems|publisher=Social Insurance Agency|accessdate=2008-11-23}}</ref> ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ<ref>{{cite web |url=http://www.ipss.go.jp/s-info/e/Jasos/Health.html |title=Health Insurance: General Characteristics |publisher=National Institute of Population and Social Security Research |accessdate=2007-03-28}}</ref> ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516<ref>{{cite web |url=http://www.nyu.edu/projects/rodwin/lessons.html |author=Victor Rodwin|title=Health Care in Japan |publisher=New York University |accessdate=2007-03-10}}</ref> แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป<ref>{{Cite book|title=Democracy in Occupied Japan: The U.S. Occupation and Japanese Politics and Society|editor1=Mark E. Caprio|editor2=Yoneyuki Sugita|publisher=Routledge|date=2009-10-13|isbn=978-0415415897|pages=172}}</ref> |
||
ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก<ref>https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/pcn.12428</ref> และปัญหาสำคัญอีกประการคือ[[การสูบบุหรี่]]ในเพศชาย<ref>https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5623034/</ref> ประชากรญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำที่สุดในกลุ่ม OECD และมีภาวะสมองเสื่อมต่ำที่สุดในบรรดา[[ประเทศพัฒนาแล้ว|ประเทศที่พัฒนาแล้ว]]<ref> |
ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก<ref>{{Cite journal|last=Russell|first=Roxanne|last2=Metraux|first2=Daniel|last3=Tohen|first3=Mauricio|date=2017|title=Cultural influences on suicide in Japan|url=https://onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/pcn.12428|journal=Psychiatry and Clinical Neurosciences|language=en|volume=71|issue=1|pages=2–5|doi=10.1111/pcn.12428|issn=1440-1819}}</ref> และปัญหาสำคัญอีกประการคือ[[การสูบบุหรี่]]ในเพศชาย<ref>{{Cite journal|last=Akter|first=Shamima|last2=Goto|first2=Atsushi|last3=Mizoue|first3=Tetsuya|date=2017-07-14|title=Smoking and the risk of type 2 diabetes in Japan: A systematic review and meta-analysis|url=https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5623034/|journal=Journal of Epidemiology|volume=27|issue=12|pages=553–561|doi=10.1016/j.je.2016.12.017|issn=0917-5040|pmc=5623034|pmid=28716381}}</ref> ประชากรญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำที่สุดในกลุ่ม OECD และมีภาวะสมองเสื่อมต่ำที่สุดในบรรดา[[ประเทศพัฒนาแล้ว|ประเทศที่พัฒนาแล้ว]]<ref>{{Cite book|last=Britnell|first=Mark|url=https://www.worldcat.org/oclc/913844346|title=In search of the perfect health system|date=2015|isbn=978-1-137-49661-4|location=London|oclc=913844346}}</ref> |
||
== วัฒนธรรม == |
== วัฒนธรรม == |
||
[[วัฒนธรรม]]ญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรม[[ยุคโจมง]]ซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก[[เอเชีย]] [[ยุโรป]] และ[[อเมริกาเหนือ]] ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น [[อิเกะบะนะ]] (การจัดดอกไม้) [[โอะริงะมิ]] [[อุกิโยะ-เอะ]]<ref name="woa1">{{cite web |url=http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/culture.html|title=Japanese Culture|publisher=Windows on Asia |accessdate=2008-11-17 |archive-url=https://web.archive.org/web/20090202175241/http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/culture.html |archive-date=2009-02-02}}</ref> [[ตุ๊กตาญี่ปุ่น|ตุ๊กตา]] [[เครื่องเคลือบ]] [[เครื่องปั้นดินเผา]] การแสดง เช่น [[คะบุกิ]] [[โน]] บุนระกุ<ref name=woa1/> [[ระกุโงะ]] และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น [[ซะโด|พิธีชงชา]] [[บุโด|ศิลปการต่อสู้]] [[สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น|สถาปัตยกรรม]] [[สวนญี่ปุ่น|การจัดสวน]] [[คะตะนะ|ดาบ]] และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์[[มังงะ]]หรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น<ref>{{cite web |url=http://www.dnp.co.jp/museum/nmp/nmp_i/articles/manga/manga1.html |title= A History of Manga |publisher=NMP International |accessdate=2007-03-27 |archive-url=https://web.archive.org/web/20120905163434/http://www.dnp.co.jp/museum/nmp/nmp_i/articles/manga/manga1.html |archive-date=2012-09-05}}</ref> [[แอนิเมชัน]]ที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า [[อนิเมะ]] วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523<ref>{{cite web |url=http://uk.gamespot.com/gamespot/features/video/hov/index.html |title= The History of Video Games |author= Leonard Herman, Jer Horwitz, Steve Kent, and Skyler Miller|publisher=[[Gamespot]] |accessdate=2007-04-01}}</ref> ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ญี่ปุ่นมี[[แหล่งมรดกโลก]]ที่รับรองโดย[[ยูเนสโก]] 22 แห่ง กว่า 18 แห่งเป็น[[มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม|มรดกทางวัฒนธรรม]]<ref>https://whc.unesco.org/en/statesparties/jp</ref> |
[[วัฒนธรรม]]ญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรม[[ยุคโจมง]]ซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก[[เอเชีย]] [[ยุโรป]] และ[[อเมริกาเหนือ]] ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น [[อิเกะบะนะ]] (การจัดดอกไม้) [[โอะริงะมิ]] [[อุกิโยะ-เอะ]]<ref name="woa1">{{cite web |url=http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/culture.html|title=Japanese Culture|publisher=Windows on Asia |accessdate=2008-11-17 |archive-url=https://web.archive.org/web/20090202175241/http://www.asianstudies.msu.edu/wbwoa/eastasia/Japan/culture.html |archive-date=2009-02-02}}</ref> [[ตุ๊กตาญี่ปุ่น|ตุ๊กตา]] [[เครื่องเคลือบ]] [[เครื่องปั้นดินเผา]] การแสดง เช่น [[คะบุกิ]] [[โน]] บุนระกุ<ref name=woa1/> [[ระกุโงะ]] และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น [[ซะโด|พิธีชงชา]] [[บุโด|ศิลปการต่อสู้]] [[สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น|สถาปัตยกรรม]] [[สวนญี่ปุ่น|การจัดสวน]] [[คะตะนะ|ดาบ]] และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์[[มังงะ]]หรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น<ref>{{cite web |url=http://www.dnp.co.jp/museum/nmp/nmp_i/articles/manga/manga1.html |title= A History of Manga |publisher=NMP International |accessdate=2007-03-27 |archive-url=https://web.archive.org/web/20120905163434/http://www.dnp.co.jp/museum/nmp/nmp_i/articles/manga/manga1.html |archive-date=2012-09-05}}</ref> [[แอนิเมชัน]]ที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า [[อนิเมะ]] วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523<ref>{{cite web |url=http://uk.gamespot.com/gamespot/features/video/hov/index.html |title= The History of Video Games |author= Leonard Herman, Jer Horwitz, Steve Kent, and Skyler Miller|publisher=[[Gamespot]] |accessdate=2007-04-01}}</ref> ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ญี่ปุ่นมี[[แหล่งมรดกโลก]]ที่รับรองโดย[[ยูเนสโก]] 22 แห่ง กว่า 18 แห่งเป็น[[มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม|มรดกทางวัฒนธรรม]]<ref>{{Cite web|last=Centre|first=UNESCO World Heritage|title=Japan|url=https://whc.unesco.org/en/statesparties/jp|website=UNESCO World Heritage Centre|language=en}}</ref> |
||
=== ดนตรี === |
=== ดนตรี === |
||
บรรทัด 422: | บรรทัด 422: | ||
=== ศิลปะ และสถาปัตยกรรม === |
=== ศิลปะ และสถาปัตยกรรม === |
||
[[ไฟล์:L'entrée du palais Ninomaru (Château de Nijo, Kyoto) (41286152260).jpg|thumb|left|สถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์]] |
[[ไฟล์:L'entrée du palais Ninomaru (Château de Nijo, Kyoto) (41286152260).jpg|thumb|left|สถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์]] |
||
ศิลปะญี่ปุ่น ได้แก่ ภาพวาดการประดิษฐ์ตัวอักษรสถาปัตยกรรมเครื่องปั้นดินเผาประติมากรรมและทัศนศิลป์อื่น ๆ ที่ผลิตในญี่ปุ่นตั้งแต่ประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ญี่ปุ่นมีประเพณีศิลปะที่ยาวนานและแตกต่างกันไป แต่มีจุดเด่นในด้านเครื่องเคลือบซึ่งมีการทำเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกและสำหรับภาพวาดที่ปรากฏตามสิ่งของเครื่องใช้หรือที่เรียกว่า ''fusuma'' (ประตูบานเลื่อน หรือผนัง); นอกจากนี้ การประดิษฐ์ตัวอักษร และภาพพิมพ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ''ภาพอุกิโยะ'' (“ภาพของโลกลอย”); สถาปัตยกรรมโครงไม้, หยกแกะสลัก, สิ่งทอ และงานโลหะ ก็เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนวัฒนธรรมของประเทศ<ref>https://books.google.co.th/books?id=MIBNXScRj3QC&redir_esc=y</ref> |
ศิลปะญี่ปุ่น ได้แก่ ภาพวาดการประดิษฐ์ตัวอักษรสถาปัตยกรรมเครื่องปั้นดินเผาประติมากรรมและทัศนศิลป์อื่น ๆ ที่ผลิตในญี่ปุ่นตั้งแต่ประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ญี่ปุ่นมีประเพณีศิลปะที่ยาวนานและแตกต่างกันไป แต่มีจุดเด่นในด้านเครื่องเคลือบซึ่งมีการทำเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกและสำหรับภาพวาดที่ปรากฏตามสิ่งของเครื่องใช้หรือที่เรียกว่า ''fusuma'' (ประตูบานเลื่อน หรือผนัง); นอกจากนี้ การประดิษฐ์ตัวอักษร และภาพพิมพ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ''ภาพอุกิโยะ'' (“ภาพของโลกลอย”); สถาปัตยกรรมโครงไม้, หยกแกะสลัก, สิ่งทอ และงานโลหะ ก็เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนวัฒนธรรมของประเทศ<ref>{{Cite book|last=Arrowsmith|first=Rupert Richard|url=https://books.google.co.th/books?id=MIBNXScRj3QC&redir_esc=y|title=Modernism and the Museum: Asian, African, and Pacific Art and the London Avant-Garde|date=2010-11-25|publisher=OUP Oxford|isbn=978-0-19-959369-9|language=en}}</ref> |
||
สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเป็นการผสมผสานระหว่างอิทธิพลในท้องถิ่นและอิทธิพลอื่น ๆ ตามประเพณีนิยม โดยใช้โครงสร้างไม้หรือปูนฉาบยกสูงจากพื้นเล็กน้อย มีหลังคามุงกระเบื้องหรือมุงจาก ศาลเจ้าแห่งอิเสะได้รับการยอมรับในฐานะต้นแบบของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมและอาคารวัดหลายแห่งมีการใช้เสื่อทาทามิและประตูบานเลื่อนเป็นเอกลักษร์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้รวมเอาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันในการก่อสร้างและการออกแบบ กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถาปนิกชาวญี่ปุ่นได้สร้างความประทับใจให้กับเวทีระดับนานาชาติ ด้วยผลงานของสถาปนิกอย่าง เคนโซะ ทังเงะ<ref>Inagaki, Aizo (2003). "Japan". ''Oxford Art Online''. Modern: Meiji and after. doi:10.1093/gao/9781884446054.article.T043440. ISBN <bdi>978-1-884446-05-4</bdi>.</ref> |
สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเป็นการผสมผสานระหว่างอิทธิพลในท้องถิ่นและอิทธิพลอื่น ๆ ตามประเพณีนิยม โดยใช้โครงสร้างไม้หรือปูนฉาบยกสูงจากพื้นเล็กน้อย มีหลังคามุงกระเบื้องหรือมุงจาก ศาลเจ้าแห่งอิเสะได้รับการยอมรับในฐานะต้นแบบของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมและอาคารวัดหลายแห่งมีการใช้เสื่อทาทามิและประตูบานเลื่อนเป็นเอกลักษร์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้รวมเอาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันในการก่อสร้างและการออกแบบ กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถาปนิกชาวญี่ปุ่นได้สร้างความประทับใจให้กับเวทีระดับนานาชาติ ด้วยผลงานของสถาปนิกอย่าง เคนโซะ ทังเงะ<ref>Inagaki, Aizo (2003). "Japan". ''Oxford Art Online''. Modern: Meiji and after. doi:10.1093/gao/9781884446054.article.T043440. ISBN <bdi>978-1-884446-05-4</bdi>.</ref> |
||
บรรทัด 435: | บรรทัด 435: | ||
[[เบสบอลอาชีพญี่ปุ่น|การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่น]]เริ่มต้นขึ้นในปี 2479<ref>{{cite book |author1=Nagata, Yoichi |author2=Holway, John B. |editor=Pete Palmer |title=Total Baseball |edition=fourth |year=1995 |publisher=Viking Press |location=New York |pages=547 |chapter=Japanese Baseball}}</ref> มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบัน[[เบสบอล]]เป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง<ref name="websport" /> นอกจากนี้ [[การแข่งขันเบสบอลมัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น]] หรือที่รู้จักกันในชื่อ "โคชิเอ็ง" (甲子園) ถือเป็นการแข่งขันเบสบอลที่ได้รับความนิยมมาก การแข่งขันขึ้นตรงต่อ[[สมาพันธ์เบสบอลมัธยมปลายญี่ปุ่น]] ซึ่งแยกตัวเป็นเอกเทศจาก[[สมาพันธ์กีฬามัธยมปลายญี่ปุ่น]] จึงทำให้โคชิเอ็งฤดูร้อน ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของ[[การแข่งขันกีฬามัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น]] นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ [[อิจิโร ซุซุกิ]], [[ฮิเดะกิ มะสึอิ]] <ref name="lit&sport" /> และ[[โชเฮ โอตานิ]] |
[[เบสบอลอาชีพญี่ปุ่น|การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่น]]เริ่มต้นขึ้นในปี 2479<ref>{{cite book |author1=Nagata, Yoichi |author2=Holway, John B. |editor=Pete Palmer |title=Total Baseball |edition=fourth |year=1995 |publisher=Viking Press |location=New York |pages=547 |chapter=Japanese Baseball}}</ref> มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบัน[[เบสบอล]]เป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง<ref name="websport" /> นอกจากนี้ [[การแข่งขันเบสบอลมัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น]] หรือที่รู้จักกันในชื่อ "โคชิเอ็ง" (甲子園) ถือเป็นการแข่งขันเบสบอลที่ได้รับความนิยมมาก การแข่งขันขึ้นตรงต่อ[[สมาพันธ์เบสบอลมัธยมปลายญี่ปุ่น]] ซึ่งแยกตัวเป็นเอกเทศจาก[[สมาพันธ์กีฬามัธยมปลายญี่ปุ่น]] จึงทำให้โคชิเอ็งฤดูร้อน ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของ[[การแข่งขันกีฬามัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น]] นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ [[อิจิโร ซุซุกิ]], [[ฮิเดะกิ มะสึอิ]] <ref name="lit&sport" /> และ[[โชเฮ โอตานิ]] |
||
ตั้งแต่มีการก่อตั้ง[[เจลีก|ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น]]ในปี 2535 [[ฟุตบอล]]ในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น<ref>{{cite web |url=http://www.tjf.or.jp/takarabako/PDF/TB09_JCN.pdf |title= Soccer as a Popular Sport: Putting Down Roots in Japan |publisher= The Japan Forum |format = [[PDF]] | accessdate=2007-04-01}}</ref> ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัด[[ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก]] ตั้งแต่ปี 2524–2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับ[[เกาหลีใต้]]ในการแข่ง[[ฟุตบอลโลก 2002]] ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย ชนะเลิศ[[เอเชียนคัพ]] 4 ครั้งซึ่งเป็นสถิติสูงสุด และเข้าร่วม[[ฟุตบอลโลก]]รอบสุดท้าย 6 ครั้ง โดยเข้าร่วมทุกครั้งตั้งแต่[[ฟุตบอลโลก 1998]]<ref> |
ตั้งแต่มีการก่อตั้ง[[เจลีก|ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น]]ในปี 2535 [[ฟุตบอล]]ในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น<ref>{{cite web |url=http://www.tjf.or.jp/takarabako/PDF/TB09_JCN.pdf |title= Soccer as a Popular Sport: Putting Down Roots in Japan |publisher= The Japan Forum |format = [[PDF]] | accessdate=2007-04-01}}</ref> ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัด[[ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก]] ตั้งแต่ปี 2524–2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับ[[เกาหลีใต้]]ในการแข่ง[[ฟุตบอลโลก 2002]] ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย ชนะเลิศ[[เอเชียนคัพ]] 4 ครั้งซึ่งเป็นสถิติสูงสุด และเข้าร่วม[[ฟุตบอลโลก]]รอบสุดท้าย 6 ครั้ง โดยเข้าร่วมทุกครั้งตั้งแต่[[ฟุตบอลโลก 1998]]<ref>{{Cite web|date=2011-01-29|title=Australia 0-1 Japan {{!}} Asian Cup final match report|url=http://www.theguardian.com/football/2011/jan/29/japan-fourth-asian-cup-australia|website=the Guardian|language=en}}</ref> และทีมฟุตบอลหญิงของญี่ปุ่นยังชนะเลิศ[[ฟุตบอลโลกหญิง 2011]]<ref>{{Cite web|date=2011-07-18|title=FIFA.com - FIFA Women's World Cup: Japan - USA|url=https://web.archive.org/web/20110718121005/http://www.fifa.com/womensworldcup/matches/round=255989/match=300144437/summary.html|website=web.archive.org}}</ref> ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นยังได้รับการยกย่องว่าเป็นลีกที่มาตรฐานสูงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก |
||
ในวงการ[[กีฬาท้าความเร็ว|มอเตอร์สปอร์ต]] ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จสูง โดยเป็นตัวแทนรถในการชนะการแข่งขันระดับโลก เช่น [[ฟอร์มูลาวัน]], [[กรังด์ปรีซ์มอเตอร์ไซค์เคิลเรซซิง]], [[เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ]] และอีกมากมาย<ref>https://www.motogp.com/en/news/2017/10/11/japanese-industry-in-motogp/241690</ref><ref>https://www.wrc.com/en/more/wrc-history/group-a/</ref><ref>https://www.statsf1.com/en/moteur-honda.aspx</ref> นักแข่งรถชาวญี่ปุ่นยังประสบความสำเร็จในรายการนานาชาติ เช่น ฟอร์มูลาวัน และ [[24 ชั่วโมง เลอม็อง]] โดยมี[[ซูเปอร์จีที]]เป็นการแข่งชันระดับชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น |
ในวงการ[[กีฬาท้าความเร็ว|มอเตอร์สปอร์ต]] ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จสูง โดยเป็นตัวแทนรถในการชนะการแข่งขันระดับโลก เช่น [[ฟอร์มูลาวัน]], [[กรังด์ปรีซ์มอเตอร์ไซค์เคิลเรซซิง]], [[เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ]] และอีกมากมาย<ref>{{Cite web|last=Sports|first=Dorna|title=Japanese industry in MotoGP™|url=https://www.motogp.com/en/news/2017/10/11/japanese-industry-in-motogp/241690|website=www.motogp.com|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|title=WRC - World Rally Championship|url=https://www.wrc.com/en/more/wrc-history/group-a/|website=WRC - World Rally Championship|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|title=Engine Honda • STATS F1|url=https://www.statsf1.com/en/moteur-honda.aspx|website=www.statsf1.com}}</ref> นักแข่งรถชาวญี่ปุ่นยังประสบความสำเร็จในรายการนานาชาติ เช่น ฟอร์มูลาวัน และ [[24 ชั่วโมง เลอม็อง]] โดยมี[[ซูเปอร์จีที]]เป็นการแข่งชันระดับชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น |
||
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ[[โอลิมปิกฤดูร้อน]]ที่[[โตเกียว]]ในปี 2507 และ[[โอลิมปิกฤดูหนาว]]ที่[[ซัปโปโระ |
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ[[โอลิมปิกฤดูร้อน]]ที่[[โตเกียว]]ในปี 2507 และ[[โอลิมปิกฤดูหนาว]]ที่[[ซัปโปโระ]]ในปี 2515 และ[[นางาโนะ (เมือง)|นางาโนะ]]ในปี 2541<ref>{{Cite web|title=History of Japan's Bids for the Olympic {{!}} JOC - Japanese Olympic Committee|url=https://www.joc.or.jp/english/historyjapan/history_japan_bid.html|website=Japanese Olympic Committee(JOC)|language=ja}}</ref> รวมทั้งเป็นเจ้าภาพการแข่งขันบาสเกตบอลชิงแชมป์โลกปี 2549<ref>http://www.fiba.basketball/pages/eng/fe/06_wcm/</ref> และจะเป็นเจ้าภาพร่วมอีกครั้งในปี 2565<ref>{{Cite web|title=FIBA Basketball World Cup 2023|url=https://www.fiba.basketball/basketballworldcup/2023|website=FIBA.basketball|language=en}}</ref> โตเกียวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬา[[โอลิมปิกฤดูร้อน 2020]] ทำให้เป็นเมืองแรกในเอเชียที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกถึงสองครั้ง ประเทศญี่ปุ่นยังได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการแข่งขัน[[วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก]]ถึงห้าครั้ง มากกว่าประเทศอื่น ๆ<ref>http://www.fivb.org/TheGame/TheGame_WorldChampionships.htm</ref> ญี่ปุ่นยังถือเป็นประเทศสมาคมรักบี้แห่งเอเชียที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน[[รักบี้ชิงแชมป์โลก]]ประจำปี 2563<ref>{{Cite web|title=Rugby in Asia {{!}} History of the Game in Asia|url=https://www.asiarugby.com/about-asia-rugby/history/|website=Asia Rugby|language=en-US}}</ref> นอกจากนี้ [[กอล์ฟ]] และ[[เทนนิส]] ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในหลายทศวรรษที่ผ่านมา<ref>{{Cite web|last=Andrew Clarke|date=2021-07-30|title=10 Most Popular Sports in Japan|url=https://www.uniquejapantours.com/10-most-popular-sports-in-japan/|website=Unique Japan Tours|language=en-US}}</ref><ref>{{Cite web|date=2021-06-10|title=What Are The Most Popular Sports In Japan {{!}} Top 10|url=https://linkjapancareers.net/what-are-the-most-popular-sports-in-japan-top-10/|website=Link Japan Careers|language=en-US}}</ref><ref>{{Cite web|date=2021-03-02|title=In Japan, golf booms as go-to leisure activity during pandemic|url=https://www.japantimes.co.jp/news/2021/03/02/business/japan-golf-pandemic/|website=The Japan Times|language=en-US}}</ref> |
||
=== อาหาร === |
=== อาหาร === |
||
บรรทัด 451: | บรรทัด 451: | ||
=== สื่อ === |
=== สื่อ === |
||
[[ไฟล์:Akihabara_Night.jpg|upright=1.15|thumb|ย่าน[[อากิฮาบาระ]]ของ[[โตเกียว]]เป็นที่นิยมในหมู่แฟนอนิเมะและมังงะ รวมถึงวัฒนธรรม[[โอตากุ]]ในญี่ปุ่น<ref>https://www.japan-guide.com/e/e3003.html</ref>]] |
[[ไฟล์:Akihabara_Night.jpg|upright=1.15|thumb|ย่าน[[อากิฮาบาระ]]ของ[[โตเกียว]]เป็นที่นิยมในหมู่แฟนอนิเมะและมังงะ รวมถึงวัฒนธรรม[[โอตากุ]]ในญี่ปุ่น<ref>https://www.japan-guide.com/e/e3003.html</ref>]] |
||
จากการสำรวจของ[[เอ็นเอชเค]] ในปี 2558 เกี่ยวกับการดูโทรทัศน์ในญี่ปุ่น พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ของคนญี่ปุ่นดูโทรทัศน์ทุกวัน<ref>https://www.nhk.or.jp/bunken/english/reports/pdf/report_16042101.pdf</ref> ละครโทรทัศน์ของญี่ปุ่นได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ รายการยอดนิยมอื่น ๆ อยู่ในประเภทของรายการวาไรตี้ ตลก และรายการข่าว<ref>Iwabuchi, Koichi, ed. (2004). ''Feeling Asian Modernities: Transnational Consumption of Japanese TV Dramas''. Hong Kong University Press. ISBN <bdi>9789622096318</bdi>. JSTOR j.ctt2jc5b9.</ref><ref>https://japantoday.com/category/entertainment/what-are-the-most-popular-japanese-tv-shows</ref> หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายมากที่สุดในโลก ณ ปี 2559 ญี่ปุ่นยังมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก [[ก็อตซิลลา]] ของ[[อิชิโร ฮนดะ]] ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับนานาชาติของญี่ปุ่นและมีการสร้างภาคต่อและภาคแยกมากมาย<ref>Kalat, David (2017). "Introduction". ''A Critical History and Filmography of Toho's Godzilla Series'' (2nd ed.). McFarland.</ref> และเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์<ref>https://www.nypl.org/blog/2014/05/21/godzilla</ref> ภาพยนตร์แอนิเมชั่นและซีรีส์ทางโทรทัศน์ของญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่อ[[อนิเมะ]]ได้รับอิทธิพลจาก[[มังงะ]]ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในฝั่งตะวันตก ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจด้านแอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก |
จากการสำรวจของ[[เอ็นเอชเค]] ในปี 2558 เกี่ยวกับการดูโทรทัศน์ในญี่ปุ่น พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ของคนญี่ปุ่นดูโทรทัศน์ทุกวัน<ref>https://www.nhk.or.jp/bunken/english/reports/pdf/report_16042101.pdf</ref> ละครโทรทัศน์ของญี่ปุ่นได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ รายการยอดนิยมอื่น ๆ อยู่ในประเภทของรายการวาไรตี้ ตลก และรายการข่าว<ref>Iwabuchi, Koichi, ed. (2004). ''Feeling Asian Modernities: Transnational Consumption of Japanese TV Dramas''. Hong Kong University Press. ISBN <bdi>9789622096318</bdi>. JSTOR j.ctt2jc5b9.</ref><ref>{{Cite web|title=What are the most popular Japanese TV shows?|url=https://japantoday.com/category/entertainment/what-are-the-most-popular-japanese-tv-shows|website=Japan Today|language=en}}</ref> หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายมากที่สุดในโลก ณ ปี 2559 ญี่ปุ่นยังมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก [[ก็อตซิลลา]] ของ[[อิชิโร ฮนดะ]] ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับนานาชาติของญี่ปุ่นและมีการสร้างภาคต่อและภาคแยกมากมาย<ref>Kalat, David (2017). "Introduction". ''A Critical History and Filmography of Toho's Godzilla Series'' (2nd ed.). McFarland.</ref> และเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์<ref>{{Cite web|title=Godzilla: Monster, Metaphor, Pop Icon|url=https://www.nypl.org/blog/2014/05/21/godzilla|website=The New York Public Library}}</ref> ภาพยนตร์แอนิเมชั่นและซีรีส์ทางโทรทัศน์ของญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่อ[[อนิเมะ]]ได้รับอิทธิพลจาก[[มังงะ]]ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในฝั่งตะวันตก ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจด้านแอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก |
||
=== วันหยุด === |
=== วันหยุด === |
||
[[ไฟล์:Young ladies at Harajuku.jpg|thumb|วัยรุ่นญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ฉลอง''วันบรรลุนิติภาวะ'' ในโอกาสที่มีอายุครบ 20 ปี (成人の日, ''Seijin no Hi'')<ref>Araiso, Yoshiyuki (1988). ''Currents: 100 essential expressions for understanding changing Japan''. Japan Echo Inc. in cooperation with the Foreign Press Center. p. 150. ISBN <bdi>978-4-915226-03-8</bdi>.</ref>]] |
[[ไฟล์:Young ladies at Harajuku.jpg|thumb|วัยรุ่นญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ฉลอง''วันบรรลุนิติภาวะ'' ในโอกาสที่มีอายุครบ 20 ปี (成人の日, ''Seijin no Hi'')<ref>Araiso, Yoshiyuki (1988). ''Currents: 100 essential expressions for understanding changing Japan''. Japan Echo Inc. in cooperation with the Foreign Press Center. p. 150. ISBN <bdi>978-4-915226-03-8</bdi>.</ref>]] |
||
ประเทศญี่ปุ่นมีวันหยุดประจำชาติอย่างเป็นทางการ 16 วัน วันหยุดราชการในญี่ปุ่นถูกควบคุมโดยกฎหมายวันหยุดนักขัตฤกษ์ ''(国民の祝日に関する法律, Kokumin no Shukujtsu ni Kansuru Hōritsu)'' พ.ศ. 2491 ญี่ปุ่นใช้ระบบ ''Happy Monday'' ซึ่งย้ายวันหยุดประจำชาติจำนวนหนึ่งไปเป็นวันจันทร์เพื่อให้ได้วันหยุดยาว วันหยุดประจำชาติในญี่ปุ่นคือวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม, วันบรรลุนิติภาวะคือวันจันทร์ที่สองของเดือนมกราคม, วันสถาปนาชาติในวันที่ 11 กุมภาพันธ์, วันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิคือ 23 กุมภาพันธ์, วันชุนบุนคือ วันที่ 20 หรือ 21 มีนาคม, วันโชวะคือวันที่ 29 เมษายน, วันรัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม, วันสิ่งแวดล้อม, 4 พฤษภาคม, วันเด็ก 5 พฤษภาคม, วันทะเลตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกรกฎาคม, วันภูเขาตรงกับ 11 สิงหาคมม วันผู้สูงอายุตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกันยายน, เทศกาลฉลองฤดูใบไม้ร่วงคือวันที่ 23 หรือ 24 กันยายน, วันสุขภาพและวันกีฬาคือวันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม, วันวัฒนธรรม 3 พฤศจิกายน และวันขอบคุณพระเจ้าในวันที่ 23 พฤศจิกายน<ref>https://www.nippon.com/en/japan-data/h00738/</ref> |
ประเทศญี่ปุ่นมีวันหยุดประจำชาติอย่างเป็นทางการ 16 วัน วันหยุดราชการในญี่ปุ่นถูกควบคุมโดยกฎหมายวันหยุดนักขัตฤกษ์ ''(国民の祝日に関する法律, Kokumin no Shukujtsu ni Kansuru Hōritsu)'' พ.ศ. 2491 ญี่ปุ่นใช้ระบบ ''Happy Monday'' ซึ่งย้ายวันหยุดประจำชาติจำนวนหนึ่งไปเป็นวันจันทร์เพื่อให้ได้วันหยุดยาว วันหยุดประจำชาติในญี่ปุ่นคือวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม, วันบรรลุนิติภาวะคือวันจันทร์ที่สองของเดือนมกราคม, วันสถาปนาชาติในวันที่ 11 กุมภาพันธ์, วันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิคือ 23 กุมภาพันธ์, วันชุนบุนคือ วันที่ 20 หรือ 21 มีนาคม, วันโชวะคือวันที่ 29 เมษายน, วันรัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม, วันสิ่งแวดล้อม, 4 พฤษภาคม, วันเด็ก 5 พฤษภาคม, วันทะเลตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกรกฎาคม, วันภูเขาตรงกับ 11 สิงหาคมม วันผู้สูงอายุตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกันยายน, เทศกาลฉลองฤดูใบไม้ร่วงคือวันที่ 23 หรือ 24 กันยายน, วันสุขภาพและวันกีฬาคือวันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม, วันวัฒนธรรม 3 พฤศจิกายน และวันขอบคุณพระเจ้าในวันที่ 23 พฤศจิกายน<ref>{{Cite web|date=2020-06-10|title=Japan’s National Holidays in 2021|url=https://www.nippon.com/en/japan-data/h00738/|website=nippon.com|language=en}}</ref> |
||
== ดูเพิ่ม == |
== ดูเพิ่ม == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:56, 5 มกราคม 2565
ประเทศญี่ปุ่น | |
---|---|
ดินแดนญี่ปุ่นอยู่ในสีเขียวเข้ม; ดินแดนที่อ้างสิทธิแต่ไม่ได้ควบคุมอยู่ในสีเขียวอ่อน | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | โตเกียว 35°41′N 139°46′E / 35.683°N 139.767°E |
ภาษาประจำชาติ | ญี่ปุ่น |
เดมะนิม | ชาวญี่ปุ่น |
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ |
จักรพรรดินารูฮิโตะ | |
ฟูมิโอะ คิชิดะ | |
สภานิติบัญญัติ | รัฐสภา |
• สภาสูง | ราชมนตรีสภา |
• สภาล่าง | สภาผู้แทนราษฎร |
ก่อตั้ง | |
11 กุมภาพันธ์ 660 ปีก่อนคริสต์ศักราช | |
29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1890 | |
3 พฤษภาคม ค.ศ. 1947 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 377,975 ตารางกิโลเมตร (145,937 ตารางไมล์)[1] (อันดับที่ 62) |
1.4 (ใน ค.ศ. 2015)[2] | |
ประชากร | |
• 2021 ประมาณ | 125,360,000[3] (อันดับที่ 11) |
• สำมะโนประชากร 2020 | 126,226,568[4] |
334 ต่อตารางกิโลเมตร (865.1 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 24) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2021 (ประมาณ) |
• รวม | 5.586 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 4) |
• ต่อหัว | 44,585 ดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 27) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2021 (ประมาณ) |
• รวม | 5.378 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 3) |
• ต่อหัว | 42,928 ดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 23) |
จีนี (2018) | 33.4[6] ปานกลาง · อันดับที่ 78 |
เอชดีไอ (2019) | 0.919[7] สูงมาก · อันดับที่ 19 |
สกุลเงิน | เยน (¥) |
เขตเวลา | UTC+09:00 (เวลามาตรฐานญี่ปุ่น) |
ขับรถด้าน | ซ้าย |
รหัสโทรศัพท์ | +81 |
รหัส ISO 3166 | JP |
โดเมนบนสุด | .jp |
ญี่ปุ่น | |||||||
ชื่อภาษาญี่ปุ่น | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
คันจิ | 日本国 | ||||||
คีวจิไต | 日本國 | ||||||
ฮิรางานะ | にっぽんこく にほんこく | ||||||
คาตากานะ | ニッポンコク ニホンコク | ||||||
|
ญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本; โรมาจิ: Nihon/Nippon; ทับศัพท์: นิฮง/นิปปง) ชื่ออย่างเป็นทางการ ประเทศญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本国; โรมาจิ: Nihon-koku/Nippon-koku; ทับศัพท์: นิฮงโกกุ/นิปปงโกกุ) เป็นรัฐเอกราชหมู่เกาะในเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกนอกฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เอเชีย ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลีและประเทศจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสค์เป็นเส้นแบ่งแดน
ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า "ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์" จึงมีชื่อเรียกว่า "ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย" ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะกรวยภูเขาไฟสลับชั้นซึ่งมีเกาะประมาณ 6,852 เกาะ ครอบคลุมพื้นที่ 377,975 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณวงแหวนไฟ เกาะที่ใหญ่สุดคือ เกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่แผ่นดินประมาณร้อยละ 97 ของประเทศ และมักเรียกว่าเป็นหมู่เกาะเหย้า (home islands) ประเทศแบ่งเป็น 47 จังหวัดใน 8 ภูมิภาค โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และโอกินาวะเป็นจังหวัดใต้สุด ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมเมืองมากที่สุด[8][9] ด้วยประชากร 127 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 11 ของโลก ประมาณ 14 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว[10] เมืองหลวงของประเทศ และหากนับรวมในเขตมหานครโตเกียวทั้งหมดจะมีประชากรกว่า 38 ล้านคน[11] ซึ่งเป็นมหานครที่มีประชากรมากที่สุดในโลก[12] เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ โยโกฮามะ, โอซากะ, นาโงยะ, ซัปโปโระ, ฟูกูโอกะ, โคเบะ และ เกียวโต
การวิจัยทางโบราณคดีระบุว่ามีมนุษย์อาศัยในญี่ปุ่นปัจจุบันครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกปรากฏในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง ค.ศ. 1868 ญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหารเจ้าขุนมูลนายโชกุนซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธยจักรพรรดิ และการครอบงำของนักรบซะมุไร ประเทศเข้าสู่ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยวอันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติใน ค.ศ. 1853 เมื่อกองเรือสหรัฐบังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ ราชสำนักจักรวรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนใน ค.ศ. 1868 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจากโชชูและซัตสึมะ และมีการสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยานิยมเพิ่มขึ้น สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองปี 2480 ขยายเป็นบางส่วนของสงครามโลกครั้งที่สองในปี 2484 ซึ่งญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในฝ่ายอักษะ ก่อนจะยุติในปี 2488 โดยความพ่ายแพ้ในสงครามแปซิฟิกและการทิ้งระเบิดปรมาณูของฝ่ายสัมพันธมิตรนำไปสู่การยอมจำนนของญี่ปุ่น และตกอยู่ภายใต้การยึดครองเป็นเวลา 7 ปี และมีการตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2490 ซึ่งนำไปสู่เงื่อนไขการธำรงระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐรรมนูญ โดยมีจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐและสภานิติบัญญัติจากการเลือกตั้ง เรียกว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมา[13][14][15]
ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกสหประชาชาติ OECD จี7 จี8 และจี20 และถือเป็นมหาอำนาจ[16][17][18] ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกตามจีดีพีราคาตลาด และอันดับ 4 ของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ และยังเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลก ญี่ปุ่นมีกำลังแรงงานทักษะสูงและถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรมีการศึกษาสูงที่สุดของโลก แม้ประเทศญี่ปุ่นสละสิทธิประกาศสงคราม แต่ยังมีกองทหารสมัยใหม่และมีงบกองทัพมากเป็นอันดับ 8 ของโลก[19] ซึ่งใช้สำหรับป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ ญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีมาตรฐานการครองชีพและดัชนีการพัฒนามนุษย์สูง และเป็นประเทศที่ประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูงที่สุดในโลก และยังเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ มีส่วนสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วัฒนธรรมญี่ปุ่นยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น อาหาร, ศิลปะ, ดนตรี วัฒนธรรมประชานิยม รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ภาพยนตร์, มังงะ, อนิเมะ, และวิดีโอเกม[20][21][22]
ชื่อประเทศ
ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้คันจิตัวเดียวกันคือ 日本 คำว่านิปปง มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า นิฮง จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป
สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本) " ตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13[23][24] ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับราชวงศ์สุยของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน[25] ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ[26]
ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน (อังกฤษ: Japan), ยาพัน (เยอรมัน: Japan), ฌาปง (ฝรั่งเศส: Japon), ฆาปอน (สเปน: Japón) รวมถึงคำว่า ญี่ปุ่น ในภาษาไทย น่าจะมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือแต้จิ๋วที่ออกเสียงว่า "ยิดปุ่น" (ฮกเกี้ยน) หรือ "หยิกปึ้ง" (แต้จิ๋ว) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่า "จีปังกู" แต่ในสำเนียงแมนดารินอ่านว่า รื่อเปิ่นกั๋ว (จีน: 日本国; พินอิน: Rìběn'guó) หรือย่อ ๆ ว่า รื่อเปิ่น (จีน: 日本; พินอิน: Rìběn) [27] ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี ออกเสียงว่า "อิลบน" (เกาหลี: 일본; 日本 Ilbon) [28] และภาษาเวียดนาม ที่ออกเสียงว่า "เหญิ่ตบ๋าน" (เวียดนาม: Nhật Bản, 日本)[29] จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเอง
ภูมิศาสตร์
ประเทศญี่ปุ่นมีเกาะรวม 6,852 เกาะ ทอดตามชายฝั่งแปซิฟิกของเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นรวมทุกเกาะตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 24 องศา และ 46 องศาเหนือ และลองจิจูด 122 องศา และ 146 องศาตะวันออก หมู่เกาะหลักไล่จากเหนือลงใต้ ได้แก่ ฮกไกโด ฮนชู ชิโกกุ และคีวชู หมู่เกาะรีวกีวรวมทั้งเกาะโอกินาวะเรียงกันอยู่ทางใต้ของคีวชู รวมกันมักเรียกว่า กลุ่มเกาะญี่ปุ่น[30]
พื้นที่ประมาณร้อยละ 73 ของประเทศญี่ปุ่นเป็นป่าไม้ ภูเขาและไม่เหมาะกับการใช้ทางการเกษตร อุตสาหกรรม หรือการอยู่อาศัย[31] ด้วยเหตุนี้ เขตอยู่อาศัยได้ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งเป็นหลัก จึงมีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงสุดของโลกประเทศหนึ่ง[32]
เกาะต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟบนวงแหวนไฟแปซิฟิก รอยต่อสามโบะโซะ (Boso Triple Junction) นอกชายฝั่งญี่ปุ่นเป็นรอยต่อสามที่แผ่นอเมริกาเหนือ แผ่นแปซิฟิกและแผ่นทะเลฟิลิปปินบรรจบกัน ประเทศญี่ปุ่นเดิมติดกับชายฝั่งตะวันออกของทวีปยูเรเชีย แต่แผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงดึงประเทศญี่ปุ่นไปทางตะวันออก เปิดทะเลญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 15 ล้านปีก่อน[33]
ประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่ 108 ลูก ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีภูเขาไฟใหม่เกิดขึ้นหลายลูก รวมทั้งโชวะ-ชินซันบนฮกไกโดและเมียวจิน-โชนอกหินบายองเนสในมหาสมุทรแปซิฟิก เกิดแผ่นดินไหวทำลายล้างซึ่งมักทำให้เกิดคลื่นสึนามิตามมาหลายครั้งทุกศตวรรษ[34] แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต พ.ศ. 2466 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน[35] แผ่นดินไหวใหญ่ล่าสุด ได้แก่ แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538 และแผ่นดินไหวในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ซึ่งมีขนาด 9.1 และทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ ดัชนีความเสี่ยงโลกปี 2556 จัดให้ประเทศญี่ปุ่นมีความเสี่ยงภัยธรรมชาติสูงสุดอันดับที่ 15[36]
ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของประเทศญี่ปุ่นเป็นแบบอบอุ่นเป็นหลัก แต่มีความแตกต่างกันมากตั้งแต่เหนือจดใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นหกเขตภูมิอากาศหลัก ได้แก่ ฮกไกโด ทะเลญี่ปุ่น ที่สูงภาคกลาง ทะเลเซโตะใน มหาสมุทรแปซิฟิกและหมู่เกาะรีวกีว
เขตเหนือสุด ฮกไกโด มีภูมิอากาศแบบทวีปชื้นที่มีฤดูหนาวเย็นและยาวนาน และมีฤดูร้อนอุ่นมากถึงเย็น หยาดน้ำฟ้าไม่หนัก แต่หมู่เกาะมักมีกองหิมะลึกในฤดูหนาว ในเขตทะเลญี่ปุ่นตรงชายฝั่งตะวันตกของฮนชู ลมฤดูหนาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือนำให้หิมะตกหนัก ในฤดูร้อน ภูมิภาคนี้เย็นกว่าเขตแปซิฟิก แม้บางครั้งมีอุณหภูมิร้อนจัดเนื่องจากลมเฟิน (foehn) เขตที่สูงภาคกลางเป็นภูมิอากาศแบบทวีปชื้นในแผ่นดินตรงแบบ มีความแตกต่างของอุณหภูมิมากระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาว ตลอดจนมีความแตกต่างระหว่างกลางวันกลางคืนมาก หยาดน้ำฟ้าเบาบาง แม้ฤดูหนาวปกติมีหิมะตก เขตภูเขาชูโงกุและเกาะชิโกกุกั้นทะเลในแผ่นดินเซโตะจากลมตามฤดูกาล ทำให้มีลมฟ้าอากาศไม่รุนแรงตลอดปี ชายฝั่งแปซิฟิกมีลักษณะภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนชื้นซึ่งมีฤดูหนาวไม่รุนแรง มีหิมะตกบางครั้ง และฤดูร้อนที่ร้อนชื้นเนื่องจากลมฤดูกาลจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะรีวกีวมีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน โดยมีฤดูหนาวอบอุ่นและฤดูร้อนร้อน หยาดน้ำฟ้าหนักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฤดูฝน[37]
อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 5.1 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ 25.2 องศาเซลเซียส[38] อุณหภูมิสูงสุดที่เคยวัดได้ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 41.0 องศาเซลเซียส ซึ่งมีบันทึกเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2556[39] ฤดูฝนหลักเริ่มในต้นเดือนพฤษภาคมในโอกินาวะ และแนวฝนจะค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นเหนือจนถึงฮกไกโดในปลายเดือนกรกฎาคม ในฮนชูส่วนใหญ่ ฤดูฝนเริ่มก่อนกลางเดือนมิถุนายนและกินเวลาประมาณหกสัปดาห์ ในปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พายุไต้ฝุ่นมักนำพาฝนตกหนักมา[40]
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ประเทศญี่ปุ่นมีเขตชีวภาพป่าเก้าเขตซึ่งสะท้อนภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีตั้งแต่ป่าใบกว้างชื้นกึ่งเขตร้อนในหมู่เกาะรีวกีวและหมู่เกาะโอะงะซะวะระ จนถึงป่าผสมและใบกว้างเขตอุบอุ่นในเขตภูมิอากาศไม่รุนแรงในหมู่เกาะหลัก จนถึงป่าสนเขาเขตอบอุ่นในส่วนฤดูหนาวหนาวเย็นในเกาะทางเหนือ ประเทศญี่ปุ่นมีสัตว์ป่ากว่า 90,000 ชนิด รวมทั้งหมีสีน้ำตาล ลิงกังญี่ปุ่น ทะนุกิ หนูนาญี่ปุ่นใหญ่ และซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น มีการตั้งเครือข่ายอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่เพื่อคุ้มครองพื้นที่สำคัญของพืชและสัตว์ตลอดจนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์สามสิบเจ็ดแห่ง มีสี่แห่งลงทะเบียนในรายการมรดกโลกของยูเนสโก
สิ่งแวดล้อม
ในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายสิ่งแวดล้อมถูกรัฐบาลและบริษัทอุตสาหกรรมลดความสำคัญ ผลทำให้มีมลภาวะสิ่งแวดล้อมแพร่หลายในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อสนองต่อความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงริเริ่มกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหลายฉบับในปี 2513[41] วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ[42] ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้แก่ มลภาวะทางอากาศในเมือง การจัดการขยะ ยูโทรฟิเคชันน้ำ การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การจัดการเคมีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์[43]
ประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในอันดับที่ 20 ในดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อมปี 2561 ซึ่งวัดความผูกมัดของประเทศต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม[44] ในฐานะเจ้าภาพและผู้ลงนามพิธีสารเกียวโตปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อผูกพันตามสนธิสัญญาในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และใช้วิธีการเพิ่มเติมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ[45] ในปี 2563 รัฐบาลมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 22 แห่ง ภายหลังการปิดกองเรือนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นหลังจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะในปี 2554 ญี่ปุ่นเป็นประเทศปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก[46] รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2593[47] ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ได้แก่ มลพิษทางอากาศในเมือง (NOx, อนุภาคแขวนลอย และสารพิษ) การจัดการของเสีย การทำให้น้ำขาดออกซิเจน การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดการสารเคมี
ประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ
วัฒนธรรมยุคหินเก่าประมาณ 30,000 ปีก่อน ค.ศ. เป็นหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์บนกลุ่มเกาะญี่ปุ่นครั้งแรกเท่าที่ทราบ หลังจากนั้นเป็นยุคโจมงเมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน ค.ศ. ที่มีวัฒนธรรมนักล่าสัตว์หาของป่ากึ่งอยู่กับที่ยุคหินกลางถึงยุคหินใหม่ ซึ่งมีลักษณะโดยการอาศัยอยู่ในหลุมและเกษตรกรรมเรียบง่าย[48] รวมทั้งบรรพบุรุษของชาวไอนุและชาวยะมะโตะร่วมสมัยด้วย[49][50] เครื่องดินเผาตกแต่งจากยุคนี้ยังเป็นตัวอย่างเครื่องดินเผาเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังเหลือรอดในโลกด้วย ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ. ชาวยะโยะอิเริ่มเข้าสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น ผสมผสานกับโจมอน[51] ยุคยะโยะอิซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. มีการริเริ่มการปฏิวัติอย่างการทำนาข้าวเปียก[52] เครื่องดินเผาแบบใหม่[53] และโลหะวิทยาที่รับมาจากจีนและเกาหลี[54]
ญี่ปุ่นปรากฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษรในฮั่นซู (บันทึกประวัติศาสตร์ฮั่น) ของจีน[55] ตามบันทึกสามก๊ก ราชอาณาจักรทรงอำนาจที่สุดในกลุ่มเกาะญี่ปุ่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 เรียก ยะมะไตโกะกุ มีกาเผยแผ่ศาสนาพุทธ เข้าประเทศญี่ปุ่นจากอาณาจักรแพ็กเจ (เกาหลีปัจจุบัน) และได้รับอุปถัมภ์โดยเจ้าชายโชโตะกุ และการพัฒนาศาสนาพุทธญี่ปุ่นในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก[56] แม้มีการต่อต้านในช่วงแรก แต่ศาสนาพุทธได้รับการส่งเสริมจากชนชั้นปกครองและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้นยุคอะซุกะ (ค.ศ. 592–710)[57]
ยุคนาระ (พ.ศ. 1253–1337) มีการกำเนิดรัฐญี่ปุ่นแบบรวมอำนาจปกครองโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักจักรพรรดิในเฮโจเกียว (จังหวัดนาระปัจจุบัน) ยุคนาระเริ่มมีวรรณคดีตลอดจนการพัฒนาศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ[58] การระบาดของโรคฝีดาษในปี พ.ศ. 1278–1280 เชื่อว่าฆ่าประชากรญี่ปุ่นไปมากถึงหนึ่งในสาม[59] ใน พ.ศ. 1327 จักรพรรดิคัมมุย้ายเมืองหลวงจากนาระไปนางาโอกะเกียว และเฮอังเกียว (นครเกียวโตปัจจุบัน) ใน พ.ศ. 1337
นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอัง (พ.ศ. 1337–1728) ซึ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นเฉพาะถิ่นชัดเจนกำเนิด โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ศิลปะ กวีและร้อยแก้ว ตำนานเก็นจิของมุราซากิ ชิคิบุ และ "คิมิงะโยะ" เนื้อร้องเพลงชาติประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็มีการเขียนขึ้นในช่วงนี้[60]
ศาสนาพุทธเริ่มแพร่ขยายระหว่างยุคเฮอัง ผ่านสองนิกายหลัก ได้แก่ เท็งไดและชินงน สุขาวดี (โจโดะชู โจโดะชินชู) ได้รับความนิยมมากกว่าในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 11
ยุคเจ้าขุนมูลนาย
ยุคเจ้าขุนมูลนายของญี่ปุ่นมีลักษณะจากการถือกำเนิดและการครอบงำของชนชั้นนักรบซะมุไร ใน พ.ศ. 1728 จักรพรรดิโกะ-โทะบะทรงแต่งตั้งซะมุไร มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ เป็นโชกุน หลังพิชิตตระกูลไทระในสงครามเก็มเป โยะริโตะโมะตั้งฐานอำนาจในคะมะกุระ หลังเขาเสียชีวิต ตระกูลโฮโจเถลิงอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธสำนักเซนจากจีนในยุคคะมะกุระ (พ.ศ. 1728–1876) และได้รับความนิยมในชนชั้นซะมุไร รัฐบาลโชกุนคะมะกุระขับไล่การบุกครองของมองโกลสองครั้งใน พ.ศ. 1817 และ 1824 แต่สุดท้ายถูกจักรพรรดิโกะ-ไดโงะโค่นล้ม ส่วนจักรพรรดิโกะ-ไดโงะก็ถูกอะชิกะงะ ทะกะอุจิพิชิตอีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 1879
อะชิกะงะ ทะกะอุจิตั้งรัฐบาลโชกุนในมุโระมะชิ จังหวัดเกียวโต เป็นจุดเริ่มต้นของยุคมุโระมะชิ (พ.ศ. 1879–2116) รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะรุ่งเรืองในสมัยของอะชิกะงะ โยะชิมิสึ และวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนศาสนาพุทธแบบเซ็น (ศิลปะมิยะบิ) แพร่กระจาย ต่อมาศิลปะมิยะบิวิวัฒน์เป็นวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ และเจริญจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21–22) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะสมัยต่อมาไม่สามารถควบคุมขุนศึกเจ้าขุนมูลนาย (ไดเมียว) ได้ และเกิดสงครามกลางเมือง (สงครามโอนิน) ใน พ.ศ. 2010 เปิดฉากยุคเซ็งโงะกุ ("รณรัฐ") ยาวนานนับศตวรรษ
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีพ่อค้าและมิชชันนารีคณะเยสุอิตจากประเทศโปรตุเกสเดินทางถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก (การค้านัมบัน) โดยตรง ทำให้โอะดะ โนะบุนะงะได้เทคโนโลยีและอาวุธปืนยุโรปซึ่งเขาใช้พิชิตไดเมียวคนอื่นหลายคน การรวบอำนาจของเขาเริ่มยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2116–2146) หลังโนะบุนะงะถูกอะเกะชิ มิสึฮิเดะลอบฆ่าใน พ.ศ. 2125 โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ผู้สืบทอดของโนะบุนะงะ รวมประเทศใน พ.ศ. 2133 และเปิดฉากบุกครองเกาหลี 2 ครั้งใน พ.ศ. 2135 และ 2140 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หลังฮิเดะโยะชิถึงแก่อสัญกรรม โทะกุงะวะ อิเอะยะซุตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนบุตรของฮิเดะโยะชิและใช้ตำแหน่งให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะซุเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ในยุทธการที่เซะกิงะฮะระใน พ.ศ. 2143 ต่อมาใน พ.ศ. 2146 จักรพรรดิโกะ-โยเซจึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นโชกุน เขาตั้งรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะในเอะโดะ (กรุงโตเกียวปัจจุบัน) รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะออกมาตรการซึ่งรวมบุเกะโชะฮัตโตะเป็นจรรยาบรรณสำหรับควบคุมไดเมียวอัตตาณัติ และนโยบายซะโกะกุ ("ประเทศปิด") ใน พ.ศ. 2182 ซึ่งกินเวลานานสองศตวรรษครึ่งและเป็นยุคเอกภาพทางการเมืองที่เรียก ยุคเอะโดะ (พ.ศ. 2146–2411) การศึกษาศาสตร์ตะวันตก ที่เรียก รังงะกุ ยังคงมีต่อผ่านการติดต่อกับดินแดนแทรกของเนเธอร์แลนด์ที่เดจิมะในนางาซากิ ยุคเอะโดะยังทำให้โคะกุงะกุ ("การศึกษาชาติ") หรือการศึกษาประเทศญี่ปุ่นโดยคนญี่ปุ่น เจริญด้วย
ยุคใหม่
วันที่ 31 มีนาคม 2397 พลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี และ "เรือดำ" แห่งกองทัพเรือสหรัฐบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศต่อโลกภายนอกด้วยสนธิสัญญาคานางาวะ สนธิสัญญาคล้ายกันกับประเทศตะวันตกในยุคบะกุมะสึนำมาซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง การลาออกของโชกุนนำสู่สงครามโบะชิง และการสถาปนารัฐรวมอำนาจปกครองที่เป็นเอกภาพในนามภายใต้จักรพรรดิ (การฟื้นฟูเมจิ)[61]
ประเทศญี่ปุ่นรับสถาบันการเมือง ตุลาการและทหารแบบตะวันตกและอิทธิพลทางวัฒนธรรมตะวันตกรวมเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมขปงะเรทศสำหรับการกลายเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยผ่านกระบวนการกลายเป็นตะวันตกระหว่างการฟื้นฟูเมจิในปี 2411 คณะรัฐมนตรีจัดตั้งคณะองคมนตรี ริเริ่มรัฐธรรมนูญเมจิ และเรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การฟื้นฟูเมจิเปลี่ยนจักรวรรดิญี่ปุ่นให้เป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมซึ่งมุ่งใช้ความขัดแย้งทางทหารเพื่อขยายเขตอิทธิพลของตน หลังคว้าชัยในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2437–2438) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2447–2448) ประเทศญี่ปุ่นเข้าควบคุมไต้หวัน เกาหลีและครึ่งใต้ของเกาะซาฮาลิน ประชากรญี่ปุ่นเพิ่มจาก 35 ล้านคนในปี 2416 เป็น 70 ล้านคนในปี 2478
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตในทวีปเอเชียต่อไปอีก ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีช่วง "ประชาธิปไตยไทโช" (พ.ศ. 2455–2469) แต่คริสต์ทศวรรษ 1920 (ประมาณพุทธทศวรรษ 2460) ประชาธิปไตยที่เปราะบางตกอยู่ภายใต้การเลื่อนทางการเมืองสู่ฟาสซิสต์ มีการผ่านกฎหมายปราบปรามการเห็นต่างทางการเมืองและมีความพยายามรัฐประหารหลายครั้ง "ยุคโชวะ" ต่อมาอำนาจของกองทัพเริ่มเพิ่มขึ้นและนำญี่ปุ่นสู่การขยายอาณาเขตและการเสริมสร้างแสนยานุภาพ ตลอดจนเผด็จการเบ็ดเสร็จและลัทธิคลั่งชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ฟาสซิสต์ ในปี 2474 ประเทศญี่ปุ่นบุกครองและยึดครองแมนจูเรีย เมื่อนานาชาติประณามการครอบครองนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ลาออกจากสันนิบาตชาติในปี 2476[62] ในปี 2479 ญี่ปุ่นลงนามกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นกับนาซีเยอรมนี และกติกาสัญญาไตรภาคีในปี 2483 เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ[63] หลังพ่ายในสงครามชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่นที่กินเวลาสั้น ๆ ประเทศญี่ปุ่นเจรจากติกาสัญญาความเป็นกลางโซเวียต–ญี่ปุ่น ซึ่งกินเวลาถึงปี 2488 เมื่อสหภาพโซเวียตบุกครองแมนจูเรีย
ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ สงครามมหาเอเชียบูรพา) ในวันที่ 7 ธันวาคม 2484 โดยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และการยาตราทัพเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจากยุทธนาวีแห่งมิดเวย์ (พ.ศ. 2485) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ (ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม 2488 ตามลำดับ) และการรุกรานของสหภาพโซเวียต (วันที่ 8 สิงหาคม 2488) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน[64] สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งพลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ
ปี 2490 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งเน้นวัตรประชาธิปไตยเสรีนิยม การยึดครองญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกในปี 2499[65] และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499[66] หลังสงคราม ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จนถูกประเทศจีนแซงในปี 2553 แต่การเติบโตดังกล่าวหยุดในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย[67] ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเติบโตทางบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป[68] วันที่ 11 มีนาคม 2554 ประเทศญี่ปุ่นประสบแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ ซึ่งยังส่งผลให้เกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิ[69]
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะทรงสละราชสมบัติซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคเฮเซ สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อ และเป็นการเริ่มต้นยุคเรวะอย่างเป็นทางการ[70]
การเมือง
ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยที่จักรพรรดิมีพระราชอำนาจจำกัด ทรงเป็นประมุขในทางพิธีการ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ทรงเป็น "สัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของประชาชน"[71] นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร ส่วนอำนาจอธิปไตยเป็นของชาวญี่ปุ่น จักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ ฟูมิโอะ คิชิดะ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตั้งอยู่ในชิโยะดะ กรุงโตเกียว สภาฯ ใช้ระบบระบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร (ญี่ปุ่น: 衆議院; โรมาจิ: ชุงิ-อิง) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และ ราชมนตรีสภา (ญี่ปุ่น: 参議院; โรมาจิ: ซังงีง) เป็นสภาสูง มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกราชมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุสิบแปดปีบริบูรณ์เป็นต้นไป[72] พรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น (CDP) ที่เป็นเสรีนิยมสังคม และพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยม (LDP) ที่เป็นอนุรักษนิยมครองสภาฯ LDP ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเกือบตลอดมาตั้งแต่ปี 2498 ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ระหว่างปี 2536 ถึง 37 และระหว่างปี 2552 ถึง 2555
ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากกฎหมายจีนมาแต่อดีต และมีพัฒนาการเป็นเอกเทศในยุคเอะโดะผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น ประชุมราชนีติ (ญี่ปุ่น: 公事方御定書; โรมาจิ: Kujikata Osadamegaki) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษ 2400 เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้ระบบซีวิลลอว์ของยุโรป โดยเฉพาะของฝรั่งเศสและเยอรมนี เป็นต้นแบบ เช่น ในปี 2439 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง (ญี่ปุ่น: 民法; โรมาจิ: Minpō) โดยมีประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันเป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนปัจจุบัน[73] ระบบศาลของญี่ปุ่นแบ่งเป็นสี่ขั้นหลัก คือ ศาลสูงสุดและศาลชั้นล่างสามระดับ ประชุมกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียก หกประมวล (ญี่ปุ่น: 六法; โรมาจิ: Roppō)
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด[74] และแบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหาร
ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเทศบาลย่อย ๆ[75] แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเทศบาลที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเทศบาลลงได้[76] การรวมเขตเทศบาลนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เทศบาลในปี 2542 ให้เหลือ 1,773 เทศบาลในปี 2553[77]
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไป
ฮกไกโด | โทโฮะกุ | คันโต | ชูบุ |
---|---|---|---|
1. ฮกไกโด |
2. อาโอโมริ |
8. อิบารากิ |
15. นีงาตะ |
คันไซ | ชูโงกุ | ชิโกกุ | คีวชูและโอกินาวะ |
24. มิเอะ |
31. ทตโตริ |
40. ฟูกูโอกะ |
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทูตกับเกือบทุกประเทศเอกราชในโลก และเป็นสมาชิกปัจจุบันของสหประชาชาติตั้งแต่เดือนธันวาคม 2499 ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกจี 7, เอเปก และ "อาเซียนบวกสาม" และเข้าร่วมประชุมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงความมั่นคงกับประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคม 2550[78] และกับประเทศอินเดียในเดือนตุลาคม 2551[79] เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการรายใหญ่สุดอันดับห้าของโลก โดยบริจาคเงิน 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2557[80]
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ นับแต่สหรัฐและพันธมิตรพิชิตญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศธำรงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการกลาโหมอย่างใกล้ชิด สหรัฐเป็นตลาดสำคัญของสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นและเป็นแหล่งนำเข้าหลักของญี่ปุ่น และผูกมัดป้องกันประเทศญี่ปุ่น โดยมีฐานทัพในประเทศญี่ปุ่นบางส่วนด้วยเหตุนั้น[81]
ประเทศญี่ปุ่นต่อสู้การควบคุมหมู่เกาะคูริลใต้ (ได้แก่ กลุ่มอิโตะโระฟุ คุนะชิริ ชิโตะคัง และฮะโบะมะอิ) ของประเทศรัสเซีย ซึ่งสหภาพโซเวียตยึดครองในปี 2488 ประเทศญี่ปุ่นรับรู้การยืนยันของประเทศเกาหลีใต้เกี่ยวกับหินลีอังคอร์ท (หรือ "ทะเกะชิมะ" ในภาษาญี่ปุ่น) แต่ไม่ยอมรับ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับประเทศจีนและประเทศไต้หวันเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุ และกับประเทศจีนเหนือสถานภาพของโอะกิโนะโทะริชิมะ
ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ในอดีตมีความตึงเครียดเนื่องจากการปฏิบัติต่อชาวเกาหลีของญี่ปุ่นในช่วงการปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยเฉพาะการใช้ผู้หญิงเป็นที่ระบายทางเพศ[82] ในปี 2558 ญี่ปุ่นออกคำขอโทษอย่างเป็นทางการ และมอบเงินให้กับผู้หญิงทุกคนที่ตกเป็นเหยือความรุนแรงในเหตุการณ์ดังกล่าวที่ยังมีชีวิตอยู่[83] ณ ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าเพลงเกาหลี (K-pop) ละครโทรทัศน์ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สำคัญของเกาหลีใต้[84][85]
การบังคับใช้กฎหมาย
การรักษาความปลอดภัยภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นดูแลโดยกรมตำรวจประจำจังหวัดเป็นหลัก ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[86] ในฐานะที่เป็นหน่วยงานประสานงานกลางของกรมตำรวจประจำจังหวัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติบริหารงานโดยคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ[87] หน่วยจู่โจมพิเศษประกอบด้วยหน่วยยุทธวิธีต่อต้านการก่อการร้ายระดับชาติที่ร่วมมือกับหน่วยต่อต้านอาวุธปืนระดับอาณาเขตและหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของเอ็นบีซี หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่นปกป้องน่านน้ำอาณาเขตรอบ ๆ ญี่ปุ่น และใช้มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการลักลอบนำเข้า อาชญากรรมสิ่งแวดล้อมทางทะเล การรุกล้ำ การละเมิดลิขสิทธิ์ เรือสอดแนม เรือประมงต่างประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาต[88]
กฎหมายควบคุมอาวุธปืนและดาบควบคุมความเป็นเจ้าของปืน ดาบ และอาวุธอื่น ๆ ของพลเรือนอย่างเคร่งครัด[89] ตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ในบรรดาประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติที่รายงานสถิติในปี 2561 อัตราอุบัติการณ์ของอาชญากรรมรุนแรง เช่น การฆาตกรรม การลักพาตัว ความรุนแรงทางเพศ และการโจรกรรมนั้นต่ำมากในญี่ปุ่น[90]
กองทัพ
กองทัพญี่ปุ่นถูกจำกัดสิทธิตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น ซึ่งสละสิทธิของประเทศญี่ปุ่นในการประกาศสงครามและการใช้กำลังทหารในข้อพิพาทระหว่างประเทศ ฉะนั้น กองทัพญี่ปุ่นที่เรียก "กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น" นั้นจึงเป็นกองทัพที่ไม่เคยสู้รบนอกประเทศญี่ปุ่น[91] ประเทศญี่ปุ่นมีงบประมาณทางทหารสูงสุดประเทศหนึ่งในโลก[92] จัดเป็นประเทศเอเชียอันดับสูงสุดในดัชนีสันติภาพโลก[93] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปกครองกองทัพ และส่วนใหญ่ประกอบด้วยกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น ซึ่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นเป็นผู้เข้าร่วมการฝึกซ้อมทางทะเลริมแพ็ก (RIMPAC) เป็นประจำ[94] ล่าสุดมีการใช้กองทัพเพื่อปฏิบัติการรักษาสันติภาพ โดยการวางกำลังในประเทศอิรักเป็นการใช้กองทัพญี่ปุ่นนอกประเทศครั้งแรกนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง[95] สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการห้ามส่งอาวุธออก เพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นสามารถเข้าร่วมโครงการนานาชาติอย่างเครื่องบินขับไล่จู่โจมร่วม (Joint Strike Fighter) ได้[96]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลกอย่างรวดเร็วร่วมกับโลกาภิวัตน์ สิ่งแวดล้อมความมั่นคงรอบประเทศญี่ปุ่นทวีความรุนแรงมากขึ้น อันสังเกตได้จากการพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ภัยคุกคามข้ามชาติซึ่งมีเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมทั้งการก่อการร้ายระหว่างประเทศและการโจมตีไซเบอร์ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ[97] ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้เข้ามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุด ในความพยายามธำรงและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทหารใกล้ชิดกับสหรัฐ พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐ–ญี่ปุ่นเป็นหลักหมุดของนโยบายการต่างประเทศของชาติ[98] นับแต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงเป็นเวลารวม 20 ปี วาระล่าสุดในปี 2552 และ 2553
ในเดือนพฤษภาคม 2557 นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะกล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการสลัดการวางเฉย ที่ธำรงมาตลอดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยุติและรับผิดชอบความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้น เขากล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการมีบทบาทสำคัญและเสนอความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่น[99] ความตึงเครียดล่าสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเกาหลีเหนือได้จุดชนวนการถกเถียงรอบใหม่ เรื่องสถานภาพของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นและความสัมพันธ์กับสังคมญี่ปุ่น[100] แนวทางกองทัพญี่ปุ่นฉบับใหม่ที่มีประกาศในเดือนธันวาคม 2553 จะชี้นำกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นจากความสนใจสมัยสงครามเย็นต่ออดีตสหภาพโซเวียตสู่ประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทดินแดนเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุ[101]
เศรษฐกิจ
โครงสร้าง
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการทำงานที่ดีของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง[102] ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ[103] โดยได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543 [104] สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก[105][106] แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น[107] แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[108]
ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก[109] รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) [109] และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ[110] ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูง และเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี[111]
จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน[112] ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4[112] ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย[113] บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเคดา นินเทนโด นิปปอน สตีล และ เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง[114] ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเคอิมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด[115]
ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเระสึหรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิตและการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน[116] ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท[117] แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้[118][117]
ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6[119] และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6[120]เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ[121][122] ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 190 ประเทศในดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจปี 2562[123] ญี่ปุ่นมีภาคส่วนสหกรณ์ขนาดใหญ่ รวมถึงสหกรณ์ผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดและสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปี 2561 ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่สูงในด้านความสามารถในการแข่งขันและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ อยู่ในอันดับ 6 ในรายงานการแข่งขันระดับโลกสำหรับปี 2558-2559
เกษตรกรรม และประมง
ภาคการเกษตรของญี่ปุ่นมีสัดส่วนประมาณ 1.2% ของจีดีพีทั้งหมด ณ ปี 2561 จากการสำรวจพบว่าที่ดินของญี่ปุ่นเพียง 11.5% เท่านั้นที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเนื่องจากขาดที่ดินทำกิน จึงมีการใช้ระบบระเบียงเพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็ก[124] ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตพืชผลต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุดในโลกโดยมีอัตราการพึ่งตนเองทางการเกษตรประมาณ 50% ณ ปี 2561 ภาคเกษตรกรรมขนาดเล็กของญี่ปุ่นได้รับเงินอุดหนุนและได้รับการคุ้มครองอย่างสูง[125] มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการทำฟาร์มเนื่องจากเกษตรกรมักเป็นผู้สูงวัยและมีความยากลำบากในการหาผู้สืบทอด
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 7 ของโลกในด้านปริมาณปลาที่จับได้คิดเป็น 3,167,610 ตันในปี 2559 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 4,000,000 ตันต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นแหล่งประมงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและคิดเป็นเกือบ 15% ของจำนวนสัตว์น้ำที่จับได้ทั่วโลก[126] ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าการทำประมงของญี่ปุ่นทำให้ปริมาณปลาของโลกลดลง เช่น ปลาทูน่า ญี่ปุ่นยังจุดชนวนความขัดแย้งดังกล่าวด้วยการสนับสนุนการล่าวาฬอย่างถูกกฎหมาย[127]
การท่องเที่ยว
รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญ ๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี
ญี่ปุ่นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 31.9 ล้านคนในปี 2562[128] อยู่ในอันดับที่ 11 ของโลกในปี 2562 ในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า[129] และตามรายงานความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวปี 2560 จัดอันดับญี่ปุ่นเป็นอันดับ 4 จาก 141 ประเทศซึ่งสูงที่สุดในเอเชีย
อุตสาหกรรมการผลิต
ญี่ปุ่นมีศักยภาพทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเป็นที่ตั้งของ "ผู้ผลิตยานยนต์ เครื่องมือกล เหล็กกล้าและโลหะรายใหญ่ที่สุดและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด"[130] ภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นคิดเป็นประมาณ 27.5% ของจีดีพี[131] การส่งออกของประเทศสูงเป็นอันดับสามของโลก ณ ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก ณ ปี 2562 และเป็นที่ตั้งของโตโยต้า บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก[132][133] อีกทั้งยังเป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลก อุตสาหกรรมต่อเรือของญี่ปุ่นเผชิญกับการแข่งขันจากเกาหลีใต้และจีน รัฐบาลออกนโยบายในปี 2563 ตั้งเป้าหมายให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางการส่งออกที่เพิ่มกำไร
วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก[134] ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตรเป็นอันดับ 3 ของโลก[135] ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น และเป็นผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา[136] ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย[137][138] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก[139]
องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติและโมดูลคิโบ มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศใน พ.ศ. 2552[140] นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีโครงการสำคัญมากมายรวมถึงการสำรวจอวกาศ และการสร้างฐานบนดวงจันทร์เพื่อส่งมนุษย์ไปสำรวจและทำภารกิจในปี 2573[141] ยานอวกาซเซลีนี เปิดตัวใน พ.ศ. 2550 ถือเป็นยานอวกาศลำที่สองของญี่ปุ่นที่ส่งขึ้นสู่ดวงจันทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดและวิวัฒนาการของดวงจันทร์[142]
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในชาติผู้นำของโลกในด้านการผลิตหุ่นยนต์ โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 55% ของจำนวนการผลิตทั่วโลก[143] ญี่ปุ่นมีจำนวนนักวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก คิดเป็นสัดส่วน 14 คนต่อพนักงาน 1,000 คน[144] ญี่ปุ่นยังมีตลาดวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลัก สร้างรายได้ให้แก่ประเทศสูงถึง 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในจำนวนนี้เป็นรายได้จากเกมมือถือสูงถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์[145]
โครงสร้างพื้นฐาน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การคมนาคมในประเทศญี่ปุ่น
การคมนาคม
ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่นกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบันที่รถไฟชิงกันเซ็งซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา[146] ทางรถไฟญี่ปุ่น ระยะทางรวมทั้งสิ้น 23,474 กิโลเมตรแบ่งเป็น ราง 1.435 เมตร สำหรับวิ่งรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟใต้ดินหลายเมือง ระยะทาง 2,664 กม รางรถไฟ 1.067 เมตร สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองรถไฟทางใกล ระยะทาง 22,445 กม. ทางด่วนแห่งชาติ ของประเทศญี่ปุ่นมีระยะทางทั้งสิ้น 11,520 กิโลเมตร
การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยม และมีสนามบิน 173 แห่งทั่วประเทศ สนามบินฮาเนดะที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่หนาแน่นที่สุดในเอเชีย[147] สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่สนามบินนาริตะ สนามบินคันไซ และสนามบินนานาชาตินาโงยา แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง[148] สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการ[149] มีสายการบินที่สำคัญได้แก่ เจแปนแอร์ไลน์ ในฐานะสายการบินแห่งชาติ และ ออล นิปปอน แอร์เวย์
พลังงาน
ณ ปี 2560 พลังงาน 39% ในญี่ปุ่นผลิตจากปิโตรเลียม 25% จากถ่านหิน 23% จากก๊าซธรรมชาติ 3.5% จากพลังงานน้ำ และ 1.5% จากพลังงานนิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ลดลงจากร้อยละ 11.2 ในปี 2553 รัฐบาลเคยมีแผนว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2555 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดของประเทศต้องปิดตัว[151] เนื่องจากการคัดค้านของสาธารณชนอย่างต่อเนื่องหลังจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ในเดือนมีนาคม 2554 แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงพยายามโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนให้กลับมาให้บริการ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เซนไดเริ่มเปิดใหม่ในปี 2558 และตั้งแต่นั้นมาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกหลายแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการใหม่[152] ญี่ปุ่นขาดเงินสำรองภายในประเทศจำนวนมากและต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าอย่างหนัก ประเทศจึงมุ่งหวังที่จะกระจายแหล่งที่มาและรักษาระดับพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ[153] และรัฐบาลยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ที่จะยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2570
ความรับผิดชอบต่อพลังงานน้ำและสุขาภิบาลเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการที่รับผิดชอบด้านการจัดหาน้ำสำหรับใช้ในบ้านเรือน, กระทรวงสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบคุณภาพน้ำโดยรอบและรักษาสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารที่รับผิดชอบการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบสาธารณูปโภค การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุงนั้นเป็นสากลในญี่ปุ่น ประมาณ 98% ของประชากรได้รับน้ำประปาจากสาธารณูปโภค และน้ำประปาหลายแห่งในที่สาธารณะสามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย[154]
ประชากร
จากข้อมูลในปี 2563 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 125.7 ล้านคน คนที่ถือสัญชาติญี่ปุ่นมีประมาณ 123 ล้านคน[155] ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่[156] เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุและชาวรีวกีว รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบุระกุ[157] กรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศมีประชากรกว่า 14 ล้านคน (ปี 2564) เป็นส่วนหนึ่งของเขตอภิมหานครโตเกียว ซึ่งเป็นเขตมหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากร 38,140,000 คน (ปี 2559)[158]
ณ ปี 2562 ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 84 ปี[159] จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก[160] โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบีบูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ[161] ประชากรวัยทำงานส่วนมากในปัจจุบันไม่นิยมแต่งงาน และไม่มีบุตร[162][163] จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25)[161] ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด)[164] การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระเงินบำนาญของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น[165] เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับปรับปรุงของญี่ปุ่น เพื่อปกป้องสิทธิของแรงงานต่างชาติเพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางภาคส่วน[166]
จำนวนประชากร
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร และ จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัด
ศาสนา
รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นกำหนดให้ประชาชนมีอิสระในการนับถือศาสนา[167] จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา[168] ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียว
ศาสนาคริสต์เผยแพร่สู่ญี่ปุ่นครั้งแรกโดยสมาชิกนิกายเยซุอิตเริ่มต้นใน พ.ศ. 2092 ในปัจจุบันประชากร 1% ถึง 1.5% เป็นคริสเตียน[169] ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ธรรมเนียมตะวันตกแต่เดิมเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ (รวมถึงงานแต่งงานแบบตะวันตก วันวาเลนไทน์ และคริสต์มาส) ได้กลายเป็นที่นิยมในฐานะธรรมเนียมปฏิบัติทางโลกในหมู่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก[170][171]
กว่า 90% ของผู้นับถือศาสนาอิสลามในญี่ปุ่นเป็นผู้อพยพที่เกิดในต่างประเทศในปี 2559 และในปี 2561 มีมัสยิดประมาณ 105 แห่ง และมุสลิม 200,000 คนในญี่ปุ่น โดย 43,000 คนเป็นชาวญี่ปุ่นโดยสัญชาติ[172] ศาสนาของชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ได้แก่ ฮินดู ยิว และบาไฮ เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องผีของไอนุ
ภาษา
ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการ[173] ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่นสำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ[174]
ภาษาเขียนของญี่ปุ่นจะใช้ตัวอักษรคันจิ (อักษรจีน) และคานะ รวมทั้งอักษรโรมันและตัวเลขอารบิก[175] การสอนภาษาอังกฤษมีผลบังคับใช้ในทุกโรงเรียนประถมศึกษาของญี่ปุ่นในปี 2563[176] นอกจากภาษาญี่ปุ่น ภาษาริวกิว (อามามิ คุนิงามิ โอะกินะวะ มิยาโกะ ยาเอยามะ โยนากุนิ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษาญี่ปุ่นยังถูกพูดในกลุ่มหมู่เกาะริวกิวอีกด้วย แม้มีเด็กไม่กี่คนที่ได้เรียนรู้ภาษาเหล่านี้ แต่รัฐบาลท้องถิ่นพยายามเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาษาดั้งเดิม[177] ปัญหาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ การตายของภาษาไอนุ ซึ่งเป็นภาษาที่แยกออกมาต่างหากโดยเหลือเจ้าของภาษาเพียงไม่กี่คนในปี 2557[178]
การศึกษา
ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเมจิ [179] ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ [180] การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน[181] โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย[182] โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดยโออีซีดี จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก[183] มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ และ มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้น
การรักษาพยาบาล
คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูง[184] และอัตราการตายของทารกที่ต่ำ รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น[185] ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ[186] ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516[187] แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป[188]
ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก[189] และปัญหาสำคัญอีกประการคือการสูบบุหรี่ในเพศชาย[190] ประชากรญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำที่สุดในกลุ่ม OECD และมีภาวะสมองเสื่อมต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว[191]
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมงซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกะบะนะ (การจัดดอกไม้) โอะริงะมิ อุกิโยะ-เอะ[192] ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คะบุกิ โน บุนระกุ[192] ระกุโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้ สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะหรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น[193] แอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า อนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523[194] ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ญี่ปุ่นมีแหล่งมรดกโลกที่รับรองโดยยูเนสโก 22 แห่ง กว่า 18 แห่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม[195]
ดนตรี
ดนตรีญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอกินาวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น บิวะ โคะโตะ ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7[196] และชะมิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอกินาวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21[196] ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก ดนตรีตะวันตกเริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป[197] ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอะซะวะ[198] นักไวโอลิน มิโดะริ โกะโต[199]นักเปียโน อาเอมิ โคบายาชิ มือกลองวงเอ็กซ์เจแปนและนักเปียโน โยชิกิ ฮายาชิ เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟนทั่วไปในญี่ปุ่น[200]
วรรณกรรม
วรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคะจิกิ และ นิฮงโชะกิ[201] และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด[202] ในช่วงต้นของยุคเฮอัง มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คะนะ (ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ) นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น[201] ตำนานเก็นจิ ที่เขียนโดยมุระซะกิ ชิกิบุมักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก[203] ระหว่างยุคเอะโดะ วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ โชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น โยะมิฮง กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น[204] โซเซะกิ นะสึเมะและโองะอิ โมริเป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น[204] ตามมาด้วย ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ, ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ, ยะซุนะริ คะวะบะตะ, มิชิมะ ยุกิโอะ และล่าสุด ฮะรุกิ มุระกะมิ[205] ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ ยะซุนะริ คะวะบะตะ (พ.ศ. 2511) [206] และ เค็นซะบุโร โอเอะ (พ.ศ. 2537) [207]
ปรัชญา
ปรัชญาญี่ปุ่นในอดีตเป็นการหลอมรวมจากวัฒนธรรมต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและตะวันตก และองค์ประกอบญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในรูปแบบวรรณกรรม ปรัชญาญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 1,400 ปีมาแล้ว อุดมคติของขงจื๊อยังคงปรากฏชัดในแนวความคิดของญี่ปุ่นสะท้อนผ่านการใช้ชีวิตในสังคม และในการจัดระบบของรัฐบาลและโครงสร้างของสังคม พุทธศาสนาส่งผลกระทบอย่างมากต่อจิตวิทยา อภิปรัชญา และสุนทรียศาสตร์ของญี่ปุ่น[208]
ศิลปะ และสถาปัตยกรรม
ศิลปะญี่ปุ่น ได้แก่ ภาพวาดการประดิษฐ์ตัวอักษรสถาปัตยกรรมเครื่องปั้นดินเผาประติมากรรมและทัศนศิลป์อื่น ๆ ที่ผลิตในญี่ปุ่นตั้งแต่ประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ญี่ปุ่นมีประเพณีศิลปะที่ยาวนานและแตกต่างกันไป แต่มีจุดเด่นในด้านเครื่องเคลือบซึ่งมีการทำเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกและสำหรับภาพวาดที่ปรากฏตามสิ่งของเครื่องใช้หรือที่เรียกว่า fusuma (ประตูบานเลื่อน หรือผนัง); นอกจากนี้ การประดิษฐ์ตัวอักษร และภาพพิมพ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพอุกิโยะ (“ภาพของโลกลอย”); สถาปัตยกรรมโครงไม้, หยกแกะสลัก, สิ่งทอ และงานโลหะ ก็เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนวัฒนธรรมของประเทศ[209]
สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเป็นการผสมผสานระหว่างอิทธิพลในท้องถิ่นและอิทธิพลอื่น ๆ ตามประเพณีนิยม โดยใช้โครงสร้างไม้หรือปูนฉาบยกสูงจากพื้นเล็กน้อย มีหลังคามุงกระเบื้องหรือมุงจาก ศาลเจ้าแห่งอิเสะได้รับการยอมรับในฐานะต้นแบบของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมและอาคารวัดหลายแห่งมีการใช้เสื่อทาทามิและประตูบานเลื่อนเป็นเอกลักษร์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้รวมเอาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันในการก่อสร้างและการออกแบบ กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถาปนิกชาวญี่ปุ่นได้สร้างความประทับใจให้กับเวทีระดับนานาชาติ ด้วยผลงานของสถาปนิกอย่าง เคนโซะ ทังเงะ[210]
กีฬา
หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา[211] ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น[211]
ซูโม่เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติอันยาวนาน[212] และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น เช่น ยูโด คาราเต้ และเคนโด้ ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากเช่นเดียวกัน
การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นในปี 2479[213] มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบันเบสบอลเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง[211] นอกจากนี้ การแข่งขันเบสบอลมัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อ "โคชิเอ็ง" (甲子園) ถือเป็นการแข่งขันเบสบอลที่ได้รับความนิยมมาก การแข่งขันขึ้นตรงต่อสมาพันธ์เบสบอลมัธยมปลายญี่ปุ่น ซึ่งแยกตัวเป็นเอกเทศจากสมาพันธ์กีฬามัธยมปลายญี่ปุ่น จึงทำให้โคชิเอ็งฤดูร้อน ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬามัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ อิจิโร ซุซุกิ, ฮิเดะกิ มะสึอิ [205] และโชเฮ โอตานิ
ตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นในปี 2535 ฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น[214] ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัดฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ตั้งแต่ปี 2524–2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ในการแข่งฟุตบอลโลก 2002 ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย ชนะเลิศเอเชียนคัพ 4 ครั้งซึ่งเป็นสถิติสูงสุด และเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 6 ครั้ง โดยเข้าร่วมทุกครั้งตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1998[215] และทีมฟุตบอลหญิงของญี่ปุ่นยังชนะเลิศฟุตบอลโลกหญิง 2011[216] ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นยังได้รับการยกย่องว่าเป็นลีกที่มาตรฐานสูงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
ในวงการมอเตอร์สปอร์ต ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จสูง โดยเป็นตัวแทนรถในการชนะการแข่งขันระดับโลก เช่น ฟอร์มูลาวัน, กรังด์ปรีซ์มอเตอร์ไซค์เคิลเรซซิง, เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ และอีกมากมาย[217][218][219] นักแข่งรถชาวญี่ปุ่นยังประสบความสำเร็จในรายการนานาชาติ เช่น ฟอร์มูลาวัน และ 24 ชั่วโมง เลอม็อง โดยมีซูเปอร์จีทีเป็นการแข่งชันระดับชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนที่โตเกียวในปี 2507 และโอลิมปิกฤดูหนาวที่ซัปโปโระในปี 2515 และนางาโนะในปี 2541[220] รวมทั้งเป็นเจ้าภาพการแข่งขันบาสเกตบอลชิงแชมป์โลกปี 2549[221] และจะเป็นเจ้าภาพร่วมอีกครั้งในปี 2565[222] โตเกียวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 ทำให้เป็นเมืองแรกในเอเชียที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกถึงสองครั้ง ประเทศญี่ปุ่นยังได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลกถึงห้าครั้ง มากกว่าประเทศอื่น ๆ[223] ญี่ปุ่นยังถือเป็นประเทศสมาคมรักบี้แห่งเอเชียที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกประจำปี 2563[224] นอกจากนี้ กอล์ฟ และเทนนิส ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในหลายทศวรรษที่ผ่านมา[225][226][227]
อาหาร
ชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ, เท็มปุระ, สุกียากี้, ยะกิโทะริ และ โซบะ เป็นต้น[228] อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น ทงกะสึ, ราเม็ง, ปลาดิบ และ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น[229] อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2549 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก[229]
ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่น[230]และอาหารประจำฤดู[231] วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ, มิโซะ, เต้าหู้[232] ถั่วแดงซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่นคมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย[233]
ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม[234] เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว[235] และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น[236]
สื่อ
จากการสำรวจของเอ็นเอชเค ในปี 2558 เกี่ยวกับการดูโทรทัศน์ในญี่ปุ่น พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ของคนญี่ปุ่นดูโทรทัศน์ทุกวัน[238] ละครโทรทัศน์ของญี่ปุ่นได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ รายการยอดนิยมอื่น ๆ อยู่ในประเภทของรายการวาไรตี้ ตลก และรายการข่าว[239][240] หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายมากที่สุดในโลก ณ ปี 2559 ญี่ปุ่นยังมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก็อตซิลลา ของอิชิโร ฮนดะ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับนานาชาติของญี่ปุ่นและมีการสร้างภาคต่อและภาคแยกมากมาย[241] และเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์[242] ภาพยนตร์แอนิเมชั่นและซีรีส์ทางโทรทัศน์ของญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่ออนิเมะได้รับอิทธิพลจากมังงะญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในฝั่งตะวันตก ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจด้านแอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก
วันหยุด
ประเทศญี่ปุ่นมีวันหยุดประจำชาติอย่างเป็นทางการ 16 วัน วันหยุดราชการในญี่ปุ่นถูกควบคุมโดยกฎหมายวันหยุดนักขัตฤกษ์ (国民の祝日に関する法律, Kokumin no Shukujtsu ni Kansuru Hōritsu) พ.ศ. 2491 ญี่ปุ่นใช้ระบบ Happy Monday ซึ่งย้ายวันหยุดประจำชาติจำนวนหนึ่งไปเป็นวันจันทร์เพื่อให้ได้วันหยุดยาว วันหยุดประจำชาติในญี่ปุ่นคือวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม, วันบรรลุนิติภาวะคือวันจันทร์ที่สองของเดือนมกราคม, วันสถาปนาชาติในวันที่ 11 กุมภาพันธ์, วันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิคือ 23 กุมภาพันธ์, วันชุนบุนคือ วันที่ 20 หรือ 21 มีนาคม, วันโชวะคือวันที่ 29 เมษายน, วันรัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม, วันสิ่งแวดล้อม, 4 พฤษภาคม, วันเด็ก 5 พฤษภาคม, วันทะเลตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกรกฎาคม, วันภูเขาตรงกับ 11 สิงหาคมม วันผู้สูงอายุตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกันยายน, เทศกาลฉลองฤดูใบไม้ร่วงคือวันที่ 23 หรือ 24 กันยายน, วันสุขภาพและวันกีฬาคือวันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม, วันวัฒนธรรม 3 พฤศจิกายน และวันขอบคุณพระเจ้าในวันที่ 23 พฤศจิกายน[244]
ดูเพิ่ม
- ภาษาญี่ปุ่น
- อาหารญี่ปุ่น
- พุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น
- การ์ตูนญี่ปุ่น
- มรดกโลกในประเทศญี่ปุ่น
- ฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น
- สมาคมนักเรียนไทยในประเทศญี่ปุ่น
อ้างอิง
- ↑ 令和元年全国都道府県市区町村別面積調(10月1日時点) (ภาษาญี่ปุ่น). Geospatial Information Authority of Japan. December 26, 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 15, 2020.
- ↑ "Surface water and surface water change". OECD. สืบค้นเมื่อ October 11, 2020.
- ↑ "Population Estimates Monthly Report July 2021)". Statistics Bureau of Japan. July 20, 2021.
- ↑ "2020 Population Census Preliminary Tabulation". Statistics Bureau of Japan. สืบค้นเมื่อ June 26, 2021.
- ↑ 5.0 5.1 "World Economic Outlook database: April 2021". International Monetary Fund. April 2021.
- ↑ Inequality - Income inequality - OECD Data. OECD. สืบค้นเมื่อ 25 July 2021.
- ↑ "Human Development Report 2020" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). United Nations Development Programme. December 15, 2020. สืบค้นเมื่อ December 15, 2020.
- ↑ "Japan - Urbanization rate". Statista (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Urban population (% of total population) - Japan | Data". data.worldbank.org.
- ↑ "東京都の人口(推計)トップページ". www.toukei.metro.tokyo.lg.jp.
- ↑ "Tokyo Population 2021 (Demographics, Maps, Graphs)". worldpopulationreview.com.
- ↑ "The Most Populated Cities of the World. World Megacities - Nations Online Project". www.nationsonline.org.
- ↑ "THE CONSTITUTION OF JAPAN". japan.kantei.go.jp.
- ↑ https://www.cfr.org/japan-constitution/japans-postwar-constitution
- ↑ Quigley, Harold S. (1947). "Japan's Constitutions: 1890 and 1947". The American Political Science Review. 41 (5): 865–874. doi:10.2307/1950193. ISSN 0003-0554.
- ↑ "The Seven Great Powers". American-Interest. สืบค้นเมื่อ July 1, 2015.
- ↑ T. V. Paul; James J. Wirtz; Michel Fortmann (2005). "Great+power" Balance of Power. United States of America: State University of New York Press, 2005. pp. 59, 282. ISBN 0-7914-6401-6. Accordingly, the great powers after the Cold War are Britain, China, France, Germany, Japan, Russia, and the United States p.59
- ↑ Baron, Joshua (January 22, 2014). Great Power Peace and American Primacy: The Origins and Future of a New International Order. United States: Palgrave Macmillan. ISBN 1-137-29948-7.
- ↑ "SIPRI Yearbook 2012–15 countries with the highest military expenditure in 2011". Sipri.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มีนาคม 28, 2010. สืบค้นเมื่อ เมษายน 27, 2013.
- ↑ "Japanese Culture | Japan Tradition | Japan Travel | JNTO". Japan National Tourism Organization (JNTO) (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย).
- ↑ https://theculturetrip.com/asia/japan/articles/13-reasons-why-japan-is-the-worlds-most-unique-country/
- ↑ https://www.jef.or.jp/journal/pdf/cover%20story%201_0403.pdf
- ↑ เช่น 熊谷公男 『大王から天皇へ 日本の歴史03』(講談社、2001) และ 吉田孝 『日本誕生』(岩波新書、1997)
- ↑ เช่น 神野志隆光『「日本」とは何か』(講談社現代新書、2005)
- ↑ เช่น 網野善彦『「日本」とは何か』(講談社、2000)、神野志前掲書
- ↑ 前野みち子. "国号に見る「日本」の自己意識" (PDF).
- ↑ "English translation of '日本'". collinsdictionary.com.
- ↑ "일본 日本". Naver Korean-English Dictionary.
- ↑ "日本". chunom.org. (ก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เวียดนามใช้ตัวอักษรจีน)
- ↑ McCargo, Duncan (2000). Contemporary Japan. Macmillan. pp. 8–11. ISBN 0-333-71000-2.
- ↑ "Japan". US Department of State. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011.
- ↑ "World Population Prospects". UN Department of Economic and Social Affairs. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 21, 2007. สืบค้นเมื่อ March 27, 2007.
- ↑ Barnes, Gina L. (2003). "Origins of the Japanese Islands" (PDF). University of Durham. สืบค้นเมื่อ August 11, 2009.
- ↑ "Tectonics and Volcanoes of Japan". Oregon State University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 4, 2007. สืบค้นเมื่อ March 27, 2007.
- ↑ James, C.D. (2002). "The 1923 Tokyo Earthquake and Fire" (PDF). University of California Berkeley. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ March 16, 2007. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011.
- ↑ 2013 World Risk Report เก็บถาวร สิงหาคม 16, 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Karan, Pradyumna Prasad; Gilbreath, Dick (2005). Japan in the 21st century. University Press of Kentucky. pp. 18–21, 41. ISBN 0-8131-2342-9.
- ↑ "Climate". JNTO. สืบค้นเมื่อ March 2, 2011.
- ↑ "Extremely hot conditions in Japan in midsummer 2013" (PDF). Tokyo Climate Center, Japan Meteorological Agency. August 13, 2013. สืบค้นเมื่อ August 3, 2017.
- ↑ "Essential Info: Climate". JNTO. สืบค้นเมื่อ April 1, 2007.
- ↑ 日本の大気汚染の歴史 (ภาษาญี่ปุ่น). Environmental Restoration and Conservation Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2014.
- ↑ Sekiyama, Takeshi. "Japan's international cooperation for energy efficiency and conservation in Asian region" (PDF). Energy Conservation Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ February 16, 2008. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011.
- ↑ "Environmental Performance Review of Japan" (PDF). OECD. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011.
- ↑ "Environmental Performance Index". epi.yale.edu.
- ↑ "Japan sees extra emission cuts to 2020 goal – minister". Reuters. June 24, 2009.
- ↑ "Japan 2030: Tackling climate issues is key to the next decade". Deep reads from The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Japan Targets Carbon Neutrality by 2050". EcoWatch (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-10-26.
- ↑ Travis, John. "Jomon Genes". University of Pittsburgh. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011.
- ↑ Matsumara, Hirofumi; Dodo, Yukio; Dodo, Yukio (2009). "Dental characteristics of Tohoku residents in Japan: implications for biological affinity with ancient Emishi". Anthropological Science. 117 (2): 95–105. doi:10.1537/ase.080325.
- ↑ Hammer, Michael F.; Karafet, TM; Park, H; Omoto, K; Harihara, S; Stoneking, M; Horai, S; และคณะ (2006). "Dual origins of the Japanese: common ground for hunter-gatherer and farmer Y chromosomes". Journal of Human Genetics. 51 (1): 47–58. doi:10.1007/s10038-005-0322-0. PMID 16328082.
- ↑ Denoon, Donald; Hudson, Mark (2001). Multicultural Japan: palaeolithic to postmodern. Cambridge University Press. pp. 22–23. ISBN 0-521-00362-8.
- ↑ "Road of rice plant". National Science Museum of Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 30, 2011. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011.
- ↑ "Kofun Period". Metropolitan Museum of Art. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011.
- ↑ "Yayoi Culture". Metropolitan Museum of Art. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011.
- ↑ Takashi, Okazaki; Goodwin, Janet (1993). "Japan and the continent". The Cambridge history of Japan, Volume 1: Ancient Japan. Cambridge: Cambridge University Press. p. 275. ISBN 0-521-22352-0.
- ↑ Brown, Delmer M., บ.ก. (1993). The Cambridge History of Japan. Cambridge University Press. pp. 140–149.
- ↑ Beasley, William Gerald (1999). The Japanese Experience: A Short History of Japan. University of California Press. p. 42. ISBN 0-520-22560-0.
- ↑ Totman, Conrad (2002). A History of Japan. Blackwell. pp. 64–79. ISBN 978-1-4051-2359-4.
- ↑ Hays, J.N. (2005). Epidemics and pandemics: their impacts on human history. ABC-CLIO. p. 31. ISBN 1-85109-658-2.
- ↑ Totman, Conrad (2002). A History of Japan. Blackwell. pp. 79–87, 122–123. ISBN 978-1-4051-2359-4.
- ↑ John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times. Charles E. Tuttle Company. p. 262-264.
- ↑ Katsumi Sugiyama. "Fundamental Issues underlying US-Japan Alliance: 2. Lytton Report and Anglo-Russo-Americana (ARA) Secret Treaty". Defense Research Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-24.
- ↑ Kelley L. Ross. "The Pearl Harbor Strike Force". friesian.com. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.
- ↑ "Japanese Instrument of Surrender". educationworld.net. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "San Francisco Peace Treaty". Taiwan Document Project. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "United Nations Member States". สหประชาชาติ. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "Japan Fact Sheet: Economy" (PDF). Web Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-12-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "Japan scraps zero interest rates". BBC News. July 14, 2006. สืบค้นเมื่อ December 28, 2006.
- ↑ Fackler, Martin; Drew, Kevin (March 11, 2011). "Devastation as Tsunami Crashes Into Japan". The New York Times.
- ↑ "Japan's emperor thanks country, prays for peace before abdication". Nikkei Asia (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
- ↑ "The Constitution of Japan Promulgated November 3, 1946". House of Councillors, The National Diet of Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-24. [รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น, ราชมนตรีแห่งรัฐสภาญี่ปุ่น (1946-11-03)].
- ↑ "Japan lowers voting age from 20 to 18 to better reflect young people's opinions in policies". The Straits Times. June 20, 2015. สืบค้นเมื่อ August 28, 2017.
- ↑ ""Japanese Civil Code"". Encyclopædia Britannica. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-17. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- ↑ คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง, โด (道) เฉพาะฮกไกโด, ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตและโอซากะ ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในอดีต และเค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่น ๆ เมื่อพูดถึงจังหวัดรวม ๆ จะใช้ว่า โทโดฟูเก็ง (都道府県)
- ↑ ซึ่งเทศบาลมีหลายระดับ ตั้งแต่ คุ (区), ชิ (市), โช (町) และมูระหรือซง (村) ซึ่งเรียกรวมกันว่า ชิโจซง
- ↑ "City-merger talks on increase". The Japan Times. 2002-01-26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- ↑ "合併相談コーナー". Ministry of Internal Affairs and Communications. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ "Japan-Australia Joint Declaration on Security Cooperation". Ministry of Foreign Affairs. สืบค้นเมื่อ August 25, 2010.
- ↑ "Joint Declaration on Security Cooperation between Japan and India". Ministry of Foreign Affairs. October 22, 2008. สืบค้นเมื่อ August 25, 2010.
- ↑ "Statistics from the Development Co-operation Report 2015". OECD. สืบค้นเมื่อ November 15, 2015.
- ↑ "Japan's Foreign Relations and Role in the World Today". Asia for Educators. สืบค้นเมื่อ November 13, 2016.
- ↑ Wei, Yi (2019-10-15). "Japanese Colonial Ideology in Korea (1905-1945)". The Yale Review of International Studies (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Japan and South Korea agree WW2 'comfort women' deal". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2015-12-28. สืบค้นเมื่อ 2022-01-05.
- ↑ Ju, Hyejung (2018-07-30). "The Korean Wave and Korean Dramas". Oxford Research Encyclopedia of Communication (ภาษาอังกฤษ). doi:10.1093/acrefore/9780190228613.001.0001/acrefore-9780190228613-e-715.
- ↑ Min-sik, Yoon (2019-08-14). "[Anniversary Special] 21 years after 'Japanese invasion,' Korean pop culture stronger than ever". The Korea Herald (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "裁判手続 刑事事件Q&A | 裁判所". www.courts.go.jp.
- ↑ "The Japanese Police State", The Japanese Police State : The Tokkô in interwar Japan, Bloomsbury Academic, สืบค้นเมื่อ 2022-01-05
- ↑ https://www.kaiho.mlit.go.jp/e/image/15_b%20of%20jcg.pdf
- ↑ Author, No (2008-11-29). "Diet tightens laws on knives, guns". The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "Homicide rate | dataUNODC". dataunodc.un.org.
- ↑ 正論, May 2014 (171).
- ↑ "The 15 countries with the highest military expenditure in 2009". Stockholm International Peace Research Institute. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กุมภาพันธ์ 17, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 16, 2011.
- ↑ Institute for Economics and Peace (2015). Global Peace Index 2015. เก็บถาวร ตุลาคม 6, 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Retrieved October 5, 2015
- ↑ "About RIMPAC". Government of Singapore. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 6, 2013. สืบค้นเมื่อ March 2, 2014.
- ↑ "Tokyo says it will bring troops home from Iraq". International Herald Tribune. June 20, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2007. สืบค้นเมื่อ March 28, 2007.
- ↑ "Japan business lobby wants weapon export ban eased". Reuters. July 13, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-29. สืบค้นเมื่อ April 12, 2011.
- ↑ "Japan's Security Policy". Ministry of Foreign Affairs of Japan.
- ↑ Michael Green. "Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington". Real Clear Politics. สืบค้นเมื่อ March 28, 2007.
- ↑ "Abe offers Japan's help in maintaining regional security". Japan Herald. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-31. สืบค้นเมื่อ May 31, 2014.
- ↑ Herman, Steve (February 15, 2006). "Japan Mulls Constitutional Reform". Tokyo: Voice of America. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 16, 2006.
- ↑ Fackler, Martin (December 16, 2010). "Japan Announces Defense Policy to Counter China". The New York Times. สืบค้นเมื่อ December 17, 2010.
- ↑ M1 The Japanese Economy Takahashi Ito, pp 3-4.
- ↑ "Japan: Patterns of Development". country-data.com. January 1994. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- ↑ "World Factbook; Japan—Economy". CIA. 2006-12-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- ↑ "Japan heads towards recession as GDP shrinks". The Times. 2008-08-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-17.
- ↑ "That sinking feeling". The Economist. 2008-10-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-01.
- ↑ "In Japan, Financial Crisis Is Just a Ripple". The New York Times. 2008-09-19. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- ↑ "Japan's economy 'worst since end of WWII'". CNN. 2009-02-16. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16.
- ↑ 109.0 109.1 "World Economic Outlook Database; country comparisons". ไอเอ็มเอฟ. 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2007-03-14.
- ↑ "NationMaster; Economy Statistics". NationMaster. สืบค้นเมื่อ 2007-03-26.
- ↑ "Chapter 6 Manufacturing and Construction". Statistical Handbook of Japan, Ministry of Internal Affairs and Communications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-08-13.
- ↑ 112.0 112.1 "労働力調査(速報)平成19年平均結果の概要" (PDF). Statistic Bureau. สืบค้นเมื่อ 2008-11-01.
- ↑ Summary Statistics Groningen Growth and Development Centre, Sep 2008
- ↑ "Forbes Global 2000". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02.
- ↑ Market data. เก็บถาวร 2007-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน New York Stock Exchange (2006-01-31). Retrieved on 2007-08-11.
- ↑ "Criss-crossed capitalism". The Economist. 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "Going hybrid". The Economist. 2007-11-29. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02.
- ↑ "Total area and cultivated land area". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ "Total population and agricultural population". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ 農林水産省国際部国際政策課 (2006-05-23). "農林水産物輸出入概況(2005)" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-09-29. สืบค้นเมื่อ 2007-09-13.
- ↑ "Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)". Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ "Rankings". World Bank (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Urbanites Help Sustain Japan's Historic Rice Paddy Terraces - Our World". ourworld.unu.edu.
- ↑ Chen, Hungyen (2018-07-03). "The spatial patterns in long-term temporal trends of three major crops' yields in Japan". Plant Production Science. 21 (3): 177–185. doi:10.1080/1343943X.2018.1459752. ISSN 1343-943X.
- ↑ https://www.fao.org/3/i9540en/i9540en.pdf
- ↑ "Japan resumes commercial whaling after 30 years". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-07-01. สืบค้นเมื่อ 2022-01-05.
- ↑ "Data list | Japan Tourism Statistics". Japan Tourism Statistics | 日本の観光統計データ (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "UNWTO World Tourism Barometer and Statistical Annex, August/September 2020". www.e-unwto.org (ภาษาอังกฤษ). doi:10.18111/wtobarometereng.2020.18.1.5.
- ↑ https://www.cia.gov/the-world-factbook/countries/japan/
- ↑ "Japan", The World Factbook (ภาษาอังกฤษ), Central Intelligence Agency, 2021-12-14, สืบค้นเมื่อ 2022-01-05
- ↑ "Is time running out for Japan's car industry?". Autocar (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Production Statistics | www.oica.net". www.oica.net.
- ↑ Science and Innovation: Country Notes, Japan OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, OECD
- ↑ "Japanese led world in filing of patent applications in 2005". The Japan Times. 2007-08-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ "History of Hybrid Vehicles". HybridCars.com. 2011-06-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-30.
- ↑ Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies Union of Concerned Scientists
- ↑ [www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy
- ↑ Akira Maeda (November 28, 2003). Innovation in Fuel Cell Technologies in Japan: Development and Commercialization of Polymer Electrolyte Fuel Cells (PDF) (Report). OECD/CSTP/TIP Energy Focus Group.
- ↑ "Press Release". JAXA. 2008-07-08. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- ↑ published, Elizabeth Howell (2019-04-07). "Can Robots Build a Moon Base for Astronauts? Japan Hopes to Find Out". Space.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Japanese probe crashes into Moon" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2009-06-11. สืบค้นเมื่อ 2022-01-05.
- ↑ IFR. "Why Japan leads industrial robot production". IFR International Federation of Robotics (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Science,technology and innovation : Researchers by sex, per million inhabitants, per thousand labour force, per thousand total employment (FTE and HC)". data.uis.unesco.org.
- ↑ NuttBloggerJune 19, Christian; 2015 (2015-06-19). "Japan's game market hits record high as consoles decline and mobile gr". Game Developer (ภาษาอังกฤษ).
{{cite web}}
: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์) - ↑ จนเป็นต้นเหตุสำคัญของอุบัติเหตุรถไฟตกรางที่จังหวัดเฮียวโงะใน พ.ศ. 2548 Japan's train crash: Your reaction BBC News 2005-05-02
- ↑ "Year to date Passenger Traffic". Airports Council International. August 2008.
- ↑ "Japan's Road to Deep Deficit Is Paved With Public Works". The New York Times. 1997-03-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Outlook Bleak for Saga Airport Profitability". Fukuoka Now. 2008-07-31. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ The European Parliament's Greens-EFA Group – The World Nuclear Industry Status Report 2007 เก็บถาวร 2008-06-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน p. 23.
- ↑ "Japan nuclear power-free as last reactor shuts". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 2012-05-05. สืบค้นเมื่อ 2022-01-05.
- ↑ "Nuclear power restarted in Japan". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2022-01-05.
- ↑ Kucharski, Jeffrey B.; Unesaki, Hironobu (2017-06-12). "Japan's 2014 Strategic Energy Plan: A Planned Energy System Transition". Journal of Energy (ภาษาอังกฤษ). 2017: e4107614. doi:10.1155/2017/4107614. ISSN 2356-735X.
- ↑ http://www.jwwa.or.jp/jigyou/kaigai_file/2017WaterSupplyInJapan.pdf
- ↑ https://www.stat.go.jp/english/data/jinsui/tsuki/index.html
- ↑ "Population Census: Foreigners". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ "Sue Sumii". The Economist. 1997-07-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
- ↑ https://www.un.org/en/development/desa/population/publications/pdf/urbanization/the_worlds_cities_in_2016_data_booklet.pdf
- ↑ "Life expectancy at birth, total (years) - Japan | Data". data.worldbank.org.
- ↑ "The World Factbook: Rank order—Life expectancy at birth". CIA. 2008-10-23. สืบค้นเมื่อ 2008-11-05.
- ↑ 161.0 161.1 "Statistical Handbook of Japan: Chapter 2 Population". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-30.
- ↑ Semuels, Alana (2017-07-20). "The Mystery of Why Japanese People Are Having So Few Babies". The Atlantic (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Walia, Simran (2019-11-19). "The economic challenge of Japan's aging crisis". The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Population Census: Population by Age". Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
- ↑ Tetsushi Kajimoto, บ.ก. (2002-09-24). "Cloud of population decline may have silver lining". The Japan Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-05.
- ↑ "New immigration rules to stir up Japan's regional rentals scene — if they work | REthink Tokyo". web.archive.org. 2019-07-02.
- ↑ Inoue, Kyoko; Inoue, oko (1991-02). MacArthur's Japanese Constitution (ภาษาอังกฤษ). University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-38391-0.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ 世界各国の宗教 (2000年) อ้างอิงจาก電通総研日本リサーチセンター、世界主要国価値観データブック
- ↑ https://www.christianitytoday.com/news/2018/may/japan-unesco-hidden-christian-persecution-world-heritage.html
- ↑ https://www.bunka.go.jp/tokei_hakusho_shuppan/hakusho_nenjihokokusho/shukyo_nenkan/pdf/r01nenkan.pdf#page=49
- ↑ Kato, Mariko (February 24, 2009). "Christianity's long history in the margins". The Japan Times.
- ↑ https://www.japantimes.co.jp/community/2016/07/13/issues/shadow-surveillance-looms-japans-muslims/
- ↑ The World Factbook; Japan-People เก็บถาวร 2018-12-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน CIA (2008)
- ↑ Lucien Ellington (2005-09-01). "Japan Digest: Japanese Education". Indiana University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-04-27. สืบค้นเมื่อ 2006-04-27.
- ↑ "The Japanese Language". web.mit.edu.
- ↑ Sawa, Takamitsu (2020-01-21). "Japan going the wrong way in English-education reform". The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Self-determinable Development of Small Islands. Masahide Ishihara, Eiichi Hoshino, Yōko Fujita. Singapore. 2016. ISBN 978-981-10-0132-1. OCLC 952246912.
{{cite book}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ The Oxford handbook of the archaeology and anthropology of hunter-gatherers. Vicki Cummings, Peter Jordan, Marek Zvelebil (First edition ed.). Oxford. 2014. ISBN 978-0-19-955122-4. OCLC 871305374.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help)CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ Lucien Ellington (2003-12-01). "Beyond the Rhetoric: Essential Questions About Japanese Education". Foreign Policy Research Institute. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-29. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ "School Education" (PDF). MEXT. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-12-06. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.
- ↑ Kate Rossmanith (2007-02-05). "Rethinking Japanese education". The University of Sydney. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-12-28. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ "Gakureki Shakai". Encyclopedia of Modern Asia. Macmillan Reference. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-24 – โดยทาง bookrags.com.
- ↑ "OECD's PISA survey shows some countries making significant gains in learning outcomes". OECD. 2007-12-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-19. "Range of rank on the PISA 2006 science scale" (PDF). OECD. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-05-23.
- ↑ Britnell, Mark (2015). In Search of the Perfect Health System. London: Palgrave. p. 5. ISBN 978-1-137-49661-4.
- ↑ "Overview of the Social Insurance Systems". Social Insurance Agency. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Health Insurance: General Characteristics". National Institute of Population and Social Security Research. สืบค้นเมื่อ 2007-03-28.
- ↑ Victor Rodwin. "Health Care in Japan". New York University. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.
- ↑ Mark E. Caprio; Yoneyuki Sugita, บ.ก. (2009-10-13). Democracy in Occupied Japan: The U.S. Occupation and Japanese Politics and Society. Routledge. p. 172. ISBN 978-0415415897.
- ↑ Russell, Roxanne; Metraux, Daniel; Tohen, Mauricio (2017). "Cultural influences on suicide in Japan". Psychiatry and Clinical Neurosciences (ภาษาอังกฤษ). 71 (1): 2–5. doi:10.1111/pcn.12428. ISSN 1440-1819.
- ↑ Akter, Shamima; Goto, Atsushi; Mizoue, Tetsuya (2017-07-14). "Smoking and the risk of type 2 diabetes in Japan: A systematic review and meta-analysis". Journal of Epidemiology. 27 (12): 553–561. doi:10.1016/j.je.2016.12.017. ISSN 0917-5040. PMC 5623034. PMID 28716381.
- ↑ Britnell, Mark (2015). In search of the perfect health system. London. ISBN 978-1-137-49661-4. OCLC 913844346.
- ↑ 192.0 192.1 "Japanese Culture". Windows on Asia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-02. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "A History of Manga". NMP International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-09-05. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.
- ↑ Leonard Herman, Jer Horwitz, Steve Kent, and Skyler Miller. "The History of Video Games". Gamespot. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
{{cite web}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Centre, UNESCO World Heritage. "Japan". UNESCO World Heritage Centre (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ 196.0 196.1 "Japan Fact Sheet: Music" (PDF). Web Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-11-19. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "J-Pop's dream factory". The Observer. 2005-08-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-12. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ "Seiji Ozawa (Conductor)". 2007-06-22. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "Midori Goto: From prodigy to peace ambassador". 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23.
- ↑ "なぜか「第9」といったらベートーヴェン、そして年末。". Fuji-tv ART NET. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-24.
- ↑ 201.0 201.1 "Japanese Culture: Literature". Windows on Asia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-07. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "万葉集-奈良時代". Kyoto University Library. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ The Tale of Genji
- ↑ 204.0 204.1 "Japanese Culture: Literature (Recent Past)". Windows on Asia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-02. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ 205.0 205.1 "สำรวจญี่ปุ่น: ปฏิทินประจำปี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม กีฬา" (PDF). สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- ↑ "The Nobel Prize in Literature 1968". Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-18.
- ↑ "Kenzaburo Oe The Nobel Prize in Literature 1994". Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-18.
- ↑ Parkes, Graham (January 1, 2011). "Japanese aesthetics". In Zalta, Edward N. (ed.). Stanford Encyclopedia of Philosophy.
- ↑ Arrowsmith, Rupert Richard (2010-11-25). Modernism and the Museum: Asian, African, and Pacific Art and the London Avant-Garde (ภาษาอังกฤษ). OUP Oxford. ISBN 978-0-19-959369-9.
- ↑ Inagaki, Aizo (2003). "Japan". Oxford Art Online. Modern: Meiji and after. doi:10.1093/gao/9781884446054.article.T043440. ISBN 978-1-884446-05-4.
- ↑ 211.0 211.1 211.2 "Japan Fact Sheet: SPORTS" (PDF). Web Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-03-04. สืบค้นเมื่อ 2008-11-19.
- ↑ "Sumo: East and West". PBS. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10.
- ↑ Nagata, Yoichi; Holway, John B. (1995). "Japanese Baseball". ใน Pete Palmer (บ.ก.). Total Baseball (fourth ed.). New York: Viking Press. p. 547.
- ↑ "Soccer as a Popular Sport: Putting Down Roots in Japan" (PDF). The Japan Forum. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01.
- ↑ "Australia 0-1 Japan | Asian Cup final match report". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2011-01-29.
- ↑ "FIFA.com - FIFA Women's World Cup: Japan - USA". web.archive.org. 2011-07-18.
- ↑ Sports, Dorna. "Japanese industry in MotoGP™". www.motogp.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "WRC - World Rally Championship". WRC - World Rally Championship (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Engine Honda • STATS F1". www.statsf1.com.
- ↑ "History of Japan's Bids for the Olympic | JOC - Japanese Olympic Committee". Japanese Olympic Committee(JOC) (ภาษาญี่ปุ่น).
- ↑ http://www.fiba.basketball/pages/eng/fe/06_wcm/
- ↑ "FIBA Basketball World Cup 2023". FIBA.basketball (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ http://www.fivb.org/TheGame/TheGame_WorldChampionships.htm
- ↑ "Rugby in Asia | History of the Game in Asia". Asia Rugby (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Andrew Clarke (2021-07-30). "10 Most Popular Sports in Japan". Unique Japan Tours (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "What Are The Most Popular Sports In Japan | Top 10". Link Japan Careers (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-06-10.
- ↑ "In Japan, golf booms as go-to leisure activity during pandemic". The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-03-02.
- ↑ "Traditional Dishes of Japan". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ 229.0 229.1 "Japanese Food Culture" (PDF). Web Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-02-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "Japanese Delicacies". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "Seasonal Foods" (PDF). The Japan Forum. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ Japanese Food Japan Reference
- ↑ "Local cuisine of Hokkaido". Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "茶ができるまで". 全国茶生産団体連合会・全国茶主産府県農協連連絡協議会. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "The Sake Brewing Process". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-17. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ "Shochu". The Japan Times. 2004-05-30. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27.
- ↑ https://www.japan-guide.com/e/e3003.html
- ↑ https://www.nhk.or.jp/bunken/english/reports/pdf/report_16042101.pdf
- ↑ Iwabuchi, Koichi, ed. (2004). Feeling Asian Modernities: Transnational Consumption of Japanese TV Dramas. Hong Kong University Press. ISBN 9789622096318. JSTOR j.ctt2jc5b9.
- ↑ "What are the most popular Japanese TV shows?". Japan Today (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Kalat, David (2017). "Introduction". A Critical History and Filmography of Toho's Godzilla Series (2nd ed.). McFarland.
- ↑ "Godzilla: Monster, Metaphor, Pop Icon". The New York Public Library.
- ↑ Araiso, Yoshiyuki (1988). Currents: 100 essential expressions for understanding changing Japan. Japan Echo Inc. in cooperation with the Foreign Press Center. p. 150. ISBN 978-4-915226-03-8.
- ↑ "Japan's National Holidays in 2021". nippon.com (ภาษาอังกฤษ). 2020-06-10.
- "ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-17.
- ข้อมูลประเทศญี่ปุ่นจากเวิลด์แฟกต์บุก เว็บไซต์ซีไอเอ สหรัฐอเมริกา เก็บถาวร 2004-09-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
แหล่งข้อมูลอื่น
รัฐบาล
- JapanGov – The Government of Japan (ในภาษาอังกฤษ)
- Prime Minister of Japan and His Cabinet Official website (ในภาษาอังกฤษ)
- The Imperial Household Agency, official site of the Imperial House of Japan
- National Diet Library
ข้อมูลทั่วไป
- Japan from UCB Libraries GovPubs
- Japan profile from BBC News
- Japan from the OECD
- ดูข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศญี่ปุ่น ที่โอเพินสตรีตแมป