ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จังหวัดกาญจนบุรี"
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
|||
บรรทัด 108: | บรรทัด 108: | ||
* '''ตะพาบแก้มแดง''' (อังกฤษ: Malayan solf-shell turtle; ชื่อวิทยาศาสตร์: Dogania subplana) เป็นตะพาบชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย ที่จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดชุมพร จัดเป็นตะพาบขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับสองที่พบในประเทศไทย (เล็กที่สุด คือ ตะพาบหับพม่า (Lissemys scutata)) กระดองสีเทาเข้มมีจุดสีดำทั่วไป หัวสีเทานวลมีรอยเส้นสีดำตลอดตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงส่วนท้ายกระดอง มีสีแดงที่แก้มและข้างคอ เมื่อยังเล็กมีจุดสีดำคล้ายดวงตากระจายไปทั่วกระดองเห็นชัดเจน ตะพาบที่พบที่จังหวัดตากและกาญจนบุรีมีสีเข้มกว่าและไม่มีสีแดงที่แก้ม มีจมูกยาว หางสั้น และมีขาเล็ก |
* '''ตะพาบแก้มแดง''' (อังกฤษ: Malayan solf-shell turtle; ชื่อวิทยาศาสตร์: Dogania subplana) เป็นตะพาบชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย ที่จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดชุมพร จัดเป็นตะพาบขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับสองที่พบในประเทศไทย (เล็กที่สุด คือ ตะพาบหับพม่า (Lissemys scutata)) กระดองสีเทาเข้มมีจุดสีดำทั่วไป หัวสีเทานวลมีรอยเส้นสีดำตลอดตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงส่วนท้ายกระดอง มีสีแดงที่แก้มและข้างคอ เมื่อยังเล็กมีจุดสีดำคล้ายดวงตากระจายไปทั่วกระดองเห็นชัดเจน ตะพาบที่พบที่จังหวัดตากและกาญจนบุรีมีสีเข้มกว่าและไม่มีสีแดงที่แก้ม มีจมูกยาว หางสั้น และมีขาเล็ก |
||
* '''กริวดาว''' เป็นตะพาบที่หายากมากที่สุด มีความแตกต่างจากตะพาบหัวกบ คือ มีจุดสีเหลืองอ่อนเป็นวงกระจายอยู่บริเวณขอบกระดอง โดยที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามวัย เหมือนตะพาบหัวกบ ซึ่งถึงแม้จะเป็นตะพาบขนาดใหญ่แล้ว แต่ลายจุดนี้ยังคงเห็นได้ชัดเจน ซึ่งกิตติพงษ์ได้ระบุไว้ว่า ตะพาบแบบนี้ไม่ได้พบเห็นมานานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 หรือ พ.ศ. 2534 แล้ว และแต่เดิมก็พบเห็นได้ยากมาก ซึ่งถ้าใช้หลักการอนุกรมวิธานตามแบบปัจจุบัน เชื่อว่า กริวดาวต้องถูกจัดเป็นชนิดใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากมีความแตกต่างจากตะพาบหัวกบอย่างพอสมควร แต่เสียดายที่ไม่ได้มีการศึกษามากกว่านี้ เนื่องจากไม่มีตัวอย่างต้นแบบให้ศึกษา โดยตัวสุดท้ายที่ค้นพบและมีภาพถ่ายที่สมบูรณ์ มีขนาดยาวราว 30 เซนติเมตร น้ำหนัก 5 กิโลกรัม จับได้จากแม่น้ำแควใหญ่ ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 |
* '''กริวดาว''' เป็นตะพาบที่หายากมากที่สุด มีความแตกต่างจากตะพาบหัวกบ คือ มีจุดสีเหลืองอ่อนเป็นวงกระจายอยู่บริเวณขอบกระดอง โดยที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามวัย เหมือนตะพาบหัวกบ ซึ่งถึงแม้จะเป็นตะพาบขนาดใหญ่แล้ว แต่ลายจุดนี้ยังคงเห็นได้ชัดเจน ซึ่งกิตติพงษ์ได้ระบุไว้ว่า ตะพาบแบบนี้ไม่ได้พบเห็นมานานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 หรือ พ.ศ. 2534 แล้ว และแต่เดิมก็พบเห็นได้ยากมาก ซึ่งถ้าใช้หลักการอนุกรมวิธานตามแบบปัจจุบัน เชื่อว่า กริวดาวต้องถูกจัดเป็นชนิดใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากมีความแตกต่างจากตะพาบหัวกบอย่างพอสมควร แต่เสียดายที่ไม่ได้มีการศึกษามากกว่านี้ เนื่องจากไม่มีตัวอย่างต้นแบบให้ศึกษา โดยตัวสุดท้ายที่ค้นพบและมีภาพถ่ายที่สมบูรณ์ มีขนาดยาวราว 30 เซนติเมตร น้ำหนัก 5 กิโลกรัม จับได้จากแม่น้ำแควใหญ่ ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 |
||
== สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == |
|||
* '''[[คำขวัญประจำจังหวัด]]:''' แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่น้ำตก (มีแนวคิดเปลี่ยนคำขวัญจังหวัดเป็น เมืองขุนแผน แคว้นโบราณ ด่านพระเจดีย์ มณีนิลเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แลเขื่อนสำคัญสี่แห่ง แหล่งแร่ น้ำตก มรดกโลกทุ่งใหญ่นเรศวร) |
|||
* '''[[ตราประจำจังหวัดของไทย|ตราประจำจังหวัด]]:''' รูป[[ด่านพระเจดีย์สามองค์]] |
|||
* '''[[ต้นไม้ประจำจังหวัด]]:''' [[ขานาง]] ({{lang|la|''Homalium tomentosum''}}) |
|||
* '''ดอกไม้ประจำจังหวัด:''' [[ดอกกาญจนิกา]] ({{lang|la|''Nyctathes arbotristis''}}) |
|||
<gallery> |
|||
ไฟล์:Seal Kanchanaburi.png |ตราประจำจังหวัดกาญจนบุรี |
|||
ไฟล์:Flag of Kanchanaburi Province.jpg |ธงประจำจังหวัด |
|||
ไฟล์:Santisukia pagetii.png|[[ดอกกาญจนิกา]] ดอกไม้ประจำจังหวัด |
|||
ไฟล์:ขานางกาญจนบุรี.jpg|[[ขานาง]] ต้นไม้ประจำจังหวัด |
|||
</galleryoren> |
|||
== การเมืองการปกครอง == |
|||
=== หน่วยการปกครอง === |
|||
==== การปกครองส่วนภูมิภาค ==== |
|||
[[ไฟล์:Amphoe Kanchanaburi.svg|thumb|220px|แผนที่อำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี]] |
|||
จังหวัดกาญจนบุรีแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 13 [[อำเภอ]] 95 [[ตำบล]] 959 [[หมู่บ้าน]] 206 [[ชุมชน]] โดยทั้ง 13 อำเภอ มีดังนี้ |
|||
{{Div col}} |
|||
# [[อำเภอเมืองกาญจนบุรี]] |
|||
# [[อำเภอไทรโยค]] |
|||
# [[อำเภอบ่อพลอย]] |
|||
# [[อำเภอศรีสวัสดิ์]] |
|||
# [[อำเภอท่ามะกา]] |
|||
# [[อำเภอท่าม่วง]] |
|||
# [[อำเภอทองผาภูมิ]] |
|||
# [[อำเภอสังขละบุรี]] |
|||
# [[อำเภอพนมทวน]] |
|||
# [[อำเภอเลาขวัญ]] |
|||
# [[อำเภอด่านมะขามเตี้ย]] |
|||
# [[อำเภอหนองปรือ]] |
|||
# [[อำเภอห้วยกระเจา]] |
|||
{{Div col end}} |
|||
==== การปกครองส่วนท้องถิ่น ==== |
|||
พื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีประกอบด้วย[[องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น]]ทั้งหมด 122 แห่ง แบ่งตามประเภทและอำนาจบริหารจัดการภายในท้องที่ได้เป็น [[องค์การบริหารส่วนจังหวัด]] 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี, [[เทศบาลเมือง]] 2 แห่ง ได้แก่ [[เทศบาลเมืองกาญจนบุรี]] และ[[เทศบาลเมืองท่าเรือพระแท่น]], [[เทศบาลตำบล]] 47 แห่ง, และ[[องค์การบริหารส่วนตำบล]] 72 แห่ง<ref>กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. กระทรวงมหาดไทย. "สรุปข้อมูล อปท ทั่วประเทศ." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: [http://www.dla.go.th/work/abt/index.jsp http://www.dla.go.th/work/abt/index.jsp] 2556. สืบค้น 20 กันยายน 2556.</ref> รายชื่อเทศบาลทั้งหมดแบ่งตามอำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี มีดังนี้ |
|||
{{col-begin}} |
|||
{{col-break}} |
|||
'''อำเภอเมืองกาญจนบุรี''' |
|||
* '''[[เทศบาลเมืองกาญจนบุรี]]''' |
|||
* เทศบาลตำบลแก่งเสี้ยน |
|||
* เทศบาลตำบลลาดหญ้า |
|||
* เทศบาลตำบลหนองบัว |
|||
* เทศบาลตำบลปากแพรก |
|||
* เทศบาลตำบลท่ามะขาม |
|||
'''อำเภอไทรโยค''' |
|||
* เทศบาลตำบลน้ำตกไทรโยคน้อย |
|||
* เทศบาลตำบลวังโพธิ์ |
|||
* เทศบาลตำบลไทรโยค |
|||
'''อำเภอบ่อพลอย''' |
|||
* เทศบาลตำบลบ่อพลอย |
|||
* เทศบาลตำบลหนองรี |
|||
{{col-break}} |
|||
'''อำเภอศรีสวัสดิ์''' |
|||
* เทศบาลตำบลเอราวัณ |
|||
* เทศบาลตำบลเขาโจด |
|||
'''อำเภอท่ามะกา''' |
|||
* '''[[เทศบาลเมืองท่าเรือพระแท่น]]''' |
|||
* เทศบาลตำบลลูกแก |
|||
* เทศบาลตำบลท่ามะกา |
|||
* เทศบาลตำบลท่าไม้ |
|||
* เทศบาลตำบลพระแท่น |
|||
* เทศบาลตำบลหวายเหนียว |
|||
* เทศบาลตำบลดอนขมิ้น |
|||
* เทศบาลตำบลหนองลาน |
|||
* เทศบาลตำบลพระแท่นลำพระยา |
|||
{{col-break}} |
|||
'''อำเภอท่าม่วง''' |
|||
* '''เทศบาลเมืองกาญจนบุรี''' |
|||
* เทศบาลตำบลท่าม่วง |
|||
* เทศบาลตำบลสำรอง |
|||
* เทศบาลตำบลหนองขาว |
|||
* เทศบาลตำบลหนองตากยา |
|||
* เทศบาลตำบลวังขนาย |
|||
* เทศบาลตำบลวังศาลา |
|||
* เทศบาลตำบลท่าล้อ |
|||
* เทศบาลตำบลม่วงชุม |
|||
* เทศบาลตำบลหนองหญ้าดอกขาว |
|||
'''อำเภอทองผาภูมิ''' |
|||
* เทศบาลตำบลทองผาภูมิ |
|||
* เทศบาลตำบลสหกรณ์นิคม |
|||
* เทศบาลตำบลท่าขนุน |
|||
* เทศบาลตำบลลิ่นถิ่น |
|||
'''อำเภอสังขละบุรี''' |
|||
* เทศบาลตำบลวังกะ |
|||
{{col-break}} |
|||
'''อำเภอพนมทวน''' |
|||
* เทศบาลตำบลพนมทวน |
|||
* เทศบาลตำบลตลาดเขต |
|||
* [[เทศบาลตำบลหนองสาหร่าย]] |
|||
* เทศบาลตำบลรางหวาย |
|||
* เทศบาลตำบลดอนเจดีย์ |
|||
'''อำเภอเลาขวัญ''' |
|||
* เทศบาลตำบลเลาขวัญ |
|||
* เทศบาลตำบลหนองฝ้าย |
|||
'''อำเภอด่านมะขามเตี้ย''' |
|||
* เทศบาลตำบลด่านมะขามเตี้ย |
|||
'''อำเภอหนองปรือ''' |
|||
* เทศบาลตำบลหนองปรือ |
|||
* เทศบาลตำบลหนองปลาไหล |
|||
* เทศบาลตำบลสมเด็จเจริญ |
|||
'''อำเภอห้วยกระเจา''' |
|||
* เทศบาลตำบลห้วยกระเจา |
|||
* เทศบาลตำบลสระลงเรือ |
|||
{{col-end}} |
|||
== รายนามเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด == |
|||
{{col-begin}} |
|||
{{col-break}} |
|||
{| class="toccolours" |
|||
|+'''รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด''' |
|||
! width="50" style="background: Khaki;text-align: center;"| ลำดับ |
|||
! width="250" style="background: Khaki;text-align: center;"| ชื่อ |
|||
! width="200" style="background: Khaki;text-align: center;"| ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง |
|||
|- |
|||
| 1 || พระยาประสิทธิสงคราม || ''ไม่ทราบข้อมูล'' |
|||
|- |
|||
| 2 || พระยาประสิทธิสงคราม รามภักดีศรีวิเศษ (พระยาตาแดง) || 2368 - 2375 |
|||
|- |
|||
| 3 || พระยาประสิทธิสงคราม || 2375 - ? |
|||
|- |
|||
| 4 || พระยาประสิทธิสงคราม (น้อย) || ''ไม่ทราบข้อมูล'' |
|||
|- |
|||
| 5 || พระยาประสิทธิสงคราม || ''ไม่ทราบข้อมูล'' |
|||
|- |
|||
| 6 || พระยาประสิทธิสงคราม (ชัง) || ''ไม่ทราบข้อมูล'' |
|||
|- |
|||
| 7 || พระยาประสิทธิสงคราม (ขำ) || ''ไม่ทราบข้อมูล'' |
|||
|- |
|||
| 8 || พระยาประสิทธิสงคราม (สว่าง) || ''ไม่ทราบข้อมูล'' |
|||
|- |
|||
| 9 || พระยาประสิทธิสงคราม (โป) || ''ไม่ทราบข้อมูล'' |
|||
|- |
|||
| 10 || พระยาประสิทธิสงคราม (ขำ) || ''ไม่ทราบข้อมูล'' |
|||
|- |
|||
| 11 || พระยาประสิทธิสงคราม (แช่ม) || ? - 2442 |
|||
|- |
|||
| 12 || พระยาประสิทธิสงคราม (นุช มหานีรานนท์) || 2442 -2458 |
|||
|- |
|||
| 13 || พระยาสุรินทรฤๅชัย (จันทร์ ตุงคสวัสดิ์) || 10 มิ.ย. 2458 – 1 พ.ย. 2465 |
|||
|- |
|||
| 14 || พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ || 1 ก.พ. 2466 – 2 พ.ค. 2466 |
|||
|- |
|||
| 15 || หลวงอร่ามคีรีรักษ์ (ศุข หังศภูติ) || 3 พ.ค. 2466 – 28 ก.ย. 2466 |
|||
|- |
|||
| 16 || หลวงบำรุงบุรีราช (พงษ์ บุรุษชาติ) || 16 ก.ย. 2467 – 1 ก.พ. 2471 |
|||
|- |
|||
| 17 || พระยาวิเศษฤๅชัย (ม.ล.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) || 15 มี.ค. 2471 – 28 ต.ค. 2475 |
|||
|- |
|||
| 18 || พระวุฒิภาคภักดี (หอมจันทร์ สรวงสมบูรณ์) || 29 ต.ค. 2475 - 20 พ.ค. 2476 |
|||
|- |
|||
| 19 || พระประธานธุรารักษ์ (กลึง เสมรดิษฐ์) || 24 พ.ค. 2476 - 18 ต.ค. 2476 |
|||
|- |
|||
| 20 || พระบำรุงบุรีราช (วิง สิทธิเทศานนท์) || 1 เม.ย. 2477 – 4 มี.ค. 2478 |
|||
|- |
|||
| 21 || หลวงนครคุณูปถัมภ์ (หยวก ไพโรจน์) || 1 เม.ย. 2479 – 5 มิ.ย. 2481 |
|||
|- |
|||
| 22 || หลวงอัศวินศิริวิลาศ (อิน ศิริวิลาศ) || 6 มิ.ย. 2481 - 1 พ.ค. 2484 |
|||
|- |
|||
| 23 || หลวงทรงสารการ (เล็ก กนิษฐสุต) || 1 พ.ค. 2484 - 1 ก.ย. 2485 |
|||
|- |
|||
| 24 || ร้อยเอกสุรจิต อินทรกำแหง || 5 ก.ย. 2485 - 7 มี.ค. 2488 |
|||
|- |
|||
| 25 || พันตำรวจตรีขุนพิชัยมนตรี (ชื่น มนตริวัต) || 8 มี.ค. 2488 - 2 ต.ค. 2488 |
|||
|- |
|||
| 26 || นายทำนุก รัตนดิลก ณ ภูเก็ต || 6 ต.ค. 2488 - 18 มี.ค. 2489 |
|||
|- |
|||
| 27 || ขุนสนิทประชากร (ปลาด สนิทประชากร) || 18 มี.ค. 2489 - 12 ต.ค. 2489 |
|||
|- |
|||
| 28 || นายจรัส ธารีสาร || 17 ต.ค. 2489 - 6 ก.ย. 2490 |
|||
|- |
|||
| 29 || นายสง่า ศุขรัตน์ || 6 ก.ย. 2490 – 5 มี.ค. 2492 |
|||
|- |
|||
| 30 || พันตรีขุนทะยานราญรอน (วัชร วัชรบูล) || 9 เม.ย. 2492 - 1 มี.ค. 2494 |
|||
|- |
|||
| 31 || ขุนอักษรสารสิทธิ์ || 1 มี.ค. 2494 - 1 เม.ย. 2496 |
|||
|- |
|||
| 32 || ขุนสนิทประชากร || 1 มิ.ย. 2496 – 1 ต.ค. 2497 |
|||
|} |
|||
{{col-break}} |
|||
{| class="toccolours" |
|||
|+'''รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด (ต่อ) ''' |
|||
! width="50" style="background: Khaki;text-align: center;"| ลำดับ |
|||
! width="250" style="background: Khaki;text-align: center;"| ชื่อ |
|||
! width="200" style="background: Khaki;text-align: center;"| ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง |
|||
|- |
|||
| 33 || นายแสวง ชัยอาญา || 1 ต.ค. 2497 - 2 มี.ค. 2500 |
|||
|- |
|||
| 34 || นายเครือ สุวรรณสิงห์ || 2 มี.ค. 2500 - 23 พ.ค. 2500 |
|||
|- |
|||
| 35 || นายลิขิต สัตยายุทย์ || 1 ก.ค. 2500 – 25 ม.ค. 2509 |
|||
|- |
|||
| 36 || นายพัฒน์ พินทุโยธิน || 25 มี.ค. 2509 - 30 ก.ย. 2513 |
|||
|- |
|||
| 37 || นายวงษ์ ช่อวิเชียร || 1 ต.ค. 2513 – 30 ก.ย. 2514 |
|||
|- |
|||
| 38 || นายเวทย์ นิจถาวร || 1 ต.ค. 2514 - 30 ก.ย. 2517 |
|||
|- |
|||
| 39 || นายประเทือง สินธิพงษ์ || 1 ต.ค. 2517 - 28 พ.ค. 2520 |
|||
|- |
|||
| 40 || นายจำลอง พลเดช || 4 มิ.ย. 2520 - 23 มี.ค. 2521 |
|||
|- |
|||
| 41 || นายเจริญศุข ศิลาพันธุ์ || 27 มี.ค. 2521 - 1 ต.ค. 2523 |
|||
|- |
|||
| 42 || นายชาญ กาญจนาคพันธุ์ || 1 ต.ค. 2523 - 1 มิ.ย. 2524 |
|||
|- |
|||
| 43 || หม่อมหลวงภัคศุก กำภู ณ อยุธยา || 1 มิ.ย. 2524 - 30 ก.ย. 2528 |
|||
|- |
|||
| 44 || นายประกอบ แพทยกุล || 1 ต.ค. 2528 - 30 ก.ย. 2530 |
|||
|- |
|||
| 45 || นายปรีดา มุตตาหารัช || 1 ต.ค. 2530 - 30 ก.ย. 2532 |
|||
|- |
|||
| 46 || นายคงศักดิ์ ลิ่วมโนมนต์ || 1 ต.ค. 2532 - 30 ก.ย. 2534 |
|||
|- |
|||
| 47 || ร้อยตรีณรงค์ แสงสุริยงค์ || 1 ต.ค. 2534 - 30 ก.ย. 2535 |
|||
|- |
|||
| 48 || นายณัฎฐ์ ศรีวิหค || 1 ต.ค. 2535 - 30 ก.ย. 2537 |
|||
|- |
|||
| 49 || นายสุชาญ พงษ์เหนือ || 1 ต.ค. 2537 - 30 เม.ย. 2540 |
|||
|- |
|||
| 50 || นายขวัญชัย วศวงศ์ || 1 พ.ค. 2540 – 11 ม.ค. 2541 |
|||
|- |
|||
| 51 || นายดิเรก อุทัยผล || 12 ม.ค. 2541 - 30 ก.ย. 2541 |
|||
|- |
|||
| 52 || นายศักดิ์ เตชาชาญ || 1 ต.ค. 2541 - 30 ก.ย. 2542 |
|||
|- |
|||
| 53 || นายจเด็จ อินสว่าง || 1 ต.ค. 2542 - 29 ก.พ. 2543 |
|||
|- |
|||
| 54 || นายกำพล วรพิทยุต || 1 ม.ค. 2543 - 14 เม.ย. 2545 |
|||
|- |
|||
| 55 || นายประสาท พงษ์ศิวาภัย || 1 พ.ค. 2545 – 27 ต.ค. 2545 |
|||
|- |
|||
| 56 || นายรุ่งฤทธิ์ มกรพงศ์ || 28 ต.ค. 2545 - 9 ก.ค. 2547 |
|||
|- |
|||
| 57 || นายเชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์ || 1 ต.ค. 2547 - 12 พ.ย. 2549 |
|||
|- |
|||
| 58 || นายอำนาจ ผการัตน์ || 13 พ.ย. 2549 - 19 ต.ค. 2551 |
|||
|- |
|||
| 59 || นายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี || 20 ต.ค. 2551 - 30 ก.ย. 2553 |
|||
|- |
|||
| 60 || นายณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ || 1 ต.ค. 2553 - 24 พ.ย. 2554 |
|||
|- |
|||
| 61 || นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ || 29 ธ.ค. 2554 - 30 ก.ย. 2557 |
|||
|- |
|||
| 62 || นายวันชัย โอสุคนธ์ทิพย์ || 1 ต.ค. 2557 - 30 ก.ย. 2558 |
|||
|- |
|||
| 63 || นายศักดิ์ สมบุญโต || 1 ต.ค. 2558 - 4 เม.ย. 2560 |
|||
|- |
|||
| 64 || นายจิระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ || 1 ต.ค. 2560 - ปัจจุบัน |
|||
|} |
|||
{{col-end}} |
|||
== ประชากร == |
|||
{{Historical populations |
|||
| title = ประชากรจังหวัดกาญจนบุรีแบ่งตามปี |
|||
| type = none |
|||
| 2536 | 724,675 |
|||
| 2537 | 736,996 |
|||
| 2538 | 744,933 |
|||
| 2539 | 756,528 |
|||
| 2540 | 766,352 |
|||
| 2541 | 775,198 |
|||
| 2542 | 778,456 |
|||
| 2543 | 786,001 |
|||
| 2544 | 792,294 |
|||
| 2545 | 801,836 |
|||
| 2546 | 797,372 |
|||
| 2547 | 810,339 |
|||
| 2548 | 826,169 |
|||
| 2549 | 834,447 |
|||
| 2550 | 835,282 |
|||
| 2551 | 840,905 |
|||
| 2552 | 839423 |
|||
| 2553 | 839,776 |
|||
| 2554 | 838,914 |
|||
| 2555 | 838,269 |
|||
| 2556 | 842,882 |
|||
| 2557 | 848,198 |
|||
| 2558 | 882,146 |
|||
| 2559 | 885,112 |
|||
| 2560 | 887,979 |
|||
| footnote = อ้างอิง: [[กรมการปกครอง]] [[กระทรวงมหาดไทย (ประเทศไทย)|กระทรวงมหาดไทย]]<ref>สำนักบริหารการทะเบียน. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "จำนวนประชากรและบ้าน." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statTDD/ 2561. สืบค้น 6 กุมภาพันธ์ 2561.</ref> |
|||
}} |
|||
ตามข้อมูลจำนวนประชากรของสำนักทะเบียนกลาง [[กรมการปกครอง]] ณ วันที่ 31 ธันวาคม [[พ.ศ. 2560]] จังหวัดกาญจนบุรีมีประชากร 887,979 คน คิดเป็นอันดับที่ 25 ของประเทศ โดยแบ่งเป็นประชากรเพศชาย 446,262 คน และประชากรเพศหญิง 441,717 คน<ref name="stat">สำนักบริหารการทะเบียน. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "รายงานสถิติจำนวนประชากรและบ้าน ประจำปี พ.ศ. 2560 จังหวัดกาญจนบุรี." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statTDD/views/showDistrictData.php?rcode=71&statType=1&year=60 สืบค้น 28 พฤษภาคม 2561.</ref> มีความหนาแน่นประชากรโดยเฉลี่ย 43.53 คนต่อตารางกิโลเมตร คิดเป็นอันดับที่ 74 ของประเทศ อำเภอที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุด คือ [[อำเภอท่ามะกา]] ซึ่งมีความหนาแน่นประชากรเฉลี่ย 400.14 คนต่อตารางกิโลเมตร ส่วนอำเภอที่ประชากรเบาบางที่สุด คือ [[อำเภอศรีสวัสดิ์]] ซึ่งมีความหนาแน่นประชากรเฉลี่ย 8.09 คนต่อตารางกิโลเมตร |
|||
== ชาติพันธุ์ == |
|||
ในจังหวัดกาญจนบุรีมีประชากรหลายชาติพันธุ์ ได้แก่ |
|||
{{div col|colwidth=15em}} |
|||
* [[กะเหรี่ยง]] |
|||
* [[มอญ]] |
|||
* [[ญวน]] |
|||
* [[ไทดำ]] |
|||
* [[ไทยเชื้อสายจีน]] ([[แคะ]] [[แต้จิ๋ว]]) |
|||
* [[เขมร]] |
|||
* [[พม่า]] |
|||
* [[อุก๋อง]] |
|||
* [[โรฮีนจา]] |
|||
* [[ไทใหญ่]] |
|||
* [[ชาวไทพวน]] |
|||
* [[ลาวตี้]] |
|||
* [[ซอุโอจ]] |
|||
* [[ญี่ปุ่น]] |
|||
* [[ขมุ]] |
|||
* [[ลาวครั่ง]] |
|||
* [[ละว้า]] |
|||
* [[ปาทาน]] |
|||
{{div col end}} |
|||
== ภาษา == |
|||
มีกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในบริเวณต่าง ๆ ของภาษาไทยถิ่นกาญจนบุรี ทำให้เกิดภาษาต่าง ๆ ที่ใช้พูดกันในจังหวัดกาญจนบุรีมีทั้งสิ้น 11 ภาษา โดยแบ่งออกเป็น 4 ตระกูลภาษา ได้แก่ |
|||
# ภาษาตระกูลไต ได้แก่ ภาษาไทยภาษาลาวโซ่งภาษาลาวพวนและภาษาลาวครั่ง |
|||
# ภาษาตระกูลมอญ-เขมร ได้แก่ ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาขมุ |
|||
# ภาษาตระกูลกระเหรี่ยง ได้แก่ ภาษาละว้า (อุก่อง) |
|||
# ภาษาตระกูลทิเบต-พม่า ได้แก่ ภาษากระเหรี่ยง (ยาง) ภาษากระเหรี่ยงโปว์ ภาษาโพล่ว |
|||
ภาษาต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นมีภูมิลำเนากระจายอยู่ในบริเวณต่าง ๆ ของจังหวัดกาญจนบุรี ดังนี้ |
|||
* ภาษาไทย อยู่ทั่วไปในจังหวัดโดยเฉพาะในเขตเทศบาลและ อำเภอเมือง |
|||
* ภาษาลาวโซ่ง อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ อำเภอพนมทวน และ อำเภอบ่อพลอย |
|||
* ภาษาลาวครั่ง อำเภอด่านมะขามเตี้ย |
|||
* ภาษาลาวพวน อำเภอเลาขวัญ และ อำเภอพนมทวน |
|||
* ภาษามอญ อำเภอสังขละบุรี อำเภอเลาขวัญ และ อำเภอทองผาภูมิ |
|||
* ภาษาเขมร อำเภอไทรโยค อำเภอเลาขวัญ และ อำเภอศรีสวัสดิ์ |
|||
* ภาษาขมุ อำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละ และ อำเภอไทรโยค |
|||
* ภาษาละว้า อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ และ อำเภอศรีสวัสดิ์ |
|||
* ภาษากระเหรี่ยง (ยาง) ภาษากระเหรี่ยงโปว์ และภาษาโผล่ว อำเภอทองผาภูมิ อำเภอไทรโยค อำเภอศรีสวัสดิ์ อำเภอสังขละบุรี |
|||
นอกจากนี้ในจังหวัดกาญจนบุรียังมีกลุ่มคนที่พูดภาษาอื่น ๆ แต่โดยมากจะเป็นกลุ่มคนที่มีขนาดเล็กหรือเป็นกลุ่มคนที่พึ่งจะอพยพย้ายถิ่นที่อยู่มาจากที่อื่น และในแต่ละอำเภอภาษาที่ใช้พูดต่าง ๆ อาจจะมีจำนวนมากขึ้น ถึงแม้ว่าภาษาในจังหวัดกาญจนบุรีจะมีหลากหลายภาษา แต่ในปัจจุบันผู้คนส่วนมากพูดภาษากลาง ซึ่งมีสำเนียง “เหน่อ” ทั้งนี้ผู้คนในพื้นที่ต่าง ๆ ยังคงรักษาวัฒนธรรมทางภาษาดั้งเดิมไว้ เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้สืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามต่อไป |
|||
อีกประการหนึ่งพบว่า ระบบวรรณยุกต์ของภาษาไทยถิ่นกาญจนบุรีที่พูดกันที่อำเภอพนมทวน อำเภอท่าม่วง อำเภอด่านมะขามเตี้ย และ อำเภอห้วยกระเจา มีระบบวรรณยุกต์5 หน่วยเสียงเช่นเดียวกับภาษาไทยมาตรฐาน แต่ลักษณะการแยกเสียงรวมเสียงในกล่องวรรณยุกต์แตกต่างจากทั้งภาษาไทยมาตรฐานและภาษาไทยถิ่นกลางสำเนียงอื่น ๆ และพบว่าภาษาไทยถิ่นกาญจนบุรีที่พูดใน 4 อำเภอดังกล่าวมีสัทลักษณะของหน่วยเสียงวรรณยุกต์แตกต่างจากกัน ทำให้สามารถแยกภาษาถิ่นย่อยของภาษาไทยถิ่นกาญจนบุรีได้ นอกจากนี้พบว่าหน่วยเสียงวรรณยุกต์ทุกหน่วยเสียงมีการแปรของสัทลักษณะทั้งในแง่ของการขึ้น-ตก และระดับเสียงเมื่อปรากฏในบริบทต่าง ๆ โดยสัทลักษณะของหน่วยเสียงวรรณยุกต์ในคำชุดเทียบเสียงมีระดับเสียงและลักษณะการขึ้น-ตกของเสียงชัดเจนมากที่สุด และความชัดเจนจะลดน้อยลงเมื่อปรากฏในคำพูดต่อเนื่อง โดยที่หน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่ปรากฏในพยางค์ที่ลงเสียงหนักจะมีสัทลักษณะแตกต่างกันมากกว่าในพยางค์ที่ไม่ลงเสียงหนัก และในแต่ละตำบลของแต่ละอำเภอก็ยังมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไปในหมู่บ้านของแต่ละตำบลก็ยังแตกต่างกันออกไปอีก เช่น ที่อำเภอท่าม่วงซึ่งมีความหลากหลายของสำเนียงเหน่ออย่างเห็นได้ชัด |
|||
== วัฒนธรรม == |
|||
=== ความเชื่อ === |
|||
[[ไฟล์:Kanchanaburi Lak Mueang.jpg|220px|thumb|right|ศาลหลักเมืองกาญจนบุรี]] |
|||
กาญจนบุรีเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ฝั่งชายแดนทางภาคตะวันตกของประเทศไทย มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานทุกยุคสมัยต่อกันมาโดยไม่ขาดสาย ในการนับถือศาสนาของประชาชนในจังหวัดกาญจนบุรีจะมีทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู และรวมถึงศาสนาพราหมณ์ โดยศาสนาที่ประชาชนส่วนใหญ่ของจังหวัดกาญจนบุรีนับถือเป็นชาวพุทธ ศาสนาสถานต่าง ๆ มีวัดพุทธ 427 แห่ง สำนักสงฆ์ 170 แห่ง ที่พักสงฆ์ 104 แห่ง มัสยิด 3 แห่ง และโบสถ์คริสต์ 11 แห่ง ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจเริ่มต้นจากรูปแบบความเชื่อที่ถือกันว่าเก่าแก่ที่สุดนั่นคือการนับถือภูตผีปีศาจเหตุนี้จึงก่อให้มีหลากหลายศาสนาเกิดขึ้น เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าส่วนที่สำคัญในทุกวัฒนธรรมคือศาสนาเพราะศาสนามีผลต่อความรู้สึกนึกคิดประเพณีและเป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์ได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมอื่น ๆ อีกเป็นอันมาก เพื่อเป็นแนวทางในการสืบทอดประพฤติปฏิบัติ ชาวบ้านในจังหวัดกาญจนบุรียังได้มีความเชื่อและความนับถือตั้งแต่บรรพบุรุษในเรื่องของผีสาง เทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา เห็นได้ว่าการนับถือศาสนาและความเชื่อของคนกาญจนบุรีมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ นอกจากจะกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปแล้ว ยังกราบไหว้บูชาศาลพระภูมิและผีสางเทวดา และยังมีความเกี่ยวพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น นอกจากนี้ ยังมีลักษณะที่ผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับศาสนาพุทธและพราหมณ์ได้อย่างแนบสนิท ซึ่งจะยกตัวอย่างความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่ยาวนานที่สำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี |
|||
# '''หม้อยาย''' เป็นความเชื่อของชาวบ้านหนองขาว อำเภอท่าม่วง ที่ทุกบ้านจะมีหม้อดินแขวนไว้ ภายในหม้อบรรจุไวด้วยขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปคน เชื่อว่า ยายจะช่วยปกปักษ์รักษาให้ทุกคนในบ้านอยู่เย็นเป็นสุข |
|||
# '''ศาลพ่อแม่''' เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านในเรื่องพิธีกรรมความเชื่อมากกว่า 200 ปี ให้คุ้มครองและให้งานนั้น ๆ ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และครอบครัวมีความอยู่ดีมีสุข |
|||
# '''ศาลเจ้าพ่อโรงหนัง''' เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อที่ชาวบ้านให้การนับถือและเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านหนองขาวในการประกอบพิธีกรรม |
|||
# '''ศาลเจ้าพ่อขุนด่าน''' เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนชาวอำเภอศรีสวัสดิ์เคารพนับถือ โดยจะมีการจัดทำบุญขึ้นทุกปี ที่ชาวบ้านเรียกว่าทำบุญกลางบ้าน |
|||
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น แม่พญางิ้วดำ ศาลหลักเมืองกาญจนบุรี ความเชื่อห้ามผู้หญิงเดินเข้าไปในพระธาตุโบอ่อง ทั้งนี้ความเชื่อของชาวจังหวัดกาญจนบุรีเป็นวัฒนธรรมที่มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ ชื่นชมธรรมชาติมากกว่าจะเอาชนะธรรมชาติ มีความละเอียดลออ ประณีตพิถีพิถันตามแบบฉบับชีวิตชาวบ้านที่ไม่มีความรีบร้อน และยังเป็นวัฒนธรรมที่มีความอิสรเสรี แสดงออกถึงความสนุกสนาน ร่าเริง เน้นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ |
|||
=== วิถีชีวิต === |
|||
* การแต่งกาย ชาวจังหวัดกาญจนบุรีโดยทั่วไปยกเว้นคนไทยเชื้อสายต่าง ๆ เช่น พม่า มอญ กะเหรี่ยง จะมี การแต่งกายคล้ายคลึงกับชาวจังหวัดอื่นในภาคกลาง คือเมื่ออยู่กับบ้านจะแต่งกายสบาย ๆ ไม่พิถีพิถัน แต่เมื่อเวลา ไปงานเลี้ยง งานบุญ งานพิธี ก็จะแต่งกายพิถีพิถันสวยงามตามสมัยนิยม |
|||
* การกินอยู่ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของจังหวัดกาญจนบุรีเป็นป่าเขา มีแม่น้ำลำธารมาก ทำให้มีพืชผัก ของป่าหลายชนิดที่ชาวบ้านรู้จักและนำมาปรุงเป็นอาหารพื้นบ้านรับประทานกันตลอดมา ผักบางชนิดคนจังหวัดอื่นไม่รู้จัก เช่น ผักหวานป่า ผักกูด ผักหนาม ดอกอีนูน ดอกดิน ลูกตาลเสี้ยน เห็ดรวก เห็ดไผ่ |
|||
* อาหารพื้นบ้านมีอยู่หลายชนิดที่เป็นอาหารขึ้นชื่อที่ชาวต่างจังหวัดที่มาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีนิยมสั่งรับประทาน เช่น ยำเห็ดโคน ต้มยำปลายี่สก ปลารากกล้วยทอด แกงป่าปลาคัง และแกงป่าไก่ไทย นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกประเภทหนึ่งที่ชาวจังหวัดกาญจนบุรีนิยมทำรับประทานมาตั้งแต่สมัยโบราณ คือแกงป่าที่ปรุงจากวัตถุดิบที่หาได้จากป่า ปลาแม่น้ำ ข้าวต้มมัดไต้ ข้าวหลาม ขนมจีน วุ้นเส้น |
|||
* กิริยามารยาทชาวกาญจนบุรีจะเป็นแบบบ้าน ๆ เรียบง่ายถือคำสัตย์หากเป็นนักเลงก็เป็นนักเลงที่มีสัจจะอยู่กันแบบสันติไม่ชอบวิวาทกับใครแต่หากมีใครล่วงเกินก็ไม่ยอมใครเช่นกัน |
|||
* วิถีการดำเนินชีวิตแบบไทยเดิม ครอบครัวที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้องยังอยู่รวมกัน มีความเคารพตามลำดับอาวุโส |
|||
* รำเหย่ย เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวกาญจนบุรีมาแต่บรรพกาลราว ๆ 500 ปีเศษมาแล้ว จะเล่นกันในเทศกาลตรุษสงกรานต์ ปีใหม่ เป็นต้น วิธีการเล่นคือ ฝ่ายชายฝ่ายหญิงยืนล้อมวงกัน มีการร้องนำ ร้องแก้ และลูกคู่ ร้องรับพร้อมปรบมือเป็นจังหวะ |
|||
=== งานเทศกาลประเพณี === |
|||
* '''งานวันอาบน้ำแร่แช่น้ำตก''' จัดขึ้นบริเวณพุน้ำร้อนหินดาด หมู่ 5 ตำบลหินดาด อำเภอทองผาภูมิ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ภายในงานมีกิจกรรมออกร้านผลิตผลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร นิทรรศการการท่องเที่ยวของอำเภอทองผาภูมิ นักท่องเที่ยวยังจะได้อาบน้ำแร่ที่พุน้ำร้อนหินดาดและเที่ยวชมความงามของน้ำตกผาดาด |
|||
* '''งานเทศกาลชาวเรือชาวแพ''' จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ที่บริเวณถนนสองแคว ริมน้ำหน้าเมืองกาญจนบุรี ภายในงานมีกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน การแสดงมหกรรมลูกทุ่ง นิทรรศการทางวิชาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์แม่น้ำลำคลอง และการแข่งขันกีฬาทางน้ำประเภทต่าง ๆ อาทิ เรือยาว เรือเร็ว เจ็ตสกี เป็นต้น |
|||
* '''งานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว''' จัดขึ้นทุกปีบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว ในราวปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม เพื่อรำลึกถึงความสำคัญของการสร้างทางรถไฟสายมรณะและสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี การแสดงพื้นบ้าน การออกร้านจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ กิจกรรมบันเทิงและการแสดงแสงและเสียง |
|||
* '''งานสงกรานต์วัฒนธรรมหมู่บ้านหนองขาว''' บ้านหนองขาวคือหมู่บ้านที่มีการรักษาขนบธรรรมเนียมประเพณีเอาไว้ตลอดหลายชั่วอายุคน และมรดกเหล่านีถูกนำเสนอมาแสดงออกผ่านเทศการประจำปีของหมู่บ้านที่จัดในช่วงวันสงกรานต์ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ที่ชาวบ้านจะร่วมทำบุญตักบาตร จากนั้นในช่วงสายจะมีการประกวดธิดาเกวียนของแต่ละหมู่บ้าน การละเล่นพื้นบ้านต่าง ๆ ที่สร้างความสามัคคีขงอชาวบ้านภายในหมู่บ้าน การจำลองวิธีชิวีตของชาวบ้าน เช่น การทำขนมจีนสูตรพื้นบ้าน การทำตาลโตนต การทอผ้าซิ่น การแข่งขักิฬาเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้าน |
|||
* '''งานเทศการเห็ดโคน และอัญมณี อำเภอบ่อพลอย''' จัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ภาย ในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของเห็ดโคน ที่ยังไม่สามารถเพราะพันธ์ได้ การสาธิตแปรรูปอาหารจากเห็ดโคน สามารถเลือกชิมได้และยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการทำเหมืองพลอย การเจียระไนพลอย รวมถึงการออกร้านจำหน่ายอัญมณีจากหลายร้านด้วย |
|||
* '''งานสงกรานต์มอญ''' จัดขึ้ในช่วงวันที่ 13 -15 เมษยนของทุกปี ที่บริเวณวัดวังก์วิเวการาม ช่วงเช้าชาวบ้านมากหน้าหลายตาจะพากันมาทำบุญตักบาตร์อย่างเนื่องแน่น มีการก่อเจดีย์ทรายขนาดใหญ่ การรดน้ำพระสงฆ์มอญ และวันนี้ชาวมอญจะมีการแต่งตัวด้วยเสือผ้าแบบมอญที่สวยงาม มีกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน อย่างการละเล่นสะบ้าที่หาดูได้ยาก และมีอาหารพื้นบ้านแบบมอญให้ชิมด้วย |
|||
* '''ประเพณีฟาดข้าวชาวกะเหรี่ยง''' อยู่ที่ ต.ไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี เป็นงานประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานานแต่โบราณ นับว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น หรื่อความสามารถของผู้เฒ่าผู้แก่ที่จะให้ลูหลานมีความสมานสามัคคีกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังมาช่วยเหลือซื่งกันและกัน |
|||
* '''งานแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว "วันสร้างเมืองกาญจนบุรี"''' จัดขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อชาวจังหวัดกาญจนบุรีให้ประชาชนเกิดความสำนึกในคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นการสร้างเสริมอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์เมืองกาญจนบุรี และเพื่อให้ภาครัฐ เอกชนและประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรม |
|||
สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดนิทรรศการ และกิจกรรมออกร้านจำหน่ายสินค้าชุมชน ท้องถิ่น พร้อมทั้งชมการแสดงต่าง ๆ |
|||
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 มีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวเมืองกาญจนบุรีนานัปการ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯย้านเมืองกาญจนบุรีจากที่ตั้งเดิมมาที่ปัจจุบันและให้สร้างกำแพงเมืองกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2374 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ ทรงสร้างหลักเมือง วัดถาวรวราราม หรือวัดญวณ และได้ทรงบูรณะวัดเทวสังฆาราม พระอารามหลวง หรือวัดเหนือ นับว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์มีพระคุณยิ่งต่อชาวจังหวัดกาญจนบุรีและต่อประเทศไทย |
|||
* '''งานสมโภชศาลหลักเมืองกาญจนบุรี''' มีการจัดงานประจำปีศาลเจ้าพ่อหลักเมือง โดยมีพิธีทางสงฆ์และพิธีทางพราหมณ์ ในพิธีบวงสรวงนี้ มีทั้งพิธีทางสงฆ์และพิธีทางพรามณ์จะเป็นการอัญเชิญเทพยาดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สถิตปกปักรักษาเมืองกาญจนบุรี มารับการบวงสรวง ซึ่งพิธีบวงสรวงดังกล่าวได้มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของประชาชนในจังหวัดกาญจนบุรี ภายในงานจะมีสินค้าจำหน่ายให้กับผู้ที่มาเที่ยวชมภายในมากมาย นอกจากนี้กลางคืน ยังมีการแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปิน ที่มีชื่อเสียงและการแสดงมหรสพสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ |
|||
ศาลหลักเมืองกาญจนบุรี ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของประตูเมืองกาญจนบุรี ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีลักษณะเป็นอาคารทรงไทยจตุรมุข ตัวอาคารภายในเปิดโล่ง ภายในประดิษฐานเสาหลักเมืองเป็นเสาไม้หัวเม็ด สูง 1 เมตร ลงรักปิดทอง สร้างขึ้นในสมัยพระยาประสิทธิสงคราม หรือท่านรามภักดี ศรีวิเศษ ชาวกาญจนบุรีเรียกท่านว่า “เจ้าเมืองตาแดง” เป็นเจ้าเมืองคนที่สองในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทำนุบำรุงเมืองหลายอย่าง เช่น สร้างกำแพงเมือง ขุดคูเมือง ป้องปราการ ประตูเมืองและศาลหลักเมือง อีกทั้งยังได้สร้างศิลาจารึกประวัติการสร้างเมืองกาญจนบุรี ซึ่งยังคงมีอยู่ ณ ศาลหลักเมืองในปัจจุบัน ใช้อักษรภาษาไทยบันทึกเรื่องราวการสร้างเมืองกาญจนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2374 ศาลหลักเมืองกาญจนบุรี เป็นสถานที่เคารพสักการะบูชาของชาวเมืองกาญจนบุรีตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเทศบาลเมืองกาญจนบุรีได้จัดงานสมโภชศาลหลักเมืองขึ้นในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีเป็นเวลา 11 วัน 11 คืน |
|||
* '''ประเพณีสงกรานต์แห่ปราสาทผึ้ง''' เป็นประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน การทำบุญตักบาตร การสรงน้ำพระพุทธรูป การละเล่นพื้นบ้าน ชมการแสดงมหรสพ และร่วมสนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ ประเพณีการ แห่ปราสาทผึ้งของชาวหนองปรือเกิดขึ้นจากรากฐานความเชื่อของบรรพบุรุษของชาวหนองปรือที่มีเชื้อสายมาจากชาวเวียงจันทน์ซึ่งมีความเชื่อว่าการได้ถวายน้ำผึ้งเป็นพุทธบูชาจะได้อานิสงส์ยิ่ง ตามที่กล่าวไว้ในพุทธประวัติ จึงทำให้เกิดประเพณีการตีผึ้งขึ้นในเดือนเมษายน ชาวบ้านที่เป็นชายจะหยุดกิจการงานทั้งปวง เพื่อออกหาผึ้งและนำน้ำผึ้งมาถวายพระสงฆ์ ส่วนรังผึ้งชาวบ้านจะนำมารวมกันแล้วเคี่ยวทำเป็นเทียนจุดให้ แสงสว่างแก่พระสงฆ์เพื่อพระสงฆ์จะได้ใช้จุดให้แสงสว่างเวลาศึกษาพระธรรมในตอนกลางคืนหรือจุดบูชาพระ อีกส่วนหนึ่งจะนำมาทำเป็นปราสาท แกะสลักตกแต่งอย่างสวยงาม และแห่ไปถวายพระสงฆ์ที่วัดกิจกรรมภายในงาน ได้แก่ การแห่ปราสาทผึ้งด้วยริ้วขบวนรถที่มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ริ้วขบวนของชุมชนต่าง ๆ การทำบุญตักบาตรและสรงน้ำพระที่วัดของชุมชน การแสดงการละเล่นพื้นบ้านที่หา ชมได้ยากเป็นการละเล่นประจำถิ่น การชมมหรสพดนตรี และการออกร้านจำหน่ายสินค้า เลือกหาเลือกซื้อได้อย่างมากมาย |
|||
* '''งานบุญเดือน 10 ลอยเรือสะเดาะเคราะห์''' เป็นงานบุญประจำปีของชาวไทยเชื้อสายมอญ หรือแม้แต่ชาวมอญที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่าโดยยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน |
|||
สำหรับประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ชาวไทยรามัญอำเภอสังขละบุรี ถือเป็นงานประเพณีที่เป็นการสืบสานวัฒนธรรมเก่าแก่มายาวนาน และเป็นประเพณีตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายมอญ ที่ถือเป็นจุดรวมแห่งความมีศรัทธาต่อหลวงพ่ออุตตมะ ที่วัดวังก์วิเวการาม กำหนดจัด 3 วัน ในวันขึ้น 14-15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการบูชาเทวดาที่อยู่ในน้ำ ในป่า และบนบก อีกทั้งเพื่อสืบสานประเพณีดั้งเดิมของกลุ่มชน ตลอดทั้งเป็นการเผยแพร่ประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ให้แก่ชุมชน ประชาชน และนักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ |
|||
* '''ประเพณีรดน้ำต้นโพธิ์ และออกร้านตลาดนิพพาน''' ที่วัดวังก์วิเวการาม อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน และถือปฏิบัติกันในทุกวันเพ็ญเดือน ๖ นี้ด้วย นั่นคือ “ประเพณีรดน้ำต้นโพธิ์” ซึ่งแต่เดิมเป็นพิธีที่พุทธศาสนิกชนในพม่าปฏิบัติกันในวันวิสาขบูชา แต่สำหรับในประเทศไทยนั้น จะพบได้ที่ชุมชนชาวมอญสังขละบุรี ที่วัดวังก์วิเวการาม แห่งนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น |
|||
สำหรับความเป็นมาของประเพณีรดน้ำต้นโพธิ์ เกิดขึ้นในสมัยใดของเมืองมอญนั้นไม่ทราบแน่ชัด ส่วนในชุมชนคนมอญวัดวังก์วิเวการาม เมื่อครั้งยังตั้งชุมชนอยู่ที่อำเภอสังขละบุรีเก่า ก่อนจะถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ (บริเวณที่เป็น “เมืองบาดาล” ในปัจจุบัน) ยังไม่มีประเพณีนี้เกิดขึ้น เพราะไม่มีต้นโพธิ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออุตตมะเดินทางไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อนำมาประดิษฐานไว้บนยอดเจดีย์พุทธคยา หลวงพ่ออุตตมะได้อัญเชิญต้นหน่อพระศรีมหาโพธิ์ ที่ได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา มาพร้อมกันด้วย |
|||
เมื่อวันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2530 สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จมาทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ไว้ ที่บริเวณลานเจดีย์พุทธคยา ของวัดวังก์วิเวการาม ตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่ออุตตมะจึงได้รื้อฟื้นให้มีประเพณีรดน้ำต้นโพธิ์ขึ้น เหมือนที่เมืองมอญบ้านเกิดของท่าน ในทุกวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี โดยในช่วงเย็นถึงค่ำ ชาวมอญจะพร้อมใจกันนำน้ำอบ น้ำหอม น้ำสะอาดลอยด้วยดอกไม้ มาร่วมกันรดน้ำต้นพระศรีมหาโพธิ์ผ่านรางกระบอกไม้ไผ่ จนได้กลายมาเป็น “ประเพณีรดน้ำต้นโพธิ์” ของชุมชนมอญสังขละบุรี |
|||
* '''ประเพณียกธงสงกรานต์''' ประเพณีสำคัญของชาวเบญพาด ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ที่ชาวบ้านสืบต่อกันมามากกว่า 100 ปี ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่ 13 บ้านเบญพาด เล่าว่า เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ชาวบ้านจะร่วมกันทำธงตลอด 5 วัน คือตั้งแต่วันที่ 13 จนถึงพิธีแห่วันที่ 17 เม.ย. ของทุกปีเริ่มจากชาวบ้านแต่ละหมู่บ้าน จะเข้าไปหาต้นไผ่ลำต้นยาวตรงและมีกิ่งก้านแตกแขนง นำมาใช้เป็น “ธง” และจะช่วยกันเย็บผ้าผืนใหญ่ที่มีความยาวพอดีกับความสูงของต้นไผ่ ประดับด้วยลูกปัดสวยงาม ทำเป็น “ผ้าธง” อันเป็นสองส่วนประกอบหลักของธงสงกรานต์ ส่วนของกิ่งก้านบริเวณปลายต้นไผ่ชาวบ้านจะช่วยกันประดิษฐ์ของตกแต่ง เช่น ใยแมงมุม ดอกไม้ ปลาตะเพียนสาน นกสาน ตะกร้อ หรือแล้วแต่ธีมของหมู่บ้านนั้นที่ตกลงกัน ในอดีตของตกแต่งธงจะใช้พวกเศษผ้าสี ใบลาน ใบตาล ปุยฝ้าย หรือของประดิษฐ์จากธรรมชาติ |
|||
* '''ประเพณีตักบาตรดอกไม้''' ในจังหวัดกาญจนบุรีมีที่วัดดอนคราม ตำบลเขาน้อย อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เพียงที่เดียวประชาชนตำบลเขาน้อย จะร่วมตักบาตรดอกไม้ เนื่องในวันอาสาฬบูชา และเทศกาลเข้าพรรษาโดยเป็นประเพณีที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนาน จะมีประชาชนนำดอกไม้นานชนิดมาร่วมตักบาตรให้กับพระภิกษุสงฆ์ตามความเชื่อในสมัยพุทธกาล ก่อนที่จะนำไปถวายแด่องค์พระพุทธและถาวรวัตถุต่าง ๆ ภายในวัดดอนครามแห่งนี้ ถือเป็นประเพณีที่บุญกุศลอันยิ่งใหญ่และสวยงามจากพันธุ์ดอกไม้นานาชนิดโดยเฉพาะดอกบัว ดอกกระเจียว ดอกดาวเรืองจะที่เป็นที่นิยมนำมาใส่บาตรกัน |
|||
* '''ประเพณีร่อยพรรษา''' เป็นประเพณีที่ช่วยส่งเสริมทำนุบำรุงศาสนาให้คงอยู่โดยการสนับสนุนกำลังปัจจัยสิ่งของต่าง ๆ นำเข้าวัด โดยใช้เพลงร่อยพรรษาซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านของจังหวัดกาญจนบุรี เป็นการตั้งใจร้อง เพราะมีความศรัทธาในการทำบุญทางพระพุทธศาสนาเป็นหลัก |
|||
เพลงร่อยพรรษามักร้องก่อนวันออกพรรษา วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 11 เป็นต้นไป จนถึงวันออกพรรษา คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ผู้ร้องเพลงร่อยพรรษาส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุ จะร้องประมาณ 7 - 10 คน จะหาบกระบุงหรือตะกร้าออกเดินไปตามบ้านต่าง ๆ เมื่อเจ้าของบ้านได้ยินก็จะนำเงินหรือสิ่งของ ได้แก่ ข้าวสาร ขนม หรือผลไม้ ออกมาให้ หัวหน้าคนร่อยพรรษาก็จะนำไปถวายพระ เวลาออกไปร้องร่อยพรรษามักเป็นเวลากลางคืน เนื่องจากกลางวันคนมักจะออกไปทำนาทำไร่กันหมด |
|||
== โครงสร้างพื้นฐาน == |
|||
=== การศึกษา === |
|||
; อุดมศึกษา |
|||
* [[มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี]] |
|||
* [[มหาวิทยาลัยมหิดล]] [[มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี|วิทยาเขตกาญจนบุรี]] |
|||
* [[มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น]] |
|||
* มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติกาญจนบุรี |
|||
; โรงเรียน |
|||
* [[รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรี]] |
|||
=== สาธารณสุข === |
|||
{{div col}} |
|||
; โรงพยาบาลรัฐบาล |
|||
* โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี [[อำเภอเมืองกาญจนบุรี]] (ประจำจังหวัด) |
|||
* [[โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 (เจริญ สุวฑฺฒโน) จังหวัดกาญจนบุรี]] [[อำเภอท่าม่วง]] |
|||
* โรงพยาบาลมะการักษ์ [[อำเภอท่ามะกา]] |
|||
* โรงพยาบาลเจ้าคุณไพบูลย์ พนมทวน [[อำเภอพนมทวน]] |
|||
* โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต [[อำเภอไทรโยค]] |
|||
* โรงพยาบาลไทรโยค [[อำเภอไทรโยค]]ตอนล่าง |
|||
* โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย [[อำเภอด่านมะขามเตี้ย]] |
|||
* โรงพยาบาลทองผาภูมิ [[อำเภอทองผาภูมิ]] |
|||
* โรงพยาบาลสังขละบุรี [[อำเภอสังขละบุรี]] |
|||
* โรงพยาบาลศุกร์ศิริศรีสวัสดิ์ [[อำเภอศรีสวัสดิ์]] |
|||
* โรงพยาบาลบ่อพลอย [[อำเภอบ่อพลอย]] |
|||
* โรงพยาบาลสถานพระบารมีหนองปรือ [[อำเภอหนองปรือ]] |
|||
* โรงพยาบาลห้วยกระเจาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา [[อำเภอห้วยกระเจา]] |
|||
* โรงพยาบาลเลาขวัญ [[อำเภอเลาขวัญ]] |
|||
* โรงพยาบาลค่ายสุรสีห์ มณฑลทหารบกที่ 17 |
|||
{{div col end}} |
|||
; โรงพยาบาลเอกชน |
|||
* โรงพยาบาลกาญจนบุรีเมโมเรียล |
|||
* โรงพยาบาลธนกาญจน์ |
|||
* โรงพยาบาลแสงชูโต |
|||
== ที่สุดในประเทศไทย == |
|||
* ปราสาทขอมโบราณซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกที่สุด คือ [[ปราสาทเมืองสิงห์]] [[อำเภอไทรโยค]] จังหวัดกาญจนบุรี |
|||
* [[ทางหลวงพิเศษ]]ซึ่งเป็นสายแรกที่เชื่อมต่อไปยังประเทศพม่า นิยมเรียกว่า มอเตอร์เวย์สายบางใหญ่–บ้านโป่ง–กาญจนบุรี หรือ มอเตอร์เวย์สายตะวันตก [[ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81]] ผ่าน[[อำเภอบ้านโป่ง]] [[จังหวัดราชบุรี]], [[อำเภอท่ามะกา]] [[อำเภอท่าม่วง]] [[อำเภอเมืองกาญจนบุรี]] จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเส้นทางในการเชื่อมต่อท่าเรือน้ำลึกทวาย |
|||
* เขื่อนหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดของไทย คือ [[เขื่อนศรีนครินทร์]] (เจ้าเณร) [[อำเภอศรีสวัสดิ์]] จังหวัดกาญจนบุรี มีความจุ 17,745 ล้านลูกบาศก์เมตร |
|||
* กาญจนบุรีมีการปลูก[[อ้อย]]กันมากที่สุดในประเทศไทย |
|||
* ค้างคาวที่มีขนาดเล็กที่สุดคือ[[ค้างคาวคุณกิตติ]]ซึ่งพบได้ที่เดียวเท่านั้นคือที่จังหวัดกาญจนบุรี |
|||
== สถานที่สำคัญ == |
|||
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ในสมัย[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] มีอนุสรณสถานหลายแห่งปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐาน เช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว สุสานทหารสัมพันธมิตร พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด ฯลฯ |
|||
; อุทยาน |
|||
[[ไฟล์:Prasat Muang Sing Historical Park, Thakilen, Thailand (368971761).jpg|220px|thumb|[[อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์]]]] |
|||
{{div col}} |
|||
* [[อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์]] |
|||
* [[อุทยานแห่งชาติเขาแหลม]] |
|||
* [[อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์]] |
|||
* [[อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์]] |
|||
* [[อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ]] |
|||
* [[อุทยานแห่งชาติไทรโยค]] |
|||
* [[อุทยานแห่งชาติลำคลองงู]] |
|||
* [[อุทยานแห่งชาติเอราวัณ]] |
|||
{{div col end}} |
|||
; น้ำตก |
|||
{{div col}} |
|||
* [[น้ำตกเอราวัณ]] |
|||
* [[น้ำตกไทรโยคใหญ่]] |
|||
* [[น้ำตกไทรโยคน้อย]] |
|||
* [[น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น]] |
|||
* [[น้ำตกผาตาด]] |
|||
* [[น้ำตกผาสวรรค์]] |
|||
* [[น้ำตกทุ่งนางครวญ]] |
|||
* [[น้ำตกตะเคียนทอง]] |
|||
* [[น้ำตกไดช่องถ่อง]] |
|||
* [[น้ำตกเกริงกระเวีย]] |
|||
* [[น้ำตกคลีตี้]] |
|||
{{div col end}} |
|||
; น้ำพุร้อน |
|||
* น้ำพุร้อนหินดาด |
|||
; เขื่อน |
|||
* [[เขื่อนศรีนครินทร์]] |
|||
* [[เขื่อนวชิราลงกรณ์]] |
|||
* [[เขื่อนท่าทุ่งนา]] |
|||
* [[เขื่อนแม่กลอง]] |
|||
<gallery> |
|||
ไฟล์:เขื่อนศรีนครินทร์กาญจนบุรี.jpg| เขื่อนศรีนครินทร์ |
|||
ไฟล์:เขื่อนวชิราลงกรณ.jpg| เขื่อนวชิราลงกรณ์ |
|||
ไฟล์:เขื่อนท่าทุ่งนากาญจนบุรี.jpg| เขื่อนท่าทุ่งนา |
|||
</gallery> |
|||
; วัด |
|||
{{div col}} |
|||
* วัดสิริกาญจนาราม (ยุต) (วัดเขาพุรางบน) ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองกาญจนบุรี |
|||
* วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) (หลวง) |
|||
* [[วัดสระลงเรือ]] (เรือสุพรรณหงส์จำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก) |
|||
* วัดทิพย์สุคนธาราม (พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์) |
|||
* วัดสุนันทวนาราม |
|||
* [[วัดวังก์วิเวการาม]] (วัดหลวงพ่ออุตตมะ) |
|||
* วัดวังขนายทายิการาม (มีบ่อน้ำแร่) |
|||
* [[วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน]] (วัดเลี้ยงเสือ) |
|||
* วัดถ้ำเสือ-วัดถ้ำเขาน้อย |
|||
* วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ |
|||
* วัดถ้ำพรหมโลกเขาใหญ่ (พระอาจารย์วินัยธรวันชัย ปัญญาสาโร หลวงพ่อล้าน) |
|||
* วัดพ่อขุนเณร (เขื่อนศรีนครินทร์) |
|||
* [[วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร|วัดพระแท่นดงรัง]] (หลวง) |
|||
* วัดถาวรวราราม (วัดญวณ) |
|||
* วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) (หลวง) |
|||
* วัดบ้านถ้ำ (มังที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ) |
|||
{{div col end}} |
|||
; อื่น ๆ |
|||
[[ไฟล์:Bridge of the River Kwai.JPG|220px|thumb|สะพานข้ามแม่น้ำแคว (ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2552)]] |
|||
{{div col}} |
|||
* ท่าเรือปากแซง |
|||
* [[สะพานข้ามแม่น้ำแคว]] |
|||
* [[ทางรถไฟสายมรณะ]] |
|||
* [[สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก]] |
|||
* [[สุสานทหารสัมพันธมิตรเขาปูน]] |
|||
* [[สะพานอุตตมานุสรณ์]] |
|||
* พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า |
|||
* พิพิธภัณฑ์สงครามโลก] |
|||
* [[ช่องเขาขาด]] อำเภอไทรโยค |
|||
* [[สวนหินสมเด็จพระศรีนครินทร์]] |
|||
* [[ด่านเจดีย์สามองค์]] |
|||
* [[เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร]] |
|||
{{div col end}} |
|||
; สนามกีฬา |
|||
{{div col}} |
|||
* [[สนามกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี]] (สนามกลีบบัว) |
|||
* สนามกีฬา36 พรรษา สยามบรมราชกุมารี |
|||
* สนามกีฬาสมเด็จพระญาณสังวร |
|||
* สนามกีฬา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี |
|||
* สนามกีฬาท่าม่วง |
|||
* สนามกีฬาสังขละบุรี |
|||
{{div col end}} |
|||
== บุคคลสำคัญ == |
== บุคคลสำคัญ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:12, 22 มีนาคม 2562
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
จังหวัดกาญจนบุรี | |
---|---|
การถอดเสียงอักษรโรมัน | |
• อักษรโรมัน | Changwat Kanchanaburi |
คำขวัญ: แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่น้ำตก | |
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดกาญจนบุรีเน้นสีแดง | |
ประเทศ | ไทย |
การปกครอง | |
• ผู้ว่าราชการ | จีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ (ตั้งแต่ พ.ศ. 2560) |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 19,483.148 ตร.กม.[1] ตร.กม. (Formatting error: invalid input when rounding ตร.ไมล์) |
อันดับพื้นที่ | อันดับที่ 3 |
ประชากร (พ.ศ. 2561) | |
• ทั้งหมด | 893,151 คน[2] คน |
• อันดับ | อันดับที่ 25 |
• อันดับความหนาแน่น | อันดับที่ 74 |
รหัส ISO 3166 | TH-71 |
ชื่อไทยอื่น ๆ | ปากแพรก, ศรีชัยสิงหปุระ, เมืองกาญจน์ |
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด | |
• ต้นไม้ | ขานาง |
• ดอกไม้ | กาญจนิการ์ |
• สัตว์น้ำ | ปลายี่สก |
ศาลากลางจังหวัด | |
• ที่ตั้ง | ถนนแสงชูโต ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 71000 |
• โทรศัพท์ | 0 3451 1778 |
เว็บไซต์ | http://www.kanchanaburi.go.th/ |
จังหวัดกาญจนบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเชียงใหม่ และมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตก มีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 129 กิโลเมตร มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่าระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ทิศเหนือ จรดจังหวัดตากและจังหวัดอุทัยธานี ทิศใต้ จรดจังหวัดราชบุรี ทิศตะวันออก จรดจังหวัดสุพรรณบุรีและนครปฐม ทิศตะวันตก จรดประเทศพม่า
ประวัติ
ความเป็นมาของกาญจนบุรี เท่าที่มีการค้นพบหลักฐานนั้น ย้อนไปได้ถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อมีการค้นพบเครื่องมือหินในบริเวณบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี ล่วงมาถึงสมัยทวารวดี ซึ่งมีหลักฐานคือซากโบราณสถานที่ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี เป็นเจดีย์ลักษณะเดียวกับจุลประโทนเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งค้นพบโบราณวัตถุ เช่น พระพิมพ์สมัยทวารวดีจำนวนมาก[3] สืบเนื่องต่อมาถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-18 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบคือปราสาทเมืองสิงห์ ซึ่งมีรูปแบบศิลปะแบบขอม[3] สมัยบายน
กาญจนบุรียังปรากฏในพงศาวดารเหนือว่า กาญจนบุรีเป็นเมืองขึ้นของสุพรรณบุรีในสมัยสุโขทัย ครั้นมาถึงสมัยอยุธยา กาญจนบุรีก็มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการทำสงครามระหว่างกองทัพไทยกับพม่า จนกระทั่งถึงสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ เดิมตัวเมืองกาญจนบุรีเดิมนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลลาดหญ้า (บริเวณเขาชนไก่ในปัจจุบัน) ภายหลังจนถึง พ.ศ. 2374 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้ก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการขึ้นเป็นการถาวร ณ เมืองกาญจนบุรีใหม่โดยตั้งอยู่ ณ ตำบลปากแพรก อันเป็นสถานที่บรรจบของแม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย โดยตัวเมืองอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลองกับแม่น้ำแควใหญ่ ซึ่งมีความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์และด้านการค้า โดยเริ่มก่อสร้างเมืองเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2374 และสำเร็จในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 และได้แยกออกจากสุพรรณบุรีนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี ดังพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "แต่มีเมืองปากแพรกเป็นที่ค้าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมอยู่เหนือมากมีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งเมืองเสียที่ปากแพรกนี้เป็นทางไปมาแก่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ กว้าง 5 เส้น ยาว 10 เส้น 18 วา มีป้อม 4 มุมเมือง ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ 1 ป้อม" การสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่นี้ ดังปรากฏในศิลาจารึกดังนี้ ให้พระยาราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจเป็นพระยาประสิทธิสงครามรามภักดีศรีพิเศษประเทศนิคมภิรมย์ราไชยสวรรค์พระยากาญจนบุรี ครั้งกลับเข้าไปเฝ้าโปรดเกล้าฯ ว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองอังกฤษ พม่า รามัญ ไปมาให้สร้างเมืองก่อกำแพงขึ้นไว้จะได้เป็นชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง ในปัจจุบันกำแพงถูกทำลายลงโดยธรรมชาติและหน่วยราชการเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เหลือเพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองบางส่วน[3]
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการจัดรูปแบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล กาญจนบุรีถูกโอนมาขึ้นกับมณฑลราชบุรี[4] และยกฐานะเป็นจังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ. 2467
เหตุการณ์ที่ทำให้กาญจนบุรีมีชื่อเสียงไปทั่วโลก คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นได้ตัดสินใจสร้างทางรถไฟยุทธศาสตร์ จากชุมทางหนองปลาดุกในประเทศไทยไปยังเมืองทันบูซายัตในพม่า โดยเกณฑ์เชลยศึกและแรงงานจำนวนมากมาเร่งสร้างทางรถไฟอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งจากความเป็นอยู่ที่ยากแค้นและโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า ซึ่งภาพและเรื่องราวของความโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในกาญจนบุรี
ชื่อเรียกอื่น ๆ ของกาญจนบุรี เช่น เมืองกาญจน์ ปากแพรก ศรีชัยยะสิงหปุระ[5] (ซึ่งในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เรียกเมืองกาญจนบุรีว่า ศรีชัยยะสิงหปุระ) และเมืองขุนแผน เป็นต้น
ภูมิศาสตร์
อาณาเขตติดต่อ
ตามภูมิศาสตร์ที่ตั้ง จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคตะวันตก มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ 5 จังหวัด ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดตาก รัฐมอญ และรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า
- ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดอุทัยธานี และจังหวัดสุพรรณบุรี
- ทิศใต้ ติดกับจังหวัดนครปฐม และจังหวัดราชบุรี
- ทิศตะวันตก ติดกับรัฐมอญ และเขตตะนาวศรี ประเทศพม่า โดยมีแนวเขาสำคัญแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับพม่าคือทิวเขาถนนธงชัย และทิวเขาตะนาวศรี
ภูมิประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดเป็นป่าไม้และภูเขาสูง โดยเฉพาะพื้นที่ทางด้านเหนือและตะวันตกของจังหวัด ถึงแม้จังหวัดกาญจนบุรีจะมีเขตพื้นที่ติดกับจังหวัดตากทางด้านทิศเหนือ แต่ก็ไม่มีถนนเชื่อมต่อกัน เนื่องจากมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งเป็นมรดกโลกและมีป่าที่อุดมสมบูรณ์รกทึบสลับกับมีภูเขาอันสลับซับซ้อน หากจะเดินทางติดต่อกันต้องอ้อมไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดกำแพงเพชร แล้วจึงเข้าจังหวัดตาก ซึ่งมีระยะทางกว่า 490 กิโลเมตร และหากต้องการเดินทางไปอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดกาญจนบุรี จะต้องเดินทางย้อนลงมาทางใต้รวมระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร
ลักษณะภูมิประเทศจังหวัดกาญจนบุรี แบ่งออกได้ 3 ลักษณะดังนี้
- เขตภูเขาและที่สูง พื้นที่ทางด้านทิศเหนือของจังหวัด ได้แก่ บริเวณอำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ อำเภอศรีสวัสดิ์ และอำเภอไทรโยค มีลักษณะเป็นเทือกเขาต่อเนื่องมาจากเทือกเขาถนนธงชัยถัดไปทางด้านตะวันตกของจังหวัด เทือกเขาตะนาวศรีซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับประเทศพม่าทอดยาวลงไปทางด้านใต้ บริเวณนี้จะเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำที่สำคัญของจังหวัด คือ แม่น้ำแควใหญ่ และแม่น้ำแควน้อย ซึ่งในแถบนี้จะมีรอยเลื่อนอยู่หลายรอยและมักเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่บ่อยครั้ง
- เขตที่ราบลูกฟูก ได้แก่ พื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด มีลักษณะเป็นที่ราบเชิงเขาสลับกับเนินเขาเตี้ย ๆ อยู่บริเวณอำเภอเลาขวัญ อำเภอบ่อพลอย และบางส่วนของอำเภอพนมทวน
- เขตที่ราบลุ่มน้ำ ได้แก่ พื้นที่ทางด้านใต้ของจังหวัด ลักษณะเป็นที่ราบ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ อยู่บริเวณอำเภอท่ามะกา อำเภอท่าม่วง และบางส่วนของอำเภอพนมทวน อำเภอเมืองกาญจนบุรี
ภูมิอากาศ
- ฤดูร้อน ระหว่างกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม มีลมฝ่ายใต้พัดมาปกคลุม ทำให้มีอากาศร้อนอบอ้าวทั่วไป โดยมีอากาศร้อนจัดอยู่ในเดือนเมษายน
- ฤดูฝน ระหว่างกลางเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ในระยะนี้เป็นช่วงที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุม ทำให้มีฝนตกชุกโดยตกชุกที่สุดในเดือนกันยายน
- ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ โดยในช่วงนี้ ความกดอากาศสูงจากประเทศจีนและลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุม ทำให้อากาศหนาวเย็นและความแห้งแล้งแผ่ปกคลุมจังหวัดกาญจนบุรี
จังหวัดกาญจนบุรีมีอุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ย 22.7 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดโดยเฉลี่ย 36.0 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำที่สุดวัดได้ 3.7 องศาเซลเซียส (เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2517) อุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้ 44.2 องศาเซลเซียส (เมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2559) และมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1496.2 มิลลิเมตรต่อปี
ธรณีวิทยา
ในด้านทรัพยากรดิน พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดกาญจนบุรีมีภูเขาสลับซับซ้อน พื้นที่ที่เหมาะสำหรับเกษตรกรรมคือ ที่ราบระหว่างภูเขาซึ่งมีแม่น้ำและลำน้ำสายต่าง ๆ ไหลผ่าน เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีหินปูน หินแกรนิต หินแกรไนโอออไรท์ หินไนล์ หินดินดาน หินควอทโซฟีลไลท์ เป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน ที่ราบระหว่างหุบเขาและสองฝั่งแม่น้ำจึงมีลักษณะเป็นตะกอนที่เกิดจากการสลายตัวของหินดังกล่าวแล้วถูกน้ำพัดพามาทับถม และเนื่องจากพื้นที่ส่วนนี้มีหินปูนเป็นส่วนใหญ่ ดินจึงมีปฏิกิริยาเป็นกลางหรือเป็นด่าง มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงดี จึงเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชไร่ที่สำคัญของประเทศเช่น อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง และสับปะรด ส่วนในบริเวณที่ราบต่ำใช้ปลูกข้าวแต่มีเนื้อที่ไม่มากนัก
อุทกวิทยา
ในด้านทรัพยากรน้ำ จังหวัดกาญจนบุรีมีแหล่งน้ำที่สำคัญ 3 ประเภทคือ
- น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล ต้นกำเนิดของแหล่งน้ำบาดาลส่วนใหญ่มาจากน้ำฝนซึ่งตกสู่ผิวดินลงไปกับเก็บใต้ชั้นดิน พื้นที่ทางตอนบนและทางตะวันตกของจังหวัดซึ่งมีสภาพเป็นที่สูงภูเขา รองรับด้วยหินแปรปริมาณน้ำบาดาลจึงมีน้อยมาก ส่วนพื้นที่ทางตะวันออกและทางใต้ของจังหวัดเป็นที่ราบลุ่ม มีแหล่งน้ำบาดาลสามารถนำขึ้นมาใช้ได้ แต่ยังคงมีปริมาณน้อย
- น้ำผิวดิน แหล่งน้ำผิวดินมีต้นน้ำอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดถึงเขตจังหวัดอุทัยธานี ลักษณะทางน้ำเป็นร่องลึกในระหว่างหุบเขา มีธารน้ำบางสายไหลขึ้นไปทางเหนือสู่ประเทศพม่า แต่ลำธารส่วนใหญ่ไหลลงสู่แม่น้ำแควน้อยและแควใหญ่ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นแม่น้ำแม่กลอง ส่วนด้านตะวันออกมีลำตะเพินเป็นธารน้ำสำคัญของบริเวณนี้ แหล่งน้ำผิวดินที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำแควน้อย แม่น้ำแควใหญ่ (ศรีสวัสดิ์) แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำลำตะเพิน
- น้ำจากการชลประทาน จังหวัดกาญจนบุรีเป็นที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งเพื่อวัตถุประสงค์หลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่สิ่งที่ได้รับผลประโยชน์ตามมาคือการชลประทานที่สามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูก เขื่อนที่สำคัญ เช่น เขื่อนศรีนครินทร์ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ เขื่อนเขาแหลมในอำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละบุรี และเขื่อนวชิราลงกรณ์ในอำเภอท่าม่วง
- แหล่งน้ำที่สำคัญ
- แม่น้ำแควใหญ่ (แม่น้ำศรีสวัสดิ์)
- แม่น้ำแควน้อย (แม่น้ำไทรโยค)
- แม่น้ำแม่กลอง
- แม่น้ำบีคลี่
- แม่น้ำซองกาเลีย
- แม่น้ำรันตี
- แม่น้ำภาชี
- แม่น้ำสุริยะ (แม่น้ำทรยศ ไหลย้อนไปทางเหนือเข้าเขตพม่า)
- ทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์
- ทะเลสาบเขาแหลม
- ทะเลสาบท่าทุ่งนา
สัตว์ประจำถิ่น
- ค้าวคาวกิตติ ถูกค้นพบครั้งแรกปี พ.ศ. 2516 โดยกิตติ ทองลงยา นักสัตววิทยาของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย บริเวณถ้ำไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างทำการเก็บตัวอย่างค้างคาวในโครงการการสำรวจสัตว์ย้ายแหล่งทางพยาธิวิทยา กิตติพบค้างคาวที่มีขนาดเล็กมากซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน จึงได้ส่งตัวอย่างค้างคาวให้กับจอห์น เอ็ดวาร์ด ฮิลล์ (John Edward Hill) แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ ประเทศอังกฤษ เพื่อตรวจพิสูจน์และพบว่าค้างคาวชนิดนี้มีลักษณะหลายอย่างเป็นแบบฉบับของตนเอง สามารถที่จะตั้งเป็นสกุลและวงศ์ใหม่ได้ หลังจากกิตติเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ฮิลล์ได้จำแนกและตีพิมพ์ถึงค้างคาวชนิดนี้ และตั้งชื่อว่า Craseonycteris thonglongyai เพื่อเป็นเกียรติแก่กิตติ ทองลงยา ผู้ค้นพบค้างคาวชนิดนี้เป็นคนแรก สภาวะของค้างคาวคุณกิตติในประเทศพม่าไม่เป็นที่แน่ชัด และประชากรที่พบในประเทศไทยก็พบว่าจำกัดอยู่ในเพียงจังหวัดเดียว คือ จังหวัดกาญจนบุรี ทำให้ค้างคาวคุณกิตติอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ สาเหตุหลักเกิดจากการคุกคามจากมนุษย์ และการลดลงของถิ่นที่อยู่อาศัย
- ปลายี่สก ชาวกาญจนบุรีมีความผูกพันธุ์กับปลาชนิดนี้มากถึงได้มาเป็นสัญลักษณ์ตามถนน ที่เข้าสู่ตัวเมืองกาญจน์เราจะเห็นตามเสาหลอดไฟที่เรืองรอง แล้วก็จะมีปลาชนิดหนึ่งอยู่บนเสาไฟตามถนนผ่านเส้นทางศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี จะมีตัวสีทองเหลืองอร่าม อยู่บนยอดมองเห็นได้อย่างชัดเจนก่อนที่จะมีเขื่องศรีนครินทร์ ปลายี่สกไทยจะไปวางไข่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่หลากหลายการเดินทางมาผสมพันธุ์เสร็จแล้วก็จะกลับมาหากินตั้งแต่กาญจนบุรี ไปจนถึงสมุทรสงคราม เมื่อก่อนจะเจอปลาชนิดนี้บ่อยมาก แต่พอสร้างเขื่อนปลาชนิดนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ก็น้อยลงไป ตามระบบนิเวศน์ที่มีการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ก่อนคนเมืองกาญจน์ ส่วนใหญ่ปลาชนิดนี้อยู่ที่แม่น้ำแม่กลองเอาเป็นว่าขายกันเป็นล่ำเป็นสัน ก็ว่าได้เนื่องจากหาง่าย ตัวใหญ่เนื้ออร่อย เช่น ต้มยำ แกงส้ม ลวกจิ้มสำหรับนักรับประทานปลา ถ้ามาถึงกาญจนบุรีแล้ว ไม่ได้รับประทาน "แสดงว่ายังมาไม่ถึงก็ว่าได้"
- ปูพระพี่นาง พบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 บริเวณฝั่งลำห้วย ตำบลท่าแฉลบ อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี หลังจากนั้น ได้รับประทานอนุญาตจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ให้ใช้ชื่อว่า "ปูพระพี่นาง" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ปูป่า" มีกระดองสีแดงเลือดนก ขอบกระดอง ขอบเบ้าตา และปากเป็นสีแดงส้ม ขาเดินทั้ง 4 คู่ เป็นสีแดงเลือดนก ยกเว้นตรงปลายประมาณ 1 ใน 3 ของก้ามหนีบทั้ง 2 ข้าง เป็นสีขาว ปูพระพี่นางถือเป็นอีกหนึ่งปูน้ำจืดหายากของเมืองไทย
- ปูราชินี มีปากและขามีสีแดงและส้ม ก้ามมีสีขาว และกระดองมีสีน้ำเงินอมม่วง เชื่อว่าสามารถเปลี่ยนสีได้เรื่อย ๆ ตามฤดูกาล ตัวเต็มวัยมีขนาดประมาณ 12.5 มิลลิเมตร โดยทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขออนุญาตใช้ชื่อ สิริกิติ์ เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นเกียรติและเฉลิมฉลองครบรอบ 5 รอบของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และได้พระราชทานให้ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ปัจจุบันพบเป็นปูประจำถิ่นในป่าพรุน้ำจืดบริเวณลุ่มน้ำน้อย อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และอุทยานแห่งชาติไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และไม่เคยมีรายงานพบที่อื่นอีกเลย มีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
- ปูเจ้าฟ้า พบได้ในอำเภอทองผาภูมิ บริเวณน้ำตกและลำธาร
- ตะพาบแก้มแดง (อังกฤษ: Malayan solf-shell turtle; ชื่อวิทยาศาสตร์: Dogania subplana) เป็นตะพาบชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย ที่จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดชุมพร จัดเป็นตะพาบขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับสองที่พบในประเทศไทย (เล็กที่สุด คือ ตะพาบหับพม่า (Lissemys scutata)) กระดองสีเทาเข้มมีจุดสีดำทั่วไป หัวสีเทานวลมีรอยเส้นสีดำตลอดตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงส่วนท้ายกระดอง มีสีแดงที่แก้มและข้างคอ เมื่อยังเล็กมีจุดสีดำคล้ายดวงตากระจายไปทั่วกระดองเห็นชัดเจน ตะพาบที่พบที่จังหวัดตากและกาญจนบุรีมีสีเข้มกว่าและไม่มีสีแดงที่แก้ม มีจมูกยาว หางสั้น และมีขาเล็ก
- กริวดาว เป็นตะพาบที่หายากมากที่สุด มีความแตกต่างจากตะพาบหัวกบ คือ มีจุดสีเหลืองอ่อนเป็นวงกระจายอยู่บริเวณขอบกระดอง โดยที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามวัย เหมือนตะพาบหัวกบ ซึ่งถึงแม้จะเป็นตะพาบขนาดใหญ่แล้ว แต่ลายจุดนี้ยังคงเห็นได้ชัดเจน ซึ่งกิตติพงษ์ได้ระบุไว้ว่า ตะพาบแบบนี้ไม่ได้พบเห็นมานานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 หรือ พ.ศ. 2534 แล้ว และแต่เดิมก็พบเห็นได้ยากมาก ซึ่งถ้าใช้หลักการอนุกรมวิธานตามแบบปัจจุบัน เชื่อว่า กริวดาวต้องถูกจัดเป็นชนิดใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากมีความแตกต่างจากตะพาบหัวกบอย่างพอสมควร แต่เสียดายที่ไม่ได้มีการศึกษามากกว่านี้ เนื่องจากไม่มีตัวอย่างต้นแบบให้ศึกษา โดยตัวสุดท้ายที่ค้นพบและมีภาพถ่ายที่สมบูรณ์ มีขนาดยาวราว 30 เซนติเมตร น้ำหนัก 5 กิโลกรัม จับได้จากแม่น้ำแควใหญ่ ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529
บุคคลสำคัญ
- พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว - สถาปนาเมืองกาญจนบุรีใหม่
- สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท - กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
- พระองค์เจ้าขุนเณร - เชื้อพระวงศ์
- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก – สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
- พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวัตร (เจริญ กิ๊นเจี๊ยว) – เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย
- พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) – เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย
- พระสมณานัมวุฑฒาจารย์ไพศาลคณกิจ (โฝ พ็องเดี้ยว) - รองเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย
- พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธโชติ) – พระเกจิอาจารย์
- พระเทพเมธาภรณ์ (ประสงค์ วราสโย) - พระสงฆ์ไทย
- พระวิสุทธรังษี (เปลี่ยน อินฺทสโร) – อดีตเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพล
- หลวงปู่ยิ้ม จนฺทโชติ – พระเกจิอาจารย์
- พระโสภณสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) - พระเกจิอาจารย์
- พระราชอุดมมงคล (เอหม่อง อุตฺตมรมฺโภ) - พระเกจิอาจารย์
- พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) - เจ้าคณะภาค1
- พระเผด็จ ทตฺตชีโว - พระสงฆ์
- พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) - นายกรัฐมนตรีไทย
- บุญหลง พหลพลพยุหเสนา - ภริยานายกรัฐมนตรีไทย
- พิจ พหลพลพยุหเสนา - ภริยานายกรัฐมนตรีไทย
- กรรณาภรณ์ พวงทอง – นักแสดง
- พุทธิดา สมัยนิยม - มิสแกรนด์กาญจนบุรี
- จำรัส มังคลารัตน์ – นักการเมือง
- ฉัตรชัย เปล่งพานิช – นักแสดง
- ฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร – นักการเมือง
- ชาญ อังศุโชติ – นักการเมือง
- สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
- แมน เนรมิตร – นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เจ้าของผลงานเพลง "ชวนชม"
- ดวงตา คงทอง – นักร้อง
- นิภาภัทร สุดศิริ - นางสาวไทย พ.ศ. 2514
- สยามรัฐ บัวเจริญ - นักแสดง
- ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ
- ตี๋ ดอกสะเดา – นักแสดงตลก
- ธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ – นักการเมือง
- ธัญญ์ ธนากร – นักแสดง
- ธัญญา โสภณ – นักแสดง
- เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ – กวีไทย
- บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์ – อดีตนายกเทศมนตรีเมืองกาญจนบุรี
- ปฏิภาณ เพ็ชรพูล – นักฟุตบอลทีมชาติไทย
- สุพจน์ จดจำ - นักฟุตบอลอาชีพ
- ประเวศ วะสี – นักวิชาการด้านสาธารณสุขและการศึกษาชาวไทย
- ปราโมทย์ ธีระวิวัฒน์ – อดีตนักกีฬาแบดมินตันชายชาวไทย
- แผน สิริเวชชะพันธ์ – นักการเมือง
- พิจิตตรา สิริเวชชะพันธ์ – นักแสดง นางแบบ
- รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์ – อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ที่ปรึกษาทางด้านประวัติศาสตร์แก่กองทัพบก
- วิกรม กรมดิษฐ์ – นักธุรกิจและนักเขียนชาวไทย
- วิไล พนม – นักร้องลูกทุ่งชาวไทย
- วีระเดช โค๊ธนี – นักกีฬาฟันดาบ
- ศตวรรษ เศรษฐกร – นักร้องนักแสดงชาวไทย
- ศรชัย มนตริวัต – นักการเมือง
- สมคิด พงษ์อยู่
- สมศักดิ์ ชัยสงคราม – อดีตนักแสดงชาวไทย
- สุพจน์ จดจำ - นักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย
- สุเชาว์ นุชนุ่ม – นักฟุตบอลทีมชาติไทย
- หนึ่งเดียว ศักดิ์จารุพร – นักมวย
- ปฐมสิทธิ์ ปฐมโพธิ์ทอง - นักมวย
- อารีย์ วิรัฐถาวร – เล่นกีฬายกน้ำหนัก
- เดชา พิศสมัย – นักคาราเต้-โด ทีมชาติไทย
- สุทัตตา เชื้อวู้หลิม - นักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย
- หนึ่งเดียว ศักดิ์จารุพร - นักมวย
- เวฬุรีย์ ดิษยบุตร – มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2557 / นักแสดง / พิธีกรรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้ก
- นันทิกานต์ สิงหา – นักแสดง / พิธีกรรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้ก
- กิติพัทธ์ ชลารักษ์ – พิธีกรรายการเทยเที่ยวไทย
- ศักดา แก้วบัวดี – นักแสดงภาพยนตร์เทศกาลภาพยนตร์เมืองกาน
- อินทรีน้อย ลูกหนองไก่ขัน – นักมวยไทยในชุดลิเก
- เฉลียว ยางงาม – วีรบุรุษสงครามเวียดนาม
- ชนัตถ์ ดำรงเถกิงศักดิ์ – นักร้อง
- พินิจ จันทร์สมบูรณ์ – นักการเมือง
- ปารเมศ โพธารากุล – นักการเมือง
- นที รักษ์พลเมือง – คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- มนตรี มงคลสมัย – อดีตศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- นพดล อินนา – นักการเมือง
- สุชาติ หนองบัว – ราชองค์รักษ์พิเศษ
- อิสรพงศ์ ดอกยอ – นักร้อง
- รัชพงศ์ ทิวะธนเศรษฐ์ - นักแสดง
- จรัญ งามดี - นักแสดง
เมืองพี่เมืองน้อง
- จีน เขตการปกครองตนเองชนชาติอี๋เหลียงซาน มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน
อ้างอิง
- ↑ ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารและงานปกครอง. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ข้อมูลการปกครอง." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dopa.go.th/padmic/jungwad76/jungwad76.htm [ม.ป.ป.]. สืบค้น 18 เมษายน 2553.
- ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/pk/pk_57.pdf 2561. สืบค้น 5 กุมภาพันธ์ 2562.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 "ประวัติศาสตร์ จังหวัดกาญจนบุรี." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.oceansmile.com/K/Kanjanaburi/Kan1.htm สืบค้น 28 พฤษภาคม 2561.
- ↑ "ประวัติความเป็นมาของจังหวัดราชบุรี." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.finearts.go.th/fad1/parameters/km/item/ประวัติความเป็นมาของจังหวัดราชบุรี.html สืบค้น 28 พฤษภาคม 2561.
- ↑ “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” วิษัยนครตะวันตก .....ที่สาบสูญ สืบค้น 28 พฤษภาคม 2561.
ดูเพิ่ม
- รายชื่อวัดในจังหวัดกาญจนบุรี
- รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรี
- รายชื่อสาขาของธนาคารในจังหวัดกาญจนบุรี
- รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดกาญจนบุรี