สงครามบางแก้ว
สงครามที่บางแก้ว | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามสยาม-พม่า | |||||||
![]() สงครามที่บางแก้ว | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
![]() |
![]() | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() | ||||||
กำลัง | |||||||
5,000 คน[1] | 20,000 คน[2] |
สงครามบางแก้ว หรือ ยุทธการที่บางแก้ว หรือ การรบที่บางแก้ว หรือ นางแก้ว เป็นความขัดแย้งทางการทหารระหว่างพม่าภายใต้ราชวงศ์โก้นบองกับสยามภายใต้อาณาจักรธนบุรีภายใต้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในเดือนกุมภาพันธ์–เมษายน 2318 ซึ่งอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพของพม่าได้ส่งกองทัพเดินทางเข้ามารุกรานตะวันตกของสยามทางด่านพระเจดีย์สามองค์ กองทัพพม่ายกเข้ามาตั้งมั่นที่บางแก้วในจังหวัดราชบุรีในปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชโองการให้กองทัพสยามล้อมกองทัพพม่าที่บางแก้วไว้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้พม่าอดอยากและยอมจำนนต่อสยามในที่สุด[3]
เหตุการณ์นำ
[แก้]
กบฎมอญต่อพม่า พ.ศ. 2317
[แก้]ในปี 2315 พระเจ้าศิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นประเทศราชของพม่า[2] ได้กราบทูลพระเจ้ามังระว่าแม้กรุงศรีอยุธยาจะแตกในปี 2310 แต่สยามก็ฟื้นคืนมาได้ภายใต้การนำของพระยาตากหรือพระเจ้าตาก พระเจ้ามังระมีพระราชดำริว่า หากปล่อยให้สยามและสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงฟื้นฟูสยามขึ้นเป็นปึกแผ่นขึ้นมาอีกจะเป็นภัยอันตรายในอนาคต สมควรที่จะจัดทัพพม่าเข้าไปปราบปรามสยามให้ราบคาบอีกครั้ง พระเจ้ามังระจึงแต่งตั้งเจ้าเมืองพุกาม หรือปะกันหวุ่น ชื่อว่าแมงยีกามะนีจันทา (Mingyi Kamani Sanda)[2] เป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะคนใหม่ และมอบหมายให้จัดแจงเตรียมเสบียงอาหารสำหรับการรุกรานตะวันตกของสยาม
พระราชพงศาวดารของไทยระบุว่า เมื่อ พ.ศ. 2317 พระเจ้ามังระส่งทหารพม่าเพิ่มเติมอีก 5,000 นาย[4] ไปยังเมาะตะมะ และทรงมีพระราชโองการให้ปะกันหวุ่นยกทัพมารุกรานสยาม ปะกันหวุ่นสั่งให้กองกำลังมอญ 2,000 นายเป็นทัพหน้า ผู้นำชาวมอญได้แก่พระยาเจ่งและตะละเกล็บได้นำทัพหน้ามอญไปทางตะวันตกของสยาม อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ผู้นำชาวมอญเดินทัพออกจากเมาะตะมะไปยังสยาม ปะกันหวุ่นได้ขู่กรรโชกเงินจากครอบครัวชาวมอญในเมาะตะมะเพื่อสมทบทุนในการรบ[2] ผู้นำชาวมอญเมื่อรู้ว่าพม่าปฏิบัติต่อครอบครัวของพวกเขาอย่างทารุณ จึงตัดสินใจกบฏต่อพม่า พระยาเจ่งกับตะละเกล็บได้เมาะตะมะคืนมาจากพวกพม่า ปะกันหวุ่นหนีไปย่างกุ้ง พระยาเจ่งและกองทัพมอญของเขาติดตามพวกปะกันหวุ่นไปยังย่างกุ้ง ซึ่งพวกเขายึดเมืองได้ครึ่งหนึ่ง แต่ถูกกองกำลังของพม่าขับไล่ พระยาเจ่ง ตะละเกล็บและผู้นำชาวมอญคนอื่น ๆ พร้อมครอบครัวได้ลี้ภัยมาอยู่ในสยาม[4] เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้ชาวมอญจำนวนมากอพยพจากเมาะตะมะเข้าสู่สยามผ่านด่านแม่ละเมาและด่านพระเจดีย์สามองค์เพื่อหลบหนีจากการประหัตประหารของพม่า[3]
พระเจ้ามังระและเหล่าข้าราชบริพารเดินทางจากเมืองอังวะลงมาย่างกุ้งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2317 เพื่อยกฉัตรพระเจดีย์ชเวดากองให้สูงขึ้น[5] พระเจ้ามังระเสด็จไปถามพญาทะละอดีตกษัตริย์หงสาวดีซึ่งถูกคุมขังทางการเมืองในย่างกุ้งตั้งแต่ปี 2300 ว่ามีส่วนรู้เห็นในการกบฏมอญครั้งนี้หรือไม่ พญาทะละนอกจากยอมรับข้อกล่าวหาแล้วยังกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นพระเจ้ามังระ พระเจ้ามังระจึงมีพระราชโองการให้ลงพระอาญาประหารชีวิตพญาทะละ พร้อมทั้งอนุชาคือพระอุปราช พระโอรสชื่องะตา (Nga Ta)[2] ในเดือนพฤศจิกายนปี 2317 พระเจ้ามังระมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มหาสีหสุระ หรืออะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงจากสงครามจีน–พม่า ยกทัพมารุกรานสยามครั้งใหม่[2]
สงครามเชียงใหม่ พ.ศ. 2317
[แก้]ในเดือนธันวาคมปี 2317 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนำทัพสยามไปยึดเมืองเชียงใหม่ที่พม่ายึดครองไว้ สมเด็จพระเจ้าตากสินและไพร่พลของพระองค์ลงไปถึงเมืองตาก ซึ่งใบบอกเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวมอญที่เข้ามาในสยามและกองทัพพม่าที่ติดตามได้นำขึ้นกราบทูลต่อพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพบกับผู้นำชาวมอญผู้ลี้ภัย ก่อนเสด็จกลับขึ้นไปทางเหนือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระบัญชาให้กองทหารสยามจำนวน 2,000 นาย[6] คอยป้องกันชายแดนไม่ให้ถูกพม่ารุกรานจากทางด่านแม่ละเมา ต่อมาฝ่ายกองกำลังพม่าได้ติดตามชาวมอญเข้ามาจนถึงบ้านนาเกาะดอกเหล็กและด่านสตอง พระราชฤทธานนท์จึงนำความขึ้นไปทูลที่ลำพูนว่าทัพพม่าเข้ามาแล้วทางบ้านนายังไม่มีทัพคอยรับ จึงมีพระราชโองการให้พระเจ้าหลานเธอ เจ้ารามลักษณ์ ตั้งทัพป้องกันพม่าด่านทางเมืองตาก และให้พระยากำแหงวิชิตรักษาด่านบ้านนาเกาะดอกเหล็ก
หลังจากที่ทรงมีชัยชนะได้เมืองเชียงใหม่แล้ว ในเดือนมกราคมพ.ศ. 2318 พระเชียงทองกราบทูลขึ้นไปว่าทัพพม่ามาถึงด่านแม่ละเมาแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงรีบเสด็จยกทัพจากเชียงใหม่ลงมาถึงเมืองตากในเดือนกุมภาพันธ์ มีพระราชโองการให้หลวงมหาเทพและจมื่นไวยวรนาถ[1]ยกทัพหน้าจำนวน 2,000 คน เข้าตีทัพพม่าที่แม่ละเมาแตกพ่ายไปในการรบที่ด่านแม่ละเมา และมีพระราชโองการให้พระกำแหงวิชิตที่บ้านระแหงยกติดตามไปโจมตีทัพพม่าที่ถอยไป จากนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จจากบ้านระแหงกลับคืนกรุงธนบุรีในเดือนกุมภาพันธ์นั้น มีชาวมอญเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทางด่านแม่ละเมาเมืองตาก จำนวน 4,335 คน[1] พระราชทานข้าวปลาอาหาร และจัดเรือส่งชาวมอญลงมายังกรุงธนบุรี
การเตรียมทัพของฝ่ายพม่า
[แก้]พระเจ้ามังระมีพระราชโองการให้แมงเยชัยจอ (Minye Zeyakyaw) ขุนนางพม่าซึ่งเคยมีหน้าที่ควบคุมดูแลพญาทะละ บัดนี้พญาทะละถูกประหารชีวิตไปแล้วให้กองของแมงเยชัยจอไปสมทบรวมกันกับทัพของอะแซหวุ่นกี้ที่เมาะตะมะเพื่อเข้าโจมตีสยาม เมื่ออะแซหวุ่นกี้ทราบว่าทัพสยามตั้งอยู่ที่เมืองตาก จึงมีคำสั่งให้ส่งกองกำลังของแมงเยชัยจอยกทัพพม่าข้ามผ่านด่านเจดีย์สามองค์เพื่อเข้าโจมตีสยามทางกาญจนบุรีอีกด้านหนึ่ง แต่แมงเยชัยจอแย้งว่า ส่งกองกำลังไปขนาดเล็กอาจถูกทัพสยามดักซุ่มโจมตีได้ ควรจะส่งทัพหลวงใหญ่ไปเลยทีเดียว อะแซหวุ่นกี้ยังยืนยันคำสั่งเดิม ให้เหตุผลว่าทางช่องด่านเจดีย์สามองค์นั้นเสบียงน้อยไม่สามารถรองรับทัพขนาดใหญ่ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างอะแซหวุ่นกี้และแมงเยชัยจอ[7] แมงเยชัยจอไม่พอใจจึงขัดคำสั่งของอะแซหวุ่นกี้ ถอนทัพของตนออกจากสงครามตั้งอยู่ที่เมืองเมาะตะมะไม่ไปที่ใด
อะแซหวุ่นกี้จึงให้ฉับกุงโบ หรือฉัพพะกุงโบ (Satpagyon Bo)[7] หรือในพงศาวดารไทยเรียกว่า งุยอคุงหวุ่น เป็นแม่ทัพ นำกองกำลังพม่า 5,000 คน เข้ารุกรานสยามทางด่านเจดีย์สามองค์ ฉับกุงโบเป็นแม่ทัพพม่าซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการรบกับไทย[7] เข้าร่วมในสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
สงครามบางแก้ว
[แก้]พม่าบุกสยามทางตะวันตก
[แก้]
เขียว หมายถึง เส้นทางเดินทัพพม่า
แดง หมายถึง เส้นทางเดินทัพสยาม
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2317 ฉับกุงโบและอุตตมสิงหจอจัว แม่ทัพพม่า ยกทัพหน้าพม่าเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ และให้แมงเยรานนอง (Minye Yannaung)[7] หรือ ตะแคงมระหน่อง ยกทัพอีก 3,000 คน เข้ามาสมทบ พระยายมราช (หมัด) มีหน้าที่ป้องกันการรุกรานของพม่าทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ฉับกุงโบเอาชนะพระยายมราช (หมัด) ที่ท่าดินแดง พระยายมราชถอยทัพกลับกรุงธนบุรีและกราบทูลสมเด็จพระเจ้าตากสินเกี่ยวกับการรุกรานของพม่าที่กำลังจะมาถึง[1]
พระองค์มีพระราชโองการให้เจ้าฟ้าจุ้ย พระราชโอรส และเจ้ารามลักษ์ พระราชนัดดานำทัพหน้าจำนวน 3,000 นายไปสู้รบกับพม่าทางทิศตะวันตก สมเด็จพระเจ้าตากสินยังได้มีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ซึ่งอยู่ที่เชียงใหม่ลงมาทางใต้เพื่อป้องกันพระนครจากการถูกพม่าโจมตี และให้นำกองทัพฝ่ายเหนือลงมาเพื่อตั้งรับทางทิศตะวันตก สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระบรมราชโองการให้กองทัพจากทางเหนือที่กลับมาทั้งหมดอย่าแวะเข้าบ้าน เพื่อเร่งระดมกำลังไปราชบุรี ขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งชื่อพระเทพโยธาบังเอิญแวะเยี่ยมบ้าน สมเด็จพระเจ้าตากสินพิโรธมากจึงนำพระเทพโยธามาประหารด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองบนแพ[8][1]
เนื่องจากสยามได้รวบรวมผู้ลี้ภัยชาวมอญไว้เป็นจำนวนมาก สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดให้จัดตั้งกองมอญหรือกองทหารอาสาชาวมอญขึ้นเพื่อรับสมัครผู้ลี้ภัยชาวมอญเพื่อต่อสู้กับพม่า[9] ทรงแต่งตั้งขุนนางชาวมอญชื่อ มะโดด ซึ่งเคยเป็นขุนนางในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาที่ หลวงบำเรอภักดิ์[10] เป็น พระยารามัญวงศ์ ผู้บัญชาการกองมอญหรือกองทหารอาสามอญ สมเด็จพระเจ้าตากสินยังได้ทรงแต่งตั้งผู้นำมอญคือ พระยาเจ่ง เป็นพระยาเกียรติและตะละเกล็บเป็นพระยาราม ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้บังคับบัญชาในกองทหารอาสามอญ
ฉับกุงโบเข้ายึดเมืองกาญจนบุรีอย่างรวดเร็ว กองทัพพม่าเข้าสู่สยามทางตะวันตกมาจนถึงนครปฐมซึ่งห่างจากกรุงธนบุรีไปทางทิศตะวันตกเพียง 50 กิโลเมตรเท่านั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้พระยาพิชัยไอศวรรย์ (หยาง จิ้นจง) เสนาบดีชาวจีนของพระองค์ซึ่งขณะนั้นเป็นว่าที่โกษาธิบดีนำทัพ 1,000 นายไปขับไล่พม่าที่นครปฐมและนครชัยศรี[8][1]
การล้อมพม่าที่บางแก้ว
[แก้]ตะแคงมระหน่อง แม่ทัพใหญ่ในการรบครั้งนี้ พร้อมด้วยทหารพม่าจำนวน 5,000 นาย พักทัพที่ปากแพรก (ปัจจุบันคือที่ตั้งของอำเภอเมืองกาญจนบุรี) ตะแคงมระหน่อง สั่งให้ฉับกุงโบ หรือ งุยอคงหวุ่น นำทัพหน้า 2,000 นายล่องไปตามแม่น้ำแม่กลองไปยังราชบุรี งุยอคงหวุ่นและอุตตมสิงหจัวจอตั้งค่ายกองทัพพม่าที่บ้านบางแก้ว (ปัจจุบันคือบางแก้ว อำเภอโพธาราม) ห่างจากตัวเมืองราชบุรีไปทางเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร[8][1] เจ้าฟ้าจุ้ยมีพระบัญชาให้กองทัพสยามมาตั้งค่ายดังนี้
- เจ้ารามลักษณ์นำกำลังพล 1,000 นายมาล้อมพม่าที่บางแก้วทางด้านตะวันออก
- หลวงมหาเทพนำกำลังพล 1,000 นาย ล้อมพม่าที่บางแก้วทางด้านตะวันตก
- พระยายมราช (หมัด) ตั้งมั่นอยู่ที่บ้านหนองขาว (ตำบลหนองขาว อำเภอท่าม่วง ในปัจจุบัน) ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปทางทิศตะวันตกประมาณ 10 กิโลเมตร เพื่อสกัดทัพของตะแคงมระหน่อง
เจ้าฟ้าจุ้ยได้ตั้งค่ายใหญ่ขึ้นที่โคกกระต่ายทางใต้ของบางแก้ว การล้อมพม่าที่บางแก้วเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2318
ก่อนเสด็จออกทำสงคราม สมเด็จพระเจ้าตากสินได้มอบหมายให้เจ้าบุญจันทร์ พระราชนัดดา และขุนนางผู้ใหญ่ชื่อเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (คือพระยาธิเบศรบดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา) เป็นผู้สำเร็จราชการที่กรุงธนบุรีในช่วงที่พระองค์ไม่อยู่ สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จออกจากกรุงธนบุรีเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2318 โดยมีกองเรือหลวงประกอบด้วยทหาร 8,663 นาย และปืนใหญ่ขนาดเล็ก 277 กระบอก[8][1] กองเรือหลวงพักอยู่ที่เมืองสมุทรสาครก่อนมุ่งหน้าสู่ราชบุรี งุยอคงหวุ่นมั่นใจมากเกินไปในประสบการณ์ในการทำสงครามกับสยามและยอมให้สยามมาล้อมค่ายของเขา[7][8] ตั้งค่ายอยู่นิ่งเฉยปล่อยให้ฝ่ายไทยตั้งค่ายล้อมไว้ที่บางแก้ว คิดว่าจะสามารถตีฝ่าวงล้อมของฝ่ายออกมาอย่างง่ายดาย ฝ่ายพม่าร้องออกมาเป็นภาษาไทยว่า "ตั้งค่ายมั่นแล้วฤๅยัง" ฝ่ายไทยตอบกลับว่า "ยังไม่ได้มั่น แต่บัดนี้ตั้งค่ายล้อมพม่าไว้รอบแล้ว"[8] ฝ่ายไทยตั้งค่ายล้อมพม่าที่บางแก้วไว้ถึงสามชั้น พระยาวิจิตรนาวีกลับจากบางแก้วมากราบทูล ว่าทัพฝ่ายไทยได้เข้าล้อมค่ายพม่าที่บางแก้วไว้มิดชิดหมดสิ้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงเสด็จจากราชบุรี ไปบางแก้วทอดพระเนตรค่ายล้อมบางแก้ว มีพระราชโองการให้พระยารามัญวงษ์ (มะโดด) หลวงบำเรอภักดิ์ และหลวงราชเสนา ไปตั้งค่ายที่เขาชะงุ้มอีกค่ายหนึ่ง ทางตะวันตกของบางแก้ว และให้เจ้าพระยาอินทรอภัยไปตั้งที่สระน้ำเขาชั่วพราน (เขาช่องพราน) อีกสามค่าย จำนวน 300 คน
ขุนปลัดเมืองราชบุรีมากราบทูลว่า พม่าจากเมืองทวายยกมาทางด่านเจ้าขว้าวประมาณ 2,000 คน จับชาวด่านไปได้สองคน จะยกมาทางด่านเจ้าขว้าวอีกหรือไม่ไม่ทราบชัด[8][1] จึงมีพระราชโองการให้พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจุ้ย และพระยาราชาเศรษฐี (ตั้งเลี้ยง หรือ เฉินเหลี่ยน) ยกทัพลงไปรักษาค่ายเมืองราชบุรี ให้รื้อค่ายไปทั้งที่ริมแม่น้ำทั้งหมดปักขวากหนามรายรอบ
เนเมียวแมงละนรธา แม่ทัพพม่าจากปากแพรก ยกทัพ 1,000 คน[1] มารบกับเจ้าพระยาอินทรอภัยที่เขาชั่วพรานถึงสามครั้งในคืนเดียว สมเด็จพระเจ้าตากสินจะเสด็จยกไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอภัย แต่พระยาเทพวรชุนและหลวงดำเกิงรณภพห้ามไว้และทูลอาสายกไปเอง[8] จึงทรงให้เกณฑ์ทหารกองในกองนอกและกองอาจารย์ ได้ 745 คน ให้พระยาเทพวรชุนและหลวงดำเกิงฯยกเป็นกองโจรไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอภัยที่เขาชั่วพราน
ในเดือนมีนาคม เจ้ารามลักษณ์ฯส่งเณรจวงวัดบางนางแก้ว ซึ่งถูกพม่าจับไปหนีกลับมาได้ มากราบทูลข้อราชการ ให้การว่า พม่าอยู๋ในค่ายบางแก้วประมาณ 1,000 คนเศษ เสบียงอาหารลดน้อยถอยลงกินได้อีกสิบวัน ส่วนน้ำไว้ดื่มได้อีกครึ่งเดือน ฝ่ายไทยยิงปืนเข้าไปในค่ายถูกพม่าเสียชีวิตไปจำนวนมาก ต้องขุดหลุมฝังศพกลบไว้ก่อน สมเด็จพระเจ้าตากสินตรัสถามเณรจวงว่า หนีมาเองหรือพม่าใช้ให้มา เถรจวงตอบว่าหนีมาเอง ถ้าพม่าจับได้อาจถูกสังหารไปแล้ว[1] ทรงให้อองวาจาล่ามพม่า สอบถามเชลยพม่าที่เจ้าพระยาอินทรอภัยจับมาได้ ให้การว่า แม่ทัพพม่าที่ยกมาตีค่ายสระน้ำเขาชั่วพราน ชื่อว่า เนเมียวแมงละนรธา มีกำลัง 1,000 คน แม่ทัพที่ค่ายบางแก้ว ชื่อยุยองโป (ฉับกุงโบ) มีกำลัง 1,000 คน ที่ปากแพรกกาญจนบุรี ชื่อว่า สะแคงมระนอง (ตะแคงมระหน่อง) เป็นน้าของพระเจ้าอังวะ คุมทัพใหญ่ 3,000 คน และแม่ทัพไม่ทราบชื่อ คุมกำลัง 1,000 จากทวายมาทางด่านเจ้าขว้าวราชบุรี[1]
สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้เข้าล้อมทัพพม่าของงุยอคงหวุ่นที่บางแก้วไว้ จนกว่าจะขาดเสบียงและหิวโหย ถ้าหากพม่าที่บางแก้วยกทัพฝ่าวงล้อมออกมา ให้สกัดกั้นไว้แต่ห้ามยกเข้าชิงค่าย ถ้าหากฝ่ายพม่าสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้ จะลงพระราชอาญาถึงแก่ชีวิต[8] มีพระราชโองการให้เฆี่ยนขุนอากาศสรเพลิง 60 ที โทษข้อหายิงปืนเกนหาม ยิงทีละนัดไม่ได้ยิงพร้อมกันตามรับสั่งฯ ทำให้ข้าศึกรู้ตัวหนีไป[8][1] มีพระราชดำรัสว่า "ข้าราชการทั้งปวง ใช้ให้ไปทำศึกบ้านเมืองใด พ่อมิได้สะกดหลังไปด้วย ก็ไม่สำเร็จราชการ ฯลฯ"[8][1] มีพระราชโองการให้ให้ตักน้ำจากโคกกระต่ายไปเลี้ยงทัพหน้าไม่ให้ขาดแคลนน้ำดื่ม
เสียค่ายเขาชะงุ้ม
[แก้]ฝ่ายพม่าที่บางแก้วพยายามฝ่าวงล้อมออกมาทางค่ายของหลวงมหาเทพ หลวงมหาเทพระดมยิงปืนจนฝ่ายพม่าถอยกลับเข้าไป ตะแคงมระหน่องนายทัพพม่าที่ปากแพรกส่งกองกำลังมาโจมตีล้อมค่ายเขาชะงุ้มของพระยารามัญวงษ์เพื่อช่วยเหลืองุยอคงหวุ่นที่บางแก้ว จึงมีพระราชโองการให้พระยาธิเบศร์บดี พร้อมทั้งพระยาอภัยรณฤทธิ์เป็นทัพหน้า พระยาธิเบศร์บดีเป็นทัพหลวง ยกทัพไปช่วยเหลือพระยารามัญวงษ์ออกจากที่ล้อม นำไปสู่การรบที่เขาชะงุ้ม ได้รบกันอย่างรุนแรง ทั้งฝ่ายพม่าและฝ่ายไทยสูญเสียนายกองไปจำนวนมาก พระยาธิเบศร์บดีตั้งค่ายไม่สำเร็จ ต้องถอยลงมา มีพระราชโองการให้ช่วยพระยารามัญวงศ์และกองมอญออกมาให้ได้ จนพระยารามัญวงศ์ และหลวงงบำเรอภักดิ์ จึงสามารถฝ่าวงล้อมพม่าออกมาหาพระยาธิเบศร์บดีได้สำเร็จ แต่ฝ่ายพม่าสามารถเข้ายึดเขาชะงุ้มได้ ฝ่ายไทยจึงเสียค่ายเขาชะงุ้มให้แก่พม่า พม่าสามารถตั้งมั่นที่เขาชะงุ้มทางตะวันตกของบางแก้วได้สำเร็จ
ทัพหัวเมืองมาสมทบ
[แก้]ในเวลานั้นเอง กองทัพของเจ้าพระยานครสวรรค์ยกทัพเดินทางมาถึงราชบุรี จึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยานครสวรรค์ถืออาญาสิทธิ์ พร้อมพระราชทานกองเกนหัดถือปืน 40 คน กองนอกถือปืน 150 คน ยกไปช่วยพระยาธิเบศร์บดีตีทัพพม่าที่เขาชะงุ้ม ทรงถอดพระธำมะรงค์เพชรองค์หนึ่งให้แก่เจ้าพระยานครสวรรค์ พระราชทานพรว่า "ชยตุ ภวังค์ สัพพสัตรู วินาสสันติ"[8][1] แต่ฝ่ายพม่าสามารถปักหลักอยู่ที่เขาชะงุ้มได้อย่างมั่นคง จึงมีพระราชโองการให้พระยาธิเบศร์บดีและเจ้าพระยานครสวรรค์ถอยมมาตั้งรับพม่าที่บางแก้ว ห่างจากค่ายพม่าที่บางแก้วประมาณห้าเส้น และส่งตัวพระยารามัญวงษ์ (มะโดด) หลวงบำเรอภักดิ์ และหลวงราชเสนา มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าตากสินที่พลับพลาโคกกระต่าย ในเดือนมีนาคม ตะแคงมระหน่องแม่ทัพพม่าที่ปากแพรก ส่งทัพเข้าโจมตีค่ายของพระยายมราช (หมัด) ที่หนองขาว พระยายมราชบอกลงมากราบทูลว่าพม่าถูกปืนตายจำนวนมากแต่กระสุนดินดำของฝ่ายไทยจวนจะหมดแล้วขอพระราชทานไปเพิ่ม สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชดำรัสตอบไปว่าให้รอกระสุนดินดำจากเจ้าพระยาจักรีที่กำลังจะยกทัพมาถึง
กรมการเมืองคลองวาฬ (ตำบลคลองวาฬ) บอกส่งมาว่าทัพพม่าจากเมืองมะริดยกทัพเข้ามาทางด่านสิงขรโจมตีบ้านทัพสะแก ขอพระราชทานกองทัพไปช่วย ทรงมีตราตอบออกไปว่าราชการศึกทางราชบุรียังติดพันอยู่ ขอให้ทางกรมการเมืองคลองวาฬรองรับสู้พม่าคอยท่าไปก่อน ทันใดนั้นหลวงมหาแพทย์เดินทางจากธนบุรีมาถึงราชบุรีเข้าเฝ้ากราบทูลว่า สมเด็จพระพันปีหลวง กรมพระเทพามาตย์ พระราชมารดา ได้ประชวรสิ้นพระชนม์[8] ได้เชลยพม่าสองคนจากค่ายบางแก้ว ให้การว่าฝ่ายพม่าที่ถูกล้อมอยู่ที่บางแก้วนั้น ขาดเสบียงอาหารและขาดน้ำอย่างมาก น้ำไม่เพียงพอฝ่ายพม่าต้องขุดบ่อหาน้ำแต่ไม่สำเร็จ ปืนใหญ่น้อยที่ฝ่ายไทยยิงเข้าไปนั้นถูกพม่าล้มตายไปจำนวนมาก จึงมีพระราชโองการให้พระยารามัญวงษ์ยกทัพกองรามัญใหม่ 400 คน ไปเป็นกองโจรโจมตีทัพพม่าที่เขาชะงุ้ม
เจ้าพระยาจักรียกทัพจากเชียงใหม่ลงมาจนถึงราชบุรีในเดือนมีนาคม เจ้าพระยาจักรีนำขุนนางเมืองน่านมาเข้าเฝ้าที่โคกกระต่าย กราบทูลว่าได้เกลี้ยกล่อมเมืองน่านเข้าสวามิภักดิ์ต่อธนบุรีได้สำเร็จ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระโสมนัส พระราชทานแสงดาบฝักทองด้ามทอง กับพระธำมะรงค์ให้แก่เจ้าพระยาจักรี และมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพ ถือพระอาญาสิทธิ์ยกไปตั้งทัพที่วัดมหาธาตุเขาพระ และตั้งค่ายเป็นแนวรายป้องกันมาจนถึงบางแก้ว อย่าให้พม่าวกออกหลังได้ และดำรัสให้หลวงบำเรอภักดิ์นำกอง 400 คน ไปคอยสังเกตการณ์พม่าซึ่งมาตักน้ำที่หนองน้ำเขาชะงุ้มนั้น[8]
พม่าที่บางแก้วยกทัพพยายามฝ่าวงล้อมออกมาทางค่ายของพระยาพิพัฒโกษาและพระยาเพชรบุรี ถูกฝ่ายไทยยิงปืนระดับถอยกลับเข้าไปอีกครั้ง และในคืนเดียวกันนั้นพม่ายกออกมาจาหลวงราชนิกูลไม่สามารถ่าวงล้อมออกไปได้อีกเช่นกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จทรงม้าไปประทัพที่หลังค่ายของหลวงมหาเทพ ทรงให้ชายมอญชื่อจักกายเทวะตะโกนเข้าไปในค่ายบางแก้วเป็นภาษาพม่าว่า ให้พม่าทั้งปวงยอมแพ้ออกมาหาแต่โดยดี ทรงพระกรุณาไว้ชีวิตทั้งสิ้น งุยอคงหวุ่นแม่ทัพพม่าในค่ายบางแก้วร้องตอบออกมาว่า "ท่านล้อมไว้ครั้งนี้ ซึ่งจะหนีไปให้รอดด้วยความตายหามิได้แล้ว แต่เอ็นดูไพร่พลทั้งปวงมากนักจะพลอยตายเสียด้วย ถึงตัวเราผู้เป็นนายทัพจะตายก็ตามกรรมเถิด แต่จะขอพบตละเกล็บสักหน่อยหนึ่ง"[8] จึงมีพระราชโองการให้พระยาพระราม (ตละเกล็บ) ขี่ม้าพร้อมกั้นร่มระย้าออกไปเจรจาความกับงุยอคงหวุ่นแม่ทัพพม่า ฝ่ายพม่าบางแก้วเขียนข้อความเป็นภาษาพม่าใส่ใบตาลขดส่งออกมาจากในค่าย
เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เดินทางยกทัพมาถึงราชบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินพระราชทานร่มแพรแดงมีระย้าให้แก่เจ้าพระยาสุรสีห์ฯ และให้ยกทัพไปเข้าร่วมการล้อมค่ายพม่าบางแก้ว ต่อมาเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพหัวเมืองเหนือไปล้อมพม่าที่เขาชะงุ้ม
พระยาเพชรบุรี คิดย่อท้อไม่เป็นใจในราชการ วางแผนว่าถ้าพม่ายกออกมารบกับค่ายของตนเอง แล้วต้านทานทัพพม่าไม่ได้ จะหนีกลับไปยังเมืองเพชรบุรี บ่าวของพระยาเพชรบุรีมากราบทูลฟ้องนายของตน สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงมีพระราชโองการจับกุมตัวพระยาเพชรบุรีมาสอบสวน พระยาเพชรบุรีให้การยอมรับ จึงให้ลงพระราชอาญามัดมือไพล่หลัง นำตัวไปตระเวนประจานรอบกองทัพ แล้วประหารชีวิตตัดศีรษะ[8]
ฝ่ายพระยารามัญวงษ์ และพระยาพระราม (ตละเกล็บ) เจรจากับงุยอคงหวุ่ง แม่ทัพพม่าที่บ้างแก้ว งุยอคงหวุ่นว่าตละเกล็บเป็นแม่ทัพมอญมาเข้ากับฝ่ายไทยงุยอคงหวุ่นไม่ไว้ใจ ต้องการพบกับแม่ทัพผู้ใหญ่ตำแหน่งระดับสูง งุยอคงหวุ่นส่งนายทัพพม่าคนหนึ่งออกมาหาตละเกล็บ จึงมีพระราชโองการให้ตละเกล็บพานายทัพพม่าคนนั้นไปพบกับพระเจ้าหลานเธอเจ้ารามลักษณ์ และเจ้าพระยาจักรี ตละเกล็บบอกถ้อยความแก่นายทัพพม่า ให้กลับไปบอกแก่งุยอคงหวุ่นว่า "ถ้านายมึงออกมาถวายบังคม กูจะช่วยให้รอดจากความตาย ถ้ามิออกมาจะฆ่าเสียทั้งสิ้น"[8] ฝ่ายนายทัพพม่าแจ้งว่าขอให้เวลาฝ่ายพม่าปรึกษาตัดสินใจกันก่อน ตละเกล็บจึงให้ปล่อยนายทัพพม่ากลับเข้าไป
พระกุยบุรีและพระคลองวาฬ บอกเข้ามากราบทูลว่า พม่าประมาณ 400 คน ยกเข้ามาโจมตีเมืองบางสะพาน ได้รบกันเป็นสามารถ พม่าเผาเมืองบางสะพานเสียแล้วฝ่าวงล้อมออกไป พม่ายกทัพไปทางเมืองปะทิว จึงมีพระราชโองการให้พระเจ้าหลานเธอเจ้าบุญจันทร์และเจ้าพระยาศรีธรรมธิราชซึ่งเป็นผู้รักษากรุงธนบุรีในขณะนั้น มีหนังสือตอบพระกุยบุรีไปว่า ให้วางยาเบื่อในหนองน้ำบ่อน้ำที่ทางพม่ายกมานั้นให้หมดสิ้น อย่าให้ทัพพม่ามีน้ำกินได้ และให้นำตัวเชลยพม่าห้าคนมาลงพระอาญาตัดมือตัดเท้าเสีย แล้วเขียนป้ายแขวนคอไปว่า บอกแก่เจ้านายมันให้เร่งยกมาอีกเถิด[8]
เกลี้ยกล่อมแม่ทัพพม่า
[แก้]สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จทอดพระเนตรค่ายของเจ้าพระยาอินทรอภัยและพระโหราธิบดีที่เขาช่องพราน พระยารามัญวงษ์ (มะโดด) พบเส้นทางลำเลียงของพม่าและจับชาวพม่ามาได้สองคนถวาย ให้การว่าลำเลียงเสบียงมาจากปากแพรกมาส่งที่เขาชะงุ้ม จึงมีพระราชโองการให้หลวงภักดีสงคราม จากกองของพระเทพวรชุน ให้คุมกำลัง 500 คน ไปถมห้วยน้ำหนองบงในเส้นทางที่พม่าจะยกมาให้หมดสิ้น หากถามไม่ได้ให้นำไม้เบื่อไม้เมาและสิ่งปฏิกูลทิ้งลงในน้ำ อย่าให้พม่ามีน้ำกิน และเป็นกองโจรคอยตีสกัดเส้นทางลำเลียงของพม่า
เจ้าพระยาสุรสีห์และเจ้าพระยานครสวรรค์เข้าล้อมค่ายพม่าที่เขาชะงุ้มไว้ ฝ่ายพม่าเขาชะงุ้มยกออกมาตีฝ่าวงล้อมแต่ไม่สำเร็จ ถูกปืนฝ่ายไทยน้อยใหญ่ถอยกลับเข้าไป สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จยกทัพจากโคกกระต่ายขึ้นไปช่วยเจ้าพระยาสุรสีห์ที่เขาชะงุ้ม แล้วเสด็จกลับมาประทับที่โคกกระต่าย
ฝ่ายงุยอคงหวุ่นส่งแม่ทัพพม่าเจ็ดคนออกมาเจรจาด้วยพระเจ้าหลานเธอเจ้ารามลักษณ์ และเจ้าพระยาจักรี ว่าถ้าท่านแม่ทัพช่วยกรุณาทูลขอไว้ชีวิต จะยินยอมออกมาสวามิภักดิ์ถวายบังคมกันทั้งสิ้น ฝ่ายพระเจ้าหลานเธอ และเจ้าพระยาจักรี สั่งให้ล่ามพม่าบอกกลับไปว่า จะทูลขอให้ไว้ชีวิตจงออกมากันเถอด ให้คุมตัวแม่ทัพพม่าไว้สองคนเป็นตัวประกัน แล้วปล่อยแม่ทัพพม่าที่เหลืออีกห้าคนกลับเข้าไปบอกความ เพราะครั้งก่อนแม่ทัพพม่าบอกว่าจะออกมาสวามิภักดิ์แต่ไม่ออกมาเป็นเท็จไปครั้งหนึ่งแล้ว หากครั้งนี้เป็นเท็จอีกจะช่วยไม่ได้
พระยานครราชสีมา (ขุนชนะ) ยกทัพเมืองนครราชสีมา 900 คนมาถึงราชบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินพิโรธพระยานครราชสีมาว่ายกทัพมาถึงช้ากว่าหัวเมืองทั้งปวง พระยานครราชสีมาทูลแก้ว่าที่เกณฑ์ทัพมาล่าช้าเนื่องจากเลกไพร่ในสังกัดครั้งตั้งแต่ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ หนีตาทัพกลับบ้าน จึงเที่ยวจับกุมตัวไพร่ที่หนีทัพเหล่านั้นมาพร้อมทั้งบุตรภรรยา เป็นชายหญิงรวมกันเก้าสิบหกคน จึงตรัสว่าเลกไพร่หนีตาทัพจะไว้ชีวิตไว้มิได้ ลงพระราชอาญาให้ตัดศีรษะประหารชีวิตทั้งสิ้นทั้งบุตรภรรยา ที่ริมนอกค่ายโตกกระต่าย[8] สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงให้พระยานครราชสีมาเข้าช่วยเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพเข้าล้อมพม่าที่เขาชะงุ้ม ปลูกนั่งร้านเอาปืนใหญ่ขึ้นยิงใส่ค่ายพม่า
งุยอคงหวุ่งให้อุตตมสิงหจอจัวปลัดทัพ กับแม่ทัพนายกองพม่าสิบสามคน นำอาวุธต่างๆมัดออกมาถวายเจ้ารามลักษณ์ พระเจ้าหลานเธอเจ้ารามลักษณ์ จึงให้พระยาพิพัฒโกษาและหลวงมหาเทพ จับกุมมัดตัวอุตตมสิงหจอจัวและแม่ทัพพม่าอีกสิบสามคน นำมาถวายที่โคกกระต่าย แม่ทัพพม่าทั้งสิบสี่คนกราบทูลว่า นำเครื่องศาสตราวุธออกมาถวายบังคม ถ้าหากทรงพระกรุณาไว้ชีวิตจะถือน้ำพิพัฒน์สัตยาเป็นข้าทูลละอองฯ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเห็นว่าแม่ทัพใหญ่งุยอคงหวุ่นยังไม่ออกมา ถึงทรงให้จำอุตตมสิงหจอจัวและแม่ทัพพม่าทั้งหลายไว้ก่อน จนกว่าแม่ทัพพม่านายใหญ่จะออกมา ทรงให้อุตตมสิงหจอจัวไปป่าวตะโกนแก่งุยอคงหวุ่นให้ออกมา แล้วให้นำอุตตมสิงหจอจัวและนายทัพพม่าไปจำไว้ในตะราง
ทรงให้อุตตมสิงหจอจัวไปร้องเรียกงุยอคงหวุ่นอีกครั้ง งุยอคงหวุ่นตอบว่าส่งแม่ทัพพม่าออกมาหลายคน เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่ทราบความ มีแต่คนมาร้องเรียกอยู่อย่างเดียวไว้ใจไม่ได้ อุตตมสิงหจอจัวตอบกลับว่าปล่อยนายทัพพม่ากลับเข้าไปมิได้จะพิโรธฆ่าเสีย งุยอคงหวุ่นเรียกร้องว่าให้ส่งแม่ทัพพม่ากลับเข้ามา แล้วใช้อาวุธทั้งหลายที่ล้อมค่ายอยู่นี้สังหารเถอด อุตตมสิงหจอจัวจึงปล่อยตัวแม่ทัพพม่าเข้าไปในค่ายพม่าสองคน ไปบอกแก่งุยอคงหวุ่นว่าพระเจ้าตากสินทรงพระเมตตาไม่ได้ฆ่า งุยอคงหวุ่นเถียงว่า นายทัพชั้นผู้น้อยคงไม่ตาย ไม่แม่ทัพใหญ่อย่างเราคงตายแน่แท้ ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเห็นเหลือพระกำลังที่จะเกลี้ยกล่อมให้งุยอคงหวุ่นยอมออกมา บรรดาข้าหลวงกราบทูลให้ยิงปืนถล่มค่ายอีก ฝ่ายพม่าจะตกใจกลัวหนีออกมาหมด มีพระดำรัสว่าอันจะฆ่าให้ตายนั้นง่าย แต่จะเป็นบาปกรรมไม่มีประโยชน์อันใด[8] สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงให้เบิกตัวอุตตมสิงหจอจัวมาสอบสวน ให้การว่าอะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ ตั้งรี้พลพม่าอยู่ที่เมะตะมะจำนวนมาก รอคอยฟังข่ายจากตะแคงมระหน่องที่ปากแพรก จะยกทัพยงมาช่วยหนุนอีก
สมเด็จพระเจ้าตากสินตรัสเรียกประชุมขุนนาง เรื่องอะแซหวุ่นกี้จะยกทัพมา ทรงให้เกณฑ์ทัพหัวเมืองปักษ์ใต้ จันทบุรี ไชยา นครศรีธรรมราช และพัทลุง มาช่วยรับศึกอะแซหวุ่นกี้ เจ้าพระยาจักรีทูลว่าทัพหัวเมืองเหล่านั้นอยู่ห่างไกลเห็นจะยกมาไม่ทัน ทัพในกรุงธนบุรีและทัพหัวเมืองเหนือ ยังเพียงพอที่จะต้านทานทัพอะแซหวุ่นกี้ได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเห็นชอบด้วย มีพระราชโองการว่าหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งสี่เมืองนั้นยังไม่ได้ทำสงครามกับพม่า มีท้องตราออกไปให้เมืองเหล่านั้นส่งข้าวสารมาเป็นเสบียง เมืองนครศรีธรรมราชส่ง 600 เกวียน เมืองจันทบุรี เมืองไชยา และเมืองพัทลุง ส่งเมืองละ 400 เกวียน[8] ถ้าไม่มีข้าวให้ส่งเงินเข้ามาแทน และมีพระราชโองการห้ามมิให้แม่ทัพนายกองยกติดตามพม่าไป เกรงว่าพม่าจะซ่อนกำลังไว้โจมตีตามทาง ให้ยกไปโจมตีปากแพรกแห่งเดียวเท่านั้น
แม่ทัพพม่ายอมจำนน
[แก้]อุตตมสิงหจอจัวไปเจรจากับงุยอคงหวุ่นที่บางแก้วเป็นครั้งที่สาม งุยอคงหวุ่นตอบว่าจะเข้ามาฆ่าก้เข้ามาเถอดไม่ออกไปแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงให้อุตตมสิงหจอจัวแต่งหนังสือเป็นภาษาพม่า เข้าไปแก่งุยอคงหวุ่นว่าให้จงรีบออกมาสวามิภักดิ์ ถ้าไม่ออกมาจะยกเข้าไปสังหารพม่าเสียให้หมด ฝ่ายงุยอคงหวุ่นให้นำอาวุธพม่าออกมาถวายทั้งหมด แล้วผลัดว่าจะออกมาถวายบังคมวันรุ่งขึ้น ถึงวันรุ่งขึ้นงุยอคงหวุ่นส่งเมี้ยวหวุ่นกับปะกันเลชูออกมาก่อน เมี้ยวหวุ่นและปะกันเลชูกราบทูลว่า พวกตนทำสงครามพ่ายแพ้ถึงที่ตายทั้งสิ้น ขาดจากการเป็นข้าของพระเจ้าอังวะแล้ว จะขออาสาทำราชการกับสยามจนสิ้นชีวิต และอาสาไปเกลี้ยกล่อมงุยอคงหวุ่นให้ออกมา เมี้ยวหวุ่นและปะกันเลชูกลับเข้าไปเกลี้ยกล่อมงุยอคงหวุ่น จนงุยอคงหวุ่นยอมออกมาถวายบังคมในที่สุด พร้อมทั้งแม่ทัพพม่าที่เหลือและไพร่พม่าอีก 328 คน เป็นการสิ้นสุดสงครามการล้อมค่ายพม่าบางแก้ว ตั้งแต่วันเดือนสามขึ้นสิบสามค่ำ (13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318) จนถึงวันเดือนสี่แรมสิบห้าค่ำ[8] (31 มีนาคม พ.ศ. 2318) เป็นเวลาทั้งสิ้น 47 วัน ทรงมีพระราชโองการให้พระยารามัญวงษ์นำกำลังมอญเข้าไปอยู่ในค่ายพม่าบางแก้ว แกล้งพูดจากันเป็นภาษาพม่า อย่าให้ตะแคงมระหน่องที่ปากแพรกรู้ว่าฝ่ายไทยได้ค่ายบางแก้วแล้ว
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2318 มีพระราชโองการให้แต่งทัพไปโจมตีพม่าที่ปากแพรก ให้พระอนุชิตราชายกทัพ 1,000 คน ยกทัพเลียบแม่น้ำฝั่งตะวันตก ให้หลวงมหาเทพยกทัพอีก 1,000 คน ยกทัพเลียบแม่น้ำฝั่งตะวันออก เข้าโจมตีปากแพรกทั้งสองทัพ มีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรียกทัพไปตีพม่าที่เขาชะงุ้มให้ได้ ฝ่ายพม่าที่เขาชะงุ้ม ยกทัพออกมาตีค่ายของพระมหาสงครามแตกไป เจ้าพระยาจักรียกทัพเข้าตอบโต้พม่าที่เขาชะงุ้มแตกไปได้ ทัพพม่าเขาชะงุ้มแตกถอยกลับไปทางปากแพรก พบกับทัพของพระอนุชิตราชาและหลวงมหาเทพถูกฆ่าฟันล้มตายอีก ตะแคงมระหน่องลงโทษประหารตัดศีรษะแม่ทัพพม่าที่แตกมาจากเขาชะงุ้มหลายคน จากนั้นตะแคงมระหน่องจึงถอยทัพจากปากแพรกกลับไปหาอะแซหวุ่นกี้ที่เมาะตะมะ
เมื่อได้ชัยชนะเหนือพม่าแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินประทับที่โคกกระต่าย มีพระราชโองการให้พระยายมราชคุมเชลยพม่าจำใส่คุกไว้ ได้เชลยพม่าจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 2,000 คน แล้วเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคกลับธนบุรี
ผลลัพธ์และเหตุการณ์สืบเนื่อง
[แก้]ในชั้นแรกอะแซหวุ่นกี้ส่งทัพพม่าเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ฝ่ายไทยประสบปัญหากองทัพส่วนใหญ่อยู่ที่ล้านนาทางเหนือ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงให้เร่งทัพจากทางเหนือลงมาตั้งรับพม่าที่ราชบุรี ทรงให้พระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าหลานเธอยกทัพส่วนหนึ่งมาตั้งรับพม่าก่อนที่บางแก้ว จากนั้นทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือจึงค่อยทยอยเข้ามาสมทบที่ราชบุรี จนกระทั่งกองกำลังฝ่ายไทยมีจำนวนมากถึง 20,000 คน[7] ตามพงศาวดารพม่า ฝ่ายพม่ามีกำลังน้อยกว่าจึงพ่ายแพ้ไป
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงปูนบำเหน็จให้แก่พระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าหลานเธอที่มีความชอบในสงครามบางแก้ว ตั้งขึ้นทรงกรมดังนี้;[8]
- พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าจุ้ย เป็นกรมขุนอินทรพิทักษ์
- พระเจ้าหลานเธอ เจ้ารามลักษณ์ เป็นกรมขุนอนุรักษ์สงคราม
- พระเจ้าหลานเธอ เจ้าบุญจันทร์ เป็นกรมขุนรามภูเบศร์
ตะแคงมระหน่องถอยทัพไปรายงานแก่อะแซหวุ่นกี้ที่เมืองเมาะตะมะว่า ทัพพม่าของฉับกุงโบพ่ายแพ้ต่อไทยในการรบที่บางแก้ว อะแซหวุ่นกี้จึงโทษแมงเยชัยจอ แม่ทัพพม่าที่ขัดคำสั่งของอะแซหวุ่นกี้ ว่าเป็นต้นเหตุให้ฝ่ายพม่าได้รับความปราชัย อะแซหวุ่นกี้ถวายรายงานแก่พระเจ้ามังระว่า แมงเยชัยจอเป็นกบฏอ้างว่าพระเจ้ามังระสวรรคตแล้วเจ้าชายอาเมียงสะแคง (Prince of Amyin) พระอนุชาของพระเจ้ามังระได้ราชสมบัติ พระเจ้ามังระจึงทรงมีตราให้แมงเยชัยจอยกทัพจากเมืองเมาะตะมะกลับเมืองอังวะ แล้วส่งกองกำลังมาจับแมงเยชัยจอและแม่ทัพนายกองในสังกัดที่กลางทาง แมงเยชัยจอทูลพระเจ้ามังระว่า ถูกอะแซหวุ่นกี้กดขี่ข่มเหงให้ยกทัพจำนวนน้อยไปเสี่ยงตายในสยาม พระเจ้ามังระตรัสว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงแมงเยชัยจอควรจะต้องถวายฎีกามาโต้แย้งกับอะแซหวุ่นกี้ ไม่ควรขัดคำสั่งนายทัพของตนเอง พระเจ้ามังระจึงทรงปลดแมงเยชัยจอออกจากตำแหน่ง ลงพระราชอาญาประหารชีวิตแม่ทัพนายกองในสังกัดของแมงเยชัยจอ และส่งตัวแมงเยชัยจอให้แก่อะแซหวุ่นกี้ที่เมืองเมาะตะมะ มีพระราชโองการให้อะแซหวุ่นกี้ลงโทษแมงเยชัยจอตามสมควร อะแซหวุ่นกี้ไว้ชีวิตแมงเยชัยจอ และให้แมงเยชัยจอเข้าร่วมกองทัพของอะแซหวุ่นกี้[7]
หลังจากสิ้นสุดสงครามบางแก้ว ฝ่ายสยามได้มีเวลาพักศึก 5 เดือน[9] หลังจากความพ่ายแพ้ที่บางแก้ว อะแซหวุ่นกี้ยกทัพขนาดใหญ่จำนวน 35,000 คน เข้ารุกรานหัวเมืองเหนือของสยาม ทางด่านแม่ละเมา นำไปสู่สงครามอะแซหวุ่นกี้ในเดือนตุลาคมพ.ศ. 2318 ปีเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงถามแม่ทัพพม่างุยอคงหวุ่น และอุตตมสิงหจอจัว ว่าจะให้เข้าร่วมทัพสยามไปรบกับพม่าทำได้หรือไม่ งุยอคงหวุ่นและอุตตมสิงหจอจัวทูลว่า จะให้ไปรบกับชาติอื่นยินดีถวายชีวิต แต่ให้ไปรบกับพม่าด้วยกันเองมีความอับอายไม่กล้าสู้หน้า สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงตระหนักว่าแม่ทัพพม่าที่จับมาได้จากสงครามบางแก้ว ไม่มีความภักดีที่แท้จริง หากยกทัพจากธนบุรีปล่อยให้เชลยพม่าอยู่ในธนบุรีอาจก่อกบฏขึ้นได้ จึงลงพระราชอาญาประหารชีวิตงุยอคงหวุ่น อุตตมสิงหจอจัว รวมทั้งแม่ทัพพม่าทั้งหลายจากสงครามบางแก้วไปในเดือนมกราคม พ.ศ. 2319[8]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๕ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 Phraison Salarak (Thien Subindu), Luang (1919). Intercourse between Burma and Siam as recorded in Hmannan Yazawindawgyi. Bangkok.
- ↑ 3.0 3.1 Damrong Rajanubhab, Prince (1918). พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงธน ฯ แลกรุงเทพ ฯ. Bangkok.
- ↑ 4.0 4.1 Bradley, Dan Beach (1863). Phraratcha phongsawadan krung thonburi phaendin somdet phraborommaratcha thi 4 (somdet phrajao taksin maharat) chabap mo bratle (Royal chronicles of Thonburi, King Taksin the Great, Dr Bradley ed.).
- ↑ Harvey, G.E. (4 June 2019). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824 The Beginning of the English Conquest. Routledge.
- ↑ Prachum phongsawadan phak thi 65 Phra ratchaphongsawadan Krung Thonburi chabap Phanchanthanumat (Choem).
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 Phraison Salarak (Thien Subindu), Luang. Intercourse between Burma and Siam as recorded in Hmannan Yazawindawgyi. Bangkok; July 25, 1919.
- ↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 8.15 8.16 8.17 8.18 8.19 8.20 8.21 8.22 8.23 พระราชพงษาวดารกรุงเก่า (ฉบับหมอบรัดเล).
- ↑ 9.0 9.1 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงธน ฯ แลกรุงเทพ ฯ.
- ↑ Van Roy, Edward (2010). "Prominent Mon Lineages from Late Ayutthaya to Early Bangkok". Journal of the Siam Society.
- ↑ Whiting, Lawrence (11 Feb 2016). Buddhism in Thailand - a guide for expats and visitors. Booksmango.