โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท
โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท (ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท) | |
---|---|
ไอคอนแอปพลิเคชันทางรัฐ | |
ชนิดของโครงการ | แจกเงิน |
ประเทศ | ประเทศไทย |
นายกรัฐมนตรี | เศรษฐา ทวีสิน แพทองธาร ชินวัตร |
กระทรวง | กระทรวงการคลัง |
บุคคลสำคัญ | เศรษฐา ทวีสิน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เผ่าภูมิ โรจนสกุล[1] |
เปิดตัวเมื่อ | 25 กันยายน พ.ศ. 2567 ทั่วประเทศ |
งบประมาณ | 500,000 ล้านบาท |
สถานะ | เริ่มต้นโครงการระยะที่ 1 |
เว็บไซต์ | digitalwallet |
โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นนโยบายเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ภายใต้การกำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งพรรคเพื่อไทยประกาศเป็นนโยบายหลักในช่วงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566
การดำเนินโครงการนี้ จะเป็นการเติมเงินจำนวนคนละ 10,000 บาท เข้าไปในกระเป๋าเงินดิจิทัลของประชาชนสัญชาติไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากในธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท เพื่อให้ประชาชนนำไปจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าภายในอำเภอที่อยู่ของตนที่ระบุในบัตรประจำตัวประชาชน โดยกำหนดให้ใช้จ่ายเงินจำนวนนี้ภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่เริ่มโครงการ
ต่อมาในสมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ได้ปรับรูปแบบโครงการและเปลี่ยนชื่อเป็น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 และแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 แจกเงินสดให้กลุ่มผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐที่เชื่อมต่อบัญชีกับพร้อมเพย์แล้ว รวมถึงคนพิการ ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2567
- ระยะที่ 2 แจกเงินให้กลุ่มผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ
- ระยะที่ 3 แจกเงินให้กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์
โครงการนี้ถูกวิจารณ์ว่ามีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในการดำเนินโครงการหลายครั้ง ทั้งแหล่งที่มาของเงิน เทคโนโลยีที่ใช้, จำนวนผู้ได้รับสิทธิ และระยะเวลาเริ่มต้นโครงการ รวมถึงเคยถูกวิจารณ์เรื่องการกู้เงินมาแจกให้กับประชาชนโดยไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย และอาจทำให้โครงการถูกยกเลิกในที่สุดอีกด้วย
ภูมิหลัง
[แก้]ก่อนที่จะมีโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ เคยมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมาก่อนแล้วหลายโครงการในรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ครม.61 และ ครม.62) เช่น โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (พ.ศ. 2560 - 2561), ชิมช้อปใช้ (พ.ศ. 2562), เราไม่ทิ้งกัน (พ.ศ. 2563) และ คนละครึ่ง (พ.ศ. 2563 - 2564) ซึ่งโครงการเหล่านี้เน้นช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยว และการบริโภคของประชาชนผู้มีรายได้ปานกลาง และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดทั่วประเทศของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และรัฐบาลในขณะนั้นวางโครงสร้างพื้นฐานการใช้ดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว[2]
จุดเริ่มต้นมาจากการประกาศของแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ในงานเปิดตัว "ครอบครัวเพื่อไทย : บ้านหลังใหญ่หัวใจเดิม" ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งได้ประกาศว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในครั้งถัดไป จะดำเนินการเติมเงินให้กับประชาชนทั่วประเทศอย่างมีเกียรติ และทำให้ประชาชนภาคภูมิใจ[3]
ต่อมาในงานเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2566 เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศนโยบายเติมเงินอย่างเป็นทางการ โดยจะเติมเงินเข้าไปในกระเป๋าเงินดิจิทัลของประชาชนสัญชาติไทยทุกคน ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ในพื้นที่ร้านค้าชุมชนรัศมี 4 กิโลเมตร มีอายุการใช้งาน 6 เดือน ซึ่งร้านค้าสามารถนำเงินดิจิทัลมาแลกเป็นเงินบาทได้กับธนาคารของรัฐในภายหลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับชุมชน นำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับประเทศ[4]
จากนั้น เศรษฐาได้ประกาศเมื่อวันที่ 5 เมษายน ในงาน "คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน ตอน One Team for all Thais : หนึ่งทีมเพื่อไทยทุกคน" ว่า ประชาชนจะได้รับเงินเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลตามเงื่อนไขข้างต้นเป็นจำนวนคนละ 10,000 บาท[5] โดยต่อมา พรรคเพื่อไทยได้แจ้งที่มาของแหล่งเงินทุนในการดำเนินโครงการให้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้งว่า มาจากการบริหารงบประมาณ และการเก็บภาษี ประกอบด้วย
- ประมาณการรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2567: 260,000 ล้านบาท
- ภาษีที่ได้มาจากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย: 100,000 ล้านบาท
- การบริหารจัดการงบประมาณแผ่นดิน พ.ศ. 2567: 110,000 ล้านบาท
- การบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน: 90,000 ล้านบาท
โดยคิดเป็นเงินจำนวน 560,000 ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมและสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ[6]
ภายหลังจากเศรษฐา ทวีสิน ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามเกณฑ์ที่กำหนด และได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 เศรษฐาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง เพื่อขับเคลื่อนโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทโดยเฉพาะ[7] โดยเศรษฐาได้ประกาศว่าจะเริ่มต้นโครงการนี้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567[8] และในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เศรษฐาได้แถลงว่าโครงการนี้เป็น 1 ใน 5 นโยบายระยะเร่งด่วนของรัฐบาล[9]
การดำเนินโครงการ
[แก้]ในการประชุมนัดแรกของคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยเป็นตัวแทนของกระทรวงการคลังในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือกับสำนักงบประมาณ, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพากร, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และธนาคารออมสิน เพื่อศึกษารายละเอียด กำหนดเงื่อนไข และแนวทางในการดำเนินโครงการ[10] โดยได้มีการประชุมดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 และ 27 กันยายน[11][12]
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีองค์ประกอบดังนี้[13]
ลำดับที่ | ชื่อ | ตำแหน่งหลัก | ตำแหน่งในคณะกรรมการ |
---|---|---|---|
1 | นายเศรษฐา ทวีสิน | นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | ประธานกรรมการ |
2 | นายภูมิธรรม เวชยชัย | รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | รองประธานกรรมการ คนที่ 1 |
3 | นายปานปรีย์ พหิทธานุกร | รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | รองประธานกรรมการ คนที่ 2 |
4 | นายอนุทิน ชาญวีรกูล | รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | รองประธานกรรมการ คนที่ 3 |
5 | นายประเสริฐ จันทรรวงทอง | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | รองประธานกรรมการ คนที่ 4 |
6 | นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ | รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง | กรรมการ |
7 | นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ | ||
8 | นายแพทย์ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช | เลขาธิการนายกรัฐมนตรี | |
9 | นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล | เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | |
10 | ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ | ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | |
11 | นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ | ปลัดกระทรวงมหาดไทย | |
12 | นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ | ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย | |
13 | นายดนุชา พิชยนันท์ | เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | |
14 | นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร | ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ | |
15 | นายปกรณ์ นิลประพันธ์ | เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา | |
16 | นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ | อัยการสูงสุด | |
17 | พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล | ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ | |
18 | นายวิทัย รัตนากร | ประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ | |
19 | นายผยง ศรีวณิช | ประธานสมาคมธนาคารไทย | |
20 | ไม่ทราบ | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกระเป๋าเงินดิจิทัล | |
21 | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินและการคลัง | ||
22 | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบล็อกเชน | ||
23 | นายลวรณ แสงสนิท | ปลัดกระทรวงการคลัง | กรรมการและเลขานุการร่วม |
24 | ว่าง | ปลัดกระทรวงพาณิชย์ | |
25 | นายพรชัย ฐีระเวช | ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง | ผู้ช่วยเลขานุการ |
26 | ไม่ทราบ | ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ | |
27 | นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ | รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหารที่ได้รับมอบหมาย | |
28 | นายสิทธิรัตน์ ดรงคมาศ | ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการคลัง |
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม คณะกรรมการนโยบายโครงการได้จัดการประชุมนัดแรก (ครั้งที่ 1/2566) ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการ เพื่อพิจารณารายละเอียดของโครงการ โดยมีจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ[14] และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการได้จัดการประชุมนัดแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม[15] ซึ่งคณะอนุกรรมการได้มอบหมายภารกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงการให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปดำเนินการ เช่น สมาคมธนาคารไทยจัดหาผู้จัดทำระบบเติมเงินที่มีเงื่อนไขผ่านทางกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งต่อมาเปิดเผยว่าเป็น "โปรแกรมประยุกต์พิเศษแห่งชาติ"[16], สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบและป้องกันการทุจริต, กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลองค์การตลาด ช่วยยืนยันร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ[17]
นโยบาย
[แก้]เบื้องต้น
[แก้]ในเบื้องต้น โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะเป็นการเติมเงินจำนวนคนละ 10,000 บาท ให้กับประชาชนสัญชาติไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนประมาณ 54.8 ล้านคน จำนวน 1 ครั้ง[18] โดยประชาชนสามารถนำเงินดิจิทัลไปใช้จ่ายได้ภายในรัศมี 4 กิโลเมตร ยึดจากที่อยู่ที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชนของตน ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ[19] โดยใช้งบประมาณอย่างมากจำนวน 548,000 ล้านบาท[20]
โครงการจะเริ่มต้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โดยเป็นการเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ จากนั้นจะเปิดให้ประชาชนยืนยันตัวตนในลำดับถัดไป[21] โดยประชาชนทุกคนที่อยู่ในเงื่อนไขข้างต้น และยืนยันตัวตนผ่านกระบวนการทำความรู้จักกับลูกค้า (KYC) ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว สามารถยืนยันการรับสิทธิ์ในโครงการนี้ได้ทันที[22] ทั้งนี้ หากมีผู้ขอไม่รับสิทธิ์ เงินที่เหลือจะถูกส่งคืนกระทรวงการคลังเพื่อเป็นงบประมาณแผ่นดินต่อไป[20]
โครงการนี้มีกำหนดเริ่มต้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567[8] โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันได้ทุกประเภท ยกเว้นสิ่งของเกี่ยวกับอบายมุข รวมถึงสินค้าออนไลน์ และไม่สามารถนำไปใช้หนี้ได้[23] โดยประชาชนสามารถใช้เงินจำนวนนี้ได้ผ่านโปรแกรมประยุกต์พิเศษแห่งชาติที่พัฒนาโดยผู้พัฒนาที่สมาคมธนาคารไทยมอบหมาย ซึ่งเก็บข้อมูลผ่านระบบบล็อกเชน[16] และจะทยอยเปิดฟังก์ชันต่าง ๆ ตามระยะเวลาที่เหมาะสม[24] ส่วนประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ สามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนคู่กับคิวอาร์โค้ดส่วนตัว โดยจะมีการผูกในระบบอยู่แล้ว[23] ส่วนร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี สามารถนำเงินจากการใช้จ่ายในโครงการนี้ไปแลกเป็นเงินสดได้[25]
การปรับปรุง
[แก้]อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2566 จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ได้เปิดเผยภายหลังจากการประชุมคณะอนุกรรมการครั้งที่ 2/2566 ว่า ที่ประชุมเสนอแนวทางปรับกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้ 3 แนวทาง คือ
- ตัดสิทธิ์กลุ่มบุคคลที่มีรายได้มากกว่า 25,000 บาทต่อเดือน และ/หรือ มีเงินฝากบัญชีมากกว่า 100,000 บาท จะทำให้เหลือบุคคลที่เข้าร่วมโครงการได้ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณ 430,000 ล้านบาท
- ตัดสิทธิ์กลุ่มบุคคลที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน และ/หรือ มีเงินฝากบัญชีมากกว่า 500,000 บาท จะทำให้เหลือบุคคลที่เข้าร่วมโครงการได้ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณ 490,000 ล้านบาท
- ให้สิทธิ์เฉพาะกลุ่มบุคคลที่ได้รับสิทธิ์สวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 15-16 ล้านคน ใช้งบประมาณ 160,000 ล้านบาท
ส่วนรัศมีในการใช้จ่าย คณะอนุกรรมการได้มีข้อสรุปว่าจะขยายให้ใช้จ่ายได้ภายในอำเภอที่ระบุไว้ในบัตรประจำตัวประชาชนของแต่ละคน ส่วนร้านค้าที่สามารถขึ้นเงินได้ จะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี 3 ประเภท ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยยังไม่มีข้อสรุปเรื่องแหล่งที่มาของงบประมาณในโครงการ แต่ใช้งบประมาณแผ่นดินของไทย พ.ศ. 2567 เป็นพื้นฐาน ซึ่งอาจทำให้ต้องเลื่อนการเริ่มต้นโครงการออกไปอีก 2 เดือน เป็นช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2567[26]
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการนโยบายครั้งที่ 2/2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบาย ได้แถลงปรับหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตามความเห็นที่ได้รับฟังมาทั้งหมด โดยปรับเป็นการเติมเงินให้กับประชาชนที่อายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาทต่อเดือน และ/หรือ มีเงินฝากน้อยกว่า 500,000 บาท คิดเป็นจำนวนประชากรผู้ได้รับจำนวนประมาณ 50 ล้านคน ตามคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยเติมเงินเข้าไปในกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยการใช้จ่ายเงินจำนวนนี้จะใช้แอปพลิเคชันที่พัฒนาต่อยอดจากแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยมีระบบบล็อกเชนเข้ามาช่วยลดการทุจริต โดยสามารถใช้เงินจำนวนนี้ได้สำหรับเฉพาะการซื้อของอุปโภคบริโภคเท่านั้น และให้ใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากที่โครงการเริ่ม นอกจากนี้ยังปรับรัศมีการใช้จ่ายเป็นในระดับอำเภอ ส่วนงบประมาณจะแบ่งใช้เป็น 2 ส่วน รวมจำนวนประมาณ 600,000 ล้านบาท โดยเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการซึ่งคิดเป็น 500,000 ล้านบาท จะมาจากการออกพระราชบัญญัติกู้เงิน ซึ่งต้องผ่านการตีความทางกฎหมายโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา และนำเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ส่วนอีก 100,000 ล้านบาท จะดึงงบประมาณแผ่นดินมาสมทบเข้ากองทุนเสริมสร้างการแข่งขันในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (New S Curve) เพื่อดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายเข้ามาลงทุนในประเทศ ทำให้คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567[27] ซึ่งต่อมาเศรษฐาและจุลพันธ์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าหากพระราชบัญญัติกู้เงินข้างต้นไม่สามารถประกาศใช้ได้ กระทรวงการคลังก็ยังไม่มีแผนสำรองในการดำเนินโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกโครงการ e-Refund ให้ประชาชนลดหย่อนภาษีเงินได้จากการซื้อสินค้าและบริการ มูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยให้ใช้ใบกำกับภาษีมาประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แล้วรัฐจะคืนเงินให้ ซึ่งบุคคลที่ไม่ได้รับสิทธิ์ในโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท สามารถเข้าร่วมโครงการ e-Refund แทนได้ และจะทำให้ร้านค้าเข้าระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้นอีกด้วย[28] โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 และสิ้นสุดโครงการในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 รวมระยะเวลา 45 วัน[29] ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการนี้ในชื่อ Easy E-Receipt ในการประชุมสัญจรเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2566[30]
ต่อมาคณะกรรมการนโยบายได้รับหนังสือข้อเสนอแนะและความเห็นเกี่ยวกับโครงการจากคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาข้อเสนอแนะและความเห็นของทั้ง 2 หน่วยงานข้างต้น โดยมีกรอบระยะเวลาศึกษาภายใน 30 วัน[31] จากนั้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายครั้งที่ 2/2567 กระทรวงการคลังได้เสนอความเป็นไปได้ของแหล่งเงินในการดำเนินโครงการ โดยที่ประชุมจะพิจารณาทางเลือกแหล่งเงินในภายหลัง และมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินโครงการไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และเป็นไปตามข้อความเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ และระบุว่าจะมีการแถลงข่าวอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน[32]
นโยบายจริง
[แก้]รัฐบาลเศรษฐา
[แก้]การแถลงในรอบแรก
[แก้]ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2567 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการนโยบายครั้งที่ 3/2567 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบาย ได้แถลงข่าวเปิดตัวโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างเป็นทางการ โดยจะมีประชากรผู้ได้รับเงินจำนวนประมาณ 50 ล้านคน รวมเป็นวงเงินในโครงการจำนวน 500,000 ล้านบาท และกำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าที่ลงทะเบียนไว้ ทั้งนี้ จะเปิดให้ลงทะเบียนร้านค้าในไตรมาสที่ 3 และเริ่มต้นโครงการในไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2567[33] ส่วนแหล่งเงินในการดำเนินโครงการนั้น ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง แถลงว่า จำนวนแหล่งเงิน 500,000 ล้านบาทนี้ มาจากแหล่งงบประมาณแผ่นดินของไทยทั้งหมดโดยไม่มีการออกพระราชบัญญัติกู้เงิน แบ่งเป็นจำนวน 3 ส่วน ดังนี้[34]
- งบประมาณแผ่นดินของไทย พ.ศ. 2568 วงเงิน 152,700 ล้านบาท
- มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินโครงการนี้ให้แก่กลุ่มเกษตรกรจำนวนประมาณ 17.23 ล้านคน ตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 วงเงิน 172,300 ล้านบาท
- การบริหารจัดการงบประมาณแผ่นดินของไทย พ.ศ. 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาท
ส่วนแนวทางการดำเนินโครงการ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงเพิ่มเติมดังนี้
- ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากในธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
- การใช้จ่าย สามารถใช้จ่ายได้หลายรอบ แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
- ระหว่างประชาชนกับร้านค้า สำหรับการใช้จ่ายในรอบที่ 1 ใช้จ่ายได้เฉพาะในร้านค้าขนาดเล็กที่ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดในอำเภอภูมิลำเนาของแต่ละคน
- ระหว่างร้านค้ากับร้านค้า สำหรับการใช้จ่ายในรอบที่ 2 ขึ้นไป ไม่กำหนดเงื่อนไขและขนาดของร้าน
- ประเภทสินค้า สามารถใช้จ่ายสินค้าทุกประเภทผ่านโครงการได้ ยกเว้นสินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ และออนไลน์ และอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับการกำหนดโดยกระทรวงพาณิชย์
- ระบบในโครงการ ใช้ระบบที่พัฒนาโดยหน่วยงานภายในภาครัฐ คือ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะเป็นโปรแกรมประยุกต์พิเศษของรัฐบาล โดยการใช้งานจะพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่น ๆ ในลักษณะวงเปิด (Open Loop)
- คุณสมบัติของร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดได้ จะต้องอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) ของประมวลรัษฎากร และสามารถถอนเงินสดได้ตั้งแต่การใช้จ่ายรอบที่ 2 เป็นต้นไป
- แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่ม 2 ชุด ดังนี้
- คณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธาน และผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นอนุกรรมการและเลขานุการร่วม
- คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการฯ โดยมีจุลพันธ์เป็นประธาน มีหน้าที่กำหนดเงื่อนไข รายละเอียดโครงการ และระบบ ให้สอดคล้องตามเงื่อนไข กฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานงานและประชาสัมพันธ์โครงการในประเด็นต่าง ๆ
โดยคณะกรรมการนโยบายมีมติเห็นชอบทุกประเด็นข้างต้น และมอบหมายให้กระทรวงการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานเลขานุการ นำมติดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาให้ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63[35] และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567[36]
การแถลงในรอบที่ 2
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (กันยายน 2024) |
รัฐบาลแพทองธาร
[แก้]หลังจากที่เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนจากนายกรัฐมนตรี จากกรณีทูลเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีที่เคยต้องโทษอาญาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนถัดมา ยืนยันว่า คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64 ของตน จะยังคงดำเนินโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทไว้เหมือนเดิม แต่มีการปรับรูปแบบเล็กน้อยและเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 เป็นการแจกเงินสดให้แก่กลุ่มผู้เปราะบาง คือกลุ่มผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงคนพิการด้วย[37][38][39] โดยเมื่อวันที่ 17 กันยายน คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติงบประมาณจำนวน 145,552.40 ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการในระยะนี้ โดยเริ่มแจกเงินสดให้ 2 กลุ่มดังกล่าว แบ่งเป็นกลุ่มผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนไม่เกิน 12,405,954 คน และคนพิการ จำนวนไม่เกิน 2,149,286 คน รวมจำนวนไม่เกิน 14,555,240 คน โดยแบ่งจ่ายเป็นระยะเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 – 30 กันยายน พ.ศ. 2567[40] แต่ผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องผูกบัญชีพร้อมเพย์ให้เรียบร้อยก่อน หากทำไม่ทัน จะมีการโอนในรอบเก็บตกอรกจำนวน 3 ครั้ง[41] ทั้งนี้ มีการเปิดให้กลุ่มนี้ตรวจสอบสิทธิ์ของตนตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน[42] และแพทองธารได้ทำพิธีเปิดโครงการในระยะที่ 1 นี้ เมื่อวันที่ 25 กันยายน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล[43]
- ระยะที่ 2 เป็นการเติมเงินให้กับผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐในช่วงระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังได้เลื่อนการประกาศผลการรับสิทธิ์จากกำหนดเดิมในวันที่ 22 กันยายน ออกไปอย่างไม่มีกำหนด[44]
- ระยะที่ 3 เป็นการเติมเงินให้กับผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแบบไม่มีสมาร์ทโฟน ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 3 แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังได้เลื่อนการเปิดลงทะเบียนสำหรับกลุ่มนี้จากกำหนดเดิมในวันที่ 16 กันยายน ออกไปอย่างไม่มีกำหนดเช่นเดียวกัน[45]
เส้นเวลา
[แก้]- 1 สิงหาคม — เริ่มต้นลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ (ปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 2) ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ ตั้งแต่เวลา 08:00 น.[46]
- 15 กันยายน — สิ้นสุดการรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ[47]
- 25 กันยายน–19 ธันวาคม — เริ่มต้นโครงการในระยะที่ 1[48]
- 25–30 กันยายน — เริ่มโอนเงินสดให้แก่ผู้พิการและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ผูกบัญชีพร้อมเพย์
- 25 กันยายน — โอนเงินสด 10,000 บาท ให้ผู้พิการทั้งหมด และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 0 ตั้งแต่เวลา 00:01 น.
- 26 กันยายน — โอนเงินสด 10,000 บาท ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 1, 2 และ 3 ตั้งแต่เวลา 00:01 น.
- 27 กันยายน — โอนเงินสด 10,000 บาท ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 4, 5, 6 และ 7 ตั้งแต่เวลา 00:01 น.
- 30 กันยายน — โอนเงินสด 10,000 บาท ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 8 และ 9 ตั้งแต่เวลา 00:01 น.
- 10 ตุลาคม–19 ธันวาคม — รอบเก็บตก[49]
- ครั้งที่ 1
- 10 ตุลาคม — สิ้นสุดการรับจดทะเบียนคนพิการเพื่อรับเงินในรอบนี้
- 18 ตุลาคม — สิ้นสุดการผูกหรือแก้ไขข้อมูลบัญชีพร้อมเพย์เพื่อรับเงินในรอบนี้
- 21 ตุลาคม — โอนเงินสด 10,000 บาท
- ครั้งที่ 2
- 12 พฤศจิกายน — สิ้นสุดการรับจดทะเบียนคนพิการเพื่อรับเงินในรอบนี้
- 18 พฤศจิกายน — สิ้นสุดการผูกหรือแก้ไขข้อมูลบัญชีพร้อมเพย์เพื่อรับเงินในรอบนี้
- 21 พฤศจิกายน — โอนเงินสด 10,000 บาท รอบเก็บตกครั้งที่ 2
- ครั้งที่ 3
- 3 ธันวาคม — สิ้นสุดการรับจดทะเบียนคนพิการเพื่อรับเงินในรอบนี้
- 16 ธันวาคม — สิ้นสุดการผูกหรือแก้ไขข้อมูลบัญชีพร้อมเพย์เพื่อรับเงินในรอบนี้
- 22 ธันวาคม — โอนเงินสด 10,000 บาท รอบเก็บตกครั้งที่ 3
- ครั้งที่ 1
- 25–30 กันยายน — เริ่มโอนเงินสดให้แก่ผู้พิการและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ผูกบัญชีพร้อมเพย์
- ไม่มีกำหนด — ประกาศผลการรับสิทธิ์ในโครงการในระยะที่ 2[44]
- ไม่มีกำหนด — เริ่มต้นลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการในระยะที่ 3 สำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์[45]
การตอบรับ
[แก้]การสนับสนุน
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (ธันวาคม 2023) |
ข้อวิจารณ์
[แก้]ในช่วงการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย (ในขณะนั้น) ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้วินิจฉัยว่า โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนในการชี้แจงแหล่งที่มาของเงินในโครงการหลายส่วน[50]
ภายหลังเสร็จสิ้นการจัดตั้งรัฐบาล กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระบุถึงโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทว่า ให้สังเกตประมาณการสถานะทางการเงินล่าสุดของประเทศให้ดี เนื่องจากที่มาของเงินในโครงการนี้จำเป็นต้องกู้หรือยืมเงินจากรัฐวิสาหกิจ และปัจจุบันรัฐบาลมีหนี้สินอยู่ 11 ล้านล้านบาท รัฐบาลต้องออกพันธบัตรใหม่มาชำระชุดเก่าตลอดเวลา ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุน และเพิ่มภาระงบประมาณ ทำให้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากหลากหลายปัจจัย รวมถึงรายจ่ายจากนโยบายดังกล่าว ถึงแม้ประเทศไทยจะมีหนี้ของสกุลเงินต่างประเทศในระดับต่ำ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจของโลกที่ต้องระวัง[51]
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า หากรัฐบาลจะกู้เงินจากธนาคารออมสินซึ่งเป็นธนาคารของรัฐ มาเป็นงบในโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยไม่ได้มาจากงบประมาณแผ่นดินตามที่เคยหาเสียง ข้อดีคือหนี้ของธนาคารของรัฐจะไม่ถูกนับเป็นหนี้สาธารณะ แต่มีข้อเสียคือต้องจ่ายเงินคืนธนาคารออมสินทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เบียดบังงบประมาณส่วนอื่น ๆ ในการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพียงมติ ครม. ในการกู้เงินได้ทันที โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบใด ๆ และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการกู้เงินต่อสาธารณะ[52]
นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 99 คน ร่วมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท และระบุเหตุผล 8 ข้อที่แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ "ได้ไม่คุ้มเสีย" ทั้งนี้ มีอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 2 คน คือ วิรไท สันติประภพ และ ธาริษา วัฒนเกส ร่วมลงชื่อคัดค้านโครงการดังกล่าวด้วย[53] ทำให้ต่อมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติให้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาศึกษาโครงการนี้ โดยเชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ด้านเศรษฐศาสตร์ และผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทยมาร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อศึกษารายละเอียดโครงการ และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการทุจริตหรือผลกระทบด้านเศรษฐกิจในระยะยาวตามแถลงการณ์ของนักวิชาการข้างต้น ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร[54]
วิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศ ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นของนักวิชาการข้างต้นแก่ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้วินิจฉัยพร้อมส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง ให้ตรวจสอบว่า โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 หรือไม่ โดยเบื้องต้นผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องไว้พิจารณา[55]
ประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาความเสี่ยงและผลกระทบจากการดำเนินโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เนื่องจากเห็นว่าเป็นโครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืนของฐานะทางการเงินการคลังของรัฐ ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561[56]
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบุคคลที่ยื่นคำร้องต่อองค์กรอิสระเพื่อให้สั่งระงับการดำเนินโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เช่น นายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ยื่นคำร้องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินให้ส่งเรื่องไปยังศาลปกครองเพื่อให้มีคำสั่งระงับการดำเนินโครงการ[57], รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา ที่ยื่นคำร้องไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 8 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 จัดประชุมร่วมกันเพื่อวินิจฉัยระงับการดำเนินโครงการ[58]
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2566 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลกรณีโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยมีคณะกรรมการจำนวน 30 คน และมีกรรมการ ป.ป.ช. 2 คน คือ สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานกรรมการ และสุวณา สุวรรณจูฑะ เป็นรองประธานกรรมการ[59] ทั้งนี้ สุภา ปิยะจิตติ มีฉายาว่า "มือปราบจำนำข้าว" เนื่องจากเคยเป็นประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็นผู้เปิดเผยว่าโครงการนี้ทำให้มีข้าวสารหายไปจากระบบจำนวน 1,000,000 ตัน[60]
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ภายหลังการแถลงแนวทางการดำเนินโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล แล้วพบว่าแหล่งที่มาในการดำเนินโครงการมาจากการออกพระราชบัญญัติกู้เงิน ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แสดงความกังวลอีกว่า ในที่สุดอาจไม่มีใครได้รับเงิน 10,000 บาทแม้แต่คนเดียว เพราะการออกพระราชบัญญัติกู้เงินดังกล่าวขัดต่อมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และมาตรา 53 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เนื่องจากยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่มากพอสำหรับใช้เป็นเหตุผลในการกู้เงิน ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ดำเนินการออกร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 2,000,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมใช้ในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่น (สายเหนือ) แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ร่างตกไปเนื่องจากยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และเรื่องนี้ทั้งนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยก็รับรู้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ตนและพรรคก้าวไกลไม่สนับสนุนให้มีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 500,000 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เนื่องจากต้องการให้คณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการวินิจฉัยให้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตกไปตั้งแต่ต้น[61]
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน ศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งเป็นผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้ประกาศยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในวันที่ 13 พฤศจิกายน เวลา 10.00 น. เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า การออกพระราชบัญญัติกู้เงิน 500,000 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ขัดต่อมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และมาตรา 53 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ข้างต้นหรือไม่[62]
ภายหลังจากแพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้เกิดกระแสวิจารณ์ว่า เศรษฐา ทวีสิน อาจเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพที่จะต้องผลักดันโครงการนี้ให้เสร็จ ไม่ว่าจะกู้เงินโดยการออกเป็นพระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติก็ตาม และภายหลังผลักดันโครงการนี้สำเร็จ อาจเป็นไปได้ที่เศรษฐาจะลาออก เพื่อเปิดทางให้แพทองธารขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อโครงการดังกล่าว[63]
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ หากอ้างว่าโครงการนี้เร่งด่วน ต้องออกเป็นพ.ร.ก. เพราะออกเป็นพ.ร.ก.สามารถบังคับใช้ได้ทันที แต่การออกเป็นพ.ร.บ.จะทำให้ล่าช้า และมีปัญหาในภาคปฎิบัติ[64][65]
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แถลงข่าววิเคราะห์ผลงานรัฐบาลหลังจากเข้ารับตำแหน่งครบ 100 วัน โดยได้จัดให้โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทเ ป็นผลงานประเภท "คิดไปทำไป" เนื่องจากที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการอย่างน้อย 4 ครั้ง ทั้งเรื่องแหล่งที่มาของเงินในโครงการ, เทคโนโลยีที่ใช้, จำนวนผู้ได้รับสิทธิ และระยะเวลาเริ่มต้นโครงการ พร้อมเสนอแนะว่าหลังจากนี้รัฐบาลควรมีแผนสำรองในกรณีที่โครงการนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ หรือติดปัญหาในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนโครงการนี้ควรมีความชัดเจนและไม่มีการปรับเปลี่ยนอีก และควรมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเพิ่มเติม[66]
ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เหมาะกับกลุ่มเปราะบางมากกว่า เพราะหลายกลุ่มมีรายได้ฟื้นตัวเกินจุดและมีท่าที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง[67][68][69]
บทบาทของคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฏร
[แก้]เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ในการประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธานกรรมาธิการ มีวาระสำคัญคือการพิจารณาโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่เข้ามาให้ข้อมูล โดยระบุว่าโครงการนี้มีความจำเป็นน้อย เพราะการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้สูง และแรงงานก็ฟื้นตัว[70][71]
ต่อมาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วีระ ธีระภัทรานนท์[72] ในฐานะกรรมาธิการ ระบุว่า ถ้ารัฐบาลไม่สามารถจัดการโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทไม่ดี จะสุ่มเสี่ยงก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในอนาคต[73] เนื่องจากการตั้งงบประมาณในครั้งนี้เป็นการตั้งงบขาดดุลที่สูงจนติดเพดานงบประมาณขาดดุลในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน[74]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- "โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet". ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน. 5 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2024.[ลิงก์เสีย]
- "13 คำถามคาใจ Digital Wallet ฉบับประชาชน". ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน. 5 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2024.[ลิงก์เสีย]
- "โครงการ e-Refund". ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน. 5 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2024.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "ประวัติ "เผ่าภูมิ โรจนสกุล" รมช. คลังคนใหม่ ครม.เศรษฐา 1/1". pptvhd36.com. 28 April 2024. สืบค้นเมื่อ 28 April 2024.
- ↑ "กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท". ประชาชาติธุรกิจ. 22 สิงหาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เพื่อไทยประกาศ 'แพทองธาร' เป็นผู้นำครอบครัวบ้านหลังใหญ่ ยันเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล". สำนักข่าวทูเดย์. 20 มีนาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เลือกตั้ง 66 สรุปนโยบายเพื่อไทย 'คนไทยไร้จน'". สำนักข่าวทูเดย์. 17 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เลือกตั้ง 2566 : เศรษฐา แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย ประกาศตัวเลข นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่". เดอะสแตนดาร์ด. 5 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เปิดรายละเอียดงบประมาณนโยบายขายฝันแจกเงินดิจิทัล 10,000". ไทยโพสต์. 20 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "โผ ครม.เศรษฐา 1 "เสี่ยนิด" นายกฯ ควบ รมว.คลัง-"วราวุธ" นั่ง รมว.พาณิชย์". ไทยรัฐ. 24 สิงหาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 8.0 8.1 "เศรษฐาประกาศ ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เริ่มใช้ 1 ก.พ. 67 ระบุ รัฐบาลเพื่อไทยต้องทำงานแบบไม่มีเวลาหายใจ". เดอะสแตนดาร์ด. 5 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "คำแถลงนโยบายรัฐบาลเศรษฐา ปัดฝุ่น "ผู้ว่า CEO" แก้ รธน.ไม่แตะหมวดสถาบันฯ". บีบีซีไทย. 6 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 2 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""เงินดิจิทัล 10,000 บาท" นายกฯสั่งเร่งศึกษาแนวทางกลับมาเสนอโดยเร็วที่สุด". ทีเอ็นเอ็น 16. 13 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เงินดิจิทัล 10,000 บาท ยังไม่เคาะ! – ยืมออมสินบางส่วน สัญญาใช้คืน 3 ปี". THAIPUBLICA. 26 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "นักวิชาการ ชี้ แบงก์รัฐช่วยเงินดิจิทัลได้ แต่มีความเสี่ยงที่ต้องแลก". ฐานเศรษฐกิจ. 28 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เปิดหน้า บอร์ดคุมแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท 28 คน มีบิ๊กต่อ ผบ.ตร.ด้วย". ประชาชาติธุรกิจ. 3 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "นายกฯ เคาะตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท". โพสต์ทูเดย์. 5 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "จุลพันธ์พร้อมเข้าพบ ป.ป.ช. ชี้แจง "แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท" ด้วยตัวเอง". ประชาชาติธุรกิจ. 12 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 16.0 16.1 "ปั้น "ซูเปอร์แอป" แจกเงินดิจิทัล "จุลพันธ์" มอบสมาคมแบงก์จัดการระบบ". 14 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ผ่าแหล่งเงิน 'ดิจิทัลวอลเล็ต' 5.6 แสนล้าน ยืม รสก. - รีดภาษี - เกลี่ยงบฯปี67". กรุงเทพธุรกิจ. 19 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เพื่อไทย ยัน เงินดิจิทัล 10000 จ่ายงวดเดียว ไม่มีแบ่งจ่าย". ฐานเศรษฐกิจ. 3 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท รัฐบาลเดินหน้าไม่เลิก เช็กเงื่อนไขล่าสุด". ประชาชาติธุรกิจ. 11 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 20.0 20.1 "เงินดิจิทัลอีก 2 สัปดาห์ชัดเจน! "จุลพันธ์" ยันไม่ตัดสิทธิ์คนรวย". ไทยรัฐ. 16 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนเงินดิจิทัล 10,000 บาท พ.ย.นี้ รัฐบาล ยันจ่ายรวดเดียวจบ". ไทยรัฐ. 10 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ได้วันไหน ข้อมูลและข่าวอัปเดตล่าสุด". สนุก.คอม. 15 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 23.0 23.1 "เงินดิจิทัล 10,000 บาท คนไม่มีสมาร์ทโฟนมีสิทธิรับเงินมั้ย เช็กคำตอบที่นี่". สนุก.คอม. 25 สิงหาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "จุลพันธ์ยืนยัน ซูเปอร์แอปเสร็จทันแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เผยคนที่เคยยืนยันตัวตนในระบบเก่าไม่ต้องยืนยันใหม่อีก". เดอะสแตนดาร์ด. 16 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "หาบเร่-แผงลอย ลงทะเบียนเงินดิจิทัล 10,000 บาท เบิกเงินสดได้มั้ย". สนุก.คอม. 13 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""จุลพันธ์" เผยเงินดิจิทัล 10,000 บาท อาจล่าช้าถึง เม.ย. ชง 3 แนวทางตัดสิทธิ์คนรวย". พีพีทีวี. 25 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เคาะวงเงิน 6 แสนล้าน รัฐเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตแจก 10,000 บาท 50 ล้านคน". กรุงเทพธุรกิจ. 10 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เคาะเงื่อนไข "ดิจิทัลวอลเล็ต" รายได้ไม่เกิน 7 หมื่น หรือเงินฝากต่ำกว่า 5 แสน". ไทยรัฐ. 10 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""E-Refund" ลดหย่อนภาษี 50,000 บาท เริ่ม 1 ม.ค. 2567". สนุก.คอม. 16 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ครม.เคาะ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่น เริ่ม 1 ม.ค.-15 ก.พ.2567". ฐานเศรษฐกิจ. 4 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ด่วน แจก 10,000 บาท บอร์ดดิจิทัล มีมติตั้งกรรมการดูเอกสารอีก 30 วัน". ประชาชาติธุรกิจ. 15 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""เศรษฐา" สั่งหาแหล่งเงินอื่น แทนกู้แจกดิจิทัล 1 หมื่นบาท". ไทยพีบีเอส. 27 มีนาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ด่วน นายกฯประกาศ แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท 50 ล้านคน ไตรมาส 4". ฐานเศรษฐกิจ. 10 เมษายน 2024. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ปลัดคลัง สรุป 3 แหล่งเงิน 5 แสนล้าน "แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต" งบ 67-68 และธ.ก.ส." ฐานเศรษฐกิจ. 10 เมษายน 2024. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ชัดเจน! บอร์ดดิจิทัลชุดใหญ่ เคาะแหล่งเงิน-กลุ่มเป้าหมาย-เงื่อนไข เสนอครม.ในเม.ย. เริ่มใช้จ่าย Q4/67". สำนักข่าวอินโฟเควสท์. 10 เมษายน 2024. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)[ลิงก์เสีย] - ↑ "เศรษฐา ผนึกพรรคร่วมแถลงมติ ครม. อนุมัติโครงการแจกเงิน 10,000 บาท". ประชาชาติธุรกิจ. 23 เมษายน 2024. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เปิดแนวโน้มรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ แจกเงินสด เงินดิจิทัล 10000 บาท ใช้จ่าย ก.ย. 67". bangkokbiznews. 2024-08-21.
- ↑ ฐานเศรษฐกิจ (2024-08-20). ""ผอ.สำนักงบ" ยัน โครงการเงินดิจิทัล 10,000 แจกเป็นเงินสดได้". thansettakij.
- ↑ ""ภูมิธรรม"ยันแจกต่อ "ดิจิทัลวอลเล็ต" เล็งปรับแผนจ่ายเงินหมื่น". Thai PBS.
- ↑ "ครม.อนุมัติจ่ายเงินสด 10,000 บาท ผู้พิการ-กลุ่มเปราะบาง เริ่ม 25 ก.ย.นี้". อสมท. สำนักข่าวไทย. 17 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เปิดไทม์ไลน์ โอนเงิน 10,000 บาท เข้าบัญชีพร้อมเพย์ กลุ่มเปราะบาง-ผู้พิการ". พีพีทีวี. 18 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "คลิกเดียว govwelfare.cgd.go.th ประกาศรายชื่อ เงิน 10000 บาท โอนเงินเข้าทันที". กรุงเทพธุรกิจ. 24 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""แพทองธาร" กด Kick Off โอนเงินหมื่นให้กลุ่มเปราะบาง ยันเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตแน่นอน". ไทยรัฐ. 25 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 44.0 44.1 "เลื่อนประกาศผลลงทะเบียนเงินดิจิทัล ผ่าน-ไม่ผ่าน บนแอปทางรัฐ". สนุก.คอม. 15 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 45.0 45.1 "เลื่อนลงทะเบียนรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท กลุ่มไม่มีมือถือ 16 ก.ย. นี้ อย่าพึ่งไป 3 แบงก์รัฐ". ประชาชาติธุรกิจ. 14 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ลงทะเบียนรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท วันแรก ยอดพุ่ง 14.4 ล้านราย". ประชาชาติธุรกิจ. 1 สิงหาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "วันสุดท้าย ลงทะเบียน "ดิจิทัลวอลเล็ต" เตรียมปิดรับสิทธิสำหรับ "กลุ่มสมาร์ทโฟน"". ไทยรัฐ. 15 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "แจกเงิน 10,000 กลุ่มเปราะบาง เข้าบัญชีพร้อมเพย์ ไม่ต้องลงทะเบียน "ทางรัฐ"". ไทยรัฐ. 17 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) { - ↑ "แจกเงิน 10,000 บาท คลังปรับโอนซ้ำเร็วขึ้น รอบแรก 21 ต.ค.นี้". ประชาชาติธุรกิจ. 17 ตุลาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2024.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ยื่น กกต. ฟันเพื่อไทย 'แจกเงินดิจิทัล' ส่อขัดกม.พรรคการเมือง-เลือกตั้ง". 21 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""กรณ์" เตือน แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท อาจสะเทือนต้นทุนการเงิน-การคลัง". สปริงนิวส์. 17 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ศิริกัญญาลั่น ปริศนากระจ่างแล้ว งบเงินดิจิทัล 10,000 บาท มาจากไหน". ประชาชาติธุรกิจ. 25 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เปิดรายชื่อนักวิชาการ-เศรษฐศาสตร์ คัดค้านแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท". ฐานเศรษฐกิจ. 7 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ป.ป.ช.ตั้งกก.ศึกษาแจกเงิน 1 หมื่น ชี้แนะ-เตือนครม. "ภูมิธรรม" เตรียมร้านธงฟ้า". ไทยรัฐ. 12 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เงินหมื่นดิจิทัล วุ่น! ผู้ตรวจการฯ รับเรื่องสอบนโยบายรบ. ลุ้นส่งศาลรธน.หรือไม่ ?". มติชน. 12 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "สตง.ลุยสอบนโยบายเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท". ฐานเศรษฐกิจ. 13 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""หมอวรงค์" ชี้ ดิจิทัล 1 หมื่น ช่วยคนรวย เอาคนจนบังหน้า". องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย. 18 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "'รสนา' ยื่น สตง. ตรวจสอบ พร้อมถกกกต.-ป.ป.ช. หยุดรัฐแจกเงินดิจิทัล ขัดกฎหมาย". เดลินิวส์. 19 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เปิดรายชื่อ ป.ป.ช.-กรรมการ 30 คน ตรวจสอบแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท". ประชาชาติธุรกิจ. 30 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ป.ป.ช.แต่งตั้ง "สุภา ปิยะจิตติ" ปธ.คกก.ศึกษาดิจิทัลวอลเล็ต". ผู้จัดการออนไลน์. 26 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""ศิริกัญญา" ชี้รัฐรู้แก่ใจดิจิทัลวอลเล็ตถึงทางตัน ออก พ.ร.บ.เงินกู้ขัดกฎหมาย". องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย. 10 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "มาแล้ว 'ศรีสุวรรณ' จ่อร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ปมรัฐออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน". กรุงเทพธุรกิจ. 10 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "สองนครา 'อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา' วินวิน 'นายกฯคนละครึ่ง'". กรุงเทพธุรกิจ. 31 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ""จุรินทร์" ชี้ ไม่วิกฤติจริง กู้เงิน "ดิจิทัลวอลเล็ต" เหตุ ออกเป็น พ.ร.บ." www.thairath.co.th. 2023-11-15.
- ↑ https://www.khaosod.co.th/politics/news_7964428 จุรินทร์ จี้ถามรัฐบาล ถ้าเงินดิจิทัลจำเป็นจริง ทำไมไม่ออก พ.ร.ก. แทน พ.ร.บ.
- ↑ "'ผ่านบ้าง ไม่ผ่านบ้าง' พิธาตัดเกรด 100 วันรัฐบาลเศรษฐา ตรวจการบ้านพบมีผลงานทั้งแบบคิดดีทำได้-คิดอย่างทำอย่าง". เดอะสแตนดาร์ด. 15 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2023.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "แบงก์ชาติ ยัน 'ดิจิทัลวอลเล็ต' เหมาะกับกลุ่มเปราะบาง". bangkokbiznews. 2024-03-29.
- ↑ ฐานเศรษฐกิจ (2024-03-30). ""ธปท." ย้ำจุดยืน เงินดิจิทัล 10,000ควรแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง". thansettakij.
- ↑ "ธปท.ย้ำจุดยืนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต มุ่งเป้ากลุ่มเปราะบาง ระบุ ศก.ไทยเดือน ก.พ.67 ขยายตัวต่ำ". สยามรัฐ. 2024-03-29.
- ↑ "กมธ. ซัก 'เงินดิจิทัล' ธปท.รับ 'จำเป็นน้อย' กำลังบริโภค - แรงงานฟื้นตัว". bangkokbiznews. 2023-10-19.
- ↑ https://www.matichon.co.th/politics/news_4239947 แบงก์ชาติ แจงสภาเอง รบ.แจกเงินดิจิทัล จำเป็นน้อย ยันชัดได้ผล ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
- ↑ isranews (2024-08-21). "สภาฯถกงบเพิ่มปี 67 แจกเงินหมื่น 1.2 แสนล้าน 'วีระ' อัดทำการคลังประเทศวิกฤติ". สำนักข่าวอิศรา.
- ↑ "อ.วีระ ห่วงงบ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ทำสัดส่วน 'ขาดดุล' พุ่งเกือบชนเพดาน เสี่ยงวิกฤตการคลัง ไม่เหลือช่องว่างทำอย่างอื่น" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2024-07-31.
- ↑ "ควันหลงกระหึ่มโลกออนไลน์ 'อ.วีระ' ฟาดเตือน'งบฯหนุนดิจิทัลวอลเล็ต' 1.22แสนล้าน กลางสภาฯ". https://www.naewna.com.
{{cite web}}
: แหล่งข้อมูลอื่นใน
(help)|website=
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- เว็บไซต์ทางการ
- "เรื่องต่าง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ" (PDF). สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. 19 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2023.
- "รายงานการประชุม เรื่อง การประชุมหารือเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet และร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการ" (PDF). สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี: 1–13. 25–27 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2023.
{{cite journal}}
: CS1 maint: date format (ลิงก์)