ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
|||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{issues|เพิ่มอ้างอิง=yes|ปรับภาษา=yes}} |
{{issues|เพิ่มอ้างอิง=yes|ปรับภาษา=yes}} |
||
{{กล่องข้อมูล หน่วยงานของรัฐ 2 |
|||
|ชื่อหน่วยงาน = ศาลรัฐธรรมนูญ |
|||
|ชื่อในภาษาแม่_1 = |
|||
|ชื่อในภาษาแม่_2 = |
|||
|ชื่อในภาษาแม่_ท = |
|||
|สัญลักษณ์ = |
|||
|สัญลักษณ์ _กว้าง = |
|||
|สัญลักษณ์ _บรรยาย = |
|||
|ตรา = ThaiConCourt-Seal-003.png |
|||
|ตรา_กว้าง = 150 px |
|||
|ตรา_บรรยาย = |
|||
|ภาพ = |
|||
|ภาพ_กว้าง = |
|||
|ภาพ_บรรยาย = |
|||
|วันก่อตั้ง = 11 ตุลาคม 2540 |
|||
|สืบทอดจาก_1 = |
|||
|สืบทอดจาก_2 = |
|||
|สืบทอดจาก_3 = |
|||
|สืบทอดจาก_4 = |
|||
|สืบทอดจาก_5 = |
|||
|สืบทอดจาก_6 = |
|||
|วันยุบเลิก = |
|||
|สืบทอดโดย = |
|||
|เขตอำนาจ = {{flagicon|Thailand}} ทั่วประเทศไทย |
|||
|กองบัญชาการ = [[ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550|ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ<br>80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550]] (อาคารเอ)<br>เลขที่ 120 หมู่ 3 [[ถนนแจ้งวัฒนะ]]<br>[[แขวงทุ่งสองห้อง]] [[เขตหลักสี่]]<br>[[กรุงเทพมหานคร]] |
|||
|latd= |latm= |lats= |latNS= |
|||
|longd= |longm= |longs= |longEW= |
|||
|รหัสภูมิภาค = |
|||
|บุคลากร = |
|||
|งบประมาณ = 235.1022 ล้านบาท <small>([[พ.ศ. 2558]])</small><ref>ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/A/069/1.PDF พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558] เล่ม 131 ตอนที่ 69ก วันที่ 30 กันยายน 2557</ref> |
|||
|รัฐมนตรี1_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี1_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี2_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี2_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี3_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี3_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี4_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี4_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี5_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี5_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี6_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี6_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี7_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี7_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี8_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี8_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี9_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี9_ตำแหน่ง = |
|||
|รัฐมนตรี10_ชื่อ = |
|||
|รัฐมนตรี10_ตำแหน่ง = |
|||
|หัวหน้า1_ชื่อ = [[นุรักษ์ มาประณีต]] |
|||
|หัวหน้า1_ตำแหน่ง = ประธานศาลรัฐธรรมนูญ |
|||
|หัวหน้า2_ชื่อ = [[เชาวนะ ไตรมาศ]]<ref>http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/249/7.PDF</ref> |
|||
|หัวหน้า2_ตำแหน่ง = เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ |
|||
|ต้นสังกัด = |
|||
|ลูกสังกัด_1 = |
|||
|ลูกสังกัด_2 = |
|||
|ลูกสังกัด_3 = |
|||
|ลูกสังกัด_4 = |
|||
|ลูกสังกัด_5 = |
|||
|ลูกสังกัด_6 = |
|||
|ลูกสังกัด_7 = |
|||
|ลูกสังกัด_8 = |
|||
|ลูกสังกัด_9 = |
|||
|เอกสารหลัก_1= [[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560]] |
|||
|เอกสารหลัก_2= [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561]] |
|||
|เอกสารหลัก_3= |
|||
|เอกสารหลัก_4= |
|||
|เอกสารหลัก_5= |
|||
|เอกสารหลัก_6= |
|||
|เว็บไซต์ = [http://www.constitutionalcourt.or.th/ ConstitutionalCourt.or.th] |
|||
|หมายเหตุ = |
|||
|แผนที่ = |
|||
|แผนที่_กว้าง = |
|||
|แผนที่_บรรยาย = |
|||
}} |
|||
{{การเมืองไทย}} |
{{การเมืองไทย}} |
||
รุ่นแก้ไขเมื่อ 06:02, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่หน้าอภิปราย
|
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความว่าด้วย |
การเมืองไทย |
---|
สถานีย่อยประเทศไทย |
ศาลรัฐธรรมนูญ (ย่อ: ศร.) เป็นองค์กรตุลาการที่จัดตั้งขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 แทนคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ยุบเลิกไป และมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาอรรถคดีทั่วไป
องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรวม 15 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากบุคคลต่อไปนี้
- ผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 5 คน
- ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดโดยวิธีการลงคะแนนลับ จำนวน 2 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ซึ่งได้รับเลือกจากวุฒิสภา โดยการสรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 5 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ ซึ่งได้รับเลือกจากวุฒิสภา โดยการสรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 3 คน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งกับและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 8 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากบุคคลต่อไปนี้
- ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 3 คน
- ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดโดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 2 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านนิติศาสตร์อย่างแท้จริงและได้รับเลือกตามมาตรา 206 ของรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์อื่น ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริงและได้รับเลือกตามมาตรา 206 ของรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 คน
อำนาจหน้าที่ที่สำคัญของศาลรัฐธรรมนูญ คือ การพิจารณาวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ของวุฒิสภา หรือของรัฐสภา ที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี ให้ความเห็นชอบแล้ว แต่ยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือพิจารณาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญโดยที่ศาลเห็นเอง หรือคู่ความโต้แย้ง และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ตลอดจนพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
การพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเป็นระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไปของศาลยุติธรรม
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีที่ตั้งอยู่ที่ อาคารบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ เลขที่ 326 ถนนจักรเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร แต่ปัจจุบันได้ย้ายไปที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร[1] ใกล้กับที่ทำการกองบัญชาการกองทัพไทย
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุด พ.ศ. 2549 ได้สิ้นสภาพไปพร้อมกับศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 และได้บัญญัติขึ้นตามมาตรา 35 ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
คำวินิจฉัย
ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก |
ส่วนนี้ของบทความอาจต้องปรับปรุงให้มีมุมมองที่เป็นกลาง เนื่องจากนำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียว ดูหน้าอภิปรายประกอบ โปรดอย่านำป้ายออกจนกว่าจะมีข้อสรุป |
ตั้งแต่มีการออกคำสั่งของคณะรัฐประหารฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2549 หลังการรัฐประหาร 1 วัน ซึ่งส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญที่มีมาแต่เดิมสิ้นสภาพและศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ก็ได้ขึ้นปฏิบัติการโดยมีองค์ประกอบและวิธีการได้มาตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๔๙ (ฉบับชั่วคราว) มาตรา ๓๕ https://www.opdc.go.th/Law/File_download/1159841316-1.pdf
พ.ศ. 2550
ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย จากการจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง และเพิกถอนสิทธิลงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 5 ปี โดยในภายหลัง นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น กล่าวถึงการวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค ณ ขณะนั้นเป็นไปเพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง ซึ่งไม่ได้วินิจฉัยคดีโดยวางอยู่บนพื้นฐานนิติรัฐ นิติธรรม
ตัดสินให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิดในทุกข้อกล่าวหาในกรณีจ้างพรรคเล็กใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งในภายหลังนายสุขสันต์ ไชยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นพยานปากเอกคดียุบพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สัญญาว่าจะให้เงินพยานพรรคเล็กคนละ 15 ล้านบาทและช่วยเรื่องคดีแลกกับการที่ให้พยานเหล่านี้ให้การว่าไปพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยาเพื่อรับการว่าจ้างให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยที่ความจริงแล้วมิได้มีเหตุการณ์ดังกล่าว โดยในระหว่างการดำเนินคดี นายสุเทพ เทือกสุบรรณได้นำพยานเหล่านี้ไปเก็บตัวในเซฟเฮาส์ทางภาคใต้ และสุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยเหลือเรื่องคดีกับพยานพรรคเล็กเหล่านี้ดังที่สัญญาไว้แต่อย่างใด
พ.ศ. 2551
วินิจฉัยให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากจัดรายการชิมไปบ่นไปซึ่งในภายหลังนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ได้ยอมรับว่าการวินิจฉัยถอด นายสมัคร สุนทรเวช ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั้นผิดพลาด ด้วยการนำข้อกฎหมายมาวางก่อน แล้วค่อยนำข้อเท็จจริงมาพิจารณา
ตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และเพิกถอนสิทธิลงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 5 ปี
พ.ศ. 2553
ยกคำร้อง กรณีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ด้วยมติสี่ต่อสองว่า กฎหมายกำหนดให้ผู้ร้องยื่นคำร้องมาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ปรากฏแก่ตนว่าผู้ถูกร้องฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นเหตุให้ถูกยุบได้ ทว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องมาล่วงระยะเวลาสิบห้าวันดังกล่าวนี้ จึงไม่ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องสืบไป และให้ยกคำร้อง
ยกคำร้อง กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคจำนวน 258 ล้านบาท จากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า เนื่องจากกระบวนการยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องสืบไป และให้ยกคำร้อง
พ.ศ. 2556
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาและคุณสมบัติของ ส.ว.เป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 68 โดยจากกรณีนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากต่อส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่กล่าวว่า
ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแม้จะให้ถือเอามติฝ่ายเสียงข้างมากเป็น เกณฑ์ก็ตาม แต่หากละเลยหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจกดขี่ข่มเหงฝ่ายเสียงข้างน้อยโดยไม่ฟังเหตุผลและขาดหลักประกันจนทำให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืนตามสมควรแล้วไซร้ จะถือว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร หากแต่ก็จะกลับกลายเป็นระบอบเผด็จการฝ่ายข้างมาก ขัดแย้งต่อระบอบการปกครองของประเทศไปอย่างชัดแจ้ง
ซึ่งในตอนท้ายของคำวินิจฉัย ก็มีเป็นการลงมติโดยเสียงข้างมากขององค์คณะตุลาการในการตัดสินเรื่องนี้
อาศัยเหตุดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นจึงวินิจฉัยโดยมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ว่าการดำเนินการพิจารณาและลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้องทั้งหมดในคดีนี้เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 มาตรา 125 วรรค 1 และวรรค 2 มาตรา 126 วรรค 3 มาตรา 291 และมาตรา 3 และวินิจฉัยด้วยมติเสียงข้างมากว่า 5 ต่อ 4 ว่า มีเนื้อความที่เป็นสาระสำคัญขัดแย้งต่อหลักการพื้นฐานและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อันเป็นการกระทำเพื่อให้ผู้ถูกร้องได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 1
รายนามประธานศาลรัฐธรรมนูญ
- นายเชาวน์ สายเชื้อ (11 เมษายน พ.ศ. 2541[2] - 23 กันยายน พ.ศ. 2542)
- นายประเสริฐ นาสกุล (12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 [3] - 7 กันยายน พ.ศ. 2544)
- ศาสตราจารย์ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ (14 มีนาคม พ.ศ. 2545[4] - 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545)
- ศาสตราจารย์ ดร.กระมล ทองธรรมชาติ (28 มีนาคม พ.ศ. 2546[5] - 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2548)
- นายอุระ หวังอ้อมกลาง (3 สิงหาคม พ.ศ. 2549[6] - 19 กันยายน พ.ศ. 2549)
- นายชัช ชลวร (28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 [7] - 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554 (ลาออก)[8])
- นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ (26 ตุลาคม พ.ศ. 2554 - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556 (ลาออก)[9]
- นายจรูญ อินทจาร ( 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 [10] )
- นายนุรักษ์ มาประณีต ( 11 กันยายน พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน)
บุคคลผู้เคยดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
- นาย ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
- นายอุระ หวังอ้อมกลาง (ศาลฎีกา) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
- นายผัน จันทรปาน (ศาลปกครองสูงสุด)
- นายจิระ บุญพจนสุนทร (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
- นายจุมพล ณ สงขลา (ศาลฎีกา)
- นายนพดล เฮงเจริญ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์)
- นายปรีชา เฉลิมวณิชย์ (ศาลฎีกา)
- นายมงคล สระฏัน (ศาลฎีกา)
- นายมานิต วิทยาเต็ม (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์
- นายศักดิ์ เตชาชาญ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
- พล.ต.อ สุวรรณ สุวรรณเวโช (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์)
- นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ (ศาลฎีกา)
- นายสุธี สุทธิสมบูรณ์ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
- ศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ อัศวโรจน์ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
- นายอภัย จันทนจุลกะ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์)
- นายเชาวน์ สายเชื้อ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- ศาสตราจารย์ ดร.โกเมน ภัทรภิรมย์ (ลาออก)
- พลโทจุล อติเรก (ครบวาระ)
- ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช (ลาออก)
- นายประเสริฐ นาสกุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- นายสุจินดา ยงสุนทร (ลาออก)
- นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ (พ้นจากตำแหน่ง)
- ศาสตราจารย์อนันต์ เกตุวงศ์ (ครบวาระ)
- ศาสตราจารย์ ดร. อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- ศาสตราจารย์ ดร. กระมล ทองธรรมชาติ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุจิต บุญบงการ (พ้นจากตำแหน่ง)
- ศาสตราจารย์ ดร.อมร รักษาสัตย์ (พ้นจากตำแหน่ง)
- นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (ลาออก)
- นายจรูญ อินทจาร (อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์)
- นายเฉลิมพล เอกอุรุ(พ้นจากตำแหน่ง)
- นายสุพจน์ ไข่มุกด์ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์)
อ้างอิง
- บรรเจิด สิงคะเนติ, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เรื่อง ๔. ศาลรัฐธรรมนูญ, กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2544
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๕๐), ส่วนที่ ๒ ศาลรัฐธรรมนูญ
อ้างอิง
- ↑ เว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2541/E/029/1.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2543/E/017/1.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00046139.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00123157.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2549/E/091/1.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2551/E/108/1.PDF
- ↑ 'ชัช'แถลงลาออกประธานศาลรัฐธรรมนูญ จากกรุงเทพธุรกิจ
- ↑ http://www.thairath.co.th/content/pol/357561
- ↑ http://www.thairath.co.th/content/pol/379866