ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ภาษาไทย"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 51: บรรทัด 51:
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}


== หน่วยเสียง ==
== หน่วยเสียง ==LOLOLOLOLOL
ภาษาไทยประกอบด้วย[[หน่วยเสียง]]สำคัญ 3 ประเภท<ref>ศูนย์การแปลและล่ามเฉลิมพระเกียรติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แปล ; ปรีมา มัลลิกะมาส, นริศรา จักรพงษ์, ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ บรรณาธิการ, ''พจนานุกรมออกซฟอร์ด-ริเวอร์ บุ๊คส์ อังกฤษไทย'', River Books, 2549, หน้า 1041</ref> คือ
ภาษาไทยประกอบด้วย[[หน่วยเสียง]]สำคัญ 3 ประเภท<ref>ศูนย์การแปลและล่ามเฉลิมพระเกียรติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แปล ; ปรีมา มัลลิกะมาส, นริศรา จักรพงษ์, ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ บรรณาธิการ, ''พจนานุกรมออกซฟอร์ด-ริเวอร์ บุ๊คส์ อังกฤษไทย'', River Books, 2549, หน้า 1041</ref> คือ
# หน่วยเสียงพยัญชนะ
# หน่วยเสียงพยัญชนะ

รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:49, 19 ตุลาคม 2559

ภาษาไทย
ออกเสียง[pʰāːsǎːtʰāːj]
ประเทศที่มีการพูดไทย
จำนวนผู้พูด30,200,000 คน (ภาษาแม่)  (2543)
ผู้พูดเป็นภาษาที่สอง 75,000,000 คน (2544)[1]
ตระกูลภาษา
ระบบการเขียนอักษรไทย, อักษรเบรลล์ไทย
สถานภาพทางการ
ภาษาทางการ ไทย
ผู้วางระเบียบราชบัณฑิตยสภา
รหัสภาษา
ISO 639-1th
ISO 639-2tha
ISO 639-3tha
Linguasphere47-AAA-b

ภาษาไทย เป็นภาษาราชการของประเทศไทย และภาษาแม่ของชาวไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได สันนิษฐานว่า ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางส่วนเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน และตระกูลภาษาจีน-ทิเบต

ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ

ชื่อภาษาและที่มา

คำว่า ไทย หมายความว่า อิสรภาพ เสรีภาพ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ ใหญ่ ยิ่งใหญ่ เพราะการจะเป็นอิสระได้จะต้องมีกำลังที่มากกว่า แข็งแกร่งกว่า เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก คำนี้เป็นคำไทยแท้ที่เกิดจากการสร้างคำที่เรียก "การลากคำเข้าวัด" ซึ่งเป็นการลากความวิธีหนึ่ง ตามหลักคติชนวิทยา คนไทยเป็นชนชาติที่นับถือกันว่า ภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่บันทึกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล เมื่อคนไทยต้องการตั้งชื่อประเทศว่า ไท ซึ่งเป็นคำไทยแท้ จึงเติมตัว เข้าไปข้างท้าย เพื่อให้มีลักษณะคล้ายคำในภาษาบาลี - สันสกฤตเพื่อความเป็นมงคลตามความเชื่อของตน ภาษาไทยจึงหมายถึงภาษาของชนชาติไทยผู้เป็นไทนั่นเอง

ประวัติศาสตร์

พ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1826 มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดแปลงมาจากบาลี-สันสกฤต และ เขมร

สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการปฏิรูปภาษาไทยโดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2485 มีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่สังเกตได้มีดังนี้

  • ตัดพยัญชนะ แล้วใช้ ตามลำดับแทน
  • พยัญชนะ ญ ถูกตัดเชิงออกกลายเป็น ญ
  • พยัญชนะสะกดของคำที่ไม่ได้มีรากมาจากคำบาลี-สันสกฤต เปลี่ยนเป็นพยัญชนะสะกดตามแม่โดยตรง เช่น อาจ เปลี่ยนเป็น อาด, สมควร เปลี่ยนเป็น สมควน
  • เปลี่ยน อย เป็น หย เช่น อยาก ก็เปลี่ยนเป็น หยาก
  • เลิกใช้คำควบไม่แท้ เช่น จริง ก็เขียนเป็น จิง, ทรง ก็เขียนเป็น ซง
  • ร หัน ที่มิได้ออกเสียง /อัน/ ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นสระอะตามด้วยตัวสะกด เช่น อุปสรรค เปลี่ยนเป็น อุปสัค, ธรรม เปลี่ยนเป็น ธัม
  • เลิกใช้สระใอไม้ม้วน เปลี่ยนเป็นสระไอไม้มลายทั้งหมด
  • เลิกใช้ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เปลี่ยนไปใช้การสะกดตามเสียง เช่น พฤกษ์ ก็เปลี่ยนเป็น พรึกส์, ทฤษฎี ก็เปลี่ยนเป็น ทริสดี
  • ใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างภาษาต่างประเทศ เช่นมหัพภาคเมื่อจบประโยค จุลภาคเมื่อจบประโยคย่อยหรือวลี อัฒภาคเชื่อมประโยค และจะไม่เว้นวรรคถ้ายังไม่จบประโยคโดยไม่จำเป็น

หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐนิยมก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อักขรวิธีภาษาไทยได้กลับไปใช้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง [2]

== หน่วยเสียง ==LOLOLOLOLOL ภาษาไทยประกอบด้วยหน่วยเสียงสำคัญ 3 ประเภท[3] คือ

  1. หน่วยเสียงพยัญชนะ
  2. หน่วยเสียงสระ
  3. หน่วยเสียงวรรณยุกต์

พยัญชนะ

พยัญชนะต้น

ภาษาไทยแบ่งแยกรูปแบบเสียงพยัญชนะก้องและพ่นลม ในส่วนของเสียงกักและเสียงผสมเสียงแทรก เป็นสามประเภทดังนี้

  • เสียงไม่ก้อง ไม่พ่นลม
  • เสียงไม่ก้อง พ่นลม
  • เสียงก้อง ไม่พ่นลม

หากเทียบกับภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปมีเสียงแบบที่สองกับสามเท่านั้น เสียงแบบที่หนึ่งพบได้เฉพาะเมื่ออยู่หลัง S ซึ่งเป็นเสียงแปรของเสียงที่สอง

เสียงพยัญชนะต้นโดยรวมแบ่งเป็น 21 เสียง ตารางด้านล่างนี้บรรทัดบนคือสัทอักษรสากล บรรทัดล่างคืออักษรไทยในตำแหน่งพยัญชนะต้น (อักษรหลายตัวที่ปรากฏในช่องให้เสียงเดียวกัน) อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน

  ริมฝีปาก
ทั้งสอง
ริมฝีปากล่าง
-ฟันบน
ปุ่มเหงือก หลังปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง
เสียงนาสิก   [m]
ม m
    [n]
ณ, น n
      [ŋ]
ง ng
 
เสียงกัก [p]
ป p
[pʰ]
ผ, พ, ภ ph
[b]
บ b
  [t]
ฏ, ต t
[tʰ]
ฐ, ฑ, ฒ, ถ, ท, ธ th
[d]
ฎ, ด d
    [k]
ก k
[kʰ]
ข, ฃ, ค, ฅ, ฆ* kh
  [ʔ]
อ** -
เสียงเสียดแทรก   [f]
ฝ, ฟ f
[s]
ซ, ศ, ษ, ส s
        [h]
ห, ฮ h
เสียงผสมเสียดแทรก       [t͡ɕ]
จ c (h)
[t͡ɕʰ]
ฉ, ช, ฌ ch
     
เสียงรัว       [r]
ร r
       
เสียงเปิด   [w]
ว w
      [j]
ญ, ย y
   
เสียงเปิดข้างลิ้น       [l]
ล, ฬ l
       
* และ เลิกใช้แล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาษาไทยสมัยใหม่มีพยัญชนะเพียง 42 ตัวอักษร
** ที่เป็นพยัญชนะต้นหมายถึงเสียงเงียบ และดังนั้นมันจึงถูกพิจารณาว่าเป็นเสียงกัก เส้นเสียง

พยัญชนะสะกด

ถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง และรวมทั้งไม่มีเสียงด้วย เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป

ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก และ ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ ดังนั้นตัวสะกดจึงเหลือเพียง 36 ตัวตามตารางอักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน

  ริมฝีปาก
ทั้งสอง
ริมฝีปากล่าง
-ฟันบน
ปุ่มเหงือก หลังปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง
เสียงนาสิก   [m]
ม m
    [n]
ญ, ณ, น, ร, ล, ฬ n
      [ŋ]
ง ng
 
เสียงกัก [p̚]
บ, ป, พ, ฟ, ภ p
    [t̚]
จ, ช, ซ, ฌ, ฎ, ฏ, ฐ, ฑ, ฒ,
ด, ต, ถ, ท, ธ, ศ, ษ, ส t
      [k̚]
ก, ข, ค, ฆ k
  [ʔ]
* -
เสียงเปิด   [w]
ว o (w)
      [j]
ย i (y)
   
* เสียงกัก เส้นเสียง จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด

กลุ่มพยัญชนะ

แต่ละพยางค์ในคำหนึ่ง ๆ ของภาษาไทยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน (ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่พยัญชนะสะกดอาจกลายเป็นพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไป หรือในทางกลับกัน) ดังนั้นพยัญชนะหลายตัวของพยางค์ที่อยู่ติดกันจะไม่รวมกันเป็นกลุ่มพยัญชนะเลย

ภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะเพียงไม่กี่กลุ่ม ประมวลคำศัพท์ภาษาไทยดั้งเดิมระบุว่ามีกลุ่มพยัญชนะ (ที่ออกเสียงรวมกันโดยไม่มีสระอะ) เพียง 11 แบบเท่านั้น เรียกว่า พยัญชนะควบกล้ำ หรือ อักษรควบกล้ำ อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน

ริมฝีปาก ปุ่มเหงือก เพดานอ่อน
พยัญชนะเดี่ยว /p/
ป p
/pʰ/
ผ, พ ph
/t/
ต t
/k/
ก k
/kʰ/
ข, ฃ, ค, ฅ kh
เสียงรัว /r/
/pr/
ปร pr
/pʰr/
พร phr
/tr/
ตร tr
/kr/
กร kr
/kʰr/
ขร, ฃร, คร khr
เสียงเปิด /l/
/pl/
ปล pl
/pʰl/
ผล, พล phl
/kl/
กล kl
/kʰl/
ขล, คล khl
/w/
/kw/
กว kw/qu
/kʰw/
ขว, ฃว, คว, ฅว khw

พยัญชนะควบกล้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากคำยืมภาษาต่างประเทศ อาทิ จันทรา จากภาษาสันสกฤต มีเสียง ทร /tʰr/, ฟรี จากภาษาอังกฤษ มีเสียง ฟร /fr/ เป็นต้น เราสามารถสังเกตได้ว่า กลุ่มพยัญชนะเหล่านี้ถูกใช้เป็นพยัญชนะต้นเท่านั้น ซึ่งมีเสียงพยัญชนะตัวที่สองเป็น ร ล หรือ ว และกลุ่มพยัญชนะจะมีเสียงไม่เกินสองเสียงในคราวเดียว การผันวรรณยุกต์ของคำขึ้นอยู่กับไตรยางศ์ของพยัญชนะตัวแรก

สระ

เสียงสระในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ สระเดี่ยว สระประสม และสระเกิน สะกดด้วยรูปสระพื้นฐานหนึ่งตัวหรือหลายตัวร่วมกัน (ดูที่ อักษรไทย)

สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน

  ลิ้นส่วนหน้า ลิ้นส่วนหลัง
ปากเหยียด ปากเหยียด ปากห่อ
สั้น ยาว สั้น ยาว สั้น ยาว
ลิ้นยกสูง /i/
–ิ i
/iː/
–ี i
/ɯ/
–ึ ue
/ɯː/
–ื ue
/u/
–ุ u
/uː/
–ู u
ลิ้นกึ่งสูง /e/
เ–ะ e
/eː/
เ– e
/ɤ/
เ–อะ oe
/ɤː/
เ–อ oe
/o/
โ–ะ o
/oː/
โ– o
ลิ้นกึ่งต่ำ /ɛ/
แ–ะ ae
/ɛː/
แ– ae
    /ɔ/
เ–าะ o
/ɔː/
–อ o
ลิ้นลดต่ำ     /a/
–ะ a
/aː/
–า a
   
สระเดี่ยว
สระเดี่ยว
สระประสม
สระประสม

สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้

  • เ–ีย /iːa/ ประสมจากสระ อี และ อา ia
  • เ–ือ /ɯːa/ ประสมจากสระ อือ และ อา uea
  • –ัว /uːa/ ประสมจากสระ อู และ อา ua

ในบางตำราจะเพิ่มสระสระประสมเสียงสั้น คือ เ–ียะ เ–ือะ –ัวะ ด้วย แต่ในปัจจุบันสระเหล่านี้ปรากฏเฉพาะคำเลียนเสียงเท่านั้น เช่น เพียะ เปรี๊ยะ ผัวะ เป็นต้น

สระเสียงสั้น สระเสียงยาว สระเกิน
ไม่มีตัวสะกด มีตัวสะกด ไม่มีตัวสะกด มีตัวสะกด ไม่มีตัวสะกด มีตัวสะกด
–ะ –ั–1 –า –า– –ำ (ไม่มี)
–ิ –ิ– –ี –ี– ใ– (ไม่มี)
–ึ –ึ– –ือ –ื– ไ– ไ––6
–ุ –ุ– –ู –ู– เ–า (ไม่มี)
เ–ะ เ–็– เ– เ–– ฤ, –ฤ ฤ–, –ฤ–
แ–ะ แ–็– แ– แ–– ฤๅ, –ฤๅ (ไม่มี)
โ–ะ –– โ– โ–– ฦ, –ฦ ฦ–, –ฦ–
เ–าะ –็อ– –อ –อ–, ––2 ฦๅ, –ฦๅ (ไม่มี)
–ัวะ –็ว– –ัว –ว–
เ–ียะ (ไม่มี) เ–ีย เ–ีย–
เ–ือะ (ไม่มี) เ–ือ เ–ือ–
เ–อะ เ–ิ–3,
เ––3
เ–อ เ–ิ–,
เ––4,
เ–อ–5

สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้

  • –ำ /am, aːm/ am ประสมจาก อะ + ม (อัม) เช่น ขำ บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาม) เช่น น้ำ
  • ใ– /aj, aːj/ ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ใจ บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ใต้
  • ไ– /aj, aːj/ ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ไหม้ บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ไม้
  • เ–า /aw, aːw/ ao ประสมจาก อะ + ว (เอา) เช่น เกา บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาว) เช่น เก้า
  • /rɯ/ rue, ri, roe ประสมจาก ร + อึ (รึ) เช่น ฤกษ์ บางครั้งเปลี่ยนเป็น /ri/ (ริ) เช่น กฤษณะ หรือ /rɤː/ (เรอ) เช่นฤกษ์
  • ฤๅ /rɯː/ rue ประสมจาก ร + อือ (รือ)
  • /lɯ/ lue ประสมจาก ล + อึ (ลึ)
  • ฦๅ /lɯː/ lue ประสมจาก ล + อือ (ลือ)

บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ

สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ สามารถสรุปได้ตามตารางด้านขวา

1 คำที่สะกดด้วย –ะ + ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ –ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ–า แทน
2 คำที่สะกดด้วย –อ + ร จะลดรูปเป็น –ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ–ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ–ะ + ร จึงไม่มี
3 สระ เ–อะ ที่มีตัวสะกดใช้รูปเดียวกับสระ เ–อ เช่น เงิน เปิ่น เห่ย
4 คำที่สะกดด้วย เ–อ + ย จะลดรูปเป็น เ–ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ– ดังนั้นคำที่สะกดด้วย เ– + ย จึงไม่มี
5 พบได้น้อยคำ เช่น เทอญ เทอม
6 มีพยัญชนะสะกดเป็น ย เช่น ไทย ไชย

วรรณยุกต์

เสียงวรรณยุกต์

คำเป็น

เสียงวรรณยุกต์ ในภาษาไทย (เสียงดนตรีหรือเสียงผัน) จำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่

เสียงวรรณยุกต์ ตัวอย่าง
เสียง ระดับเสียง อักษรไทย สัทอักษรสากล
หน่วยเสียง เสียง
สามัญ กลาง นา /nāː/ [naː˧]
เอก กึ่งต่ำ-ต่ำ หรือ ต่ำอย่างเดียว หน่า /nàː/ [naː˨˩] หรือ [naː˩]
โท สูง-ต่ำ น่า/หน้า /nâː/ [naː˥˩]
ตรี กึ่งสูง-สูง หรือ สูงอย่างเดียว น้า /náː/ [naː˦˥] หรือ [naː˥]
จัตวา ต่ำ-กึ่งสูง หนา /nǎː/ [naː˩˩˦] หรือ [naː˩˦]
คำตาย

เสียงวรรณยุกต์ในคำตายสามารถมีได้แค่เพียง 3 เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก เสียงโท และ เสียงตรี โดยขึ้นอยู่กับความสั้นความยาวของสระ เสียงเอกสามารถออกเสียงควบคู่กับได้สระสั้นหรือยาว เสียงตรีสามารถออกเสียงควบคู่กับสระสั้น และ เสียงโทสามารถออกเสียงควบคู่กับสระยาว อาทิ

เสียง สระ ตัวอย่าง
อักษรไทย หน่วยเสียง เสียง
เอก สั้น หมัก /màk/ [mak̚˨˩]
ยาว หมาก /màːk/ [maːk̚˨˩]
ตรี สั้น มัก /mák/ [mak̚˦˥]
โท ยาว มาก /mâːk/ [maːk̚˥˩]

แต่อย่างใดก็ดี ในคำยืมบางคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ คำตายสามารถมีเสียงตรีควบคู่กับสระยาว และเสียงโทควบคู่กับสระสั้นได้ด้วย อาทิ

เสียง สระ ตัวอย่าง
อักษรไทย หน่วยเสียง เสียง
อังกฤษ
ตรี ยาว มาร์ก /máːk/ [maːk̚˦˥] Marc, Mark
สตาร์ต /sa.táːt/ [sa.taːt̚˦˥] start
บาส (เกตบอล) /báːt (.kêt.bɔ̄n) / [baːt̚˦˥ (.ket̚˥˩.bɔn˧)] basketball
โท สั้น เมคอัพ /méːk.ʔâp/ [meːk̚˦˥.ʔap̚˥˩] make-up

รูปวรรณยุกต์

ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่

รูปวรรณยุกต์ ชื่อ
ไทย สัทอักษร
-่ ไม้เอก /máːj.ʔèːk/
-้ ไม้โท /máːj.tʰōː/
-๊ ไม้ตรี /máːj.trīː/
-๋ ไม้จัตวา /máːj.t͡ɕàt.ta.wāː/

การเขียนเสียงวรรณยุกต์

ทั้งนี้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับระดับเสียงของอักษรนำด้วย เช่น ข้า (ไม้โท) ออกเสียงโทเหมือน ค่า (ไม้เอก) เป็นต้น

รูปวรรณยุกต์
ไม่เขียน -่ -้ -๊ -๋
อักษร สูง เสียงจัตวา เสียงเอก เสียงโท - -
ตัวอย่าง ขา ข่า ข้า - -
กลาง เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี เสียงจัตวา
ตัวอย่าง ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า
ต่ำ เสียงสามัญ เสียงโท เสียงตรี - -
ตัวอย่าง คา ค่า ค้า - -

ไวยากรณ์

ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก (case) มาลา (mood) หรือวาจก (voice) ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงก์ (gender) ไม่มีพจน์ (number) ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้คำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เป็นต้นว่าภาษาบาลีสันสกฤต เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำตายตัวลงไปได้ ต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม'

วากยสัมพันธ์

ลักษณะทางวากยสัมพันธ์หรือการเรียงลำดับคำในประโยคโดยรวมแล้วจะเรียงเป็น 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) อย่างใดก็ดี ในบางกรณีเช่นในกรณีที่มีการเน้นความหมายของกรรม (topicalization) สามารถเรียงประโยคเป็น กรรม-ประธาน-กริยา ได้ด้วย แต่ต้องใช้คำชี้เฉพาะเติมหลังคำกรรมคำนั้น อาทิ

กรณี ลำดับคำ ตัวอย่าง
ธรรมดา
(unmarked)
ประธาน-กริยา-กรรม วัวกินหญ้าแล้ว
เน้นกรรม
(object topicalization)
กรรม-ประธาน-กริยา หญ้านี้ วัวกินแล้ว
หรือ
หญ้าเนียะ วัวกินแล้ว

สำเนียงย่อย

สำเนียงถิ่นในภาษาไทย สามารถแบ่งได้ดังนี้

สำเนียงกรุงเทพ

สำเนียงกรุงเทพพบได้หลัก ๆ ในกรุงเทพมหานครฝั่งพระนคร, อำเภอเมืองนนทบุรี, จังหวัดชลบุรี, บางส่วนของจังหวัดฉะเชิงเทรา และตามอำเภอเมืองต่าง ๆ สำเนียงกรุงเทพเป็นสำเนียงทางการของภาษาไทย, เป็นสำเนียงหลักสำหรับผู้ที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ในการพูดภาษาไทยซึ่งปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่สามารถสื่อสารสำเนียงนี้ได้ดีเท่ากับเจ้าของสำเนียง เพราะการขยายตัวของสื่อ, สิ่งพิมพ์, รายการโทรทัศน์, วิทยุ, สื่อออนไลน์ และอื่น ๆ

เป็นสำเนียงทางการของภาษาไทย เดิมทีเป็นการผสมผสานกันระหว่างสำเนียงอยุธยา, สำเนียงสุพรรณบุรีและชาวไทยเชื้อสายจีนรุ่นหลังที่พูดภาษาไทยแทนภาษาหมิ่นใต้และภาษากวางตุ้ง ลักษณะเด่นคือมีการออกเสียงที่ชัดเจนและแข็งกระด้างซึ่งสันนิษฐานว่ารับอิทธิพลจากภาษาแต้จิ๋ว การออกเสียงพยัญชนะ สระ การผันวรรณยุกต์ที่ในภาษาไทยมาตรฐาน มาจากสำเนียงถิ่นนี้ในขณะที่ภาษาไทยสำเนียงอื่นล้วนเหน่อทั้งสิ้น คำศัพท์ที่ใช้ในสำเนียงกรุงเทพจำนวนมากได้รับมาจากกลุ่มภาษาจีนเช่นคำว่า โป๊, เฮ็ง, อาหมวย, อาซิ่ม ซึ่งมาจากภาษาแต้จิ๋ว และจากภาษาจีนกลางเช่น ถู (涂), ชิ่ว (去 อ่านว่า qù"ชวี่") และคำว่า ทาย (猜 อ่านว่า cāi"ไช") เป็นต้น เนื่องจากสำเนียงกรุงเทพได้รับอิทธิพลมาจากภาษาหมิ่นใต้ดังนั้นตัวอักษร "ร" มักออกเสียงเหมารวมเป็น "ล" หรือคำควบกล้ำบางคำถูกละทิ้งไปด้วยเช่น รู้ เป็น ลู้, เรื่อง เป็น เลื่อง หรือ ประเทศ เป็น ปะเทศ เป็นต้น ทำให้สร้างความลำบากให้แก่ต่างชาติที่ต้องการเรียนภาษาไทย แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่พูดสำเนียงถิ่นนี้ก็สามารถออกอักขระภาษาไทยตามมาตรฐานได้อย่างถูกต้องเพียงแต่มักเผลอไม่ค่อยออกเสียง ในด้านการเรียงคำศัพท์หลายครั้งจะพบกว่าภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพบ่อยครั้งมักวางคำวิเศษณ์ผิดตำแหน่งไม่ว่าจะวางคำคุณศัพท์ไว้ข้างหน้าคำนามและวางคำกริยาวิเศษณ์ไว้หน้าคำกริยา หรือบางสำนวนเป็นการดึงไวยากรณ์จีนมาใช้ภาษาไทยแต่มักจะเป็นภาษาพูด อีกทั้งการใช้ลูกเล่นทางวากยสัมพันธ์มาจากภาษาไทยถิ่นนี้

อย่างไรก็ตาม ภาษาไทยในกรุงเทพยุคแรกนั้น (รัชกาลที่ 1 - 3) บันทึกในพงศาวดารไทยคือสำเนียงแบบกรุงศรีอยุธยา คำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้เขียนในสมุดข่อยโบราณ คำภีร์ และบันทึกการสร้างเมืองกรุงเทพมหานครเป็นแบบภาษาชาวกรุงศรีอยุธยา รวมถึงประเพณีวัฒนธรรมซึ่งยังไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมนัก ก่อนที่ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา สำเนียงอยุธยาจึงเริ่มวิวัฒนาการเป็นสำเนียงกรุงเทพจนถึงปัจจุบัน สำเนียงมาตราฐานกรุงเทพมีที่มาจากเขตพระนคร เกาะรัตนโกสินทร์และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นที่ตั้งของราชธานีและมีประชากรกระจุกตัวมากในยุคนั้น ในรัชกาลที่ 1 - 3 ยังคงมีการศึกสงครามอยู่มากจึงทำให้ประชาชนไม่ได้ออกไปไหนไกล ชาวกรุงเทพยุคแรกจึงสามารถรักษาอัตลักษณ์แบบชาวกรุงศรีอยุธยาดั้งเดิมไว้ได้ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 - 5 สยามเริ่มขยายอิทธิพลไปในดินแดนต่าง ๆ มากมาก จึงทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้นรวมถึงการค้าขายที่เจริญรุ่งเรือง มีเมืองประเทศราชและรัฐบรรณาการมากมาย มีการเทครัวชาวไทยกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงชาวเขมรลงมาผสมในกรุงเทพหลายครั้ง จึงทำให้สำเนียงกรุงเทพพัฒนามาจนถึงยุคปัจจุบัน เช่นคำว่า จมูก เป็นคำยืมมาจากภาษาเขมร

สำเนียงกรุงเก่า

พบได้ในการแสดงโขนแบบโบราณซึ่งไม่ต้องการความแข็งกระด้างแบบสำเนียงกรุงเทพ พระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่จะฝึกให้พูดสำเนียงถิ่นนี้เพราะเป็นสำเนียงชนชั้นสูงในสมัยก่อน ปัจจุบันสำเนียงกรุงเก่าเป็นภาษาตาย เนื่องจากมีการวิวัฒนาการเป็นภาษาภาคกลางไปแล้ว แต่ยังคงใช้เป็นบทความแต่งกลอน บทนิพนธ์ การแสดงโขน และนาฏศิลป์แขนงต่าง ๆ

สำเนียงอยุธยา

สำเนียงอยุธยาพบได้หลัก ๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอื่น ๆ ในภาคกลางส่วนใหญ่ มีลักษณะเหน่อเล็กน้อย โดยภาพยนตร์ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาเช่นสุริโยไท และ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งแม้ว่าในประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาจะพูดสำเนียงสุพรรณบุรี แต่นั่นเป็นเพราะว่าสำเนียงสุพรรณบุรีมีความเหน่อ การฟังอาจจะต้องใช้ความตั้งใจ ดังนั้นสำเนียงนี้จึงมีความเหมาะสมมากกว่า

การออกเสียงในสำเนียงอยุธยาจะค่อนข้างเอื้อนเสียงเหมือนร้องเพลง จึงทำให้มีความเหน่อเล็กน้อยการออกอักขระ "" และ "" จะเข้มงวดกว่าสำเนียงกรุงเทพมาก สำเนียงอยุธยาจะเหน่อคล้ายสำเนียงสุพรรณบุรี แต่สำเนียงสุพรรณบุรีมีความเหน่อมากกว่า มีข้อสันนิษฐานว่าสำเนียงการเล่นโขนในปัจจุบันคือสำเนียงอยุธยาโบราณ ซึ่งยังคงอัตลักษณ์การเอื้อนเสียงเอาไว้ ในสมัยรัชกาลที่ 1 -3 ยังมีการใช้สำเนียงอยุธยาในกรุงเทพมหานคร และในเขตคลองสาน ซึ่งเป็นชุมชนของชาวกรุงศรีอยุธยาที่ลงมาตั้งรกรากในกรุงเทพมหานคร

สำเนียงสุพรรณบุรี หรือสำเนียงภาคตะวันตก

สำเนียงสุพรรณบุรี, สำเนียงภาคตะวันตก หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า "สำเนียงเหน่อ" เรียกกันในวงศ์กว้างว่าสำเนียงภาคตะวันตก พบได้ในหลายจังหวัดเช่น จังหวัดสุพรรณบุรี, จังหวัดสิงห์บุรี, จังหวัดนครปฐม, จังหวัดกาญจนบุรี, จังหวัดราชบุรี, จังหวัดสมุทรสงคราม, จังหวัดสมุทรสาครบางส่วน และจังหวัดระยอง ปัจจุบันไม่พบหลักฐานแน่ชัดว่าทำไมภาษาไทยสำเนียงสุพรรณบุรีถึงพบในจังหวัดระยอง

สำเนียงแบบสุพรรณบุรีเป็นสำเนียงที่นิยมนำมาแสดงหนังและร้องเพลง ซึ่งเป็นสำเนียงมาตรฐานในภาคตะวันตกเลยก็ว่าได้ เนื่องจากสำเนียงแบบสุพรรณมีความเหน่อมากจนสามารถแยกออกได้ว่าไม่เหมือนแบบกรุงเทพ ในอำเภอที่ห่างไกลออกไปของจังหวัดสุพรรณบุรีมีสำเนียงที่เหน่อหนักแน่นกว่ามาก ในจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครปฐม มีสำเนียงเหน่อที่ลดทอนลงมา แต่ถึงอย่างไรก็ตามสำเนียงในจังหวัดเหล่านี้มีการออกเสียงวรรณยุกต์และใช้ศัพท์แบบเดียวกับสุพรรณบุรี เพียงแต่มีสำเนียงเหน่อที่ลดลงมา

การออกเสียงจะใกล้เคียงกับสำเนียงอยุธยาแทบทุกอย่าง เพียงแต่มีความเหน่อมากกว่า ปัจจุบันสำเนียงเหน่อชนิดนี้มักเป็นที่ถูกล้อเลียนดูชวนขบขำ บางตำราเรียนหรือนักวิชาการบางท่านเหมารวมสำเนียงสุพรรณบุรีและสำเนียงอยุธยาเข้าด้วยกัน บุคคลที่มีชื่อเสียงที่พูดสำเนียงนี้ เช่นเปาวลี พรพิมล หรือ โอบะ เสียงเหน่อ เป็นต้น

สำเนียงเหน่อแบบเวียงจันทน์

สำเนียงสุพรรณบุรีมีความใกล้เคียงกับสำเนียงลาวเวียงจันทน์ ใช้พูดในกรุงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว ถึงอย่างไรก็ตามในภาษาลาวเวียงจันทน์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับภาษากลางสำเนียงสุพรรณบุรี เนื่องจากภาษาเวียงจันทน์ยังคงอัตลักษณ์ภาษาลาวดั้งเดิมไว้ที่มีไว้ตั้งแต่อาณาจักรล้านช้าง หลายคำในพงศาวดารลาวยังมีใช้คำเหล่านั้นอยู่ในปัจจุบัน เวียงจันทน์ย้ายเมืองหลวงลงมาจากเมืองหลวงพระบาง ในขณะที่สำเนียงลาวหลวงพระบางแทบไม่มีความเหน่อเลย สำเนียงเวียงจันทน์นั้นมีความเหน่อน้อยกว่าสำเนียงทางภาคตะวันตกของประเทศไทยมาก มีการออกเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างกัน รวมถึงภาษาไทยภาคกลางและภาษาลาวเวียงจันทน์ต่างก็ไม่ได้มีการยืมคำใด ๆ ทั้งสิ้น

ในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 มีสงครามกับทางเวียงจันทน์หลายครั้ง มีการเทครัวชาวลาวเวียงจันทน์มาอยู่ในภาคอีสานและภาคกลางของไทยจำนวนมาก ในจังหวัดราชบุรีมีชุมชนชาวลาวเวียงจันทน์ที่ถูกเทครัวลงมาอาศัย และในปัจจุบันยังคงพูดภาษาลาวเวียงจันทน์อยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

มีข้อสันนิษฐานที่ชาวลาวเวียงจันทน์พูดเหน่อ อาจเป็นเพราะยุคสงครามเจ้าอนุวงศ์ก่อกบฏ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสั่งทำลายเมืองเวียงจันทน์ และทางสยามส่นคนไปดูแลปกครองในมณฑลลาวพุงขาว กวาดต้อนชาวลาวเวียงจันทน์ข้ามแม่น้ำโขงมาเป็นจำนวนมาก ศักดินาสยามสมัยนั้นยังคงพูดเหน่อแบบชาวกรุงศรีอยุธยาและคล้ายสำเนียงหลวงสุพรรณบุรี, ในสมัยรัชกาลที่ 5 สยามเสียประเทศลาวให้ประเทศฝรั่งเศส แต่กลับมีชาวลาวเวียงจันทน์เดิมที่คงจงรักภักดีต่อสยามได้ข้ามแม่น้ำโขงตามมาตั้งบ้านเมืองในอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย มีการบันทึกไว้ว่าชาวอำเภอท่าบ่อยังคงพูดสำเนียงเวียงจันทน์ดั้งเดิม ซึ่งต่างจากสำเนียงนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาวปัจจุบัน

สำเนียงภาคตะวันออก

บางครั้งเรียกว่าภาษาถิ่นระยอง หรือภาษาถิ่นจันทบุรี พูดกันในแถบจังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ปัจจุบันปรากฏว่าภาษาระยองดั้งเดิมนั้นมีจำนวนคนพูดค่อนข้างน้อย ที่พูดได้มักจะเป็นผู้สูงอายุ ทำให้ในขณะนี้มีผู้พยายามฟื้นฟูภาษาระยองขึ้นมาใหม่ทั้งในส่วนราชการและท้องถิ่น โดยทั่วไปแล้วสำเนียงระยองยังแตกต่างกันออกไปอีกในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจยากของคนท้องถิ่นอื่นหรือจังหวัดอื่น สำเนียงทั้ง 3 จังหวัดในภาคตะวันออกนั้นมีการเปรียบเปรยไว้ว่า "ระยองฮิสั้น จันท์ฮิยาว ตราดฮิใหญ่" หมายถึงคำว่า "ฮิ" ซึ่งเป็นคำลงท้ายในสำเนียงภาคตะวันออก ซึ่งแปลว่า "เหรอ" เช่น ไปไหนมาฮิ แปลว่าไปไหนมาเหรอ ใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกมีการลากเสียงสั้นและยาวที่แตกต่างกัน[4] แต่ลักษณะสำเนียงและวรรณยุกต์มีส่วนคล้ายกับสำเนียงโคราช ซึ่งเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกันอยู่

สำเนียงกรุงเทพรอบนอก

พบได้ในกรุงเทพมหานครฝั่งธนบุรีและจังหวัดสมุทรปราการ เดิมรากฐานของสำเนียงถิ่นนี้มาจากแขก, ภาษาปัญจาบ, ภาษาพัชโต, ฝรั่ง และ มอญ

สำเนียงถิ่นนี้มีความใกล้เคียงทั้งสำเนียงกรุงเทพและอยุธยาก็คือ มีความเหน่อเล็กน้อยและ "ร" และ "ล" จะเข้มงวดเหมือนสำเนียงอยุธยาและมีการออกอักขระชัดเจนแบบกรุงเทพรอบในแต่จะเหน่อกว่ากรุงเทพรอบใน ตัวอย่างบุคคลที่พูดสำเนียงถิ่นนี้เช่น สุหฤท สยามวาลา, สุประวัติ ปัทมสูต และ เฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้น

สำเนียงสุโขทัย

สำเนียงสุโขทัยเป็นสำเนียงโบราณสมัยกรุงสุโขทัย ปัจจุบันพบได้ในจังหวัดพิษณุโลก, จังหวัดสุโขทัย, จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดใกล้เคียงในภาคเหนือตอนล่าง สำเนียงสุโขทัยส่งอิทธิพลต่อสำเนียงในจังหวัดนครสวรรค์, จังหวัดกำแพงเพชร, จังหวัดพิจิตร, จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งแต่เดิมคือเมืองในอาณาจักรสุโขทัย สำเนียงในภาคเหนือตอนล่างถูกแยกเป็นสาขาย่อยของสำเนียงสุโขทัยอีกทอดหนึ่ง มีการพูดเหน่อคล้ายสำเนียงในภาคตะวันตก แต่การผันวรรณยุกต์และการใช้ศัพท์ต่างท้องถิ่นกันมาก

การออกเสียงสำเนียงนี้จะค่อนข้างคล้ายภาษาถิ่นเหนือมีคำเมืองปนอยู่มาก มีหกวรรณยุกต์เหมือนกับภาษาถิ่นเหนือ นิยมออกเสียงไม้เอกเป็นจัตวาสูง[35] แต่การออกอักขระเสียงเหมือนกับสำเนียงอยุธยาแทบทุกอย่างและเสียงจะห้วนกว่าสำเนียงอยุธยาและกรุงเทพ, "ร" และ "ล" จะเข้มงวดน้อยกว่าสำเนียงอยุธยา แต่ไม่ถูกละทิ้งบ่อย ๆ แบบสำเนียงกรุงเทพ, ออกเสียงพยัญชนะตัว "ฉ" กับ "ช", "ถ" กับ "ท", "ผ" กับ "พ" และ "ฝ" กับ "ฟ" แยกออกจากกัน บุคคลที่มีชื่อเสียงที่พูดสำเนียงนี้อย่างเช่น พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ, บุญธรรม ฮวดกระโทก, มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล และ กรภพ จันทร์เจริญ เป็นต้น

ในอดีตอาณาจักรสุโขทัยเป็นอาณาจักรอิสระ ก่อนที่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ อาณาจักรอยุธยาจะผนวกดินแดนรวมกับอาณาจักรสุโขทัย

  • ยุคของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงย้ายราชธานีจากอยุธยาขึ้นไปอยู่เมืองพิษณุโลกนานกว่า 20 ปี เนื่องจากอาณาจักรล้านนาแผ่อิทธิพลลงมาทางใต้ และพระเจ้าติโลกราชตีเมืองศรีสัชนาลัยได้ และพระองค์ทรงทำสงครามกับล้านนาหลายครั้ง มีข้อสันนิษฐานว่าภาษาอยุธยาได้ขึ้นไปผสมกับสำเนียงสุโขทัยในยุคนั้น ประกอบกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นลูกครึ่งระหว่างราชวงศ์พระร่วงกับราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระราชบิดาคือเจ้าสามพระยา ราชวงศ์สุพรรณภูมิแห่งกรุงศรีอยุธยา และพระราชมารดาคือพระธิดาของพระยาไสลือไท จากราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย ทั้ง 2 ทรงอภิเสกสมรสกันเนื่องจากอาณาจักรสุโขทัยตกเป็นรัฐบรรณาการในอาณาจักรอยุธยา และเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี พระบรมไตรโลกนาถทรงถือโอกาศใช้เลือด 2 สายรวมทั้ง 2 อาณาจักรเข้าด้วยกัน และทรงย้ายไปอยู่พระราชวังจันทน์ที่เมืองพิษณุโลกสองแควกับราชนิกูลฝ่ายแม่
  • รัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จลงมาจากเมืองพิษณุโลกเพื่อปราบกบฏท้าวศรีสุดาจันทน์ พระศรีสุริโยไทจึงยกพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระราชธิดาองค์โตให้ไปปกครองหัวเมืองเหนือกับพระมหาธรรมราชาร่วมกันที่เมืองพิษณุโลก พร้อมข้าราชบริพารติดตามขึ้นไปจำนวนหนึ่ง พระวิสุทธกษัตรีทรงสร้างวัดนางพญา ซึ่งคำว่า"นางพญา" หมายถึงพระราชินี หรือเจ้าหญิง ผู้คนพิษณุโลกทรงเรียกพระองค์ว่า"นางพญา" สันนิษฐานว่าคือคำในสำเนียงสุโขทัยและล้านนา
  • เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่1 ราชวงศ์สุพรรณภูมิล่มสลาย พระเจ้าบุเรงนองทรงแต่งตั้งพระมหาธรรมราชาจากราชวงศ์พระร่วงสุโขทัยลงมาปกครองกรุงศรีอยุธยา จึงทำให้วัฒนธรรมทางเหนือลงมาสู่กรุงศรีอยุธยา เช่น ภาษาไทยที่พัฒนามาจากพ่อขุนรามคำแหง, คติความเชื่อการสร้างวัดในเขตพระราชวัง และสถาปัตยกรรมศิลปะสุโขทัย ฯลฯ
  • ในยุคพระนเรศวรมหาราช ทรงเทหัวเมืองเหนือหรือผู้คนในอาณาจักรสุโขทัยลงมาอยู่กรุงศรีอยุธยาเพื่อรับศึกพระเจ้านันทบุเรง จึงทำให้คนในเมืองเหนือและเมืองใต้ผสมกันทางวัฒนธรรม ในอดีตคนเมืองเหนือและคนเมืองใต้ไม่ลงรอยกัน จึงทำให้ยุคสมเด็จพระนเรศรมีผู้คนลงมาผสมกันจำนวนมาก และราชวงศ์พระร่วงได้ปกครองกรุงศรีอยุธยาไปอีกหลายรัชกาล จึงมีส่วนทำให้สำเนียงอยุธยาได้อิทธิพลจากสำเนียงสุโขทัยนานหลายปี และพระนเรศวรเองทรงเป็นลูกครึ่งทั้งแคว้น คือพ่อเชื้อสายสุโขทัย แม่เป็นเจ้าหญิงอยุธยา

ในปัจจุบันสำเนียงสุโขทัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

  1. สำเนียงสุโขทัยเก่า
  2. สำเนียงสุโขทัยใหม่

โดยสำเนียงสุโขทัยเก่ายังคงรักษาอัตลักษณ์เดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง พบในอำเภอที่อยู่ห่างออกไปจากอำเภอเมือง และผู้พูดมักเป็นผู้สูงอายุ ในขณะที่สำเนียงสุโขทัยใหม่คือสำเนียงที่พัฒนาขึ้นมาจากเดิม มักมีสำเนียงและศัพท์จากกรุงเทพผสม มีการจำกัดขอบเขตในส่วนที่มีทางรถไฟเข้าถึงให้เป็นสำเนียงสุโขทัยใหม่ เนื่องจากเป็นส่วนที่มีการพัฒนาเข้าถึงและรับวัฒนธรรมจากเมืองหลวงกรุงเทพจนเกิดการเปลี่ยนแปลง สำเนียงสุโขทัยยังเป็นที่รู้จักกันน้อยและยังไม่มีพจนานุกรมภาษาถิ่น

สำเนียงเพชรบุรี

สำเนียงเพชรบุรี พบได้ในจังหวัดเพชรบุรี และบางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาษาไทยสำเนียงนี้มีความใกล้เคียงกับภาษาถิ่นใต้และได้รับอิทธิพลจากภาษามอญเป็นอย่างมาก

สำเนียงเมืองเพชรที่มีความพูดเร็วคล้ายภาษาถิ่นใต้ มีการลดรูปภาษาให้สั้นและกระชับลง ในขณะที่สำเนียงพูดยังอยู่ในตระกูลภาษาไทยภาคกลาง สำเนียงที่ถูกยกให้เป็นต้นแบบของสำเนียงเพชรบุรีอยู่ที่อำเภอบ้านลาด การออกเสียงใกล้เคียงกับภาษาถิ่นใต้เป็นอย่างมากจนทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นภาษาถิ่นใต้ แต่ด้วยลักษณะสำนวนคำและคำศัพท์บางคำนำมาจากภาษาใต้และภาษามอญก็ยังคงความเป็นภาษาไทยถิ่นกลางอยู่เทียบเท่ากับภาษาจิ้นที่มีความใกล้เคียงกับภาษาจีนกลางอย่างมาก ในบางถิ่นมีสำเนียงคล้ายภาคตะวันออก

สำเนียงเพชรบุรีหรือสำเนียงประจวบคีรีขันธ์ ถูกจัดลำดับให้เป็นสำเนียงที่เข้าใจยากที่สุดรองจากสำเนียงโคราช

สำเนียงโคราช

ภาษาไทยสำเนียงโคราช เป็นภาษาไทยกลุ่มหนึ่งที่ใช้พูดกันในจังหวัดนครราชสีมาเกือบทุกอำเภอ ยกเว้น อำเภอปักธงชัย อำเภอสูงเนิน อำเภอบัวใหญ่ เป็นต้น รวมถึงประชากรบางส่วนใช้ในจังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสระแก้ว จังหวัดปทุมธานี มีความใกล้เคียงกับภาษาไทย ที่ออกสำเนียงเหน่อ และมีคำศัพท์ร่วมกับภาษาไทย และรับคำมาใช้จากภาษาถิ่นอีสาน ภาษาลาว และภาษาเขมร

ต้นกำเนิดเชื่อว่าบรรพบุรุษของชาวไทยโคราชอพยพมาจากอยุธยา และแถบจังหวัดชายทะเลตะวันออก ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดนครนายก เป็นต้น เข้ามาในบริเวณจังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่ใกล้เคียง และได้ผสมกลมกลืนกับกลุ่มคนพื้นเมืองเดิม เกิดเป็นวัฒนธรรมไทโคราช เรียกตนเองว่า ไทโคราช ไทเบิ้ง หรือ ไทเดิ้ง ต่อมาได้มีการติดต่อค้าขายกับชาวลาว ชาวไทยอีสานและชาวเขมร และมีการอพยพย้ายถิ่นฐานของชาวลาว ชาวไทยอีสานและชาวเขมรเข้ามาทีหลัง ทำให้เกิดการวิวัฒนาการของภาษา โดยมีการยืมคำไทยอีสาน และคำเขมรปะปนเข้ามาใช้ เกิดเป็นคำไทโคราช ซึ่งแตกต่างจากภาษาไทยถิ่นอิสานโดยทั่วไป เพราะยังคงรักษารากศัพท์เดิมไว้คือภาษาไทยกลางนั่นเอง

การยืมคำจากภาษาอื่น

ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่น ๆ ค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาไท-กะได ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน

บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น

  • ดั้งจมูก โดยมีคำว่าดั้ง เป็นคำในภาษาไท ส่วนจมูก เป็นคำในภาษาเขมร
  • อิทธิฤทธิ์ มาจาก อิทธิ (iddhi) ในภาษาบาลี ซ้อนกับคำว่า ฤทธิ (ṛddhi) ในภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองคำมีความหมายเดียวกัน

คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไท แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้

รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
  • วชิระ (บาลี: วชิระ [vajira]), วัชระ (สันส: วัชร [vajra])
  • ศัพท์ (สันส: ศัพทะ [śabda]), สัท (เช่น สัทอักษร) (บาลี: สัททะ [sadda])
  • อัคนี และ อัคคี (สันส: อัคนิ [agni] บาลี: อัคคิ [aggi])
  • โลก (โลก) - (บาลี-สันส: โลกะ [loka])
  • ญาติ (ยาด) - (บาลี: ญาติ (ยา-ติ) [ñāti])
เสียง พ มักแผลงมาจาก ว
  • เพียร (มาจาก พิริยะ และมาจาก วิริยะ อีกทีหนึ่ง) (สันส:วีรยะ [vīrya], บาลี:วิริยะ [viriya])
  • พฤกษา (สันส:วฤกษะ [vṛkṣa])
  • พัสดุ (สันส: [vastu] (วัสตุ); บาลี: [vatthu] (วัตถุ) )
เสียง -อระ เปลี่ยนมาจาก -ะระ
  • หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ) )
เสียง ด มักแผลงมาจาก ต
  • หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ) )
  • เทวดา (บาลี:เทวะตา [devatā])
  • วัสดุ และ วัตถุ (สันส: [vastu] (วัสตุ); บาลี: [vatthu] (วัตถุ) )
  • กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: [kapilavastu] (กปิลวัสตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวัตถุ) )
เสียง บ มักแผลงมาจาก ป
  • กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: [kapilavastu] (กปิลวัสตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวัตถุ) )
  • บุพเพ และ บูรพ (บาลี: [pubba] (ปุพพ) )

ภาษาอังกฤษ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีวิวัฒนาการต่างๆ ทางเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งทำให้มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เช่น[5]

  • ประปา จากคำว่า วอเตอสับไปล (water supply)
  • สถานี จากคำว่า สเตชัน (station)
  • รถยนต์ จากคำว่า รถมอเตอร์คาร์ (motorcar)
  • เรือยนต์ จากคำว่า เรือมอเตอร์ (motorboat)
  • ประมวล จากคำว่า โค้ด (code)[6]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. Thai at Ethnologue (18th ed., 2015)
  2. โหมโรง, รัฐนิยม, จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประวัติศาสตร์ที่ต้องไม่บิดเบือน
  3. ศูนย์การแปลและล่ามเฉลิมพระเกียรติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แปล ; ปรีมา มัลลิกะมาส, นริศรา จักรพงษ์, ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ บรรณาธิการ, พจนานุกรมออกซฟอร์ด-ริเวอร์ บุ๊คส์ อังกฤษไทย, River Books, 2549, หน้า 1041
  4. "ภาษาถิ่นระยอง"สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดระยอง
  5. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๖ น่า ๗๘๖ วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๑๒๘ แจ้งความกรมราชเลขานุการ เรื่อง กำหนดให้เรียกคำบางคำในภาษาอังกฤษ เป็นคำภาษาไทย คือคำว่าวอเตอสัปไปล ให้เรียกว่าประปา คำว่าสเตชัน ให้เรียกว่าสถานี คำว่ารถมอเตอร์คาร์ ให้เรียกว่ารถยนต์ คำว่าเรือมอเตอร์ ให้เรียกว่าเรือยนตร์
  6. ราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๑๒๘ เล่ม ๖๖ น่า ๑๐๖๐ แจ้งความกรมราชเลขานุการ เรื่อง ให้กำหนดเรียกคำว่า ประมวล แทนคำที่เรียกตามภาษาอังกฤษว่า โค้ด
  • กำชัย ทองหล่อ. หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ : บำรุงสาส์น, 2533.
  • นันทนา รณเกียรติ. สัทศาสตร์ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548. ISBN 978-974-571-929-3.
  • อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล และ กัลยารัตน์ ฐิติกานต์นารา. 2549.“การเน้นพยางค์กับทำนองเสียงภาษาไทย” (Stress and Intonation in Thai) วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2549) หน้า 59-76
  • สัทวิทยา : การวิเคราะห์ระบบเสียงในภาษา. 2547. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • Gandour, Jack, Tumtavitikul, Apiluck and Satthamnuwong, Nakarin.1999. “Effects of Speaking Rate on the Thai Tones.” Phonetica 56, pp.123-134.
  • Tumtavitikul, Apiluck, 1998. “The Metrical Structure of Thai in a Non-Linear Perspective”. Papers presentd to the Fourth Annual Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society 1994, pp. 53-71. Udom Warotamasikkhadit and Thanyarat Panakul, eds. Temple, Arizona: Program for Southeast Asian Studies, Arizona State University.
  • Apiluck Tumtavitikul. 1997. “The Reflection on the X’ category in Thai”. Mon-Khmer Studies XXVII, pp. 307-316.
  • อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล. 2539. “ข้อคิดเกี่ยวกับหน่วยวากยสัมพันธ์ในภาษาไทย” วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ. 4.57-66.
  • Tumtavitikul, Appi. 1995. “Tonal Movements in Thai”. The Proceedings of the XIIIth International Congress of Phonetic Sciences, Vol. I, pp. 188-121. Stockholm: Royal Institute of Technology and Stockholm University.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1994. “Thai Contour Tones”. Current Issues in Sino-Tibetan Linguistics, pp.869-875. Hajime Kitamura et al, eds, Ozaka: The Organization Committee of the 26th Sino-Tibetan Languages and Linguistics, National Museum of Ethnology.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “FO – Induced VOT Variants in Thai”. Journal of Languages and Linguistics, 12.1.34 – 56.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “Perhaps, the Tones are in the Consonants?” Mon-Khmer Studies XXIII, pp.11-41.

แหล่งข้อมูลอื่น