ภาษาวิบัติ
ตัวอย่างและทัศนะในบทความนี้มิได้เสนอมุมมองที่เป็นสากลของเรื่อง คุณสามารถพัฒนาบทความได้ โดยเพิ่มมุมมองสากลให้มากขึ้น หรือแยกประเด็นย่อยไปสร้างเป็นบทความใหม่ |
บทความนี้หรือส่วนนี้ อาจเป็นงานค้นคว้าต้นฉบับ คุณสามารถช่วยพัฒนาวิกิพีเดีย โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงที่เหมาะสมเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ดูรายละเอียดในหน้าอภิปราย |
ภาษาวิบัติ เป็นคำเรียกของการใช้ภาษาไทยที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ตรงกับหลักภาษาในด้านการสะกดคำ[ต้องการอ้างอิง] คำว่า 'ภาษาวิบัติ' ใช้เรียกรวมถึงการเขียนที่สะกดผิดบ่อย[ต้องการอ้างอิง] รวมถึงการใช้คำศัพท์ใหม่หรือคำศัพท์ที่สะกดแปลกไปจากเดิม[ต้องการอ้างอิง] คำว่า "วิบัติ" มาจากภาษาบาลี หมายถึง พินาศฉิบหาย หรือความเคลื่อนทำให้เสียหาย[ต้องการอ้างอิง]
ในประเทศไทย มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษารวมถึงปัญหาภาษาวิบัติทำให้เด็กไทย ไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร[1] ในขณะเดียวกันได้มีการใช้คำว่าภาษาอุบัติแทนที่ภาษาวิบัติที่มีความหมายในเชิงลบ โดยภาษาอุบัติหมายถึงภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตอบสนองวัฒนธรรมย่อย เช่นเดียวกับภาษาเฉพาะวงการที่เป็นศัพท์สแลง[2]
ทั้งนี้ การเปิดใช้พจนานุกรมเพื่อค้นหาคำที่ควรใช้ให้ถูกต้องอาจเป็นทางเลือกที่ดี[ต้องการอ้างอิง] ทางบัณฑิตยสถาน[เป็นใคร?]ได้กำหนดคำที่ใช้อย่างเป็นทางการหรืออยู่ในรูปแบบมาตรฐาน หากใช้ผิดอาจกลายเป็นคำวิบัติได้[ต้องการอ้างอิง] เป็นเพียงการใช้ภาษาให้แตกต่างจากปกติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจใช้จากรุ่นสู่รุ่นไปจนกว่าคำวิบัตินั้นจะหายไปจากสังคมนั้น ๆ[ต้องการอ้างอิง]
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ว่า ภาษาวิบัติเป็นการเปลี่ยนแปลงของภาษาที่ผู้ใหญ่ในสังคมไม่ชอบ แม้ภาษาจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้ภาษาเปลี่ยน[3] การให้เหตุผลว่าภาษาไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นภาษาของชาติที่มีความศักดิ์สิทธิ์ นิธิเห็นว่าเป็นเหตุผลแบบไสยศาสตร์ ไม่ค่อยน่าฟัง[3] นิธิยังเห็นว่า ปัญหาของภาษาไทยในปัจจุบันคือ การใช้ภาษาไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ไวยากรณ์ การใช้ศัพท์หรือการเรียบเรียง เป็นต้น และการไม่ศึกษาภาษาที่เปลี่ยนแปลงไปนี้เองที่จะเป็นเหตุให้เกิด "ภาษาวิบัติ"[3]
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ช่วงที่มีผู้สร้างภาพยนตร์ไปตั้งเป็นชื่อ หอแต๋วแตกแหวกชิมิ กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย ระบุ คำว่า "ชิมิ" หากเป็นการใช้ภายในกลุ่มก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นการล้อกันเล่นซึ่งเป็นปกติของภาษา และจะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่การนำไม่ใช้เชิงสาธารณะดังที่ไปตั้งเป็นชื่อภาพยนตร์ ถือว่าไม่เหมาะสมนัก[4] เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 กนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า สถานการณ์ภาษาไทยในปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นวิกฤต และวัยรุ่นใช้ภาษาแช็ตเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต และสื่อสารภายในวัยรุ่นเท่านั้น ยังไม่พบนำมาใช้ในการเขียนหรือการทำงาน[5]
ลักษณะและตัวอย่าง[แก้]
- ผันอักษรและเสียงไม่ตรงกับรูปวรรณยุกต์[ต้องการอ้างอิง]
-
- สนุ๊กเกอร์ (สนุกเกอร์)
- โน๊ต (โน้ต)
- สะกดผิดเพราะขี้เกียจพิมพ์ หรือเร่งรีบ[ต้องการอ้างอิง]
-
- โทสับ (โทรศัพท์)
- พุ่งนี้ (พรุ่งนี้)
- ให้ดูแปลกตา[ต้องการอ้างอิง]
-
- ชะมะ, ชิมิ, ชะ, ช่ายมะ (ใช่ไหม)
- ป่าว , ป่ะ, ปล่าว (เปล่า)
- คัย, ไค, ครัย, คราย (ใคร)
- เตง, ตะเอง (ตัวเอง)
- รึ, เหรอ, หรา, หรอ, อ่อ (หรือ)
- ชั้น, ชั้ล, ช้าน (ฉัน)
- เทอ, เทอร์, เทอว์ (เธอ)
- แกร (แก)
- ป๋ม (ผม)
- บ่องตง (บอกตรงๆ)
- ถ่ามตง (ถามตรงๆ)
- ต่อมตง (ตอบตรงๆ)
- คำที่สะกดผิดเพื่อแสดงอารมณ์[ต้องการอ้างอิง]
-
- เป็นอะไร → เปงราย, เปนรัย, เปงรัย, เป็นอัลไล
- ทำไม → ทามมาย, ทามมัย
- จังเลย → จังรุย, จังเยย, จุงเบย
- ไม่รู้ → มะรุ
- เฮ้ย → เห้ย, เฮ่ย
- น่ารักอ่ะ → น่าร็อคอ่ะ, น่าร๊ากอ้ะ, ตั้ลล๊ากอ่ะ
- คำที่สะกดผิดเพื่อลดความหยาบของคำ หรืออาจใช้หลีกเลี่ยงการกรองคำหยาบของซอฟต์แวร์[ต้องการอ้างอิง]
-
- กู → กรู, กุ, กรุ, ตู, ตรู
- มึง → มรึง, เมิง, มืง, มุง
- สัตว์ → สาด, สัส, สัก, แสรด
- โคตร → โคโตะ, โคด , โครต ,โคตะระ
- คำเลียนเสียง โดยส่วนใหญ่จะเพิ่มทัณฑฆาต หรือซ้ำตัวอักษร[ต้องการอ้างอิง]
-
- อ๊าย → แอร๊ยย, อร๊ายยย
- มัน → มันส์
- วู้ → วู๊วววววววว์