การยอมจำนนของญี่ปุ่น

| |||||||
การยอมจำนนของจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 เป็นการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนหน้านั้น เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1945 กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นไม่สามารถดำเนินปฏิบัติการและการบุกครองญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรใกล้เข้ามา ผู้นำญี่ปุ่น (สภาสั่งการสงครามสูงสุด หรือ "บิ๊กซิกส์", Big Six) แม้จะแถลงต่อสาธารณะแสดงเจตนาว่าจะต่อสู้ต่อไปจนจบ แต่ร้องขออย่างลับ ๆ ให้สหภาพโซเวียตซึ่งเป็นกลางในขณะนั้น เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสันติภาพบนเงื่อนไขที่ญี่ปุ่นได้ประโยชน์ ขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตเตรียมโจมตีญี่ปุ่น ตามคำมั่นต่อสหรัฐและสหราชอาณาจักรที่ให้ไว้ในการประชุมเตหะรานและยอลตา
วันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 สหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูที่นครฮิโรชิมะ เย็นวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 สหภาพโซเวียตประกาศสงครามต่อญี่ปุ่น อันเป็นไปตามความตกลงยอลตา แต่ละเมิดสนธิสัญญาความเป็นกลางโซเวียต–ญี่ปุ่น และไม่นานหลังเที่ยงคืนวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 สหภาพโซเวียตบุกครองรัฐหุ่นเชิดแมนจูกัวของจักรวรรดิญี่ปุ่น วันเดียวกัน สหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองที่นางาซากิ ความตระหนกจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะทรงเข้าแทรกแซงและบัญชาให้ผู้นำบิ๊กซิกส์ยอมรับเงื่อนไขยุติสงครามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งไว้ในแถลงการณ์พอตสดัม หลังการเจรจาหลังฉากหลายวันและรัฐประหารที่ล้มเหลว สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะจึงพระราชทานพระราชดำรัสทางวิทยุที่บันทึกไว้แพร่สัญญาณทั่วจักรวรรดิเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ในพระราชดำรัสดังกล่าว อันเรียกว่า เกียวกุอง โฮโซ พระองค์ทรงประกาศว่าญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร
วันที่ 28 สิงหาคม การยึดครองญี่ปุ่นโดยผู้บัญชาการสูงสุดแทนฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มขึ้น พิธียอมจำนนจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน บนเรือรบยูเอสเอส มิสซูรี (BB-63) ของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งข้าราชการจากรัฐบาลญี่ปุ่นลงนามตราสารยอมจำนนของญี่ปุ่น และยุติความเป็นศัตรูกันในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งพลเรือนและทหารฝ่ายสัมพันธมิตรล้วนเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะเหนือญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ทหารและกำลังพลบางส่วนที่ถูกโดดเดี่ยวของจักรวรรดิญี่ปุ่นทั้งในทวีปเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิกปฏิเสธที่จะยอมจำนนเป็นเวลาหลายเดือนและหลายปีหลังจากนั้น บางคนปฏิเสธกระทั่งคริสต์ทศวรรษ 1970 บทบาทของการทิ้งระเบิดปรมาณูในการยอมจำนนของญี่ปุ่น และจริยธรรมของการโจมตีทั้งสองยังเป็นที่ถกเถียง สถานะสงครามระหว่างญี่ปุ่นและฝ่ายสัมพันธมิตรยุติลงอย่างเป็นทางการเมื่อสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1952 และอีกสี่ปีให้หลัง ก่อนที่ญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตจะลงนามแถลงการณ์ร่วมโซเวียต–ญี่ปุ่น ค.ศ. 1956 ซึ่งยุติสถานะสงครามระหว่างสองประเทศอย่างเป็นทางการ
ข้อความ[แก้]

ตราสารยอมจำนน
- ฝ่ายเรา โดยบัญชาและในนามของจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น รัฐบาลแห่งญี่ปุ่น และกองบัญชาการใหญ่จักรวรรดิญี่ปุ่น ขอยอมรับบรรดาเงื่อนไขอันปรากฏในปฏิญญาซึ่งกำหนดขึ้นโดยหัวหน้ารัฐบาลแห่งสหรัฐ, จีน และบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 1945 ที่เมืองพ็อทซ์ดัม และสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตได้เข้าร่วมภาคีในภายหลัง ประกอบกันเป็น 4 อัครภาคีซึ่งต่อไปนี้จะได้เรียกว่าฝ่ายสัมพันธมิตร
- ฝ่ายเราขอประกาศการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ของกองบัญชาการใหญ่จักรวรรดิญี่ปุ่น และกองทหารญี่ปุ่นทุกเหล่าทัพ ตลอดจนกองกำลังในบังคับของญี่ปุ่นในทุกๆที่
- ฝ่ายเราจะได้บัญชากองกำลังญี่ปุ่นและพลเรือนญี่ปุ่นในทุกๆที่ ให้ยุติการประทุษกำลังในทันที เพื่อรักษาและสงวนไว้ซึ่งความเสียหายต่อบรรดาเรือ อากาศยาน ตลอดจนทรัพย์สินทางพลเรือนและทางทหาร รวมทั้งจะเชื่อฟังทำตามข้อปฏิบัติต่างๆซึ่งอาจกำหนดขึ้นโดยผู้บัญชาการสูงสุดแทนฝ่ายสัมพันธมิตร หรือหน่วยงานราชการญี่ปุ่นในกำกับของผบ.สส.นั้น
- ฝ่ายเราจะได้บัญชากองบัญชาการใหญ่จักรวรรดิ ให้ออกคำสั่งถึงบรรดาผู้บัญชาการทหารของกองกำลังญี่ปุ่นและกองกำลังในบังคับของญี่ปุ่นทั้งหมดในทุกๆที่ในทันทีให้พวกเขาตลอดจนกำลังในบังคับทำการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข
- ฝ่ายเราจะได้บัญชาบรรดาเจ้าพนักงานพลเรือน ทหาร และทหารเรือ ให้เชื่อฟังและบังคับใช้ซึ่งปฏิญญา คำสั่ง และข้อสั่งการทั้งปวงที่เห็นว่าเป็นของผู้บัญชาการสูงสุดแทนฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ว่าที่ทำขึ้นโดยตัวผบ.สส.หรือโดยอำนาจของผบ.สส เพื่อที่ว่าสารยอมจำนนนี้จะได้สัมฤทธิ์ผล และเราได้กำชับเจ้าพนักงานทั้งปวงให้อยู่ประจำหน้าที่โดยยังคงปฏิบัติราชการต่อไปที่ไม่ใช่การรบ เว้นแต่จะถูกสั่งเป็นพิเศษให้เลิกปฏิบัติเสียโดยตัวผบ.สส.หรือโดยอำนาจของผบ.สส.
- ฝ่ายเราให้การรับรองว่า องค์จักรพรรดิ และรัฐบาลญี่ปุ่นรวมถึงผู้รับช่วงต่อ จะได้ร่วมผลักดันปฏิญญาพ็อทซ์ดัมอย่างเต็มกำลังจนสำเร็จลุล่วง และการออกคำสั่งรวมถึงการดำเนินการใดๆก็ตาม อาจจำเป็นต้องผ่านทางผู้บัญชาการการสูงสุดแทนฝ่ายสัมพันธมิตรหรือผ่านทางผู้แทนฝ่ายสัมพันธมิตรที่ได้แต่งตั้งไว้เสียก่อน เพื่อที่ว่าปฏิญญานั้นจะมีผลใช้ได้สืบไป
- ฝ่ายเราจะได้บัญชารัฐบาลจักรวรรดิญี่ปุ่นและกองบัญชาการใหญ่จักรวรรดิญี่ปุ่น ให้ทำการปลดปล่อยเชลยสงครามและพลเรือนผู้ต้องขังของฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งขณะนี้อยู่ในบังคับของญี่ปุ่น ทั้งหมดในทันที ตลอดจนให้ความคุ้มครอง รักษา เลี้ยงดู และขนส่งอย่างฉับไวไปยังสถานที่ที่กำหนด
- อำนาจของจักรพรรดิและรัฐบาลญี่ปุ่นในการปกครองประเทศจะอยู่ในบังคับของผู้บัญชาการสูงสุดแทนฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งจะได้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆดังกล่าวในการที่ว่าเงื่อนไขยอมจำนนเหล่านี้จะได้สัมฤทธิ์ผลสืบไป
- ลงนาม ณ อ่าวโตเกียว, ญี่ปุ่น เวลา 09.04 น. เมื่อวันที่สองของเดือนกันยายน ค.ศ. 1945
- (ลงชื่อ) มาโมรุ ชิเงะมิตสึ
- โดยบัญชาและในนามของจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นและรัฐบาลญี่ปุ่น
- (ลงชื่อ) โยชิจิโร อูเมซุ
- โดยบัญชาและในนามของกองบัญชาการใหญ่จักรวรรดิ
- รับ ณ อ่าวโตเกียว, ญี่ปุ่น เวลา 09.08 น. เมื่อวันที่สองของเดือนกันยายน ค.ศ. 1945 ไว้สำหรับสหรัฐ สาธารณรัฐจีน สหราชอาณาจักร สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต และในทางประโยชน์ของภาคีชาติอื่นที่ทำสงครามกับญี่ปุ่น
- (ลงชื่อ) Douglas MacArthur
- ผู้บัญชาการสูงสุดแทนฝ่ายสัมพันธมิตร
- (ลงชื่อ) C.W. Nimitz
- ผู้แทนสหรัฐ
- (ลงชื่อ) Xu Yongchang
- ผู้แทนสาธารณรัฐจีน
- (ลงชื่อ) Bruce Fraser
- ผู้แทนสหราชอาณาจักร
- (ลงชื่อ) Kuzma Derevyanko
- ผู้แทนสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต
- (ลงชื่อ) Thomas Blamley
- ผู้แทนเครือรัฐออสเตรเลีย
- (ลงชื่อ) L. Moore Cosgrave
- ผู้แทนประเทศจักรภพแคนาดา
- (ลงชื่อ) Jaques Le Clerc
- ผู้แทนรัฐบาลเฉพาะกาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
- (ลงชื่อ) C.E.L. Helfrich
- ผู้แทนราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
- (ลงชื่อ) Leonard M. Isitt
- ผู้แทนประเทศจักรภพนิวซีแลนด์