ข้ามไปเนื้อหา

กบฏนักมวย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก กบฎนักมวย)
กบฏนักมวย
ตามเข็มนาฬิกา:
วันที่18 ตุลาคม ค.ศ. 1899  7 กันยายน ค.ศ. 1901
(1 ปี 10 เดือน 20 วัน)
สถานที่
จีนตอนเหนือ ทะเลเหลือง
ผล พันธมิตรแปดชาติชนะ
คู่สงคราม


ราชวงศ์ชิง Mutual Defence Pact of Southeast China (หลัง ค.ศ. 1900)
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
กำลัง
Seymour Expedition
2,1002,188[1]
Gaselee Expedition
18,000[1]
China Relief Expedition
2,500[2]
ทัพรัสเซีย
58,000[3] ถึง 100,000[4] หรือ 200,000[5]
กบฏนักมวย
100,000300,000
กองทัพชิง
100,000[6]
ความสูญเสีย
  • ชาวจีนที่นับถือศาสนาคริสต์ 32,000 คนและมิชชันนารีตะวันตก 200 คน (จีนตอนเหนือ)[7]
  • เสียชีวิตรวม 100,000 คน[8]
กบฏนักมวย
ชื่อภาษาจีน
อักษรจีนตัวเต็ม義和團運動
อักษรจีนตัวย่อ义和团运动
ความหมายตามตัวอักษรMilitia united in righteousness movement
ชื่อภาษาแมนจู
อักษรแมนจู ᠴᡳᠣᠸᠠᠨ
ᠰᡝᡵᡝ
ᡝᡥᡝ
ᡥᡡᠯᡥᠠ ᡳ
ᡶᠠᠴᡠᡥᡡᠨ
เมิลเลินดอร์ฟciowan sere ehe hūlha i facuhūn

กบฏนักมวย (อังกฤษ: Boxer Rebellion, จีนตัวเต็ม: 義和團運動; จีนตัวย่อ: 义和团运動, อี้เหอถวน ย้วนต้ง) หรือเรียกกันต่าง ๆ ว่า การก่อการกำเริบของนักมวย ขบวนการอี้เหอถ้วน หรือ ศึกพันธมิตรแปดชาติ เป็นการก่อกำเริบต่อต้านชาวต่างชาติ ต่อต้านชาวคริสเตียน และต่อต้านจักรวรรดินิยมอย่างรุนแรงในจีน ระหว่างปี ค.ศ. 1899 และ ค.ศ. 1901 ตลอดจนถึงช่วงปลายราชวงศ์ชิงโดยกองทหารอาสาสมัครในความชอบธรรม (อี้เหอช่วน) เป็นที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า บ็อกเซอร์หรือแปลว่า นักมวย เพราะสมาชิกเหล่านั้นเคยฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบจีน ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า มวยจีน

ภายหลังสงครามจีน-ญี่ปุ่น ปี ค.ศ. 1895 พวกชาวบ้านในภาคเหนือของจีนต่างเกรงกลัวการขยายอิทธิพลของต่างชาติและไม่พอใจการขยายสิทธิพิเศษให้กับเหล่ามิชชันนารีคริสเตียน ซึ่งใช้พวกเขาเพื่อสนับสนุนผู้ติดตามของพวกเขา ด้วยภัยแล้งที่รุนแรง ความรุนแรงได้แผ่ขยายไปทั่วมณฑลซานตงและที่ราบจีนตอนเหนือ ได้เข้าทำลายทรัพย์สินต่างชาติ เข้าโจมตีหรือสังหารเหล่ามิชชันนารีคริสเตียนและคริสเตียนชาวจีน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1900 นักสู้มวยที่มีความเชื่อว่า พวกเขาอยู่ยงคงกระพันต้านทานจากอาวุธของต่างชาติ รวมตัวกันที่เป่ย์จิงด้วยคำขวัญว่า "สนับสนุนรัฐบาลชิงและขจัดชาวต่างชาติให้หมดสิ้นไป" นักการทูต มิชชันนารี ทหาร และชาวคริสเตียนบางส่วนได้พากันลี้ภัยเข้าไปอยู่ในเขตพื้นที่สถานอัครราชทูต และถูกล้อมเป็นเวลา 55 วันโดยกองทัพจักรวรรดิจีนและนักมวย

พันธมิตรแปดชาติ ได้แก่ อเมริกา ออสเตรีย-ฮังการี บริติช ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น และรัสเซียได้เข้ารุกรานจีนเพื่อคลายวงล้อม ฉือสี่ไท่โฮ่วทรงลังเลพระทัยในตอนแรก แต่กลับตัดสินพระทัยที่จะสนับสนุนแก่พวกนักมวย และเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ทรงออกพระราชกฤษฎีกาประกาศสงครามกับชาติมหาอำนาจผู้รุกราน พวกข้าราชการจีนที่ถูกแบ่งแยกระหว่างผู้สนับสนุนนักมวยและผู้ที่ต้องการเจรจาไกล่เกลี่ยประนีประนอม ภายใต้การนำโดยอ๋องชิง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพจีน แม่ทัพชาวแมนจูนามว่า หรงลู่ (จุงลู่) ซึ่งต่อมาได้กล่าวอ้างว่า เขาทำเพื่อปกป้องชาวต่างชาติ เจ้าหน้าที่ในมณฑลทางใต้ก็เพิกเฉยต่อพระบรมราชโองการของจักรพรรดิในการต่อสู้รบกับชาวต่างชาติ

พันธมิตรแปดชาติ ภายหลังช่วงแรกได้ถูกหันหลังกลับโดยกองทัพจักรวรรดิจีนและกองทหารอาสาสมัครนักมวย ได้นำกองกำลังติดอาวุธ 20,000 นายเข้ามายังจีน สามารถเอาชนะกองทัพจักรวรรดิในเทียนจิน และเคลื่อนทัพมาถึงเป่ยจิ่ง เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่งได้คลายการล้อมสถานอัครราชทูต เกิดการปล้นสะดมภายในเมืองหลวงและชนบทโดยรอบอย่างไร้การควบคุม รวมทั้งมีการประหารชีวิตผู้ต้องสงสัยโดยสรุปว่าเป็นนักมวย พิธีสารนักมวย เมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1901 ให้มีการประหารชีวิตข้าราชการที่ให้การสนับสนุนแก่พวกนักมวย จัดหาเสบียงอาหารให้แก่กองทหารต่างชาติที่เข้าประจำการในเป่ยจิ่ง และจ่ายด้วยเงินประมาณ 450 ล้านตำลึงจีน หรือประมาณสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ราคาเงินในปี ค.ศ. 2018 และมากกว่ารายได้ภาษีประจำปีของรัฐบาล เพื่อชดใช้ค่าเสียหายตลอด 39 ปีข้างหน้าแก่แปดประเทศที่เกี่ยวข้อง

ชนวนเหตุ

[แก้]

กบฏนักมวยได้เกิดขึ้นในเมืองชานตงในปี ค.ศ. 1898 และเริ่มตอบโต้ชาวเยอรมันในชิงเต่าและจับกุมชาวอังกฤษในเวยไห่แต่ก็พ่ายแพ้กับกองกำลังนานาชาติ ความอ่อนแอของจีนได้แสดงให้เห็นหลังจากแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1895 และความวุ่นวายก็เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองชานตงเนื่องจากปัญหาที่ดินของวัดพุทธและโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิก มิชชันนารีจึงร้องเรียนว่าที่ดินผืนนี้เป็นของตนมาแต่เดิมแล้ว การที่มีการสร้างโบสถ์ในที่ดินผืนนี้ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจอย่างมาก จึงทำลายโบสถ์และก่อกบฏนักมวยขึ้น

การจลาจลในจีน

[แก้]

เริ่มจากกรณีเรื่องที่ดินของวัดในการสร้างโบสถ์โรมันคาทอลิก เนื่องจากฝ่ายมิชชันนารีอ้างว่าที่ดินเป็นของตนตั้งแต่สมัยจักรพรรดิคังซีแล้วแต่ได้ถูกทิ้งร้างไปนาน ชาวบ้านในท้องถิ่นรู้สึกว่าข้อเรียกร้องไม่เป็นธรรมกับตนเพราะเดิมเป็นวัดประจำหมู่บ้านแต่ต้องมาสร้างโบสถ์ในวัดแทนที่จึงเกิดจลาจล โดยชาวบ้านได้จับมิชชันนารีเป็นตัวประกันและทำลายโบสถ์นั้นเสีย

เนื่องจากจีนแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่น จักรพรรดิกวางสูจึงทรงทำการปฏิรูปร้อยวัน ทำให้พระนางซูสีไทเฮาทรงเข้ายึดพระราชอำนาจแล้วนำจักรพรรดิกวางสูขังไว้ และร่วมมือกับกบฏนักมวยซึ่งมีความคิดอนุรักษนิยมเช่นเดียวกับพระนาง จนประมาณเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1900 กบฏนักมวยได้ต่อสู้กับกองกำลังนานาชาติในเมืองเทียนจินและกรุงปักกิ่ง ทางสถานทูตสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย และญี่ปุ่น ที่อยู่ในสถานทูตในกรุงปักกิ่ง ได้นำกำลังมาปิดล้อมพระราชวังต้องห้าม การกระทำเช่นนี้ทำให้กบฏนักมวยสังหารบาทหลวงชาวเยอรมันชื่อ Clemens von Ketteler ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1900 พระนางซูสีไทเฮาประกาศสงครามกับชาวต่างชาติในวันต่อมาเพื่อเป็นการต่อต้านอำนาจของชาวต่างชาติ แต่พวกข้าหลวงตามหัวเมืองกลับปฏิเสธสงครามและพวกปัญญาชนในเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือข้าหลวงในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนที่ต่อต้านการประกาศสงครามด้วย

กบฏนักมวยในเมืองเทียนจิน

ส่วนกองกำลังนานาชาติได้ทำการป้องกันบริเวณสถานทูตของตนจากการโอบล้อมจากกบฏนักมวยภายใต้คำสั่งของบาทหลวงชาวอังกฤษ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อกบฏนักมวยบุกเข้าไปในกรุงปักกิ่งได้สังหารชาวจีนที่เป็นคริสเตียนกว่าหนึ่งหมื่นคนและจับกุมชาวต่างชาติไปเป็นเชลยจำนวนมาก เรื่องการจลาจลจำนวนมากได้ลงในหนังสือพิมพ์ทั้งในจีน ญี่ปุ่น ยุโรปและอเมริกาจำนวนมาก แต่เชลยทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยโดยกองกำลังนานาชาติในที่สุด

กองกำลังนานาชาติ

[แก้]
ภาพพิมพ์แกะไม้ญี่ปุ่นสมัยเมจิ แสดงเครื่องแบบทหารนานาชาติที่เข้าร่วมปราบกบฏนักมวยพร้อมธงประจำทัพเรือของตนในปี ค.ศ. 1900 (จากซ้ายไปขวา - แถวบน) อิตาลี, ออสเตรีย-ฮังการี, เยอรมนี, รัสเซีย (แถวล่าง) สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร

กองกำลังนานาชาติก่อตั้งขึ้นเมื่อทัพเรือ 8 ประเทศรวมตัวกันในชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือของจีนในปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1900 จนในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1900 ได้เรียกร้องสิทธิชาวต่างชาติที่สถานทูตในกรุงปักกิ่งและได้ส่งทหารเรือ 435 นายจาก 5 ประเทศที่ฐานทัพที่ต้ากูไปกรุงปักกิ่ง

การบุกปักกิ่ง

[แก้]

การบุกครั้งแรก

[แก้]

ในสถานการณ์ที่เลวร้าย กองกำลังนานาชาติที่อยู่บนเรือประมาณ 2,000 คน ภายใต้คำสั่งของนายพลเอ็ดเวิร์ด เซมอร์ ได้ส่งกำลังไปกรุงปักกิ่งโดยการเดินทางจากท่าเรือต้ากูไปเมืองเทียนจินนั้นได้รับความร่วมมืออย่างดีจากข้าหลวงเมืองเทียนจินเป็นอย่างดี แต่การเดินทางจากเทียนจินไปกรุงปักกิ่งนั้นมีการตรวจตราชาวต่างชาติอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามนายพลเซมอร์ก็ยังเดินหน้าต่อไปและสามารถนำทหารเดินเท้าไปกรุงปักกิ่งสำเร็จจนได้

อย่างไรก็ดี กองทัพของเขาถูกฝ่ายนักมวยล้อมและทางรถไฟหลายสายถูกทำลาย ในที่สุดนายพลเซมอร์จึงตัดสินใจถอยทัพกลับเมืองเทียนจินในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1900

การบุกครั้งที่สอง

[แก้]
ทหารญี่ปุ่นกับนายพลเซมอร์

หลังจากนายพลเซมอร์ถอยทัพกลับเมืองเทียนจินแล้ว ทางกองกำลังนานาชาติจึงระดมกำลังทหารขึ้นมาใหม่ และในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1900 กองกำลังนานาชาติได้สร้างป้อมปราการขึ้นใกล้เมืองเทียนจินและท่าเรือต้ากูขึ้น

กองกำลังนานาชาติภายใต้คำสั่งของนายพลอัลเฟรด แกสลี ประมาณ 45,000 คน ประกอบด้วยกำลังจากญี่ปุ่น 20,840 คน รัสเซีย 13,150 คน สหราชอาณาจักร 12,020 คน ฝรั่งเศส 3,520 คน สหรัฐอเมริกา 3,420 คน เยอรมนี 900 คน อิตาลี 80 คน และออสเตรีย-ฮังการี 75 คน ได้ยึดเมืองเทียนจินในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1900

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 Harrington (2001), p. 29.
  2. "China Relief Expedition (Boxer Rebellion), 1900–1901". Veterans Museum and Memorial Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2014. สืบค้นเมื่อ 20 March 2017.
  3. Egorshina, O.; Petrova, A. (2023). История русской армии [The history of the Russian Army] (ภาษารัสเซีย). Moscow: Edition of the Russian Imperial Library. p. 719. ISBN 978-5-699-42397-2.
  4. Pronin, Alexander (7 November 2000). Война с Желтороссией (ในภาษารัสเซีย). Kommersant. Retrieved 6 July 2018.
  5. Hsü, Immanuel C. Y. (1978). "Late Ch'ing Foreign Relations, 1866–1905". ใน Fairbank, John King (บ.ก.). The Cambridge History of China. Cambridge University Press. p. 127. ISBN 978-0-521-22029-3.
  6. Xiang (2003), p. 248.
  7. Hammond Atlas of the 20th Century. Hammond. 1996. p. 22. ISBN 978-0-8437-1149-3.
  8. "Boxer Rebellion". Encyclopædia Britannica. 13 September 2024.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]