ข้ามไปเนื้อหา

ยุทธการที่เบอร์ลิน

พิกัด: 52°31′N 13°23′E / 52.517°N 13.383°E / 52.517; 13.383
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยุทธการที่เบอร์ลิน
ส่วนหนึ่งของ แนวรบด้านตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่สอง

ภาพการรบที่กรุงเบอร์ลินของสหภาพโซเวียตในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง เบียร์ลิน - 1945 ผลิดโดย CSDF
วันที่16 เมษายน – 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945
สถานที่52°31′N 13°23′E / 52.517°N 13.383°E / 52.517; 13.383
ผล

โซเวียตชนะอย่างเด็ดขาด

  • อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และข้าราชการนาซีระดับสูงคนอื่นก่ออัตวินิบาตกรรม
  • ทหารประจำที่ตั้งนครเบอร์ลินยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม กำลังเยอรมันที่ยังสู้รบนอกเบอร์ลินยอมจำนนเมื่อวันที่ 8/9 พฤษภาคม (หลังการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของกำลังเยอรมันทั้งหมด)
ดินแดน
เปลี่ยนแปลง
คู่สงคราม
นาซีเยอรมนี นาซีเยอรมนี
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ

แนวรบเบียโลรัสเซียที่ 1:

แนวรบเบียโลรัสเซียที่ 2:

แนวรบยูเครนที่ 1:

กองทัพกลุ่มวิสตูลา:

กองทัพกลุ่มกลาง:

พื้นที่ป้องกันเบอร์ลิน:

กำลัง
  • กำลังทั้งหมด:
  • 196 กองพล[ต้องการอ้างอิง]
    • ทหาร 2,500,000 นาย (กองทัพโปแลนด์ 155,900 – ประมาณ 200,000 นาย)[1][2]
  • รถถังและปืนอัตตาจร 6,250 คัน[2]
  • อากาศยาน 7,500 ลำ[2]
  • ปืนใหญ่ 41,600 กระบอก[3][4]
  • สำหรับการล้อมและการโจมตีพื้นที่ป้องกันเบอร์ลิน: ทหาร 1,500,000 นาย[5]
  • กำลังทั้งหมด:
  • 36 กองพล[6]
  • ทหาร 766,750 นาย[7]
  • พาหนะต่อสู้ยานเกราะ 1,519 คัน[8]
  • อากาศยาน 2,224 ลำ[9]
  • ปืนใหญ่ 9,303 กระบอก[7]
  • ในพื้นที่ป้องกันเบอร์ลิน: ทหารราว 45,000 นาย, สนับสนุนโดยกำลังตำรวจ ยุวชนฮิตเลอร์และโฟล์คสซทูร์ม 40,000 คน[5]
ความสูญเสีย
  • การวิจัยจดหมายเหตุ
    (รวมปฏิบัติการ)
  • เสียชีวิตหรือสูญหาย 81,116 นาย[10]
  • ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ 280,251 นาย
  • รถถัง 1,997 คัน
  • ปืนใหญ่ 2,108 กระบอก
  • อากาศยาน 917 ลำ[10]
  • จำนวนสูญเสียไม่ทราบแน่ชัด
  • ประเมิน:
    เสียชีวิต 92,000–100,000 นาย
  • ได้รับบาดเจ็บ 220,000 นาย[11]
  • เป็นเชลย 480,000 นาย[12]
  • ในพื้นที่ป้องกันเบอร์ลิน:
  • ทหารเสียชีวิตราว 22,000 นาย
  • พลเรือนเสียชีวิตราว 22,000 คน[13]

ยุทธการที่เบอร์ลิน หรือที่สหภาพโซเวียตตั้งชื่อว่า ปฏิบัติการรุกทางยุทธศาสตร์เบอร์ลิน (รัสเซีย: Битва за Берлин, Берлинская наступательная операция, Штурм Берлина) เป็นการรุกใหญ่ในช่วงปลายเขตสงครามยุโรปในสงครามโลกครั้งที่สอง

เริ่มจากวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1945 กองทัพแดงเจาะแนวรบเยอรมันหลังการรุกวิสตูลา–โอเดอร์และรุกมาทางทิศตะวันตกไกลถึง 40 กิโลเมตรต่อวันผ่านปรัสเซียตะวันออก โลว์เออร์ไซลีเชีย พอเมอราเนียตะวันออกและอัปเปอร์ไซลีเชีย และหยุดชั่วคราวตรงเส้น 60 กิโลเมตรทางตะวันออกของกรุงเบอร์ลินตามแม่น้ำโอเดอร์ เมื่อการรุกเริ่มขึ้นอีกครั้ง สองแนวรบ (กลุ่มกองทัพ) ของโซเวียตเข้าตีกรุงเบอร์ลินจากทางตะวันออกและใต้ ขณะที่แนวรบที่สามบุกกำลังเยอรมันซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของเบอร์ลิน ยุทธการในเบอร์ลินกินเวลาระหว่างวันที่ 20 เมษายนถึงเช้าวันที่ 2 พฤษภาคม

มีการเตรียมตั้งรับที่ชานกรุงเบอร์ลินครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม เมื่อผู้บัญชาการกองทัพกลุ่มวิสตูลาซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ พลเอก กอททาร์ด ไฮน์รีซี คาดเดาได้ถูกต้องว่าโซเวียตจะผลักดันข้ามแม่น้ำวิสตูลาเป็นหลัก ก่อนการยุทธ์หลักในกรุงเบอร์ลินจะเริ่มขึ้น ฝ่ายโซเวียตจัดการล้อมนครอันเป็นผลจากความสำเร็จในยุทธการที่ราบสูงซีโลว์และที่ฮัลเบอ วันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1945 แนวรบเบลารุสเซียที่ 1 นำโดย จอมพล เกออร์กี จูคอฟ เริ่มระดมยิงใจกลางนคร ขณะที่แนวรบยูเครนที่ 1 ของจอมพล อีวาน โคเนฟ ผลักดันจากทางใต้ผ่านแนวสุดท้ายของกองทัพกลุ่มกลาง การตั้งรับของเยอรมนีส่วนใหญ่มีเฮลมุท ไวด์ลิงเป็นผู้นำ และประกอบด้วยกองพลเวร์มัคท์และวัฟเฟน-เอสเอสที่อ่อนกำลังและมียุทโธปกรณ์จำกัด ซึ่งวัฟเฟน-เอสเอสมีอาสาสมัครต่างด้าวเอสเอสจำนวนมาก ตลอดจนสมาชิกโฟล์คสชทูร์มและยุวชนฮิตเลอร์ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างจำกัด ภายในไม่กี่วัน ฝ่ายโซเวียตรุกผ่านนครและถึงใจกลางนครซึ่งมีการต่อสู้แบบประชิด

ก่อนยุทธการสิ้นสุด ฟือแรร์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และผู้ติดตามจำนวนหนึ่งก่ออัตวินิบาตกรรม ผู้ป้องกันนครยอมจำนนในวันที่ 2 พฤษภาคม ทว่า การสู้รบยังดำเนินต่อไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของนครจนสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปยุติลงในวันที่ 8 พฤษภาคม (หรือ 9 พฤษภาคมในสหภาพโซเวียต) เพราะหน่วยเยอรมนีต่อสู้และหนีไปทางตะวันตกเพื่อยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก แทนที่จะยอมจำนนต่อโซเวียต

ภูมิหลัง

[แก้]

วันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1945 กองทัพแดงได้เริ่มต้นการรุกวิสตูลา–โอเดอร์ข้ามแม่น้ำนาแรฟ และจากวอร์ซอ ปฏิบัติการเพียงแค่สามวันในแนวรบกว้าง ซึ่งรวมถึงแนวหน้าของกองทัพทั้งสี่ ในวันที่สี่ กองทัพแดงได้เริ่มเคลื่อนพลไปทางตะวันตก เป็นระยะทาง 30 ถึง 40 กิโลเมตร (19 ถึง 25 ไมล์) ต่อวัน โดยยึดครองปรัสเซียตะวันออก ดันท์ซิช และปอซนัญ ซึ่งได้วาดเส้นแบ่งทางตะวันออกของเบอร์ลินเพียงระยะทาง 60 กิโลเมตร ( 37 ไมล์) ไปตามแม่น้ำโอเดอร์

กองทัพกลุ่มวิสตูลาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ภายใต้บัญชาการของไรชส์ฟือเรอร์-เอ็สเอ็ส ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ ได้พยายามโจมตีตอบโต้กลับ แต่กลับล้มเหลวในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ กองทัพแดงได้รุกไปยังพอเมอราเนีย กวาดล้างทางฝั่งขวาของแม่น้ำโอเดอร์ และเข้าสู่ไซลีเซีย

ในทางตอนใต้ กองทัพโซเวียตและโรมาเนียได้ปิดล้อมบูดาเปสต์ ความพยายามของกองพลเยอรมันทั้งสามในการคลายวงล้อมเมืองหลวงของฮังการีได้ล้มเหลว และบูดาเปสต์ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโซเวียตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ยืนกรานที่จะโจมตีตอบโตกลับเพื่อยึดดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเดรอู-ดานูบกลับคืนมา เป้าหมายคือปกป้องพื้นที่แหล่งบ่อน้ำมันของเมือง Nagykanizsa และพื้นที่แม่น้ำดานูบเพื่อใช้สำหรับปฏิบัติการในอนาคต แต่กองกำลังเยอรมันที่อ่อนกำลังกลับได้รับมอบหมายภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ในวันที่ 16 มีนาคม การรุกที่ทะเลสาบบาลาตันของเยอรมันได้ล้มเหลวและกองทัพแดงได้โจมตีตอบโต้กลับจนสามารถยึดกลับคืนมาได้ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเยอรมันต้องใช้เวลาถึง 10 วัน ในวันที่ 30 มีนาคม โซเวียตได้เข้าสู่ออสเตรีย และในการรุกเวียนนา พวกเขาสามารถยึดครองกรุงเวียนนาในวันที่ 13 เมษายน

ในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 ก่อนหน้านี้ ฮิตเลอร์ได้ตัดสินใจที่จะอยู่ในเมืองซึ่งขัดแย้งกับความต้องการของเหล่าที่ปรึกษาของเขา ที่ได้ยินข่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐ แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ ได้ถึงแก่อสัญกรรม เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ในฟือเรอร์บังเกอร์ว่าเหล่าประเทศในฝ่ายสัมพันธมิตรอาจจะเกิดความขัดแย้งกันเองและเบอร์ลินจะรอดพ้นในวินาทีสุดท้าย ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อเบอร์ลินถูกคุกคาม(ปาฏิหาริย์แห่งราชวงศ์บรันเดินบวร์ค)

ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกไม่ได้มีการวางแผนที่จะยึดเมืองนี้ด้วยปฏิบัติการทางภาคพื้นดิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองบัญชาการสูงสุดกำลังรบนอกประเทศสัมพันธมิตร(ตะวันตก) นายพลไอเซนฮาวร์ได้เลิกให้ความสนใจในการแข่งขันมุ่งสู่เบอร์ลินและไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการสูญเสียชีวิตอีกต่อไปโดยการโจมตีเมืองที่อยู่ในขอบเขตอิทธิพลของโซเวียตหลังสงคราม โดยคาดการณ์ว่าจะเกิดการยิงกันเองมากเกินไป หากกองทัพทั้งสองฝ่ายได้พยายามที่จะยึดครองเมืองในคราวเดียว การสนับสนุนหลักของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกในการสู้รบครั้งนี้คือการทิ้งระเบิดเบอร์ลินในช่วง ค.ศ. 1945 ในช่วงปี ค.ศ. 1945 กองทัพอากาศทหารบกสหรัฐได้เปิดฉากการโจมตีโฉบฉวยกรุงเบอร์ลินเป็นวงกว้างในเวลากลางวัน และติดต่อกันเป็นเวลา 36 คืน ฝูงเครื่องบินมัสคีโตของกองทัพอากาศหลวงจำนวนมากได้ทิ้งระเบิดใส่เมืองหลวงของเยอรมนี โดยสิ้นสุดลงในคืนวันที่ 20-21 เมษายน ค.ศ. 1945 ก่อนที่กองทัพโซเวียตจะเข้าสู่เมือง

การเตรียมความพร้อม

[แก้]

การรุกของโซเวียตเข้าสู่เยอรมนีตอนกลาง ซึ่งต่อมากลายเป็นเยอรมนีตะวันออก มีวัตถุประสงค์สองประการ สตาลินไม่เชื่อว่าฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกจะยอมมอบดินแดนที่พวกเขายึดครองในเขตของโซเวียตหลังสงคราม ดังนั้นเขาจึงเริ่มต้นการรุกในแนวรบกว้างและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการยึดครองเบอร์ลิน เป้าหมายทั้งสองนี้ได้ส่งเสริมซึ่งกันและกันเพราะไม่สามารถครอบครองโซนได้อย่างรวดเร็วเว้นแต่จะยึดครองเบอร์ลินมาได้ อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือเบอร์ลินเองก็มีทรัพยากรทางยุทธศาสตร์หลังสงครามที่มีประโยชน์ ซึ่งรวมถึงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเยอรมัน (แต่สหภาพโซเวียตไม่ได้รับรู้ เนื่องจากในช่วงยุทธการที่เบอร์ลิน ยูเรเนียมส่วนใหญ่และเหล่านักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ถูกอพยพไปที่ไฮเกอร์ลอคในป่าดำ) ในวันที่ 6 มีนาคม ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้ง พลโท เฮลมุท เรย์มันน์ เป็นผู้บัญชาการพื้นที่ปกป้องเบอร์ลิน เข้ามาแทนที่ พลโท บูรโน ริตเตอร์ ฟอน เฮาเอนชิลด์

ในวันที่ 20 มีนาคม พลเอก กอทธาร์ด ไฮนริชี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพกลุ่มวิสตูลาเข้ามาแทนที่ฮิมม์เลอร์ ไฮน์ริชีเป็นหนึ่งในนักวางแผนกลยุทธ์ป้องกันที่ดีที่สุดในกองทัพเยอรมัน และเขาได้เริ่มวางแผนป้องกันทันที ไฮน์ริชีประเมินคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องว่า การโจมตีหลักของโซเวียตจะอยู่ที่แม่น้ำโอเดอร์และไปตามเส้นทางเอาโทบานสายตะวันออกและตะวันตก เขาได้ตัดสินใจที่จะไม่พยายามป้องกันฝั่งแม่น้ำโอเดอร์ด้วยวิธีอื่นใดมากกว่าการสู้รบปะทะแบบเบา ๆ ดังนั้นไฮน์ริชีได้สั่งการให้วิศวกรสร้างป้อมปราการบนที่ราบสูงซีโลว์ ซึ่งสามารถมองเห็นแม่น้ำโอเดอร์ตรงจุดที่ถนนเอาโทบานตัดผ่าน แนวป้องกันนี้อยู่ห่างจากแม่น้ำโอเดอร์ทางตะวันตก ประมาณ 17 กิโลเมตร (11 ไมล์) และห่างจากเบอร์ลินทางตะวันออกประมาณ 90 กิโลเมตร (56 ไมล์) ไฮน์ริชีได้ลดแนวป้องกันในพื้นที่อื่นเพื่อเพิ่มกำลังคนที่มีอยู่เพื่อปกป้องที่ราบสูง วิศวกรชาวเยอรมันได้เปลี่ยนที่ราบน้ำท่วมของแม่น้ำโอเดอร์ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำที่เกิดจากการละลายหิมะในช่วงฤดูใบไม้ผลิให้กลายเป็นที่ลุ่มน้ำขังโดยการปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำที่อยู่ต้นน้ำลำธาร ด้านหลังที่ราบบนที่ราบสูง วิศวกรได้สร้างแนวป้องกันสามแนวซึ่งทอดยาวไปทางชานเมืองของเบอร์ลิน (แนวป้องกันที่อยู่ใกล้กับเบอร์ลินที่เรียกว่า ตำแหน่งโวทัน) แนวป้องกันเหล่านี้ประกอบไปด้วยคูต่อต้านรถถัง ฐานที่ตั้งปืนต่อต้านรถถัง และเครือข่ายของสนามเพลาะและบังเกอร์ที่มีจำนวนมากมาย

ในวันที่ 9 เมษายน ภายหลังจากการสู้รบที่ยาวนาน เคอนิชส์แบร์คในปรัสเซียตะวันออกได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของกองทัพแดง ทำให้แนวรบเบียโลรัสเซียที่ 2 ของจอมพลโรคอสซอฟสกีสามารถเคลื่อนทัพไปทางตะวันตกสู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโอเดอร์ จอมพลเกออร์กี จูคอฟได้รวบรวมแนวรบเบียโลรัสเซียที่ 1 ซึ่งได้ถูกวางกำลังไปตามแม่น้ำโอเดอร์ตั้งแต่เมืองฟรังค์ฟวร์ทอันแดร์โอเดอร์ ในทางใต้ไปจนถึงทะเลบอลติก เข้าสู่พื้นที่แนวหน้าของที่ราบสูงซีโลว์ แนวรบเบียโลรัสเซียที่ 2 เคลื่อนพลไปยังตำแหน่งที่ว่างลงโดยแนวรบเบียโลรัสเซียที่ 2 ในช่วงที่การวางกำลังพลครั้งนี้กำลังดำเนินไป แนวรบต่าง ๆ ยังคงเหลือช่องว่าง และกองทัพเยอรมันที่สองของนายพล ดีทริช ฟอน เซาเคิน ที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งถูกปิดล้อมอยู่ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับดันท์ซิช สามารถหลบหนีเข้าไปในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำวิสตูลาได้สำเร็จ ทางตอนใต้ จอมพลโคเนฟได้ย้ายกำลังหลักของแนวรบยูเครนที่ 1 ออกจากไซลีเซียตอนบนและไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่แม่น้ำไนเซอ

แนวรบทั้งสามของโซเวียตมีกำลังพลทั้งหมด 2.5 ล้านคน (รวมทั้งทหารจากกองทัพโปแลนด์ที่ 1 จำนวน 78,556 นาย) รถถัง 6,250 คัน เครื่องบิน 7,500 ลำ ปืนใหญ่และปืนครก 41,600 กระบอก เครื่องยิงจรวดคัตยูช่าที่ติดตั้งบนรถบรรทุกจำนวน 3,255 คัน (เรียกกันว่า ออร์แกนของสตาลิน) และยานยนต์ 95,383 คันซึ่งหลายคันที่ถูกผลิตขึ้นในสหรัฐอเมริกา

กองกำลังที่ทำการสู้รบ

[แก้]

ภาคเหนือ

[แก้]

ภาคกลาง

[แก้]

ภาคใต้

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Zaloga 1982, p. 27.
  2. 2.0 2.1 2.2 Glantz 1998, p. 261.
  3. Ziemke 1969, p. 71.
  4. Murray & Millett 2000, p. 482.
  5. 5.0 5.1 Beevor 2002, p. 287.
  6. Antill 2005, p. 28.
  7. 7.0 7.1 Glantz 1998, p. 373.
  8. Wagner 1974, p. 346.
  9. Bergstrom 2007, p. 117.
  10. 10.0 10.1 Krivosheev 1997, pp. 219, 220.
  11. Müller 2008, p. 673.
  12. Glantz 2001, p. 95.
  13. Antill 2005, p. 85.

อ่านเพิ่ม

[แก้]
  • Antill, P., Battle for Berlin: April – May 1945 — Includes the Order of Battle for the Battle for Berlin (Le Tissier, T. (1988), The Battle of Berlin 1945, London: Jonathan Cape)
  • Durie, W. (2012), The British Garrison Berlin 1945–1994: No Where to Go, Berlin: Vergangenheits/Berlin, ISBN 978-3-86408-068-5
  • Empric, Bruce E. (2017), Onward to Berlin! Red Army Valor in World War II - The Full Cavaliers of the Soviet Order of Glory, Teufelsberg Press, ISBN 978-1973498605
  • Erickson, John (1983), The Road to Berlin: Continuing the History of Stalin's War with Germany, Westview Press, ISBN 978-0-89158-795-8
  • Anonymous; A Woman in Berlin: Six Weeks in the Conquered City Translated by Anthes Bell, ISBN 978-0-8050-7540-3
  • Kuby, Erich (1968), The Russians and Berlin, 1945, Hill and Wang
  • Moeller, Robert G. (1997), West Germany Under Construction, University of Michigan Press, ISBN 978-0-472-06648-3
  • Naimark, Norman M. (1995), The Russians in Germany: A History of the Soviet Zone of Occupation, 1945–1949, Cambridge: Belknap, ISBN 978-0-674-78405-5
  • Read, Anthony; Fisher, David (1993), The Fall of Berlin, London: Pimlico, ISBN 978-0-7126-0695-0
  • Sanders, Ian J., Photos of World War 2 Berlin Locations today, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 October 2007
  • Shepardson, Donald E. (1998), "The Fall of Berlin and the Rise of a Myth", The Journal of Military History, 62 (1): 135–153
  • Tilman, Remme, The Battle for Berlin in World War Two, BBC
  • White, Osmar, By the eyes of a war correspondent, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 March 2007 — Alternative account of crimes against civilians
  • RT (TV network), (official channel on YouTube). "Fall of Berlin: Stopping the Nazi Heart" ที่ยูทูบ. 27 June 2010. 26-minute video.


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/> ที่สอดคล้องกัน