ข้ามไปเนื้อหา

การทิ้งระเบิดจังหวัดพระนครในสงครามโลกครั้งที่สอง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การทิ้งระเบิดกรุงเทพมหานคร
ส่วนหนึ่งของ สงครามแปซิฟิก ในสงครามโลกครั้งที่สอง

ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดสะพานพระราม 6
วันที่7 มกราคม พ.ศ. 2485 – 14 เมษายน พ.ศ. 2488
สถานที่
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ผล ฝ่ายสัมพันธมิตรทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของญี่ปุ่นในกรุงเทพมหานครได้บางส่วน
คู่สงคราม
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
ไม่ทราบแน่ชัด
ความสูญเสีย
ไม่ทราบแน่ชัด พลเรือนเสียชีวิตกว่า 400 คน[ต้องการอ้างอิง]

กรุงเทพมหานคร (จังหวัดพระนครในขณะนั้น) เมืองหลวงของประเทศไทย ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการโจมตีทางอากาศหลายครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างปี พ.ศ. 2485 ถึง พ.ศ. 2488 โดยเฉพาะในช่วงปลายของสงคราม กรุงเทพมหานครตกเป็นเป้าหมายของฝ่ายสัมพันธมิตร เนื่องจากไทยได้ร่วมมือกับจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในฝ่ายอักษะ

การโจมตีครั้งสำคัญเริ่มรุนแรงขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2487 โดยในเดือนมิถุนายนของปีดังกล่าว ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เริ่มใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ โบอิง บี-29 ซูเปอร์ฟอร์เทรส (Boeing B-29 Superfortress) ซึ่งเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุดของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น มีพิสัยการบินไกลและสามารถบรรทุกระเบิดจำนวนมาก การใช้ บี-29 ถือเป็นก้าวสำคัญในยุทธศาสตร์การโจมตีทางอากาศ โดยเป้าหมายหลักคือโครงสร้างพื้นฐานทางการทหาร การคมนาคม และสถานีรถไฟในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรเห็นว่าเป็นศูนย์กลางสนับสนุนของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การทิ้งระเบิดเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทั้งทรัพย์สินและชีวิตของพลเรือนจำนวนมาก หลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานครถูกทำลาย รวมถึงสถานีรถไฟ สะพาน และอาคารราชการบางส่วน ขณะเดียวกัน การโจมตียังมีผลต่อขวัญและกำลังใจของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก แม้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล แปลก พิบูลสงครามจะพยายามควบคุมข้อมูลข่าวสาร แต่ความเสียหายก็ไม่อาจปกปิดได้ทั้งหมด เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่สองต่อประเทศไทยอย่างชัดเจน

ภูมิหลัง

[แก้]
โบอิง บี-29 ซูเปอร์ฟอร์เทรส

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยภายใต้การนำของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกฝ่ายอักษะ ภายหลังการรุกรานของญี่ปุ่นเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ไทยได้ลงนามในข้อตกลงร่วมมือทางทหารกับญี่ปุ่น และอนุญาตให้ญี่ปุ่นใช้ดินแดนไทยเป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพล เสบียง และยุทโธปกรณ์เพื่อใช้ในปฏิบัติการทางทหารในประเทศพม่าและประเทศอินเดีย นโยบายดังกล่าวนำไปสู่การวางรากฐานของประเทศไทยในฐานะพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อสถานการณ์ในยุทธการที่พม่าทวีความเข้มข้นในปลายปี พ.ศ. 2485 และฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มมีความได้เปรียบทางทหาร ญี่ปุ่นประเมินว่าประเทศไทยมีแนวโน้มจะตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากฝ่ายสัมพันธมิตรผ่านพรมแดนด้านตะวันตก จึงได้จัดตั้งกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (Japanese Thailand Garrison Army) ขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 โดยมีภารกิจในการป้องกันประเทศไทยจากการรุกรานของฝ่ายสัมพันธมิตร การจัดตั้งกองกำลังดังกล่าวสะท้อนถึงการวางบทบาทของไทยในฐานะพื้นที่ยุทธศาสตร์และเสริมสร้างอิทธิพลของญี่ปุ่นภายในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม

ในด้านยุทธศาสตร์การทิ้งระเบิดทางอากาศ ฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ได้ดำเนินการโจมตีเป้าหมายภายในกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานของญี่ปุ่นในไทย โดยในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2487 เครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกลแบบ โบอิง บี-29 ซูเปอร์ฟอร์เทรส (Boeing B-29 Superfortress) ได้ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการทางอากาศต่อกรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นการใช้งานจริงของ บี-29 นอกหมู่เกาะญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเช่นกัน[1] โดยแผนการปฏิบัติการนี้มีการหารือในระดับสูงระหว่างแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และวินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ซึ่งเสนอให้โจมตีเป้าหมายสำคัญ เช่น ทางรถไฟและท่าเรือ เพื่อจำกัดความสามารถของญี่ปุ่นในการใช้ไทยเป็นฐานเสบียง[2]

ภารกิจทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับการสนับสนุนอย่างสำคัญจากขบวนการเสรีไทย ซึ่งเป็นขบวนการต่อต้านการครอบงำของญี่ปุ่นภายในประเทศ ขบวนการเสรีไทยมีบทบาทสำคัญในการจัดหาข่าวกรองเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของฐานทัพญี่ปุ่น การเคลื่อนไหวของกองกำลัง และสภาพภูมิอากาศเหนือเป้าหมาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิบัติการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง ความร่วมมือระหว่างขบวนการเสรีไทยและฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่การฟื้นฟูสถานะของประเทศไทยภายหลังสงคราม และการหลีกเลี่ยงบทลงโทษในฐานะประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรกับฝ่ายอักษะ

เป้าหมาย

[แก้]

ในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะกองทัพสหรัฐอเมริกาและกองทัพสหราชอาณาจักร ได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อประเทศไทยซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะพันธมิตรของจักรวรรดิญี่ปุ่น เป้าหมายหลักของการโจมตีคือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่มีบทบาทในทางยุทธศาสตร์ เพื่อขัดขวางการเคลื่อนกำลังพลและเสบียงของญี่ปุ่น ตลอดจนสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลไทยให้ยุติความร่วมมือกับฝ่ายอักษะ การโจมตีดังกล่าวครอบคลุมสะพาน สถานีรถไฟ โรงไฟฟ้า และเส้นทางคมนาคมหลัก โดยมีเหตุการณ์สำคัญในพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้

สะพานพระราม 6

[แก้]
เครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีสะพานพระราม 6

เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2488 สะพานพระราม 6 ซึ่งเชื่อมระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานคร ได้ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีจากฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะเครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 ของสหรัฐอเมริกา ที่ปล่อยระเบิดจำนวน 4 ลูกลงยังโครงสร้างสะพานทั้งสองฝั่ง การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อทำลายเส้นทางคมนาคมสำคัญซึ่งญี่ปุ่นใช้ในการเคลื่อนกำลังทหารและอุปกรณ์ โดยสะพานพระราม 6 ถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีจุดอื่น ๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น สถานีรถไฟหัวลำโพง, สถานีรถไฟบางกอกน้อย และโรงไฟฟ้าวัดเลียบ เพื่อบ่อนทำลายความสามารถในการสนับสนุนของญี่ปุ่นจากภายในประเทศ

โรงไฟฟ้าวัดเลียบ

[แก้]
ความเสียหายจากการทิ้งระเบิดที่โรงไฟฟ้าวัดเลียบ
บริเวณโดยรอบโรงไฟฟ้าถูกทำลาย

เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2488 ฝ่ายอังกฤษได้ส่งเครื่องบินโจมตีเป้าหมายที่โรงไฟฟ้าวัดเลียบซึ่งเป็นโรงผลิตไฟฟ้าหลักของกรุงเทพมหานครในขณะนั้น การโจมตีประสบความสำเร็จในการทำลายโรงงานอย่างรุนแรง ส่งผลให้กรุงเทพมหานครขาดแคลนไฟฟ้าและน้ำประปานานกว่า 2 เดือนจนกว่าการซ่อมแซมจะแล้วเสร็จ นอกจากนี้ ยังมีการทิ้งระเบิดผิดเป้าหมายจำนวนหนึ่ง ทำให้วัดราชบุรณราชวรวิหารและจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่งได้รับความเสียหาย สะท้อนให้เห็นผลกระทบทางวัฒนธรรมและพลเรือนอันเป็นผลพลอยได้จากปฏิบัติการทางทหาร

คลองภาษีเจริญ

[แก้]
ชุมชนใกล้ประตูน้ำคลองภาษีเจริญถูกโจมตี

ในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2488 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งเครื่องบิน Consolidated B-24 Liberator จากฝูงบินหมายเลข 356 Squadron เข้าโจมตีคลองภาษีเจริญและคลองดำเนินสะดวก โดยมุ่งเป้าไปที่ประตูน้ำและโครงสร้างควบคุมเส้นทางน้ำ รวมทั้งหมด 4 จุด ซึ่งจากข้อมูลข่าวกรองของสหรัฐฯ เชื่อว่าเป็นเส้นทางที่ทหารญี่ปุ่นใช้ในการลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์ผ่านภาคกลางของไทย การโจมตีมีจุดเริ่มต้นจากแม่น้ำท่าจีน แล้วเคลื่อนเป้าเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ แต่สร้างความเสียหายต่อระบบสาธารณูปโภคและชุมชนโดยรอบในระดับหนึ่ง

การต่อต้าน

[แก้]

ในช่วงที่กรุงเทพมหานครตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตร กองทัพไทยและกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งประจำการอยู่ในประเทศไทยได้ดำเนินมาตรการตอบโต้ในระดับหนึ่ง แม้ประสิทธิภาพจะถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดด้านยุทโธปกรณ์และยุทธวิธี

ฝ่ายไทย

[แก้]
เครื่องบินขับไล่ นากาจิมะ คิ-43 ฮายาบูซะ ของกองทัพอากาศไทย

กองทัพอากาศไทยในขณะนั้นได้รับเครื่องบินขับไล่รุ่น นากาจิมะ คิ-43 ฮายาบูซะ จากกองทัพบกญี่ปุ่นจำนวนทั้งสิ้น 24 ลำ ซึ่งเป็นการส่งมอบตามคำสั่งของพลเอก ฮิเดกิ โตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยเครื่องบินเหล่านี้ถูกโอนมาจากเกาะชวา และฝ่ายไทยต้องเดินทางไปรับมอบ ณ เกาะโชนัน (ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์)

ถึงแม้กองทัพอากาศไทยจะจัดกำลังเครื่องบินขับไล่ขึ้นต่อสู้เพื่อสกัดกั้นการโจมตีจากฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ก็ประสบความล้มเหลวเนื่องจากข้อจำกัดด้านสมรรถนะของเครื่องบิน และความได้เปรียบทางยุทธวิธีของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะในช่วงหลังของสงครามที่มีการนำเครื่องบินทิ้งระเบิด โบอิง บี-29 ซูเปอร์ฟอร์เทรส ซึ่งบินในระดับความสูงที่ปืนต่อสู้อากาศยานไม่สามารถยิงถึง

ในด้านการป้องกันพลเรือน รัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการเตือนภัยล่วงหน้าผ่านเสียงสัญญาณ "หวอ" เพื่อให้ประชาชนมีเวลาหลบภัย ไม่ว่าจะในหลุมหลบภัยที่ขุดขึ้นเอง หรือในพื้นที่พรางแสงไฟ อย่างไรก็ตาม ประชาชนจำนวนมากเลือกที่จะอพยพออกจากกรุงเทพมหานครไปยังเขตชานเมืองหรือต่างจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณถนนสุขุมวิทในเขตบางกะปิซึ่งในเวลานั้นยังเป็นพื้นที่กึ่งชนบท ทั้งนี้ ขบวนการอพยพของประชาชนมีลักษณะคล้ายขบวนคาราวาน โดยการเคลื่อนย้ายมักเกิดขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ตามเส้นทางถนนหลัก

ฝ่ายญี่ปุ่น

[แก้]
กองทัพญี่ปุ่นในไทย

กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ประจำการอยู่ในประเทศไทยในขณะนั้นอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพลโท อาเกโตะ นากามูระ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของ "กองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย" ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 เพื่อทำหน้าที่ป้องกันดินแดนไทยในกรณีที่ฝ่ายสัมพันธมิตรดำเนินการรุกรานเข้ามาจากฝั่งพม่า

ในด้านการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพญี่ปุ่นได้ติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยานในหลายจุดทั่วกรุงเทพมหานคร จุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งคือพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ซึ่งเป็นจุดสูงที่เหมาะแก่การยิงตอบโต้เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตร อย่างไรก็ดี การติดตั้งปืนใหญ่อยู่บนโครงสร้างของภูเขาทองดังกล่าวส่งผลให้ส่วนบนของพระบรมบรรพตได้รับความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือนอย่างมากในระหว่างการยิง

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Bombers Over Japan, Evening Post, Volume CXXXVII, Issue 142, 17 June 1944, Page 7
  2. R-418/9 memo, Churchill and Roosevelt - The Complete Correspondence - II Alliance Forged, Warren F. Kimball, Princeton University Press, New Jersey, 1984, page 617