เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น
โชเซ็ง 朝鮮 Chōsen 일제강점기 Iljegangjeomgi | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
พ.ศ. 1910–1945 | |||||||||||||
เกาหลี (สีแดงเข้ม) ภายในจักรวรรดิญี่ปุ่น (สีแดงอ่อน) ในระดับที่ไกลที่สุด | |||||||||||||
สถานะ | อาณานิคมของจักรวรรดิญี่ปุ่น | ||||||||||||
เมืองหลวง | เคโจ (กรุงฮันชอง) | ||||||||||||
ภาษาทั่วไป | ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น | ||||||||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ | ||||||||||||
จักรพรรดิ | |||||||||||||
• 2453–55 | จักรพรรดิเมจิ | ||||||||||||
• 2455–69 | จักรพรรดิไทโช | ||||||||||||
• 2469–88 | จักรพรรดิโชวะ | ||||||||||||
ข้าหลวงต่างพระองค์ | |||||||||||||
• 2453–59 | พลเอกเทราอูจิ มาซาตาเกะ | ||||||||||||
• 2462–70, 2472–74 | พลเอกไซโต มะโกโตะ | ||||||||||||
• 2470, 2474–79 | พลเอกคาซุชิเงะ อุงากิ | ||||||||||||
• 2479–85 | พลอากาศเอกจิโร มินามิ | ||||||||||||
• 2485–87 | คุนิอากิ โคอิโซะ | ||||||||||||
• 2487–88 | พลโทโนบูยูกิ อาเบะ | ||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ยุคจักรวรรดินิยมใหม่ | ||||||||||||
17 พฤศจิกายน 2448 | |||||||||||||
29 สิงหาคม พ.ศ. 1910 | |||||||||||||
• ญี่ปุ่นจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร | 15 สิงหาคม 1945 | ||||||||||||
• หลุดพ้นจากญี่ปุ่น | 2 กันยายน 2488 | ||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||
• 2450 | 13,000,000 | ||||||||||||
สกุลเงิน | เยนเกาหลี | ||||||||||||
| |||||||||||||
a อย่างไม่เป็นทางการ b 총리대신 (總理大臣) ภายหลังเปลี่ยนเป็น 의정대신 (議政大臣) |
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
---|
ประวัติศาสตร์เกาหลี |
เส้นเวลา |
สถานีย่อยประเทศเกาหลี |
เกาหลีภายใต้การปกครองของมหาจักรวรรดิญี่ปุ่น หรือ เกาหลีของญี่ปุ่น หมายถึงช่วงเวลาที่แผ่นดินเกาหลีที่มีสถานะเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิญี่ปุ่นภายหลังการลงนามในสนธิสัญญาผนวกดินแดนญี่ปุ่น-เกาหลี ในปีค.ศ. 1910 และเป็นช่วงเวลาที่ระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้างจากอำนาจทั้งปวง จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นมีสถานะเป็นพระประมุขแห่งเกาหลี และทรงตั้งรัฐบาลข้าหลวงใหญ่ขึ้นมาปกครองเกาหลี ซึ่งโดยส่วนมากจะให้ผู้บัญชากองทัพญี่ปุ่นในเกาหลีดำรงตำแหน่งนี้ โดยผลพวงจากการที่จักรวรรดิญี่ปุ่นได้ทำการยึดครองคาบสมุทรเกาหลีนั้น ส่งผลทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสื่อมลงระหว่างจักรวรรดิญี่ปุ่นและจักรวรรดิเกาหลี และผลพวงครั้งนั้นส่งผลมาจนถึงการแบ่งแยกเกาหลีออกเป็น 2 ประเทศ คือ ประเทศเกาหลีเหนือ และ ประเทศเกาหลีใต้ ทั้ง 2 ประเทศเคยมีความบาดหมางระหว่างกันกับประเทศญี่ปุ่นอยู่หลายครั้ง เช่น การที่ญี่ปุ่นเคยลุกล้ำอาณาเขตของเกาหลีเหนือ รวมถึงการสนับสนุนประเทศเกาหลีใต้ในการร่วมรบกับประเทศเกาหลีเหนือ เป็นต้น ทำให้เกาหลีเหนือตอบโต้ญี่ปุ่น โดยการจับชาวญี่ปุ่นไว้เป็นตัวประกัน ที่ในปัจจุบัน รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ได้มีการขอร้องให้ทางเกาหลีเหนือ ปล่อยตัวชาวญี่ปุ่นที่ถูกรัฐบาลเกาหลีเหนือจับไว้ คืนตัวให้กับรัฐบาลญี่ปุ่น โดยการส่งสารผ่านตัว ประธานาธิบดี มุน แจ-อิน ที่มีกำหนดการเยือนเกาหลีเหนือ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 เพื่อพบปะกับนาย คิม จ็อง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ แต่จนขณะนี้ยังไม่ได้การตอบรับจากทางรัฐบาลเกาหลีเหนือเลย ส่วนเกาหลีใต้นั้น มีความบาดหมางกับประเทศญี่ปุ่น เรื่องข้อพิพาษดินแดน เกาะด็อกโด ที่ในปัจจุบันเป็นเกาะภายใต้การปกครองของ จังหวัดคย็องซังเหนือ ประเทศเกาหลีใต้ แต่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้อ้างสิทธิ์เหนือเกาะด็อกโต ว่าเป็นเกาะในเขตการปกครองของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังคงมีเหตุโต้แย้งเรื่องการพิพาศเกาะด็อกโต ระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เกาหลีทั้งสองมีความบาดหมางระหว่างกันกับประเทศญี่ปุ่นเป็นระยะๆ มาจนถึงปัจจุบัน
ญี่ปุ่นยึดพอร์ตอาเธอร์ได้ในที่สุดในพ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905)การชนะสงครามกับรัสเซียในครั้งนี้ ทำให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่งเอเชียตะวันออก และสามารถขอการสนับสนุนจากชาติตะวันตกในการยึดครองเกาหลีได้ เช่น สหรัฐอเมริกายินยอมให้ญี่ปุ่นแผ่อิทธิพลสู่เกาหลีในข้อตกลงทาฟต์-คะสึระ จนบังคับเกาหลีลงนามใน สนธิสัญญาอึลซา ให้เกาหลีตกเป็นรัฐในอารักขาของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยมีเพียงรัฐมนตรีเกาหลีบางคนเท่านั้นที่ลงนามยอมรับ แต่ตัวจักรพรรดิควางมูเองมิได้ทรงลงนามด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เกาหลีก็ได้หมดสภาพในการติดต่อสัมพันธ์กับต้างประเทศ และการค้ากับต่างประเทศผ่านท่าเรือทุกแห่งญี่ปุ่นจะเข้าควบคุมดูแล รวมทั้งเข้ายึดครองระบบขนส่งและสื่อสารทั้งหมดของประเทศ
แต่จักรพรรดิควางมูก็ยังไม่ทรงหมดความหวัง โดยแอบส่งทูตไปยังการประชุมอนุสัญญากรุงเฮกในปีพ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจากการกระทำของญี่ปุ่นในสภาโลก แต่บรรดามหาอำนาจทั้งหลายไม่ยอมรับเกาหลีเป็นรัฐเอกราช และไม่ยอมให้ผู้แทนเกาหลีเข้าร่วมการประชุม เมื่อญี่ปุ่นทราบเหตุการณ์จึงกล่าวโทษเกาหลีว่าละเมิดข้อสัญญาในสนธิสัญญาอึลซา จึงบังคับให้เกาหลีทำสนธิสัญญาญี่ปุ่น-เกาหลีฉบับที่ 3 ในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) และให้จักรพรรดิควางมูสละบัลลังก์ให้พระโอรสขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิยุงฮึย ชาวญี่ปุ่นได้เข้าเป็นผู้บริหารประเทศ จักรพรรดิควางมูสิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน
จนในพ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) การลงนามในสนธิสัญญาผนวกดินแดนญี่ปุ่น-เกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาหลีอย่างสมบูรณ์ ในสนธิสัญญามีตราตั้งพระราชลัญจกร แต่ไม่มีพระนามของจักรพรรดิยุงฮึย กลับมีลายมือชื่อของลีวานยง นายกรัฐมนตรีเกาหลีแทน ดังนั้นตลอดเวลาและหลังการยึดครองของญี่ปุ่น จึงมีคำถามโดยเฉพาะกับชาวเกาหลีว่าสนธิสัญญาฉบับนี้มีความถูกต้องมากเพียงใด ซึ่งแน่นอนว่าชาวเกาหลีในปัจจุบันจะต้องไม่ยอมรับสัญญาฉบับนี้ และประกาศให้สัญญาฉบับนี้เป็นโมฆะในพ.ศ. 2548 แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เกาหลีก็ตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นไป 30 กว่าปี จนกระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง เกาหลีจึงถูกแบ่งเป็นเหนือและใต้
- เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น
- ประวัติศาสตร์เกาหลี
- อดีตอาณานิคมของญี่ปุ่น
- อดีตอาณานิคมในทวีปเอเชีย
- การยึดครองทางทหารของญี่ปุ่น
- รัฐสิ้นสภาพในเอเชียตะวันออก
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศเกาหลี
- รัฐสิ้นสภาพในประวัติศาสตร์เกาหลี
- เกาหลีที่ถูกยึดครองทางทหาร
- การล่มสลายของจักรวรรดิเกาหลี
- การผนวก
- การผนวกเกาหลีโดยจักรวรรดิญี่ปุ่น
- รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2453
- สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488