ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เศรษฐกิจไทย"
แก้ไขเนื้อหาที่ไม่สมบูรณ์ มีอคติ ขาดแหล่งอ้างอิง ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
|||
บรรทัด 66: | บรรทัด 66: | ||
[[ธนาคารโลก]]รับรองประเทศไทยว่าเป็น "นิยาย<!-- story -->ความสำเร็จการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง" จากตัวชี้วัดทางสังคมและการพัฒนา<ref>{{cite web|title=Thailand|url=http://www.worldbank.org/en/country/thailand|publisher=World Bank|accessdate=17 July 2012}}</ref> แม้รายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) ต่อหัวต่ำ คือ 5,210 ดอลล่าร์สหรัฐ<ref>http://data.worldbank.org/indicator/NY.GNP.PCAP.CD/countries/TH-4E-XT?display=graph</ref> และมี[[ดัชนีการพัฒนามนุษย์]] (HDI) อยู่ที่อันดับ 89 แต่ประชากรที่อยู่ต่ำกว่า[[เส้นความยากจน]]ลดลงจาก 65.26% ในปี 2531 เหลือ 13.15% ในปี 2554 ตามเส้นฐานความยากจนใหม่ของ สศช.<ref>{{cite web|title=ตารางที่ 1.2 สัดส่วนคนจน เมื่อวัดด้านรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค จำแนกตามภาคและพื้นที่ ปี พ.ศ. 2531 - 2554|url=http://social.nesdb.go.th/SocialStat/StatReport_Final.aspx?reportid=446&template=2R1C&yeartype=M&subcatid=59|publisher=Office of the National Economic and Social Development Board|accessdate=9 May 2013}}</ref> ในไตรมาสแรกของปี 2556 อัตราว่างงานของไทยอยู่ที่ 0.7% ซึ่งน้อยเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากประเทศกัมพูชา โมนาโกและกาตาร์<ref>{{cite web|title=Unemployment Rate|url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2129rank.html|publisher=CIA - The World Factbook|accessdate=17 July 2012}}</ref> ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 [[ค่าแรงขั้นต่ำ]]ทางการทุกจังหวัดเป็น 300 บาท<ref name="BOTindicator">[http://www.bot.or.th/Thai/Statistics/Indicators/Docs/indicators.pdf เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญ]. สืบค้น 3-9-2557.</ref>ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยถือว่าสูงสุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครัวเรือนที่รวยที่สุด 20% มีรายได้ครัวเรือนเกินครึ่ง [[ดัชนีจีนี]]ของรายได้ครัวเรือนอยู่ที่ 0.51 ครอบครัวรายได้น้อยและยากจนกระจุกอยู่ในภาคเกษตรกรรมอย่างมาก<ref>Bird, Kelly; Hattel, Kelly; Sasaki, Eiichi; Attapich, Luxmon. (2011). [http://www.adb.org/sites/default/files/poverty-income-inequality-microfinance-thailand.pdf Poverty, Income Inequality, and Microfinance in Thailand]. Asian Development Bank. สืบค้น 4-9-2557.</ref> |
[[ธนาคารโลก]]รับรองประเทศไทยว่าเป็น "นิยาย<!-- story -->ความสำเร็จการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง" จากตัวชี้วัดทางสังคมและการพัฒนา<ref>{{cite web|title=Thailand|url=http://www.worldbank.org/en/country/thailand|publisher=World Bank|accessdate=17 July 2012}}</ref> แม้รายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) ต่อหัวต่ำ คือ 5,210 ดอลล่าร์สหรัฐ<ref>http://data.worldbank.org/indicator/NY.GNP.PCAP.CD/countries/TH-4E-XT?display=graph</ref> และมี[[ดัชนีการพัฒนามนุษย์]] (HDI) อยู่ที่อันดับ 89 แต่ประชากรที่อยู่ต่ำกว่า[[เส้นความยากจน]]ลดลงจาก 65.26% ในปี 2531 เหลือ 13.15% ในปี 2554 ตามเส้นฐานความยากจนใหม่ของ สศช.<ref>{{cite web|title=ตารางที่ 1.2 สัดส่วนคนจน เมื่อวัดด้านรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค จำแนกตามภาคและพื้นที่ ปี พ.ศ. 2531 - 2554|url=http://social.nesdb.go.th/SocialStat/StatReport_Final.aspx?reportid=446&template=2R1C&yeartype=M&subcatid=59|publisher=Office of the National Economic and Social Development Board|accessdate=9 May 2013}}</ref> ในไตรมาสแรกของปี 2556 อัตราว่างงานของไทยอยู่ที่ 0.7% ซึ่งน้อยเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากประเทศกัมพูชา โมนาโกและกาตาร์<ref>{{cite web|title=Unemployment Rate|url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2129rank.html|publisher=CIA - The World Factbook|accessdate=17 July 2012}}</ref> ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 [[ค่าแรงขั้นต่ำ]]ทางการทุกจังหวัดเป็น 300 บาท<ref name="BOTindicator">[http://www.bot.or.th/Thai/Statistics/Indicators/Docs/indicators.pdf เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญ]. สืบค้น 3-9-2557.</ref>ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยถือว่าสูงสุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครัวเรือนที่รวยที่สุด 20% มีรายได้ครัวเรือนเกินครึ่ง [[ดัชนีจีนี]]ของรายได้ครัวเรือนอยู่ที่ 0.51 ครอบครัวรายได้น้อยและยากจนกระจุกอยู่ในภาคเกษตรกรรมอย่างมาก<ref>Bird, Kelly; Hattel, Kelly; Sasaki, Eiichi; Attapich, Luxmon. (2011). [http://www.adb.org/sites/default/files/poverty-income-inequality-microfinance-thailand.pdf Poverty, Income Inequality, and Microfinance in Thailand]. Asian Development Bank. สืบค้น 4-9-2557.</ref> |
||
== ประวัติ == |
|||
ประเทศไทยเป็น[[เสือเศรษฐกิจ]]ของเอเชีย ในปี 2560 ประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของ[[อาเซียน]] และเป็นอันดับเก้าของ |
|||
[[เอเชีย]] ระหว่างปี พ.ศ. 2529 - 2539 เป็นยุคของการเปิดเสรีครั้งใหญ่และการเติบโตแบบเศรษฐกิจฟองสบู่ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจทุนนิยมโลกปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลสำคัญ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงเมื่อเทียบเงินเยนญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ โยกย้ายการลงทุนมาไทยและเอเชียอาคเนย์เพิ่มมากขึ้น การส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลที่มาจากนักธุรกิจ ข้าราชการ และชนชั้นกลางก็เปิดเสรีทางการเงิน การค้า การลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตสูงเฉลี่ยราวร้อยละ 8 - 10 ต่อปี<ref>[http://fuangfah.econ.cmu.ac.th/teacher/thanes/files/Thai%20Economy%20(Perfect%20Book%202012).pdf วิชาเศรษฐกิจไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่]</ref> |
|||
ภาคอุตสาหกรรมในช่วงปี พ.ศ. 2535 - 2538 เติบโตราวปีละ 11 - 12 เปอร์เซนต์ ในขณะที่ภาคเกษตร ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลน้อยมาก เติบโตในอัตราที่ต่ำมาก คือร้อยละ 3 - 4 ต่อปีในระยะเวลาดังกล่าว |
|||
อย่างไรก็ตาม หลังจาก[[วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540]] ประชากรหลายล้านคนตกงานและยากไร้ และจนกระทั่ง พ.ศ. 2544 ที่ประเทศไทยสามารถควบคุมค่าเงินและเศรษฐกิจได้อีกครั้งหนึ่ง |
|||
นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย [[ทักษิณ ชินวัตร]] รับตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ด้วยเจตนาจะเพิ่มกิจกรรมภายในประเทศและลดการพึ่งพาการค้าและการลงทุนต่างประเทศ นับแต่นั้น การบริหารประเทศเป็นไปตามนโยบายเศรษฐกิจ "รางคู่" (dual track) ซึ่งรวมกิจกรรมภายในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นกับการสนับสนุนตลาดเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศของไทย |
|||
นโยบายดังกล่าวเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่า [[ทักษิโณมิค]] อุปสงค์การส่งออกที่อ่อนทำให้อัตราเติบโตของจีดีพีใน พ.ศ. 2544 อยู่ที่ 2.2% แต่ในสามปีต่อมา กิจกรรมภายในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นและการฟื้นฟูการส่งออกทำให้สมรรถนะของประเทศกลับคืนอีกครั้ง โดยมีอัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 5.3%, 7.1% และ 6.3% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2548 จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและการขาดดุลการค้า ภัยแล้งและอุทกภัยรุนแรง [[ความไม่สงบในภาคใต้ของประเทศไทย|ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้]]รุนแรงขึ้นถึงที่สุด อนาคตที่ไม่แน่นอนของรัฐบาลทักษิณ และผลกระทบด้านการท่องเที่ยวจาก[[แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547]] ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเหลือ 4.5% |
|||
ใน พ.ศ. 2548 ประเทศไทยยังมีบัญชีเดินสะพัดขาดดุลอยู่ที่ -4.3% ของจีดีพี หรือ -7,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ นับแต่ พ.ศ. 2549 ประเทศไทยมีบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอีกครั้ง และเศรษฐกิจลอยตัวขึ้นจากการเติบโตในภาคส่งออก อย่างไรก็ตาม [[รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549]] ซึ่งถอดทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง รักษาการนายกรัฐมนตรี สร้างความไม่มั่นใจ ในปี พ.ศ. 2550 คนไทยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเท่ากับ 3,400 ดอลลาร์ ต่อปีหรือประมาณ 9,900 บาทต่อเดือน ในขณะที่คนสิงคโปร์มีรายได้ประชาชาติต่อหัวเท่ากับ 32,470 ดอลลาร์ ต่อปีหรือประมาณ 95,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเท่ากับว่าคนไทยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวน้อยกว่าคนสิงคโปร์ 10 เท่า |
|||
ผู้ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในประเทศเมื่อทำงานใหม่ ส่วนมากมัก อาศัยพ่อแม่ในการใช้รถยนต์ เนื่องจากรถยนต์มีราคาที่แพงมากและราคาน้ำมันในประเทศไทยนั้นราคาแพง |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
=== หลังปี 2555 === |
|||
ในปี 2555 ประเทศไทยกำลังฟื้นตัวจาก[[อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554|อุทกภัยร้ายแรง]]เมื่อปีกลาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์วางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ตั้งแต่ระบบจัดการน้ำระยะยาวจนถึง[[ลอจิสติกส์]] มีรายงานว่า [[วิกฤตยูโรโซน]]ส่งผลเสียต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2555 ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม โดยกระทบต่อการส่งออกของประเทศ จีดีพีของประเทศไทยโต 6.5% โดยมีอัตราภาวะเงินเฟ้อทั่วไป 3.02% และมีบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 0.7% ของจีดีพีประเทศ |
|||
วันที่ 23 ธันวาคม 2556 เงินบาทไทยลดลงต่ำสุดในรอบสามปี เนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองระหว่างหลายเดือนก่อน [[บลูมเบิร์ก]]ว่า เงินตราไทยอ่อนตัวลง 4.6% ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลักตกลงด้วย (9.1%) |
|||
หลัง[[รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557]] ครึ่งปีแรก สำนักข่าวทั่วโลกเอเอฟพีจัดพิมพ์บทความซึ่งอ้างว่าประเทศไทยอยู่บน "ขอบภาวะเศรษฐกิจถดถอย" หัวเรื่องหลักของบทความคือการที่ชาวกัมพูชาเกือบ 180,000 คนออกจากประเทศไทยด้ยวเกรงการปราบปรามการเข้าเมือง แต่สรุปด้วยสารสนเทศว่า เศรษฐกิจไทยหดตัวลง 2.1% ไตรมาสต่อไตรมาส ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2557 ทว่า นับแต่ยกเลิกการห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน [[สุพันธุ์ มงคลสุธี]] ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เขาคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 2.5 ถึง 3% ในปี 2557 ตลอดจนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในครึ่งปีหลังของปี 2557 ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอ้างการพิจารณาโครงการลงทุนค้างในอนาคตของคณะกรรมการการลงทุน ซึ่งประเมินว่ามีมูลค่าราว 700,000 ล้านบาท ว่าเป็นกระบวนการทรงประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดในราวเดือนตุลาคม 2557 |
|||
ในปี พ.ศ. 2558 ราคาน้ำมันได้ตกต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี<ref>http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/679556</ref> ประเทศไทยจึงส่งออกสินค้าไปยัง[[ตะวันออกกลาง]] ได้น้อยลงและความเหลื่อมล้ำระหว่างคนเมืองและคนชนบทมีมากขึ้น เนื่องจากราคายางพาราต่ำสุดในรอบ 8 ปีในขณะที่คนเมืองใช้น้ำมันในราคาที่ถูกขึ้น<ref>https://www.scbeic.com/th/detail/product/1142</ref> |
|||
ในปี พ.ศ. 2559 การส่งออกไทยเป็นบวกโดยขยายตัว 0.45% เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ปี ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดกว่าร้อยละ 11.6 ของจีดีพีสูงสุดเป็นยอดบัญชีเกินดุลสะพัดที่สูงที่สุดในรอบ 12 ปี<ref>[http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/738508 ธปท.ชี้ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปี59ทุบสถิติ]</ref> |
|||
ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 การส่งออกไทยขยายตัว 9.90 %<ref>[http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/789580 ส่งออกปี60 โต 9.9% สูงสุดในรอบ 6 ปี]</ref>จีดีพีของประเทศไทยโต 3.9% อัตราภาวะเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 0.66 % โดยมีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีแบบขาดดุลงบประมาณมากถึง 552,921.7 ล้านบาท<ref>[https://www.prachachat.net/facebook-instant-article/news-107694 อัด “งบฯกลางปี” โด๊ปรากหญ้า 4 ปี รัฐบาล “บิ๊กตู่” ขาดดุล 1.5 ล้าน ล.]</ref>สูงสุดในรอบ 11 ปี<ref>[https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parbudget/ewt_dl_link.php?nid=434 รายงานการติดตามสถานะการคลัง]</ref> |
|||
=== หลังปี 2560 === |
|||
ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561 ดัชนี[[ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย]] สูงสุดในรอบ 24 ปี ต่อมาในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สูงสุดในรอบ 24 ปี 20 วันปิดที่ 1838.96 จุดสูงที่สุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดทำการ |
|||
ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ 31.29 บาท ต่อ ดอลลาห์แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี 3 เดือน<ref>http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/792536</ref> |
|||
ในปี พ.ศ. 2561 ได้เกิด [[วิกฤตเงินตราและหนี้ตุรกี พ.ศ. 2561]] และ [[วิกฤตเงินตราและหนี้เวเนซุเอลา พ.ศ. 2561]] |
|||
ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพิงรายได้จากการส่งออกถึง 70% ของจีดีพี และส่วนใหญ่ฐานการผลิตเพื่อการส่งออกของไทยมาจากนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก<ref>[https://www.prachachat.net/economy/news-108218 Re-design เศรษฐกิจไทยต้องเติบโตอย่างยั่งยืน]</ref>จากสาเหตุดังกล่าวรัฐบาลจึงมักมีแนวคิดให้ค่าแรงในประเทศนั้นต่ำที่สุดและให้ราคาสินค้าในประเทศนั้นต่ำที่สุดเพื่อให้ราคาสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศมีราคาต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง<ref>https://books.google.co.th/books?id=XydEBAAAQBAJ&pg=PA24&hl=th&source=gbs_selected_pages&cad=3#v=onepage&q&f=false</ref> |
|||
ในปี พ.ศ. 2561 ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลก <ref>https://www.bbc.com/thai/thailand-40317663</ref>แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะดีขึ้นแต่พ่อค้าแม่ค้าขายสินค้าได้ลดลง การขายสินค้าออนไลน์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น |
|||
== อุตสาหกรรม == |
== อุตสาหกรรม == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:15, 4 พฤศจิกายน 2561
![]() | ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
เศรษฐกิจไทย | |
---|---|
อันดับทางเศรษฐกิจ | 32 (ราคาตลาด) / 24 (PPP) (IMF, 2555) |
สกุลเงิน | บาท |
ปีงบประมาณ | 1 ตุลาคม – 30 กันยายน |
ภาคีการค้า | WTO, APEC, IOR-ARC, ASEAN |
สถิติ | |
จีดีพี | US$1.054 ล้านล้าน (ราคาตลาด 2558) US$397,475 ล้าน[1] |
จีดีพีเติบโต | ![]() |
จีดีพีต่อหัว | US$15,319 (พีพีพี 2558) US$5,771 (ราคาตลาด)[1] |
ภาคจีดีพี | เกษตรกรรม (8.4%) อุตสาหกรรม (39.2%) บริการ (52.4%) (2555)[3] |
เงินเฟ้อ (CPI) | 3.02% (ทั่วไป) (2555)[4] 2.09% (พื้นฐาน) (2555)[4] |
ประชากรยากจน | 13.15% (2554)[5] |
จีนี | 0.484 (รายได้) (2554)[5] 0.375 (รายจ่าย) (2554)[5] |
แรงงาน | 39.41 ล้านคน (2555)[6] |
ว่างงาน | 0.7% (2555)[7] |
อุตสาหกรรมหลัก |
|
อันดับความคล่องในการทำธุรกิจ | 18[8] |
การค้า | |
มูลค่าส่งออก | USD226,155.8 ล้าน (2555)[9] |
สินค้าส่งออก | คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน, ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์โลหะ, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม [10] |
ประเทศส่งออกหลัก | ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
มูลค่านำเข้า | USD217,818.9 ล้าน (2555)[9] |
สินค้านำเข้า | น้ำมันดิบ, เครื่องจักรและส่วนประกอบ, เหล็กและเหล็กกล้า, ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เคมีภัณฑ์, ยานยนต์[10] |
ประเทศนำเข้าหลัก | ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
FDI | USD150,517 ล้าน (2554)[13] |
หนี้ต่างประเทศ | USD134,180 ล้าน (มกราคม 2556)[14] |
การคลังรัฐบาล | |
หนี้สาธารณะ | 43.3% ของจีดีพี (ไตรมาส 1 ปีงบฯ 2556)[15] |
รายรับ | ฿1,977,500 ล้าน (ปีงบฯ 2555)[15] |
รายจ่าย | ฿2,148,400 ล้าน (ปีงบฯ 2555)[15] |
ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ | ไม่มี |
อันดับความเชื่อมั่น | สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส:[16] A- (ในประเทศ) BBB+ (ต่างประเทศ) A (T&C Assessment) การคาดการในอนาคต: มีเสถียรภาพ[17] |
ทุนสำรอง | $171,200 ล้าน (19 ก.ค. 2556)[18] |
แหล่งข้อมูลหลัก: CIA World Fact Book หน่วยทั้งหมด หากไม่ระบุ ถือว่าเป็นดอลลาร์สหรัฐ |
เศรษฐกิจไทยมีเศรษฐกิจแบบผสม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า ประเทศไทยมีจีดีพี 11.375 ล้านล้านบาท[7] มีอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 3.02%[4] ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในรูปตัวเงินเป็นอันดับที่ 29 ของโลก และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อเป็นอันดับที่ 24 ของโลก ในปี 2556 เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.9% จีดีพีมาจากการใช้จ่ายของครัวเรือน 54.4% การใช้จ่ายของรัฐบาล 13.8% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 26.7%[19] ประเทศไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่
ภาคอุตสาหกรรมและบริการเป็นภาคหลักในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย โดยภาคอุตสาหกรรมเป็นสัดส่วน 39.2% ของจีดีพี ภาคเกษตรกรรมเป็นสัดส่วน 8.4% ของจีดีพี น้อยกว่าภาคการขนส่งและการค้า ตลอดจนการสื่อสาร ซึ่งเป็นสัดส่วน 13.4% และ 9.8% ของจีดีพีตามลำดับ ภาคก่อสร้างและเหมืองแร่เป็นสัดส่วน 4.3% ของจีดีพี ภาคอื่น (ซึ่งรวมภาคการเงิน การศึกษา โรงแรมและร้านอาหาร) เป็นสัดส่วน 24.9% ของจีดีพี[3] โทรคมนาคมและการค้าบริการกำลังกำเนิดเป็นศูนย์กลางการขยายอุตสาหกรรมและการแข่งขันทางเศรษฐกิจ[20][21]
ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับที่ 24 ของโลก และมีมูลค่าการนำเข้าเป็นอันดับที่ 23 ของโลก ประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย ฮ่องกงและเกาหลีใต้[22] ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2551 ประเทศไทยส่งข้าวออกคิดเป็นประมาณ 33% ของการค้าข้าวทั่วโลก[23] ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางรายใหญ่ที่สุดของโลก[24] และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก[25]
ประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย ทว่า จีดีพีต่อหัวในปี 2555 ค่อนข้างต่ำ ($7,188) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยจัดว่ามีจีดีพีต่อหัวกลาง ๆ รองจากประเทศสิงคโปร์ บรูไนและมาเลเซีย ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 ประเทศไทยถือครองทุนสำรองระหว่างประเทศ 171,200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ มากเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รองจากประเทศสิงคโปร์) ประเทศไทยยังมีปริมาณการค้าต่างประเทศมากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจากสิงคโปร์[26]
ธนาคารโลกรับรองประเทศไทยว่าเป็น "นิยายความสำเร็จการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง" จากตัวชี้วัดทางสังคมและการพัฒนา[27] แม้รายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) ต่อหัวต่ำ คือ 5,210 ดอลล่าร์สหรัฐ[28] และมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) อยู่ที่อันดับ 89 แต่ประชากรที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนลดลงจาก 65.26% ในปี 2531 เหลือ 13.15% ในปี 2554 ตามเส้นฐานความยากจนใหม่ของ สศช.[29] ในไตรมาสแรกของปี 2556 อัตราว่างงานของไทยอยู่ที่ 0.7% ซึ่งน้อยเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากประเทศกัมพูชา โมนาโกและกาตาร์[30] ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 ค่าแรงขั้นต่ำทางการทุกจังหวัดเป็น 300 บาท[31]ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยถือว่าสูงสุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครัวเรือนที่รวยที่สุด 20% มีรายได้ครัวเรือนเกินครึ่ง ดัชนีจีนีของรายได้ครัวเรือนอยู่ที่ 0.51 ครอบครัวรายได้น้อยและยากจนกระจุกอยู่ในภาคเกษตรกรรมอย่างมาก[32]
อุตสาหกรรม
เกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง
ในปี พ.ศ. 2551 เกษตรกรรม การป่าไม้และการประมงสร้างรายได้ให้กับประเทศคิดเป็นเพียง 8.4% ของจีดีพี ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นผู้ส่งออกกุ้งหลัก พืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ได้แก่ มะพร้าว ข้าวโพด ยางพารา ถั่วเหลือง อ้อยและมันสำปะหลัง[33]
ในปี พ.ศ. 2528 ประเทศไทยได้กำหนดให้พื้นที่ของประเทศ 25% เป็นป่าเพื่อการอนุรักษ์และอีก 15% เพื่อการผลิตไม้อย่างเป็นทางการ ป่าเพื่อการอนุรักษ์ถูกจัดตั้งสำหรับการรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและการพักผ่อน ในขณะที่ป่าเพื่อการผลิตเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมป่าไม้สามารถใช้ประโยชน์ได้ ระหว่าง พ.ศ. 2535 และ 2544 การส่งออกท่อนซุงและไม้แปรรูปเพิ่มขึ้นจาก 50,000 ลูกบาศก์เมตรเป็น 2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
การระบาดของไข้หวัดนกในประเทศทำให้ภาคเกษตรกรรมหดตัวระหว่างปี พ.ศ. 2547 ประกอบกับคลื่นสึนามิซึ่งถล่มภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันหลังจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 ได้สร้างความเสียหายแก่อุตสาหกรรมประมงในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2548-2549 ภาคเกษตรกรรมมีจีดีพีลดลงถึง 10%[34]
การทำเหมืองแร่
แร่ธาตุหลักที่พบในประเทศไทย รวมไปถึง ฟลูออไรต์ ยิปซัม ตะกั่ว ลิกไนต์ ก๊าซธรรมชาติ แทนทาลัม ดีบุกและทังสเตน อุตสาหกรรมเหมืองดีบุกได้ลดลงอย่างรุนแรงหลังจาก พ.ศ. 2528 ประเทศไทยจึงกลายมาเป็นประเทศผู้นำเข้าดีบุกตั้งแต่นั้นมา ในปี พ.ศ. 2551 แร่ธาตุที่ประเทศไทยส่งออกมากที่สุด คือ ยิปซัม
ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกยิปซัมรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากแคนาดา ถึงแม้ว่านโยบายของรัฐบาลจะจำกัดการส่งออกยิปซัมเพื่อป้องกันการตัดราคาก็ตาม ในปี พ.ศ. 2546 ประเทศไทยมีผลผลิตแร่ธาตุมากกว่า 40 ชนิด ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศปีละประมาณ 740 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม มากกว่า 80% ของแร่ธาตุนี้บริโภคภายในประเทศ
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2546 เพื่อที่จะกระตุ้นการลงทุนของต่างชาติในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ รัฐบาลได้ผ่อนปรนข้อจำกัดอันเข้มงวดในการทำเหมืองโดยบริษัทต่างชาติ[34]
อุตสาหกรรมและการผลิต
ในปี พ.ศ. 2550 อุตสาหกรรมสร้างรายได้ถึง 43.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ แต่มีแรงงานทำงานอยู่เพียง 14% ของแรงงานทั้งหมด สัดส่วนดังกล่าวตรงกันข้ามกับสัดส่วนของภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมในประเทศมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 3.4% ต่อปีระหว่าง พ.ศ. 2538-2548 ภาคย่อยที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม คือ การผลิต ซึ่งสร้างรายได้คิดเป็น 34.5% ของจีดีพี ในปี พ.ศ. 2547
ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในตลาดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ในปี พ.ศ. 2547 ประมาณการผลิตรถยนต์แตะระดับที่ 930,000 คัน มากกว่าสองเท่าของประมาณการผลิตในปี พ.ศ. 2544 ค่ายผู้ผลิตรถยนต์หลักที่ดำเนินการในประเทศ ได้แก่ โตโยต้าและฟอร์ด การขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ทำให้ปริมาณการผลิตเหล็กกล้าในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตามประเทศไทยไม่สามารถผลิตรถยนต์ในประเทศเพื่อคนไทยใช้ได้เลย[35] อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยเผชิญกับการแข่งขันจากมาเลเซียและสิงคโปร์ ในขณะที่อุตสาหกรรมสิ่งทอเผชิญการแข่งขันจากจีนและเวียดนาม [34]
ปี | ยอดผลิค | ผลิตเพื่อ | มูลค่าส่งออก สำเร็จรูป (ล้านบาท) |
ส่งออก สำเร็จรูป ต่อจีดีพี | |
---|---|---|---|---|---|
จำหน่าย ในประเทศ |
ส่งออก ต่างประเทศ | ||||
2548 | ![]() |
690,409 | 434,907 | 203,025.36 | 2.86% |
2549 | ![]() |
646,838 | 541,206 | 240,764.09 | 3.07% |
2550 | ![]() |
598,287 | 689,092 | 306,595.20 | 3.88% |
2551 | ![]() |
610,317 | 783,712 | 351,326.97 | 3.87% |
2552 | ![]() |
447,318 | 552,060 | 251,342.99 | 2.79% |
2553 | ![]() |
750,614 | 894,690 | 404,659.37 | 4.00% |
2554 | ![]() |
723,845 | 733,950 | 343,383.92 | 3.26% |
2555 | ![]() |
1,432,052 | 1,021,665 | 490,134.74 | 4.31% |
2556 | ![]() |
1,335,783 | 1,121,303 | 512,186.40 | 4.30% |
2557 | ![]() |
757,853 | 1,122,154 | 527,423.43 | 4.02% |
2558 | ![]() |
712,028 | 1,200,974 | 592,550 | 4.41% |
2559 | ![]() |
776,843 | 1,167,574 | 631,845 | |
2560 | ![]() |
862,391 | 1,126,432 | 603,037 |
พลังงาน
ในปี พ.ศ. 2547 ปริมาณการบริโภคพลังงานทั้งหมดของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 3,400 ล้านล้านบีทียู ซึ่งคิดเป็นราว 0.7% ของปริมาณการบริโภคพลังงานของทั้งโลก ประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายสำคัญ แต่รัฐบาลกำลังสนับสนุนการใช้เอธานอลเพื่อลดการนำเข้าปิโตรเลียมและสารเติมแต่งน้ำมัน เมทิล เทอร์เทียรี บิวทิล อีเธอร์ (MTBE)
ในปี พ.ศ. 2548 ปริมาณการใช้น้ำมันต่อวันอยู่ที่ 133,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เกินกว่าปริมาณการผลิตภายในประเทศที่ 48,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน โรงกลั่นน้ำมันสี่แห่งของไทยมีความสามารถทำงานได้ 111,780 ลิตรต่อวัน รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและการขนส่งน้ำมันในภูมิภาค รองรับความต้องการของจีนตอนกลางและตอนใต้ ในปี พ.ศ. 2547 ปริมาณการบริโภคก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 2.99 × 1010 ลูกบาศก์เมตร เกินกว่าปริมาณการผลิตภายในประเทศที่ 2.2 × 1010 ลูกบาศก์เมตร
ในปี พ.ศ. 2547 อีกเช่นกัน ปริมาณการบริโภคถ่านหินที่ประมาณกันไว้อยู่ที่ 30.4 ล้านตันขนาดเล็ก เกินกว่าปริมาณการผลิตภายในประเทศที่ 22.1 ล้านตันขนาดเล็ก ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2550 ปริมาณน้ำมันสำรองที่มีการพิสูจน์อยู่ที่ 46 ล้านลูกบาศก์เมตร และปริมาณแก๊สธรรมชาติสำรองอยู่ที่ 420 ลูกบาศก์กิโลกรัม ในปี พ.ศ. 2546 ปริมาณถ่านหินสำรองหมุนเวียอยู่ที่ 1,492.5 ล้านตันขนาดเล็ก[34]
ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยบริโภคไฟฟ้าอย่างน้อย 117,700 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง การบริโภคไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 4.7% ในปี พ.ศ. 2549 เป็น 133,000 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง
บริการ
ในปี พ.ศ. 2550 ภาคบริการ ซึ่งมีขอบเขตตั้งแต่การท่องเที่ยวไปจนถึงธนาคารและการเงิน สร้างมูลค่าคิดเป็น 44.7% ของจีดีพีและมีสัดส่วน 37% ของกำลังแรงงาน[34]
เศรษฐกิจเงา
ประเทศไทยมีจำนวนโสเภณีกว่า 1 แสนถึง 2 แสนคนธุรกิจอาบอบนวดที่ขายบริการทางเพศร่วมด้วยทำรายได้ให้กับประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2561 พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ระบุว่ามีผู้ประกอบการ 81 แห่งทั่วประเทศ[36] แม้การค้าขายบริการทางเพศผิดกฎหมายในประเทศไทย[37] แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจเหล่านี้ไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนั้นธุรกิจการพนันในประเทศกัมพูชาที่มีเจ้าของเป็นคนไทยยังทำรายได้เข้าประเทศ[38]ในปี พ.ศ. 2560 นายกองเอก เจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นบุคคลที่รวยทีสุดในประเทศไทยจากธุรกิจขายสุรา เศรษฐกิจเงาในประเทศไทยหลายธุรกิจถูกระบุว่าไม่ผิดกฎหมายและสามารถดำเนินการได้อย่างจำกัดภายใต้กฎหมายของประเทศไทย อย่างไรก็ตามภายใต้กฎหมายปรับภาษีเหล้า บุหรี่ทีประกาศใช้ในวันที่ 16 กันยายน 2560 ผลประกอบการจริงของโรงงานยาสูบในรอบครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2561 มีกำไร 588 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 87.54%[39].
การท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวทำรายได้ให้กับประเทศเป็นสัดส่วนสูงกว่าประเทศอื่นใดในทวีปเอเชีย (ราว 6% ของจีดีพี) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมายังประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ ส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวตามชายหาดและพักผ่อน ถึงแม้ว่าจะมีความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตาม กรุงเทพมหานครมีการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี พ.ศ. 2560 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีสายการบินขนส่งผู้โดยสารผสมสินค้า 100 สายการบิน และเที่ยวบินขนส่งสินค้าอย่างเดียว 10 สายการบิน[40]ในปี พ.ศ. 2561 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีสายการบินขนส่งผู้โดยสารผสมสินค้ารวมตลอดทั้งปี 110 สายการบิน สายการบินขนส่งสินค้าอย่างเดียว 12 สายการบิน สายการบินขนส่งผู้โดยสารผสมสินค้า 98 สายการบิน สายการบินเช่าเหมาลำอีก 4 สายการบิน เช่าเหมาลำภายในประเทศ ไป สนามบินเกาะไม้ซี้ 1 สายการบิน รวมมากถึง 115 สายการบิน โดยมาจาก 55 ประเทศทั่วโลก ที่ทำการบินมายัง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2561 ท่าอากาศยานดอนเมือง รับผู้โดยสารรวมทั้งหมด 14 ประเทศทั่วโลก
เช่นเดียวกัน การเพิ่มขึ้นอย่างมากของนักท่องเที่ยวจากชาติในทวีปเอเชียด้วยกันได้สร้างรายได้อย่างมากให้กับประเทศไทย ถึงแม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย ในปี พ.ศ. 2550 นักท่องเที่ยวราว 14 ล้านคนเดินทางเข้ามาในประเทศไทย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมเพศที่กำลังเฟื่องฟู อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยยังคงละเลยต่อสิทธิของกลุ่มผู้ขายบริการทางเพศภายใต้กฎหมายแรงงานในความผิดทางอาญาของกลุ่มผู้ขายบริการ ทำให้ราชการคอร์รัปชั่นและพนักงานของรัฐเอาเปรียบกลุ่มผู้ขายบริการเหล่านี้[41]
วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ที่กำลังฟื้นตัว การกลับมาเติบโตของเศรษฐกิจจีน วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศ และการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีผลกระทบน้อยกว่าที่กังวลล่วงหน้า ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของการท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2553 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง 16% ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2552 แต่ในช่วงสี่เดือนสุดท้ายของปี นักท่องเที่ยวต่างประเทศได้กลับมาจนทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศของ พ.ศ. 2552 จึงอยู่ที่ 14 ล้านคน ลดลงเพียง 4% เมื่อเทียบกับตัวเลขของปี พ.ศ. 2551
เขตเศรษฐกิจพิเศษ
เขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ทุนสำรองระหว่างประเทศ
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
หนี้สาธารณะ
ตามพระราชบัญญํติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 อนุญาตให้กระทรวงการคลังกู้เงินมาใช้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม กับอีกร้อยละ 80 ของรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ในแต่ละปี[42]
สำหรับการก่อหนี้ภายในประเทศ รัฐบาลกู้เงินระยะยาวครั้งแรกใน พ.ศ. 2476 โดยออกพันธบัตรจำนวน 10 ล้านบาท และก่อเงินระยะสั้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2488 ส่วนการก่อหนี้ต่างประเทศ เกิดขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2448 โดยรัฐบาลได้ขายพันธบัตรมูลค่า 1 ล้านปอนด์ กำหนดไถ่ถอนภายใน 40 ปี นับเป็นการเปลี่ยนแนวคิดด้านนโยบายการคลังจากที่เคยใช้จ่ายเฉพาะรายได้จากภาษีอากรมารวมรายได้จากเงินกู้ด้วย[42]
สิงหาคม พ.ศ. 2554 ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานประเมินหนี้สาธารณะของไทย พบว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 44% ของจีดีพี ในปีงบประมาณ 2554 เป็น 60% ของจีดีพี ในปีงบประมาณ 2556 และจะเริ่มมีหนี้สาธารณะสูงกว่ากรอบวินัยการคลังในปีงบประมาณ 2557 กระทั่งมีหนี้สาธารณะ 70% ของจีดีพี ในปีงบประมาณ 2559 ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีภาระด้านการคลังเพิ่มขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทยประเมิน 4 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าอาจต้องใช้เงินสูงถึง 442,000 ล้านบาท หรือ 20% ของงบประมาณภาครัฐ[43]
นอกจากนี้ การพิจารณาโครงสร้างรายรับ-รายจ่ายและงบประมาณภาครัฐ พบว่า งบประมาณรายจ่ายของประเทศระหว่าง พ.ศ. 2550 ถึง 2554 เพิ่มขึ้น 8.8% ของจีดีพี ขณะที่งบประมาณรายรับในช่วงเดียวกันเพิ่มขึ้นเพียง 4.2% ของจีดีพี[43]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 "Thailand". International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 2015.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Thai GDP growth slumps in fourth-quarter, unrest clouds outlook". Reuters.
{{cite web}}
:|access-date=
ต้องการ|url=
(help);|url=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ 3.0 3.1 "Thailand at a glance". Bank of Thailand. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 "Change in Price Level" (PDF). Bank of Thailand. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 "Indicators ทางสังคม". Office of the Economic and Social Development Board. สืบค้นเมื่อ 1 March 2013.
- ↑ "Population, Labour Force and Wage" (PDF). Bank of Thailand. สืบค้นเมื่อ 9 May 2013.
- ↑ 7.0 7.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อhttp
- ↑ "Doing Business in Thailand 2013". World Bank. สืบค้นเมื่อ 22 October 2012.
- ↑ 9.0 9.1 "Balance of Payments" (PDF). Bank of Thailand. สืบค้นเมื่อ 3 April 2013.
- ↑ 10.0 10.1 ข้อมูลพื้นฐานเศรษฐกิจไทย. สืบค้น 11-09-2553.
- ↑ "Export Partners of Thailand". CIA World Factbook. 2012. สืบค้นเมื่อ 2013-07-23.
- ↑ "Import Partners of Thailand". CIA World Factbook. 2012. สืบค้นเมื่อ 2013-07-23.
- ↑ "EX_XT_063 Foreign Direct Investment Outstanding Classified by Country". Bank of Thailand. สืบค้นเมื่อ 9 May 2013.
- ↑ "External Debt" (PDF). Bank of Thailand. สืบค้นเมื่อ 9 April 2013.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 "Thai Economic Performance in Q4 and 2012 and Outlook for 2013" (PDF). Office of the Economic and Social Development Board. สืบค้นเมื่อ 18 February 2013.
- ↑ "Sovereigns rating list". Standard & Poor's. สืบค้นเมื่อ 26 May 2011.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 Rogers, Simon; Sedghi, Ami (15 April 2011). "How Fitch, Moody's and S&P rate each country's credit rating". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 28 May 2011.
- ↑ "Reserve Money and International Reserves Report" (PDF). Bank of Thailand. สืบค้นเมื่อ 1 August 2013.
- ↑ ภาวะเศรษฐกิจไทย ปี 2556. ธนาคารแห่งประเทศไทย. สืบค้น 3-9-2557.
- ↑ http://siteresources.worldbank.org/INTTHAILAND/Resources/333200-1177475763598/3714275-1234408023295/5826366-1234408105311/chapter4-telecommunication-sector.pdf
- ↑ http://journals.cluteonline.com/index.php/IBER/article/download/3290/3338
- ↑ ระบบรายงานข้อมูลการค้าระหว่างประเทศของไทย สืบค้น 4-9-2557.
- ↑ Thailand. IRRI. สืบค้น 4-9-2557. (อังกฤษ)
- ↑ Thailand Leads World in Rubber Production and Advance R&D Bank of Thailand. สืบค้น 4-9-2557.
- ↑ เอกลักษณ์ประจำชาติของไทย. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. สืบค้น 9-12-2553.
- ↑ "World Trade Developments" (PDF). World Trade Organization. สืบค้นเมื่อ 12 March 2013.
- ↑ "Thailand". World Bank. สืบค้นเมื่อ 17 July 2012.
- ↑ http://data.worldbank.org/indicator/NY.GNP.PCAP.CD/countries/TH-4E-XT?display=graph
- ↑ "ตารางที่ 1.2 สัดส่วนคนจน เมื่อวัดด้านรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค จำแนกตามภาคและพื้นที่ ปี พ.ศ. 2531 - 2554". Office of the National Economic and Social Development Board. สืบค้นเมื่อ 9 May 2013.
- ↑ "Unemployment Rate". CIA - The World Factbook. สืบค้นเมื่อ 17 July 2012.
- ↑ เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญ. สืบค้น 3-9-2557.
- ↑ Bird, Kelly; Hattel, Kelly; Sasaki, Eiichi; Attapich, Luxmon. (2011). Poverty, Income Inequality, and Microfinance in Thailand. Asian Development Bank. สืบค้น 4-9-2557.
- ↑ http://www.nytimes.com/2010/07/19/world/asia/19thai.html?partner=rss&emc=rss
- ↑ 34.0 34.1 34.2 34.3 34.4 Thailand country profile. Library of Congress Federal Research Division (July 2007). This article incorporates text from this source, which is in the public domain.
- ↑ ชี้ไทยอย่าฝันผลิตรถยนต์เอง
- ↑ https://www.isranews.org/isranews-article/63368-somyot6.html
- ↑ https://www.bbc.com/thai/thailand-45008968
- ↑ http://www.komchadluek.net/news/crime/108750
- ↑ https://thaipublica.org/2018/08/tobacco-tax-restructuring-26-8-2561/
- ↑ รายงานประจำปีการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
- ↑ empower foundation
- ↑ 42.0 42.1 [1]
- ↑ 43.0 43.1 ตะลึงหนี้สาธารณะท่วม แบงก์ชาติผ่าแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ.
แหล่งข้อมูลอื่น