การค้าประเวณีในประเทศไทย
การค้าประเวณีเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย[1] แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามีการค้าประเวณีอยู่และถูกควบคุมในบางส่วน[2] การค้าประเวณีพบได้ทั่วประเทศ[3][4] เจ้าพนักงานในท้องถิ่นที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมักจะปกป้องการค้าประเวณี จำนวนของผู้ค้าบริการทางเพศประมาณให้แน่นอนได้ยาก แต่ละสำนักมีตัวเลขและนิยามที่ต่างกันไป และเป็นที่ถกเถียงกันทั้งในระดับชาติและนานาชาติ[5] ตั้งแต่สงครามเวียดนามเป็นต้นมา ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศจุดหมายปลายทางสำหรับเซ็กซ์ทัวร์ [6] คนที่มาทำงานนี้ส่วนใหญ่มีเหตุผลมาจากความยากจน, การศึกษาระดับต่ำ, ขาดการจ้างงานในท้องถิ่น, มีภูมิหลังจากชนบท และส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, จากชนกลุ่มน้อย หรือจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศพม่าและประเทศลาว[7][8][9][10][11][12][13][14][15][16] โครงการร่วมเอดส์แห่งสหประชาชาติใน ค.ศ. 2019 รายงานว่ามีจำนวนผู้ค้าบริการทางเพศในประเทศไทยประมาณ 43,000 คน[17]
ขนาดของการค้าประเวณี
[แก้]เรื่องจำนวนของผู้ค้าบริการทางเพศในไทยยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ การศึกษาของนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. 2547 ระบุว่ามีผู้ทำงานเกี่ยวกับบริการทางเพศ 2.8 ล้านคน เป็นผู้หญิง 2 ล้านคน เป็นผู้ชาย 2 หมื่นคน และเป็นผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี 8 แสนคน อย่างไรก็ดีมีผู้ท้วงติงว่าตัวเลขนี้น่าจะสูงเกินกว่าความเป็นจริงมาก[18] การศึกษาใน พ.ศ. 2546 ประมาณมูลค่าทางเศรษฐกิจไว้ที่ 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือราว 3% ของระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม[19] และประมาณการณ์ว่าอาจมีผู้ค้าบริการทางเพศมากถึง 10,000 คนบนเกาะสมุย และไม่น้อยกว่า 10% ของมูลค่าเงินที่นักท่องเที่ยวนำเข้ามาถูกใช้ในกิจกรรมทางเพศ[20] ส่วนรายงานขององค์การอนามัยโลกใน พ.ศ. 2544 ระบุว่าการประมาณการณ์ที่น่าเชื่อถือที่สุดระบุว่ามีผู้ค้าบริการทางเพศระหว่าง 150,000 ถึง 200,000 คน[21] การสำรวจโดยภาครัฐบาลพบว่ามีการค้าบริการทางเพศที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ระหว่าง 76,000 ถึง 77,000 คน ในสถานบันเทิงที่จดทะเบียน ในขณะที่กลุ่ม NGO เชื่อว่ามีผู้ค้าบริการทางเพศระหว่าง 200,000 ถึง 300,000 คน[5] ประเทศไทยมีจำนวนโสเภณีกว่า 1 แสนถึง 2 แสนคนธุรกิจอาบอบนวดที่ขายบริการทางเพศร่วมด้วยทำรายได้ให้กับประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2550 ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุในภาคนิพนธ์ว่า ประเทศไทยมีรายได้จากธุรกิจอาบอบนวดและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการทางเพศราว 2.05 ของ จีดีพีในปีนั้น[22]
ในปี พ.ศ. 2561 พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ระบุว่ามีผู้ประกอบการ 81 แห่งทั่วประเทศ[23] แม้การค้าขายบริการทางเพศผิดกฎหมายในประเทศไทย[24] แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจเหล่านี้ไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนั้นธุรกิจการพนันในประเทศกัมพูชาที่มีเจ้าของเป็นคนไทยยังทำรายได้เข้าประเทศ[25]
รูปแบบการค้าประเวณีในประเทศไทย
[แก้]รูปแบบของการค้าประเวณีในประเทศไทยในปัจจุบัน มีหลายรูปแบบ ที่อาจพบได้ง่ายเช่น
- อาบอบนวด เป็นสถานบริการทางเพศโดยตรง[26] โดยผู้ขายบริการจะนั่งรอภายในสถานบริการและรอลูกค้าเข้ามาเลือก โดยในสถานบริการจะมีบริการจัดห้องไว้รับรอง สถานบริการอาบอบนวดมีกระจายในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นบางจังหวัด ในกรุงเทพมีมากบริเวณถนนพระราม 9 ถนนเพชรบุรี ถนนรัชดาภิเษก เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถพบโฆษณาของอาบอบนวดบางแห่งได้ในอินเทอร์เน็ต หรือในหนังสือพิมพ์กีฬาบางฉบับอีกด้วย
- ซ่อง คล้ายคลึงกับอาบอบนวด แต่มักไม่เปิดตัวโจ่งแจ้ง และเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย ซ่องบางแห่งอาจลักลอบเปิดโดยใช้ธุรกิจนวดแผนโบราณหรือสปาขึ้นบังหน้าเท่านั้นและมีการบริการนวดกระปู๋
- สถานบันเทิง คาเฟ่ ร้านคาราโอเกะ สปา หรือร้านตัดผม บางแห่ง มีบริการทางเพศแอบแฝงเพิ่มเติมสำหรับลูกค้า
- รอลูกค้าที่โรงแรมม่านรูด หรือบริเวณริมถนนบางแห่ง ที่เป็นแหล่งค้าประเวณี
- การโทรเรียก โดยลูกค้าติดต่อทางนายหน้า (หรือแมงดา หรือมาม่าซัง) เพื่อเรียกมาใช้บริการทางที่พักของลูกค้า หรือทางโรงแรมที่เตรียมไว้ ราคาการให้บริการจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานที่และชนิด โดยปกติ ผู้ชายที่ให้บริการ จะได้รายได้น้อยกว่าผู้หญิงที่ให้บริการ บางครั้งนายหน้าอาจใช้คำเรียกอาชีพอื่นเพื่อปิดบังการค้าประเวณี เช่น จัดหาพริตตี้ จัดหานางแบบ เป็นต้น
- การซื้อขายบริการทางเพศผ่านอินเทอร์เน็ต โดยอาจซื้อขายผ่านทางการแชต (เมสเซนเจอร์) แคมฟรอก หรือเฟซบุ๊ก เป็นต้น หรือเว็บไซต์ใต้ดินบางแห่งอาจมีโฆษณาการขายบริการทางเพศ
- การซื้อขายบริการทางเพศแบบซื้อเหมาในระยะยาว เช่นหนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือนขึ้นไป โดยในช่วงระยะเวลาที่ตกลงกันนั้น ผู้ซื้อจะผูกขาดการเป็นลูกค้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่ยินยอมให้ผู้ขายไปขายบริการหรือไปมีกิจกรรมทางเพศกับบุคคลอื่นอีก ซึ่งอาจถือว่าเป็นการเหมาซื้อทั้งบริการทางเพศและความสัมพันธ์ชั่วคราวในรูปแบบอื่น เช่นแฟนหรือคนรักด้วย บางครั้งเรียกการซื้อแบบนี้ว่า "ผูกปิ่นโต"
- การล่อลวงเหยื่อให้มาค้าประเวณี ผู้ล่อลวงอาจแอบอ้างตัวว่าเป็นธุรกิจอื่น เช่น โมเดลลิ่ง แมวมองดารา เป็นต้น
บางครั้งผู้ค้าประเวณีหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาดีอาจแอบอ้างตัวว่าประกอบอาชีพอื่นบางอาชีพ เพื่อเพิ่มค่าตัว เช่น เป็นนิสิตนักศึกษา หรือพริตตี้ หรือนางแบบ เป็นต้น
ในการซื้อขายบริการทางเพศ ผู้ขายหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจใช้คำอื่น หรือชื่ออาชีพอื่นแทน เพื่อเลี่ยงการกล่าวถึงโดยตรง เช่น "ไซด์ไลน์" "ขายน้ำ" "เด็กออฟ" "หมอนวด" "นวดโดยนางแบบ" "นวดโดยพริตตี้" เป็นต้น
ในบางกรณีอาจพบว่ามีชาวต่างชาติ หรือคนต่างด้าว ทั้งที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน[27][28] เช่น พม่า[29] ลาว[30][31] กัมพูชา[32] [33][34] เป็นต้น และจากประเทศอื่น เช่น รัสเซีย[35] อุซเบกิสถาน[36][37] เป็นต้น เข้ามาค้าประเวณีในประเทศไทย โดยมีทั้งที่เต็มใจกระทำ และที่ถูกแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติล่อลวงหรือบังคับมา
สถานะทางกฎหมายและประวัติศาสตร์
[แก้]การค้าประเวณีไม่ใช่สิ่งใหม่ในสังคมไทย มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ย้อนไปได้กว่าหกร้อยปี เช่น เอกสารของชาวจีน Ma Huan (1433) และชาวยุโรป (Van Neck, 1604; Gisbert Heeck, 1655 และอื่นๆ) อย่างไรก็ดีในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็น ที่มีชาวญี่ปุ่นและชาวอเมริกันจำนวนมากเข้ามาอาศัยในประเทศไทยอาจทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น
ในสมัยโบราณกฎศาสนาห้ามการค้าประเวณี ในขณะที่ต่อมาได้มีกฎหมายสมัยใหม่ในการห้ามและป้องปรามการค้าประเวณีมาเป็นลำดับ
ผลกระทบต่อสังคม
[แก้]โดยเหตุที่การค้าประเวณีนำมาซึ่งความเสื่อมเสียทางศีลธรรมและปัญหาสังคมต่าง ๆ นานาดังกล่าว รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยได้พยายามแก้ปัญหานี้อยู่เสมอ แต่สภาพการณ์ก็ยังทรง ๆ ทรุด ๆ เรื่อยมา
นโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการค้าประเวณีของไทยเพิ่งจะเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ทรงตราพระราชบัญญัติฉบับหนึ่ง ชื่อ "พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127" เหตุผลในการประกาศใช้มีว่า
"...ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า ทุกวันนี้หญิงบางจำพวกประพฤติตนอย่างที่เรียกว่าหญิงนครโสเภณี มีหัวหน้ารวบรวมกันตั้งโรงหาเงินขึ้นหลายตำบล แต่ก่อนมาการตั้งโรงหญิงนครโสเภณี นายโรงช่วยไถ่หญิงมาเป็นทาสรับตั๋วจากเจ้าภาษีแล้วตั้งเป็นโรงขึ้น ครั้นต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกทาสเสียแล้ว หญิงบางจำพวกที่สมัครเข้าเป็นหญิงนครโสเภณีก็รับตั๋วจากเจ้าภาษีแล้วมีหัวหน้ารวบรวมกันตั้งขึ้นในท้องที่โรงอันควรบ้างมิควรบ้าง กระทำให้มีเหตุเกิดการวิวาทขึ้นเนือง ๆ อีกประการหนึ่ง หญิงบางคนป่วยเป็นโรคซึ่งอาจจะติดต่อเนื่องไปถึงผู้ชายที่คบหาสมาคมได้ ก็มิได้มีแพทย์ตรวจตรารักษาโรคร้ายนั้น อาจจะติดเนื่องกันไปจนถึงเป็นอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตมนุษย์เป็นอันมาก และยังหาได้มีกฎหมายและข้อบังคับอย่างใดสำหรับจะป้องกันทุกข์โทษภัยแห่งประชาราษฎรทั้งหลายเหล่านี้ไม่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตืขึ้นไว้สืบไปดังนี้..."
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127 มีว่า 1) หญิงนครโสเภณีให้เป็นได้แต่โดยใจสมัคร ใครจะบังคับผู้อื่นหรือล่อลวงมาให้เป็นหญิงนครโสเภณีมิได้เลย มีโทษตามพระราชกำหนดลักษณะข่มขืนล่วงประเวณี รัตนโกสินทรศก 118 ซึ่งโทษนี้ปัจจุบันมีบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา[ลิงก์เสีย]แทนแล้ว 2) หญิงนครโสเภณีทุกคนต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อนจึงจะเป็นได้ และต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตราคาสิบสองบาท มีอายุสามเดือนต่อใบ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนับว่าสูงมากในสมัยนั้น แสดงเจตนารมณ์ในการป้องปรามการเป็นโสเภณีอยู่ในตัว 3) ผู้ตั้งโรงหญิงนครโสเภณีต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน และนายโรงก็เป็นได้แต่ผู้หญิง เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการดูแลกันเอง 4) หญิงนครโสเภณีต้องไม่สร้างความรำคาญวุ่นวายแก่บุคคลภายนอก เช่น ฉุดลาก ยื้อแย้ง ล้อเลียน เป็นต้น 5) เจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าไปในโรงหญิงนครโสเภณีทุกเมื่อ เพื่อนำตัวสมาชิกคนใดของโรงมาตรวจ ถ้าพบโรคก็ให้ส่งไปรักษาจนกว่าจะหาย แลอาจเพิกถอนหรือสักพักใช้ใบอนุญาตในคราวนั้นด้วยก็ได้
ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดมีแนวคิดที่จะปรับสภาพหญิงนครโสเภณีให้กลับเป็นคนดีของสังคม องค์การสหประชาชาติได้เรียกร้องให้มีการเลิกค้าประเวณีทั่วโลก โดยใน พ.ศ. 2492 ได้มีการประชุมร่างอนุสัญญาเพื่อการนี้ขึ้น ชื่อ "อนุสัญญาฉบับรวม" (อังกฤษ: Consolidated Convention) มีเนื้อหาสาระเป็นการขจัดการค้าสตรีและการแสวงหาประโยชน์จากหญิงนครโสเภณี เพื่อเลิกการทำให้การค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมาย[38] ตลอดจนส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพให้แก่หญิงนครโสเภณีเพื่อกลับเป็นคนดีของสังคมต่อไปด้วย ซึ่งเมื่อประกาศใช้แล้ว ไทยเองก็ได้เข้าร่วมเป็นรัฐภาคีแห่งอนุสัญญานี้
ตั้งแต่ พ.ศ. 2492 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยได้ประกาศห้ามจัดตั้งสำนักโสเภณีเพิ่มขึ้นอีก และใน พ.ศ. 2498 ก็ได้มีการห้ามจดทะเบียนโสเภณีเป็นเด็ดขาด ซึ่งรัฐเองก็มีนโยบายจัดการสงเคราะห์หญิงนครโสเภณีขึ้นด้วย ดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทย ครั้งนั้น รัฐบาลดำริจะจัดตั้งนิคมโสเภณีขึ้นเพื่อการดังกล่าว แต่ขัดข้องด้านงบประมาณ โครงการจึงระงับไว้จน พ.ศ. 2499 รัฐบาลได้ร่าง "พระราชบัญญัติห้ามการค้าประเวณี" ขึ้น แต่ไม่สามารถนำเข้าสู่รัฐสภาได้ ใน พ.ศ. 2503 รัฐบาลจึงเสนอร่างกฎหมายฉบับใหม่แทน คือ ร่างพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาและประกาศใช้ตามลำดับ ปัจจุบันมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539[ลิงก์เสีย] แทนที่แล้ว
นอกจากกฎหมายหลักข้างต้น ประมวลกฎหมายอาญายังให้ความคุ้มครองแก่หญิงและเอาโทษชายแมงดาซึ่งเป็นกาฝากเกาะกินอยู่กับหญิงนครโสเภณี เช่น กำหนดโทษการเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กหญิง เพื่อการอนาจารหรือเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น และกำหนดโทษเอาผิดแก่ชายแมงดาที่ดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงนครโสเภณีด้วย เป็นต้น
โทษที่กฎหมายวางไว้สำหรับความผิดเกี่ยวกับการค้าประเวณีนี้อยู่ในระดับสูงมาก เพื่อผดุงคุณธรรมของชาติ และให้ความคุ้มครองแก่กุลบุตรกุลธิดามิให้ตกไปในอบายมุข อย่างไรก็ดี การที่หญิงต้องกลายเป็นโสเภณีนั้นมิได้เกิดจากการล่อลวงหรือชักพาแต่อย่างเดียว แต่มีสาเหตุหลายประการดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและแก้ไขกันไปตราบชั่วชีวิตของสังคม
ความพยายามในการทำให้ถูกกฎหมาย
[แก้]ใน พ.ศ. 2546 กระทรวงยุติธรรมเคยพิจารณาข้อเสนอในการทำให้การค้าประเวณีเป็นอาชีพถูกกฎหมายเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพและภาษี โดยมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะขึ้น ข้อการทำให้ถูกกฎหมายคาดว่าจะเพิ่มรายได้ภาษี ลดการทุจริต และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ค้าบริการทางเพศ[19] มีการกล่าวถึงอยู่เรื่อยๆ ในสังคมไทย แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอีกนับแต่นั้นมา
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ 2539
- ↑ พระราชบัญญัติสถานบริการ พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2540
- ↑ "2008 Human Rights Report: Thailand". State.gov. 2009-02-25. สืบค้นเมื่อ 2013-06-24.
- ↑ "section 8B: Prostitution - Commercial Sex". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-29. สืบค้นเมื่อ 2013-11-02.
- ↑ 5.0 5.1 2008 Human Rights Report: Thailand, Bureau of Democracy, Human Rights, and Labor; February 25, 2009, U.S. State Department
- ↑ http://www.dab.uts.edu.au/conferences/queer_space/proceedings/cities_suwatcharapinun.pdf
- ↑ The Experiences of Burmese Women in Thailand (PDF), The President and Fellows of Harvard College, 2013, สืบค้นเมื่อ February 27, 2021
- ↑ "How The Pandemic Has Upended The Lives Of Thailand's Sex Workers". NPR. February 3, 2021. สืบค้นเมื่อ February 27, 2021.
- ↑ "Groups 'rescue' Thai sex workers, whether they want it or not". PRI's The World. October 17, 2013. สืบค้นเมื่อ February 27, 2021.
- ↑ "Lao women in Isaan's karaoke bars: 'Men certainly don't pretend we're waitresses'". The Isaan Record. 2019-04-04. สืบค้นเมื่อ 1 May 2019.
- ↑ Jasmina Yap (March 2, 2020). "Seven Women from Laos arrested in Phetchabun for Prostitution". The Laotian Times. สืบค้นเมื่อ February 27, 2021.
- ↑ "What About Sex & Girls In Koh Samui?". สืบค้นเมื่อ February 27, 2021.
- ↑ Chris Lyttleton (February 2009), The Good People of Isan: Commercial Sex in Northeast Thailand, สืบค้นเมื่อ February 27, 2021
- ↑ "Prostitutes in Thailand: Their Lives, Motivations, Scams and Customers". Facts and Details. สืบค้นเมื่อ February 27, 2021.
- ↑ Nanchanok Wongsamuth (June 30, 2020). "Thailand's migrant sex workers fear for the future". Reuters. สืบค้นเมื่อ February 27, 2021.
- ↑ "Thai police raid a sex for sale hotel in Loei province staffed by Laotian women working as prostitutes". Thai Examiner. March 23, 2019. สืบค้นเมื่อ February 27, 2021.
- ↑ "Sex Workers: Size Estimate". UNAIDS. สืบค้นเมื่อ March 14, 2021.
- ↑ "Prostitution: More Thais selling sex, study finds", The Nation, 3 January 2004
- ↑ 19.0 19.1 Thailand mulls legal prostitution. The Age, November 26, 2003
- ↑ Paradise revealed, Taipei Times
- ↑ SEX WORK IN ASIA() World Health Organisation.
- ↑ “ชูวิทย์” แฉผ่านภาคนิพนธ์ กองทุนหมู่บ้าน “แม้ว” เน่า ผลักผู้หญิงขายตัว!
- ↑ คำต่อคำ 'สมยศ' แจงปมยืมเงินเสี่ยกำพล300ล. เรื่องหุ้นผมนิยมมาก อาชีพตำรวจแค่ไซด์ไลน์
- ↑ ผู้ค้าบริการทางเพศไทย ไปทำอะไรใน 'งานเอดส์โลก' ที่เนเธอร์แลนด์?
- ↑ 10กาสิโนหรูเขมรบิ๊กฝั่งไทยร่วมหุ้น
- ↑ Polyclinic (นามแฝง) (2547). เอายังไงดีคะ?. ดอกหญ้ากรุ๊ป.
- ↑ พัชรินทร์ สิรสุนทร อ้างถึง กฤตยา อาชวนิชกุล. "ผู้หญิงกับภาวะการเป็นทาส". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-14. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "สระแก้วเตือนมั่วโสเภณีต่างด้าวย่านตลาดโรงเกลือระวังเอดส์". เอเอสทีวีผู้จัดการ. 27 พฤศจิกายน 2549. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)[ลิงก์เสีย] - ↑ "ตม.ตากบุกโอเกะพม่ากลางแม่สอด พบบังคับหญิงขายตัวแลกเงินครั้งละ 200". เอเอสทีวีผู้จัดการ. 13 กุมภาพันธ์ 2556. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)[ลิงก์เสีย] - ↑ "ตม.ชลบุรีบุกจับโอเกะค้ากาม รวบเจ้าของบังคับค้าประเวณี 10 สาวลาว". ข่าวสด. 27 ธันวาคม 2555. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "บุกจับสาวลาวคาร้านโอเกะดังเมืองปัว-ชาวบ้านร้องแฝงค้าประเวณี". เอเอสทีวีผู้จัดการ. 14 มิถุนายน 2556. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)[ลิงก์เสีย] - ↑ "แฉขบวนการค้ากามข้ามแดน'ไทย-กัมพูชา'". คมชัดลึก. 20 ธันวาคม 2554. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "รวบแก๊งคุณโสข้ามแดนค้ากามโรงเกลือ". เดลินิวส์. 29 พฤษภาคม 2555. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "รวบ 71 เขมรลอบเข้าเมืองค้าประเวณี-ขายสินค้าปลอม". ไทยรัฐ. 29 กรกฎาคม 2555. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Bertil Lintner (3 กุมภาพันธ์ 2539). "The Russian Mafia in Asia - Asia Pacific Media Service". Asiapacificms.com. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) (อังกฤษ) - ↑ "ตร.รวบอิหร่านค้ามนุษย์ ลวงสาวอุซเบฯค้ากามที่พัทยา". ไทยรัฐ. 20 ธันวาคม 2554. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "ปคม.จับแม่เล้าอุซเบกิสถานบังคับสาวชาติเดียวกันค้ากาม". เอเอสทีวีผู้จัดการ. 31 สิงหาคม 2555. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Convention for the Suppression of the Traffic in Persons and of the Exploitation of the Prostitution of Others 1949 สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ สืบค้นเมื่อ 13 ธันวาคม 2560
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Bishop, Ryan; Robinson, Lillian S (1998). Night Market; Sexual Cultures and the Thai Economic Miracle (Paper ed.). New York: Routledge. ISBN 978-0-415-91429-1. สืบค้นเมื่อ 17 July 2016.
- Travels in the Skin Trade: Tourism and the Sex Industry (1996, ISBN 0-7453-1115-6) by Jeremy Seabrook describes the Thai sex industry and includes interviews with prostitutes and customers.
- Cleo Odzer received her PhD in anthropology with a thesis about prostitution in Thailand; her experiences during her three years of field research resulted in the 1994 book Patpong Sisters: An American Woman's View of the Bangkok Sex World (ISBN 1-55970-281-8). In the book she describes the Thai prostitutes she got to know as quick-witted entrepreneurs rather than exploited victims.
- Hello My Big Big Honey!: Love Letters to Bangkok Bar Girls and Their Revealing Interviews by Dave Walker and Richard S. Ehrlich (2000, ISBN 0-86719-473-1) is a compilation of love letters from Westerners to Thai prostitutes, and interviews with the latter.
- For an informative caricature of the contemporary sexual norms and mores of Thailand (and its Sex Industry) versus the West see the novels of John Burdett including Bangkok 8 for the comparative anthropology of his half Thai-Western (son of a 'bargirl') protagonist detective, Sonchai Jitpleecheep.
- Dennis Jon's 2005 documentary travelogue The Butterfly Trap provides a realistic and non-judgmental first person viewpoint of sex tourism in Thailand.
- Jordan Clark's 2005 documentary Falang: Behind Bangkok's Smile takes a rather critical view of sex tourism in Thailand.
- David A. Feingold's 2003 documentary Trading Women explores the phenomenon of women from the surrounding countries being trafficked into Thailand.
- Lines, Lisa (July 2015). "Prostitution in Thailand: Representations in Fiction and Narrative Non-Fiction" (PDF). Journal of International Women's Studies. 16 (3): 86–100. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-03-23. สืบค้นเมื่อ 2018-12-01.
- For a discussion reflecting on the history of prostitution, see Scott Bamber, Kevin Hewison and Peter Underwood (1997) "Dangerous Liaisons: A History of Sexually Transmitted Diseases in Thailand", in M. Lewis, S. Bamber & M. Waugh (eds), Sex, Disease and Society: A Comparative History of Sexually Transmitted Diseases and HIV/AIDS in Asia and the Pacific (ISBN 978-0313294426), Westport: Greenwood Press, Contributions in Medical Studies No. 43, pp. 37–65.