ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2
ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เซโซทริสที่ 2, เซนวอสเรตที่ 2 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ส่วนหัวของรูปสลักหินของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 จาก คาร์นัค | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฟาโรห์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รัชกาล | ร่วมอุปราช 5 ปี ครองราชย์องค์เดียวประมาณ 15 ปี[1][note 1] | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | อเมเนมเฮตที่ 2 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | เซนุสเรตที่ 3 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่เสกสมรส | เคเนมเนเฟอร์เฮตดเจดที่ 1, โนเฟรตที่ 2, อิตาวีเรต (?), คเนเมต (?) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบุตร | เซนุสเรตที่ 3, เซนุสเรต-ซันบี, อิตาคาย, เนเฟอร์เรต, ซิตทัตฮัตฮอร์ยูเนต | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบิดา | อเมเนมเฮตที่ 2 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สุสาน | 29°14′10″N 30°58′14″E / 29.23611°N 30.97056°E | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ที่ 12 |
คาเคเปอร์เร เซนุสเรตที่ 2 เป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณพระองค์ที่สี่จากราชวงศ์ที่สิบสอง ทรงปกครองตั้งแต่ 1897 ถึง 1878 ปีก่อนคริสตกาล พีระมิดของพระองค์ถูกสร้างขึ้นที่เอล-ลาฮูน พระองค์ทรงให้ความสนใจอย่างมากในภูมิภาคโอเอซิสแห่งไฟยุม และทรงริเริ่มการก่อสร้างเกี่ยวกับระบบชลประทานที่กว้างขวางตั้งแต่บาหร์ ยูสเซฟ ไปจนถึงทะเลสาบโมเอริส ผ่านการก่อสร้างกำแพงกั้นน้ำที่เอล-ลาฮูนและการเพิ่มเครือข่ายคลองระบายน้ำ จุดประสงค์ของแผนการก่อสร้างนี้คือเพื่อเพิ่มจำนวนพื้นที่ทำการเกษตรในพื้นที่นั้น[11] ความสำคัญของแผนการก่อสร้างนี้ได้เน้นย้ำการตัดสินใจของพระองค์ในการย้ายสุสานหลวงจากดาห์ชูร์ไปยังเอล-ลาฮูน ซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดให้สร้างพีระมิดของพระองค์ ตำแหน่งนี้จะยังคงเป็นเมืองหลวงทางการเมืองสำหรับราชวงศ์ที่สิบสองและสิบสามแห่งอียิปต์ และพระองค์ยังทรงตั้งเขตคนงานแห่งแรกขึ้นใกล้กับเมืองเซนุสเรตโฮเทป (คาฮูน)[12]
ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 นั้นต่างจากผู้สืบพระราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์ โดยยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับราชวงศ์หรือผู้ปกครองท้องถิ่นต่างๆ ของอียิปต์ ซึ่งเกือบจะมีความมั่งคั่งพอ ๆ กับฟาโรห์[13] ในปีที่ 6 แห่งการครองราชย์ของพระองค์ได้ปรากฏบนภาพวาดฝาผนังจากหลุมฝังศพของผู้ปกครองท้องถิ่นนามว่า คนุมโฮเทปที่ 2 ที่เบนิ ฮาซาน
รัชสมัย
[แก้]การสำเร็จราชการร่วม
[แก้]การมีผู้สำเร็จราชการร่วมเป็นประเด็นสำคัญสำหรับความเข้าใจของนักไอยคุปต์วิทยาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงสมัยราชอาณาจักรกลางและราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์[14][15] คลอดด์ ออบซอเมอร์ นักไอยคุปต์วิทยาชาวเบลเยียมได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ของการการมีผู้สำเร็จราชการร่วมในราชวงศ์ที่สิบสอง[16] โรเบิร์ต ดี. เดเลีย นักเขียน[17] และคาร์ล ยานเซน-วินเคล์น นักไอยคุปต์วิยาชาวเยอรมัน[18] ได้ตรวจสอบงานเขียนของออบซอเมอร์ และได้ข้อสรุปเพื่อสนับสนุนการมีผู้สำเร็จราชการร่วม[19] โดยยานเซน-วินเคล์นได้อ้างจากจารึกที่พบในโคนอสโซว่าเป็นหลักฐานที่หักล้างไม่ได้สำหรับการสนับสนุนการสำเร็จราชการร่วมกันระหว่างฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 และฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 2 และโดยการขยายการยืนยันการสำเร็จราชการร่วมในช่วงราชวงศ์ที่สิบสอง[20] วิลเลียม เจ. เมอร์เนน นักไอยคุปต์วิทยาชาวอเมริกันได้กล่าวว่า "ระบบการปกครองร่วมของช่วงเวลานั้นล้วนทราบกันดีอยู่แล้ว...จากเอกสารที่ระบุสองช่วงรัชสมัย"[21] ชไนเดอร์ นักไอยคุปต์วิทยาชาวเยอรมันได้สรุปว่า เอกสารและหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นข้อยืนยันอย่างชัดเจนของการสำเร็จราชการร่วมในช่วงเวลานั้น[22]
แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุถึงช่วงเวลาของการการสำเร็จราชการร่วมของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 โดยที่ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 2 พระราชบิดาของพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการร่วม ปีเตอร์ เคลย์ตัน นักไอยคุปต์วิทยาชาวอังกฤษ ได้ระบุว่า พระองค์ได้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมอย่างน้อยสามปี[23] นิโกลา กริมาล นักอียิปต์วิทยาชาวฝรั่งเศสได้ระบุว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมเป็นเวลาเกือบ 5 ปี ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์เพียงพระองค์เดียว[24]
ระยะเวลารัชสมัย
[แก้]ระยะเวลารัชสมัยของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 และฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 เป็นหนึ่งในข้อพิจารณาหลักในการแยกแยะลำดับเหตุการณ์ของราชวงศ์ที่สิบสอง[15] เชื่อกันว่า บันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินได้ระบุว่า ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 ครองราชย์เป็นเวลา 19 ปี และฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 เป็นระยะเวลา 30 ปี[25] ข้อสันนิษฐานเดิมนี้ถูกโต้แย้งในปี ค.ศ. 1972 เมื่อวิลเลียม เคลลี ซิมป์สัน นักไอยคุปต์วิทยาชาวอเมริกันได้ตั้งข้อสังเกตว่า ปีรัชสมัยที่ปรากฏครั้งสุดท้ายของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 อยู่ที่ปีที่ 7 แห่งการครองราชย์ และในทำนองเดียวของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 อยู่ที่ปีที่ 19 แห่งการครองราชย์[25]
คิม รีฮอล์ต ศาสตราจารย์ด้านไอยคุปต์วิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้เสนอความเห็นถึงความเป็นไปได้ที่พระนามในบันทึกพระนามแห่งตูรินจะถูกจัดเรียงผิดและเสนอระยะเวลารัชสมัยที่เป็นไปได้สองช่วงสำหรับฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 คือ มากกว่า 10 ปี หรือ 19 ปี[26] นักไอยคุปต์วิทยาหลายคน เช่น ธอมัส ชไนเดอร์ ได้อ้างถึงบทความของมาร์ค ซี. สโตน ซึ่งตีพิมพ์ใน ก็อทติงเงอ มิสเซลเลิน (Göttinger Miszellen) ในปี ค.ศ. 1997 เนื่องจากระบุว่าปีรัชสมัยสูงสุดของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 อยู่ที่ปีที่ 8 แห่งการครองราชย์ โดยอ้างอิงจากจารึก ไคโร เจอี 59485[27]
นักวิชาการบางคนได้กำหนดให้พระองค์ครองราชย์เพียงระยะเวลา 10 ปี และให้ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 ครองราชย์เป็นระยะเวลา 19 ปีแทน อย่างไรก็ตาม นักไอยคุปต์วิทยาคนอื่น ๆ เช่น เยอร์เกน ฟอน เบ็คเคอราธ และแฟรงค์ เยอร์โก ยังคงเชื่อข้อสันนิษฐานเดิมที่ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 ทรงครองราชย์ระยะเวลายาวนานกว่า 19 ปี และเมื่อพิจารณาจากจำนวนพระราชกรณียกิจที่ฟาโรห์ทรงดำเนินการในรัชสมัยของพระองค์[ต้องการอ้างอิง] เยอร์โกได้ตั้งข้อสังเกตว่า การลดจำนวนปีในรัชสมัยเหลือเพียง 6 ปี จะส่งผลทำให้เกิดปัญหา เนื่องจาก[28]:
“ | ฟาโรห์พระองค์นั้นสร้างพีระมิดที่เสร็จสมบูรณ์ที่คาฮูน โดยมีวิหารฝังพระศพหินแกรนิตแข็งและหมู่อาคารที่ซับซ้อน แผนการสร้างดังกล่าวใช้เวลาอย่างเหมาะสมที่สุดระหว่าง 15 ถึง 20 ปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์ แม้จะมีแกนอิฐโคลนที่ใช้ในพีระมิดจากสมัยราชอาณาจักรกลางก็ตาม | ” |
ในปัจจุบัน ข้อถกเถียงเกี่ยวกับระยะเวลาในการครองราชย์ของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 นั้นไม่ยังไม่เป็นที่สรุปได้ แต่นักไอยคุปต์วิทยาหลายคนในปัจจุบันมักที่จะกำหนดให้พระองค์ครองราชย์อยู่ที่ 9 หรือ 10 ปีเท่านั้น เนื่องจากไม่มีระยะเวลาที่มากกว่าที่ยืนยันถึงพระองค์ที่ครองราชย์เกินปีที่ 8 แห่งการครองของพระองค์ ประเด็นนี้จะนำมาซึ่งการแก้ไขระยะเวลาการครองที่ระบุในบันทึกพระนามแห่งตูรินไว้ที่ 19 ปี ให้เป็น 9 ปีแทน อย่างไรก็ตาม วันและเดือนของการครองราชย์ของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 สามารถตรวจสอบได้ ตามคำกล่าวของเยอร์เกน ฟอน เบ็คเคอราท บันทึกจากวิหารในเอล-ลาฮูนที่เมืองพีระมิดแห่งเซซอสทริส/เซนุสเรตที่ 2 ได้กล่าวถึงเทศกาล "การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์" ซึ่งอาจจะเป็นวันสวรรคตของพระองค์[29] บันทึกนี้ระบุว่าเทศกาลนี้เกิดขึ้นในเดือนเพเรตที่ 4 วันที่ 14[30][31][32]
เหตุการณ์ภายในพระราชอาณาจักร
[แก้]โอเอซิสแห่งไฟยุม ซึ่งเป็นภูมิภาคหนึ่งในอียิปต์ตอนกลางมีมนุษย์อาศัยอยู่มานานกว่า 8,000 ปี[33] มันกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญในอียิปต์ระหว่างช่วงสมัยราชอาณาจักรกลาง[33] ตลอดระยะเวลานั้น ผู้ปกครองดำเนินแผนพัฒนาเพื่อเปลี่ยนไฟยุมให้กลายเป็นศูนย์กลางเกษตรกรรม ศาสนา และสถานตากอากาศ โดยโอเอซิสตั้งอยู่ 80 กม. (50 ไมล์) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเมมฟิส มีพื้นที่ทำการเกษตร[24] มีศูนย์กลางอยู่ที่ทะเลสาบโมเอริส ซึ่งเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติ[33]
ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 ทรงได้ริเริ่มแผนพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของพื้นที่แอ่งน้ำเพื่อการล่าสัตว์และตกปลา ซึ่งเป็นแผนพัฒนาที่ดำเนินต่อโดยผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของพระองค์และ "พัฒนาเสร็จสมบูรณ์" ในรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ผู้เป็นพระราชนัดดาของพระองค์ เพื่อการเริ่มต้นแผนพัฒนานี้ขึ้น พระองค์ได้ทรงโปรดให้พัฒนาระบบชลประทานที่มีกำแพงกั้นน้ำและเครือข่ายของคลองที่ผันจากทะเลสาบโมเอริส[14][24] พื้นที่ที่ถูกเวนคืนในแผนพัฒนานี้ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ทางการเกษตร[34]
ลัทธิบูชาเทพแห่งจระเข้โซเบคได้รุ่งเรืองในช่วงเวลานั้น[33]
เหตุการณ์ภายนอกพระราชอาณาจักร
[แก้]รัชสมัยของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 เป็นช่วงเวลาเข้าสู่ยุคแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง โดยไม่มีการบันทึกการเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการทหารและมีการขยับขยายการค้าขายระหว่างอียิปต์กับดินแดนตะวันออกใกล้[35]
ในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มชาวเอเชียตะวันตกที่มาขอเข้าเฝ้าฟาโรห์พร้อมของกำนัลต่าง ๆ ก็ถูกบันทึกไว้ เช่นเดียวกับในภาพวาดบนหลุมฝังศพของคนุมโฮเทปที่ 2 ซึ่งมีชีวิตและทำงานในช่วงรัชสมัยฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 จากราชวงศ์ที่สิบสอง ซึ่งเป็นภาพของชาวต่างชาติ ซึ่งอาจจะเป็นชาวคานาอันหรือชาวเบดูอิน ถูกเรียกว่าเป็นชาวอามู (ꜥꜣmw) รวมถึงหัวหน้าคณะที่มีตัวเลียงผานิวเบียที่เรียกว่า อาบิชา ชาวฮิกซอส (𓋾𓈎𓈉 ḥḳꜣ-ḫꜣsw, เฮกา-คาซุต สำหรับ "ชาวฮิกซอส") ซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่มีการปรากฏของ "ฮิกซอส"[36][37][38][39]
การสืบสันตติวงศ์
[แก้]ไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวกับการสำเร็จราชการร่วมกันระหว่างฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 กับฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3[44] เมอร์เนนได้ชี้แจงว่า หลักฐานหลักที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียวสำหรับฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 และ 3 คือตราประทับสคารับที่ปรากฏพระนามของของทั้งสองพระองค์[45] ความเกี่ยวข้องกันนี้สามารถอธิบายได้ว่า เป็นผลมาจากบันทึกเวลาย้อนหลัง ซึ่งปีสุดท้ายของรัชสมัยของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 อาจถูกรวมเข้ากับปีแรกแห่งการครองราชย์ของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานร่วมสมัยจากบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูริน ซึ่งทำให้ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 มีระยะเวลาในการปกครองครบ 19 ปีเต็มและจารึกบางส่วน[46]อุทิศเพื่อเฉลิมฉลองการเริ่มต้นพิธีกรรมที่เริ่มโดยฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 และ 3 และบันทึกปาปิรัสที่มีบันทึกในช่วงปีที่ 19 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 และปีแรกของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 นั้นมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยและไม่จำเป็นว่าจำเป็นต้องมีการสำเร็จราชการร่วม[45] และเมอร์เนนโต้แย้งว่าหากมีการสำเร็จราชการร่วมจริง ก็จะมีระยะเวลาเพียงไม่เกินสองสามเดือน[45]
หลักฐานจากบันทึกปาปิรัสในตอนนี้ได้ถูกหักล้างจากข้อเท็จจริงที่ว่าบันทึกดังกล่าวได้รับลงระยะเวลาในปีที่ 19 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 และปีที่ 1 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[ต้องการอ้างอิง] ปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบบันทึกจากรัชสมัยฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 ในเอล-ลาฮูน ราชธานีใหม่ของพระองค์
สมบัติในสถานที่ฝังพระศพ
[แก้]ในปี ค.ศ. 1889 ฟลินเดอร์ส เพทรี นักไอยคุปต์วิทยาชาวอังกฤษ ได้ค้นพบ "ทองคำอันมหัศจรรย์และยูเรอุสประดับด้วยทองคำ" ซึ่งแต่เดิมนั้นจะต้องประกอบเป็นชิ้นส่วนของอุปกรณ์ฝังพระศพที่ถูกขโมยไปของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 ในห้องที่มีน้ำท่วมขัง[47] ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ไคโร หลุมฝังพระศพของเจ้าหญิงซิตฮาธอร์ยูเนต พระราชธิดาในฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 ก็ถูกค้นพบโดยนักไอยคุปต์วิทยาในพื้นที่ฝังพระศพที่แยกต่างหาก พบเครื่องประดับหลายชิ้นจากหลุมฝังพระศพของพระองค์ รวมทั้งสร้อยประดับพระอุระ และมงกุฏหรือรัดเกล้าที่นั่น ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เมโทรโพลิแทนแห่งนิวยอร์กหรือพิพิธภัณฑ์ไคโรในอียิปต์
ในปี ค.ศ. 2009 นักโบราณคดีชาวอียิปต์ประกาศผลการขุดค้นครั้งใหม่นำโดยนักอียิปต์โบราณ อับดุล เราะห์มาน อัล-อาเยดี พวกเขาเล่าถึงการขุดพบมัมมี่ยุคฟาโรห์ในโลงไม้สีสดใสใกล้กับพีระมิดแห่งลาฮูน มีรายงานว่ามัมมี่กลุ่มแรกที่พบในทะเลทรายที่ปกคลุมไปด้วยทรายรอบๆ พีระมิด[48]
พีระมิด
[แก้]พีระมิดถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ โครงของแขนรัศมีหินปูน คล้ายกับพีระมิดของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1 แทนที่จะใช้หิน โคลน และปูน กลับใช้อิฐโคลนเป็นโครงสร้างภายในก่อนที่จะหุ้มพีระมิดด้วยชั้นของหินปูน แผ่นไม้อัด หินที่หุ้มชั้นนอกถูกล็อคเข้าด้วยกันโดยใช้ส่วนเสริมประกบ ซึ่งบางส่วนยังคงอยู่ มีการขุดคูน้ำรอบแกนกลางซึ่งเต็มไปด้วยหินเพื่อทำหน้าที่คล้ายท่อน้ำแบบฝรั่งเศส การหุ้มหินปูนอยู่ในท่อระบายน้ำนี้ แสดงว่าฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 ทรงกังวลเกี่ยวกับความเสียหายจากน้ำ
มีมาสตาบาจำนวนแปดหลังและพีระมิดขนาดเล็กอีกหนึ่งหลังอยู่ทางเหนือของสถานที่ฝังพระศพฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 และทั้งหมดอยู่ภายในกำแพงล้อมรอบ ผนังถูกหุ้มด้วยหินปูนที่ตกแต่งด้วยช่องต่างๆ บางทีอาจทำตามแบบสถานที่ฝังพระศพของฟาโรห์ดโจเซอร์ที่ซัคคารา มาสตาบาเหล่านั้นถมทึบและไม่พบห้องใดเลยภายในหรือด้านล่าง ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกมันเป็นอนุสาวรีย์และอาจเป็นสัญลักษณ์ในธรรมชาติ และเพทรีได้สำรวจพีระมิดเสริมและไม่พบห้องใด ๆ อีก
ทางเข้าห้องใต้ดินอยู่ทางด้านใต้ของพีระมิด ซึ่งทำให้เพทรีสับสนเป็นเวลาหลายเดือนขณะที่เขามองหาทางเข้าทางด้านเหนือแบบดั้งเดิม
หลังจากการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ปล่องทางเข้าแนวตั้งก็ถูกเติมเข้าไปแล้ว และห้องนี้ก็ถูกทำให้ดูเหมือนห้องฝังพระศพ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นความพยายามที่จะโน้มน้าวให้พวกโจรปล้นสุสานไม่ต้องมองหาที่ไหนอีกแล้ว
ปล่องทางเข้ารองนำไปสู่ห้องโค้งและปล่องหลุมลึก นี่อาจเป็นแง่มุมหนึ่งของลัทธิบูชาโอซิริส ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นการหาแหล่งน้ำก็ตาม มีทางเดินไปทางเหนือ ผ่านห้องด้านข้างอีกห้องหนึ่งแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก สิ่งนี้นำไปสู่ห้องโถงและห้องฝังพระศพที่มีหลังคาโค้ง โดยมีห้องข้างทางทิศใต้ ห้องฝังพระศพถูกล้อมรอบด้วยทางเดินที่ไม่ซ้ำกันซึ่งอาจอ้างอิงถึงการเกิดของโอซิริส พบโลงพระศพขนาดใหญ่ภายในห้องฝังพระศพ มันใหญ่กว่าทางเข้าและอุโมงค์ แสดงว่ามันถูกวางในตำแหน่งเมื่อสร้างห้องและด้านบนเปิดโล่งสู่ท้องฟ้า เปลือกหุ้มหินปูนด้านนอกพีระมิดได้ถูกนำออกไปโดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 เพื่อที่ให้พระองค์สามารถนำหินกลับมาใช้ใหม่นั่นเอง และพระองค์ได้ทรงทิ้งจารึกที่ทรงสั่งให้ทำไว้
หมายเหตุ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Grimal 1992, p. 166.
- ↑ Dodson & Hilton 2004, p. 289.
- ↑ Lehner 2008, p. 8.
- ↑ Arnold 2003, p. 267.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Clayton 1994, p. 78.
- ↑ Frey 2001, p. 150.
- ↑ Grimal 1992, p. 391.
- ↑ Shaw 2004, p. 483.
- ↑ Callender 2004, p. 152.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 Leprohon 2013, p. 59.
- ↑ Verner 2002, p. 386.
- ↑ Petrie 1891, p. 5ff.
- ↑ Clayton 1994, p. 83.
- ↑ 14.0 14.1 Callender 2004, pp. 137–138.
- ↑ 15.0 15.1 Simpson 2001, p. 453.
- ↑ Schneider 2006, p. 170.
- ↑ Delia 1997, pp. 267–268.
- ↑ Jansen-Winkeln 1997, pp. 115–135.
- ↑ Schneider 2006, pp. 170–171.
- ↑ Jansen-Winkeln 1997, pp. 188–189.
- ↑ Murnane 1977, p. 7.
- ↑ Schneider 2006, p. 171.
- ↑ Clayton 1994, p. 82.
- ↑ 24.0 24.1 24.2 Grimal 1992, p. 166.
- ↑ 25.0 25.1 Ryholt 1997, p. 14.
- ↑ Ryholt 1997, pp. 14–15.
- ↑ Schneider 2006, p. 172 citing Stone (1997, pp. 91–100).
- ↑ Yurco 2014, p. 69 citing Edwards (1985, pp. 98 & 292) and Grimal (1992, pp. 166 & 391).
- ↑ von Beckerath 1995, p. 447.
- ↑ Borchardt 1899, p. 91.
- ↑ Gardiner 1945, pp. 21–22.
- ↑ Simpson n.d., LA V900.
- ↑ 33.0 33.1 33.2 33.3 Wilfong 2001, p. 496.
- ↑ Callender 2004, pp. 152–153.
- ↑ Callender 2004, p. 152.
- ↑ Van de Mieroop 2011, p. 131.
- ↑ Bard 2015, p. 188.
- ↑ Kamrin 2009, p. 25.
- ↑ Curry, Andrew (2018). "The Rulers of Foreign Lands - Archaeology Magazine". www.archaeology.org.
- ↑ Van de Mieroop 2011, p. 131.
- ↑ Bard 2015, p. 188.
- ↑ Kamrin 2009, p. 25.
- ↑ Curry, Andrew (2018). "The Rulers of Foreign Lands - Archaeology Magazine". www.archaeology.org.
- ↑ Jansen-Winkeln 1997, p. 119.
- ↑ 45.0 45.1 45.2 Murnane 1977, p. 9.
- ↑ Murnane 1977, p. 228.
- ↑ Clayton 1994, p. 80.
- ↑ See El-Lahun recent discoveries and online Cache of mummies unearthed at Egypt's Lahun pyramid.
แหล่งที่มา
[แก้]- Arnold, Dieter (2003). The Encyclopaedia of Ancient Egyptian Architecture. London: I.B Tauris & Co Ltd. ISBN 978-1-86064-465-8.
- Borchardt, Ludwig (1899). Erman, A.; Steindorff, G. (บ.ก.). "Der zweite Papyrusfund von Kahun und die zeitliche Festlegung des mittleren Reiches der ägyptische Geschichte". Zeitschrift für ägyptische Sprache und Altertumskunde (ภาษาเยอรมัน). Leipzig: J. C. Hinrichs'sche Buchhandlung (37): 89–103. ISSN 2196-713X.
- Callender, Gae (2004). "The Middle Kingdom Renaissance (c.2055–1650 BC)". ใน Shaw, Ian (บ.ก.). The Oxford History of Ancient Egypt. Oxford: Oxford University Press. pp. 137–171. ISBN 978-0-19-815034-3.
- Clayton, Peter (1994). Chronicle of the Pharaohs. London: Thames & Hudson Ltd. ISBN 978-0-500-05074-3.
- de Morgan, Jacques; Bouriant, Urbain; Legrain, Georges Albert; Jéquier, Gustave; Barsanti, Alfred (1894). Catalogue des monuments et inscriptions de l'Ègypte (ภาษาฝรั่งเศส). Vienne: Adolphe Holzhausen. OCLC 741162031.
- Delia, Robert D. (1997). "Sésostris Ier; Étude chronologique et historique de règne. Étude No. 5 by Claude Obsomer". Journal of the American Research Center in Egypt (ภาษาฝรั่งเศส): 267–268. doi:10.2307/40000813. ISSN 0065-9991.
- Dodson, Aidan; Hilton, Dyan (2004). The Complete Royal Families of Ancient Egypt. London: Thames & Hudson. ISBN 978-0-500-05128-3.
- Edwards, Iorwerth Eiddon Stephen (1985). The Pyramids of Egypt. New York: Penguin Books. ISBN 978-0-140-22549-5.
- Frey, Rosa A. (2001). "Illahun". ใน Redford, Donald B. (บ.ก.). The Oxford Encyclopedia of Ancient Egypt, Volume 2. Oxford: Oxford University Press. pp. 150–151. ISBN 978-0-19-510234-5.
- Gardiner, Alan H. (1945). "Regnal Years and Civil Calendar in Pharaonic Egypt". The Journal of Egyptian Archaeology. 31 (1): 11–28. doi:10.2307/3855380. ISSN 0307-5133.
- Grimal, Nicolas (1992). A History of Ancient Egypt. Translated by Ian Shaw. Oxford: Blackwell publishing. ISBN 978-0-631-19396-8.
- Jansen-Winkeln, Karl (1997). "Zu den Koregenz der 12. Dynastie" (PDF). Studien zur Altägyptischen Kultur (ภาษาเยอรมัน) (24): 115–135. ISSN 0340-2215.
- Lehner, Mark (2008). The Complete Pyramids. New York: Thames & Hudson. ISBN 978-0-500-28547-3.
- Leprohon, Ronald J. (2013). The Great Name: Ancient Egyptian Royal Titulary. Vol. 33 of Writings from the ancient world. Atlanta: Society of Biblical Literature. ISBN 978-1-589-83736-2.
- Murnane, William J. (1977). "Ancient Egyptian Coregencies". Studies in Ancient Oriental Civilization (SAOC). Chicago: The Oriental Institute of the University of Chicago (40). ISBN 978-0-918986-03-0. ISSN 0081-7554.
- Petrie, W. M. F. (1891). Illahun, Kahun and Gurob. London.
- Ryholt, Kim Steven Bardrum (1997). The Political Situation in Egypt during the Second Intermediate Period, c. 1800–1550 B.C. CNI publications, 20. Copenhagen: Museum Tusculanum Press: University of Copenhagen. ISBN 978-87-7289-421-8.
- Schneider, Thomas (2006). "The relative chronology of the Middle Kingdom and the Hyksos Period (Dyns. 12–17)". ใน Hornung, Erik; Krauss, Rolf; Warburton, David A. (บ.ก.). Ancient Egyptian Chronology. Leiden, Boston: Brill. pp. 168–196. ISBN 978-90-04-11385-5.
- Shaw, Ian, บ.ก. (2004). The Oxford History of Ancient Egypt. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-815034-3.
- Simpson, W. K. (n.d.). LA V900.
- Simpson, William Kelly (2001). "Twelfth Dynasty". ใน Redford, Donald B. (บ.ก.). The Oxford Encyclopedia of Ancient Egypt, Volume 3. Oxford: Oxford University Press. pp. 453–457. ISBN 978-0-19-510234-5.
- Stone, Mark (1997). "Reading the Highest Attested Date for Senwosret II: Stela Cairo JE 59485". Göttinger Miszellen (159): 91–100. ISSN 0344-385X.
- Verner, Miroslav (2001e). The Pyramids: The Mystery, Culture and Science of Egypt's Great Monuments. New York: Grove Press. ISBN 978-0-8021-1703-8.
- Verner, Miroslav (2002). The Pyramids: The Mystery, Culture, and Science of Egypt's Great Monument. New York: Grove Press.
- von Beckerath, Jürgen (1995). "Nochmals zur Chronologie der XII. Dynastie". Orientalia (ภาษาเยอรมัน). Gregorian Biblical Press. 64 (4): 445–449. ISSN 0030-5367.
- Wilfong (2001). "Faiyum". ใน Redford, Donald B. (บ.ก.). The Oxford Encyclopedia of Ancient Egypt, Volume 1. Oxford: Oxford University Press. pp. 496–497. ISBN 978-0-19-510234-5.
- Yurco, Frank (2014). "Black Athena: An Egyptological Review". ใน Lefkowitz, Mary; Rogers, Guy Maclean (บ.ก.). Black Athena Revisited. Chapel Hill: University of North Carolina Press. pp. 62–100. ISBN 978-0-8078-4555-4.
บทความอื่น
[แก้]- W. Grajetzki, The Middle Kingdom of Ancient Egypt: History, Archaeology and Society, Duckworth, London 2006 ISBN 0-7156-3435-6, 48-51